มืดชะมัด
นี่คือความคิดแรกเมื่อได้สติขึ้นมา
ไม่ทราบว่าใครมาปิดไฟอ่ะ
มองไม่เห็นอะไรเลย
เปิดไฟเดี๋ยวนี่!!
เสียงตะโกนออกมาตามความคิดทันที หากแต่เสียงที่ออกมานั้น
"แอ้ แอ้"
หืม..เสียงเด็ก
เด็กมาจากที่ไหนเล่าแถวนี้ไม่น่าจะมีเด็กนะ เป็นโรงพยาบาลที่แปลกจริง แล้วทำไมตอนนี้ถึงยังลืมตาขึ้นมาไม่ได้
"นะ..น้องหญิง ลูกของเรา ลูกของเราร้องออกมาแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณสวรรค์"
เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังของชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างๆ ใบหู ซึ่งมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นปนดีใจอย่างล้นเหลือกับหญิงสาวคนรักที่ยังพักผ่อนจากการคลอดบุตรอยู่บนเตียงนอนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลลงมา
"จริงรึเจ้าค่ะ ขอข้าดูหน้าลูกของเราหน่อยท่านพี่" เสียงหวานปนแหบของหญิงสาวผู้เป็นมารดาของเด็กน้อยตัวแดง เอ่ยขึ้นขอดูหน้าบุตรจากอ้อมแขนของชายคนรักทันที
'เดี๋ยวก่อนนะ นี่มันเสียงใครกันพูดตอบโต้กันไปมาไม่หยุดเลย แล้วทำไมร่างกายถึงได้รู้สึกเหมือนประหนึ่งลอยไปลอยมาแบบนี้ เหมือนหนึ่งถูกคนนู้นอุ้มทีคนนี้อุ้มทีแปลกจริงๆ'
'อ่า..ลืมตามตาขึ้นมาได้ล่ะถึงจะไม่ชัดก็เถอะ โอ๊ะ ผู้หญิงคนนี้สวยจัง.. ส่วนผู้ชายอีกคนก็หล่อเหลาสุดๆ'
'นั่นไม่ใช่ประเด็นนะ ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ตอนนี้อยู่ที่ไหนและก่อนหน้านั้นทำอะไรอยู่ต่างหากก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่'
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้หลังจากที่ทำงานให้คุณปู่เสร็จงานหนึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อน ตั้งใจว่าจะขึ้นเหนือเพื่อไปเที่ยวเขาเพียงลำพัง เพราะเป็นคนชอบธรรมชาติมากไม่ว่าจะป่าที่ไหนถ้าว่างก็จะดั้นด้นเดินทางไปทันทีแม้จะมีอุปสรรคนิดหน่อยก็ไม่เป็นปัญหา
หลังจากที่เดินทางไปถึงก็จัดการกับสัมภาระสะพายเดินตามคนอื่นที่มาถึงก่อนหน้า เพราะทางที่ขึ้นไปบนนั้นเป็นเส้นทางเดียวที่จะสามารถเดินทางขึ้นไปบนดอยได้ หลังจากที่เดินทางเป็นชั่วโมง แม้จะมีเหงื่อที่ไหลลงมาบ้างแต่พอขึ้นมาเห็นวิวแล้วทำให้คนหายเหนื่อยได้ดีทีเดียว ก่อนที่จะหาพื้นที่สำหรับกางเต็นท์สำหรับคืนนี้
เช้ามืดร่างบางลุกออกจากเต้นท์ล้างหน้าล้างตา เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เพราะเคยมีคนพูดกันมากว่าที่นี้พระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าสวยมากแถมมีหมอกที่กั้นท้องฟ้ากับภูเขาเหมือนทะเลซึ่งมันสวยมากทีเดียว และมันไม่ทำให้ตนผิดหวังจริงๆ
จากตอนแรกที่วางแผนไว้ว่าจะอยู่เที่ยวที่นี่อีกสักสองวันจึงลงจากบนเขา แต่สุดท้ายก็ถูกเลื่อนออกไปเป็นในวันที่ห้าแทน ฉะนั้นจึงทำการแยกตัวออกมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยว ห้าวันที่ผ่านมาเด็กสาวเดินสำรวจป่า ต้นไม้ที่รู้จักบ้างและที่ไม่รู้จักบ้าง รวมทั้งพบเจอพืชสมุนไพรที่เคยเห็นแต่ในหนังสือและดูสัตว์ป่าต่างๆ พลางสำรวจวิถีชีวิตของพวกมันไปด้วยอย่างสนุกสนาน เพราะนานๆ ครั้งวีแกนถึงจะได้เข้าป่าแบบนี้เหมือนสมัยเด็กๆ ที่ผู้เป็นพ่อเคยพาไปฝึกการต่อสู้อยู่บ่อยๆ
วันนี้ร่างบางของหญิงสาวตัดสินใจเดินทางย้อนกลับลงไปจากบนเขา ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักในจุดแรกถึงห้ากิโลเมตร ซึ่งที่ไม่กลัวหลงป่านั้นก็เป็นเพราะเป็นคนมีความจำที่แม่นยำและชอบสำรวจ เก็บรายละเอียดของทุกพื้นที่ที่ผ่านมา พอถึงเบื้องล่างที่เป็นตลาดเล็กๆ ของชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง ตั้งใจว่าจะซื้อของไปเป็นที่ระลึกสำหรับทุกคน จึงเดินเลือกซื้ออยู่เป็นเวลานานเพราะเลือกไม่ถูก สุดท้ายก็ได้แต่ของเล็กๆ น้อยๆ กลับไปให้พอเป็นพิธีจะได้ไม่ถูกบ่น หลังจากได้ของที่ระลึกครบจึงเดินไปรอรถบัสที่จะขึ้นมาทุกๆ ชั่วโมง
หลังจากนั่งรอไปสักพักจึงสังเกตเห็นถึงก้อนเมฆบนท้องฟ้าเริ่มตั้งเค้าทำท่าว่าฝนจะตกลงมาแล้ว ฉับพลันลมก็เริ่มแรงขึ้นทำให้ใบไม้ใบหญ้าปลิวว่อน และฝุ่นกระจัดกระจาย พอเหลียวมองด้านหน้าอีกทีบนถนนก็เริ่มมองเห็นรถบัสใกล้เข้ามาแล้ว
"เฮ้อ!มาสักที"
เปรี้ยง!!
อยู่ๆ สายฟ้าผ่าลงมาพร้อมกับสายฝน ทำให้ผู้คนรีบหาทีหลบฝนทันทีเนื่องจากฝนเริ่มตกหนักขึ้น ส่วนวีแกนก็รีบสะพายกระเป๋าขึ้นไปรถทันทีที่รถบัสวิ่งมาถึง
หลายชั่วโมงผ่านไปตอนนี้กำลังนั่งรถบัสกลับกรุงเทพฯอย่างสบายใจพร้อมฮัมเพลงไปด้วยเบาๆจากหูฟังพร้อมทั้งนั่งมองรถราสวนกันไปมาอย่างเพลิดเพลิน โดยไม่อาจรู้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้ากำลังจะมีเรื่องอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับตัวเองในไม่ช้า
ในเวลาต่อระหว่างที่รถบัสคันนี้กำลังที่เตรียมที่จะเลี้ยวเข้าท่ารถเพื่อส่งผู้โดยสารลงยังปลายทางอยู่นั่น ได้มีรถตู้คันหนึ่งขับสวนมาด้วยความเร็วสูงเนื่องจากฝ่าสัญญาณไฟแดงทำให้ทั้งสองฝ่ายชนกันอย่างแรงจนรถของทั้งสองฝ่ายพลิกคว่ำ
ปัง!! โครมม!!
"อะไร/กรี๊ด/อ๊าก/ช่วยด้วย"
เสียงผู้คนกรีดร้องดังระงม ทั้งตกใจ หวาดกลัว เจ็บปวด ร้องไห้จนวีแกนฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะมันดังเหมือนแมลงหวี่ที่อยู่ในหูมันอื้อไปหมด
"กะ..เกิดอะไรขึ้นเนี่ย"
เพราะเหตุการณ์เมื่อกี้มันเกิดขึ้นเร็วจนทำให้วีแกนไม่ทันตั้งตัว และสายตาเริ่มพร่าจากอาการเลือดไหลเข้าดวงตา ร่างทั้งร่างก็รู้สึกปวดระบมไปหมด เพราะถูกกระแทกจนถึงตอนนี้วีแกนเริ่มไม่มีสติแต่ก็ยังพอรู้สาเหตุแล้วว่าเพราะอะไร
"อ่า รถชนงั้นหรอเนี่ย.."
สักพักหน่วยปฐมพยาบาลก็มานำร่างคนเจ็บที่ติดอยู่ออกมาจากข้างในรถและนำไปส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนเพราะคนไข้เสียเลือดมาก อาการปวดหัวก็มีมากขึ้นด้วย จนกระทั่งมาถึงโรงพยาบาลจึงค่อยๆหมดลมหายใจ!!
....................
...........
...
สายลมพัดผ่านร่างของเด็กชายวัยเยาว์หน้าตางดงามผู้หนึ่งจนชายเสื้อคลุมตัวนอกสยายไปตามลม เป็นเพราะเข้าช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ทำให้อากาศของวันนี้แลดูเย็นสบาย
วันนี้เด็กชายตื่นเช้ามากหลังจากที่หาเวลาว่างได้จากการฝึกฝนวิชา เยว่อวี้หลงที่มักจะมานั่งอยู่บนโขดหินตรงเชิงหน้าผาแห่งนี้เป็นประจำพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยพร้อมทั้งถือโอกาสคิดพล็อตนิยายที่จะแต่งเรื่องใหม่ไปด้วย ใช่ว่าทำตัวเฉื่อยเช่นนี้แต่ร่างกายก็ยังคงตื่นตัวอยู่ตลอดด้วยความเคยชิน
และเมื่อคิดย้อนไปนั้นไม่รู้เป็นเพราะโชคชะตาหรือเพราะเหตุผลอะไรกันแน่! ที่ทำให้ตนต้องมาพบเจอกับสถานการณ์เหล่านี้ แล้วไหนจะกลับกลายมาเป็นเด็กชายจากหญิงสาวในชาติภพก่อนอย่างเช่นที่เป็นอยู่ในตอนนี้เช่นกัน
แต่เมื่อนึกย้อนไปเมื่อเก้าปีก่อนก็นับว่าโชคดีอยู่บ้าง ที่ท่านพ่อท่านแม่คนใหม่เป็นคนมีฐานะถึงขั้นร่ำรวยก็ว่าได้ เพราะท่านพ่อเป็นพ่อค้าผ้าไหมและมีร้านขายผ้าในเมืองหลวงรวมถึงสินค้าใหม่ๆที่เป็นที่นิยม นามว่า เยว่เทียนฟง เป็นบุรุษที่สาวน้อยสาวสาวใหญ่ต่างก็หมายปองด้วยใบหน้าอันหล่อเหลาราวเทพบุตรและเก่งทั้งด้านบุ๋นและบู๊ ส่วนท่านแม่ก็นับว่าเป็นหญิงงามเช่นกันและเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่มีนามว่า ฉีเหมย มีความสามารถมากมาย ไม่ว่าจะด้านอักษร ดนตรี การเย็บปักถักร้อย รวมถึงฝีมือการทำอาหารด้วย ถือได้ว่าท่านแม่เป็นหญิงงามที่เพียบพร้อมมากๆ ในยุคสมัยนี้
จนวันหนึ่งระหว่างอาหารมื้อเช้า ช่วงนั้นรู้สึกไม่มีอะไรทำแล้วนอกจากกิน เล่นและนอนให้สมกับที่เป็นเด็กน้อยผู้หนึ่งเช่นเด็กปกติ เพราะจากการที่คิดใคร่ครวญมาหลายวันจนพบกับความเบื่อหน่าย และหาลองอยากทำอย่างอื่นบ้าง จึงตัดสินใจเข้าไปออดอ้อนขอให้ท่านทั้งสองสอนหนังสือให้ด้วยวัยขวบครึ่ง แต่เพราะภาษาที่นี่ซับซ้อนทำให้ใช้เวลานานมากกว่าที่จะเข้าใจ
"ท่านพ่อท่านแม่ ข้าอยากเรียนหนังฉือขอรับ" หญิงสาวในร่างเด็กน้อยวัยขวบครึ่งเอ่ยพร้อมทั้งรีบใช้สายตาออดอ้อนอย่างน่ารักมองดูพวกท่านอย่างไร้เดียงสา เผื่อท่านทั้งเองเอ่ยจะรับปากตนเร็วๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของลูกชายตัวน้อย ทำให้คนทั้งสองต่างนิ่งอึ้งไปกับสายตาน่ารักที่มองมาด้วยไม่คิดว่าเด็กวัยแค่นี้จะอยากเรียนหนังสือตำราเสียแล้ว ทั้งสองจึงได้แต่พยักหน้ารับปากว่าจะสอนให้ แม้จะกังวลอยู่นิดหน่อยก็ตามเพราะกลัวว่าสมองน้อยๆของบุตรชายจะรับไม่ไหว แต่เมื่อลองถามกลับไปอีกครั้งว่าต้องการจริงหรือไม่คนก็ยังคงพยักหน้าอย่างจริงจังที่เห็นได้ยากจากเด็กตัวเท่านี้จึงตัดสินใจพยักหน้ารับปากออกไป แต่ด้วยความรักใคร่เอ็นดูบุตรรักตัวน้อย จึงไม่ทันได้เห็นใบหน้าเจ้าเล่ห์แกมซุกซนบนใบหน้าน่ารักไร้เดียงสานั้นตอนที่พยักหน้ารับปาก
หึหึ ที่นี่เด็กน้อยหรือเยว่อวี้หลงจะได้ไม่เบื่อแล้ว มีอย่างอื่นให้ทำนอกจากกลั่นแกล้งพวกสาวใช้เล่นเสียที...!
'ล้อเล่นน่าเยว่อวี้หลงคนนี้ออกจะเป็นเด็กดี'
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เยว่อวี้หลงก็ได้เรียนหนังสือตลอดช่วงเช้ากับท่านแม่มาเกือบปี เพราะท่านพ่อไม่ค่อยว่าง จึงเป็นท่านแม่ที่คอยสอนสั่งจนตอนนี้สามารถอ่านออกเขียนได้บ้างแล้วแม้จะยังเขียนไม่สวยก็ตาม ด้วยความที่เป็นคนประเภทที่เมื่อมองหรืออ่านสิ่งใดที่ตนได้พบเห็นเพียงครั้งเดียวก็สามารถจดจำได้ทันที และเพราะจำได้ว่าตัวหนังสือพวกนี้มีส่วนคล้ายกับที่ท่านตาเมื่อชาติก่อนเคยสอนมาบ้างแม้จะไม่เหมือนทั้งหมดก็ตาม แต่เนื่องจากพู่กันเขียนยากไปสำหรับเด็ก เยว่อวี้หลงจึงวานให้สาวใช้ไปหาถ่านไม้มาให้และนำมาเหลาให้คลายแท่งดินสอเขียนแทนพู่กัน
ช่วงสายของบางวันก็มานั่งดูท่านพ่อเดินหมากกับท่านอาเผิงที่มาเยี่ยม ซึ่งท่านเปิดสำนักคุ้มภัยขนาดกลางที่อยู่ใกล้ๆ เป็นประจำ จนตอนนี้เด็กน้อยมั่นใจว่าสามารถเดินหมากได้หลังจากมองดูอยู่หลายครั้ง จึงขอให้พวกท่านสอนให้พร้อมกับสามารถเดินหมากได้อย่างสูสีกับท่านเลยทีเดียวแม้ว่าคนตรงข้ามจะให้แต้มต่อตนก็ตาม
ส่วนช่วงบ่ายนั้นคือเวลาว่าง จึงมักใช้ช่วงเวลานี้เดินเล่นและสำรวจพื้นที่จนมาถึงห้องหนังสือ จึงผลักเข้าไปทันทีอย่างไม่ลังเลปล่อยให้ท่านแม่และพวกสาวใช้ทำของว่างและวิ่งวุ่นตามหาตนไปอยู่พักหนึ่ง
เมื่อเข้ามาในห้องหนังสือแล้วมองสำรวจห้องนี้ไปรอบๆถือได้ว่ามีตำราอยู่เยอะมาก จึงอดใช้ดวงตามองด้วยสายตาเป็นประกาย ไม่คิดว่าท่านพ่อจะสะสมหนังสือไว้มากมายถึงเพียงนี้
เยว่อี้หลงจึงรีบวิ่งไปหยิบมาอ่านจากชั้นล่างสุดก่อนเนื่องจากยังหยิบชั้นที่สูงกว่านั้นไม่ถึง หลังจากนั้นช่วงบ่ายของทุกวันหรือบางวัน จึงมักจะขลุกอยู่ที่นี่ไม่ได้ออกไปไหนจะมีบ้างบางครั้งที่ท่านพ่อจะเข้ามาอธิบายในบางเรื่องที่ไม่เข้าใจให้ฟังและท่านแม่ก็จะตามเอาของว่างมาให้ตลอดด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าบุตรชายจะหิวโหย
ส่วนในช่วงเย็นก็เรียนดนตรีกับท่านแม่อีกครั้ง ไม่ว่าจะดีดพิณ หรือเป่าขลุ่ย ซึ่งสิ่งที่ถนัดที่สุดคือการเป่าขลุ่ยแม้จะไม่ได้จับมานานแล้วก็ตาม เป็นเพราะเคยเรียนมาแล้วเมื่อตอนยังอยู่ในร่างเดิม
หลังจากที่อ่านหนังสือศึกษาเรียนรู้จากตำราทั้งหลาย อาทิ การเมืองปกครองของยุคนี้ กลศึกสงคราม ค่ายกลต่างๆ ปรัชญา(เรียนทำไมเนี่ย?) ดนตรี การแพทย์ สมุนไพรต่างๆ ทั้งใช้รักษาและมีพิษเหล่านี้ มีทั้งเรื่องทั่วไปและชั้นสูงอย่างเพลิดเพลินตลอดสองปี ไม่ว่าในห้องหนังสือของท่านพ่อหรือร้านหนังสือที่วานให้พ่อบ้านไปหาซื้อมาให้ แต่ไม่ลืมที่จะคอยฝึกร่างกายให้ยืดหยุ่นและแข็งแรงเผื่อในอนาคตตามขนาดของร่างกาย เพราะทราบได้ทันทีแล้วว่ายุคสมัยนี้ต้องทำอะไรด้วยตนเอง ไม่ก็ให้บรรดาข้ารับใช้หรือผู้อื่นทำให้ แม้จะแน่ใจว่าในอนาคตต้องได้ปรับใช้อย่างแน่นอน เพราะไม่มีใครที่จะทำทุกอย่างแทนเราได้ตลอดและไม่สะดวกสบายเหมือนอย่างชาติก่อนที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกแทบทุกอย่าง
ชีวิตใช่ช่วงนั้นของเยว่อวี้หลงดำเนินเช่นนี้มาจนกระทั่งอายุได้สี่ขวบปี ระหว่างที่กำลังเดินทางไปเยี่ยมท่านตาที่เมืองหวง โดยมีท่านพ่อที่ขี่ม้าอยู่ด้านนอก ส่วนตนและท่านแม่นั่งอยู่ภายในรถม้า พร้อมคนคุ้มกันอีกประมาณเจ็ดแปดคนมุ่งหน้าข้ามเขตช่องเขาที่คับแคบ ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าเสี่ยงโดนโจรดักปล้นมากเลย เพราะเป็นมันภูมิศาสตร์ชั้นเยี่ยม ว่าแล้วก็ได้ยินเสียงดาบกระบี่ปะทะกันจากด้านหน้าห่างออกไปประมาณหนึ่งลี้ และมีกลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งมาตามลมอีกด้วยแสดงว่ามีคนตายแน่แล้ว..!
เคร้ง เคร้ง...!
"!!"
.....
สาเหตุของเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากอู่หม่าจิ้งเจ้าสำนักคุ้มกันภัยอู่หลอแห่งเมืองฉางอาน ได้รับการไว้วานจากสหายผู้หนึ่ง เพื่อทำการคุ้มกันของสำคัญด้วยตนเอง เพราะของดังกล่าวจะต้องนำไปส่งให้ถึงมือของผู้รับอย่างเป็นความลับมิอาจให้ผู้ใดล่วงรู้ได้ ขนาดตนยังมิอาจล่วงรู้ได้ว่าภายในมีของสิ่งใดอยู่กันแน่ ดังนั้นจึงต้องคัดเลือกคนในการคุ้มกันเป็นพิเศษ
เมื่อออกเดินทางมาแล้วกว่าสองวันเส้นทางก็ราบรื่นปลอดภัยดี จนกระทั่งมาถึงช่องเขาพยัคฆ์ก็ปรากฎชายชุดดำเกือบยี่สิบคนกระโดดเข้ามาขวางเส้นทางไว้ ทำให้ตนและลูกน้องในขบวนต้องหยุดชะงักม้าทันที
ฮี้...............ฮี้.............!!
"พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงเข้าขวางเส้นทางพวกข้าเช่นนี้" หลังจากที่ตั้งสติได้ หม่าจิ้งก็กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกังวานอย่างเคร่งขรึมสมกับที่เป็นเจ้าของสำนักคุ้มกันภัยที่มีชื่อเสียงและมากประสบการณ์แห่งเมืองฉางอาน
"ฮ่าๆ พวกข้าเป็นใครรึ เหตุใดต้องบอกพวกเจ้าด้วย" ชายชุดดำคนหนึ่งท่าทางจะเป็นหัวหน้ากลุ่มดังกล่าวเอ่ยขึ้นอย่างเหยียดหยามด้วยน้ำเสียงระคายหู
"เจ้า..!" เสียงชายผู้หนึ่งกำลังจะด่าออกไปด้วยความโมโห แต่ก็ถูกหม่าจิ้งตบบ่าให้เงียบเสียงไว้ก่อนหลังจากที่ลงจากหลังม้า
"ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าต้องการสิ่งใด หากไม่ก็หลีกทางให้พวกข้าเสีย"อู่หม่าจิ้งเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นถึงแม้ตนจะเริ่มจับเค้าลางได้แล้วว่าที่พวกนั้นมาขวางทางตนคงไม่พ้นสิ่งของที่ตนคุ้มกันมาอย่างแน่นอน
"อู่หม่าจิ้งเอ่ยอู่หม่าจิ้ง เจ้านี่ฉลาดจริงๆ ใช่! ที่ข้ามาขวางทางเจ้าเช่นนี้เพราะข้าต้องการของสิ่งนั้นจากเจ้า..!" ชายชุดดำคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้งหรือแท้จริงแล้วคือเหว่ยเสียนฉือมือขวาของประมุขแห่งสำนักเมฆม่วงของฝ่ายตน ที่ได้รับคำสั่งจากท่านประมุขของตนให้นำของชิ้นนี้กลับไปให้ท่านให้จงได้ ตนจึงรับคำสั่งจึงรีบรุดมาจัดการพร้อมกับคนในสำนักร่วมยี่สิบคนเพราะอู่หม่าจิ้งนั้นเป็นยอดฝีมือแถมยังมีลูกน้องที่มีฝีมือติดตามอีกด้วยจึงไม่อยากให้งานนี้ผิดพลาด
"เห็นทีข้าคงให้ท่านไม่ได้ เพราะของชิ้นนี้สหายข้าผู้หนึ่งไหว้วานมา"หม่าจิ้งหลังจากที่พูดจบก็เกรงกำลังพร้อมสั่งให้ทั้งหมดระวังตัวอย่างเต็มที่ ซึ่งตนมั่นใจว่าต้องมีการปะทะกันเกิดขึ้นแน่นอนในเมื่อตนไม่ยอมมอบของให้อีกฝ่าย
"เหอะ! ในเมื่อเจ้าไม่ยอมมอบของดีๆ เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้ายก็แล้วกัน พวกเจ้าฆ่า..!" หลังกล่าวจบก็สั่งการให้ชายชุดดำที่เหลือเข้าจัดการกับฝ่ายตรงข้ามทันที
ทั้งสองฝ่ายแม้มีจำนวนที่ต่างกันแต่ด้วยความที่ฝ่ายของหม่าจิ้งมีประสบการณ์เช่นนี้อยู่บ่อยครั้งจึงรับมือได้อย่างชำนาญแม้อาจจะมีบาดเจ็บบ้าง แต่ถ้าหากเวลายืดเยื้อไปอาจมีผู้คนล้มตายได้ จึงรีบเข้าไปจัดการชายชุดดำคนหนึ่งที่กำลังเงื้อดาบจากด้านหลังฟันเข้าใส่ลูกน้องของตนที่ใกล้พลาดท่าเสียที จนศีรษะหลุดกระเด็น
"ขอบคุณเจ้าสำนัก" เหวินตงกล่าวขอบคุณด้วยใบหน้าซีดเซียวจากการเสียเลือด
"ไม่เป็นไร ระวังตัวให้มากขึ้น" พอกล่าวจบหม่าจิ้งก็หันไปจัดการกับชายชุดดำอีกสองคนที่เข้ามาหมายจะจัดการตนทันที ด้วยการเกร็งลมปราณผ่านกำลังแขนก่อนวาดดาบด้วยความดุดันและรุนแรงจนทำใหทั้งสองตกตายแทบจะทันที
เหว่ยเสียนฉือเมื่อเห็นคนของตนไม่สามารถจัดการกับอู่หม่าจิ้งได้ตนจึงเข้าไปจัดการด้วยตนเอง
ดังนั้นทั้งสองคนจึงห้ำหั่นกันอย่างเกรี้ยวกราดดุดัน คนหนึ่งใช่เพลงกระบี่ที่เกรี้ยวกราด อีกคนก็ใช้เพลงดาบที่ดุดันและรวดเร็ว ทั้งสองปะทะกันเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยามจนกำลังถดถอยลงไปมาก ส่วนตามร่างกายก็ปรากฏแผลน้อยใหญ่เสื้อผ้าฉีกขาดจนกระทั่งได้ยินเสียงรถม้าและม้าวิ่งใกล้เข้าในระยะหนึ่งลี้จึงถอยห่างเพื่อดูหยั่งเชิง เพราะกลัวว่าจะเป็นบุคคลที่สามที่อาจจะเข้ากลุ่มล้อมพวกตน
จึงพร้อมใจกันหันไปมองบุคคลที่สามด้วยความสงสัยพลางหายใจหอบด้วยความเหนื่อย โดยที่แทบไม่ได้สนใจผู้คนโดยรอบที่ตอนนี้มีทั้งคนตายและคนเจ็บของแต่ละฝ่าย..!!
หลังจากที่รถม้าหยุดลงเยว่อวี้หลงจึงอาศัยจังหวะนี้เปิดม่านออกไปดูว่าเบื้องหน้าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ จึงได้พบกับการต่อสู้ที่เรียกได้ว่า ไม่มีการใช้สลิงไม่มีตัวแสดงแทน เออ..เรียกสั้นๆ ว่าสุดยอดแล้วกัน เป็นการต่อสู้ที่เหมือนในหนังกำลังภายในของจีนที่ใช้จำพวกลมปราณได้ ทำให้อดมองด้วยดวงตาเป็นประกายปนความตื่นเต้น ก็แหมมันเป็นการต่อสู้ที่เร้าใจจริงๆ นี่น่า..!
"หลงเอ๋อร์ เจ้ามองสิ่งใดอยู่รึ" เสียงหวานไพเราะของท่านแม่ ทำให้เด็กน้อยได้สติก่อนจะรีบปิดม่านลงอย่างรวดเร็ว แล้วปรับสีหน้าไร้เดียงสาตามปกติแล้วหันกลับมาทางท่านแม่ผู้อ่อนหวานทันทีด้วยท่าทางตื่นกลัวแบบฉบับเด็กน้อยผู้น่าสงสาร
"ข้า..ข้าเห็นผู้คนสู้กันและมีคนตายด้วยท่านแม่"เสียงสั่นเครือของบุตรชายทำให้นางต้องรีบกอดปลอบอย่างอ่อนโยน แม้นางเองพอมองเห็นยังรู้สึกตกใจเช่นกัน โดยไม่ทันเห็นสีหน้าสำนึกผิดและไม่ได้มีความหวาดกลัวแต่อย่างใดของคนถูกปลอบแม้แต่น้อย เยว่อวี้หลงมักรู้สึกผิดเสมอที่ต้องแสดงเป็นเด็กน้อยผู้ขลาดกลัวให้ผู้เป็นมารดาคอยปลอบโยนเช่นนี้
กุบกับ กุบกับ!!
เสียงของฝีเท้าม้าดังขึ้นขัดบรรยากาศภายในรถม้าแทบจะทันทีพร้อมกับฝ่ามือเรียวยาวของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีและบิดา ทำให้ทั้งสองหันไปมองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาพร้อมกัน
"พวกเจ้าทั้งสองคนห้ามส่งเสียงเด็ดขาดหรือออกไปเบื้องนอก เพราะเบื้องหน้ามีการปล้นและอันตราย แถมยังมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นภาพที่ไม่น่าดูนัก..! น้องหญิงรบกวนเจ้าดูแลลูกเราด้วยนะ" ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนปนความเห็นใจที่ทั้งสองต้องมาเห็นภาพเหล่านั้น ถึงชายหนุ่มจะเห็นภาพคนตายมาจนชินตาแล้วแต่ยังรู้สึกไม่ดีกับภาพคนตายเหล่านั้นเลย
"เจ้าค่ะท่านพี่ ว่าแต่เหตุใดโจรร้ายถึงกล้าปล้นตอนกลางวันเช่นนี้เจ้าค่ะ ช่างไม่กลัวทางการเสียเลย" นางกล่าวตอบพลางพยักหน้าพยายามให้ตนดูเข้มแข็งจะได้ไม่ทำใหบุตรน้อยของนางต้องหวาดกลัวไปด้วย
"อืม รู้สึกโจรพวกนั้นจะไม่ใช่โจรธรรมดา เพราะวิชาฝีมือที่ใช้จากที่สังเกตต้องเป็นคนในยุทธภพฝ่ายอธรรมหรือพวกนอกรีตแน่นอน"เยว่เทียนฟงเอ่ยขึ้นหลังจากที่วิเคราะห์กับเยียนจงคนสนิทของตนแล้วก่อนที่จะมายังรถม้า และได้สั่งคนของตนออกไปช่วยผู้ที่ถูกปล้นด้วยว่าบาดเจ็บมากน้อยเพียงใด แม้ตอนแรกจะไม่อยากยุ่งก็ตาม
"เช่นนั้นหรือเจ้าค่ะ..!" นางกล่าวออกมาด้วยความตกใจ เพราะนางเคยได้ยินมาว่าคนในยุทธภพนั้นน่ากลัวยิ่งนัก คนพวกนั้นฆ่าคนโดยที่ไม่กลัวเกรงกฎหมายใดๆ เลย
"อืม เช่นนั้นข้าไปดูพวกนั้นก่อน เจ้าและหลงเอ๋อร์ก็อยู่ในรถม้าก็ระวังตัวด้วย หืม..หลงเอ๋อร์เล่า" หลังจากที่พูดคุยเสร็จกำลังจะปิดม่านลง ค่อยสังเกตว่าบุตรชายตนนั้นหายไปแล้ว..!
"ข้าจะระวังตัว ลูกรึ..ก็นั่งอยู่ที่ด้านข้างไม่ใช่รึ ตายแล้ว..หลงเอ๋อร์หายไปที่ใดเจ้าค่ะท่านพี่..!" หลังจากที่นางตอบเสร็จ จึงก็หันไปมองดูว่าบุตรชายยังอยู่รึไม่ จากนั้นเสียงหวานไพเราะก็ร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อรู้ว่าบุตรชายของนางหายตัวไป..!
"เจ้าอยู่แต่ในนี่ห้ามออกมาเด็ดขาด เสี่ยวหง หมิงสง ดูแลฮูหยินของข้าด้วย" ก่อนจะปิดม่านรีบกำชับนางอีกรอบ พร้อมกับเรียกสาวใช้และบ่าวชายให้มาคุ้มกันฮูหยินตน
"เจ้าค่ะ/ขอรับ" ทั้งสองรับคำอย่างหนักแน่น ชายหนุ่มจึงพยักหน้าให้อย่างวางใจแม้จะยังกังวลจนต้องขมวดคิ้วก็ตามเพราะรู้ดีว่าทั้งสองก็มีฝีมือพอตัว ก่อนจะรีบกระตุ้นม้าไปยังบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวป่วนก็โดนจับไปเป็นตัวประกันเสียแล้ว..!!
หลังจากที่เห็นท่านพ่อเปิดม่านและเริ่มบทสนทนา ก็อาศัยจังหวะนั้นแอบย่องออกไปจากรถม้าอย่างเงียบเฉียบและกระโดดลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะแอบเดินตามพวกท่านอาเยียนจงคนสนิทและคนคุ้มกันของท่านพ่อไปด้วยอย่างเงียบๆ เพราะบริเวณช่องเขานี้มีแต่หินและต้นไม้เล็กๆ เท่านั้นบ้างประปรายและดูจากความสูงของภูเขาหินแล้วยากที่จะปีนป่ายนอกจากจะมีวิชากำลังภายในทีสูงหรือสลิงเท่านั้นถึงจะปีนขึ้นไปได้อย่างปลอดภัย ซึ่งอย่างแรกตนทำไม่ได้อย่างแน่นอนเพราะยังไม่เคยฝึกมาก่อน ส่วนอย่างหลังคงต้องคิดหนักเหมือนกันด้วยขนาดร่างกายในตอนนี้ พูดแล้วก็อยากปีนเขาขึ้นมาทันทีแหะ..แต่ในอนาคตเจ้าตัวได้ปีนเขาแน่นอนแม้จะไม่ใช่แบบที่คิดไว้ก็ตาม
หลังจากที่เดินมาได้สักพักก็สะดุดเข้ากับของบางอย่างจนเกือบที่จะล้มลงถนนบนพื้นหิน หลังจากที่ยืนทรงตัวได้ก็ก้มลงมองอย่างงงๆ กับของชิ้นนั้น ปรากฏว่าตรงบริเวณพุ่มไม้เล็กๆ ที่ตนกำลังเดินมาแอบดูเหตุการณ์นั้นมีกล่องไม้ที่วิจิตรงดงามแกะสลักไว้ด้วยมังกรสีดำและสีทองคาบแก้วอยู่สองตัวซึ่งกำลังจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอยู่จึงหยิบขึ้นมาดู พบว่ากล่องใบนี้ไม่ได้หนักอย่างที่ตนคิด..!!
ทั้งสองฝ่ายเหลียวมองผู้มาใหม่อย่างระแวดระวัง เพราะไม่แน่ใจว่าผู้มาใหม่นั้นมาดีหรือมาร้ายและต้องการสิ่งใดกันแน่ ซึ่งผู้ที่นำหน้ามานั้นมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำแค่มองดูก็รู้แล้วว่าเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่งอย่างแน่นอนจากประสบการณ์ของทั้งคู่ จึงลอบเกร็งกำลังลมปราณขึ้นเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน
เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุเยียนจงก็กวาดตาสังเกตมองรอบหนึ่ง พบว่าฝ่ายชายชุดดำบาดเจ็บล้มตายเยอะกว่าผู้เสียหายหรือก็คือทางสำนักคุ้มกันภัยอู่หลอแห่งเมืองฉางอานที่บางคนบาดเจ็บเล็กน้อยบางคนก็สาหัสเอาเรื่องด้วยความที่ฝีมือยังไม่เข้มแข็งพอจะรับมือหลายคน จึงหันไปพยักหน้ากับคนที่ตามเข้าไปช่วยเหลือทันที
"ท่านคงเป็นอู่หม่าจิ้งเจ้าสำนักคุ้มกันภัยอู่หลอแห่งฉางอาน ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงถูกปล้นเช่นนี้รึ" เหยียนจงยกมือคารวะหม่าจิ้งก่อนที่จะสอบถามถึงเรื่องราวคร่าวๆ ขึ้นอย่างสุขุมไม่ได้หวาดกลัวพวกชายชุดดำเหล่านั้นแต่อย่างใด ทำให้หม่าจิ้งและพรรคพวกที่เหลือลอบชื่นชมความห้าวหาญของคนผู้นี้อยู่ในใจ
"ใช่ ข้าอู่หม่าจิ้ง อย่างที่ท่านเห็นพวกข้าถูกดักปล้นจากชายชุดดำพวกนี้ ว่าแต่ท่านคือ...?" หม่าจิ้งทางหนึ่งตอบทางหนึ่งหันไปมองคนของตนว่าเป็นใช่ไรบ้าง แล้วก็ต้องลอบถอนหายใจเมื่อพบว่าคนของตนมิได้มีใครตาย แค่บาดเจ็บเท่านั้น โชคดีที่คนกลุ่มนี้เข้ามาช่วยไว้ได้ทันเวลา ทำให้บางคนที่ใกล้พลาดท่ารอดมาได้..!
"อ่า ข้าเหยียนจง..." ยังไม่ทันที่เหยียนจงได้กล่าวจบ ก็ต้องแปลกใจกับสีหน้าตกตะลึงปนแข็งกร้าวของหม่าจิ้งที่มองไปทางหัวหน้าโจรร้าย จึงค่อยได้ยินเสียงพวกลูกน้องของตนขานเรียก
"พี่เหยียนจงแย่แล้วคุณชายโดนจับเป็นตัวประกัน" พอฟังจบก็รีบหันไปมองด้วยความตื่นตกใจทันที ด้วยไม่คิดว่าคุณชายจะแอบออกมาจากรถม้ามายังที่เกิดเหตุด้วย จนต้องถูกจับเป็นตัวประกันเช่นนี้ ไม่รู้ว่าพอนายท่านมาเห็นจะเกิดอะไรขึ้นกับโจรผู้นั้น
ส่วนคนที่ถูกเพิกเฉยอย่างเหว่ยเสียนฉือพอมีเวลาพักพละกำลังก็มีเพิ่มขึ้นอีกนิด จึงมีเวลาสำรวจคนในสำนักของตนว่าเหลือมากน้อยเพียงใด จึงพบว่าถูกจัดการไปเกือบหมดจากกลุ่มผู้ที่มาทีหลัง จนหันไปสำรวจทางหนีจึงสังเกตุเห็นเด็กน้อยผู้หนึ่งซึ่งกำลังสำรวจกล่องไม้ที่มันต้องการพอดี จึงใช่วิชาตัวเบาทะยานเข้าไปหาเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว พร้อมเอามาเป็นตัวประกันทั้งคนทั้งของ..!
หวืดดดดด!!
"เฮ้ย..!" เด็กชายร้องขึ้นอย่างตกใจด้วยน้ำเสียงเล็กๆ เพราะอยู่ๆ ก็ถูกยกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็วได้ไม่ทันตั้งตัว เพราะมัวแต่สำรวจกล่องไม้เจ้าปัญหา จนลืมสังเกตรอบตัวไปว่าตนนั้นอยู่ที่ไหนในตอนนี้..!
"ฮ่าๆ ข้าได้ของที่ต้องการแล้ว ส่วนเด็กน้อยนี้ข้าขอไปเป็นตัวประกันล่ะกัน ฮ่าๆๆ" เสียงพูดอย่างระคายหูเอ่ยขึ้นอย่างดีใจที่ได้ของที่ต้องการสมใจ
"หืมม?" ชายวัยกลางคนที่ปิดบังใบหน้าลอบขมวดขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเด็กน้อยคนนี้ไม่ได้ตัวสั่นอย่างหวาดกลัวคนตายหรือเลือด แม้กระทั่งตนเองที่จับไว้เป็นตัวประกัน ซึ่งเด็กปกติควรที่จะร้องไห้หาบิดามารดาแล้ว แต่เด็กน้อยนี่กลับตกใจเพียงแค่ถูกมันยกตัวขึ้นมาไม่ทันตั้งตัวเท่านั้น
"ปล่อยบุตรชายข้า บัดเดี๋ยวนี้..!!"
ก่อนที่จะสลัดความคิดนี้ออกไปจากสมอง เพราะนี้ก็เสียเวลามากแล้ว จึงส่งสัญญาณให้คนที่เหลืออยู่คอยขัดขวางคนพวกนั้นไว้ เพราะตนได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งตะโกนขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดด้วยลมปราณระดับสูง มันจึงไม่รอช้ารีบใช้วิชาตัวเบาทะยานหนีไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเด็กน้อยในอ้อมแขนที่สะดุ้งกับเสียงนั้น ก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่ายไม่สมอายุแม้แต่น้อยทั้งๆ ที่ถูกจับเป็นตัวประกัน..!
'เจ้ากล่องไม้บ้านี้นำความฉิบหาย(ซวย)มาให้โดยแท้...!!'
เยว่อวี้หลงอยากตะโกนก้องกับความอยากรู้อยากเห็นที่เกิดขึ้นจนติดร่างแหออกไปจริงๆ หากแต่ทำได้เพียงในใจเท่านั้นแหละ
.............................
...................
............
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!