NovelToon NovelToon

จักรพรรดิเพลิงทะยานสวรรค์

ตอนที่ 1 กำเนิดอัจฉริยะเหนือสวรรค์

ณ โลกใบเล็กใบหนึ่งที่ลอยเคว้งอยู่ท่ามกลางอวกาศอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทั่วทั้งตัวอาบย้อมไปด้วยเลือดและบาดแผลกำลังนอนหายใจโรยรินนอนอยู่ในก้นเหวลึก 

"ทะ..ท่านแม่…ข้าต้องกลับไป..ข้าต้องกลับไปหาท่านแม่" 

เด็กหนุ่มที่นอนหายใจโรยรินอยู่บนพื้น บ่นพึมพำเสียงเบาพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นด้วยความทุลักทุเล

ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มคนนี้มีนามว่า "ฉินหยาง" อายุ 15 ปี ไว้ผมสีดำขลับยาวสลวยถูกปล่อยยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าคมเข้ม คิ้วโค้งดุจคันศร จมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้า ดวงตาแวววาวสีดำสามารถทำให้ผู้พบเห็นไม่ว่าจะเพศใดสั่นไหวราวกับต้องมนต์สะกด

แต่เขากลับสวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ธรรมดาราวกับชนชั้นสูงที่แต่งตัวเป็นคนไร้บ้าน เขาอาศัยอยู่ในบ้านไม้เล็ก ๆ กับมารดาเพียงลำพังสองคน แต่อยู่มาวันหนึ่งมารดาของเขาเกิดล้มป่วยกระทันหันนอนสิ้นสติไม่รู้สึกตัว ฉินหยางที่ต้องการช่วยเหลือมารดาของตน

จึงได้ตัดสินใจออกเดินทางขึ้นเขาเพื่อตามหาสมุนไพรตามตำนานที่ว่ากันว่าสามารถรักษาได้ทุกโรค เพื่อหวังว่าจะช่วยรักษาอาการของมารดาตนได้ แต่ในระหว่างทางขึ้นเขาเพื่อตามหาสมุนไพรนั้น เขาเกิดพลัดตกลงไปในเหวลึกอย่างไม่คาดคิด

แต่โชคยังดีที่บริเวณปากเหวแห่งนั้น มีเถาวัลย์งอกเงยอยู่เป็นจำนวนมากจึงช่วยลดแรงกระแทกลงไปได้ส่วนหนึ่งแต่ถึงอย่างนั้นอาการของเขาก็ยังเรียกว่าสาหัส ขาและเเขนของเขาหักไปหนึ่งข้าง เขานอนหายใจโรยรินอยู่กับพื้นมาราว 2 ชั่วยาม หลังจากนั้นอาการของเขาก็เริ่มทรุดหนักลงเรื่อย ๆ จากการสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมาก เขาได้แต่ภาวนาหวังให้ใครสักคนผ่านมาเห็น

แต่นั่นมันก็เป็นได้แค่เรื่องเพ้อฝัน สถานที่เเห่งนี้คือก้นหุบเหวลึกคงไม่มีคนสติดีที่ไหนลงมาเดินเล่นผ่านไปผ่านมาเเถวนี้ เวลาผ่านเลยไปอีก 1 ชั่วยาม เขายังคงนอนนิ่งรอปาฏิหาริย์แต่ร่างกายของเขากลับเริ่มหายใจช้าทีละนิด

"ทะ..ท่านแม่..ท่านแม่ข้า…" 

ฉินหยางพยายามเปล่งเสียงเพื่อกล่าวบางอย่างออกมาแต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ สติของเขาเริ่มเลือนลาง เปลือกตาของเขาเริ่มปิดลงที่ละน้อย ลมหายใจของเขาเองก็แผ่วจางลงทุกขณะ แต่ในช่วงเวลาที่ลมหายใจสุดท้ายของเขากำลังจะหมดลงอยู่นั้น จู่ ๆ ท้องฟ้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลง สภาพอากาศเหนือบริเวณที่ฉินหยางนอนอยู่เกิดลมกรรโชกรุนเเรง เมฆสีดำทมิฬพัดปกคลุมเหนือท้องฟ้าจนมือสนิท เกิดฟ้าร้องฟ้าผ่าดังกึกก้องสนั่นไปทั่วท้องฟ้าราวกับจะกู่ก้องร้องตะโกนไปถึงสรวงสวรรค์

ตึก ๆ!! ตึก ๆ!!

จู่ ๆ ก็มีเสียงเต้นเป็นจังหวะของบางสิ่งดังขึ้นมาภายในร่างกายของฉินหยาง จุดตันเถียรของเขาที่เเต่เดิมว่างเปล่ากลับมีจุดแสงเล็ก ๆ ก่อตัวขึ้น พร้อมทั้งสั่นกระเพื่อมและปล่อยระลอกคลื่นออกมาห่อหุ้มฉินหยางเอาไว้

ตึก ๆ! ตึก ๆ! ตึก ๆ! 

เสียงดังกล่าวยังคงดังขึ้นเป็นจังหวะถี่ขึ้นและถี่ขึ้น บรรยากาศรอบตัวของฉินหยางเริ่มหมุนวนเกิดเป็นกระแสคลื่นน้ำวนดูดซับเอาพลังงานฟ้าดินเข้าสู่ร่างดายของฉินหยางอย่างบ้าคลั่ง

ตู้ม!! ตู้ม!! ตู้ม!! ตู้ม!!

เสียงระเบิดดังขึ้นที่ภายในร่างกายของเขาดังขึ้นอย่างต่อเนื่องและปลดปล่อยคลื่นพลังออกมาสาดซัดไปทั่วบริเวณ

 ดูดซับลมปราณ ขั้นที่ 1

 ดูดซับลมปราณ ขั้นที่ 2

 ดูดซับลมปราณ ขั้นที่ 3 

 ดูดซับลมปราณ ขั้นที่ 4

จนมาหยุดอยู่ที่ระดับดูดซับลมปราณขั้นที่ 5 พายุสายฟ้าที่โหมกระหน่ำเสียงดังกึกก้องไปทั่ว 7 ชั้นฟ้า 5 ชั้นดินราวกับเป็นการเฉลิมฉลองต่อการการถือกำเนิดของเทพราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่ ชาวบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต่างตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พากันออกจากบ้านมารวมตัวเพื่อมายืนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความกังวล ด้วยความกลัวจะมีภัยพิบัติใหญ่ถือกำเนิด

นอกเหนือจากชาวบ้านที่ยืนดูเหตุการณ์ด้วยความกังวลใจแล้ว ในสถานที่ที่มืดสลัวเเละเงียบสงัดเเห่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าอยู่ใกล้หรือไกล เห็นร่างเลือนรางของชายคนหนึ่งนั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่ด้วยความเงียบสงบ เหมือนจะรับรู้อะไรได้บางอย่างเปลือกตาเขาขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ปรากฏให้เห็นดวงตาสีน้ำทะเลที่เปล่งประกายวาววับดูราวกับเป็นอัญมณีกำลังจองมองไปยังทิศทางทิศที่เกิดเหตุการณ์

"อัสนีร้องคำรน เมฆฝนพัดแปรปรวน หอมรัญจวนปราณฟ้าดิน หนึ่งเดียวจุติมลายสิ้นผืนดินพสุธา" 

"นี่มันคือปรากฏการณ์การถือกำเนิดของอัจริยะที่จะสั่นคลอนโลกทั้งใบ ใครกันที่เป็นอัจฉริยะเหนือสวรรค์คนนั้น' 

ชายลึกลับเอ่ยขึ้นกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหลับตาขยายจิตสัมผัสกวาดหาเพื่อรับรู้เหตุการณ์ตรงหน้า และพบเข้ากับฉินหยางที่กำลังหมดสติอยู่กับพื้นโดนมีม่านแสงจาง ๆ ปกคลุมตัวเขาอยู่

" เด็กคนนี้งั้นรึ..หืม

..เดี๋ยวก่อน นี่มันกลิ่นอายปราณศักดิ์สิทธิ์แถมยังเป็นปราณเพลิง หรือว่าเด็กคนนี้จะ…" 

ฮ่า ๆ ๆ ๆ !! นี่มันช่างวิเศษจริง ๆ สวรรค์ยังคงไม่ทอดทิ้งข้างั้นสินะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ "

หลังจากกวาดจิตสัมผัสประเมินฉินหยางแล้ว จู่ ๆ ชายลึกลับดวงตาสีฟ้าก็หัวเราะออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

หลังจากหัวเราะอยู่สักพักชายลึกลับดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ก่อนจะส่งกระแสเสียงหาฉินหยาง

"เด็กน้อย..เด็กน้อยเจ้าได้ยินเสียงข้าหรือไม่" 

เสียงของชายลึกลับดังขึ้นอยู่ภายในความคิดของฉินหยาง น้ำเสียงของเขาฟังดูเลื่อนลอยเหมือนดังขึ้นมาจากสถานที่ไกลแสนไกล เขาเอ่ยเรียกซ้ำราวสามครั้งฉินหยางจึงเริ่มรู้สึกตัวและตื่นจากภวังค์

เขาตื่นมาด้วยความรู้สึกสับสนประดังประเดเข้ามาจนเขาต้องเอามือกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด

ก่อนจะหมดสติไปเขาจำได้เพียงว่าเขาได้เกิดอุบัติเหตุพลัดตกลงมาในก้นเหวลึกและคงคิดว่าคงไม่มีทางรอดแล้ว

"เด็กน้อย เจ้าจะตอบข้าได้หรือยัง เจ้าได้ยินเสียงข้าหรือไม่" 

เสียงของชายลึกลับดังขึ้นในความคิดของฉินหยาง น้ำเสียงของเขาเริ่มแฝงความไม่พอใจเล็ก ๆ ในด้านของฉินหยางที่จู่ ๆ ก็มีเสียงใครบางคนดังขึ้นมาก็สะดุ้งตัวลุกขึ้นด้วยความตกใจในทันที

"คะ..ใครกัน"

ฉินหยางหันมองซ้ายขวาแต่ก็ไม่พบสิ่งใด รอบตัวมีเพียงความว่างเปล่าและเงียบสงัด

"ใครกัน ปรากฏตัวออกมาซะ"

ฉินหยางเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมพร้อมกับชักอาวุธมีดข้างเอาออกมา 

" เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าไม่ได้มีเจตนาจะทำอะไรเจ้าแต่อย่างใด ข้าแค่อยากจะพูดคุยกับเจ้าก็เท่านั้น"

ชายลึกลับเอ่ยเจตนารมณ์ของตัวเองออกมาเพื่อให้ฉินหยางคลายความระแวงลง

"พูดคุย? เจ้าเป็นใครต้องการพูดคุยกับข้าเรื่องอะไร?"

"ก็เริ่มจากแนะนำตัวก่อนเป็นยังไง เจ้าเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ เหอะๆ อย่าพึ่งกังวลไปข้าติดอยู่ที่นี่คนเดี ยวมานาน แค่อยากหาเพื่อนคุยแก้เบื่อก็เท่านั้น"

ฉินหยางเริ่มคลายความกังวลก่อนเก็บอาวุธมีดเข้าฝักแล้วถามว่า 

"ก่อนจะให้คนอื่นแนะนำตัว เจ้าควรแนะนำตัวเองก่อนหรือไม่"

ฉินหยางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

"หึ!!เด็กน้อยเจ้ากล้าดีอย่างไรพูดกับข้าด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น หากเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใครรับรองว่าเจ้าต้องวิ่งหนีหางตุกตูดฉี่ราดกางเกงอย่างแน่นอน" 

เสียงของชายลึกลับเริ่มมีโทสะเล็กน้อย 

"เจ้าเป็นใครเหตุข้าต้องสนใจ เจ้าคิดกุเรื่องหลอกเด็กกับข้าวรึอย่าได้ฝัน"

ฉินหยางเบะปากตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

"นี่เจ้า!! หึ!!! เอาเถอะวันนี้ข้าอารมณ์จะยอมไม่ถือสาสักวัน เช่นนั้นข้าจะแนะนำตัวก่อน

นามของข้าคือ ไป่ เสวี่ยอวี๋ ผู้คนต่างเรียกขานข้าว่า จอมมารไป่จอมกระหายเลือด หึหึ เป็นอย่างไร ได้ยินชื่อข้าแล้วอย่ามากลัวทีหลังละกัน

ชายลึกลับกล่าวอย่างภาคภูมิใจราวกับเชื่อมั่นว่าหากฉินหยางได้ยินจะต้องตกใจกลัวจนปัสสาวะราดกางเกงอย่างแน่นอน แต่เขากลับต้องผิดหวังฉินหยางทำหน้าซังกะตายไม่ได้รับรู้ถึงความน่ากลัวใด ๆ 

"เจ้า ทำหน้าอย่างนั้นหมายความว่าอย่างไร เจ้าไม่รู้รึว่าจอมมารไป่น่ากลัวเพียงใด"

"ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินชื่อจอมมารไป่อะไรนั่น อีกอย่างเจ้าคิดว่าจอมมารอะไรนั่นจะมีตัวตนอยู่จริงงั้นรึ"

ฉินหยางโต้กลับ ใครจะเชื่อจอมมารอะไรนั่นกัน

"เหอะ ๆ !! แล้วเจ้าคิดว่าการที่เจ้าพูดคุยกับข้าโดยผ่านกระแสเสียงอยู่นี่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้รึ?

สิ่งที่เจ้าไม่เคยรู้ใช่ว่าจะไม่มีตัวตนอยู่จริง โลกที่เจ้ายืนอยู่ตอนนี้มันกว่าใหญ่กว่าที่เจ้าคิดนัก แต่ก็เอาเถอะ ข้าไม่ต่อปากต่อคำกับเจ้า เอาเป็นข้าแนะนำตัวไปเเล้วทีนี้ก็ถึงตาเจ้าบ้าง " 

ไป่ เสวี่ยอวี๋ กล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับตนเป็นผู้อยู่เหนือกว่า

"ข้า เอ่ออ.."

หลังจากที่ฉินหยางคิดทบทวนตามคำที่ไป่ เสวี่ยอวี๋พูดก็จะเป็นเช่นนั้น เขาอั้มอึ้วอยู่สักพักก่อนตอบด้วยน้ำเสียง รู้สึกผิดว่า

"ข้าชื่อฉินหยาง ข้าอาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้ ๆ นี่" 

"ฉินหยาง? ดี แล้วเข้าขึ้นมาทำอะไรบนเขาแห่งนี้ 

ไป่ เสวี่ยอวี๋ถามต่อ 

"ข้า..เอ่อ..ข้าขึ้นมาหาสมุนไพรเพื่อไปรักษาแม่ของข้า แต่โชคไม่ดีข้าเลยตกมาข้างล่างนี้ ตอนแรกข้าคิดว่าข้าตายไปแล้วแท้ ๆ แปลกจริง ๆ "

ประโยคสุดท้ายฉินหยางพึมพำเสียงที่มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่ได้ยิน

เขาชะงักอยู่ชั่วครู่ก่อนตอบทุกอย่างตามความเป็นจริง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม จู่ ๆ ก็มีความรู้สึกว่าผูกผันกับชายลึกลับที่สนทนาด้วยทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเสียงของชายลึกลับที่เขาได้ยินดู ๆ ไปแล้วก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรเขาจึงตอบทุกอย่างตามความจริงโดยไม่ปิดบัง

ชายลึกลับนามไป่เสวี่ยอวี๋ได้ยินคำตอบของฉินหยางแอบประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน

"หรือว่าจะเป็นเจ้าจริง ๆ "

ไป่ เสวี่ยอวี๋พูดพำเสียงเบากับตัวเอง เขาเงียบไปสักพักก่อนจะพูดโพร่งขึ้นว่า

"ข้าอยากทำข้อตกลงบางอย่างกับเจ้าสนใจหรือไม่

 เขาพูดพร้อมยกยิ้มมุมปากราวกับมีแผนการณ์บางอย่างในใจ...

ตอนที่ 2 การพบพานแห่งโชคชะตา

ณ หุบเหวลึกลงไปในสถานที่ที่มืดสลัวมีเด็กหนุ่ม สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ เปื้อนคราบเลือดกำลังยืนพูดคุยบางอย่างกับอากาศว่างเปล่าตรงหน้า 

"ข้ามีข้อเสนออยากทำข้อตกลงกับเจ้าสนใจหรือไม่ "

เสียงของชายลึกลับนามว่าไป่ เสวี่ยอวี๋ดังขึ้นในโสตประสาของฉินหยางอีกครั้ง เขายกยิ้มบาง ๆ ดูเหมือนจะมีแผนการณ์บางอย่าง

"ข้อเสนอ? ข้อเสนออันใด ข้าไม่สนใจอย่าคิดจะมาหลอกข้าเชียว" 

ฉินหยางตอบกลับทันทีโดยไม่หยุดคิดทำเอา ไป่ เสวี่ยอวี๋ ที่เดิมยกยิ้มอย่างมั่นใจราวกับมีแผนการณ์ต้องหน้าบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียดในทันที 

"เด็กเปรตนี้อย่าให้ข้าออกไปจากผนึกได้เชียว"

ไป่ เสวี่ยอวี๋กัดฟันกรอดและแอบสบถด่าในใจแต่ไม่นานเขาก็หายใจเข้าลึกควบคุมสติก่อนจะแสยะยิ้มพูดขึ้นว่า

"เจ้าหมายความว่าต่อให้ข้าจะบอกว่าข้าสามารถรักษาอาการป่วยของแม่เจ้าได้เจ้าก็ไม่สนใจงั้นรึ" 

"รักษาแม่ข้า?  เจ้าพูดจริงงั้นรึ" 

ฉินหยางที่เดิมที ไม่มีท่าทีจะสนใจคำพูดของชายลึกลับที่ชื่อไป่ เสวี่ยอวี๋ ตรงหน้าแต่เมื่อได้ยินว่าเขาสามารถรักษาอาการป่วยของแม่ตนได้ก็มีปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงไปในทันที

ไป่ เสวี่ยอวี๋ที่เห็นปฏิกิริยาของฉินหยางเปลี่ยนไปก็แอบเผยรอยยิ้มบาง ๆ รางกับผู้ชนะออกมาก่อนเอ่ยว่า

"แน่นอนเจ้าฟังไม่ผิด ข้าพูดว่าข้าสามารถรักษาอาการป่วยของแม่เจ้าได้ หากเจ้าไม่ไว้ใจ ข้ายินดีเอ่ยคำสาบานต่อฟ้าดินเพื่อเป็นการยืนยัน

เจ้าอาจจะยังไม่รู้ในโลกของผู้เศษ การเอ่ยคำสัตย์สาบานต่อว่สดินนั้นไม่สามารถบิดพลิ้วได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกทัณฑ์สวรรค์ลงทัณฑ์ สิ่งนี้พอจะทำให้เจ้ามั่นใจได้หรือยัง'

ฉินหยางครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ว่าหากคำพูดของไป่ เสวี่ยอวี๋เป็นจริงที่เขาสามารถรักษาอาการป่วยของแม่ตนได้ การเดินทางของเขาในครั้งนี้ก็จะไม่เสียเปล่า ฉินหยางใช้เวลาครุ่นคิดอยู่อีกสักพักก่อนเอ่ยว่า

"เจ้าจะให้ข้าทำสิ่งใด? หากว่าเจ้าสามารถรักษาแม่ของข้าได้จริง ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้าทำอะไรขอเพียงบอกข้าจะไม่ปฏิเสธแน่นอน"

"แน่นอน ถ้าเช่นนั้นข้าจะไม่พูดอ้อมค้อมก็แล้วกัน ข้าจะช่วยรักษาอาการป่วยของแม่เจ้าแต่ข้ามีข้อเเลกเปลี่ยนอยู่ 3 ข้อ"

 "ข้อแรกก็คือช่วยข้าออกจากผนึกที่กักขังข้าอยู่ตอนนี้"

"ข้อ2 หลังจากที่เจ้าช่วยข้าออกจากผนึก เจ้าต้องช่วยตามหา ดวงจิตส่วนที่เหลือของข้าให้ครบเรื่องนี้หลังจากเจ้าช่วยข้าออกจากผนึกได้แล้วข้าจะคุยกับเจ้าอีกที"

"ส่วนข้อสุดท้ายข้าจะบอกเจ้าอีกครั้งเมื่อถึงเวลา"

ไป่ เสวี่ยอวี๋พูดถึงตรงนี้ก็เงียบไปสักพักก่อนจะยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอีกครั้งและพูดต่อว่า  

"และแน่นอนข้าเองก็ไม่ใช่คนเอาเปรียบผู้ใด นอกจากข้าจะช่วยรักษาอาการป่วยของแม่เจ้าแล้ว เจ้ายังสามารถขอสิ่งใดจากข้าก็ได้อีก 2 ข้อที่เจ้าคิดว่าสมเหตุสมผลกับเรื่องที่ข้าเสนอไป เจ้าคิดเห็นว่าเช่นไร" 

ฉินหยางได้ฟังก็คิดว่าสมเหตุสมผลจึงไม่มีสิ่งใดจะคัดคาด เขาไม่ได้ใช้เวลาคิดนานนักและพยักหน้าตอบตกลงในทันที

"ได้ ข้าตกลง แต่ก่อนที่ข้าจะช่วยปลดเจ้าออกจากผนึกข้ามีเรื่องอยากจะถามเพื่อยืนยันให้มั่นใจก่อนสัก1-2เรื่อง"

"เจ้าอยากถามอะไรเชิญว่ามาได้เลยข้ายินดีตอบทุกคำถาม"

ไป่ เสวี่ยอวี๋ กล่าวตอบรับโดยไม่ได้ขัดข้องอะไร

"เช่นนั้นข้อแรกที่ข้าจะถามคือเหตุใดเจ้าถึงมั่นใจว่าข้าจะสามารถช่วยเจ้าออกมาจากผนึกได้ ข้ามั่นใจว่าข้าคงไม่ใช่คนแรกที่ลงมาที่นี่ ซึ่งให้ข้าพูดตามตรงข้าเองเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้วิเศษอย่างพวกเจ้าที่จะมีพลังวิเศษที่จะมีพลังที่จะสามารถช่วยเจ้าออกมาได้"

"ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนเจ้าไม่ใช่มนุษย์คนแรกที่ข้าพบเจอในที่แห่งนี้ แต่คนก่อนหน้าที่ข้าได้พบมีแต่มนุษย์อ่อนแอแม้จะมีผู้ที่ถือว่าเป็นผู้วิเศษแต่ก็ไม่นับว่าเป็นอันใด ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมต้องเป็นเจ้าเรื่องนั้นง่ายมากเพราะว่าเจ้าเป็นผู้วิเศษและเป็นผู้วิเศษที่วิเศษกว่าใคร ๆ เป็นตัวตนเพียงหยิบมือบนโลกใบนี้ที่มีตัวตนอยู่เหนือกฏแห่งฟ้าดินนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงเลือกเจ้า" 

"ข้าเป็นผู้วิเศษ?และเป็นผู้วิเศษที่อยู่เหนือกฏฟ้าดิน? ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร?"

"เรื่องนี้ไว้เจ้าช่วยข้าออกจากผนึกได้เมื่อไหร่ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังอีกที" 

เสวี่ยอวี๋ตอบ

ฉินหยางทำหน้าไม่สบอารมณ์กับคำตอบของเสวี่ยอวี๋แต่ก็ไม่ได้กล่าวโต้ตอบสิ่งใดและถามคำถามต่อไปว่า

"เช่นนั้นอีกข้อ ข้าต้องการให้เจ้าเอ่ยคำสาบานต่อฟ้าดินอย่างที่เจ้าว่าเเสียก่อนเพื่อเป็นหลักประกันว่าเจ้าจะไม่ทำอะไรข้าหลังจากออกจากผนึกได้แล้ว"

ไป่ เสวี่ยอวี๋แอบสบถด่าในใจเพราะก่อนหน้านี้เขาพูดไปงั้นเพื่อให้ฉินหยางไว้ใจแต่ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะความจำดีขนาดนี้ ไป่ เสวี่ยอวี๋กระเเอมไอก่อนจะปั่นเสียงขรึมตอบกลับว่า

"แน่นอน นั่นเป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลเท่านี้เจ้าจะวางใจได้หรือยัง แล้วยังมีสิ่งใดอยากถามอีกหรือไม่" 

"ดี..ถ้าเช่นนั้นข้าจะลองเชื่อใจเจ้า  แล้วตอนนี้เจ้าถูกผนึกอยู่ที่ใดแล้วข้าจะช่วยเจ้าออกจากผนึกได้อย่างไร"

ฉินหยางมองไปรอบ ๆ บริเวณพยายามคาดเดาสถานที่อยู่ของผนึกแต่ก็ไม่พบสิ่งใด

"เปล่าประโยชน์ข้าไม่ได้ถูกผนึกอยู่ที่แห่งนี้ ข้าถูกผนึกอยู่ในสถานที่ที่ไกลจากที่นี่พอสมควรเพราะเช่นนั้นแค่เดินไปตามทางที่ข้าบอกก็พอ ส่วนวิธีปลดผนึกเมื่อถึงสถานที่ผนึกแล้วข้าจะบอกเจ้าอีกที เอาละ เจ้าเห็นช่องแคบนั่นหรือไม่ เดินไปตามทางตรงนั้น" 

ฉินหยางพยักหน้าเป็นการตอบรับโดยไม่เอ่ยสิ่งใดเขาเดินเข้าไปตามทางที่ไป่ เสวี่ยอวี๋ บอกฉินหยางเดินผ่านพื้นที่ช่องแคบและพบเข้ากับที่โล่งกว้างที่มีเพียงก้อนหินกระจายเกลื่อนกลาด เขายังคงเดินลึกเข้าไปจนพบปากทางเข้าถ้ำเล็ก ๆ อยู่แห่งหนึ่ง

ฉินหยาง ก้าวเดินเข้าไปในถ้ำตามที่ ไป่ เสวี่ยอวี๋บอกเส้นทางภายในถ้ำค่อนข้างกว้างสามารถเดินเรียงหน้ากระดาน 4 คนได้อย่างไม่แออัด ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ฉินหยางยิ่งตกตะลึงมากขึ้นเรื่อย ๆ บริเวณรอบข้างที่เขาเดินผ่านมาเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรนานาชนิด งอกเงยอุดมสมบูรณ์ตลอดทางราวกับเป็นสวนดอกไม้ ตามพื้นผนังของถ้ำเองก็มีคริสตัลเรืองแสงรูปทรงต่าง ๆ งอกเงยคอยให้แสงสว่างจาง ๆ อยู่ตลอดทางราวกับเป็นโคมไฟหรูหราช่างเป็นภาพที่ชวนให้จดจำยิ่ง

ฉินหย่างเดินไปตามทางที่ไป่ เสวี่ยอวี๋ บอกจนสุดปลายทางอุโมงค์เป็นพื้นที่โล่งกว้างทรงกลมพื้นที่ดังกล่าวเป็นเพียงลานหินโล่ง ๆ ไม่มีสิ่งใดประดับตกแต่ง ฉินหยางเดินมาหยุดอยู่ใจกลางพื้นที่วงกลมเเละเงยหน้ามองขึ้นไปด้วนบนพบเป็นเหมือนปากพร่องภูเขาไฟทำให้สามารถมองเห็นท้องฟ้าข้างนอกที่ดวงจันทร์เต็มดวงกำลังส่องแสงสว่างอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวดร่างพราวบนท้องบ่งบอกว่ายามนี้เป็นยามราตรีแล้ว

"ถึงแล้ว..ที่นี่แหละ"  

เสียงของไป่ เสวี่ยอวี๋ดังขึ้นในโสตประสาทอีกครั้ง

"เปิดประตูบานใหญ่นั่นแล้วเจ้าจะพบที่ตั้งของผนึกที่ผนึกข้าอยู่"

ฉินหยางมองตรงไปยังประตูหินบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า ประตูมีเศษฝุ่นและหยักไย่แมงมุมเกาะปกคลุมจนหนาทึบบ่งบอกว่าเป็นประตูที่ผ่านเวลามาอย่างยาวนานและไม่มีการใช้งานฉินหยางใช้มือปัดเศษฝุุ่นบริเวณหนึ่งของประตูพบว่ามีสัญลักษณ์บางอย่างสลักไว้บนประตูบานยักษ์ ฉินหยางรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเเปลก ๆ จึงตัดสินใจปัดเศษฝุ่นบริเวณอื่นของประตูทำให้ปรากฏเห็นรูปสลักของดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งที่ใจกลางดวงอาทิตย์มีตัวอักษรที่สลักคำว่า "หยาง" ปรากฏอยู่ ฉินหยางรู้สึกถึงบางอย่างที่คุ้นเคยและสนิทสนมซึ่งเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

" เปิดประตูนั่นเข้ามา.." 

"นี่ เด็กน้อย..เจ้าได้ยินข้าหรือไม่.. ไอ่เด็กเวรนี่" 

อุ๊บ!!! ไป่ เสวี่ยอวี๋รีบเอามืออุดปากเพราะรู้ว่าตัวเผลอหลุดปากพูดออกไปและกลัวฉินหยางจะเปลี่ยนใจไม่ช่วยเหลือตน แต่ผิดคาดฉินหยางในตอนนี้กลับยังคงดำดิ่งอยู่กับความรู้สึกที่สัมผัสได้จากบานประตูไม่รับรู้เรื่องราวใด จนไป่ เสวี่ยอวี๋พูดขึ้นอีกครั้ง

"เด็กน้อย!! เจ้ามัวเหม่ออะไรกัน"

ไป่ เสวี่ยอวี๋ เน้นเสียวหนักขึ้น ฉินหยางที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ก็สนุกตัวในทันที

"เอ่อ ข้าขอโทษทีเมื่อกี้ยังว่าไงนะ"

"ข้าถามว่าเจ้าเหม่ออะไรกัน ทำไมไม่รีบเปิดประตูเข้ามา" 

" อ๋อ เปล่าไม่มีอะไร แล้วข้าจะเปิดประตูนี้ได้ยังไง ดูแล้วข้าคนเดียวคงไม่สามารถเปิดมันออกได้" 

ฉินหยางพยายามเปลี่ยนบทสนทนาเพื่อหันเหความสนใจไปเรื่องอื่น ไป่ เสวี่ยอวี๋อยู่ในสถานที่มืดสลัวแอบหลี่ตาลงเล็กน้อยเหมือนจะรับรู้บางอย่างแต่ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อก่อนจะตอบคำถามว่า 

"ประตูเเห่งนี้มีกลไขการทำงานอยู่ มองไปทางขวามือเจ้าสิ เห็นรูปสลักดวงอาทิตย์ตรงเเท่นหินนั่นหรือไม่ หมุนมันซะแล้วประตูจะเปิดเอง" 

ไป่ เสวี่ยอวี๋ เอ่ยบอกฉินหยางกันมองไปถามที่ไป่ เสวี่ยอวี๋บอกก็พบเข้ากับแท่นหินที่มีรูปสลักขิงพระอาทิตย์อยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกล เขาเดินเอื้อมมือบิดรูปสลักดังกล้าวตามที่ไป่ เสวี่ยอวี๋บอก ไม่นานจู่ ๆ พื้นเบื้องล่างก็สั่นสะเทือนดังสนั่นหวั่นไหว

ครื้น!! ครื้น!! ครื้น!! 

ผนังถ้ำสั่นไหวอย่างหนักเศษหินเศษดินร่วงกราวเกลื่อนกลาดทำให้เกิดฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณหลังจากสั่นสะเทือนอยู่ราว 5 ลมหายใจประตูบานใหญ่ก็เริ่มเคลื่อนไหว

ครื้นนน!!! แกร็ก แกร็ก แกร็ก 

เสียงกลไกบางอย่างทำงานขึ้นประตูบานใหญ่ตรงหน้าของฉินหยางเริ่มสั่นสะเทือนและค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ 

แกร็ก แกร็ก แกร็ก ตึ้ง!!! 

ฉินหยางก้าวเท้าเดินผ่านประตูเข้าไปในห้องโถงอย่างช้า ๆ เขาหันมองสำรวจไปรอบ ๆ บริเวณพบว่า ห้องโถงดังกล่าวมีขนาดราว ๆ 50 จั้ง เพดานของห้องโถงเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยขนาดแตกต่างกันไปชวนให้ดูลึกลับยิ่ง ภายในห้องโถงว่างเปล่าปราศจากสิ่งใดมีเพียงโต๊ะหินเเปดเหลี่ยมเก่า ๆ ขนาด 4-5 จั้ง ตั้งอยู่ใจกลางห้องและเหนือขึ้นไปบนโต๊ะหินแปดเหลี่ยมมีลูกแก้วลูกหนึ่งลอยเคว้งอยู่กลางอากาศถ้าหากสังเกตุดี ๆ จะพบว่าบนผิวของลูกแก้วถูกด้ายแสงสีทองรัดตรึงไว้ทั้งแปดทิศไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้

"ดีมาก เด็กน้อยข้าอยู่นี่รีบมาปลดผนึกข้าออกไปเร็วเข้า" 

ในครั้งนี้เสียงของไป่ เสวี่ยอวี๋ไม่ได้ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินหยางแต่ดังก้องออกมาจากลูกแล้วลูกนั้นโดยตรง น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด 

ฉินหยางมองไปตามที่มาของเสียงก็พบเข้ากับโต๊ะหินแปดเหลี่ยมและลูกเเล้วลูกนั้นก่อนจะเดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อนจนมาถึงบริเวณด้านหน้าของแท่นหิน

"ดีมากเอาล่ะทีนี้ก็ทำตามวิธีที่ข้าบอก หากข้าออกไปแล้วข้าจะช่วยรักษาแม่ของเจ้าอยากแน่นอน"

ไป่ เสวี่ยอวี๋เอ่ยด้วยความตื่นเต้นและร้อนรน

"ช้าก่อน…"

ฉินหยางเอ่ยขัดขึ้น ไป่ เสวี่ยอวี๋ที่กำลังดีใจต้องหน้ามืดทะมึนลงอีกครั้งเขาพยายามข่มกลั้นอารมณ์ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

"เด็กน้อย เจ้ามีอะไรงั้นรึเหตุใดเจ้าไม่รีบช่วยข้าปลดผนึกข้าจะได้รีบไปรักษาอาการป่วยแม่ของเจ้ายังไงเล่าหรือเจ้าไม่พอใจข้อตกลงใดข้ายินดีเพิ่มให้เจ้าขออะไรข้าก็ได้อีกหนึ่งข้อเลยเป็นไง"

"เปล่า ข้าแค่จะบอกว่าเจ้าต้องสาบานต่อฟ้าดินอย่างที่พูดก่อนข้าจึงจะช่วยเจ้าปลดผนึก"

ฉินหยางขึ้นเขายังจำได้ว่าตอนที่ทำข้อตกลงไปท่าเสวี่ยอวี๋ว่าจะสายานต่อฟ้าดินเพื่อเป็นหลักประกะนความปลอดภัยของตนแม้ว่าเขาจะอยากรีบช่วยไป่ เสวี่ยอวี๋ออกจากผนึกแล้วรีบกลับไปรักษาอาการแม่ของเขา แต่ถ้าหากเขาช่วยไป่ เสวี่ยอวี๋ออกจากผนึกแล้วเกิดเขาคิดทำไรขึ้นมาก็ไม่มีใครช่วยเหลือเขาได้

ไป่ เสวี่ยอวี๋ที่ได้ยินก็ทำหน้าอ่อขึ้นมา อารมณ์ขุ่นเคืองก่อนหน้าหายวั๊บไปในพริบตา

"โถ่ว..ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไร ได้สิจ้าจะสาบานต่อฟ้าดินเดี๋ยวนี้"

"ข้าในนามไป่ เสวี่ยอวี๋ ขอให้สัตย์สาบาน หากข้าผิดข้อตกลงที่ทำไว้ขอให้ฟ้าดินลงโทษจิตสลายกายดับสูญไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด"

ครึ้มมม!!!เพรี้ยง!!!

หลังจากที่ไป่ เสวี่ยอวี๋กล่าวคำสาบานคำสุดท้ายจบก็เกิดเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ราวกับเป็นเสียงตอบรับจากสวรรค์ ฉินหยางเห็นดังนั้นก็เบาใจลงก่อนเอ่ยว่า 

"เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้น เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรบอกข้ามาได้เลย"

"ดี งั้นก่อนอื่นข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง ผนึกที่กักขังข้าอยู่มีนามเรียกว่า "ผนึกไหมทองคำสวรรค์แปดทิศ" เป็นผนึกธาตุหยางที่ทรงพลังมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกักขังข้าโดยเฉพาะ แต่สำหรับเจ้าข้าคิดว่าการจะทำลายมันคงไม่ใช่เรื่องยากเนื่องจากเจ้ามีพลังธาตุหยางที่บริสุทธิ์ยิ่งอยู่ในตัวเจ้า เพียงแค่เจ้าใช้เลือดของเจ้าหลอมรวมเข้ากับผนึกแล้วบังคับให้ปลดผนึกแค่นั้นก็น่าจะเพียงพอ"

ไป่ เสวี่ยอวี๋พูดจบก็เงียบไปสักพัก ในสถานที่มืดสลัวภายในลูกแก้วเขานั่งขัดสมาธิในท่าทางนิ่งเงียบดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลทอประกายครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะกลับมาเป็นปกติและพูดขึ้นว่า 

"เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นเจ้าเริ่มได้เลยหากมีอะไรผิดพลาดข้าจะเป็นคนช่วยเจ้าเอง

ฉินหยางพนักหน้าเป็นการตอบตกลง เขาทำตามที่ไป่ เสวี่ยอวี๋บอกโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เขาหยิบมีดที่เหน็บจ้างเอวขึ้นมากรีดที่นิ้วมือทันที สีหน้าของเขาปิดเบี้ยวเล็กน้อยเพราะความเจ็บ เขาเก็บมีดเข้าฝักก่อนจะยื่นมือไปข้างหน้าแล้วดีดนิ้วเพื่อให้เลือดกระเด็นไปโดนผนึก หลังจากนั้นฉินหนางก็หลับตาลงตั้งสมาธิโคจรพลังตามที่ไป่ เสวี่ยอวี๋ ไม่นานเขาก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังหมุนวนอยู่ภายในร่างกายของเขา ฉินหยางพยายามตั้งเพื่อให้พลังดังกล่าวไหลเวียนไปตามความนึกคิดของเขาฉินหยางขับเคลื่อนพลังไหลไปตามเเขนเข้าสู่เลือดที่ติดอยู่กับผนึกได้อย่างราบรื่น ไม่นานเลือดของเขาก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผนึกได้อย่างสมบูรณ์ฉินหยางรับรู้ได้อย่างเเจ่มชัดในห้วงความคิด ราวกับผนึกและเขาเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ย่างไรอย่างนั้น ฉินหยางเห็นว่าทุกอย่างราบรื่นก็เริ่มเพ่งความคิดเพื่อปลดผนึก

"ได้แล้ว อีกแค่นิดเดียว" 

ฉินหยางตะโกนขึ้นในใจด้วยความตื่นเต้น

ด้าน ไป่ เสวี่ยอวี๋ ตอนนี้เขานั่งใจจดจ่อจ้องมองฉินหยางตาไม่กระพริบและระหว่างนั้นเองผนึกไหมทองคำสวรรค์ตำแหน่งเป่ย (ทิศเหนือ) ก็พังทลายลงส่งผลให้พลังของผนึกอ่อนแอลงอยากมาก ชั้วอึดใจต่อมา ตำแหน่งหนานและซีหนาน ก็พังทลายลงตามลำดับ

"นี่มันหรือว่าจะ…"

ไป่ เสวี่ยอวี๋ผุดลุกจากที่นั่งทันทีด้วยความตกตะลึง แม้เขาจะคาดหวังว่าฉินหยางจะสามารถทำลายผนึกได้แต่ก็ไม่คิดว่าจะง่ายดายเช่นนี้ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาเผยความยินดี

ทางด้านของฉินหยางตอนนี้เขายังคงมุ่งสมาธิไปกับการปลดผนึก หน้าผากของเขาเริ่มมีเหงื่อไหลซึมเล็กน้อยเนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาใช้พลังในฐานะผู้วิเศษ สามลมหายใจต่อมาผนึกตำแหน่งหนานและซีหนานก็พังทลายลงทำให้ผนึกที่เหลือๆม่สามารถรักษาเสถียรภาพเอาไว้ได้จนในที่สุดผนึกทั้งหมดก็ถูกทำลายลง

"สำเร็จ"

ฉินหยางลืมตาตื่นจากสมาธิด้วยความตื่นเต้นยินดี ลูกแก้วที่ถูกผนึกไว้ในเวลานี้หลังจากหลุดพ้นจากเป็นอิสระมันก็เคลื่อนที่หมุนวนไปรอบ ๆ แท่นหิน

ทันใดนั้น จู่ ๆ ลูกแก้วที่ลอยไปมากลางอากาศก็เรืองแสงสีขาวสว่างวาบทั่วทั้งห้องโถงปรากฏเป็นชายหนุ่มอายุราว ๆ 24-25 ปี ร่างกายโปร่งแสงราวกับภูติ วิญญาณ สวมเสื้อคลุมสีขาวสะอาดตา ใบหน้าหล่อเหลา รูปหน้าเรียวงามสมบูรณ์แบบ ผมสีขาวยาวเลยกลางหลังพลิ้วไสวไปกับสายลมราวกับปุยเมฆ ปักเครื่องประดับสีเงินน้อยชิ้นดูสูงส่งหาใครเปรียบ

นิ้วมือเรียวงาม ผิวขาวเนียนละเอียดดั่งหยกมาพร้อมกับดวงตาสีฟ้าคู่งามดุจดั่งอัญมณีล้ำค่าที่สามารถดึงดูดผู้คนที่พบเจอให้หลงไหล 

ตอนที่ 3 กายาศักดิ์สิทธิ์และเพลิงศักดิ์สิทธิ์ชำระล้าง

ตึก ๆ !!ตึกๆ !!

วินาทีเเรกที่ฉินหยางจ้องมองไปยังใบหน้าของไป่ เสวี่ยอวี๋เป็นครั้งแรกจู่ ๆ หัวใจภายในส่วนลึกของจิตวิญญาณของเขาก็กรีดร้องคร้ำครวญราวกับได้พบคนรักที่พลัดพรากจากกันมานานแสนนาน

แต่พริบตาต่อมาความรู้สึกเหล่านั้นกลับหายวับไปราวกับความฝัน

"นี่มันอะไร"

จู่ ๆ ฉินหยางก็

"ข้าร้องไห้งั้นรึ เหตุใดข้าจึงร้องไห้กัน?" 

"แล้วก็ความรู้สึกเมื่อครู่มันอะไร ทำไมชั่วพริบตาหนึ่งข้าถึงรู้สึกราวกับหัวใจของข้ากำลังร่ำไห้อาวรณ์"

จู่ ๆ คำถามมากมายก็ถาโถมเข้าหาจนไม่สามารถประมวณเหตุการณ์ใด ๆ ได้

"เด็กน้อย เจ้าเป็นอะไรของเจ้า?"

ไป่ เสวี่ยอวี๋ที่สังเกตเห็นอาการแปลก ๆ ของฉินหยางจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

"อ่อ ปะ เปล่า ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกล้านิดหน่อยน่าจะเพราะก่อนหน้าที่ข้าใช้ปราณมากไป"

"เช่นนั้นรึ"

เสวี่ยอวี๋หลี่ตาลงเล็กน้อย เขาหยุดชะงักไปสักครู่ก่อนเอ่ยต่อว่า

"​​​​​หากไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว  เช่นนั้นเรามาคุยเรื่องข้อตกลงของเราก่อนหน้านี้กันดีหรือไม่? 

เสวี่ยอวี๋เอ่ยเปลี่ยนบทสนทนา

"แต่ก่อนอื่นเพื่อความสนิทสนมเจ้าสามารถเรียกข้าว่า เสวี่ยอวี๋ เฉย ๆ ก็ได้ยังไงซะหลังจากนี้เจ้ากับข้าก็ต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน ส่วนเจ้าข้าจะเรียกเจ้าว่า เด็กน้อยละกัน "

"เด็กน้อย? เหตุใดชื่อข้าถึงเป็นเด็กน้อยได้กัน"

ฉินหยางกล่าวขึ้นด้วยความขุ่นเคืองเล็ก ๆ 

"เด็กน้อยมันไม่ดีอย่างไร เจ้าก็ดูยังเป็นเด็กมันไม่ดีเช่นนั้นรึ"

ฉินหยางกรอกตามองบนกับคำพูดของเสวี่ยอวี๋ แต่เขาก็ขี้เกียจจะโต้เถียงจึงเอ่ยตอบไปว่า

"เอาเถอะ จะเรียกข้าว่าอย่างไรก็แล้วแต่เจ้า แล้วเราจะคุยเรื่องข้อตกลงกันได้หรือยัง"

ฉินหยางถามขึ้น

"เด็กเจ้านี่ช่างเข้าใจอะไรได้ง่ายดี!!

"งั้นมาเข้าเรื่องกันเลย...เนื่องจากเจ้าได้ช่วยข้าออกมาจากผนึกได้สำเร็จ ตามข้อตกลง ข้าจะติดตามเจ้าไปเพื่อรักษาอาการป่วยของเเม่เจ้าเป็นการแลกเปลี่ยน แต่ก่อนอื่นเรามาคุยเรื่องข้อตกลงที่เหลือก่อนหน้ากันเสียก่อน"

"อื้ม เชิญเจ้าว่ามาได้เลย" 

ฉินหยางพูดพร้อมผายมือ

"ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าว่าหลังจากเจ้าช่วยข้าออกจากผนึกได้แล้ว เจ้าจะต้องช่วยข้าตามหาเศษเสี้ยวดวงจิตที่เหลือของข้า เจ้ายังจำได้หรือไม่"

เสวี่ยอวี๋กล่าวถาม

"แน่นอน ข้าจำได้"

ฉินหยางพยักหน้าตอบรับ

"เช่นนั้นก็ดี ความจริง แล้วดวงจิตของข้านั้นถูกแบ่งออกทั้งหมด 7 ดวง ซึ่งข้าเองก็ไม่รู้ว่าเศษเสี้ยวดวงจิตอีก 6 ดวงนอกจากข้าจะถูกผนึกอยู่ที่ใดบ้าง แต่ข้าสามารถรับรู้ถึงทิศทางลาง ๆ ของดวงจิตแต่ละดวงได้ แต่หากจะสัมผัสเพื่อให้รับรู้ตำแน่งที่ชัดเช่นข้าต้องอยู่ห่างจากดวงจิตดวงอื่นในระยะไม่เกิน100 ลี้เท่านั้น แต่ข้าในตอนนี้เป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบจิตข้าไม่สามารถเคลื่อนออกห่างจากไข่มุกจิตวิญญาณได้เกิน 20 ลี้ ไม่เช่นนั้นดวงจิตของข้าจะไม่สามารถคงสภาพเอาไว้ได้และดวงจิตอาจแตกสลายไปในที่สุด ดังนั้นข้าจำเป็นต้องพึ่งพาเจ้าให้ช่วยตามหาดวงจิตอีก 6 ดวงที่เหลือหลังจากนี้"

เสวี่ยอวี๋กล่าวจบก็กวาดมือไปด้านข้างลูกแก้วโปร่งใสที่ลอยอยู่กลางอากาศจู่ ๆ ก็หมุนวนเคลื่อนตัวมาหยุดอยู่ในฝ่ามือของเขาหลังจากนั้นจึงส่งต่อให้แก่ฉินหยางพร้อมเอ่ยว่า

"รับไว้สิ สิ่งนี้คือ "ไข่มุกจิตวิญญาณ" เป็นของวิเศษสำหรับกักเก็บจิตวิญญานมันสามารถเป็นสถานที่อาศัยของดวงจิตแม้ว่าบรรยากาศด้านในจะไม่ได้น่าอยู่อะไรมากก็เถอะ แต่เอาเถอะหลังจากนี้ไปข้าจะอาศัยอยู่ในนี้ชั่วคราว แต่หากเจ้ามีเรื่องเร่งด่วนอันใดเจ้าสามารถสื่อสารกับข้าได้ตลอดเวลาเพียงเพ่งความคิดไปที่มัน"

ฉินหยางยืนฟังที่เสวี่ยอีกพูดอย่างตั้งใจ แต่ในขณะที่ เสวี่ยอวี๋ ก้มลงและยืนมือมอบไข่มุกจิตวิญญาณให้เขา จู่ ๆ ความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หัวใจของเขาเต้นแรงความรู้สึกอาลัยอาวรณ์และคิดถึงผุดขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยายามข่มความรู้สึกดังกล่าวไว้ก่อนจะยื่นมือไปรับไข่มุกลูกนั้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานความรู้สึกที่เหล่านั้นก็หายลับไปราวกับเข้าสู่กันลับไหลอีกครั้ง 

"นะ นี่มันเป็นอะไรกันเหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าข้ารัก เมื่ออยู่ต่อหน้าชายคนนี้ เขาพยามควบคุมอารมณ์อีกครั้งก่อนจะทำหน้าเคร่งขรึมจริงจังแล้วพูดว่า

"ข้าไม่มีปัญหาหากเจ้าคิดว่าข้าจะสามารถทำได้ ข้าก็จะลองทำดู แต่ก่อนอื่นข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงถูกผนึก ทั้งยังถูกผนึกด้วยวิธีการแยกจิตวิญญาณออกมาเป็นส่วนเพื่อผนึก แม้ว่าข้าจะยังไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกของผู้วิเศษมากนัก แต่ข้าก็มั่นใจว่าการที่ถึงขั้นต้องแยกส่วนจิตวิญญาณเพื่อผนึกมันต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดา ๆ ทั่วไปอย่างแน่นอน"

ฉินหยางเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง เสวี่ยอวี๋ได้ยินคำถามก็มีสีหน้ามืดครึ้มขึ้นมาทันทีเขาแอบหลี่ตาลงเผยจิตสังหาออกมาเล็กน้อยจนแทบจะไม่สังเกตเห็นก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเจ็บปวดและถอนหายใจกล่าวว่า"

"จริง ๆ แล้วตัวข้าในอดีตเมื่อนานมาแล้ว เคยทำให้ 7 ตระกูลใหญ่แห่งแดน ๆ หนึ่งต้องขุ่นเคือง ในตอนนั้นตระกูลใหญ่ทั้ง 7 ได้ส่งคนมาหวังจะสังการข้าให้สิ้น แต่พวกมันก็ต้องผิดหวัง ข้าต่อสู้กับพวกมันนานกว่า7วัน7คืน แต่พวกมันทั้ง 7 ตระกูลกลับเล่นวิธีสกปรกแอบรอบใช้อาวุธพิษเล่นงานข้า แม้ว่าพิษนั้นจะไม่ส่งผลถึงชีวิตข้า ณ ตอนนั้นแต่นั่นก็ทำให้ข้าสูญเสียพลังไปหลายส่วน พวกมันถึงใช้จังหวะที่ข้าอ่อนแอใช้วิชาลับแยกดวงจิตของข้าออกทั้งหมด 7 ส่วน และนำไปผนึกไว้ในสถานที่ต่าง ๆ

เสวี่ยอวี๋เล่าเรื่องราวในอดีตของเขาให้ฉินหยางฟัง ด้วยท่าทีเจ็บปวดและแค้นใจ ฉินหยางเห็นดังนั้นจู่ ๆ ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาราวกับเป็นเขาเองที่ถูกกระทำ

"เอ่อ เสวี่ยอวี๋ ข้าขอโทษ ข้าไม่น่าถามคำถามนี้"

ฉินหยางกล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกผิดจากใจ เสวี่ยอวี๋ โบกมือปัดไปมาก่อนจะพูดว่า

"ข้าไม่เป็นไรเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง เอาล่ะเรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลังก่อนอื่นข้าต้องบอกเจ้าให้รับรู้เกี่ยวกับโลกของผู้วิเศษให้เจ้าได้รับรู้เพราะในโลกของผู้วิเศษนั้นพลังและความแข็งแกร่งคือทุกสิ่ง หากเจ้าแข็งแกร่งมากพอเจ้าจะสามารถเปลี่ยนผิดเป็นถูก เปลี่ยน เปลี่ยนถูกเป็นผิด ตามแต่เจ้าพอใจ"

เสวี่ยอวี๋เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขาเริ่มอธิบายเรื่องโลกขอผู้วิเศษให้ฉินหยางฟังว่า

ในโลกของผู้วิเศษมีการแบ่งลำดับขั้นการฝึกตน 7 ขั้น คือ

...ระดับดูดซับลมปราณ ...

...ระดับหลอมรวมลมปราณ...

...ระดับผู้ใช้ปราณแท้จริง...

...ระดับเหนือมนุษย์ ...

...ระดับราชันย์มนุษย์ ...

...ระดับจักรพรรดิมนุษย์ ...

และสุดท้ายระดับบรรพชนมนุษย์เป็นขอบเขตที่สูงที่สุดบนโลกมนุษย์ระดับที่สูงขึ้นไปกว่านี้จะเป็นผู้วิเศษที่อยู่ในแดนที่สูงขึ้นซึ่งเรื่องนี้เจ้าจะรู้เองในภายหลัง"

เสวี่ยอวี๋หยุดไปสักพักก่อนพูดต่อว่า

"ในแต่ละระดับพลังของแต่ละขั้นจะเเบ่งแยกย้อยออกเป็น 9 ขั้น ก่อนจะทะลวงสู่ขั้นถัดไปได้

นอกเหนือจากนี้ในหมู่ผู้ฝึกตนต่างคนต่างเกิดมากับพรสวรรค์ที่แตกต่างกันซึ่งจะมีมากมีน้อยนั้นขึ้นอยู่กับระดับของรากวิญญาณที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด ได้แก่

รากปราณระดับมนุษย์

รากปราณระดับพสุธา

รากปราณระดับสวรรค์

และรากปราณระดับตำนาน

ส่วนคนที่เกิดมาไม่มีรากปราณก็จะไม่สามารถฝึกตนได้เป็นได้เพียงมนุษย์ทั่ว ๆ ไปยังไงละ

แต่มันก็ยังมีกรณียกเว้นอยู่คือนอกเหนือจากผู้มีพรสวรรค์แล้วก็ยังมีคนจำพวกหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในกฏเกณฑ์ทั่วไป คนเหล่านี้ตอนเกิดมาดูราวกับเป็นมนุษย์ธรรมดา ๆ ทั่วไปคนหนึ่งบางคนเกิดมาไม่มีแม้แต่รากปราณ แต่หากวันใดวันหนึ่งพลังของคนเหล่านี้ตื่นขึ้น พวกเขาเหล่านี้จะกลายเป็นผู้ที่อยู่เหนือผู้คนทั้งมวลเป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมกับกายาศักดิ์สิทธิ์และถือครองพลังศักดิ์สิทธิ์ ตัวอย่างเช่นเจ้า"

"ผู้ถือครองกายาศักดิ์สิทธิ์และเพลิงชำระล้างศักดิ์สิทธิ์"

พูดถึงตรงนี้ไปเสวี่ยอวี๋ก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ

ฉินหยางได้อินก็รู้สึกตกตะลึงในใจเพราะไม่คิดว่าตนจะเป็นผู้ถือครองกายาศักดิ์สิทธิ์เพลิงชำระล้าง แต่ก็ก็ไม่ได้เอ่ยเเทรกถามแต่อย่างใดเขาจะคงยืนนิ่งตั้งใจฟังสิงที่เสวี่ยอวี๋หกล่าวต่อ

หลังจะหยุดชะงับไปขณะหนึ่งเสวี่ยอวี๋ก็พูดต่อว่า

"กายาศักดิ์สิทธิ์คือร่างกายที่สุดแสนวิเศษมีไว้เพื่อบรรจุพลังศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ยังมีความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินได้ด้วยตัวเอง ทำให้ผู้ที่ครอบครองมีระดับฝึกตนก้าวล้ำกว่าคนทั่ว ๆ ไปอย่างเทียบไม่ติด

แต่ถึงอย่างนั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ก็ถือว่ายังมีจุดอ่อน คือ หากผู้ที่ครอบครองกายาศักดิ์สิทธิ์ปล่อยให้ระดับพลังของตนเลื่อนระดับเร็วเกินไปก็อาจจะส่งผลเสียต่อรากฐานการฝึกตนได้ ส่วนพลังศักดิ์สิทธิ์คือพลังปราณทั่วไปที่มีปราณศักดิ์สิทธิ์รวมอยู่ หากนำพลังธาตุเดียวกันมาปะทะกันฝั่งที่ไม่มีปราณศักดิ์จะไม่ใช่คู่ต่อสู้แม้แต่น้อย

เเต่เนื่องจากคนเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือขอบเขตของฟ้าดินทำให้ทุกครัังที่เลื่อนระดับขั้นจะต้องรับทัณสวรรค์ที่รุนแรงกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปหลาย 10 เท่า หากไม่มีการเตรียมตัวเพื่อรับทัณฑ์สวรรค์นั้นก็คงเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เสวี่ยอวี๋พูดพร้อมปลายตามองไปยังฉินหยาง ฉินหยางที่กำลังตั้งใจฟังก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยและเอ่ยถามว่า

"เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าก่อนที่จะเลื่อนขั้นแต่ละขั้นข้าต้องกดพลังไว้ให้พลังเสถียรเสียก่อนงั้นสินะ"

"ไม่เลว เจ้าเข้าใจได้ถูกต้องแต่นั่นก็ถูกเพียงครึ่งเดียวนอกจากจะกดพลังไว้แล้วเจ้าต้องบีบอัดมันยิ่งเจ้าบีบอัดได้หนาแน่นเพียงใดพลังปราณของเจ้าก็จะยิ่งมันคงและทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น"

"แต่ไม่ใช่ว่าพูดแล้วจะสามารถทำได้อย่าดูถูกพลังของกายาศักดิ์สิทธิ์แม้ในยามเจ้าหลับหากเจ้ากดพลังไม่อยู่แล้วเผลอทะลวงระดับตอนยังไม่ได้เตรียมพร้อมนั่นก็เป็นหายนะเช่นกัน"

เสวี่ยอวี๋เงียบไปอีกครั้งก่อนจะพูดต่อว่า

"เเต่เจ้ายังไม่ต้องกังวลไป ปกติแล้วผู้ที่จะชักนำทัณฑ์สวรรค์ได้ต้องก้าวเข้าสู่ระดับราชันย์มนุษย์เสียก่อนหรือต่อให้เป็นผู้อยู่เหนือกฏฟ้าดินก็ต้องก้าวเข้าสู่ระดับเหนือมนุษย์เพราะฉะนั้นยังมีเวลาให้เจ้าได้เตรียมตัวอีกมาก"

ฉินหยางที่ได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว เขาพึ่งก้าวเข้าสู่วัฏจักรของผู้ฝึกตนไม่นานเรียกได้ว่าแค่คืนเดียว การที่เขาต้องมาย่อยข้อมูลเหล่านี้แน่นอนว่าสำหรับเด็ก 15 ปี อาจรู้สึกหนักหนา ก่อนจะเอ่ยถามบางอย่างขึ้นมา

" เสวี่ยอวี๋ เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้ามีพลังระดับใด"

จู่ ๆ ฉินหยางก็โพร่งคำถามขึ้นมา

"ดูดซับลมปราณขั้นที่ 5 เจ้าสามารถรับรู้ด้วยตัวเองได้ลองตั้งสมาธิเพ่งจิตไปมีาจุดตันเถียรของเจ้า"

ฉินหยางลองทำตามที่ เสวี่ยอวี๋พูดในทันทีหลังจากที่เขาเพ่งจิตสมาธิไม่นานเขาก็พบเข้ากับเเสง 5 จุดที่มีเปลวเพลิงห่อหุ้มอยู่ภายในจุดตันเถียรของเขา

"เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่ กลุ่มก้อนพลังนั่นคือปราณฟ้าดินที่เจ้าดูดซับเข้าไปยังไงล่ะ โดยระดับดูดซับลมปราณขั้นที่ 5 คือการดูดซับปราณฟ้าดินเข้าไปกักเก็บในร่ากาย จนสามารถกักเก็บในร่างกายได้ 5 จุด ซึ่งผู้วิเศษระดับดูซับลมปราณทั่วไปต้องดูดซับและกักเก็บปราณฟ้าดินให้ได้ 9 จุด หรือที่เรียกว่าดูดซับลมปราณขั้นที่ 9 จึงจะสามารถยกระดับพลังถัดไป "

เสวี่ยอวี๋พูดแทรกขึ้นมาในขณะที่ฉินหยางกำลังเพ่งสมาธิ ฉินหยางครุ้นคิดตามคำพูดของเสวี่ยอวี๋และดูเหมือนเขาจะคิดอะไรได้บางอย่างจู่ ๆ เขาก็นั่งลงขัดสมาธิ

"เจ้าคิดจะทำอะไร"

เสวี่ยอวี๋เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยในการกระทำของฉินหยาง

"ข้าอยากจะทดลองทำบางสิ่งบางอย่าง"

พูดจบฉินหยางก็หลับตาลงเข้าสู่สมาธิ เขาเพ่งจิตสมาธิไปยังกลุ่มก้อนปราณทั้ง 5 จุด ก่อนจะควบคุมให้พลังงานทั้ง 5 จุด หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

"บีบอัด!!"

ฉินหยางตะโกนขึ้นในใจ กลุ่มก้อนปราณทั้ง 5 จุด ที่อยู่ภายในตันเถียรของฉินหยางเริ่มมีการขยับเคลื่อนไหวช้า ๆ และต่อมาไม่นาน ก้อนปราณทั้ง 5 จุด ก็หมุนวนโคจรเป็นวงกลมและค่อย ๆ เคลื่อนที่เข้าหากันมากขึ้นเรื่อย ๆ

เสวี่ยอวี๋สังเกตเห็นพลังงานภายในร่างกายของฉินหยางเขาถึงกับตกตะลึงและอุทานอยู่ในใจ

"บ้าน้า..เด็กนี่ อย่าบอกว่าเขาคิดจะ.."

ยังไม่ทันที่เสวี่ยอวี๋จะตกตะลึงเสร็จจู่ ๆ กลุ่มก้อนปราณ 4 ใน 5 ก้อนก็ถูกฉินหยางบีบอัดจนกลายเป็นก้อนเดียวกันได้ในที่สุด ก้อนปราณที่ถูกบีบอัดเปล่งแสงสว่างจ้ามากกว่าก้อนปราณทั่วไปหลายเท่า

แต่ยังไม่จบเเค่นั้นฉินหยางพยายามจะรวมอีกก้อนเข้าไป แต่ทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถทำให้มันหลอมรวมได้ ถึงอย่างนั้นในตอนนี้ร่างกายของฉินหยางก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาล กลิ่นอายรอบตัวเขาที่แผ่ออกมานั้นแตกต่างจากตอนก่อนหน้าอย่างชัดเจน หลังจากพยายามอยู่นานก้อนปราณก็ไม่ยอมหลอมรวมเข้ากับส่วนที่เหลือ ฉินหยางก็ลืมตาขึ้น เขาจึงถอนหายใจออกมาก่อนบ่นพึมพำว่า

"น่าเสียดายจริง ๆ ข้าไม่สามารถหลอมรวมทั้ง 5 จุด ให้เป็นก้อนเดียวได้ไม่เช่นนั้นละก็…"

เสวี่ยอวี๋ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉินหยางมาตลอดได้ยินสิ่งที่ฉินหยางพูดก็ได้แต่เบ้ปากพูดขึ้นในใจ

"เด็กนี่มันปีศาจชัด ๆ แค่คิดจะทำก็ทำได้เลยงั้นรึ..ก็พอเข้าใจว่าเป็นตัวตนเหนือกฏฟ้าดินแต่แบบนี้มันเกินไปหน่อยหรือไม่ต่อให้เป็นข้าในยุคนั้นก็ไม่สามารถทำได้ถึงขนาดนี้อย่างมากข้าคงบีบอัดเข้าด้วยกันได้เพียง 2 ลูกเท่านั้น แต่นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดียิ่งเด็กคนนี้แข็งแกร่งเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อแผนการของข้าในอนาคตมากเท่านั้น"

เสวี่ยอวี๋พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะยกยิ้มมุมปากราวกับมีแผนการในใจ

"อะ แฮ่ม ยอดเยี่ยมมากทำได้ไม่เลว เจ้าช่างทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ หากเป็นเช่นนี้เรื่องการตามหาดวงจิตที่เหลือของข้าคงไม่ต้องห่วงอันใดแล้ว"

ฉินหยางได้ยินก็ทำเพัยงยกยิ้มเบา ๆ ก่อนจะพูดตัดบทขึ้นว่า

"เอาละข้าว่าถึงเวลาที่จะต้องเดินทางกลับบ้านแล้วข้ารู้สึกเป็นห่วงแม่ข้าเหลือเกินหวังว่าจะสามารถรักษาอาการป่วยของแม่ข้าได้"

ฉินหยางพูดพร้อมลุกขึ้น

"เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวล"

เสวี่ยอวี๋ตอบกลับเพียงสั้น ๆ ก่อนจะสบัดแขนเสื้อเบา ๆ หนึ่งครั้งร่างของเขาค่อย ๆ เลือนรางและหายไปอย่างสมบูรณ์

"ข้าจะอาศัยอยู่ในไข่มุกนี้เพื่อคงพลังวิญญาณไว้ หากเจ้ามีปัญญาใดเพียงเพ่งสมาธิมาที่ไข่มุก เจ้าจะสามารถคุยกับข้าได้"

เสียงของ เสวี่ยอวี๋ที่หายตัวไปดังขึ้นมาอีกครั้งจากไข่มุกในมือของฉินหยาง

ฉินหยางพยักหน้าตอบตกลง เขาเก็บไข่มุกจิตวิญญาณเข้าไว้บริเวณอกเสื้อแล้วออกเดินทางกลับเพื่อไปรักษาแม่ของตน...

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!