NovelToon NovelToon

กระสือซอมบี้: การเดินทางสู่ความมืดมน

งานเลี้ยงวันเกิด

เวลา 19.18 น. แม้ว่าความมืดจะโรยตัวลงมาครอบคลุมท้องฟ้าไปแล้ว แต่ท้องฟ้าในช่วงกลางฤดูร้อนอย่างนี้ก็ยังคงมีแสงสุดท้ายเรื่อเรืองอ้อยอิ่งอยู่ที่ขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ราวกับอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจะลาลับจากโลกไป และความร้อนชนิดที่ชวนตับแล่บก็ยังคงไม่ผ่อนคลายลงไปเลยสักนิดเดียว แสงสว่างจากหลอดไฟถนนภายในโครงการหมู่บ้านชลัดดาวิลล์เริ่มสว่างไสวขึ้น หมอทินเพิ่งจะเลื่อนรถเข้าที่จอดเรียบร้อยหลังจากที่ขับกลับมาจากที่ทำงานด้วยอาการกระปกกระเปลี้ยเพลียแรงเต็มทน เขาไม่ได้นอนมาเป็นเวลาเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงเข้าไปแล้ว เพราะหน้าที่การงานมันบังคับให้ต้องจำยอมและจำทน

กว่าจะแข็งใจขับรถกลับมาถึงบ้านได้นี่ก็หวิดๆ จะหลับในพุ่งเข้าใส่เสาไฟฟ้าอยู่หลายครั้ง จนถึงตอนนี้เขาแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเปิดสวิตช์ไฟฟ้าด้วยซ้ำ ยังดีที่เขาตัดสินใจทำให้บ้านนี้มันฉลาดเป็นสมาร์ทโฮมไปเมื่อเดือนที่แล้ว แม้ว่าจะต้องปรับเปลี่ยนอะไรหลายอย่างภายในบ้านให้สามารถเชื่อมต่อกันเพื่อให้บ้านของเขาฉลาดสมกับเป็นบ้านของแพทย์นิติเวชมือฉมังอย่างเขา และมันก็คุ้มค่า...รึเปล่านะ?! เขาชักไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือผิดเสียแล้วสิ เพราะสิ่งที่เขาเพิ่งจะใช้การเดาสุ่มเพื่อสั่งให้มันทำงานได้ก็คือการเปิดปิดไฟฟ้าภายในบ้านได้จากสมาร์ทโฟนเท่านั้นเอง เกือบทั้งเดือนที่ผ่านมาเขาแทบจะไม่ได้กลับบ้านเลยด้วยซ้ำ ชีวิตมีแต่งาน งานและงานเท่านั้นในช่วงที่ผ่านมานี้ ยังไม่มีเวลาว่างจะมาเรียนรู้วิธีใช้งานบ้านที่แสนจะฉลาดของเขาเลย

เขาเดินสะโหลสะเหลเข้ามาในบ้านที่สว่างไสวด้วยแสงไฟอัจฉริยะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ค่ำคืนนี้ภายในบ้านดูเงียบกว่าปกติ นั่นก็เป็นเพราะว่าไอริณ ภรรยาสาวของเขามีความจำเป็นที่จะต้องกลับไปดูแลแม่ของเธอที่ล้มป่วยลงด้วยโรคชรา และยังต้องอยู่โยงต่อไปอีกหลายวันจนกว่าน้องชายของเธอจะกลับจากธุระมารับช่วงต่อ มันเป็นเพราะเขาไม่สามารถที่จะหยุดงานได้ จึงจำเป็นต้องยอมปล่อยให้เธอกลับไปคนเดียว ตอนนี้ถึงแม้จะง่วงงุนสักเพียงใด แต่ด้วยความเคยชินกับการจัดการอาการง่วงหงาวหาวนอนอยู่เสมอ แทนที่จะตรงไปหาเตียงแล้วล้มตัวนอนสลบไสลไปจนเช้า เขากลับตรงเข้าครัวแล้วสั่งให้เครื่องต้มกาแฟทำงานเอาไว้ ก่อนจะเดินขึ้นห้องนอนเพื่อผลัดเสื้อผ้าออก จากนั้นก็หายเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเพื่อเรียกความสดชื่นให้กลับคืนมา และอีกราวยี่สิบนาทีต่อมา นายแพทย์ทิน โชคมงคลกิตติภูมิ ก็ถือถ้วยกาแฟถ้วยโตขึ้นมายืนจิบรับลมร้อนตอนหัวค่ำอยู่ที่ระเบียงห้องนอนของเขา โดยมีเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวคลุมร่างเพียงตัวเดียว

เสียงเพลงของหัวหน้าแก๊งฟันน้ำนมดังแว่วๆ มาพร้อมกับเสียงพวกเด็กๆ ตะโกนว๊ากตามท่อนฮุกของเพลงอย่างเอาจริงเอาจัง และเสียงหัวเราะเฮฮาดังมาจากบ้านของเพื่อนบ้านที่อยู่ถัดไปสองหลัง ดังมาดึงดูดความสนใจของเขา เสียงเด็กๆ ที่หัวเราะอย่างมีความสุขนั้นทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวได้เสมอ จับใจความได้ว่านั่นเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของใครสักคนที่อยู่ในบ้านหลังนั้น และจะต้องเป็นติ่งตัวน้อยๆ ที่เหนียวแน่นของคู่ดูโอ้หัวหน้าแก๊งอย่างแน่นอน ครั้งสุดท้ายที่เขาสัมผัสกับกับบรรยากาศของปาร์ตี้วันเกิดนี่มันเมื่อไหร่กันนะ หมอทินเริ่มปล่อยความคิดให้ล่องลอย ถึงแม้จะแสนเหนื่อยและอ่อนเพลียมากมายอย่างนี้ก็เถอะ และแม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าการพักผ่อนนอนหลับเป็นสิ่งจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมนุษย์ผู้ใช้มันสมองเป็นอาวุธก็ตาม แต่เขากลับรู้สึกว่าการนอนหลับนั้นทำให้เขาต้องสูญเสียเวลาอันมีค่าไปอย่างน่าเสียดายตั้งหลายชั่วโมงต่อวัน ดังนั้นเขาจึงไม่ใคร่จะกระตือรือร้นอะไรเมื่อถึงเวลาที่จะต้องเข้านอนวักเท่าไหร่ และดูเหมือนว่าแนวคิดนี้มันจะเหมาะเหม็งกับอาชีพหมอผ่าศพของเขายังกับผีเน่ากับโลงผุเสียด้วยสิ บ่อยครั้งที่ภรรยาของเขา ไอริณ จะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่เขาก็มักจะทำเป็นเฉยและเฉไฉไปเรื่องอื่นทุกครั้งไปเช่นกัน

ชายหนุ่มมองไปที่นอกกำแพงรั้วของหมู่บ้านด้านที่ยังคงเป็นที่นาแปลงเล็กๆ ที่อยู่ทางด้านข้างของตัวหมู่บ้าน ถัดไปราวหนึ่งร้อยเมตร เป็นที่ตั้งของบ้านไม้เก่าโกโรโกโสหลังนั้น ที่ไม่รู้ว่ารอดพ้นจากน้ำมือของพวกนายทุนบ้านจัดสรรมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยหมู่บ้านขนาดใหญ่ทั้งสามด้าน ส่วนด้านที่เหลือก็เป็นที่ตั้งของโกดังขนาดใหญ่ของบริษัทขนส่งสินค้าแห่งหนึ่ง ทำให้กลายเป็นที่ตาบอดไปโดยปริยายอย่างนั้น หมอทินสงสัยว่ามันจะมีคนอยู่อาศัยแยู่ในบ้านนั่นหรือเปล่านะ เพราะเท่าที่เคยสังเกตดูตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ เขาก็ไม่เคยได้เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ ของบ้านหลังนั้นเลย

แต่ก็นั่นแหละ เขาจะไปรู้ได้ยังไง นับครั้งได้ที่เขาจะให้ความสนใจกับบ้านเก่าๆ หลังนั้น อย่าว่าแต่บ้านร้างนั่นเลย แม้แต่บ้านใกล้เรือนเคียงรั้วชิดติดกันอย่างบ้านข้างๆ นี่ เขายังไม่รู้เลยว่าใครเป็นใครบ้าง เพราะไม่มีโอกาสที่จะไปทำความรู้จักเนื่องจากการงานที่รัดตัวจนแทบกระดิกปลีกตัวไปไหนไม่ได้เลย อีกอย่างมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่เขาจะต้องไปจับตามองเสียหน่อย เขายืนจิบกาแฟไปอย่างทอดอารมณ์ พยายามอย่างยิ่งที่จะผ่อนคลายกายและถอนใจออกห่างจากงานชั่วคราวเพื่อที่จะได้พักผ่อนเสียที แต่กลับกลายเป็นว่าความนึกคิดของเขาก็ตีรวนหวนกลับไปที่ห้องทำงานของเขาอีกจนได้

ตั้งแต่ทำงานนิติเวชมาเป็นเวลาสิบสามปี เคสล่าสุดนี้ดูเหมือนจะเป็นเคสที่แปลกและน่าตื่นตะลึงสะพรึงที่สุดในชีวิตการทำงานของเขาเลยก็ว่าได้ เขาเคยผ่าชันสูตรศพที่ตายอย่างผิดธรรมชาติมาก็ไม่น้อย แต่ไม่มีเคสไหนที่จะทั้งน่าสยองและแปลกประหลาดเทียบกับเคสนี้ได้เลย ศพถูกพบอยู่ในโกดังร้างที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านที่เขาอยู่นี้ไปเพียงแปดร้อยเมตรเท่านั้น เป็นศพของผู้หญิงคนหนึ่งสภาพศพของเธอดูสดใหม่แต่ไม่มีหัวและกระดูกสันหลัง รวมถึงอวัยวะภายในบางชิ้น อย่างหลอดอาหารลำไส้และกระเพาะอาหารถูกเอาออกไปจากร่างของเธอ จนถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่มีใครค้นหาชิ้นส่วนเหล่านั้นเจอเลย จากการผ่าพิสูจน์ที่เขาหน้าดำคร่ำเคร่งทำมาตลอดเวลามากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนนี้ พบว่าเส้นใยประสาทส่วนบนของลำตัวก็หายไปด้วยเช่นกัน

ที่น่าประหลาดก็คือ กระดูกซี่โครงของศพถูกแหวกออกจนอ้ากว้างตรงกึ่งกลางของกระดูกสันอกแมนูเบรียมบริเวณใต้ลูกกระเดือกลากยาวลงไปถึงใต้สะดือ ในความเป็นจริงแล้ว การที่ศพถูกแหวกอกอย่างนี้ เป็นเรื่องปกติไม่ใช่รึไงที่จะต้องมีเลือดทะลักออกมาจากบาดแผลที่เกิดการฉีกขาดเนืองนองเต็มเพื้นไปแล้ว แต่ศพนี้กลับไม่มีเลือดออกเลยแม้แต่หยดเดียว แถมรอยแหวกต่างๆ ทั้งรอยแยกระหว่างกระดูกหน้าอกและกล้ามเนื้อต่างๆ ที่เกิดขึ้นตอนที่ฆาตกรตัดเอาหัวและกระดูกสันหลังออกไปนั้น กลับไม่ทิ้งร่องรอยรูปแบบของมีคมใดๆ ปาด เฉือนหรือเฉาะผ่านเนื้อหนังเข้าไปไว้ให้เห็นเลยแม้แต่รอยขีดข่วน คล้ายกับว่ามันถูกถอดออกไปเหมือนแยกส่วนตัวต่อเลโก้ยังไงยังงั้น "มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ!" เขาเผลอสบถออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้อย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้

จากการเปรียบเทียบลายนิ้วมือของศพเพื่อระบุอัตลักษณ์บุคคลที่เขาได้รับข้อมูลมาจากทางตำรวจ เป็นหลักฐานเพียงอย่างเดียวที่ทำให้รู้ว่าศพนี้เป็นของหญิงสาว อายุประมาณ 25-30 ปี ชื่อนางสาวราตรี เพ่งตามอง มีอาชีพเป็นพนักงานขายของร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง มีการพบเห็นเธอเป็นครั้งสุดท้ายที่บริเวณร้านค้าริมถนนใกล้ที่พักของเธอ ก่อนที่จะมีคนไปพบว่าเธอกลายเป็นศพไม่มีหัวไปเสียแล้ว อยู่ในโกดังร้างแห่งย่านชานเมืองใกล้ๆ กับที่ทำงานของเธอนั่นเอง ไม่มีใครรู้ว่าเธอไปทำอะไรที่นั่นกันแน่ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เขาจะต้องไปใส่ใจ คำถามตัวโตเท่าตึกวนเวียนอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลานับตั้งแต่เดินออกจากห้องทำงานเมื่อชั่วโมงที่แล้ว และมันก็ยังอ้อยอิ่งอยู่กับเขามาจนถึงตอนนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถหาคำตอบให้กับคำถามนั้นได้เลย นั้นก็คือ...แล้วหัวของศพนั่นหายไปไหน??!

แล้วความคิดของเขาก็มีอันต้องสะดุดลง เมื่อมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจไปหาอย่างปุบปับฉับพลัน สายตาของเขาสะดุดเข้ากับดวงไฟสีแดงปนเขียวสามดวงลอยออกมาจากมุมมืดของบ้านไม้เก่าหลังนั้น แสงนั่นกระพริบสลับสีไปมาระหว่างเขียวกับแดงเป็นจังหวะกระชั้นวิบวับอยู่ในอากาศที่มืดมิดข้างนอกแนวรั้ว มันใหญ่เกินกว่าที่จะเป็นหิ่งห้อยและอยู่สูงเกินกว่าที่ไฟฉายหรือไฟประดิษฐ์ใดๆ จะขึ้นไปทำแสงแบบนั้นได้ และเขาก็มั่นใจสุดๆ ว่าสิ่งนั้นไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับ UFO หรือมนุษย์ต่างดาวอย่างแน่นอน พวกมันฉวัดเฉวียนตรงรี่เข้าหาหมู่บ้านอย่างรวดเร็วและ ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีจุดหมายที่แน่นอนอยู่ที่บ้านหลังที่กำลังมีปาร์ตี้วันเกิดที่กำลังสนุกสนานครึกครื้นนั่น หมอทินพยายามเขม้นมองจนลูกตาแทบจะทะลุกระจกแว่นตาออกมาอยู่แล้ว แต่ในระยะไกลขนาดนี้เขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นแสงของอะไรกันแน่ มันลอยลิ่วๆ เข้ามาทางหมู่บ้านและถูกตัวบ้านหลังใหญ่สองชั้นที่อยู่ถัดจากบ้านของเขาบดบังไปเสียจากสายตา

"อะไรวะน่ะ?" เขาพึมพำถามตัวเอง แต่แล้ว...การเพ่งตามองแสงประหลาดนั้นมันทำให้เขาเกิดอาการปวดขมับจิ๊ดขึ้นมา "โอย...บ้าเอ๊ย!" เขาสบถ พลางถอดแว่นตาทรงเหลี่ยมกรอบบางออกแล้วใช้นิ้วนวดขมับและหัวคิ้วเพื่อบรรเทาอาการ ดูเหมือนว่าการเพ่งตามองเข้าไปในจุดโฟกัสเล็กๆ ในความมืดนั่นจะทำให้เกิดอาการตาล้าเสียแล้วสิ ชายหนุ่มสวมแว่นตากลับเข้าที่ แล้วจู่ๆ ความง่วงหงาวหาวนอนก็เปิดฉากโจมตีเขาอย่างฉับพลัน เขาสะบัดหัวไล่ความง่วงงุนแล้วเปิดปากหาว พลางคิดว่าคงจะต้องถึงเวลาชาร์จแบตเตอรี่ให้ร่างกายเสียแล้วสินะ เขาตัดสินใจปล่อยเรื่องลูกไฟประหลาดนั่นออกไปจากหัวขณะที่เปิดปากหาวหวอดๆ อย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นเอง ปากของเขาก็ใีอันต้องค้างเติ่งอยู่กลางอากาศก่อนที่ความง่วงจะหายมลายวับไปเกือบจะในทันทีอย่างกับมีใครมาบีบท่อน้ำเลี้ยง กลายเป็นความตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้งด้วยอะดรีนาลีนที่ถูกสูบฉีดไปทั่วร่างกายอย่างปุบปับฉับพลัน

เสียงหวีดร้องเอะอะโวยวายอย่างแตกตื่นตกใจดังกระหึ่มขึ้นอย่างกะทันหัน กลบเสียงเพลงรื่นเริงของปาร์ตี้วันเกิดจนเกือบจะหมดสิ้น พร้อมกันกับที่เสียงหัวเราะเหือดหายไปจนหมดสิ้น กลับกลายเป็นเสียงร้องไห้ของพวกเด็กๆ ขึ้นมาแทน "หนีออกมา เร็วเข้า! มันไปทางนั้นแล้ว โอ้ย! ไปให้พ้นนะ!" เสียงของผู้ชายแหกปากร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่น "ว๊ายๆๆ เขาโดนมันกัดแล้ว ตายๆๆๆ ห้ามเลือดเขาก่อนเร็วเข้า ตะเอง...พาเด็กๆ เข้าบ้านไป" อีกเสียงของผู้ชายอีกคนที่ลีลาการพูดไม่ได้ตรงกับน้ำเสียงที่แหบห้าวนั่นเลยสักนิด เขาตะโกนโหวดเหวกเสียงแปร๋นๆ พอๆ กับช้างตื่นไฟ ประสานกับเสียงเด็กๆ ร้องไห้จ้าและเสียงแหลมปรี๊ดกรี้ดสนั่นของผู้หญิงอีกหลายคนดังประสานกันระงมไปหมด ไม่ทันไรเสียงหวีดร้องของผู้หญิงในวอลลุ่มที่ดังกว่าเป็นสิบเท่าก็ดังขึ้นมาข่ม "อย่าาาาา! ว้ายยยยย กรี้ดดดดด!" "อั๊ย! ออกไปให้พ้นนะ ไอ้ตัวบ้า! ช่วยด้วยค้าาาาคุณขาาาา...ช่วยด้วย!" เสียงผู้ชายคนเดิมตะโกนร้องขอความช่วยเหลือดังลั่น ทุกอย่างฟังดูสับสนวุ่นวายไปหมด

"เกิดบ้าอะไรขึ้นวะนั่น!?" หมอทินสบถอย่างตื่นตระหนกต่อสิ่งที่เขาได้ยิน อาการง่วงหงาวหาวนอนหายเป็นปลิดทิ้ง เขาวิ่งกลับเข้าไปในห้องนอนตรงไปยังลิ้นชักของโต๊ะหัวเตียง เปิดลิ้นชักบนสุดออกแล้วคว้าเอาปืนลูกโม่สมิทธิ์แอนด์วัตสัน687ขึ้นมาตรวจเช็ครังเพลิงให้แน่ใจว่ากระสุนถูกบรรจุไว้ครบทั้งหกนัดแล้ว จากนั้นก็วิ่งออกจากห้องนอน กระโจนลงบันไดตรงไปหาประตูหน้าบ้าน โดยที่เขาลืมไปเสียสนิทว่าทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำตัวเดียวเท่านั้นที่ปกปิดร่างกายอยู่

เมื่อเขาวิ่งออกมาจากประตูรั้วบ้านมุ่งตรงไปยังบ้านหลังที่เกิดเหตุ ตอนนี้ความโกลาหลกำลังลุกลามออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้ว ร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของชายหญิงสี่ห้าคนวิ่งถลาออกมาสู่ถนนหน้าบ้านแล้วเตลิดเปิดเปิงไปกันคนละทิศละทาง รวมถึงผู้ชายเจ้าของเสียงร้องขอความช่วยเหลือคนนั้นด้วย "ช่วยด้วยค่าาา...อยู่ไม่ไหวแล้ว ตัวใครตัวมันก่อนนะคะคุณแม่ขาาาา!" เขาแหกปากไปพร้อมกับวิ่งตูดแป้นหนีไปทางท้ายหมู่บ้าน บ้านหลายหลังในละแวกนั้นเริ่มออกจากบ้านมาชะเง้อคอยาวยืดเป็นยีราฟขี้สงสัยเพื่อมองดูเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น หลายคนเริ่มจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเมามัน ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งวิ่งออกมาเพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ

"เกิดอะไรขึ้นครับคุณ เฮ้...คุณ!" หมอทินพยายามตะโกนถามชายหญิงวัยรุ่นคู่หนึ่งที่วิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากประตูรั้วบ้านมาทางเขาพร้อมกับร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดที่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ แต่สองคนนั้นกลับวิ่งเตลิดหนีออกไปโดยที่ไม่สนใจจะหันมาแม้แต่จะมองเขาด้วยซ้ำ "เกิดอะไรขึ้นครับคุณหมอ!" เป็นเสียงละล่ำละลักถามดังมาจากทางด้านหลัง ตามมาติดๆ ด้วยเสียงโลหะกระทบกันดังแกร๊ก "ปัดโธ่เว้ย! จะมาหลุดอะไรตอนนี้วะเนี่ย!" หมอทินหันไปมองก็พบว่าเขาคือรปภของหมู่บ้านที่กำลังทิ้งจักรยานตรวจการณ์ของเขาที่เหมือนจะมีปัญหากับโซ่ลงข้างทางโครมเบ้อเร่อเพราะลืมตั้งขาตั้ง เขาปล่อยให้มันล้มนอนแอ้งแม้งอย่างไม่แยแสแล้ววิ่งตรงเข้ามา "เกิดอะไรขึ้นครับคุณหมอ ทำไมสองคนนั้นถึงได้เลือดโชกอย่างนั้นล่ะครับ ผมเรียกก็ไม่ยอมตอบ วิ่งแน่บเข้าบ้านไปเลย" รปภหนุ่มถามด้วยความตื่นตกใจ "สองคนนั่นเป็นคนในหมู่บ้านเราเหรอ" หมอทินถาม "ครับ ลูกสาวบ้านตรงข้ามบ้านคุณหมอนั่นแหละครับ แล้วผู้ชายคนนั้นก็น่าจะเป็นแฟนเธอมั้งครับ แต่...ผมก็ไม่แน่ใจหรอกนะครับ" รปภตอบเร็วปรื๋อ

"แล้วนี่...เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ มีใครเป็นอะไรอีกรึเปล่า แล้วคุณหมอเป็นอะไรรึเปล่าครับ" รปภหนุ่มร่างเล็กจัดการรัวคำถามชุดใหญ่ไฟกระพริบใส่ยังกับเป็นหมอซักคนไข้เสียเอง ไม่ทันที่หมอทินจะได้ตอบอะไร เสียงกรีดร้องของผู้หญิงมากกว่าหนึ่งคนก็ดังขึ้น เสียงร้องนั้นโหยหวนอย่างคนที่ได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างสาหัสสากรรจ์เอามากๆ และน่าจะดังมาจากทางสนามด้านข้างของตัวบ้าน "พจน์ ช่วยโทรเรียกรถฉุกเฉินที ตำรวจด้วย...ด่วนเลย!" ชายหนุ่มตะโกนสั่งรปภหนุ่มที่ทำหน้าตื่น พยายามชะเง้อคอมองข้ามกำแพงรั้วบ้านที่สูงเกินกว่าที่คนตัวเล็กอย่างเขาจะมองอะไรเห็นได้ "แล้วจะให้เรียกปอเต็กตึ๊งหรือร่วมกตัญญูดีครับหมอ!" ไอ่หนุ่มรปภลนลานถาม "จะเรียกให้มาแย่งกันเก็บศพแมวตายท้องกลมรีไง...ไม่ต้อง!" หมอทินตะคอกอย่างเผลอตัว ก่อนที่เขาจะหมุนตัวกลับและวิ่งเข้าในเขตบ้าน เพื่อตรงไปหาต้นเสียง

เขาวิ่งเร็วจี๋ผ่านเข้าประตูรั้วบ้านที่เปิดกว้างมาถึงสนามหญ้าหน้าบ้านที่ตอนนี้ร้างราผู้คนไปแล้วโดยไม่มีใครเต็มใจจะดุษณีแน่ๆ ข้าวของสำหรับงานเลี้ยงกลับกลายเป็นเพียงเศษขยะที่แตกหักเสียหายและระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ บนพื้นหญ้ามีกองเลือดสดๆ ติดอยู่เต็มไปหมด เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีทั้งเด็กชายหญิงรวมสามคนกับผู้ชายอีกหนึ่งและผู้หญิงอีกสองคน จับกลุ่มกันอยู่หลังประตูกระจกเลื่อนที่น่าจะปิดสนิทไปแล้วเพื่อกันไม่ให้อะไรที่พวกเขาต้องหนีนั่นบุกเข้าไปได้ พวกเขามีอาการตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ที่พากันร้องไห้กระจองอแงเสียงลั่นจนทะลุกระจกมาเข้าหูเขา "บ้าอะไรวะเนี่ย!" หมอทินสบถ

ชายหนุ่มวิ่งตรงไปตรงจุดที่เขาคิดว่าจะเป็นจุดที่เสียงกรีดร้องนั้นดังมา และทันทีที่เขาโผล่พ้นมุมบ้าน"เห้ยเชี่ย!" หมอหนุ่มต้องหลุดอุทานเสียงหลง สองเท้าหยุดชะงักกึกอย่างกะทันหันจนหัวแทบคะมำ เมื่อเห็นภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ร่างสามร่างนอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวสดที่ถูกตัดแต่งไว้เป็นอย่างดี ที่กลางหน้าอกของร่างเหล่านั้น เสื้อที่สวมใส่อยู่ฉีกขาดออกกระจุยกระจาย กระดูกซี่โครงถูกแหวกอ้าออกกว้างจนมองเห็นอวัยวะภายในเกือบจะครบถ้วนทุกชิ้นเหมือนหุ่นประกอบการเรียนวิชากายวิภาคที่เป็นเนื้อหนังของคนจริงไม่อิงตัวแสดง และที่สำคัญที่สุดก็คือ...ร่างทั้งสามที่นอนเป็นศพอยู่นั่น...ไม่มีหัวคิดอยู่เลยสักศพเดียว! "นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย!" ชายหนุ่มพึมพำขณะที่ตาจับจ้องอยู่กับร่างไร้หัวบนพื้นหญ้าอย่างตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น เขาค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปดูศพที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วต้องเบิกตากว้างพลางยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้หลุดเสียงร้องด้วยความตกใจออกมา แต่มันก็ไม่ได้ผลสักนิด "เชี่ย!" ชัดเลย สภาพศพทั้งสามเป็นเพศหญิงทั้งหมดและพวกเธอมีลักษณะเดียวกับศพที่เขาเพิ่งจะผ่าพิสูจน์ไปหมาดๆ ไม่มีผิดเพี้ยนเลย ทั้งๆ ที่สภาพศพถูกแหกอกจนซี่โครงเปิดอ้าออกอย่างนี้ แต่กลับไม่มีเลือดให้เห็นบนตัวหรือบริเวณรอบๆ ตัวศพเลยแม้แต่หยดเดียว แล้วรอยแหวกที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มีลักษณะของการถูกของมีคมใดๆ ปรากฏให้เห็นเช่นกัน "ให้ตาย เกิดบ้าอะไรขึ้นที่นี่วะเนี่ย!" เขาครางเสียงเบาหวิวผ่านลำคอที่ตีบตันและแห้งผากขึ้นมาดื้อๆ

เก็บตัวอย่าง

ราวครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกคนที่อยู่ภายในบ้านเกิดเหตุก็อดถูกพาออกจากพื้นที่เพื่อส่งไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลก่อนจะดำเนินการตามขั้นตอนอื่นต่อไป แถบกั้นพื้นที่สีขาวสลับแดงก็ถูกขึงติดตั้งไว้รอบตัวบ้านที่เกิดเหตุ เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าพื้นที่นี้ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาตและเป็นเขตกักกันเชื้อขั้นสูงสุด เพื่อกันไม่ให้เหล่าชาวบ้านชาวช่องที่อยากรู้อยากเห็นบุกเข้าไปทำลายหลักฐานในที่เกิดเหตุโดยไม่ตั้งใจ ที่สนามข้างบ้านถูกจัดทำโดมปลอดเชื้อเฉพาะกิจที่ทำจากผ้าพลาสติกหนา คลุมทุกตารางนิ้วของสวนข้างบ้านเอาไว้อย่างมิดชิด ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านเต็มไปด้วยกลุ่มคนราวสิบคนในชุดพีพีอีแบบที่มีหน้ากากกันพิษครอบตรงส่วนครึ่งล่างของใบหน้าเอาไว้อีกต่างหาก ซึ่งมันมิดชิดจนขนาดที่ว่า ต่อให้มองทะลุแว่นตาใสแจ๋วเข้าไปได้ก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครเป็นใคร ถ้าหากไม่มีป้ายชื่อสต๊าฟที่แขวนคอของแต่ละคนบอกเอาไว้ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะยุ่งวุ่นวายกับงานอยู่ตลอดเวลา พากันเดินเข้าๆ ออกๆ อุโมงค์ที่เชื่อมต่อกับโดมปลอดเชื้อกันเป็นว่าเล่นเหมือนเดินเข้าออกห้างสรรพสินค้า

"ทำไมจะต้องใส่ชุดอลังการงานสร้างแบบนี้ด้วยวะเนี่ย ทั้งร้อนทั้งอึดอัดจะตายชัก" หมอทินบ่นอุบขณะพยายามยัดขาข้างที่เหลือเข้าไปในชุดป้องกันด้วยท่าทีจำยอมเนื่องจากการถูกคำสั่งบังคับ "แล้วนี่พวกคุณมาจากหน่วยงานไหนเนี่ย มาวุ่นวายกับสถานที่เกิดเหตุได้ไงกัน ใครส่งพวกคุณมากันแน่" สิบคำถามที่ไม่มีสักตัวช่วยของหมอทิน ไม่ได้รับความสนใจที่จะไขข้อข้องใจของเขาเลยสักนิด "อย่าถามอะไรมากมายเลยน่าหมอ นี่ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในรายชื่อเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานล่ะก็ ผมคงจะส่งคุณออกไปจากที่นี่นานแล้ว เพราะฉะนั้น รีบใส่ชุดนั่นให้เสร็จแล้วเข้าไปทำงานของคุณซะ...ได้โปรด" เป็นคำตอบที่แสนจะไร้ซึ่งเยื่อใยไมตรีจากปากของชายร่างยักษ์ในชุดพีพีอีเต็มยศ ที่คอของเขามีป้ายสต๊าฟแขวนอยู่ และมันบอกว่าเขาชื่อด็อกเตอร์ธานินทร์ ปราบวิญญู มีต้นสังกัดที่ชื่อแปลกประหลาดและยาวเฟื้อยไม่คุ้นตาติดหราอยู่ข้างใต้ชื่อของเขา ศูนย์วิจัยสิ่ง...อะไรสักอย่างซึ่งหมอทินอ่านไม่ทันเพราะหมอนั่นดูเหมือนจะเป็นไฮเปอร์ที่ชอบเคลื่อนไหวร่างกายอยู่ตลอดเวลา โดยมีเจ้าหน้าอีกสองสามคนเดินสวนสนามกันเข้าๆ ออกๆ จากอุโมงค์พลาสติกเพื่อนำเอาสิ่งของบางอย่างมาส่งให้อีตาด็อกเตอร์ธานินทร์เก็บยัดใส่ในกล่องเก็บความเย็นกล่องเบ้อเร่อที่เขาเฝ้าอยู่ นั่นยิ่งทำให้หมอทินเกิดคำถามมากมายหลายประเด็น ปะทุปุ๊ป๊ะขึ้นมาในหัวเหมือนข้าวโพดคั่วป็อปคอร์นในกระทะตั้งไฟ

แม้จะไม่ได้เห็นหน้าคร่าตาแต่ดูจากท่าทีที่เย็นชาของหมอนั่นแล้ว ชายหนุ่มก็พอจะจินตนาการได้ว่าคงจะเป็นพวกด็อกเตอร์สติไม่สมประกอบเจ้าของหน้าตาเทอะทะใบหน้าสี่เหลี่ยมและมีรอบเย็บยึดผิวหนังที่มาจากคนละแหล่งเข้าไว้ด้วยกัน ป่วยการเปล่าที่จะไปเซ้าซี้เอาคำตอบกับแฟร็งเก้นสไตล์แบบนั้น ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะหุบปากเงียบและตั้งหน้าตั้งตาสวมชุดอบไอร้อนสึขาวนี่จนเสร็จเรียบร้อย "อย่าลืมแขวนป้ายสต๊าฟนี่ด้วยนะหมอ" ชายร่างยักษ์พูดเสียงอู้อี้ผ่านหน้ากากกันพิษมาเตือนเขา พร้อมกับวางป้ายชื่อที่เขาเพิ่งจะเขียนชื่อหมอทินลงไปเอาไว้บนโต๊ะสนามหน้าเต็นท์ "จ้าาาา...เค้ารู้แล้วจ้า ตะเอง!" หมอทินตอบแกมประชด ก่อนที่จะเดินงุ่มง่ามออกจากเต็ยท์ตรงไปยังทางเข้าอุโมงค์ปลอดเชื้อ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่อีกคนที่ยืนเฝ้าอยู่เป็นคนเปิดผนึกอุโมงค์ให้เขาเข้าไป

เขาเดินผ่านละอองน้ำยาฆ่าเชื้อที่ถูกพ่นเป็นฝอยลงมาจากท่อเล็กๆ ด้านบนของอุโมงค์ที่ยาวไม่เกินสามเมตร ตรงเข้าไปหาซีปล็อคอีกชั้นก่อนที่จะเข้ามาในตัวโดม ซึ่งมันกลายเป็นสถานที่ที่น่าอึดอัดเอามากๆ จนเขาอยากจะหันหลังกลับออกไปเสียบัดนาว ในโดมแคบๆ นี้มีคนที่เข้ามาทำงานอยู่ก่อนแล้วสามคน แต่ละคนกำลังก้มๆ เงยๆ สำรวจร่างสามร่างที่นอนเหยียดยาวอยู่บนพื้น และดูเหมือนว่าพวกเขาจะพยายามเก็บบางอย่างจากร่างเที่ไร้หัวเหล่านั้นอยู่อย่างขะมักเขม้น! "ได้เรื่องอะไรบ้างไหมครับด็อกเตอร์" หมอทินเอ่ยถามคนในชุดป้องกันที่เขาเดินเข้าไปหา "คะ?...เอ่อ ฉันสกุณาค่ะคุณหมอ ด็อกฯอยู่ทางโน้นค่ะ" หญิงสาวในชุดป้องกันมิดชิดตอบกลับเสียงอู้อี้ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะคิกคักด้วยความขบขันพลางชี้นิ้วไปทีป้ายสต๊าฟของเธอ "อ้าว...คุณนกหรอกเหรอ มาด้วยเหรอเนี่ย โทษที" หมอทินทำท่าทางเงอะงะและกำลังนึกเขินที่ตัวเองเผลอปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเริ่ม

"แหม งานแบบนี้จะขาดนกน้อยสาวแสนสวยคนนี้ได้ไงล่ะคะหมอ ได้โดนด็อกเตอร์แม่แก่บ่นจนหูชาตายไปเลยน่ะสิ" เธอพูดอย่างคนอารมณ์ดี "ย่ะ...ปากดีจริงๆ เลย รีบทำงานให้เสร็จเถอะ ฉันจะกลายเป็นไก่อบขี้เกลืออยู่แล้วเนี่ย" เสียงอู้อี้ของหญิงสาวอีกคนพูดแทรกขึ้น "อีกอย่าง...ป้ายชื่อเขามีไว้ให้มอง ไม่ได้มีไว้เมินนะคะคุณหมอ" ด็อกเตอร์สาวที่ถูกพาดพิงถึงพูดมาจากทางข้างหลัง หมอทินหันกลับไปมองทันที "นั่นคุณตัวจริงใช่มั้ย ด็อกเตอร์รำมะนา" เขารู้ว่ากำลังถามคำถามที่ทำให้ตัวเองดูเป็นตัวประหลาดที่น่าตลก แต่ก็นั่นแหละ เพื่อความแน่ใจก็ถามๆ ไปก่อน ดีกว่าที่จะต้องหน้าแตกภาคสองล่ะน่ะ "เปล่าค่ะ...อันที่จริง ฉันเป็นเอเลี่ยนจากดาวอัลฟา 40715 เอสปลอมตัวมาต่างหากล่ะ" เธอให้คำตอบยียวนกวนประสาทกลับมา ทำให้เขาอดที่จะพ่นลมออกจมูกดังพรืดด้วยความขบขันไม่ได้ กับเสียงอู้อี้เหมือนพูดออกมาจากรูของตัวอะไรสักอย่างที่มาจากดวงจันทร์ "โอเคๆ ผมเชื่อแล้วล่ะว่าคุณเป็นมนุษย์ต่างดาวตัวจริงเสียงจริง" ชายหนุ่มจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะที่ก็อู้อี้ไม่ต่างกัน

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ต่อปากต่อคำกัน เสียงห้าวที่ก็อูัอีัอีกเสียงก็ดังขึ้นจากประตูซีปล็อคทางเข้าโดม "นี่มันต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้่เลยเหรอเนี่ย" เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนคนพูดกำลังหงุดหงิดไม่ชอบใจกับชุดที่ถูกบังคับให้ต้องสวมใส่เอาเสียเลย "อ้อ...สารวัตรเองหรอกหรือ" หมอทินเอ่ยทักทายหลังจากที่เขาเพ่งมองป้ายชื่อแขวนคอของผู้มาใหม่อยู่ชั่วอึดใจ "อย่าบ่นนักเลยน่า อีตาปากมะเขือเปราะ" นักวิจัยสาวดีกรีด็อกเตอร์พูดขัดขึ้น "ทั้งหมดนี่ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองทั้งนั้นแหละ คุณศาลาวัด" เสียงของเธอฟังดูเหมือนยุงขี้หงุดหงิดที่มาบินงู้งิ้อยู่ที่ข้างหู แถมยังมีแววประชดประชันอยู่หน่อยๆ อาจจะเป็นเพราะว่าจริงๆ แล้ว เธอเองก็ไม่ชอบใจนักที่ถูกบังคับให้สวมชุดที่น่าอึดอัดนี่อยู่เหมือนกัน ก็แหงํล่ะ...มีคนสติดีที่ไหนจะชอบใส่ชุดบ้าๆ นี่บ้างล่ะ หมอทินคิด "ให้ตายเถอะ...ใครพอจะบอกได้ไหมว่าทำไมไอ้หมอคิงคองคะนองรักข้างนอกนั่นถึงต้องบังคับให้พวกเราต้องใส่ชุดบ้าๆ นี่ด้วย ร้อนจนง่ามแฉะหมดแล้วเนี่ย!" สารวัตรหนุ่มยังไม่วายจะงอแง

"ใจเย็นสิคะสารวัตร เคสนี้มันอาจจะมีอันตรายจากการติดเชื้อก็ได้ ป้องกันไว้ก่อนก็ไม่เสียหายนี่คะ" หมอทินคิดว่าผู้ช่วยนักวิจัยสาวคงตั้งใจจะพูดปลอบเขาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่เสียงที่ออกมาจากช่องอากาศของหน้ากากกันพิษนั้นกลับทำให้ฟังเหมือนการสื่อสารกันระหว่างนักบินอวกาศกับหอบังคับการภาคพื้นดินไปเสียฉิบ "กระทรวงวิทยาศาสตร์ได้รับการร้องขอจากหน่วยงานองกรณ์ข้ามชาติมาให้ดำเนินการเรื่องนี้น่ะสิ แล้วหวยก็มาออกที่พวกเรานี่ไงล่ะ" ด็อกเตอร์รำมะนาพูดแทรกขึ้น "งั้นเชียว!... ผมรู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ แต่มันจะใหญ่จนถึงขนาดองค์กรข้ามชาติต้องสนใจเข้าแทรกแซงเลยเหรอ!?" นายตำรวจหนุ่มถามอย่างแปลกใจเบอร์ใหญ่มาก

"ดูจากสภาพศพแล้วก็ไม่น่าจะเป็นฆาตกรรมธรรมดาหรอก ถ้าถึงกับต้องส่งฉันมาเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจล่ะก็ ฉันว่ามันเกินธรรมดาไปหลายเบอร์เลยแหละ มันอาจจะหมายความว่า พวกเขาคิดว่าศพพวกนี้อาจจะมีอะไรที่เป็นอันตรายซ่อนอยู่ล่ะมั้ง นั่นเลยทำให้พวกเราต้องมาทนเป็นไก่อบไอน้ำอยู่ในชุดบ้าๆ นี่ไงล่ะ" นักวิจัยสาวพูดยืดยาวเหมือนกับจะระบายความอึดอัดขัดใจของเธอออกมาเสียบ้าง ขณะที่เธอก้มหน้าก้มตาใช้คีบคีบชิ้นตัวอย่างที่บรรจงตัดออกมาใส่ลงไปในแคปซูลปลอดเชื้อ "แถมท่านรัฐมนตรียังโทรมากำชับฉันด้วยตัวเองเลยนะว่า ให้เก็บข้อมูลทุกอย่างให้เป็นความลับสุดยอดซะอีกด้วย เจํงดีไหมล่ะ" เธอพูดจบก็ขยับตัวย้ายไปทำงานกับศพต่อไปที่อยู่ข้างๆ กัน

"งั้นเชียว!? มิน่าล่ะ ถึงได้มีคำสั่งให้กันพวกกู้ภัยออกไปให้หมด เชื่อไหมล่ะว่าพวกนั้นบ่นกันขรมจนหูผมนี่ชาไปหมด แถมผมยังหาเหตุผลมาตอบพวกเขาไม่ได้อีกต่างหาก ผมนี่กลายเป็นไอ้โง่ไปเลยครับ" ถึงจะฟังอู้อี้จนแทบจะจับใจความลำบากไปหน่อย แต่จากใจความที่พูดออกมานั้นมันเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มควบคุมมันไม่อยู่เสียแล้ว "ใจเย็นๆ สารวัตร" หมอทินปราม "ไปกินรังแตนที่ไหนมา ไม่มีใครเขาว่าอะไรคุณสักหน่อย ขนาดพวกเราเองก็ยังไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงต้องมีคำสั่งด่วนลงมาอย่างนี้" เขาพยายามพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มให้รื่นหูเพื่อหวังให้ความร้อนในหัวของนายตำรวจหนุ่มลดลงบ้าง แต่ก็นั่นแหละ หน้ากากบ้านี่มันก็ทำให้ความพยายามของเขาแทบจะไม่ประสบความสำเร็จอย้างที่ตั้งใจไว้เลย

"คุณเป็นคนเจอศพพวกนี้เป็นคนแรกนี่ ใช่ไหม" นายตำรวจหนุ่มหันมาหาหมอทิน "แล้วคุณเห็นอะไรบ้างไหม อย่าง...คนที่น่าสงสัยอะไรพวกนี้น่ะ" คำถามของเขาทำให้หมอทินรู้สึกว่าถูกสอบปากคำเข้าให้แล้ว เขายักไหล่เป็นเชิงปฎิเสธ "ไม่นะ ก็...พอผมมาถึง พวกเขาก็นอนหัวหายกลายเป็นศพอยู่นี่แล้ว" เขาตอบ "ผมเห็นมีคนบาดเจ็บหลายคนอยู่นะ แต่พวกเขาพากันวิ่งหนีอะไรก็ไม่รู้ไปคนละทิศละทาง เหลือไว้แต่คนที่อยู่ในบ้านนั่นแหละ คุณต้องไปถามพวกเขาแล้วล่ะ" หมอทินพูดจบ สารวัตรหนุ่มก็ถอนใจเฮือกใหญ่ "ผมถามแล้ว...แต่ไม่มีใครมีสติพอจะให้ปากคำได้เลยสักคน ไม่รู้ว่าเจออะไรกันเข้าถึงได้ช็อกกันขนาดนั้น คงต้องรอให้ให้พวกเขาสงบลงกว่านี้หน่อย งานนี้พวกสหวิชาชีพมีหัวปวดกับเด็กพวกนั้นแน่ๆ" เขาพูดด้วยความหนักใจ "ชาวบ้านแถวนี้ให้การว่าพวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องเอะโวยวายกันดังลั่น และมีคนวิ่งออกมาจากบ้าน" สารวัตรสิทธาพูด "ใช่ เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังโจมตีพวกเขางั้นแหละ" หมอทินพูดพลางมองไปที่เจ้าหน้าที่ในชุด พีพีอีอีกคนกำลังแหวกซิปล็อคและมุดเข้ามา

ด็อกเตอร์นำมะนาส่งแคปซูลเก็บความเย็นส่งให้คนนั้นรับไปโดยที่ไม่มีการพูดจาทักทายใครเลยสักเอะ ก่อนที่จะเดินกลับออกไปเงียบๆ ท่ามกลางสายตาของทุกคนภายในโดม "อะไรของเขาวะ ไม่พูดไม่จา เข้ามาแล้วก็ออกไป" สารวัตรสิทธาบ่นงึมงำ พลางมองมาที่หมอทินอย่างงงๆ หมอหนุ่มยักไหล่แต่ไม่ได้พูดตอบอะไรออกมา "ฉันว่าอีตานั่นคงเป็นพวกต่อต้านสังคมแหละ" สกุณาเริ่มเม้าท์มอยทันทีที่คล้อยหลัง "มีอย่างที่ไหน พูดด้วยก็ไม่พูดด้วยตั้งแต่เข้ามาละ ไร้มนุษย์สัมพันธ์ระยะสุดท้ายจริงๆ" เธอพูดขณะที่ก้มหน้าก้มลงไปวุ่นวายอยู่กับการเตรียมแคปซูลเก็บความเย็นอันใหม่ "ตายแล้ว...นี่ฉันทำงานอยู่กับผู้หญิงปากร้ายกับผู้ชายมะเขือเปราะเหรอเนี่ย" ด็อกเตอร์รำมะนาแซะ "ตกลง พวกนั้นมาจากหน่วยงานไหนกันแน่นะ" หมอทินเปรยออกมาโดยไม่ได้เจาะจงว่าถามใคร "เท่าที่ปะติดปะต่อเรื่องมา ฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นคนจากองค์กรข้ามชาติล่ะ" สกุณาเป็นคนรับสมอ้างตอบคำถามลอยๆ นั้น "งั้นเชียว!" หมอทินพูดกลั้วหัวเราะด้วยความรู้สึกขบขันกับสิ่งที่เธอพูด

"จริงจังนะคะเนี่ยคุณหมอ คิดดูสิ เคสนี้มีคนตายแบบแปลกๆ แล้วพวกเขาก็เรียกทีมปรสิตวิทยามาใส่ชุดพีพีอีนี่ แถมยังมีพวกคนแปลกๆ เข้ามาควบคุมการทำงานของพวกเราอีก ไม่แน่ว่าพวกนั้นอาจจะมาจากองค์กรที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวหรืออะไรสักอย่างทำนองนั้นก็ได้นะคะ" เธอพล่ามพูดอย่างเมามัน "เพ้อเจ้อเป็นตุเป็นตะใหญ่แล้ว ยัยนกแก้วนกขุนทอง!" ด็อกเตอร์รำมะนาขัดคอขึ้น "พูดไปเรื่อย แคปซูลน่ะ...ได้รึยัง" เธอเอ็ดผู้ช่วยสาวเสียงเข้ม "เอาน่าด็อกเตอร์ อย่างน้อยเธอก็ช่วยให้พวกเราคลายเครียดได้นะ" หมอทินยังคงขำไม่หยุด "ช่วยให้ประสาทกินเร็วขึ้นสิไม่ว่า ไหนล่ะแคปซูล" นักวิจัยสาวพูด "ค้าาาา...นี่ค่ะ ด็อกเตอร์แม่แก่ จริงจังตลอด" สกุณายังอดจะแหย่ไม่ได้เมื่อเธอส่งสิ่งที่ถูกทวงถามไปให้ ในขณะที่สารวัตรหนุ่มกลับนิ่งเงียบไปเหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่ "นั่นน่ะสิ แล้วองค์กรข้ามชาติอะไรนั่นมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วยนะ" ในที่สุดเขาก็พูดสิ่งที่กำลังคิดอยู่ออกมา

สิบนาทีต่อมา ร่างที่ปราศจากหัวทั้งหมดถูกยกใส่ลงในถุงซิปบรรจุศพเรียบร้อยก่อนที่จะถูกลำเลียงออกจากโดมกักกันเชื้อไปขึ้นรถตู้สีดำ มีโลโก้แปลกตาของหน่วยงานที่หมอทินไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อนเลยในชีวิตติดหราอยู่ข้างตัวรถ มันเป็นแบบเดียวกับที่ติดอยู่บนป้ายชื่อแขวนคอของพวกเขาทุกคนด้วย "อ้าว...นี่รถหน่วยงานไหนล่ะเนี่ย ไม่ได้เอาศพไปนิติเวชกันหรอกรึ" เขาถามพร้อมกับถอดหน้ากากกันพิษออก เผยให้เห็นหัวที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเหมือนเพิ่งจะไปตกน้ำป๋อมแป๋มมาจากไหนสักที่

"เราได้รับคำส่งให้ส่งศพพวกนี้ไปกับพวกเขาน่ะ" สารวัตรสิทธาตอบมาจากทางด้านหลังของเขา หมอทินหันกลับไปมองก็เห็นว่านายตำรวจนอกเครื่องแบนายนั้นได้สลัดชุดป้องกันออกทิ้งไปแล้ว กำลังฉีกผ้าเย็นออกจากซองมาเช็ดหน้าตาและรอบคอด้วยสีหน้าโล่งใจ ต่างกับสีหน้าของหมอทินที่เต็มไปด้วยความแปลกใจ มีเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คอันเท่าบ้านแปะหราอยู่บนหน้าผากของเขา "ห๊ะ! ไปไหน...ได้ไง!" ความงุนงงสงสัยเบ่งบานอยู่บนใบหน้าของหมอทิน สารวัตรหนุ่มมองตาเขาอย่างเพลียๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากยักไหล่ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าเขาเองก็จนปัญญาที่จะรู้ได้เช่นเดียวกัน "เท่าที่ผมรู้น่ะนะ มีคำสั่งลงมาจากรัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์ถึงผู้กำกับโดยตรงเลยน่ะสิ" น้ำเสียงของนายตำรวจหนุ่มก็มีแววคลางแคลงอยู่ไม่น้อยไปกว่าหมอทินเลย

"คำสั่งเหรอ ทำไม...คำสั่งอะไรหรือคะ แล้วนั่นรถใครล่ะน่ะ" คราวนี้เป็นนักวิจัยสาวที่เพิ่งจะมุดออกจากโดมมาสมทบ เธอดึงหน้ากากออกจากใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่สวยอะไรมากนักแต่ดูโฉบเฉี่ยวของเธอ "นั่นพวกเขาจะเอาศพพวกนี้ไปเหรอ" เธอตั้งคำถามที่ไม่ได้เจาะจงว่าถามใคร พร้อมกับกวาดตามองไปที่รถคันนั้นสลับกับใบหน้าชายหนุ่มทั้งสอง "ผมก็ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าที่คุณเห็นนี่หรอกนะ" หมอทินรับหน้าที่เป็นผู้ตอบ "เมื่อกี้ฉันได้ยินคุณพูดถึงกระทรวงวิทยาศาสตร์ พวกนี้เป็นคนของกระทรวงหรือเปล่าคะ สารวัตร" คราวนี้เธอหันไปถามนายตำรวจหนุ่มพร้อมกับจ้องตาเขาแบบตรงๆ ด้วยสายตาคาดคั้น ในขณะที่ผู้ช่วยสาวของเธอที่เดินตามมาติดๆ กำลังเก็บของซุกเข้าไปในกระเป๋าเป้สะพายข้างของเธอ

"แต่ไม่น่าจะใช่...นั่นไม่ใช่รถของกระทรวงแน่ๆ" เธอพูดช้าๆ โดยไม่ยอมละสายตาไปจากเขา "ฉันว่า...รถนั่น มาจากองค์กรข้ามชาติล่ะ ใช่มั้ยคะสารวัตร" ทั้งสองจ้องตากันนิ่งอยู่เป็นครู่ แล้วสารวัตรสิทธาหลบสายตาและหันไปอีกทาง ถอนใจยาวๆ บอกให้รู้ว่าเขากำลังรู้สึกอึดอัดใจ "ไม่เอาน่าด็อกเตอร์ คุณก็รู้ว่าผมต้องทำตามคำสั่ง ผมพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้หรอก" เขาพูด "คุณทำงานของคุณ ผมก็ทำงานในส่วนของผม เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไป โอเค...ผมต้องไปสอบปากคำพยานต่อแล้ว ขอตัวก่อนนะ" เขาพูดตัดบท ว่าแล้วนายตำรวจหนุ่มก็ผละออกไปจากวงสนทนาและเดินตรงไปที่รถตำรวจที่จอดอยู่หน้าบ้าน ปล่อยให้หมอทินยืนงงในดงเควสชั่นมาร์ค

ชายหนุ่มรีบจัดการถอดชุดอบเซาน่าพีพีอีออกจากตัวอย่างยากลำบาก หลังจากที่ได้รับการเตือนจากด็อกเตอร์ธานินทร์ผู้เย็นชาว่า ให้ทุกคนที่เสร็จงานของตัวเองแล้วออกไปจากพื้นที่ โดยที่เขาจะเป็นคนรับผิดชอบในการดูแลสถานที่นี้ต่อด้วยตัวของเขาเอง "อะไรของเขาเนี่ย ทำยังกับเป็นเจ้าของบ้านซะเองงั้นแหละ" เสียงค่อนแคะจากสาวอารมณ์ดีที่ตอนนี้่มีกลิ่นบูดๆ ปนมาหน่อยๆ ตามตูดใหญ่ๆ ของเขาไป แต่มันก็ไม่ได้สะกิดให้ชายร่างยักษ์หันมาสนใจได้เลยสักนิด เขาเดินไปขึ้นรถแวนคันนั้นแล้วปิดประตูขังตัวเองไว้ข้างใน "ยังมีความรู้สึกบ้างมั้ยเนี่ย หมอนี่" ชายหนุ่มพลอยผสมโรงไปกับเธอด้วย ก่อนที่เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของหมอทินจะดังขึ้นตอนที่เขาเพิ่งจะดึงขาข้างที่เหลือออกจากชุดป้องกันได้พอดี เขาโยนชุดนั่นทิ้งไปกองบนพื้นสนามหญ้าอย่างไม่ไยดี แล้วล้วงมือถือออกมาดูก็พบว่าเป็นหมออรรณพ เพื่อนร่วมงานของเขาที่สถาบันนิติเวชนั่นเอง

"ว่าไงณพ" เขากรอกเสียงลงไป "ไอ้หมอ!...แกอยู่ไหน" อีกฟากของสายสนทนาตอบกลับมาน้ำเสียงร้อนรน "ฉันออกพื้นที่อยู่ แกมีอะไรรึเปล่าวะ ทำเสียงแปลกๆ" เขาถาม "พวกเขาเข้ามาเอาศพนั่นไปแล้ว" "อะไรนะ!...ใครเอาไป เอาไปไหน!?" "ฉันไม่รู้ พวกนั้นบอกว่ามีคำสั่งให้เคลื่อนย้ายศพนั่นไป แต่ไม่ยอมบอกว่าใครสั่งและไปที่ไหน ไม่บอกด้วยว่าเป็นใครมาจากไหน แต่มีกองกำลังทหารติดอาวุธมากับพวกเขาด้วยนะเว่ย!" หมอทินถึงกับอึ้งและนิ่งงันไปกับคำบอกเล่าที่คาดไม่ถึงนั้น "หมอ...คุณหมอคะ" เสียงนั้นปลุกเขาให้กลับมา เขาหันไปตามเสียงก็เห็นว่า ด็อกเตอร์รำมะนากำลังมองมาที่เขาอย่างมีคำถาม "เป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นเหรอ" เธอถาม หมอทินมองหน้าเธอ โทรศัพท์ยังคาอยู่ที่หูทั้งที่คู่สนทนาตัดสายไปแล้ว เขาไม่มีคำตอบใดๆ ที่จะตอบเธอ มีเพียงสัญชาตญาณเท่านั้นที่กระซิบบอกเขาว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เสียแล้ว "ดูเหมือนว่านี่มันจะไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาเสียแล้วล่ะ ด็อกเตอร์" เขาพูด

ห้องปฏิบัติการปรสิตวิทยา

"ยังไม่กลับอีกหรือคะด็อกฯ" เสียงเจื้อยแจ้วของหญิงสาวตะโกนถามข้ามห้องมา ด็อกเตอร์รำมะนาเงยหน้าขึ้นจากการส่องกล้องจุลทรรศน์ สีหน้าของเธอดูเคร่งเครียดเอยู่ข้างหลังแว่นสายตากรอบหนาที่เธอเลือกจะหยิบมาสวมเป็นครั้งคราวสลับกับคอนแทกเลนส์ "เลิกเรียกฉันว่าด็อกซะทีเถอะ ยัยนกแก้วปากมอม" เธอตวัดสายตาขว้างค้อนวงใหญ่เข้าใส่ผู้ช่วยสาวขี้เล่นอย่างไม่ชอบใจ แต่สาวผู้ช่วยกลับทำหน้าเป็นและยิ้มระรื่นเข้าใส่ "นี่ก็จะสามทุ่มแล้วนะคะด็อก ยังไม่ได้เวลาเลิกงานอีกรึไง" สกุณาพูดโดยไม่ใส่ใจท่าทีของอีกฝ่ายพลางเก็บสัมภาระส่วนตัวบนโต๊ะทำงานของเธอใส่กระเป๋าเป้สะพายข้างใบเก่ง "งานคือชีวิตของฉันย่ะ" รำมะนาตอบพร้อมกับก้มลงแนบตาเข้ากับเลนส์กล้องจุลทรรศน์ตามเดิมในขณะที่มือข้างหนึ่งเขียนบันทึกลงในชาร์ตยุกยิกๆ ไปพร้อมๆ กัน

"ว่าแต่เธอเถอะ ทำไมยังไม่ไปๆ เสียทีล่ะ คิดจะเบี้ยวนัดอีตาปากมะเขือเปราะนั่นรึไง" เธอแซะผู้ช่วยสาวโดยที่ไม่คิดที่จะละสายตาออกจากงานตรงหน้า สกุณาหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจ "แหม ทำตัวเป็นแม่แก่ปากร้ายอีกแล้วนะด็อก แต่พูดตรงๆ นะ อุตส่าห์มีผู้หลงเข้ามาติดกับทั้งที แถมยังเป็นคนมีสีอีกต่างหาก ฉันไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ หรอกย่ะ" เธอโต้กลับอย่างอารมณ์ดี ด็อกเตอร์รำมะนาสะดุดกับคำพูดนั้น เธอเหลือบตาขึ้นมองผู้ช่วยสาว แล้วก็ต้องอดขำจนต้องแอบยิ้มออกมาที่มุมปากไม่ได้ "ผู้ตาบอดตาใสล่ะสิไม่ว่า" ด็อกเตอร์สาวค่อนแคะ "เป็นตำรวจแต่ปากไวเป็นตะไกรตัดหญ้าอย่างนั้น จะไม่ทำผู้ร้ายไหวตัวทันซะก่อนหรือนั่น"

"แหมํ...ด็อกฯเจ้าขา... เขาก็แค่ปากลั่นบ่อยไปหน่อยเท่านั้นเองนะ ไม่เห็นจะแปลกเลยเจ้าคะ ใครๆ ก็เป็นกัน ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวเมื่อไหร่" สาวอารมณ์ดีเถียง "อะโหะ มีเดือดเนื้อร้อนใจแทนกันซะด้วย ยัยนกแก้วบ้าๆ บอๆ เอ๊ย" รำมะนาพึมพำแซะเบาๆ อย่างเอือมระอาในความก๋ากั่นของหญิงสาวเพื่อนร่วมงาน ก่อนที่จะยืดตัวขึ้นบิดไล่ความเมื่อยขบจากการที่ต้องก้มตัวส่องกล้องอยู่เป็นเวลานานพลางขยับแว่นตาหนาเตอะให้เข้าที่เข้าทางพร้อมกับปรายตามองตรงไปที่ผู้ช่วยสาวซึ่งกำลังทำสีหน้ายุ่งเหยิงและสองมือก็ค้นข้าวของบนโต๊ะทำงานดูวุ่นวายคล้ายกับจะหาอะไรบางอย่างอยู่

"แล้วนั่นหาอะไรอยู่ล่ะ ทำไมไม่ไปเสียที" ด็อกเตอร์สาวเอ่ยถามขึ้น "โทรศัพท์ของฉันน่ะสิ เอาไปวางไว้ตรงไหนแล้วเนี่ย" สกุณาตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา "สติสตังไม่เหลือแล้วสินะผู้ช่วยฉัน" ด็อกเตอร์รำมะนาพึมพำเบาๆ อีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้เบามากพอที่จะรอดพ้นจากการได้ยินของผู้ช่วยสาวของเธอไปได้ "ไม่เห็นจะเกี่ยวกับสติสตังตรงไหนเลยนะด็อกฯ" สกุณาตอบกลับทันควัน ตามติดมาด้วยเสียงสองที่แสดงความดีอกดีใจจนเกินเบอร์เหมือนถูกสลากได้รางวัลเป็นช้อนส้อมรุ่นลิมิเตทอีดิทชั่น "อ้า...มาหลบอยู่นี่เองลูกแม่...หาตั้งนาน" ทำเอาด็อกเตอร์สาวเผลอยิ้มออกมาแบบเซ็งๆ ปนขบขันและแอบถอนใจเฮือกส่ายหน้าน้อยๆ "โอเค ฉันไปก่อนนะด็อกฯ อย่าอยู่ดึกนักล่ะ ไปล่ะ...บาย" สกุณาจัดการกับข้าวของของเธอเสร็จก็ฉวยกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายบ่าอย่างคล่องแคล่วแล้วเดินตัวปลิวพริ้วไหวไปเปิดประตูห้องแล็ป "ย่ะ แล้วไม่ต้องเอาเบอร์โทรใครติดมาฝากฉันอีกนะยะ" รำมะนาโบกมือกึ่งลากึ่งไล่ส่ง ผู้ช่วยสาวหน้าเป็นหันกลับมาตอบโต้คารม "งั้นก็ตามมาห้ามฉันสิยะ คุณด็อกเตอร์แม่แก่ แบร่..." เธอทำหน้าทะเล้นและแลบลิ้นหลอกแล้วรีบดึงประตูปิดทันทีและเดินจากไป

"โชคดีปีมะโว้เถอะย่ะ" นักวิจัยสาวอวยพรประชดไล่หลัง แต่ก็อดจะยิ้มน้อยๆ ส่งให้บานประตูที่ปิดลงไม่ได้ ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกับถอนใจเบาๆ แล้วกลับมาสู่โหมดเคร่งเครียดของเธออีกครั้ง เธอหยิบแผ่นแก้วบางใสของสไลด์ตัวอย่างในกล่องเก็บความเย็นขนาดพกพาขึ้นส่องดูกับแสงจากหลอดฟลูออเรสเซ็นท์ "นี่พวกแกเป็นตัวอะไรกันแน่" เธอพึมพำถามมันเบาๆ หัวคิ้วหลังกรอบแว่นขมวดมุ่นจนปูดเป็นปม เพราะเธอกำลังพยายามเค้นสมองคิดหาสิ่งที่จะมาเทียบเคียงเพื่ออธิบายเจ้าสิ่งแปลกประหลาดที่เธอกำลังถือไว้ในมือนี้ให้ได้ชัดเจนที่สุด แต่มันก็ดูเหมือนจะไม่มีข้อมูลใดๆ ในหัวที่พอจะใช้ได้เลยสักนิดเดัยว "ทำไมองค์กรอะไรนั่นถึงได้ให้ความสำคัญกับพวกแกขนาดนั้นนะ เจ้าตัวลึกลับ" เธอพร่ำถามคำถามกับมันเป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้งสำหรับคืนนี้

ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูกระจกดังขึ้น เมื่อเธอหันไปมองก็พบว่าชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของแว่นตากรอบบางทรงสี่เหลี่ยมกำลังเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มทักทาย "เป็นไงบ้างครับ ด็อกเตอร์ ตัวอย่างไปถึงไหนแล้ว" หมอทินเอ่ยทักทายเป็นประโยคคำถาม "ที่นิติเวชนี่เขาทักทายกันอย่างนี้ทุกคนเลยรึเปล่าคะหมอ" หญิงสาวอดใจที่จะกระแหนะกระแหนไม่ได้ ชายหนุ่มหัวเราะแห้งๆ ให้กับคำพูดนั้น "โธ่ ด็อกเตอร์" เขาทำเสียงละห้อย "เรียกชื่อเถอะค่ะ หวังว่าจะจำชื่อฉันได้นะคะคุณหมอทิน" เธอรีบปรับน้ำเสียงให้ฟังดูอ่อนลงและเป็นกันเองมากขึ้น เพราะเธอรู้สึกว่ากำลังชกใต้เข็มขัดเขาหนักมือไปหน่อย "เอ่อ...ครับ เห็นคุณสกุณาบอกว่าคุณเจอของดีเข้าให้ มันคืออะไรหรือครับ" ชายหนุ่มถามพร้อมกับเดินมายืนข้างๆ นักวิจัยสาว รำมะนาขมวดคิ้วน้อยๆ เกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมากับคำถามนั้น "ยัยนกแก้วนกขุนทองจอมปากมากเอ๊ย มันน่า..." เธอบ่นพึมพำเบาๆ แต่ก็ยังเบาไม่พอที่จะพ้นไปจากหูหมอทิน "น่าอะไรหรือครับ?!" เขาถามพร้อมกับขมวดหัวคิ้วอย่างแรงจนหางของมันชี้เด่ขึ้นไปสุดปลายฟ้านำหน้าหญิงสาวไปหลายองศาพร้อมกับมองหน้าเธออย่างงงๆ "อ้อ เปล่าค่ะ ฉันแค่หวังว่าจะเป็นคนบอกข่าวนี้กับคุณด้วยตัวเอง แต่..." เธอยักไหล่ "ช่างเถอะ มาดูกันดีกว่าว่าฉันเจออะไรเข้า" เธอตัดบทแล้ววกกลับมาเข้าเรื่อง

หลังจากที่เธอยืนกอดอกเฝ้าดูหมอนิติเวชหนุ่มที่ก้มลงแนบสองตาเข้ากับเลนส์พลางหมุนปรับระยะและโฟกัสอยู่ชั่วอึดใจ "นี่มัน...อะไรครับ" หมอทินเงยหน้าขึ้นจากกล้องจุลทรรศน์ เธอก็เห็นว่าหัวคิ้วก็ยังคงผูกโบแดงที่ไม่รู้ว่าจะแสลงใจด้วยรึเปล่าอยู่อย่างเดิม "นี่มันมาจากชิ้นเนื้อที่คุณแอบเก็บมาเมื่อคืนจริงเหรอ" เขาถามพลางมองหน้านักวิจัยสาว ซึ่งเธอก็มองตอบไปไม่มีการโกง "ใช่ค่ะ ฉันไม่รู้ว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำให้องค์กรข้ามชาติหน้าบ้าบออะไรนั่นเข้ามาแทรกแซงรึเปล่า" สิ่งที่เธอพูดมา มันทำให้หมอทินอึ้งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นอีก "แล้ว...คุณคิดว่ามันเป็นอะไรล่ะครับ" ด็อกเตอร์รำมะนายักไหล่ก่อนจะส่ายหน้า

"ไม่รู้สิ คือ...ฉันเองก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน" เธอหยิบแผ่นสไลด์ตัวอย่างอีกแผ่นขึ้นส่องดูกับแสงไฟพลางขยับแว่นตาที่สวมอยู่ให้เข้าที่เข้าทาง ส่วนหมอทินก็กลับไปแนบตากับกล้องส่องอีกครั้งพลางพยายามปรับความละเอียดและกำลังขยายให้มองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น "มันเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ประเภทปรสิตนะ แต่ว่ามันก็มีส่วนที่เป็นเส้นใยและสารคลอโรฟิลล์ที่พบในพืชเป็นส่วนประกอบหลักของมันด้วย ทีแรกฉันก็คิดว่ามันเป็นจำพวกเดียวกับเห็ดราคอดีเซ็ปหรืออะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่ใช่ " เธอลดแผ่นสไลด์ตัวอย่างลงแล้วจ้องหน้าหมอทิน ซึ่งเขาเองก็มองและกำลังตั้งใจฟังเธอพูดอยู่ "ฉันแปลกใจจริงๆ นะที่พวกเขามีคำสั่งลงมาให้ฉันตรวจพิสูจน์อะไรพวกนี้น่ะ อย่างกับว่าพวกเขารู้อยู่แล้วว่าพวกเราจะต้องเจอมันอยู่ในตัวศพพวกนั้นน่ะ"

"อะไรที่ทำให้คุณคิดอย่างนั้นล่ะครับ" หมอทินถาม ด็อกเตอร์สาวโคลงหัวน้อยๆ "คุณเชื่อไหมล่ะ ตัวอย่างที่คุณเก็บมาก็มาจากศพหัวขาดก่อนหน้านี้ก็มีลักษณะเหมือนที่เราไปเก็บมาเมื่อวานเปี๊ยบเลย" เธอไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่กลับเป็นฝ่ายถามกลับไปซะงั้น หมอทินยืดตัวขึ้นยืนตัวตรงก่อนจะพยักหน้า "ใช่...แต่เคสของผมมันอยู่ห่างกับเคสของเราเกือบกิโลเลยนะ ทำไมหรือครับ" เขาตอบพร้อมกับถามกลับ "แล้วตามตัวศพพวกนั้นก็ไม่มีร่องรอยของเลือดที่เลอะเทอะหรือนองบนพื้นเลยสักหยดเหมือนกันด้วยใช่ไหม" นักวิจัยสาวพูดต่อ "คุณกำลังจะบอกอะไรผมกันแน่ด็อกเตอร์" หมอทินพูดขัดขึ้น หญิงสาวเห็นความหงุดหงิดผุดขึ้นมาในสีหน้าของเขา "ใจเย็นๆ สิคะหมอ ฉันว่า...นี่อาจจะเป็นการค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่โลกไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อนเลยก็ได้นะ" อยู่ๆ เธอก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาปุบปับกับสิ่งที่กำลังจะพูดออกไป "หมายความว่าไงครับ" หญิงสาวเห็นหมอนิติเวชหนุ่มทำหน้าเหมือนถูกรถสิบล้อบรรทุกเครื่งหมายคำถามคว่ำใส่ "เจ้าพวกนี้มันเหมือนจะเป็นจุลชีพนักล่าที่กินสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร แต่ในขณะเดียวกันมันก็สามารถเปลี่ยนพลังงานแสงให้กลายเป็นอาหารของมันได้ด้วย เหมือนพวกสาหร่ายหรืออะไรเทือกนั้นเลย แต่ที่น่าประหลาดก็คือ เซลล์ที่คล้ายพืชพวกนี้กลับมีปฏิกิริยาในเชิงลบกับรังสียูวีซะงั้น และเซลล์ส่วนที่เป็นสัตว์ก็ดเหมือนกับกำลังพยายามต่อต้านตัวของมันเองงั้นแหละ พิลึกชะมัดเลยว่ามั้ย" ในที่สุดเธอก็ตอบคำถามของเขาได้เสียทีหลังจากโยกโย้อยู่เป็นนานสองนาน

"คุณกำลังจะบอกว่า นี่คือสิ่งมีชีวิตที่เป็นลูกครึ่งระหว่างพืชกับสัตว์งั้นเหรอ" เขาผูกหัวคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิม "บางทีฉันจะต้องใช้เวลาทำความรู้จักมันให้มากกว่านี้อีกหน่อย แต่ก็ใช่ พวกมันเป็นอย่างนั้น แล้วเชื่อมั้ยว่าทุกตัวอย่างที่คุณส่งมามันก็เป็นลักษณะเดียวกันนี้ทั้งหมดเลยนะ ที่สำคัญ...พวกมันมีปฎิกริยาต่อฮีโมโกลบินของมนุษย์โดยเฉพาะเลย ซึ่งนั่นไม่ใช่ลักษณะจำเพาะของพวกฟันกัสแน่ๆ พูดตรงๆ คือ พวกเห็ดราไม่ได้กินเลือดคนหรือสัตว์ที่ยังมีชีวิตเป็นอาหารและไม่ได้สังเคราะห์แสงด้วยตัวเองด้วย" เธอสาธยาย "แต่เจ้านี่ พวกมันกินเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ยังมีชีวิตอยู่ของมนุษย์เป็นอาหาร แต่จะไม่ตอบสนองต่อเลือดของสัตว์ ดูนี่สิ" หญิงสาวใช้ไซริ้งค์ที่มีเข็มฉีดยาขนาดเล็กดูดเอาเลือดจากถุงเก็บเลือดที่แปะฉลากบอกกรุ๊ปเลือดเอมาหยอดลงบนแผ่นตัวอย่าง ก่อนจะสอดมันเข้าไปที่แท่นส่อง "คุณดูเองเถอะค่ะ" เธอถอยออกห่างพลางผายมือเชิญหมอหนุ่ม

"ให้ตาย! มันกำลังกลืนกินเม็ดเลือดทั้งเป็นจริงๆ ด้วย!" ชายหนุ่มอุทานพร้อมกับหมุนปุ่มปรับกำลังขยายภาพอยู่ยิกๆ จนเธอคิดว่าภาพที่ได้นั้นน่าจะเบลอจนดูไม่รู้เรื่องไปแล้ว "ใช่ไหมล่ะ" ด็อกเตอร์รำมะนามองหน้าเขาอย่างขอความเห็น "ไม่แค่นั้นนะ พวกมันยังมีความสามารถในการเรืองแสงในที่มืดเหมือนพวกหนอนถ้ำเรืองแสงด้วย น่าทึ่งไหมล่ะ" หญิงสาวรู้สึกว่ายิ่งพูดเธอก็ยิ่งตื่นเต้นจนแทบจะเก็บทรงไม่ไหว ตรงข้ามกับหมอทิน เธอเห็นเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดส่ายหน้าไปมาเหมือนไม่เชื่อและไม่เข้าใจในสิ่งทีเธอพยายามอธิบาย "ถึงว่าสิ ศพของพวกนั้น" เขาทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้และเปรยออกมาดังๆ หลังจากที่นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่

"อะไรคะ" คราวนี้ด็อกเตอร์รำมะนากลับเป็นฝ่ายผูกโบที่คิ้วใส่เขาบ้าง "ที่ศพพวกนั้น...แทบจะไม่มีเลือดเหลืออยู่ในร่างกายเลย เป็นไปได้ไหมว่าเจ้านี่ทำให้การติดเชื้อในร่างกายของคนพวกนั้นและ..." หมอทินพูดค้างคา "พวกเขาก็ถูกเจ้าสิ่งนี้กินเม็ดเลือดจากข้างในตัว" ด็อกเตอร์รำมะนาพูดต่อให้กลายเป็นประโยคจบที่สมบูรณ์แบบ "แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือ พวกมันเข้าไปอยู่ในร่างกายของศพได้ยังไง" ชายหนุ่มทำหน้าครุ่นคิดและเริ่มขยับเท้าเดินไปมา "อันนี้ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน" ด็อกเตอร์สาวเห็นด้วย "จากพื้นที่ที่พบศพ ก็ไม่มีอะไรที่จะบ่งชี้ว่าจะเป็นสาเหตุของการแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของผู้ตายเลยสักอย่าง" คำพูดของเธอยิ่งทำให้หมอทินหน้ายุ่งเหยิงหนักเข้าไปอีก

ขณะที่สองหมอหนุ่มสาวกำลังแข่งกันขมวดคิ้วอย่างเอาเป็นเอาตายนั่นเอง ก็มีเสียงเคาะประตูกระจกเบาๆ ดังขึ้นขัดจังหวะ แต่มันก็ดังมากพอที่จะสะกิดให้ทั้งคู่หันไปมองแทบจะพร้อมกัน ชายสูงวัยใส่แว่นตากรอบเหลี่ยมหนาเตอะรูปร่างผอมบางเจ้าของเส้นผมสีขาวแซมดำดูกระเซอะกระเซิงและหนวดเคราสีเดียวกันก็เปิดประตูเข้ามาโดยที่ไม่รอให้คนข้างในเชื้อเชิญให้เสียเวลา เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนแถมมีการผูกไทด์ลายพร้อยทั้งเส้นที่ไม่ได้เข้ากันกับเสื้อเชิ๊ตลายทางเลยสักนิด ขอบเอวกางเกงถูกดึงขึ้นไปสูงกว่าระดับที่มันควรจะอยู่ มีเข็มขัดหนังสีดำเส้นเล็กๆ รัดเอวเอาไว้จนแทบจะกิ่วค่อด กับรองเท้าผ้าใบคู่ใหญ่ดูเทอะทะเกินกว่าที่เท้าของเขาจะต้องการ ดูไปแล้วท่าทางออกจะสติเฟื่องอยู่ไม่น้อย เขาสวมเสื้อกาวน์สีขาวที่ดูสะอาดสะอ้านทับแฟชั่นแปลกพิลึกของเขาเอาไว้อีกที นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ชายที่น่าจะวัยเกินแซยิดคนนี้ดูดีขึ้นมาได้บ้าง

"สวัสดี ผมต้องขอโทษด้วยที่เข้ามาขัดจังหวะ" ชายสูงวัยเอ่ยปากทักทายด้วยสีหน้าระรื่นและดูเป็นกันเองมากเกินไปมากมายหลายเลเวลสำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน "ขอโทษนะคะ มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า" ด็อกเตอร์รำมะนาจ้องมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเธอไม่สบอารมณ์กับการจู่โจมแบบกะทันหันของชายแปลกหน้าสูงวัยผู้นี้ "โอ้...แหม๋ๆๆ โปรดอภัยต่อความเซ่อซ่าไร้มารยาทของคนแก่ๆ อย่างผมด้วยเถอะนะคุณผู้หญิง ผมควรจะแนะนำตัวเองเสียก่อนสิถึงจะถูก...จริงมั้ย" ชายสูงวัยกล่าวพลางค้อมหัวน้อยๆ เป็นเชิงแสดงการขอโทษ "สวัสดี ผมคือศาตราจารย์คงเดช ปราบวิญญู แห่งศูนย์วิจัยและกักกันสิ่งมีชีวิตอันอาจจะเป็นภัยต่อมนุษยชาติ... หรือจะเรียกชื่อย่อสั้นๆ แต่ฟังดูดีมากๆ ว่า 'อาร์ซีเอฟเอช' ก็ได้นะ" "ศูนย์วิจัยอะไรนะ!" สองหนุ่มสาวอุทานสวนขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน เมื่อชายแปลกหน้าแนะนำตัวจบ นักวิจัยสาวทำหน้าเหวอ หันมองหน้าหมอทินด้วยความงุนงงและเธอก็พบว่าหมอหนุ่มก็ทำหน้างงเต้กไม่แพ้กันกับเธอ ก่อนที่ทั้งคู่จะพูดขึ้นมาพร้อมกันอีกเป็นซ้ำสอง "คุณเป็น..." คราวนี้ทั้งคู่หันมามองหน้ากัน แล้วก็เป็นหมอทินที่ยอมถอยออกอย่างสุภาพบุรุษ "โทษที...เชิญคุณก่อนเลยครับ" เขาผายมือให้กับเธอ "เอ้าๆ ทำไมต้องแย่งกันพูดขนาดนั้นล่ะ..." ชายสูงวัยฉีกยิ้มร่าเริงอวดฟันขาววาววับพลางยกมือขึ้นปราม

"ขอโทษนะคะ แต่ฉันไม่เคยได้ยินชื่อศูนย์วิจัย เอ่อ...อะไรนะ" ด็อกเตอร์รำมะนาเอ่ยไม่จบประโยค เธอหันไปหาหมอทินอย่างขอความช่วยเหลือ "ศูนย์วิจัยและกักกันสิ่งมีชีวิตที่อาจจะเป็นภัยต่อมนุษยชาติ คุณผู้หญิง" เป็นชายสูงวัยผู้อ้างตัวว่าเป็นถึงศาตราจารย์ที่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้เธอด้วยท่าทีสุภาพและรอยยิ้มอ่อนโยน "ลองเรียกชื่อย่อว่าอาร์ซีเอฟเอชสิ มันน่าจะช่วยอะไรได้บ้างนะ" ศาตราจารย์สูงวัยแนะ ทำเอาหญิงสาวรู้สึกว่าหน้าของเธอปั้นยากยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่เธอทำได้ก็เพียงยิ้มเพลียๆ ส่งให้แทนคำขอบคุณ

"มันก็ไม่แปลกหรอกที่คุณจะไม่เคยได้ยิน เพราะอาร์ซีเอฟเอชเป็นองค์กรลับระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชัยตะวันออกเฉียงใต้ เราไม่สามารถจะเปิดเผยสถานะหรือตัวตนต่อสาธารณะชนได้ พวกเราทำงานกันอย่างลับๆ อยู่เบื้องหลังในทุกๆ พื้นที่ทุกประเทศในภูมิภาคนี้ งานของเราก็คือสำรวจ เก็บตัวอย่างและวิจัยสิ่งที่อยู่นอกเหนือไปจากความเป็นธรรมดาสามัญที่ไม่มีอัฉริยะทางวิทยาศาตร์คนใดจะให้คำอธิบายได้ เพื่อกการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหล่านั้น" ศาสตราจารย์คงเดชสาธยายยาวเหยียด ทุกคำพูดที่ออกมานั้นมันทำให้หญิงสาวต้องผูกหัวคิ้วด้วยเงื่อนตายใส่หน้าผากตัวเองแน่นขึ้นทุกที และเธอก็คิดว่าหมอทินก็มีสภาพไม่ต่างกันกับเธอเลย "และที่ผมต้องมายืนอยู่ตรงนี้ก็เพราะว่า..."

หมอทินยกมือพร้อมกับพูดแทรกขึ้นขัดจังหวะ "เดี๋ยวๆๆ ขอโทษนะครับศาตราจารย์ เอ่อ...คงเดชใช่มั้ยครับ" เขาพูด "ผมไม่มีเจตนาที่จะหยาบคายหรอกนะ แต่คุณช่วยอธิบายให้เป็นภาษาที่เราเข้าใจง่ายๆ กว่านี้ได้ไหมครับ" ศาตราจารย์ผู้สูงวัยมองหน้าเขาแล้วหัวเราะหึๆ แต่ก็ไร้ซึ่งแววขุ่นเคืองใดๆ ปรากฏบนใบหน้า "คนหนุ่มก็ใจร้อนอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาล่ะนะ" ดูเหมือนว่าเขาจะพูดกับหญิงสาวมากกว่าเพราะเขาปรายตามาหาเธอ "อย่าบอกนะว่าคุณมาจากองค์กรข้ามชาติที่มีหนังสือด่วนขอให้กระทรวงวิทย์ฯส่งให้พวกเราเข้าไปเก็บตัวอย่างพวกนั้นมาเมื่อวันก่อนน่ะ" ด็อกเตอร์รำมะนาตัดสินใจเอ่ยถามไปตามตรง

ชายสูงวัยดีดนิ้วเป๊ะพร้อมยิ้มแฉ่งอวดฟันขาวสะอาดที่ไม่น่าจะเป็นของคนอายุปูนนี้ได้ แต่มาคิดดูอีกทีมันก็ไม่แน่...นั่นอาจจะเป็นฟันปลอมครบเซ็ททั้งช่องปากเลยก็ได้ "โป๊ะเชะ...ถูกเผงเลย!" เขาตอบอย่างร่าเริงด้วยศัพท์วัยรุ่นยุคโบราณ "ผมคิดว่าผมคงจะต้องแนะนำอาร์ซีเอฟเอช ให้พวกคุณรู้จักมากขึ้นอีกสักหน่อยแล้วสินะ อืม... มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่หรอก...ว่ามั้ย?" ชายสูงวัยพูดเองเออเองเสร็จสรรพ ในขณะที่นักวิจัยสาวยืนมองชายสูงวัยทำด้วยความไม่สะบายใจและงงงวยกับสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่นี้ "แต่เรื่องมันอาจจะยาวกว่าที่ผมคิดนิดหน่อย เพราะฉะนั้น เราหาที่นั่งคุยกันก่อนดีไหม" ว่าแล้วศาตราจารย์ผู้สูงวัยก็จัดการลากเก้าอี้จากโต๊ะทำงานของสกุณาผู้ช่วยสาวของเธอมานั่งเองก่อนที่จะผายมือให้สองหนุ่มสาวทำตาม ราวกับว่าพวกเขากลับกลายเป็นแขกผู้มาเยือนเสียเองซะงั้น

"คณะนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์วิจัยของเราได้เริ่มการวิจัยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้มานานแล้ว ตั้งแต่ปีค.ศ. 1940 ช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง จุดประสงค์ของโครงการก็คือ วิจัยสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ปกติของคนทั่วไป เพื่อต่อยอดพัฒนาไปเป็นอาวุธต่อต้านสงคราม" พูดมาถึงตรงนี้ ด็อกเตอร์รำมะนาเห็นสีหน้าของหมแทินมีแต่เควสชั่นมาร์คเดังคึํงดัํงขึ้นบนใบหน้าแข่งกันแบบรัวๆ และเธอก็ต้องยอมรับว่าเธอเองก็เกิดคำถามขึ้นในหัวเป็นตันๆ เช่นเดียวกัน "สิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกเหนือการรับรู้เหรอ...มันคืออะไรล่ะน่ะ" หมอทินโพล่งถามขึ้น เธอหันไปมองเขาพร้อมกับนึกขอบคุณที่เขาถามในสิ่งที่เธอเองก็ข้องใจเช่นกัน ศาตราจารย์ผู้สูงวัยหัวเราะหึหึ "สิ่งที่เราไม่เคยเห็น มันไม่ได้แปลว่าจะไม่มีอยู่จริงเสียหน่อยนะคุณหมอ สิ่งเหล่านี้มันอยู่กับพวกเรามานานแสนนานแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่า พวกมันอยู่กันมาตั้งแต่ก่อนที่มนุษย์เราจะเริ่มต้นอารยธรรมด้วยซ้ำไป แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเราเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เรารุกล้ำถิ่นที่อยู่ของพวกมันและขับต้อนพวกมันไปอยู่ในมุมมืดที่ห่างไกลจากการรับรู้ของพวกเราเอง จนในที่สุด พวกมันก็กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าเหลวไหลที่ผู้ใหญ่เอาไว้หลอกเด็กเท่านั้น" ศาตราจารย์ผู้สูงวัยตอบยาวเหยียด

"ที่คุณพูดมาทั้งหมดนี่ อย่าบอกนะว่าคุณกำลังหมายถึงเอ่อ...ผี" ด็อกเตอร์รำมะนาพูดอย่างไม่แน่ใจ ชายสูงวัยยิ้ม "ผมคิดว่าผมไม่เคยพูดเลยนะว่าพวกมันเป็นผีน่ะ คุณผู้หญิง ผีคือกลุ่มพลังงานที่ไม่มีมวลสารเป็นตัวเป็นตนและดวงตามนุษย์ก็ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้นอกจากจะอยู่ในเงื่อนไขพิเศษบางอย่างในบางสถานการณ์ ส่วนสิ่งที่ผมกำลังพูดถึงนี้ เราสามารถสัมผัสมันได้ด้วยมือและมองเห็นได้ด้วยตา พวกมันมีร่างกายและความคิดของตัวเอง" ทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของศาสตราจารย์สูงวัยยิ่งสร้างความสับสนให้กับหญิงสาวหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ และหมอมินเองก็กำลังทำหน้าเหมือนคนแก้สแควรูทยกกำลังแปดไม่ออกอยู่เช่นกัน แต่ชายสูงวัยก็ยังคงพูดต่อไป ดูท่าทางเขาจะมีความสุขมากที่ได้พูดถึงเรื่องแปลกประหลาดนี้

"แล้วมันคืออะไรกันแน่ล่ะครับ ศาตราจารย์ คุณยิ่งพูดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าคุณต้องการจะบอกอะไรกับพวกเรากันแน่น่ะ" หมอทินโพล่งขึ้นด้วยท่าทีเหลืออด เขาคงจะทนฟังเรื่องอะไรก็ไม่รู้จากชายแปลกหน้ามานานเกินไปแล้วสินะ... ด็อกเตอร์รำมะนาคิด "โอเคๆ" ศาตราจารย์คงเดชยกมือในท่ายอมแพ้พร้อมกับกลั้วหัวเราะ "ผมเชื่อว่าพวกคุณคงเคยได้ยินเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมานานแสนนาน เกี่ยวกับพวกกระสือ กองกอย กลิ้งดงหรืออะไรทำนองนี้มากันแล้ว ไม่มากก็น้อยล่ะนะ" ชายสูงวัยเริ่มเรื่อง "เดี๋ยวก่อนนะ ที่พูดมายาวกว่าหางว่าวนี่ก็เพื่อจะนำเรื่องมาเข้าเรื่องผีงั้นหรือคะ"ด็อกเตอร์รำมะนาถามแทรกขึ้นอย่างพยยามจะอดทนพร้อมกับทำหน้าแปลกๆ เธอรู้สึกถึงความอึดอัดที่เอ่อล้นในใจว่ามันใกล้จะถึงจุดสูงสุดแล้ว เพราะชายสูงวัยคนนี้เป็นเหตุ

ชายสูงวัยส่ายหน้าน้อยพร้อมรอยยิ้มตามสไตล์ "อันที่จริงพวกมันไม่ใช่ผีหรอกนะคุณผู้หญิง แต่คนมักจะเรียกเหมารวมๆ กันไปหมด ก็ทำนองเดียวกันกับที่พวกวาฬ พะยูน โลมา ถูกเราเอาความเป็นปลาไปยัดใส่พวกมันนั่นแหละ ทั้งที่จริงแล้วพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเลต่างหากล่ะ...ตามทันมั้ย" เขาหยุดพูดอีก แล้วมองมาที่เธอและหมอทิน ด็อกเตอร์สาวมั่นใจว่าไม่มีส่วนไหนบนใบหน้าของเธอที่จะบอกว่าตามทันสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด "เหมือนกันเลย เรายัดเยียดความเป็นผีใส่พวกมัน ทั้งที่จริงแล้วพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยได้รับการจัดอันดับวงศ์และสปีชีส์เลยต่างหากล่ะ เพราะวิทยาศาตร์ไม่เคยยอมรับหรือแม้แต่จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกมันเลยสักนืด"

"เอาล่ะ! พอที!" ด็อกเตอร์รำมะนายกสองมือขึ้นห้ามอย่างเหลือจะอด ในที่สุดความเส้นบางๆ ของความอดทนของเธอก็ขาดสะบั้น หน้าของเธอตึงเปรี๊ยะเต็มคาราเบล "ฉันฟังเรื่องเล่าของคุณมามากพอแล้ว ทีนี้...ช่วยบอกฉันหน่อย คุณมาที่นี่ต้องการอะไรคะ ศาตราจารย์คงเดช" เธอพูดเสียงเฉียบขาด ศาตราจารย์เฒ่าอึ้งไปนิดหน่อยแต่แล้วเขาก็กลับมาระบายรอยยิ้มใส่ใบหน้าของเขาต่อได้อีก "ก็ได้ครับคุณผู้หญิง" เขายังคงพูดอย่างสุภาพ "ผมเชื่อว่าพวกคุณได้หยิบอะไรที่ไม่ควรหยิบ ติดมือกลับมาจากสถานที่เกิดเหตุเมื่อคืนนี้ด้วยนะ" เขาพูดพร้อมกับหลุบตาลงมองไปที่กล่องเก็บความเย็นและแผ่นสไลด์ตัวอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะ ทำเอาด็อกเตอร์สาวหน้าเสียทรงไปทันที เธอมองไปที่หมอทินอย่างขอความช่วยเหลือ แต่ก็เห็นว่าเขาก็กำลังยืนตะลึงอ้าปากหวอมองชายสูงวัยอยู่ ไม่รู้ว่าเขาตกใจกับท่าทีของเธอหรือคำพูดของชายสูงวัยกันแน่ ศาตราจารย์คงเดชยิ้มอย่างเป็นต่อ "คุณไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่คุุณเอาออกมาจากตัวศพนั้นมันอันตรายแค่ไหน" ชายสูงวัยพูดเรียบๆ

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!