...ย้อนไปเมื่อ2ปีก่อน...
...ปึก!!...
...“โอ๊ะ!” หญิงสาวอายุสิบแปดปีร้องอุทานออกมาเมื่อเธอเดินชนกับอะไรบางอย่างเข้าอย่างจัง สมุดโน๊ตและสิ่งของอื่นที่หอบมาพะรุงพะรังหล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น หญิงสาวรีบก้มลงไปเก็บโดยที่ไม่ได้สนใจคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอเลย...
“มาครับ พี่ช่วยเก็บ” เสียงของใครบางคนเอ่ยขึ้นมา ก่อนจะนั่งย่อลงพื้นพร้อมกับยื่นสมุดโน๊ตมาให้เธอ
หญิงสาวมองตามมือก่อนจะเลื่อนขึ้นมองใบหน้า “พ..พี่วี?” เอ่ยชื่ออีกคนออกมา
ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น เมื่อเธอสบตากับชายหนุ่มที่เธอแอบปลื้ม ใบหน้าเรียวเล็ก จมูกโด่งเป็นสัน แววตาคมกริบนัยน์ตาสีน้ำตาลกำลังจ้องมองก่อนจะส่งยิ้มให้เธออยู่ตรงหน้า เพราะความตกใจกับใบหน้าอันหล่อเหลา ของคนที่แอบชอบมานานแสนนานจนทำให้เธอเผลอลืมยื่นมือไปรับสมุดโน๊ตจากมือของพี่เขา
“ใช่สมุดโน๊ตของน้องไหมครับ?” คนตรงหน้าเลิ่กคิ้วถาม
“ช...ใช่ค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงติดขัด พอได้สติอันดาก็รีบรับมันมาถือไว้ทันที ก่อนจะเอ่ยคำขอบคุณออกไป
“ขอบคุณนะคะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่เดินไม่ระวัง” เธอกล่าวคำขอบคุณและขอโทษออกมา เมื่อรู้ว่าคนที่เธอเดินชนคือชาวีนักร้องนักแสดงหนุ่มชื่อดังที่เธอแอบปลื้ม
ชายหนุ่มยิ้มออกมา พรางยกมือปัดส่งๆ “ไม่เป็นไรครับ แล้วนี่น้องเป็นเด็กฝึกเหรอครับ” ชาวีเอ่ยถาม
“ใช่ค่ะ” อันดาตอบ ก่อนจะยิ้มเขินเมื่อโดนใครบางคนจ้องมองอย่างเอ็นดู
“ถึงว่า พี่ไม่เคยเห็นหน้าน้องมาก่อนเลย”
“ตายจริง ฉันต้องรีบไปแล้วล่ะค่ะ” อันดาทำหน้าตาตื่นมื่อเธอก้มมองดูนาฬิกาที่ข้อมือสวย เพราะมัวแต่เขินทำให้เธอลืมเวลานัดมาเกือบสิบห้านาทีกว่าได้
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ ให้กับความไร้เดียงสาของเธอ ก่อนจะบอกหญิงสาวให้รีบไป “งั้นน้องรีบไปเถอะครับ ขืนไปช้าโดนครูฝึกดุพอดี”
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” อันดาก้มโค้งให้เพื่อเป็นการบอกลา ก่อนจะวิ่งเข้าไปในลิฟท์
ประตูลิฟท์ค่อยๆ ปิดลง อันดาเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าของชายหนุ่มอย่างประทับใจ ส่วนเขาในตอนนี้ก็มองเธออยู่ไม่ต่างกัน......
เมื่อเดินเข้ามาในห้องซ้อม หญิงสาวรีบเอ่ยปากขออนุญาตครูฝึกทันที
“หนูขออนุญาตเข้าไปนะคะ” เธอว่าออกมา พร้อมกับยืนนิ่งรอครูฝึกอนุญาตให้เธอเข้าไปข้างในห้อง
เพื่อนสิบกว่าคนที่อยู่ในห้องนั้นต่างพากันหันมองเธออย่างพร้อมเพียงกัน พากันส่งเสียงซุบซิบนินทาเบาๆ อันดาที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้แต่เงียบนิ่ง
“ใครอ่ะน่ารักจัง”
“เธอชื่ออันดามั้งถ้าฉันจำไม่ผิด”
“ทำไมดูหยิ่งจัง”
“จริง”
“เข้ามาสิอันดา” ครูฝึกมองหน้าเด็กสาวพร้อมกับบอกให้เธอรีบเดินเข้ามานั่งในกลุ่มเพราะถึงเวลาสอนแล้ว
ทันทีที่ได้รับคำอนุญาตอันดารีบเดินเข้าไปนั่งรวมในกลุ่มเพื่อนทันที เธอวางกระเป๋าและสมุดโน๊ตไว้ข้างตัว
หญิงสาวในตอนนี้เธอต่างเป็นที่จับจ้องของใครหลายๆ คน บางคนจ้องมองเธอเพราะอยากจะเป็นมิตรด้วยแต่กับบางคนก็มองเหมือนไม่พอใจ แต่อันดาก็เลือกที่จะไม่สนใจคนพวกนั้น เพราะจุดประสงค์ของเธอไม่ได้มาเพราะอยากเป็นไอดอลแต่เธอมาเพราะชาวีต่างหากล่ะ เพราะแบบนี้เธอเลยไม่สนใจสายตาที่คนอื่นมองมา กับกันเธอกับตั้งใจฟังในสิ่งที่ครูฝึกกำลังสอน
ปาไปเกือบห้าชั่วโมงได้ที่อันดาอยู่ในคลาสเรียนจนเวลาล่วงเลยมาจนถึงหกโมงเย็น และแล้วก็หมดเวลาเลิกเรียนสักที
“เอาล่ะทุกคนวันนี้พอแค่นี้ก่อน แล้วพรุ่งนี้เจอกันใหม่”
ทันทีที่ครูฝึกพูดจบ เด็กฝึกทุกคนก็ต่างพากันขอบคุณ จากนั้นก็เริ่มทยอยพากันเดินออกจากคลาสเรียนไป อันดาที่มัวแต่เก็บของยัดใส่กระเป๋าใบใหญ่อยู่นั้น พอเธอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้นแล้ว
“อ้าว ไปไหนกันหมด?” เธอพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินไปที่ประตู
มือบางกำลังผลักประตูออกแต่ทว่าก็เหมือนมีใครบางคนเดินสวนเข้ามาชนกับเธอที่กำลังจะเดินออกไปพอดี
...ปึก!!...
“โอ๊ะ! ชนอีกแล้วววว” อันดาบ่นออกมา ก่อนจะก้มลงไปเก็บมือถือที่หล่นพื้นอย่างหงุดหงิด
“พี่ขอโทษนะ” น้ำเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้น อันดาที่ก้มเก็บของอยู่นั้นรีบเงยหน้าขึ้นไปมองทันที
“พี่วี?”
“แย่จัง เดินชนกันอีกแล้ว” ชายหนุ่มว่าออกมาพรางเกาหัวแก้เขินเบาๆ
บริษัทก็ดูจะใหญ่โตไม่น่าจะมีโอกาสเดินชนกันได้นะ หรือว่าจะเป็นพรมลิขิตที่ทำให้เราได้เจอกับพี่เขา เธอได้แต่เพ้อเข้าข้างตัวเองอยู่ในใจ
“น้องเป็นอะไรไหมครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า? ” เพราะเห็นเธอเงียบไป ชาวีเลยถามด้วยความเป็นห่วง
คนตัวเล็กที่กำลังมโนอยู่ถึงกับสดุ้งตื่นจากห้วงจิตนาการทันที เมื่อโดนใครบางคนตีแขนของเธอเบาๆ
“อ่อ...ฉันไม่เป็นไรค่ะ” อันดาตอบ ก่อนจะเอ่ยถามพี่เขาต่อ “ว่าแต่พี่เถอะเข้ามาทำไมเหรอคะ?” ถามออกไปด้วยความสงสัย
คนถูกถามรีบตอบกลับทันควัน “อ่อ..พี่จะเข้ามาซ้อมเต้นครับ”
“เหรอคะ” อันดาที่ได้ยินแบบนั้นเธอก็อยากอยู่ดูพี่เขาซ้อมเต้น แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นขอยังไงดีได้แต่ยืนเก้ออยู่อย่างนั้น จนท้ายที่สุดก็ยอมเอ่ยปากขอคนพี่ออกไปตรงๆ
“เอ่อ.... จะเป็นไรไหมคะถ้าหนูจะขอดูพี่ซ้อมเต้นด้วย” เธอเอ่ยปากขอ
แต่พอเห็นอีกคนเงียบไปอันดาหน้าจ๋อยทันที พอรู้ตัวว่าคำขอของเธอเป็นไปไม่ได้เธอจึงรีบเดินไปที่ประตูเพราะไม่อยากให้ใครบางคนรู้สึกอึดอัด แต่ทว่าอีกคนกลับตะโกนตามหลังเธออย่างไว
“จะอยู่ดูพี่ซ้อมก็ได้ครับ พี่ไม่ได้ว่าอะไร” ชาวีบอกน้อง
ได้ยินแบบนั้นอันดารีบหันหน้ากลับมา ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลยเธอเลยทวนคำตอบของเขาอีกครั้ง
“พี่พูดจริงเหรอคะ”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาให้กับท่าทางของเธอ ที่ดูจะดีใจมาก
“จริงครับ” ชาวีว่า
ทันทีที่ได้ยินคำตอบของชายหนุ่มอย่างชัดเจนอันดารีบวางกระเป๋าไว้ข้างๆ ประตู และรีบเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ หน้ากระจกบานใหญ่ มองดูชาวีซ้อมเต้นอย่างไม่ละสายตา
ไม่รู้กี่โมงกี่ยามแล้วตอนนี้ชาวีที่ซ้อมเต้นเสร็จ เขารีบเดินปรี่ตรงเข้าไปปิดเพลงพร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา
“เชี่ย! จะห้าทุ่มแล้วเหรอวะ” ชายหนุ่มสบถคำหยาบคายออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปมองอันดาที่นั่งพิงกระจกหลับอย่างน่าสงสาร
ชาวีรีบเก็บข้าวของลงในกระเป๋า พอเก็บเสร็จเขาเดินย่องเข้าไปหาอันดาที่นอนหลับอยู่ มือหนาสะกิดไปที่แขนของเธอเบาๆ
“น้องครับ! ตื่นได้แล้ว พี่จะกลับคอนโดแล้วครับ”
“อือออ” หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงียพร้อมกับส่งเสียงอื้ออึงผ่านลำคอเบาๆ ไม่พอเธอยังกางแขนบิดขี้เกียจจนคนที่ยืนมองอยู่ตรงหน้าถึงกับกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
“ทำไรอ่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม พรางหัวเราะไปด้วย
อันดาปลายตามองดูคนพี่ที่ยืนขำอยู่ “บิดขี้เกียจไงคะ ว่าแต่พี่เถอะหัวเราะหนูทำไมอ่ะ หรือว่ามีอะไรติดอยู่ที่หน้าหนู” เธอรีบเช็ดปากตัวเองทันที เพราะไม่รู้ว่ามีคาบน้ำลายเลอะติดแก้มของเธออยู่หรือเปล่า
“ไม่มีอะไรหรอก แล้วนี่จะกลับยัง” ชาวีเอ่ยปากถามน้องไป อันดาพยักหน้าหงึกๆ
“จะกลับแล้วเหมือนกันค่ะ” พอพูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินตรงไปหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย
“ไปค่ะ”
“น้องเดินออกไปก่อนเลยครับ เดี๋ยวพี่เดินตามไปทีหลัง”
อันดารู้ดีว่าการเป็นคนดังจะต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะอยู่นอกบริษัทหรืออยู่บริษัทเองก็ตาม ก็ต้องระวังตัวเอาไว้เพราะขืนมีคนมาเห็นเข้า ไม่ใช่ชาวีที่ต้องลำบาก เธอเองก็จะลำบากไปด้วยเช่นกันเพราะฉะนั้นเธอจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้ชาวีเดือดร้อน
“งั้นหนูกลับก่อนนะคะ” เธอหันไปบอก ชาวีที่ยืนมองอยู่นั้นได้แต่พยักหน้าเบาๆ เชิงเป็นคำตอบ
แต่พอจะเปิดประตูออกไป อันดาก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้แนะนำตัวกับชายหนุ่มเลย เพราะแบบนี้เธอเลยหันกลับไปมองใครบางคน พร้อมกับแนะนำตัว
“หนูชื่ออันดานะ”
“ส่วนพี่ชาวีครับ น้องน่าจะรู้จักแล้ว” เขาตอบ
“จะเป็นไรไหม ถ้าพรุ่งนี้หนูจะขอมาดูพี่ซ้อมเต้นอีก” อันดาเอ่ยถามพรางทำหน้าลุ้นในคำตอบของอีกคน
“ได้สิ ถ้าน้องอยากเต้นเก่งก็มาเรียนกับพี่ได้พี่พร้อมสอนครับ”
อันดาฉีกยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ “รับปากแล้วนะ งั้นพรุ่งนี้เจอกันค่ะ” ว่าจบ ก็โบกมือลา
หลังจากวันนั้นที่เธอกับชาวีได้คุยกัน เวลาที่อันดาซ้อมร้องซ้อมเต้นกับครูฝึกเสร็จ เธอก็มักมารอชาวีในห้องซ้อมทุกวัน จากที่เต้นไม่ค่อยเก่งชายหนุ่มก็พยายามบอกเทคนิคตั่งต่างให้กับเธอ จนความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ กลายมาเป็นสนิทกัน
ในสายตาของชาวีอาจจะมองอันดาเหมือนน้องสาวคนนึง แต่กับอันดานั้น ....มันเกินกว่าคำว่าพี่น้องไปแล้ว
5เดือนที่เป็นเด็กฝึกอยู่ในค่ายเดียวกับชาวี เธอมีความสุข มากๆ มากจนเธอก็คิดว่าชายหนุ่มก็อาจจะความสุขเหมือนกันกับเธอ...
“นี่พวกเธอ ได้ยินข่าวหรือยัง?”
“ข่าวอะไรอ่ะแก้ว”
“ข่าวพี่ชาวีไง”
อันดาหันไปมองหน้าเพื่อนทันทีที่เธอได้ยินเด็กฝึกพวกนั้นต่างพากันซุบซิบในระหว่างรอครูฝึกเข้ามาในคลาสเรียน
“ข่าวอะไรเหรอแก้ว?” อันดาหันหน้าไปถามเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างหลัง
“ก็ข่าวเดทของพี่ชาวีกับพี่แอนนาไง” แก้วหันมาตอบ จากนั้นก็หันไปพูดคุยกับเพื่อนในกลุ่มต่อ
เมื่ออันดาได้ยินถึงกับนิ่งไปพักใหญ่ 5เดือนที่อยู่กับชาวี เธอแทบจะไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่าชาวีแอบเดทกับแอนนา ไม่มีแม้แต่จะคุยโทรศัพท์หรือนัดเจอกัน ส่วนชาวีเองก็ทำเหมือนเธอเป็นคนพิเศษ ไม่ว่าเธออยากไปเที่ยวที่ไหนเขาก็ไม่เคยขัดใจ ทั้งคู่แอบไปกินข้าว ดูหนังด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง
จนอันดามั่นใจว่าชาวีก็แอบชอบเธอเหมือนกัน
แต่พอมีข่าวเดทกับคนที่ชื่อแอนนาออกมา มันทำให้เธอช็อกจนพูดอะไรไม่ออก ที่ผ่านมาเท่ากับเธอมโนขึ้นมาเองว่าเขาแอบชอบเธอเหมือนกัน
“เป็นอะไรหรือปล่าอันดา” มินนี่เอ่ยถามทันทีที่เห็นอันดาเงียบไป
“ห...ห๊ะ?” อันดาไม่สามารถอยู่เรียนต่อได้ เพราะตอนนี้ในหัวมันเอาแต่คิดถึงเรื่องของชาวีอยู่ตลอดเวลา ไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
“โอเคไหม?” มินนี่ถามย้ำอีกครั้ง
คนตัวเล็กได้แต่พยักหน้า ก่อนจะหาข้ออ้างขึ้นมาเพื่อโดดเรียน
“พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ ฉันขอตัวก่อนนะ” ไม่รอให้เพื่อนได้พูดอะไร อันดาก็รีบลุกพรวดพลาดเดินไปเก็บข้าวเก็บของยัดใส่กระเป๋าอย่างลวกๆ แล้วเดินออกจากคลาสเรียนไปทันที
“เดี๋ยวสิอันดา! เธอจะไปไหน” มินนี่ได้แต่ตะโกนตามหลัง
มือบางกดลิฟท์ย้ำๆ เพื่อให้มันประตูเปิดออก พอลิฟท์เปิดเธอรีบเดินเข้าไปค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงไปกับพื้น
“ฮึก\~\~” พยายามฮึบมันเอาไว้แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อยู่ เพราะสิ่งที่รับรู้มามันเจ็บเกินกว่าจะทนได้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เร็วจนอันดาไม่ทันได้ตั้งตัว
สองเท้าเดินมาถึงลาดจอดรถอย่างไร้เรี่ยวแรง หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วกดโทรออกไปหาคนเป็นพ่อ
[ว่าไงลูกรัก] ทันทีที่ปลายสายกดรับก็รีบเอ่ยถามทันที
[ปะป๊า อันดาอยากย้ายไปเรียนต่อที่อเมริกา
[เดี๋ยวนะลูก ที่พูดออกมาลูกคิดดีแล้วหรอ] ปะป๊ารีบถามย้ำทันที
เพราะที่ผ่านมาพ่อของเธอพยายามโน้มน้าวให้อันดาไปเรียนต่อที่ต่างประเทศอยู่ตลอดเวลาแต่ทว่าคนที่ยืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่ายังไงก็จะไม่ไป มาวันนี้กลับบอกว่าอยากไปเรียนเอาซะดื้อๆ มันเลยทำให้คนเป็นพ่ออย่างเขาอดสงสัยในตัวลูกสาวไม่ได้
[หนูคิดมาดีแล้วค่ะ ปะป๊าให้หนูไปเรียนนะ] อันดาตอบปะป๊าไปอย่างหนักแน่น
[แล้วหนูจะไปเมื่อไหร่] ปะป๊าถาม
อันดาเงียบไปครู่นึง จนสุดท้ายก็ตอบออกมา
[หนูต้องการบินไปคืนนี้เลยค่ะ]
[ตอนนี้ป๊าติดประชุมอยู่เอาไว้กลับไปถึงบ้านแล้ว เราค่อยคุยกันอีกทีนะลูก]
[ค่ะ] อันดากดตัดสายก่อนจะยัดมือถือลงในกระเป๋า ไม่นานรถก็ขับมาจอดอยู่ตรงหน้าของเธอ อันดารีบขึ้นไปนั่งในรถทันที พร้อมกับออกคำสั่งให้คนขับรีบออกรถ
“ออกรถได้เลยค่ะ”
“ครับคุณหนู”
รถได้ขับเคลื่อนออกไปจากตึกอย่างช้าๆ อันดาที่นั่งอยู่ข้างในทอดมองออกไปผ่านกระจกใสด้วยสายตาที่ว่างเปล่าในใจก็คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
การตัดสินใจในครั้งนี้ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอะไรที่ยากลำบากมากก็ตาม ถ้าแลกกับการที่เธอไม่ต้องมารับรู้ไม่ต้องมาได้ยินอะไรเกี่ยวกับความรักของชาวีกับผู้หญิงคนนั้น อันดาก็พร้อมไปจากที่นี่ทันที
และเธอเองก็ไม่ต้องการโทรไปถามอีกคนด้วย เพราะในเมื่อค่ายออกมายืนยันแล้ว นั่นก็แสดงให้เห็นว่าการเปิดเผยในครั้งนี้ชาวียินยอม...เพราะฉะนั้นเธอไม่มีอะไรจะคุยกับเขาอีกต่อไปแล้ว...
...สนามบินสุวรรณภูมิ...
“ทางนี้ครับ คุณหนู” ลุงบุญยืนลูกน้องของพ่อพยายามโบกมือให้กับหญิงสาว ในขณะที่เธอกำลังเดินลากกระเป๋าออกมาจากเก็ทพร้อมกับผู้โดยสารท่านอื่นๆ
ดวงตาคู่สวยกวาดสายตามองหาคนที่มารอรับเธอพออันดาเห็นลุงบุญยืนที่กำลังโบกมือส่งสัญญาณเรียกเธออยู่นั้นก็รีบเข็นกระเป๋าเดินตรงเข้าไปหาทันที
“ปะป๊าล่ะคะ?” อันดาเอ่ยถามทันที ที่เดินเข้ามาถึง
“คุณท่านติดประชุมด่วนครับ เลยสั่งให้ผมมารับคุณหนูก่อน” ลุงบุญยืนรีบรายงานเจ้านายตัวน้อยทันที จากนั้นก็รีบยื่นมือไปรับเอาสัมภาระมาถือไว้
เพราะนั่งเครื่องเป็นเวลานาน หญิงสาวเลยขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อเช็คความเรียบร้อยซะหน่อย
“ลุงรออันดาแปปนึงนะคะ อันดาขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน”
“ได้ครับคุณหนู”
จากนั้นเธอก็เดินตรงไปทางห้องน้ำหลังจากทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จหญิงสาวเดินออกมายืนมองตัวเองอยู่ในกระจกบานใหญ่เช็คดูเสื้อผ้าหน้าผมเติมแป้งทาปากจนมั่นใจ
สวยแล้ว
พึมพำชมตัวเองเบาๆก่อนจะรีบเก็บแป้ง ลิปสติกแบรนด์diorใส่ลงไปในกระเป๋า จากนั้นก็เดินออกมาจากห้องน้ำรีบสืบเท้าตรงไปหาลุงบุญยืนที่รอเธออยู่ในศูนย์อาหารFood court ชั้น1ของสนามบิน
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” เธอว่าออกมา เมื่อเดินเข้าไปถึง
“โอเคครับ งั้นเรารีบกลับกันเถอะ”
อันดาพยักหน้าเบาๆจากนั้นก็เดินตามหลังลุงบุญยืนไปยังลาดจอดรถ
สองปีที่อันดาไปเรียนอยู่อเมริกา เธอได้ตัดขาดจากโลกโซเชียล ทั้งไลน์ เฟสบุ๊ค ไอจี หรือแม้กระทั่งทวิตเตอร์ ยูทูปและกูเกิ้ลเธอก็ไม่ค่อยสนใจ นอกซะจากหาข้อมูลในการเรียนเธอถึงยอมใช้มัน อันดาพยายามทำใจเรื่องชาวี จนตอนนี้เธอโอเคขึ้นจึงขอพ่อกลับมาเรียนต่อที่เมืองไทย
สายตาทอดมองดูบรรยากาศภายนอกบนท้องถนน พรางในหัวก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนรถได้มาจอดติดไฟแดง ดวงตากลมโตทอดมองผ่านกระจกใสเห็นป้ายโฆษณาที่มีหน้าของใครบางคนเป็นพรีเซนเตอร์อยู่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงรีบถ่ายรูปเก็บไว้ แต่ตอนนี้อันดากลับไม่รู้สึกอะไรเลย นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเธอมูฟออนเรื่องของชาวีได้แล้วจริงๆ
“อีกนานไหมคะกว่าจะถึงบ้าน” หญิงสาวเอ่ยถามคุณลุงไป เพราะตอนนี้เธอเริ่มหิวแล้ว
“ใกล้จะถึงแล้วครับ”
ไปอยู่เมืองนอกตั้งสองปี คิดถึงกับข้าวฝีมือแม่นมจะแย่แล้วป่านนี้คงเตรียมกับข้าวไว้รอเธอชุดใหญ่อยู่แน่เลย พอคิดแบบนั้นอันดาก็ตื่นเต้นพรางชะเง้อคอมองอย่างใจจดใจจ่อ
ไม่นานรถตู้คันหรูก็ได้ขับเคลื่อนมาจอดที่หน้าบ้านหลังใหญ่ทุกคนต่างพากันออกมายืนรอต้อนรับกันอย่างตื่นเต้น อันดาตอนนี้เธออยู่ในชุดเดรสสีขาวกับรองเท้าบูทแบรนด์ดังเธอรีบก้าวขาลงจากรถทันทีที่มันถูกเปิดออก
ทุกคนที่มารอรับต่างพากันส่งยิ้มมาให้ ดวงตาลุกวาวเมื่อเห็นสาวน้อยเมื่อสองปีก่อนตอนนี้ได้กลายเป็นสาวอย่างเต็มตัวแล้ว
“หู้ววว ไม่เจอกันนานคุณหนูโตเป็นสาวแล้ว” พี่แววเอ่ยปากชมทันที
“จริงพี่แวว คุณหนูดูสวยขึ้นมากๆ เลยค่ะ” ตามด้วยพี่ส้มที่ชมคุณหนูของบ้าน
อันดาที่ถูกชมถึงกับยิ้มกว้างออกมาทันที ก่อนจะโผเข้ากอดแม่นมที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าของเธอ
“มาให้อันดากอดที อันดาคิดถึงแม่นมที่สุดในโลกเลยค่ะ” หญิงสาววาดแขนโอบกอดแม่นม ผู้ที่เสมือนเป็นแม่คนที่สองของเธออย่างคิดถึง
“แม่นมก็คิดถึงคุณหนูค่ะ”
ตั้งแต่คุณแม่เสียไปอันดาก็มีแม่นม และก็พี่เลี้ยงอีกสองนี่แหละที่คอยดูแล ส่วนคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อก็เอาแต่ทำงานหนักไม่ค่อยมีเวลามาสนใจเรื่องของอันดาหรอก นี่ขนาดเธอกลับมาแล้วแท้ๆ แทนที่จะรีบมาหาลูกแต่พ่อของเธอก็ยังคงห่วงงานมากกว่าเธอเหมือนเดิม
“คุณหนูหิวไหมคะ”
คนถูกถามรีบตอบกลับไปอย่างอ้อนๆ “หิวค่ะ หิวมากๆ เลย
“งั้นเรารีบเข้าไปข้างในดีกว่านะคะ”
แม่นมจูงมืออันดาเดินเข้าไปในบ้านทันที หญิงสาวไม่รอช้าเธอรีบวิ่งเข้าไปนั่งในห้องอาหารรอกับข้าวมาเสิร์ฟด้วยความหิว ไม่นานกับข้าวที่ได้ทำเตรียมเอาไว้รอเธอก็ถูกยกออกมาเสิร์ฟ อันดายิ้มกว้างออกมาอย่างชอบใจเมื่อเห็นกับข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะเต็มไปด้วยของโปรดของเธอทั้งนั้น
“งั้นอันดากินเลยนะ” เธอว่าออกมา จากนั้นก็รีบตักอาหารเข้าปาก
“ตามสบายเลยค่ะ” แม่นมว่า
หลังจากทานอาหารเสร็จ อันดาก็ขึ้นมาพักที่ห้องนอนของเธอ ชุดสวยถูกขนออกมาจากกระเป๋าเดินทางจัดใส่ไม้แขวนยัดมันเข้าไปในตู้เสื้อผ้า พรางในหัวก็คิดไปถึงเรื่องของที่แม่นมเล่าให้เธอฟังในวันนี้
ตอนแรกเธอคิดว่าที่พ่อยอมให้เธอไปเรียนต่อเมืองนอกเพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่คนเป็นลูกควรได้รับ แต่ที่ไหนได้ ที่พ่อส่งเธอไปเพราะจะได้จัดงานแต่งขึ้นมาได้อย่างง่ายดายต่างหากล่ะ
พ่อแต่งงานใหม่ทั้งๆ ที่ไม่บอกเธอให้รู้สักคำ หนำซ้ำยังให้เมียใหม่ถือหุ้นบริษัทอีกด้วย
ป๊าทำแบบนี้กับหนูได้ยังไง ได้แต่บ่นออกมาอย่างโมโห
...ก๊อกๆ ก๊อกๆ...
เสียงเคาะประตูจากด้านนอกดังขึ้น “ขอป๊าเข้าไปหน่อย” อันดารู้ว่าเป็นเสียงของใคร เธอรีบเดินไปเปิดประตูให้พ่อของเธอทันที
หญิงสาวเปิดประตูออกไปด้วยสีหน้าดีใจ แต่ทว่าจู่ๆสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นนิ่งขรึม เมื่อพ่อของเธอไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว แต่พ่อมากับผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียใหม่ของเขา
“ขอป๊าคุยด้วยได้ไหมอันดา”
“ถ้าจะคุยเรื่องที่ป๊าแต่งงานใหม่ อันดายังไม่พร้อมที่จะฟังค่ะ”
“แต่ว่า....”
“คุณคะ รอให้ลูกใจเย็นกว่านี้เราค่อยมาคุยก็ได้ค่ะ”
พออันดาได้ยินผู้หญิงคนนั้นเรียกเธอว่าลูก เธอก็รีบสวนออกไปทันที
“ใครลูกเธอ ไม่ทราบ!”
“อันดา!!!” คนเป็นพ่อรีบห้ามปรามลูกสาวอย่างไว น้ำเสียงตะคอกใส่ยิ่งทำให้อันดาไม่พอใจมากขึ้นไปอีก
“ก็มันจริงนี่คะ อันดามีแม่แค่คนเดียวส่วนผู้หญิงคนนี้เขาไม่ใช่แม่ของอันดา แต่เขาเป็นเมียน้อ..”
...เพียะ!!...
ไม่ทันได้พูดจบ ฝามือหนาก็ตบไปที่หน้าของอันดาอย่างแรง
“ป๊า!??” หญิงสาวมองผู้เป็นพ่อด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
...ปัง!!!!!...
อันดาปิดประตูใส่ทันที จากนั้นก็รีบเดินไปที่เตียงล้มตัวลงนอนราบ ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ
“ฮื่อๆๆๆ ป๊าไม่รักหนูแล้ว”
...*...
“พวกมึง! เสร็จจากอัดรายการเราไปกินชาบูกันต่อไหม” เควินเพื่อนร่วมค่ายที่เป็นนักแสดงชื่อดังเอ่ยปากชวนเพื่อนๆ ที่กำลังนั่งเล่นเกมส์อยู่
“เอาดิ” เพทายรีบตอบทันที
“ส่วนกูขอบายครับ ง่วงจะกลับบ้าน” ตามด้วยมาร์คที่ปฏิเสธเควินไปพรางทำหน้าเหนื่อยๆ
เหลือคนสุดท้ายที่นั่งเงียบจนเควินต้องเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วมึงล่ะ ไอ้วี?”
ชายหนุ่มที่นั่งเล่นมือถืออยู่นั้นหันมามองหน้านิ่ง และตอบออกมาเพียงคำสั้นๆ “ไม่ไป!” จากนั้นก็หันกลับไปสนใจคนที่อยู่ในแชทต่อ
“มึงอย่าไปคาดหวังอะไรจากมันเลยไอ้วิน ช่วงนี้มันติดแฟน” มาร์คว่าแซวๆ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
ชาวีรีบหันไปมองค้อนมาร์ค “แฟนพ่อง!” ด่าด้วยคำหยาบคาย จนมาร์คหยุดแซว
“ค้าบๆ ไม่แซวแล้วค้าบ”
หลังจากถ่ายรายการร่วมกันเสร็จ เพื่อนคนอื่นๆ ก็ต่างพากันแยกย้ายกันกลับบ้าน กลับคอนโด ส่วนชาวีเองมีงานเข้ามาด่วนก็เลยออกมากับผู้จัดการ ในระหว่างที่นั่งอยู่บนรถเพื่อไปถ่ายงานอีกที่ จู่ๆ เรื่องราวเมื่อสองปีก่อนก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง เมื่อเขามองไปยังห้างสรรพสินค้าที่เขาเคยมากับใครคนหนึ่ง
“พี่ปลอมตัวแบบนี้ไม่มีใครจำพี่ได้แน่นอน เชื่อหนู"
เมื่อสองปีก่อนเขาจำได้ว่าเคยพาผู้หญิงคนหนึ่งมาเที่ยว ด้วยความที่เขาเป็นคนมีชื่อเสียงเด็กคนนั้นเลยให้เขาปลอมตัวเพื่อไม่ให้นักข่าวและแฟนคลับจำได้
ดวงตาทอดมองออกไปทำให้เขาหลุดยิ้มออกมาให้กับช่วงเวลานั้น และมันทำให้เขาในตอนนี้คิดถึงน้องสาวที่จากไป
นับตั้งแต่วันที่มีข่าวการออกเดทจากต้นสังกัด ชาวีก็ไม่เจอสาวน้อยคนนั้นอีกเลย ถามเพื่อนๆ ในคลาสเรียน ก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอออกจากบริษัทไปแล้ว จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่าเธอออกจากค่านเพราะอะไร หรือย้ายไปเป็นเด็กฝึกในสังกัดค่ายใหม่?
...ครืน\~\~ครืน\~\~...
เสียงแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นไลน์ดังขึ้น จากที่ชายหนุ่มกำลังเหม่อลอยอยู่นั้นต้องสะดุ้งตื่นทันที เขารีบหยิบมือถือขึ้นเพื่อเปิดดูว่าใครส่งมา
...LINEแอนนา...
พอรู้ว่าเป็นแฟนสาว เขาก็รีบเปิดอ่านทันที
[คืนนี้เราไปทานข้าวกันนะ แอนจ้องโต๊ะไว้แล้ว] >แอนนา
[โอเคครับ] >ชาวี
[แอนลืมบอกไป ตรีมสีขาวนะคะเผื่อได้ถ่ายรูปลงไอจีให้แฟนคลับดู] > แอนนา
[ครับ] >ชาวี
[แล้วเจอกันนะคะ] >แอนนา
ทันทีที่คุยเสร็จชาวีก็รีบยัดมือถือกลับลงในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม พร้อมกับพ่นลมหายใจออกเฮือกใหญ่ “เฮ้ออออ”
...*...
เพราะถูกคนที่เป็นพ่อตบต่อหน้าเมียใหม่ ทำให้หญิงสาวตัดสินใจหนีออกจากบ้านมาหาเพื่อนสาวที่คอนโดแห่งหนึ่ง
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว” มินนี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ พยายามปลอบเพื่อนอย่างอ่อนโยน
“แกจะไม่ให้ฉันร้องได้ยังไง ก็ดูป๊าทำกับฉันสิ” อันดาโวยวายออกมา
“เอาจริงนะถึงแม่ใหม่แกจะมีหุ้นในบริษัทแต่มันก็ไม่ได้หมายถึงเขาจะขึ้นมาเป็นประธานได้ป่ะวะ เพราะหุ้นที่แกมีอยู่เยอะกว่าเขาด้วยซ้ำ”
“เออก็จริง” อันดาฉุกคิดขึ้นมาได้จึงหยุดร้องโวยวายทันที เพราะตอนนั้นมัวแต่โกรธก็เลยไม่ทันคิด
“ทางที่ดีนะอันดา ฉันว่าแกต้องรีบเข้าไปมีส่วนร่วมในบริษัทเลย อย่างน้อยๆ แม่ใหม่แกก็ยังอยู่ในสายตา”
“ตกลง ฉันจะทำตามที่แกบอก” อันดายอมทำตามที่เพื่อนแนะนำ
หลังจากไปปรับทุกข์กับเพื่อนเสร็จหญิงสาวก็รีบกลับมาที่บ้านอีกครั้ง สองเท้าเล็กรีบสืบเท้าเดินเข้ามาในบ้าน
“ลูกไปไหนมา” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ทำให้อันดาที่ก้มหน้าอยู่ถึงกับสะดุ้งตกใจ
“ป๊า”
“หนูไปไหนมา” คนเป็นพ่อเอ่ยถามลูกสาวอีกครั้ง
“หนูไปหาเพื่อนมา ป๊ามีอะไรจะคุยกับหนูอีกไหมคะ ถ้าไม่มีหนูขอตัวก่อน” อันดาตอบกลับพ่อของเธอไป ทั้งๆ สีหน้าโกรธอยู่
“เดี๋ยวสิอันดา!”
“.......? .”
หญิงสาวหันกลับมามอง อย่างไม่สบอารมณ์
“ป๊าขอโทษ ป๊าไม่ได้ตั้งใจ”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะ แต่หนูมีอีกเรื่องที่จะบอกป๊า”
“อะไร?” คนเป็นพ่อทำหน้าสงสัย
“พรุ่งนี้หนูจะเข้าบริษัท ป๊าสั่งลูกน้องให้เตรียมห้องทำงานให้หนูด้วยนะคะ” ไม่รอให้คนเป็นพ่อได้พูดอะไร อันดาก็เดินขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าการเข้าบริษัทในครั้งนี้เธออาจจะต้องเจอกับใครบางคนก็ตาม แต่ถ้ามันแลกกับการที่รู้ว่าแม่เลี้ยงของเธอทำงานในตำแหน่งอะไร เธอยอม...
...ติ๊ดดด ติ๊ดดด ...
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นบนหัวเตียง สาวน้อยในชุดนอนบางสีชมพูลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย มือเล็กเอื้อมไปปิดเสียงที่ดังลั่น
ตายแล้ว สายแล้วเหรอเนี่ย
อันดาพึมพำออกมาอย่างตกใจเมื่อเธอหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา แล้วพบว่าตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงกว่าแล้ว
วันนี้เธอต้องเข้าบริษัทซะด้วยสิ ป่านนี้คุณพ่อของเธอคงถึงบริษัทก่อนเธอแล้วแน่นอน หญิงสาวไม่รอช้ารีบก้าวขาลงจากเตียงวิ่งหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำทันที
หลังจากอาบน้ำเสร็จเธอก็รีบเดินมาที่โต๊ะเครื่องแป้ง มือบางหยิบครีมบำรุงผิวทาบนใบหน้าอย่างลวกๆ
โอ้ยยยตาย! สายแล้วแน่ๆ เลยอันดา
เธอบ่นตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ พรางมือก็แต่งหน้าทำผมไป หลังจากที่แต่งหน้าทำผมเสร็จเธอก็รีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ควานหาชุดมาทาบกับหุ่นของตัวเองสองสามชุดด้วยกัน
“เอาชุดนี้ก็แล้วกัน” เธอว่า จากนั้นก็สวมใส่มันทันที
อันดาในตอนนี้เธออยู่ในชุดกางกางขายาวเอวสูงสีดำสไตล์เกาหลีตัดกับเสื้อเกาะอกสีขาว มีสูทจากแบรนด์ดังใส่ทับเอาไว้เพื่อไม่ให้มันดูโป๊จนเกินไป โชว์เอวคอดเล็กน้อย ปล่อยผมลอนยาวถึงกลางหลัง ไม่ลืมที่จะหยิบเครื่องประทับตั่งต่าง ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอแหวน นาฬิกา กระเป๋า รองเท้า ก็ล้วนแต่เป็นของแบรนด์chanelทั้งหมด
“เสร็จสักที” หญิงสาวพูดออกมาผ่านหน้ากระจกบานใหญ่ ก่อนจะหยิบเครื่องสำอางมือถือลงในกระเป๋าและหยิบกุญแจรถสปอร์ตหรูออดี้r8สีดำ ออกจากห้องไปอย่างเร่งรีบ
“คุณหนูจะออกไปไหนแต่เช้าเหรอคะ?” พี่แววที่กำลังเช็ดกระจก เอ่ยถามทันทีที่เธอวิ่งลงจากบันได
“อันดาจะไปทำงานค่ะ”
“ทำงานอะไรคะ?”
“อันดาหมายถึงทำงานที่บริษัทปะป๊าอ่ะค่ะ” ว่าจบก็ก้มมองดูเวลาที่ข้อมือ “แงง สายแล้วงั้นอันดาไปก่อนนะคะ ตอนเย็นเจอกันค่ะ”
สาวน้อยเร่งฝีเท้าเดินไปยังลาดจอดรถก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างในมือบางเอื้อมกดปุ่มสตาร์ทขับมันออกไปด้วยความเร็ว
...บริษัททีสตาร์...
รถสปอร์ตขับเคลื่อนมาจอดหน้าบริษัทใหญ่ หญิงสาวเปิดประตูพร้อมก้าวขาลงจากรถคันสวย พนักงานที่เดินไปมาในบริษัทต่างพากันหันมามองเธออย่างตกตะลึง
“คุณครับ ตรงนี้จอดไม่ได้นะครับ” เสียงจากรปภ รีบวิ่งเข้ามาบอก
“ทำไมตรงนี้ถึงจอดไม่ได้ล่ะคะ?” อันดาหันไปถาม รปภ.คนนั้นอย่างอารมณ์เสีย
“ที่ตรงนี้จอดได้แค่ท่านประธานกับเมียท่านประธานเท่านั้นครับ”
สายตาต่างจับจ้องมองมาที่อันดาที่กำลังมีปากเสียง กับรปภ.อยู่
“มีอะไรอะแก”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ รู้แต่ว่าชีคนนั้นน่าตบมาก ยืนเถียงพี่รปภ.ฉอดๆ ”
“จริงแก น่าตบมาก”
เสียงซุบซิบนินทาของพนักงานยิ่งทำให้อันดาเริ่มพอใจเป็นอย่างมาก เธอรีบหยิบมือถือในกระเป๋าออกมาแล้วกดต่อสายไปหาเลขาของพ่อทันที รอไม่นานมากนักก็มีรปภ.อีกคนวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าท่าทางตกใจ
“ไอ้เอ็ม! มึงทำอะไรลงไปเนี่ย” รปภ.อีกคนรีบปรามรปภ.คู่กรณีทันที
“ก็คุณผู้หญิงคนนี้น่ะสิ เธอมาจอดรถที่หน้าบริษัทเรา”
“ผู้หญิงที่มึงชี้อยู่ เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านประธานบริษัทเราเว้ย!”
“อะไรนะ?”
อันดาทอดมองรปภ.คนนั้นด้วยใบหน้านิ่งขรึม ก่อนจะเอ่ยปากออกมา
“ตกลงให้ฉันจอดตรงนี้ได้ยัง?”
“จ....จอดได้แล้วครับ”
“อือ” จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปข้างในบริษัททันที
อันดาไม่ได้อยากเอาเรื่องหรือถือสาหาความอะไรกับรปภ.คนนั้น เพราะเธอไม่ค่อยได้เข้ามาที่บริษัท เธอเลยเข้าใจว่าไม่มีใครรู้ว่าเธอคือลูกสาวของท่านประธาน
อีกอย่างเธอก็ไม่ได้โกรธอะไรมากมายขนาดนั้นเพราะรู้ว่าสิ่งที่รปภ.ทำมันคือหน้าที่
“ขอไปด้วยคนค่ะ” หญิงสาวเอ่ยปากขอ ก่อนจะวิ่งเข้าไปในลิฟท์ที่มันกำลังจะปิด
...ฟุบ!!...
“จะไปชั้นไหนครับ?” ใครบางคนเอ่ยปากถามหญิงสาว ที่กำลังนั่งก้มเก็บของที่หล่นอยู่
ด้วยความที่อันดาไม่ทันระวัง เธอเงยหน้าขึ้นไปมอง เจอชายหนุ่มชื่อดังที่ชื่อว่าชาวียืนอยู่ใกล้ๆกับเธอพอดี
ทั้งสองคนสบตากันอยู่ครู่นึง แต่พออันดาตั้งสติได้เธอก็รีบลุกขึ้นยืนและรีบบอกออกไป
“ของฉันไปชั้นที่10ค่ะ” เธอว่าออกมาก่อนจะขยับถอยออกห่างและหันหน้าหนีไปทางอื่น
...ตึกตักๆ ตึกตักๆ...
เสียงหัวใจเต้นเร็วรัวราวจะระเบิดออกมา อันดารู้อยู่แล้วว่าสักวันเธอจะต้องเจอกับเขาคนนั้นอีกครั้ง เพราะเขาเป็นนักร้องนักแสดงอยู่ในค่ายพ่อของเธอ
แต่เธอก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้
อุตส่าห์แอบเช็คตารางงานพอรู้ว่าช่วงเช้าเขาไม่อยู่ ก็รีบมาบริษัทก่อนเพราะต้องการจะหลีกเลี่ยงแต่ก็ดันเจอกันจนได้
...ติ้ง!...
ทันทีที่ลิฟท์เปิดออกอันดารีบเดินออกมาอย่างรวดเร็ว เธอไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองคนที่อยู่ข้างหลังด้วยซ้ำ
“ใครวะมึง สวยฉิบหายเลยว่ะ” เพทายรีบถามเพื่อนทันที หลังจากที่หญิงสาวได้เดินออกจากลิฟท์ไปแล้ว
“กูว่าต้องเป็นเด็กที่จะเตรียมเดบิวต์วงใหม่กับทางค่ายแน่ๆ” เควินว่าเสริม
“ใช่เหรอ? กูไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยนะ ใช่เด็กฝึกที่นี่จริงดิ” มาร์คเอ่ยถามอย่างสงสัย
แต่ทว่าใครบางคนที่อยู่ในลิฟท์ด้วยกันกับไม่พูดอะไรสักอย่าง เขายังคงยืนทำหน้านิ่งเฉย
“มึงเคยเห็นน้องมันหรือเปล่าไอ้วี” มาร์คเอ่ยปากถามคนที่ยืนเงียบอยู่ ส่วนเควินกับเพทายก็ต่างพากันหันไปมองเขาเพื่อฟังคำตอบด้วยเช่นกัน
“กูไม่เคยเห็น และกูก็ไม่ได้สนใจด้วย” เขาตอบออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินออกไปทันทีเมื่อลิฟท์เปิดออก
“เอ้า! กูถามแค่นี้ทำไมต้องประชดกูด้วยว่ะ” มาร์คได้แต่ว่าตามหลัง พรางเกาหัวแกร่กๆ อย่างงงๆ
“สงสัยทะเลาะกับเมียมาแน่ๆ”
“มันมีเมียแล้วเหรอ?”
“แฟนครับแฟน กูพูดผิด” เพทายกับมาร์คต่างยืนเถียงกันจนเควินที่อยู่ในเหตุการณ์ต่อว่า
“หยุดเถียงกันแล้วเดินตามพ่อมึงไปก่อนดีกว่าไหม? ป่านนี้รออยู่ในห้องประชุมแล้ว” ว่าจบเควินก็รีบเดินสืบเท้าตรงไปยังห้องประชุม ส่วนเพทายกับมาร์ค ก็ยังคงเดินไปเถียงกันไปจนมาถึงห้องประชุมที่มีท่านประธานกับคนอื่นๆ รอกันอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
...ห้องประชุม...
“มากันครบทุกคนแล้วใช่ไหม ฉันจะได้พูดครั้งเดียว” ท่านประธานเอ่ยปากออกมา
ในขณะที่อันดานั่งฟังอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าที่เรียบนั่ง
เธอไม่แม้แต่จะหันไปมองใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอเลย
“มากันครบแล้วครับ” เลขาตอบ
เควิน เพทายและก็มาร์คเดินเข้าไปนั่งลงเก้าอี้พรางมองหน้าแล้วกระซิบกันเบาๆอย่างสงสัย
“ใช่ผู้หญิงที่เราเจอในลิฟท์ป่ะวะ”
“คงใช่มั้ง”
“ก่อนอื่นฉันขอแนะนำลูกสาวคนเดียวของฉันให้พวกนายรู้จักก่อนนะ เธอชื่ออันดา” ท่านประธานกล่าว
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” หญิงสาวกล่าวคำทักทาย
“เช่นกันครับคุณอันดา”
“เช่นกันครับ”
ทันทีที่ชาวีรู้ว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นลูกสาวของท่านประธานถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ถึงแม้ว่าเขาทั้งสองจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ตลอดระยะเวลา6เดือนที่อันดาเคยเป็นเด็กฝึก ชาวีก็คอยช่วยเหลือมาตลอด เพราะเขาอยากให้หญิงสาวได้ทำตามความฝัน แต่เด็กคนนั้นไม่เคยแม้แต่จะบอกให้รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นลูกสาวเจ้าของค่าย ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัวเบาๆ เพราะผิดหวังกับคนที่อยู่ตรงหน้ามากๆ
เด็กคนนั้นตั้งใจมากหลอกเขา เพราะแบบนี้นี่เองถึงได้ออกจากค่ายไปซะดื้อๆ โดยไม่บอกไม่ลาเขาสักคำ
เล่นกับความรู้สึกของคนอื่นเธอคงสนุกมากสินะ
“เอาล่ะได้ทำความรู้จักกันแล้วนะ ต่อไปนี้อันดาจะมาเรียนรู้งานกับพวกคุณนะ”
พอได้ยินแบบนั้นหญิงสาวถึงกับออกอาการไม่พอใจ“ป๊าหมายความว่าไงคะ” อันดาเอ่ยถามพ่อของเธอไป
“ก็หมายความว่าป๊าจะให้หนูไปเรียนรู้งานกับพวกพี่ๆ เขาไงลูก”
“แต่ป๊าคะ ที่หนูต้องการคือเข้ามาทำงานในตำแหน่งผู้ถือหุ้น30%นะคะไม่ใช่มาเรียนรู้งานอะไรนั้น” เธอโวยวายออกมาเสียงดัง
“ลูกพึ่งอายุ20ปี ยังไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะมาทำงานนะอันดา ถ้าหนูจะเข้ามาเพื่อจับผิดคุณจารวี ป๊าว่าหนูกลับไปนอนอยู่บ้านเฉยๆเถอะ” คนเป็นพ่อตำหนิลูกสาวอย่างไม่สนใจใคร
“ป๊าเห็นมันดีกว่าหนูสินะ ไม่งั้นป๊าคงไม่ให้หนูไปเรียนต่อที่อเมริกาหรอก” ความอัดอั้นตันใจมันมากมายจนทำให้เธอพลั้งปากพูดออกมาจนหมด
“หยุดเรียกแม่เขาว่ามันได้แล้วนะอันดา!” คนเป็นพ่อดุเสียงเข้ม และพยายามปรามลูกสาวคนเดียวของเขา
คนที่อยู่ในห้องประชุมต่างพากันก้มหน้านั่งเงียบ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว ต่างจากชาวีที่ทอดมองอันดาด้วยความแปลกใจนิดหน่อย
“โอเค ในเมื่อป๊าแคร์มันมากกว่าหนูซึ่งเป็นลูกของป๊า งั้นต่อจากนี้ป๊าก็ยกสมบัติให้มันไปหมดเลยค่ะ ส่วนหนูจะเดินออกไปจากชีวิตของป๊าเอง ป๊าจะได้อยู่กับมันอย่างมีความสุข โดยที่ไม่มีหนูคอยเป็นมารขัดขว้างทางป๊ากับมัน!”
เธอเอ่ยออกมาด้วยความน้อยใจ พร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่มันไหลเลอะแก้ม ก่อนจะหยิบกระเป๋า มือถือ เดินออกจากห้องประชุมทันที
“จะไปไหนอันดา!! กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!” คนเป็นพ่อได้แต่ตะโกนตามหลังลูกสาวไปอย่างอารมณ์เสีย
ส่วนชาวีที่อยู่ในเหตุการณ์ รีบเดินตามอันดาออกไปจนไปถึงหน้าลิฟท์ สองมือหนารีบคว้าข้อมือเธอเอาไว้
“เดี๋ยว! เธอจะไปไหน?” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เขาหมายถึงห่วงท่านประทานไม่ใช่อันดา เพราะเขาไม่อยากให้ท่านประทานเครียดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“ไปไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ที่นี่” อันดาหันมาตอบชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ พร้อมสะบัดมือเขาออกอย่างแรง พูดจบเธอก็เดินเข้าไปในลิทฟ์ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก
ชาวีได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากตามอันดาไปแต่เขาไม่รู้จะตามไปในฐานะอะไรต่างหากล่ะ จะบอกว่าตามในฐานะน้องสาวกับพี่ชายมันก็จบความสัมพันธ์นั้นไปนานแล้ว จะบอกว่าตามในฐานะลูกสาวเจ้าของค่ายเหรอ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องตามไปอีกในเมื่อดูสีหน้าของเธอก็ไม่ได้อยากให้เขาตามไปเลย
สรุปชาวีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานะตอนนี้ของเขากับอันดาคืออะไรกันแน่ พี่น้อง หรือแค่คนรู้จักเฉยๆ
อีกอย่างสาวน้อยในตอนนั้นที่เขารู้จักมันชั่งแตกต่างจากเธอในตอนนี้เอามากๆ มากจนชาวีคิดว่าที่ผ่านมาเธอเข้ามาเป็นเด็กฝึกเพื่ออะไรกันแน่ และนิสัยที่แท้จริงของเธอเป็นคนยังไงกัน
“ไงไอ้วี! คุณอันดาไปไหนแล้วอ่ะ” เพทายที่เดินออกมาตาม รีบเอ่ยถามทันที
“เธอไปแล้ว แล้วท่านประธานเป็นยังไงบ้าง” ชาวีถามด้วยความเป็นห่วง
“ก็หงุดหงิดแหละแต่ช่างเถอะไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราอยู่แล้ว ป่ะเรารีบเข้าไปประชุมต่อเถอะเสร็จจะได้ไปถ่ายงานต่อสักที”
“อืม” ชาวีว่าเบาๆ ก่อนจะเดินตามหลังเข้าไปด้วยใบหน้าที่หนักใจ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!