...สามวิธีเอาชีวิตรอดในโลกที่ล่มสลาย...
...-------------...
[มีอยู่สามวิธีด้วยกัน ในการเอาชีวิตรอดในโลกที่ล่มสลาย ตอนนี้มีหลายเรื่องที่ลืมไปบ้างแล้ว
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ นั่นก็คือความตริงที่ว่า
คุณที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ในตอนนี้จะมีชีวิต
"รอดต่อไป"
^^^–สามวิธีการเอาชีวิตรอดในโลกที่ล่มสลาย–^^^
^^^จบบริบูรณ์]^^^
ผมขยับเลื่อนหน้าจอแพลตฟอร์มนิยายบนเว็บในสมาร์ทโฟนเครื่องเก่าเลื่อนสกรอลบาร์ลงแล้วก็ไถกลับขึ้นไปใหม่ทำแบบนี้นซํ้าๆ อยู่หลายครั้ง
"เอาจริงดิ นี่คือจบแล้วเรอะ"
ไม่ว่าจะมองดูกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันก็ยังขึ้นว่าจบบริบูรณ์ เหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน
-นิยายเรื่องนี้จบลงแล้ว-
...[สามวิธีเอาชีวิตรอดในโลกที่ล่มสลาย]...
...ผู้แต่ง : tls 1 2 3...
...รวม 3,149 ตอน...
⟨สามวิธีเอาชีวิตรอดในโลกที่ล่มสลาย⟩
นิยายแฟนตาซีเรื่องยาวที่มีจำนวนตอนสามพันหนึ่งร้อยสี่สิบเก้าตอน จะเรียกย่อๆว่า 'สามวิธีรอด' ก็ได้
ผมอ่านนิยายเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่ตอนอยู่
มัธยมต้นปีที่สาม ทั้งตอนที่โดนพวกอันธพาลหมายหัวจนกลายเป็นคนไม่มีใครคบ ทั้งตอนที่คำคะแนนสอบเข้าได้ห่วยแตกจนต้องเรียนมหาวิทยาลัย ชั้นสามแถบชนบทก็ด้วยตอนที่ระบบสุ่มบัดซบนั่นมันเพี้ยนจนทำให้โดนส่งไปเป็นทหารประจำการ
อยู่แนวหน้านั่นก็ด้วยเหมือนกัน
แม้แต่ตอนนี้ที่ย้ายงานมาเรื่อยจนสุดท้ายได้งานสัญญาจ้างในบริษัทลูกของเครือบริษัทยักษ์ใหญ่
ก็ด้วย....ให้ตาย เอาเป็นว่าเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะจะยังไงก็ช่าง
[คำกล่าวจากนักเขียน : ขอบคุณที่อ่าน'สามวิธีรอด'มาจนถึงตอนนี้ แล้วพบกันในบทส่งท้ายนะ!]
"อา...ยังเหลือบทส่งท้ายอยู่นี่เอง ถ้าอย่างนั้นตอนหน้าก็เป็นตอนจบของจริงแล้วน่ะสิ"
ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นตอนปลายจนกลายมาเป็นผู้ใหญ่การเดินทางอันแสนยาวไกลเป็นเวลากว่าสิบปี ความรู้สึกของผมผสมปนเปกันมั่วไปหมดระหว่างจิตใจที่หดหู่จากการที่โลกใบหนึ่งจบลงไป
กับความปลื้มปริ่มที่ในที่สุดก็จะได้เห็นจุดสิ้นสุดของโลกใบนั้น
ผมลองเปิดกล่องคอมเม้นต์ของตอนสุดท้ายขึ้น
ก่อนจะพิมพ์ประโยคที่ พิมพ์ๆลบๆ อยู่หลายครั้ง
ลงไป
...—คิมดกจา : คุณนักเขียนครับ ที่ผ่านมา...
...ขอบคุณมากจริงๆ นะครับ ผมจะรอติมตาม...
...บทส่งท้ายนะครับ...
ที่จริงผมมีคำพูดมากมายที่อยากจะบอกออกไป...
‘มันเป็นประโยคที่มาจากใจจริงของผม เรียกว่าสามวิธีรอดเป็นนิยายแห่งชีวิตของผมก็ได้’ บ้างล่ะ
‘ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องฮิตที่ได้รับความนิยายอะไรแต่สำหรับผมแล้วมันเป็นนิยายที่ยอดเยี่ยมที่สุด’
บ้างล่ะ แต่ก็ไม่อาจพิมพ์ลงไปได้ง่ายๆ
...-จำนวนผู้เข้าชมเฉลี่ย 1.9 คนต่อตอน...
...-จำนวนคอมเมนต์ 1.08 คอมเม้นต์...
นั่นเป็นค่าความนิยมของ 'สามวิธีรอด'
ถึงแม้ว่าจำนวนคนเข้าอ่านของตอนที่ 1 จะมียอด
ประมาณหนึ่งพันสองร้อยคน แต่พอผ่านตอนที่ 10 ไปจำนวนหล่นวูบลงมาเหลือแค่หนึ่งร้อนยี่สิบ พอผ่านตอนที่ 50 ก็ลดลงเหลือสิบสอง แล้วตั้งแต่ตอนที่ 100 เป็นต้นไปก็เหลือแค่หนึ่งคน
มาโดยตลอด
จำนวนผู้เข้าชม '1' บางตอนก็มีเลข '2' แทรกเข้ามาบ้าง แต่มีโอกาสสูงมากที่จะมีใครกดเข้ามาผิดมากกว่า
ผมจ้องมองเลข '1' จำนวนนับไม่ถ้วนบนรายชื่อตอน พลางรู้สึกประทับใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
...ขอบคุณนะ...
ที่สร้างสรรค์ผลงานนิยายจำนวนสามพันกว่า
ตอนทั้งๆที่มีคนเข้ามาอ่านแค่หนึ่งคน แถมยังใช้เวลากว่าสิบปี มันเหมือนกับว่าเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพื่อผมคนเดียวเลยไม่ใช่หรือไง
...—แนะนำนิยายสนุกๆ...
...ผมคลิกลงบน [บอร์ดแนะนำ] แล้วเริ่มเคาะแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดอย่างไม่คิดอะไรมาก...
อุตส่าห์เขียนนิยายให้อ่านจบฟรีๆแบบนี้ แค่กระทู้แนะนำกระทู้เดียวผมต้องเขียนให้สักหน่อย
พอกดปุ่มโพสต์ ไม่นานก็มีความคิดเห็นตอบกลับมาทันที..
—นี่เป็นแอนตี้รูปแบบใหม่หรือเปล่า ฉันลองค้นไอดีของคนคนนี้ดูแล้วเขาแนะนำแต่นิยายเรื่องเดียวนี่มาตั้งหลายครั้งแล้วนะ
—ก็น่าจะรู้อยู่ไม่ใช่หรือครับว่าเจ้าตัวไม่ควรเป็นคนแนะนำเองน่ะ คุณนักเขียนทำแบบนี้ที่นี่ไม่ได้นะครับ
นั่นทำให้ผมนึกได้ว่า ที่จริงแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนผมเคยเขียนกระทู้แนะนำแบบนี้ไปแล้ว
เพียงแค่พริบตากระทู้ของผมก็ท่วมท้นไปด้วยคอมเมนต์หลายสิบจากพวกนักสืบอินเทอร์เน็ตที่หาว่า ‘เรียกร้องความสนใจ’ บ้าง ‘โง่เง่า’ บ้าง ผมอาย
จนหน้าร้อนไปหมด
ผมรีบกดลบกระทู้ด้วยความรวดเร็วแต่เพราะมันเป็นกระทู้ที่ถูกแจ้งแบนไปแล้ว เลยมีข้อความเดเงเตือนขึ้นมาว่าไม่สามารถลบกระทู้ได้
"ให้ตายเถอะ"
ความคิดที่ว่ากระทู้แนะนำที่ผมทุ่มเทเขียนด้วยใจกลับสร้างปัญหาให้ผลงานเรื่องนี้กลายเป็นเหมือนรสชาติแห่วความขมขื่นติดอยู่ที่ปลายลิ้นของผม
ทั้งๆที่ ถ้าลองอ่านดูหน่อยก็จะได้อ่านเรื่องสนุกๆ แท้ๆ ทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมอ่านกันนะ
ผมถึงขั้นอยากจะโดเนทเงินสนับสนุนให้นักเขียนด้วยซํ้าแต่มนุษย์เงินเดือนที่หาเงินได้แค่พอประทังชีวิตคนเดียวแบบผมไม่ได้มีเงินมากพอจะใช่จ่ายไปกับเงินพวกนี้ได้
ในตอนนั้นเองก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า ‘มีข้อความเข้า’
—tls123 : ขอบคุณนะ
ข้อความที่จู่ๆ ก็ส่งมาอย่างกะทันหันผมต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
...—คิมดกจา : คุณนักเขียน?...
tls123 เขาคือนักเขียนเรื่อง ‘สามวิธีรอด’
...—tls123 : เพราะนายแท้ๆฉันเลยแต่งเรื่องนี้ได้จบจบ แถมยังได้รางวัลจากการประกวดด้วย...
การประกวดเนี่ยนะ‘สามวิธีรอด’เรื่องนั้น?
—คิมดกจา : ยินดีด้วยนะครับ! ว่าแต่ประกวดอะไรหรอครับ
—tls123 : มันเป็นการประกวดที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรนายคงไม่รู้จักหรอก
ตวามคิดที่ว่า‘เพราะรู้สึกอับอายก็เลยโกหกหรือเปล่านะ’ แวบขึ้นมาแต่ในใจก็คิดว่าถ้าเป็นเรื่องจริงก็ดี บางทีผมอาจจะไม่รู้จักการประกวดที่ว่าจริงๆก็ได้ ถึงแม้จะไม่ได้รับความนิยมที่นี่ก็เถอะ แต่บางทีบนแพลตฟอร์มอื่นมันอาจจะดังเป็นพลุแตก
ผมรู้สึกเศร้าใจนิดหน่อย แต่นิยายดีๆแบบนี้ได้เผยแพร่ให้คนอื่นๆรู้จักก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้วล่ะ
—tls123 : อยากส่งของขวัญพิเศษแทนคำขอบคุณให้คุณนักอ่านน่ะ
—คิมดกจา : ของขวัญหรือครับ
—tls123 : ก็การที่เรื่องนี้ได้เผยแพร่สู่โลก
ทั้งหมดเป็นเพราะคุณนักอ่านนี่น่า
ผมพิมพ์ที่อยู่อีเมลที่ใช้ประจำตอบกลับไปเมื่อ
นักเขียนขอที่อยู่อีเมลจากผม
—tls123 : จริงสิ แผนจะเริ่มเก็บเงินก็มีแล้วนะ
—คิมดกจา : ว้าว! จริงหรือครับ ตั้งแต่วันไหนครับ
ลงผลงานดีๆแบบนี้ผมเองก็อยากจะจ่ายเงินสนับสนุนตั้งแต่ตอนแรกเหมือนกัน...
‘สามวิธีรอด’ เป็นเรื่องที่อัพเดตทุกวัน เพราะฉะนั้นถ้าจะอ่านตลอดหนึ่งเดือนก็ต้องใช้สามพันวอน
เงินสามพันวอนสำหรับผมคือข้าวกล่องในร้านสะดวกซื้อหนึ่งกล่อง
—tls123 : การเก็บเงินจะเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้
—คิมดกจา : ต้องเก็บเงินสิครับ! ผมจะจ่ายเงินซื้อตอนสุดท้ายแน่ๆ!
หลังจากนั้นก็ไม่มีคำตอบอะไรตอบกลับมาจากนักเขียนอีก ดูท่าคงจะล็อกเอาต์ออกจากระบบไปแล้ว
ความรู้สึกหดหู่ประเดประดังเข้ามา
ตอนนี้ประสบความสำเร็จแล้วก็เลยจากไปโดยไม่ยอมตอบผมสินะ
จากนั้นความชื่นชมก็แปรเปลี่ยนเป็นความอิจฉา
ว่าแต่ทำไมผมต้องตื่นเต้นขนาดนั้นด้วยนะ ยังไงผมก็ไม่ได้เป็นคนแต่งนิยายเรื่องนี้สักหน่อย
"จะให้คูปองเงินสดอะไรเทือกๆนี้หรือเปล่านะ ถ้าเป็นคูปองสักห้าหมื่นวอนก็ดีสิ"
แม้จะใสซื่อ แต่ตอนนั้นผมคิดแบบนั้นจริงๆ
ผมคิดแบบนั้นโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับโลกใบนี้
...-จบ-...
: สนุกกันรึป่าวครับ
: ผมเอามาจากหนังสือ
: ถึงจะอย่างนั้นบางอย่างก็จะไม่เหมือนกันนิดหน่อย
: ผมจะโดนลิขสิทธิ์มั้ยอ่ะ
: เป็นกำลังใจให้นิยายเรื่องไม่โดนลิขสิทธิ์
: บวกกับให้ตรวจสอบผ่านด้วยเถอะ..
...----------------...
ผมพยายามถ่ายให้เบลอที่สุดแล้ว😋
"ผมดกจาครับ"
ผมแนะนำตัวเองแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นๆมาโดยตลอด และทุกครั้งก็ถูกเข้าใจผิดซ้ำๆ อย่างปะโยคถัดไป
“อา คุณเป็นลูกชายคนเดียวงั้นหรอ”
“เป็นลูกชายคนเดียวน่ะใช่ครับ แต่ไม่ใช่ดกจาความหมายนั้นครับ”
“หือ? อย่างนั้นหรอ”
“ชื่อดกจาครับ คิมดกจา”
คิมดกจา พ่อตั้งชื่อนี้ให้เพื่อที่ผมจะได้เติบใหญ่ขึ้นเป็นชายที่แข็งแกร่งแม้จะต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเองก็ตาม แต่ก็เพราะชื่อที่พ่อตั้งให้นี่ละนะ สุดท้ายผมจึงได้ใช้ชีวิตเป็นหนุ่มโสดผู้โดดเดี่ยวธรรมดาคนหนึ่ง สรุปง่ายๆ ก็ประมาณนี้ คิมดกจา อายุยี่สิบแปดปี โสด งานอดิเรกคือการอ่านนิยายยนรถไฟใต้ดินระหว่างกลับบ้านหลัง เลิกงาน “ทำแบบนั้นเดี๋ยวได้หลุดเข้าไปในสมาร์ตโฟนพอดีนะคะ” ในรถไฟใต้ดินอันแสนวุ่นวาย ผมเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติมีแววตาเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นคู่หนึ่งกำลังมองจ้องผมอยู่ พนักงานฝ่ายบุคคล ยูซังอา “อ๊ะ สวัสดีครับ” “เลิกงานแล้วเหรอคะ” “ครับ คุณยูซังอาก็ด้วยเหรอครับ” “โชคดีน่ะค่ะ เผอิญว่าสันนี้หัวหน้าแผนกไปทำธุระข้างนอก” ที่นั่งข้างๆว่างพอดี ยูซังอาก็เลยนั่งข้างผม กลิ่นน้ำหอมจางไปลอยฟุ้งมาจากไหล่ของเธอที่กระทบไหล่ของผมเบาๆ ทำเอารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาโดย ไม่รู้ตัว “ปกติก็นั่งรถไฟใต้ดินหรือครับ” “เรื่องนั่น...” ยูซังอามีสีหน้าหม่นหมอง พอลองคิดดู นี่เป็นครั้งแรกที่ผมบังเอิญเจอเธอในรถไฟใต้ดินหลังเลิกงานแบบนี้ ใครๆในบริษัทต่างก็รู้ข่าวลือกันดีว่าทุกครั้งที่ถึงเวลาเลิกงาน พวกผู้ชายมากมายตั้งแต่ผู้จัดการคังจากฝ่ายบุคคลไปจนถึงหัวหน้าแผนกฮันจากแผนกการเงิน ก็จะรอต่อคิวเพื่อแย่งกันไปส่งยูซังอา ถึงบ้าน แต่คำพูดที่หลุดออกจากปากยูซังอากลับเป็นเรื่องที่ผิดคาด “มีคนขโมยจักรยานฉันไปน่ะค่ะ” จักรยาน? “ขี่จักรยานไปทำงานเหรอครับ” “ค่ะ พอดีว่าช่วงนี้ทำโอทีบ่อยเลยไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายเท่าไหร่น่ะค่ะ แล้วไหนๆก็มีเรื่อง น่ารำคาญนิดหน่อยด้วย” อาฮะ อย่างนี้นี่เอง ยูซังอายิ้มกว้าง ได้เห็นใกล้ๆ แบบนี้แล้วก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของผู้ชายพวกนั้นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็นะ มันไม่เดี่ยวอะไรกับผม มนุษย์เราต่างก็มีประเภทชีวิตที่ถูกกำหนดไว้อยู่แล้ว และยูซังอากับผมก็เป็นมนุษย์คนละประเภท หลังจบบทสนทนาอันกระอักกระอ่วน พวกเราก็นั่งเล่นมือถือของตัวเองเงียบๆ ผมเปิดแอปนิยายที่อ่านอยู่เมื่อครู่นี้ขึ้นมา ส่วนยูซังอา...นั่นอะไรน่ะ “ปัวเอเด เปรซตาร์เม ดิเนโร” “ครับ” “ภาษาสเปนน่ะค่ะ” “...ครับ แปลว่าอะไรหรอครับ” “แปลว่า ‘ขอเงินหน่อยค่ะ’ น่ะค่ะ” ยูซังอาตอบด้วยความั่นใจ ขนาดบนรถไฟใต้ดินระหว่างทางกลับบ้านยังศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเลย ว่าแล้วเชียวเป็นมนุษย์คนละประเภทกับผมจริงๆ แต่จำคำแบบนั้นไปแล้วจะเอาไปใช้ที่ไหนได้ล่ะนั่น “ตั้งอกตั้งใจจังเลยนะครัย” “ว่าแต่คุณดกจาอ่านอะไรอยู่คะนั่น ดูจริงจังมากเลย” อ๊ะ..ผม..” ตอนนั้นเอง สายตาของยูซังอาก็จับจองอยู่ที่หน้าจอมือถือของผมเสียแล้วให้ตายเถอะ “นิยายหรือคะ” “ครับ ก็แบบ..เรียนภาษาเกาหลีไง” “ว้าว ฉันก็ชอบอ่านนิยายเหมือนกันค่ะ แต่ไม่ค่อยมีเวลา เลยไม่ได้อ่านมาสักพักแล้ว..” ผิดคาด ยูซังอาก็ชอบอ่านนิยายงั้นหรือนี่ “ฮารุกิ มูราคามิ , เรย์มอนด์ คาร์เวอร์ , ฮันกัง..” ว่าแล้วเชียว “คุณดกจาชอบนักเขียนท่านไหนคะ” “บอกไปก็คงไม่รู้จักหรอกครับ” “เห็นแบบนี้ฉันเองก็อ่านนิยายมาหลายเรื่องนะคะ นิยายของใครล่ะคะ” เวลาแบบนี้การจะบอกออกไปว่าชอบอ่านนิยายบนเว็บเป็นงานอดิเรกนี่มันยากจริงๆ ผมเหลือบมองชื่อนิยายที่เด้งขึ้นมาบนหน้าแอป
...[โลกหลังการล่มสลาย]...
...ผู้แต่ง : ชิงชง...
ไม่ว่ายังไงก็พูดออกไปไม่ได้หรอกว่า‘อ่านเรื่องโลกหลังการล่มสลายของนักเขียนชิงชงครับ’ “ก็แค่นิยายแฟนตาซีน่ะครับ อืม..เหมือนพวก ลอร์ดออฟเดอะริงส์” นัยน์ตาของยูซังอาเบิกกว้าง “อ้อ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ฉันเคยดูหนังเหมือนกันค่ะ” “เป็นหนังที่ดีเนอะ” ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่ครู่หนึ่ง ยูซังอายยังคงมองไม้ที่ผมราวกับกำลังเฝ้ารอให้ผมพูดอะไรออกมา พอเห็นว่าบรรยากาศเริ่มน่าอึดอัด ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เข้ามาทำงานในบริษัทได้หนึ่งปีแล้วสินะ ปีที่แล้วเริ่มงานช่วงนี้พอดี เวลาผ่านไปเร็วจริงๆนะครับ” “นั่นสิคะ ตอนนั้นพวกเราทั้งคู่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง ว่ามั้ยคะ” “ใช่ครับ เหมือนกับเรื่องทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง แต่นี่ก็ใกล้ถึงเวลาหมดสัญญาแล้ว” ทันทีที่ได้เห็นสีหน้าของยูซังอาก็ตระหนักขึ้นได้ว่าเลือกหัวข้อสนทนาผิดเรื่องเสียแล้วสิ “อ่า ผม..” ลืมไปเลยเรื่องที่ว่าเดือนที่แล้วยูซังอาได้รับคำชื่นชมจากลูกค้าต่างชาติก็เลยได้รับการยอมรับจากทางบริษัทและได้เลื่อนขั้นเป็นพนักงานประจำเรียบร้อยแล้ว “จริงด้วย ผมแสดงความยินดีช้าไปเลย ขอโทษนะครับ ฮ่าๆ ผมเองก็น่าจะตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศเอาไว้บ้าง” “อ๊ะ ไม่หรอกค่ะ คุณดกจา! ยังเหลือการประเมินผลการทำงานอีกนะคะ แล้วก็..” ถึงจะไม่อยากยอมรับก็เถอะ แต่ท่าทางตอนที่ยูซังอาพูดเนี่ย เท่มากจริงๆ ใบหน้าเปร่งประกายระยิบระยับเรากลับสปอร์ตไลท์ของโลกใบนี้สาดส่องลงมาที่ผมเพียงคนเดียว ถ้าหากโลกใบนี้เป็นนิยายเรื่องหนึ่งละก็ ตัวเอกก็คงจะเป็นคนแบบนี้สินะผมไม่เคยพยายามทำอะไรเลย ส่วนยูซังอาเป็นคนที่พยายามทำอะไรต่อมิอะไร ผมอ่านนิยายบนเว็บไซต์ ยูซังอาศึกษาหาความรู้ เพราะฉะนั้น เรื่องที่ยูซังอาเป็นพนักงานประจำ ส่วนผมถูกยกเลิกสัญญาจ้างนั้นจึงเป็นผลลัพธ์ที่ตายตัวอยู่แล้ว “ฉัน..คุณดกจา “ครับ” “ถ้าไม่รังเกียจ..ฉันแนะนำแอปที่ใช้อยู่ให้เอามั้ยคะ” เวลานั้นเสียงของยูซังอาเหมือนอยู่ไกลลิบๆ ความรู้สึกเหมือนกับโลกอยู่ห่างออกไป ผมเพ่งตาเขม็งมองจ้องตรงไปข้างหน้า พยายามดึงลั้งสติตัวเองเอาไว้ เด็กผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งฝั่งตรงข้ามในขบวนรถไฟใต้ดิน อายุราวๆสิบขวบได้ เด็กชายนั่งข้างๆคุณแม่ กำลังจ้องมองกล่องจับตั๊กแตนในอ้อมแขน ด้วยแววตาเศร้าสร้อย “. คุณดกจา?” ถ้าสมมติว่าผมได้มีชีวิตอื่นที่แตกต่างไปจากตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันนะ หรือก็คือถ้าประเภทชีวิตของผมต่างไปจากที่เป็นอยู่ “คิมดก...” ถ้าประเภทชีวิตของผมมันไม่ใช่ ‘เรียลลิซึม’ แต่เป็น ‘แฟนตาซี’ ล่ะ...ผม จะเป็นตัวเอกได้หรือเปล่า ไม่รู้สิ บางทีเรื่องนั้นผมอาจจะไม่มีวันได้รู้ตลอดกาล แต่ถ้าจะมีเรื่องหนึ่งที่ผมรู้ นั่นก็คงจะเป็น... “ไม่เป็นไรครับ คุณยูซังอา” “คะ?” “ถึงบอกแอปนั่นให้ มันก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ” ชัดเจนอยู่แล้วว่าประเภทชีวิตของผมในตอนนี้มันเป็น ‘เรียลลิซึม’ “เพราะว่าดกจาก็มีชีวิตอย่างดกจา ยังไงล่ะครับ” และในประเภทชีวิตนี้ของผมไม่ใช่ตัวเอก แต่เป็น ‘ นักอ่าน ’ ต่างหาก “ชีวิตอย่างดกจา..” ยูซังอามีสีหน้าตึงเครียด ผมโบกไม้โบกมือให้เธอเพื่อสื่อความหมายว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ ไม่รู้สิ คนคนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นห่วงผมจากใจจริง แต่ยังไงเธอก็อยู่ฝ่ายบุคคล..กับแค่คะแนนประเมินการทำงานของผมก็น่าจะรู้อยู่แล้วล่ะ “คุณดกจาพูดได้ดีจริงๆเลยนะคะ” “ครับ?” “ถ้าอย่างนั้นฉันก็มีชีวิตอย่างซังอา สินะคะ” ยูซังอาหันกลับไปเรียนภาษาสเปนอีกครั้งอย่างคนที่ตั้งใจแน่วแน่ ส่วนผมก็มองยูซังอาอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันกลับมสอ่านนิยายในเว็บต่อ ทุกอย่างกลับมาอยู่ในสภาพเดิม แต่หน้าแปลกที่แถบสกรอลบาร์หน้านิยายกลับเลื่อนไม่ลง บางทีอาจจะเป็นเพราะความจริงที่จู่ๆก็ตระหนักขึ้นมาได้ มันหน่วงค้างอยู่ที่แถบสกรอลบาร์นี้จนขยับเลื่อนไม่ลงก็เป็นได้ ในตอนนั้นเอง หน้าต่างแจ้งเตือนก็เด้งขึ้นมาด้านบนของจอสมาร์ทโฟน [ได้รับอีเมลใหม่ 1 ฉบับ]
ผู้ส่งคือนักเขียนจากเรื่อง ‘สามวิธีรอด’ ผมเปิดอีเมลอ่านทันที —คุณนักอ่าน ตั้งแต่หนึ่งทุ่มตรง ของวันนี้จะเริ่มเรียกเก็บเงินแล้วนะ นี่จะเป็นประโยชน์ต่อคุณ
...†ขออวยพรให้โชคดี†...
...•ไหล์แนบ 1 ไฟล์•...
จะว่าไปแล้วเห็นบอกไว้ว่าจะส่งของขวัญมาให้นี่นา นี่คือของขวัญที่ว่านั่นงั้นหรอ...ผมดูท่าจะเป็นนักอ่านตัวยงเข้าสายเลือดจริงๆ แค่ได้รับอีเมลหนึ่งฉบับก็ตื่นเต้นขนาดนี้ซะแล้ว ใช่แล้ว การใช้ชีวิตในฐานะนักอ่านก็ไม่ได้มีแต่เรื่องแย่สักหน่อย ผมเช็กเวลา 18:55 นาฬิกา หนึ่งทุ่มตรงจะเปลี่ยนเป็นแบบเก็บเงิน งั้นก็เหลืออีกห้านาทีพอดิบพอดีผมเปิดหน้ารายการโปรดในแอปนิยายขึ้นมา ในเมื่อผมเป็นนักอ่านเพียงหนึ่งเดียวอย่างน้อยก็น่าจะคอมเมนต์แสดงความยินดีเป็นครั้งแรกสักหน่อย นักเขียนจะได้มีกำลังใจ แต่ว่า..... —ไม่พบผลงานเรื่องนี้ ค้นหาคำว่า‘ล่มสลาย’ลงในแถบการค้นหาอยู่หลายรอบ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนกันทุกครั้ง กระทู้ของ สามวิธีรอดหายไปหมดเกลี้ยงอย่างไร้ร่องรอย แปลก มีกรณีที่จะเริ่มเก็บเงินแล้วเรื่องถูกลบออกไปโดยไม่มีการประกาศอะไรเลยด้วยหรอ วินาทีนั้นเอง หลอดไฟในรถไฟฟ้าใต้ดินก็ดับวูบภายในรถไฟตกอยู่ในความมืด
...เอี๊ยดดดดดด!...
รถไฟสั่นโยกอย่างรุนแรง เสียงโลหะเสียดสีดังแหลมเสียดหู ยูซังฮากรีดร้องเสียงแผ่ว ในขณะเดียวกันก็คว้าแขนของผมเอาไว้ ยูซังอาจับแขนผมเอาไว้แน่นมากจนความสนใจของผมพุ่งไปที่ความเจ็บปวดของแขนข้างซ้ายมากกว่าการที่จู่ๆรถไฟก็เบรกกะทันหัน กินเวลาไปครู่ใหญ่กว่ารถไฟจะหยุดนิ่งสนิท เสียงฮือฮาด้วยความสับสนดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ “โอ๊ะ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” “อะไรกัน ทำไมเป็นแบบนี้” ท่ามกลางความมืดมิด แสงสมาร์ทโฟนสว่างวาบขึ้นทีละเครื่องสองเครื่อง ยูซังอาที่ยังคงจับแขนข้างซ้ายของผมเอาไว้แน่นเอ่ยถาม “นะ..นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ” ผมตอบกลับไปโดยแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง “อย่ากังวลเลยครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” “งั้นหรือคะ” “ครับ หรือถ้าหากว่าเป็นเรื่องใหญ่เดี๋ยวพนักงานก็ประกาศแจ้งเองครับ” ทันทีที่ผมพูดจบเสียงพนักงานประกาศแจ้งก็ ดังขึ้นมา —ประกาศแจ้งผู้โดยสารทุกท่าน —ประกาศแจ้งผู้โดยสารทุกท่าน รอบด้านที่เคยส่งเสียงดังวุ่นวายเงียบลงทันตา ผมเปิดปากอย่างโล่งอก “ดูสิครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย ประกาศขอโทษเสร็จแล้วทุกคนก็...” —ทุกคน ทุกคนหนีไป...ทุกคน..! อะไรนะ เสียงปิ๊บหวีดยาวเต็มรูปแบบ “คะ..คุณดกจา? นี่มันอะไรกัน..” แสงเจิดจ้าจนทำให้ตาพร่าสว่างวาบขึ้นมาจากด้านหน้าตู้โดยสารรถไฟ หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างระเบิด ดังลั่น คล้ายเสียงกล่องที่ถูกตีจนทะลุ ท่ามกลางความมืดมิด มีอะไรบางอย่างกำลังพุ่งตรงเข้ามาทางด้านนี้ วินาทีนั้นเอง ผมก็ดันบังเอิญเหลือบไปมองนาฬิกาเข้าพอดี 19:00 นาฬิกา ได้ยินเสียงติ๊กพร้อมกับที่ผมรู้สึกราวกับโลกหยุดหมุน และเสียงพูดหนึ่งก็ดังขึ้น
[
^^^สิ้นสุดการให้บริการฟรีของระบบดาวเคราะห์8612^^^
^^^...]...^^^
...[ซีนาริโอ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว]...
มันเป็นวินาทีที่ประเภทชีวิตของผมได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
...----------------...
...-จบ-...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!