ในกลียุคไฟสงคราม หลังจากที่แม่ทัพอวี่จากตระกูลสูงศักดิ์ อวี่เฝิงสื่อได้ชัยชนะจากการฆ่าฟันค่าสึกกลับมาที่เมือง เรื่องนี้จึงทำให้ชื่อเสียงของแม่ทัพอวี่โด่งดังอย่างมากคนที่ได้ยินข่าวต่างชื่นชมและยินดี หลายวันต่อมาเสียงชื่นชมก็ข่อยๆหายไปเพราะมีข่าวลือเรื่องที่ฮูหยินของแม่ทัพอวี่ อวี่ปิ่นฉง ได้ตั้งคันบุตรสาว หลังจากที่สามีของนางพึ่งกลับมาจากฆ่าฟัน เมื่อข่าวลือนี้ฉาวออกไป จากการเคารพนับถือและเชิดชูยินดีกลับกลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่แก่วงตระกูลอวี่ ชาวบ้านที่ได้ยินข่าวต่างพูดกันว่าเด็กที่อยู่ในท้องฮูหยินเป็นมารหัวขนที่เกิดจากวิญญาณของพวกกบฏมาเกิด และกล่าวหาว่าเด็กในท้องเป็นสิ่งที่เกิดมาพร้อมความอัปมงคลแก่ตระกูลและบ้านเมือง เมื่อแม่ทัพอวี่เฝิงสื่อได้ยินข่าวฉาวนั้นจึงโกรธเป็นอย่างมากที่การกำเหนิดบุตรของฮูหยินทำให้ตระกูลอวี่เสื่อมเสียชื่อเสียง หลังจากข่าวฉาวนี้ลือออกไปได้ไม่นานฮูหยินอวี่ก็ได้คลอดบุตรสาวที่ถูกชาวบ้านหมายหัวว่าเป็นตัวอัปมงคล เมื่อนางได้คลอดทารกออกมา นางที่เป็นแม่ของบุตรเห็นว่าการที่นางให้กำเหนิดบุตรคนนี้ทำให้เกิดการแตกคอระหว่างนางและสามีและกลัวว่าสามีจะหมดรักจากนางและหาหญิงอื่น นางจึงริเริ่มมีความแค้นกับบุตรของตนจนเข้าไส้ เมื่อเป็นเช่นนั้นนางที่เป็นแม่กลับไม่แม้แต่มองหน้าลูกของตนและยังรีบสั่งให้คนรับใช้เอาทารกลูกแท้ๆของตนไปทิ้งไว้ที่จวนหลัง 15ปีต่อมาทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไป ทารกที่ถูกทิ้งไว้ที่จวนหลังเมื่อ15ปีก่อนได้ถูกทหารที่เคยร่วมรบกับแม่ทัพอวี่พ่อแท้ๆของนางเลี้ยงดูที่จวนหลังจนโต ทหารคนนั้นได้ตั้งชื่อให้นางตามสกุลของตระกูล นางจึงได้ชื่อว่า"อวี่เจี้ยนฉี"แต่ไม่นานทหารที่เลี้ยงดูนางแทนพ่อและแม่แท้ๆถึง15ปีพบว่าอีกไม่นานตนจะต้องตายเพราะโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาได้จึงใช้ความชอบในสนามรบครั้งก่อนไปทูลขอกับแม่ทัพอวี่ให้นำชื่อของอวี่เจี้ยนฉีเข้าสู่ตระกูลตามเดิมและเลี้ยงนางให้เป็นอย่างดีดั่งที่นางเป็นลูกแท้ๆ ที่ทหารผู้นี้ทำแบบนี้เพราะนี้คือความหวังสุดท้ายที่จะสามารถทำให้นางมีความสุขขึ้นได้ อวี่เฝิงสื่อไม่สามารถปฏิเสธได้จึงยินยอมอย่างไม่เต็มใจ หลังจากที่ทหารคนนั้นได้คำตอบจากปากของพ่อแท้ๆเจี้ยนฉีแล้ว ก็ได้จากไป ทหารคนนั้นได้เขียนจดหมายด้วยคำพูกโกหกให้กับเจี้ยนฉีและเดินทางออกจากเมือง เพราะ15ปีมานี้เจี้ยนฉีภายนอกดูเป็นเด็กร่าเริงแต่ลึกๆแล้วนางยังคงเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นทหารจึงจำเป็นต้องโกหกเพราะกลัวเจี้ยนฉีจะเสียใจยิ่งกว่าเดิม วันต่อมาในเมื่ออวี่เฝิงสื่อรับปากกับทหารคนนั้นไว้แล้วจึงนำชื่อของอวี่เจี้ยนฉีเข้าสู่ตระกูลดังเดิม แม้นางจะมีชื่ออยู่ในตระกูลอย่างสมบูรณ์แต่คนในตระกูลกลับมองนางเหมือนคนนอกและทำกับนางไม่ต่างกับบ่าวไพร่ชั้นต่ำ ในทุกๆวันนางต้องกินเศษข้าวเศษอาหารที่คนในตระกูลและคนรับใช่กินเหลือบางครั้งอดมื้อกินมื้อและยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกินข้าวโต๊ะเดียวกับคนในตระกูล นางไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวเท้าออกจากประตูจวนและไม่สามารถมาที่จวนหน้าได้นางจึงต้องใช้ชีวิตไปวันๆที่จวนหลังและถูกคนรับใช้เหยียดหยามรังแกทุกๆวัน นางไม่สามารถตอบโต้และปฏิเสธได้เพราะหากทำแบบนั้นจะถูกคนพวกนั้นทุบตีจนสาหัด แต่แม้นางจะไม่ได้ขัดใจคนรับใช้พวกนั้นแต่สุดท้ายนางก็ยังถูกทุบตีเช่นเดิม เมื่อเรื่องนี้ผ่านไปนานวันจึงทำให้เจี้ยนฉีรู้สึกว่าเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องปกติของทุกๆวันในการใช้ชีวิตของนางไม่ว่าจะล้างท่วยชามในน้ำที่เย็นยะเยือก ซักผ้าจนมือด้าน ถูกเคี้ยนตีจนแผ่นหลังมีแต่รอยแตกกร้าน แต่นางยังคงสู้ต่อดีกว่าถูกไล่ออกจากตระกูลไปเล่ร่อนอยู่ตานถนน วันต่อมามีราชโองการมาจากวังหล่วง เมื่ออวี่เฝิงสื่อเปิดอ่านกลับรู้สึกตกใจและโกรธเป็นอย่างมาก ในราชโองการนั้นได้เชิญตระกูลสูงศักดิ์ต่างๆร่วมฉลองชัยครั้งนี้ที่ชนะสึกกลับมาที่เมือง แต่นี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้อวี่เฝิงสื่อโกรธแต่เป็นเรื่องที่ฝ่าบาทได้ออกคำสั่งเองว่าให้ตระกูลอวี่นำตัวบุตรสาวคนเดียวของตระกูลมาเข้าร่วมงานด้วยเมื่อฮ่องเต้เป็นผู้ออกคำสั่งมาอวี่เฝิงสื่อจึงไม่สามารถปฏิเสธได้แม้จะโกรธสักแค่ไหนก็ตาม วันต่อมาฮูหยินตระกูลอวี่ได้ใช้ให้คนรับใช้ไปเรียกตัวของเจี้ยนฉีเพื่อออกเดินทางไปยังวังหลวง เมื่อคนรับใช้ไปเรียกเจี้ยนฉีเจี้ยนฉีจึงมีควารู้สึกดีใจมากที่จะได้ออกไปข้างนอกเป็นครั้งแรกจึงรีบวิ่งตามคนรับใช้ออกไป เมื่อออกไปก็เห็นแต่ละคนทำท่าโกรธนาง นางที่เห็นแบบนั้นจึงรีบก้มหน้าเพราะกลัวจะถูกเคี้ยนอีกและรีบขึ้นรถม้าไป เมื่อนางขึ้นไปบนรถม้าก็เห็นพี่หญิง"อู่เยว่หลิง"บุตรสาวของอา"อวี่หลิงจื่อ"และอาสะใภ้"อู่หลินเยวี่ย"ที่นั่งรอนางอยู่บนรถม้า เมื่อรถม้าเคลื่อนไปได้สักพักเจี้ยนฉีก็เผลอหลับไป พอเจี้ยนฉีตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่ในเมืองหลวงแล้วเมื่อเจี้ยนฉีได้เปิดหน้าต่างออกไปก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเพราะนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางออกมาเห็นตลาดที่คึกคักเช่นเมืองหลวง ที่ผ่านมานางเอาแต่อยู่ในจวนหลังไม่เคยได้ออกมาเลยแม้สักครั้งไม่ว่าจะมีเทศกาลนอกจวลคึกคักเพียงใดนางก็ทำได้เพียงนั่งฟังความเงียบงันอยู่หน้าบานหน้าต่างมองท้องฟ้าอันมืดมิดไม่มีแม้แต่เสียงดนตรีหรือพรุไฟใดๆ มีแต่หวังเฝ่าคอยว่าสักวันนางเองจะได้ออกไปเดินชมทิวทัศน์รอบเมืองและเลือกซื้อของในตลาดอย่างอิสระ และครั้งนี้เองแม้นางจะมาด้วยนามตระกูลอวี่โดยที่คนในตระกูลไม่ข่อยพอใจแต่ถือว่าคุ้มค่าแก่การมาครั้งนี้ ในใจนางคิดว่าขอแค่นางได้ออกมาเปิดหูเปิดตาสักครั้งก็เพียงพอจากนั้นนางจะไม่หวังอะไรอีก เยว่หลิงที่นั่งอยู่ข้างๆนางได้เห็นว่าเจี้ยนฉีพึ่งเคยออกมานอกจวนเป็นครั้งแรกนางจึงบอกกับเจี้ยนฉีว่าหลังจากงานฉลองจบลงจะมีงานโคมไฟที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ในปีนี้และเยว่หลิงก็ยื่นมือมาและบอกสัญญากับเจี้ยนฉีว่าจะพานางมาเดินชมเทศกาลรอบเมืองหลวงก่อนกลับจวนอวี่จะพานางไปซื้อชุดและขนมฮุ่ยฮวากลับจวน เมื่อเจี้ยนฉีได้ยินแบบนั้นจึงยื่นมือตอบสัญญากับเยว่หลิงทันที เมื่อทั้งสองพูดจบรถม้าก็เคลื่อนมาถึงวังหลวงแล้ว เจี้ยนฉีได้มองออกนอกหน้าต่างรถม้านางรู้สึกหวั่นอย่างมากเยว่หลิงที่เห็นแบบนั้นจึงจูงมือนางลงจากรถม้าและบอกนางว่าไม่ต้องหวั่นมีข้าอยู่ทั้งคน จากนั้นทุกคนก็เดินเข้าประตูวังไปร่วมงานฉลอง เมื่อเจี้ยนฉีได้ก้าวเท้าเข้าไปในโถงวังก็ตะลึงในความงดงามอย่างมากจนลืมสังเกตไปว่าฮ้องเต้และบรรดาองค์รัชทายาทได้นั้งอยู่ข้างหน้าของตน เมื่องานฉลองจบลงฮ่องเต้ได้ส่งคนรับใช้ไปเรียกพบเจี้ยนฉีที่จวนพัก เมื่อเจี้ยนฉีรู้แบบนั้นจึงตั้งใจจะไปบอกกับพ่อและแม่ของนางก่อนเพราะก่อนมาที่เมืองหลวงพ่อและแม่ของนางได้ห้ามกับนางเอาไว้ว่าห้ามให้นางออกจากเรือนพักจนกว่าจะได้กลับเมืองหลิวอิน นางจึงไม่สามารถที่จะไม่บอกกับแม่และพ่อของนางก่อน แต่เมื่อคนรับใช้ของวังหลวงเห็นแบบนั้นจึงบอกกับเจี้ยนฉีว่าเรื่องนี้ฝ่าบาทอยากให้เจี้ยนฉีเก็บเป็นความลับ เมื่อเจี้ยนฉีได้ยินแบบนั้นจึงตอบตกลงทันทีและรีบเดินไปตามคนรับใช้ เมื่อเจี้ยนฉีเข้าไปถึงโถงใหญ่นางก็ได้เห็นว่าไม่ได้มีแค่ฝ่าบาทที่จะคุยกับนางแต่ยังมีองค์รัชทายาทที่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพ รัชทายาทลำดับที่3"หลี่หยางเยว่"แห่งราชวังหลวง ลือกันว่าองค์รัชทายาทคนนี้ต่างจากคนอื่นๆมาก ในตอนเด็กขนะที่องค์ชายและรัชทายาทคนอื่นๆร่ำเรียนเขียนบทกระวี หลี่หยางเยว่รัชทายาทลำดับที่3กลับฝึกทวนฟันดาบอยู่แต่ในกองทัพทหารทุกวัน ครั้งหนึ่งตอนหลี่หยางเยว่อายุไม่ถึง20ก็ได้ออกสนามรบ ร่วมเป็นร่วมตายกับทัพหน้าของทัพหลวงจนคว้าชัยกลับมา ฝ่าบาทที่เห็นแบบนั้นจึงแต่งตั้งให้รัชทายาทหลี่หยางเยว่เป็นแม่ทัพของทัพหลวง หลังจากนั้นหลี่หยางเยว่ก็ออกรบหลายต่อหลายครั้งจนเกิดชื่อเสียงที่โด่งดังทั่วแผ่นดิน และด้วยหน้าตาที่ดีพร้อมชื่อเสียงโด่งดังจึงทำให้องค์หญิงและแม่นางหลายต่อหลายคนต่างชอบคอ จนกระทั่งมาตกลงเรื่องมั่นหมายแต่ด้วยความที่หลี่หยางเยว่โตมาในกองทัพตั่งแต่เด็กจึงมีนิสัยที่เย็นชาอย่างมากไม่ว่าองค์หญิงหรือแม่นางคนใดมาคุยเรื่องมั่นหมายหลี่หยางเยว่ก็จะปฏิเสธทุกครั้ง
หลี่หยางเยว่โตมาในกองทัพตั่งแต่เด็กจึงมีนิสัยที่เย็นชาอย่างมากไม่ว่าองค์หญิงหรือแม่นางคนใดมาคุยเรื่องมั่นหมายหลี่หยางเยว่ก็จะปฏิเสธทุกครั้ง เจี้ยนฉีที่ไม่เคยแม้แต่เห็นหน้าของรัชทายาทคนนี้ เพียงอาสัยคำพูดลือมาปากต่อปากของแม่นางน้อยเท่านั้นจึงไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงเป็นอย่างไร แต่มาวันนี้นางได้พบตัวตนแท้จริงของรัชทายาทกลับไม่กล้ามองแม้แต่หน้าของเค้าเจี้ยนฉีที่ไม่เคยมีความขัดแย้งกับรัชทายาทองค์นี้เลยแม้แต่ครั้งเดียวแต่เมื่อนางเพียงเผลอเหลือบตาไปมองก็เกิดความรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก เมื่อฝ่าบาทเห็นว่าเจี้ยนฉีมาแล้วจึงสั่งให้คนรับใช้ทั้งหลายออกไป และเริ่มถามอย่างจริงจังกับเจี้ยนฉีว่า "เจ้าคืออวี่เจี้ยนฉี บุตรสาวของแม่ทัพอวี่ที่ถูกชาวบ้านและคนในตระกูลหมายหัวว่าเป็นตัวอัปมงคลตั้งแก่กำเหนิดสินะ"เจี้ยนฉีที่ได้ยินแบบนั้นจึงก้มหน้าและพยักหัวตอบกับฝ่าบาท"ในเมืองหลิวอินเป็นเมืองที่ติดกับแม่น้ำเปียนจื่อมีคนสัญจรมากมายข้าที่กลัวว่าจะมีคนลอบเข้าเมืองจึงตั้งสายลับมากมายในเมืองคอยเฝ่ารายงานทุกๆเรื่องมาที่เมืองหลวง แต่กลับได้รู้ข่าวที่สายลับแอบสอดแนมของราชวังได้ไปสอดแนมที่ตระกูลเจ้าส่งข่าวมาว่า เจ้าที่เป็นลูกสาวแท้ๆของอวี่เฝิงสื่อกลับโดนทารุณหยามเหยียดอยู่ประจำจากคนในตระกูลและคนรับใช้พวกนั้น แต่เจ้ากลับอยู่ต่ออย่างไม่สนอะไรแม้ว่าตนจะกระเสือกกระสนเพียงใดก็ไม่คิดหนีจากตรงที่ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดทุกๆวัน ครั้งนี้ข้ามีทางเลือกมาให้เจ้าระหว่างการอยู่ที่จวนตระกูลอวี่อย่างทรมาน กับการทิ้งสกุลอวี่และมาอาสัยอยู่ในวังอย่างมีความสุข ถ้าหากว่าเจ้าเลือกที่จะทิ้งสกุลของเจ้าข้าจะสั่งให้ทหารไปขนย้ายทรัพย์สินที่จวนของเจ้า เพื่อให้เจ้าเข้ามาอยู่ที่วังหลวงและใช้ศักดินาเป็นน้องสาวของหลี่หยางเยว่และถ้าเจ้าเลือกแบบนี้เจ้าจะไม่ต้องทนทุกข์กลับกันชีวิตเจ้าจะพบแต่ความสุข"เมื่อเจี้ยนฉีได้ยินแบบนั้นจึงขอเวลากับฝ่าบาทเพื่อที่จะตัดสินใจ ตกดึกขณะที่เจี้ยนฉีกำลังนั่งชมจันทร์ ก็มีใครบางคนมาเคาะประตู เจี้ยนฉีจึงลุกไปแง้มประตูดูเมื่อพบว่าเป็นพี่หญิงเยว่หลิงจึงรีบเปิดประตูรับทันที เยว่หลิงเมื่อเข้ามาในจวนพักก็รีบยื่นชุดที่นางสั่งตัดให้เจี้ยนฉี และบอกกับนางให้นางรีบเปลี่ยนและออกไปรอนางที่รถม้าหน้าจวนพัก เจี้ยนฉีที่เห็นแบบนั้นจึงรีบเปลี่ยนชุดที่อู่เยว่หลิงมอบให้จากนั้นคนรับใช้ของเยว่หลิงก็ได้พานางไปที่รถม้า เมื่อเยว่หลิงเห็นเจี้ยนฉีที่ไส่ชุดที่นางให้ก็มีความรู้สึกตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็จูงมือนางขึ้นรถม้าทันทีพร้อมบอกกับเจี้ยนฉีว่าจะพานางไปเที่ยวเทศกาลโคมไฟ เจี้ยนฉีที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เมื่อลงจากรถม้าดันพบกับพ่อของเจี้ยนฉีและฮูหยินอวี่ อวี่ปิ่นฉง พร้อมย่าของนางพอดิบพอดี แต่เมื่อทั้งสองลงจากรถม้าแทนที่แม่และพ่อของนางจะเดินมาจูงมือนางอย่างอบอุ่นแต่กลับเดินมาหาพี่หญิงของนางที่แม้แต่ลูกก็ไม่ใช่พร้อมสวมกอดอย่างอบอุ่นและใช้น้ำเสียงท่อยคำที่แตกต่างจากตอนอยู่กับนางอย่างสิ่นเชิง ขณะนั้นเจี้ยนฉีทำได้แค่มองเท่านั้นไม่สามารถเข้าไปขัดความรักของพวกเค้า ได้แต่มองอย่างไรความหมายและเดินจากไป ขณะนั้นทำให้น้ำตาของเจี้ยนฉีได้ไหลพลาก พ่อของนางได้พูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำว่า"นานๆครั้งครอบครัวของเราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันวันนี้พ่อและแม่จะพาเยว่หลิงเที่ยวให้หน่ำใจ" เจี้ยนฉีที่ได้ยินแบบนั้นจึงเดินจากไปพร้อมน้ำตาที่ไหลพลางบนใบหน้า//'ข้าคนนอกสินะ'//จากนั้นเจี้ยนฉีก็รีบปาดน้ำตาและตั้งใจที่จะเที่ยวเล่นให้คุ้มกับที่ได้มา นางได้เดินไปตามถนนที่คึกคักทายปริศนาโคมไฟและชมกายกรรมมากมายทำให้นางมีความสุขมากจนลืมเรื่องในวันนี้ไปจนหมด อยู่ๆก็มีคนมาดึงนางเอาไว้นางที่เห็นแบบนั้นจึงรีบหันไปดู นางรู้สึกแปลกใจมากที่อยู่ๆคนที่ไม่รู้จักมาดึงตัวของนางเอาไว้จากนั้นเค้าก็เอ่ยปากพูดว่า"แม่นางเหตุใดถึงได้ไส่เสื้อผ้าที่ทำให้ตนดูไม่งามละเจ้างามขนาดนี้ควรที่จะไส่ชุดที่ดูดีนะ"จากนั้นคนๆนั้นก็ได้พานางไปที่ร้านขายเสื้อและเลือกซื้อชุดให้นางใหม่เมื่อนางได้เปลี่ยนชุดนั้นทำให้เจ้าของร้านตะลึงกับความงามของเจี้ยนฉีอย่างมาก จากนั้นชายที่พาเจี้ยนฉีมาเลือกซื้อชุดใหม่ก็เดินมาหานางและบอกว่า"นี้แหละคือความงามที่แท้จริง"จากนั้นก็มีทหารหลวงมาหาเค้า เจี้ยนฉียังไม่ทันได้กล่าวขอบคุณชายคนนั้นก็ได้ออกไปกับทหารที่มาเรียก เรื่องนี้ทำให้เจี้ยนฉีสงสัยมากว่าที่จริงแล้วเค้าคือใครกันแต่นางก็ไม่อาจอยากรู้ได้ ในขณะที่เจี้ยนฉีกำลังสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ๆรัชทายาทหลี่หยางเยว่ก็พุ่งเข้ามาจับมือของเจี้ยนฉีและขอให้นางช่วยแล้วจูงมือเจี้ยนฉีออกจากร้านไป จากนั้นไม่นานเหล่าแม่นางก็พากันวิ่งตรงมาหารัชทายาทหลี่หยางเยว่ เจี้ยนฉีที่เห็นแบบนั้นจึงเข้าใจทันทีว่าทำไมรัชทายาทถึงขอให้นางช่วย "ข้ามีคนเดินเที่ยวเป็นเพื่อนแล้วไม่จำเป็นต้องรบกวนแม่นางทั้งหลาย"จากนั้นหลี่หยางเยว่ก็รีบจูงมือเจี้ยนฉีออกไปจากแม่นางที่มารุมกลุ่มนั้น "ถ้าหากหมดเรื่องแล้วข้าขอตัวก่อนพะยะคะ"เมื่อเจี้ยนฉีกำลังจะเดินกลับไปหลี่หยางเยว่ก็ได้รั้งนางเอาไว้และขอให้นางเที่ยวงานโคมไฟเป็นเพื่อน เจี้ยนฉีที่แปลกใจมากๆว่ารัชทายาทที่เงียบคลึมคนหนึ่งอยู่ๆกลับมาขอให้นางเที่ยวเป็นเพื่อนทั้งๆที่นางไม่เคยได้คุยด้วยแม้แต่ครั้งเดียวไม่เคยได้สนิทยิ่งพึ่งเคยได้เจอหน้ากันจริงๆด้วยซ่ำ แต่เค้ากลับมาขอให้นางไปเที่ยวเป็นเพื่อน เจี้ยนฉีนางยังสงสัยไม่จบหลี่หยางเยว่ก็ได้จูงมือนางวิ่งไปที่หอชุนอวี่ไปยังชั้นที่อยู่สูงสุดของหอ(หอชุนอวี่เป็นโรงเตี้ยมที่สูงที่สุดตั้งอยู่กลางเมืองหลวง)เมื่อทั้งสองขึ้นไปถึงก็ถึงเวลาจุดพรุไฟต้อนรับเทศกาลพอดีเจี้ยนฉีที่เห็นพรุไฟความเสียใจและข้อสงสัยที่อยู่ในใจก็หายสิ้นไปหมด "นี้คือครั้งแรกจริงๆที่ข้าได้เห็นพรุไฟ" เจี้ยนฉีพูดออกมาพร้อมน้ำตาพร่างไหล//'นี้สินะที่เรียกว่าความอบอุ่นที่แท้จริง'//
//'นี้สินะที่เรียกว่าความอบอุ่นที่แท้จริง'//ขณะที่เจี้ยนฉีกำลังยืนดูพรุไฟ หลี่หยางเยว่ก็ได้สกิดนางและยื่นของบางอย่างพร้อมชุดสีขาวที่เค้าพึ่งสั่งตัดมาให้แก่นาง เจี้ยนฉีที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกงุนงง"นี้คือของที่ข้าให้กับแม่นางจงรับไว้ซะ ถ้าหากว่าพายภาคหน้าแม่นางได้มาเป็นน้องของข้าจริงข้าจะ......จะให้แม่นางมากกว่านี้ "เมื่อเจี้ยนฉีเห็นอย่างนั้นจึงรับของที่หลี่หยางเยว่มอบให้นาง หลังจากพรุไฟที่ชาวบ้านจุดขึ้นหมดไปเจี้ยนฉีและหลี่หยางเยว่ก็ได้นั่งคุยกันสักพัง หลี่หยางเยว่ก็เสนอจะไปส่งเจี้ยนฉีที่เรือนพักเจี้ยนฉีที่เห็นแบบนั้นจึงตอบตกลง เมื่อทั้งสองเดินลงไปถึงชั้นล้าง ด้วยที่ว่าหลี่หยางเยว่เป็นแม่ทัพในกองทหารและด้วยนิสัยของเค้าจึงไม่ชอบนั่งรถม้าแต่เป็นขี่ม้าแทนเค้าจึงไม่มีรถม้าประจำตัว หลี่หยางเยว่ที่เห็นว่าวันนี้ลมแรงและต้องให้เจี้ยนฉีนั่งม้าเค้าจึงสบัดผ้าครุม ครุมตัวของเจี้ยนฉีเพื่อไม่ให้ถูกลม"ถ้าหากถึงจวนพักแล้วแม่นางข่อยคืนเสื้อให้กับข้าแล้วกัน"เจี้ยนฉียังไม่ทันได้ตอบตกลงอยู่ๆหลี่หยางเยว่ก็อุ่มนางขึ้นม้า นางที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงตกใจมากจากนั้นหลี่หยางเยว่ก็บอกให้นางจับเชือกแน่นๆและเค้าก็ควบม้าไปด้วยความเร็ว เมื่อถึงจวนพักเจี้ยนฉีก็ได้ถอดเสื้อครุมคืนให้กับหลี่หยางเยว่และกล่าวขอบคุณเค้าจากนั้นหลี่หยางเยว่ก็ควบม้าออกไป เมื่อเจี้ยนฉีเห็นว่าข้างนอกลมแรงจึงรีบเข้าไปที่จวนพัก นางได้เปิดประตูเข้าไปกลับไม่พบใครเลย//'พวกเค้าคงกำลังกินเลี้ยงครอบครัวกันอย่างมีความสุขอยู่ละมั้ง'//จากนั้นเจี้ยนฉีก็ได้เดินตากลมกลับเข้าห้องพักไป ในขนะที่นางกำลังนั่งอย่างไร้ความหมายนางก็นึกได้ว่ามีของบางอย่างที่หลี่หยางเยว่มอบให้นาง เจี้ยนฉีที่เห็นแบบนั้นจึงหยิบมาเปิดดูกลับพบว่าเป็นไม้แกะสลักรูปดาบชิ้นเล็ก เมื่อนางเห็นแบบนั้นจึงเผลอคิดถึงทหารที่เลี้ยงนางมาตั้งแต่เด็กผู้นั้น เค้าก็เคยมอบไม้แกะสลักให้นางเช่นนี้ น้ำตาของนางได้ไหลลงบนใบหน้าจากนั้นนางก็ได้ใช้เชือกมาร้อยไม้แกะสลักนั้นและห้อยไว้ที่คอ เช้ารุ่งขึ้นอวี่เฝิงสื่อและภรรยาพร้อมกับเยว่หลิงนั่งรถม้าคันเดียวกันกลับเมืองหลิวอิน เจี้ยนฉีที่เห็นว่ามีรถม้าที่นางนั่งมายังว่างอยู่จึงได้ขึ้นรถม้าคันนั้นกลับ ด้วยความที่รถม้าของอวี่เฝิงสื่อออกเดินทางก่อนจึงถึงก่อนแต่รถม้าของเจี้ยนฉีกลับหลงทางอยู่กลางทางในป่าอยู่นาน อยู่ๆคนขับรถม้าที่นั่งอยู่นอกรถม้าได้สังเกตุเห็นว่ามีโจรป่ากำลังตรงมาที่รถม้าเมื่อเค้าได้เห็นจึงจงใจทิ้งเจี้ยนฉีไว้ที่กลางป่าคนเดียวและหนีเอาชีวิตรอด เจี้ยนฉีที่นั่งอยู่ในรถม้าโดยไม่รู้เรื่องอะไร จู่ๆก็มีโจรมาพังรถม้าของนางเจี้ยนฉีที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงถูกโจรป่าใช้ดาบยาวแทงไปที่ท้องจนเลือดอาบไปทั้งตัวเจี้ยนฉีล้มลงไปกับพื้นพร้อมน้ำตาอย่างทรมาน จากชุดสีขาวที่หลี่หยางเยว่มอบให้นางไส่กลับกลายเป็นสีแดงด้วยเลือดของนาง หลังจากที่โจรพวกนั้นนำทรัพย์สินเงินทองของนางไปจนหมดก็มาดึงดาบที่แทงทิ้งไว้ที่ท้องของนางและรีบหนีไป บนตัวของเจี้ยนฉีเหลือเพียงไม้แกะสลักของหลี่หยางเยว่ทรัพย์สินที่นางคิดว่ามีค่าที่สุดและนางก็ได้สลบไป เมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกทีก็นอนอยู่บนเตียงที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เจี้ยนฉีข่อยๆยกมือขึ้นมาบังแสงแดดที่ส่องลงบนใบหน้าของนาง//'อบอุ่นเหลือเกิน'//เซียนผู้เฒ่าที่นั่งมองนางอยู่ข้างๆได้ยิ้มออกมา"เจ้าฟื้นแล้วสินะ"เจี้ยนฉีตกใจพร้อมฉันมาถามเซียนผู้เฒ่าว่านางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เซียนผู้เฒ่าถอนหายใจและตอบนาง"นี้เจ้ามาอยู่บ้านข้ากี่เดือนแล้วยังไม่รู้อีกหรอว่าเจ้าอยู่ที่ไหน ครั้งนั้นที่ข้าเห็นเจ้าถูกแทงข้ายังคิดนานว่าควรช่วยเจ้ากลับมาที่เขาเหมิ่นอิ่นบ้านของข้าหรือไม่ตามเดิมที่นี้ก็สงบมากข้ายังกังวนว่าถ้าเอาตัวเจ้ามารักษาที่นี้ความสงบอาจจะหายไปเพราะที่พักข้าไม่มีใครเข้ามาได้และไม่มีใครรู้ว่าข้าอยู่ที่นี้ งั้นหลังจากนี้เจ้าห้ามลงเขานี้เป็นอันขาดถ้าหากว่าเจ้าลงเขาไปอาจเปิดเผยว่าข้าอยู่ที่นี้ก็เป็นได้"เมื่อเจี้ยนฉีได้ยินแบบนั้นจึงตกใจมากเซียนผู้เฒ่าจึงบอกให้นางทวนคิดอีกที//'อยู่ที่นี้คงไม่เสียหายอะไรถ้าหากว่าข้าลงเขาไปสุดท้ายคงโดนคนในตระกูลทำร้ายเหมือนเดิม'//เมื่อเจี้ยนฉีตัดสินใจแล้วจึงตอบตกลง เซียนผู้เฒ่าที่เห็นแบบนั้นจึงยิ้มให้นางและพานางไปที่ห้องพักและต้มยามาให้นางดื่ม"จากนี้แผลของเจ้าก็หายดีแล้วข้าสามารถรับเจ้าเป็นศิษย์ได้และถ่ายทอดวิชาให้กับเจ้าระหว่างที่เจ้าอยู่บนเขานี้แต่เรื่องนี้ก็ต้องให้เจ้าตัดสินใจเอาเองว่าเจ้าจะเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่"จากนั้นเซียนผู้เฒ่าก็นำชุดเซียนมาให้นางและเดินออกไป เช้ารุ่งขึ้นเจี้ยนฉีได้ไส่ชุดเซียนที่เซียนผู้เฒ่ามอบให้และไปคำนับเซียนผู้เฒ่าเป็นอาจารย์ เซียนผู้เฒ่าจึงมอบกระบี่ให้กับนาง(2ปีต่อมา)สองปีมานี้หลังจากที่เซียนผู้เฒ่ารับเจี้ยนฉีเป็นศิษย์ก็ได้ถ่ายทอดวรยุทธที่แกร่งกล้าให้กับนางจนนางมีวรยุทธเทียบเท่ากับเซียนผู้เฒ่า วันต่อมาในขณะที่เจี้ยนฉีกำลังฝึกกระบี่ได้สังเกตุเห็นชายไส่ชุดดำเข้ามาในเขตอาคมของอาจารย์นาง นางจึงหยิบกระบี่พุ่งตรงไปที่ชายชุดดำคนนั้นและปลองฝีมือจนสุดท้ายเจี้ยนฉีก็สามารถวางกระบี่บนบ่าของเค้าได้ จากนั้นอยู่ๆเซียนผู้เฒ่าก็เดินหัวเราะออกมาและบอกให้ทั้งสองเค้าไปคุยในเรือน"นี้คือศิษย์น้องของเจ้า"เมื่อชายชุดดำได้ยินก็ตกใจอย่างมากและรีบเอาหมวกออก เมื่อเค้าได้เอาหมวกออกเจี้ยนฉีกลับตกใจมากเพราะคนที่นางปลองด้วยคือหลี่หยางเยว่ หลี่หยางเยว่เมื่อเห็นนางก็ตกใจเช่นกัน "ท่านคืออาจารย์ของเค้าเช่นกันเหรอ"เจี้ยนฉีถามด้วยน้ำเสียงที่ตกใจเซียนผู้เฒ่าจึงตอบนางว่านี้คือศิษย์พี่ของนาง
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!