NovelToon NovelToon

สุนทรภู่ กวีเอก ๔ แผ่นดิน

บทที่๑ (ปฐมบท) กำเนิดสุนทรภู่

ท่านสุนทรภู่ เกิดเมื่อ วันจันทร์ เดือน ๘ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาเช้า ๒ โมง (ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๙) ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง

บิดาของสุนทรภู่เป็นชาวบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง มารดาเป็นชาวเมืองอื่น สุนทรภู่เกิดเมื่อหลังจากได้สร้างกรุงเทพมหานครแล้ว ๔ ปี แล้วต่อมาในภายหลังบิดามารดาได้หย่าร้างกัน บิดาออกไปบวชอยู่ที่วัดป่ากร่ำอันเป็นภูมิลำเนาเดิม ส่วนมารดาได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังหลัง ถวายตัวเป็นนางนมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธิดาในเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ดังนั้นสุนทรภู่จึงได้อยู่ในพระราชวังหลังกับมารดา และได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง

เมื่อสุนทรภู่อายุได้ประมาณ ๒ ปี มารดาได้นำไปฝากให้เรียนหนังสือกับพระในสำนักวัดชีปะขาว (ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานนามในรัชกาลที่ ๔ ว่า วัดศรีสุดาราม อยู่ริมคลองบางกอกน้อย) ต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนนายระวางกรมพระคลังสวนในกรมพระคลังสวน แต่ไม่ชอบทำงานอื่นนอกจากแต่งบทกลอน ซึ่งสามารถแต่งได้ดี ตั้งแต่ยังรุ่นหนุ่ม

กุฎิวัดเทพธิดารามที่สุนทรภู่บวชจำพรรษา เป็นสถานที่ค้นพบวรรณกรรมที่ทรงคุณค่ามากมายเช่น พระอภัยมณี ฯลฯ ที่ท่านเก็บซ่อนไว้ใต้เพดานหลังคากุฎิของท่าน กุฎิวัดเทพธิดารามที่สุนทรภู่บวชจำพรรษา เป็นสถานที่ค้นพบวรรณกรรมที่ทรงคุณค่ามากมายเช่น พระอภัยมณี ฯลฯ ที่ท่านเก็บซ่อนไว้ใต้เพดานหลังคากุฎิของท่าน อนุสาวรอนุสาวรีย์สุนทรภู่ที่ วัดศรีสุดาราม

ใน พ.ศ. ๒๓๕๙ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในกรมอาลักษณ์ได้เป็นขุนสุนทรโวหาร ระหว่างรับราชการต้องจำคุกเพราะถูกอุทธรณ์ว่าเมาสุราทำร้ายญาติผู้ใหญ่ ภายหลังพ้นโทษ ได้เป็นพระอาจารย์ถวายอักษรสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๒

ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๓ สุนทรภู่ออกจากราชการและออกบวช เมื่อลาสิกขาแล้วถวายตัวอยู่กับพระองค์เจ้าลักขณานุคุณได้ปีหนึ่ง ครั้นเจ้านายพระองค์นั้นสิ้นพระชนม์ สุนทรภู่ก็ขาดที่พึ่งได้รับความลำบากมาก ต้องลอยเรืออยู่และแต่งหนังสือขายเลี้ยงชีวิต ต่อมาจึงได้รับพระอุปถัมภ์ จากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

พ.ศ. ๒๓๙๔ สุนทรภู่ ได้เป็นเจ้ากรมอาลักษณ์ ฝ่ายพระราชวังบวร มีบรรดาศักดิ์เป็น พระสุนทรโวหาร ผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากสุนทรภู่ (ภู่) จะได้รับนามสกุลคือ “ภู่เรือหงส์”

บทที่๒ ผลงานของสุนทรภู่

ผลงานประเภทนิราศ

- นิราศเมืองแกลง (พ.ศ. ๒๓๔๙) - แต่งเมื่อหลังพ้นโทษจากคุก และเดินทางไปหาพ่อที่เมืองแกลง

- นิราศพระบาท (พ.ศ. ๒๓๕๐) - แต่งหลังจากกลับจากเมืองแกลง และต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการรอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรีในวันมาฆบูชา

- นิราศภูเขาทอง (ประมาณ พ.ศ. ๒๓๗๑) - แต่งโดยสมมุติว่า เณรหนูพัด เป็นผู้แต่งไปนมัสการพระเจดีย์ภูเขาทองที่จังหวัดอยุธยา

- นิราศสุพรรณ (ประมาณ พ.ศ. ๒๓๗๔) - แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวัฒนะที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นผลงานเรื่องเดียวของสุนทรภู่ที่แต่งเป็นโคลง

- นิราศวัดเจ้าฟ้า (ประมาณ พ.ศ. ๒๓๗๕) - แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวัฒนะตามลายแทงที่วัดเจ้าฟ้าอากาศ (ไม่ปรากฏว่าที่จริงคือวัดใด) ที่จังหวัดอยุธยา

- นิราศอิเหนา (ไม่ปรากฏ, คาดว่าเป็นสมัยรัชกาลที่ ๓) แต่งเป็นเนื้อเรื่องอิเหนารำพันถึงนางบุษบา

- รำพันพิลาป (พ.ศ. ๒๓๗๕) - แต่งเมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม แล้วเกิดฝันร้ายว่าชะตาขาด จึงบันทึกความฝันพร้อมรำพันความอาภัพของตัวไว้เป็น "รำพันพิลาป" จากนั้นจึงลาสิกขา

- นิราศพระประธม (พ.ศ. ๒๓๘๕) - เชื่อว่าแต่งเมื่อหลังจากลาสิกขาและเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปนมัสการพระประธมเจดีย์ (หรือพระปฐมเจดีย์) ที่เมืองนครชัยศรี

- นิราศเมืองเพชร (พ.ศ. ๒๓๘๘) - แต่งเมื่อเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เชื่อว่าไปธุระราชการอย่างใดอย่างหนึ่ง นิราศเรื่องนี้มีฉบับค้นพบเนื้อหาเพิ่มเติมซึ่ง อ.ล้อม เพ็งแก้ว เชื่อว่า บรรพบุรุษฝ่ายมารดาของสุนทรภู่เป็นชาวเมืองเพชร

ประเภทนิทาน

เรื่องโคบุตร, เรื่องพระอภัยมณี, เรื่องพระไชยสุริยา, เรื่องลักษณวงศ์, เรื่องสิงหไกรภพ

ประเภทสุภาษิต

- สวัสดิรักษา คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้าอาภรณ์

- สุภาษิตสอนหญิง เป็นหนึ่งในผลงานซึ่งยังเป็นที่เคลือบแคลงว่า สุนทรภู่เป็นผู้ประพันธ์จริงหรือไม่

- เพลงยาวถวายโอวาท คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว

ประเภทบทละคร

- เรื่องอภัยณุรา ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เพื่อถวายพระองค์เจ้าดวงประภา พระธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

ประเภทบทเสภา

- เรื่องขุนช้างขุนแผน (ตอนกำเนิดพลายงาม)

- เรื่องพระราชพงศาวดาร

ประเภทบทเห่กล่อม

แต่งขึ้นสำหรับใช้ขับกล่อมหม่อมเจ้าในพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กับพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เท่าที่พบมี ๔ เรื่องคือ เห่จับระบำ, เห่เรื่องพระอภัยมณี, เห่เรื่องโคบุตร และเห่เรื่องกากี

บทที่๓ ผลงานของสุนทรภู่(๒)

การแปลผลงานของสุนทรภู่เป็นภาษาต่างๆ

มีการแปลผลงานของสุนทรภู่เป็นภาษาต่างๆดังนี้

ภาษาไทยถิ่นเหนือ พญาพรหมโวหาร กวีเอกของล้านนาแปลพระอภัยมณีคำกลอนเป็นค่าวซอตามความประสงค์ของเจ้าแม่ทิพ เกสรแต่ไม่จบเรื่อง ถึงแค่ตอนที่ศรีสุวรรณอภิเษกกับนางเกษรา

ภาษาเขมร ผลงานของสุนทรภู่ที่แปลเป็นภาษาเขมรมีสามเรื่องคือ

o พระอภัยมณี ไม่ปรากฏชื่อผู้แปล แปลถึงแค่ตอนที่นางผีเสื้อสมุทรลักพระอภัยมณีไปไว้ในถ้ำเท่านั้น

o ลักษณวงศ์ แปลโดย ออกญาปัญญาธิบดี (แยม)

o สุภาษิตสอนหญิงหรือสุภาษิตฉบับสตรี แปลโดย ออกญาสุตตันตปรีชา (อินทร์)

นิราศภูเขาทอง เป็นนิราศเรื่องเยี่ยมที่สุดของท่านสุนทรภู่ ท่านแต่งเรื่องนี้ เมื่อครั้งเดินทางไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทอง ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ราวปี พ.ศ.๒๓๗๑ อายุราว ๔๒ ปี นิราศเรื่องนี้มีกระบวนกลอนอันไพเราะ และแง่คิดสำหรับการดำรงชีวิต

.

เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา

รับกฐินภิญโญโมทนา

ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย

......ถึงเดือน ๑๑ ซึ่งออกจากการจำพรรษาแล้ว เมื่อรับกฐินอย่างยินดีเสร็จแล้ว ก็ต้องลงเรือไปด้วยความเศร้าโศก

ออกจากวัดทัศนาดูอาวาส

เมื่อตรุษสารทพระพรรษาได้อาศัย

สามฤดูอยู่ดีไม่มีภัย

มาจำไกลอารามเมื่อยามเย็น

......ออกจากวัดก็มองดูวัดที่เคยอาศัยอยู่เมื่อปีที่ผ่านมา อีกทั้ง ๓ ฤดูที่อยู่มาก็ไม่มีอะไรมากวนใจ

โอ้อาวาสราชบุรณะพระวิหาร

แต่นี้นานนับทิวาจะมาเห็น

เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น

เพราะขุกเข็ญคนพาลมารานทาง

......อีกทั้งวัดราชบุรณะพระวิหารนี้คงอีกนานกว่าจะได้มาเห็น นึกแล้วเศร้าใจยิ่งนักทั้งนี้เป็นเพราะมีคนพาลมารังแกใส่ร้าย

จะยกหยิบธิบดีเป็นที่ตั้ง

ก็ใช้ถังแทนสัดเห็นขัดขวาง

จึ่งอำลาอาวาสนิราศร้าง

มาอ้างว้างวิญญาณ์ในสาคร

ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด

คิดถึงบาทบพิตรอดิศร

โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร

แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น

......ถึงหน้าวังก็เศร้าโศกมาก คิดถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยผู้ซึ่งมีพระคุณกับสุนทรภู่อย่างมาก เมื่อก่อนเคยเข้าเฝ้าพระองค์อย่างใกล้ชิดและบ่อยครั้ง

พระนิพพานปานประหนึ่งศีรษะขาด

ด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ

ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น

ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา

จึงสร้างพรตอตส่าห์ส่งส่วนบุญถวาย

ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา

เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา

ขอเป็นข้าเคียงบาททุกชาติไป

ถึงหน้าแพแลเห็นเรือที่นั่ง

คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล

เคยหมอบรับกับพระจมื่นไวย

แล้วลงในเรือที่นั่งบัลลังก์ทอง

เคยทรงแต่งแปลงบทพจนารถ

เคยรับราชโองการอ่านฉลอง

จนกฐินสิ้นแม่น้ำในลำคลอง

มิได้ข้องเคืองขัดหัทยา

......เคยแต่งแปลงบทความ เคยรับราชโองการอ่านในงานฉลอง จนเรือที่มาทอดกฐินหมดแล้วก็ยังมิได้ทำให้พระองค์ขัดใจแต่อย่างใด

เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตรลบ

ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา

สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธา

วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์

ดูในวังยังเห็นหอพระอัฐิ

ตั้งสติเติมถวายฝ่ายกุศล

ทั้งปิ่นเกล้าเจ้าพิภพจบสากล

ให้ผ่องพ้นภัยสำราญผ่านบุรินทร์

......มองไปในวังยังเห็นหอที่เก็บพระอัฐิของรัชกาลที่ ๒ ก็ตั้งสติถวายส่วนบุญส่วนกุศล ทั้งส่งส่วนกุศลไปให้รัชกาลที่ ๓ ให้พ้นภัยในการปกครองบ้านเมือง

ถึงอารามนามวัดประโคนปัก

ไม่เห็นหลักลือเล่าว่าเสาหิน

เป็นสำคัญปันแดนในแผ่นดิน

มิรู้สิ้นสุดชื่อที่ลือชา

......ถึงวัดประโคนปักก็มองไปไม่เห็นเสาหินที่ลือกัน เป็นเสาที่สำคัญในแผ่นดิน

ขอเดชะพระพุทธคุณช่วย

แม้นมอดม้วยกลับชาติวาสนา

อายุยืนหมื่นเท่าเสาศิลา

อยู่คู่ฟ้าดินได้ดังใจปอง

......ถึงจะไม่เห็นก็ขอเดชะพระพุทธคุณช่วย ขอให้อายุยืนหมื่นๆปีดังเสาศิลา อยู่คู่ฟ้าดินได้ตลอดไป

ไปพ้นวัดทัศนาริมท่าน้ำ

แพประจำจอดรายเขาขายของ

มีแพรผ้าสารพัดสีม่วงตอง

ทั้งสิ่งของขาวเหลืองเครื่องสำเภา

......องดูริมท่าน้ำ มีแพมาจอดขายของอยู่เรียงราย มีขายทั้งผ้าแพรสีม่วงและสีอื่นๆ ทั้งสิ่งของที่มาจากเมืองจีน

ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง

มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา

โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา

ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย

......ถึงโรงเหล้าก็มีควันออกมาจากเตากลั่นมากมาย มีเครื่องตักน้ำผูกไว้ปลายเสา สุนทรภู่เคยดื่มน้ำเหล้าจนเมาเหมือนคนบ้า

ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ

พระสรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย

ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย

ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป

......จึงได้บวชเพื่อจะได้พ้นจากอบายมุข ขอให้ได้ตรัสรู้ดังพระพุทธเจ้า แต่เหล้าเคยทำให้รอดชีวิตดังนั้นจะเมินไปก็เกินไป

ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก

สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน

ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป

แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน

......ถึงจะไม่เมาเหล้าแต่ยังเมารักอยู่ หักห้ามจิตใจไม่ให้รักไม่ได้ การเมาเหล้านั้นพอรุ่งขึ้นก็หายไป แต่การเมารักนี้จะเป็นทุกๆคืน

ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้อง

มามัวหมองม้วนหน้าไม่ฝ่าฝืน

เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยืดยืน

จำต้องขืนใจพรากมาจากเมือง

......ถึงบางจากไม่อยากได้ยินคำว่าจาก เพราะสุนทรภู่จากหลายๆอย่างมา ต้องมีใจมัวหมองเพราะรักนั้นไม่ยืนยาว จึงต้องจากเมืองพรากมา

ถึงบางพลูคิดถึงคู่เมื่ออยู่ครอง

เคยใส่ซองส่งให้ล้วนใบเหลือง

ถึงบางพลัดเหมือนพี่พลัดมาขัดเคือง

ทั้งพลัดเมืองพลัดสมรมาร้อนรน

......ถึงบางพลูคิดถึงนางจันเมื่อแต่งงานกัน เคยส่งหมากพลูโดยใส่ซองให้ทั้งหมดเป็นใบเหลืองซึ่งอร่อยมาก ถึงบางพลัดก็ไม่อยากได้ยินคำว่าพลัดเพราะได้พลัดจากนางจัน ทั้งยังพลัดจากเมืองและอื่นๆอย่างร้อนรน

ถึงบางโพโอ้พระศรีมหาโพธิ

ร่มนิโรธรุกขมูลให้พูนผล

ขอเดชะอานุภาพพระทศพล

ให้ผ่องพ้นภัยสำราญผ่านบุรินทร์

......ถึงบางโพก็คิดถึงต้นโพธิ์ ให้ร่มเงา ให้ความร่มเย็นทั้งยังทำให้โคนต้นไม้งอกงามได้ ขอเดชะของพระพุทธเจ้า ให้พ้นภัยพาลตลอดไป

ถึงบ้านญวนล้วนแต่โรงแลสะพรั่ง

มีข้องขังกุ้งปลาไว้ค้าขาย

ตรงหน้าโรงโพงพางเขาวางราย

พวกหญิงชายพร้อมเพรียงมาเมียงมอง

......ถึงบ้านญวนเห็นมีโรงเรือนมากมาย มีคนค้าขายของเช่นกุ้งหรือปลาโดยการขังไว้ในข้อง ข้างหน้าโรงวางที่สำหรับดักปลาวางเรียงไว้ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายมาจับจ่ายซื้อของ

จะเหลียวกลับลับเขตประเทศสถาน

ทรมานหม่นไหม้ฤทัยหมอง

ถึงเขมาอารามอร่ามทอง

พึ่งฉลองเลิกงานเมื่อวานซืน

......จะมองกลับไปยังประเทศบ้านเกิดก็ทรมานเหมือนโดนไฟสุมในใจ จิตใจก็หม่นหมอง ล่องเรือมาจนถึงวัดเขมา ก็รู้ว่าพึ่งเลิกงานฉลองไปเมื่อวานซืน

โอ้ปางหลังครั้งสมเด็จบรมโกศ

มาผูกโบสถ์ก็ได้มาบูชาชื่น

ชมพระพิมพ์ริมผนังยังยั่งยืน

ทั้งแปดหมื่นสี่พันได้วันทา

......คิดถึงเมื่อก่อนซึ่งรัชกาลที่ ๒ ได้มาตัดหวายลูกนิมิต ได้ชมพระพิมพ์ทั้ง ๘๔,๐๐๐ องค์ซึ่งเท่ากับจำนวนพระธรรมที่อยู่ในพระไตรปิฎกที่อยู่ริมผนัง

โอ้ครั้งนี้มิได้เห็นเล่นฉลอง

เพราะตัวต้องตกประดาษวาสนา

เป็นบุญน้อยพลอยนึกโมทนา

พอนาวาติดชลเข้าวนเวียน

......แต่ครั้งนี้ไม่ได้เห็นการเล่นฉลองเพราะสุนทรภู่ต้องหมดวาสนาและลำบาก เป็นเพราะบุญน้อยก็นึกเศร้า แต่แล้วเรือก็ติดน้ำวน

ดูน้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็นเกลียวกลอก

กลับกระฉอกฉาดฉัดฉวัดเฉวียน

บ้างพลุ่งพลุ่งวุ้งวงเหมือนกงเกวียน

ดูเวียนเวียนคว้างคว้างเป็นหว่างวน

......มองเห็นน้ำวิ่งเชี่ยวหมุนเป็นเกลียว พุ่งไปมาตัดกัน บางส่วนก็พุ่งวนเหมือนกงเกวียน ดูเวียนๆเป็นเหมือนพายุวน

ทั้งหัวท้ายกรายแจวกระชากจ้วง

ครรไลล่วงเลยทางมากลางหน

โอ้เรือพ้นวนมาในสาชล

ใจยังวนหวังสวาทไม่คลาดคลา

......ทั้งหัวท้ายเรือได้รีบแจวเรือดังนั้นเรือจึงหลุดน้ำวนออกมาได้ แต่ถึงเรือจะพ้นน้ำวนมาแล้วแต่ใจสุนทรภู่ก็ยังไม่พ้นจากวังวนของความรัก

ตลาดแก้วแล้วไม่เห็นตลาดตั้ง

สองฟากฝั่งก็แต่ล้วนสวนพฤกษา

โอ้รินรินกลิ่นดอกไม้ใกล้คงคา

เหมือนกลิ่นผ้าแพรดำร่ำมะเกลือ

......ถึงตลาดแก้วแต่ไม่เห็นมีตลาดตั้งขายของทั้งสองฝั่งเห็นแต่ต้นไม้พืชพันธุ์ต่างๆ ได้กลิ่นดอกไม้หอมไปเรื่อยๆตลอดทางและกลิ่นเหมือนผ้าแพรที่ย้อมด้วยมะเกลือ

เห็นโศกใหญ่ใกล้น้ำระกำแฝง

ทั้งรักแซงแซมสวาทประหลาดเหลือ

เหมือนโศกพี่ช้ำระกำเจือ

เพราะรักเรื้อแรมสวาทมาคลาดคลาย

......เห็นต้นโศกใหญ่และต้นระกำเป็นแผงแต่แปลกที่มีต้นรักขึ้นแซมอยู่ด้วย เหมือนความโศกเศร้าระกำใจที่สุนทรภู่ต้องเป็นเพราะรักแม่จัน

ถึงแขวงนนท์ชลมารคตลาดขวัญ

มีพ่วงแพแพรพรรณเขาค้าขาย

ทั้งของสวนล้วนเรืออยู่เรียงราย

พวกหญิงชายประชุมกันทุกวันคืน

......ถึงจังหวัดนนทบุรีก็เห็นมีตลาดน้ำ มีแพอยู่ซึ่งขายเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม มีทั้งเรือจอดอยู่เพื่อขายผลไม้จากสวนแท้ มีทั้งผู้หญิงผู้ชายมาประชุมซื้อของกันอยู่ทุกวันทุกคืน

มาถึงบางธรณีทวีโศก

ยามวิโยคยากใจให้สะอื้น

โอ้สุธาหนาแน่นเป็นแผ่นพื้น

ถึงสี่หมื่นสองแสนทั้งแดนไตร

......มาถึงหมู่บ้านบางธรณีก็โศกเศร้ามากขึ้นมาก เพราะตอนลำบากพาให้ใจสะอื้นมาก ทั้งที่แผ่นดินหนาขนาดสองแสนสี่หมื่นโยชน์

เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้

ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย

ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ

เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา

......แต่เมื่อถึงคราวลำบากแม้แต่แผ่นดินก็ไม่มีที่อาศัย เหมือนโดนหนามเสียดแทงเจ็บแสบมาก เหมือนกับนกไม่มีรังที่จะอาศัยต้องเร่ร่อนไปเรื่อยๆ

ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า

ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา

เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา

ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย

......ถึงตำบลปากเกร็ดซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวมอญอพยพมา ตามธรรมเนียมผู้หญิงมอญจะเกล้าผม แต่สมัยนี้ผู้หญิงมอญมาถอนไรผมเหมือนตุ๊กตา ทั้งยังใช้เครื่องสำอาง ใช้แป้งผัดหน้าซึ่งเหมือนกับชาวไทย

โอ้สามัญผันแปรไม่แท้เที่ยง

เหมือนอย่างเยี่ยงชายหญิงทิ้งวิสัย

นี่หรือจิตคิดหมายมีหลายใจ

ที่จิตใครจะเป็นหนึ่งอย่างพึงคิด

......ทำให้เห็นได้ว่าสมัยนี้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความเที่ยงแท้ เหมือนดังที่ชาวมอญละทิ้งประเพณีวัฒนธรรมของตนเองแล้วจะนับประสาอะไรกับจิตใจของคน ซึ่งไม่มีใครมีใจเดียวแต่มีหลายใจ

ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์

มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต

แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร

จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา

......ถึงหมู่บ้านบางพูดสุนทรภู่ก็นึกถึงคำว่าพูด ดังว่า ถ้าใครพูดดีก็จะมีคนรัก แต่ถ้าพูดไม่ดีก็อาจจะเป็นภัยต่อตนเองได้อีกทั้งยังไม่มีใครคบ ไม่มีเพื่อนสนิทมิตรสหาย ทั้งการจะดูว่าใครดีไม่ดีดูได้จากการพูด

ถึงบ้านใหม่ใจจิตก็คิดอ่าน

จะหาบ้านใหม่มาดเหมือนปรารถนา

ขอให้สมคะเนเถิดเทวา

จะได้ผาสุกสวัสดิ์กำจัดภัย

......ถึงหมู่บ้านบ้านใหม่สุนทรภู่ก็คิดอยากจะได้บ้านซักหลังตามที่ต้องการโดยขอกับเทวดาให้สมดังปรารถนา เพราะ การมีบ้านใหม่จะได้มีความสุขและมีที่อาศัยอย่างปลอดภัย

ถึงบางเดื่อโอ้มะเดื่อเหลือประหลาด

บังเกิดชาติแมลงหวี่มีในไส้

เหมือนคนพาลหวานนอกย่อมขมใน

อุปไมยเหมือนมะเดื่อเหลือระอา

......ถึงหมู่บ้านบางเดื่อก็คิดถึงลูกมะเดื่อที่ภายนอกนั้นดูสวยงามน่ารับประทานแต่ภายในกลับมีแมลงมีหนอนชอนไชอยู่ เหมือนกับคนพาลที่ปากพูดดีแต่ในใจคิดทำอันตราย

ถึงบางหลวงเชิงรากเหมือนจากรัก

สู้เสียศักดิ์สังวาสพระศาสนา

เป็นล่วงพ้นรนราคราคา

ถึงนางฟ้าจะให้ไม่ใยดี

......ถึงบางหลวงเหมือนจากนางจันมานานแล้วเราต้องสละจากยศถาบรรดาศักดิ์เพื่อมาบวชเพื่อจะได้พ้นจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ถึงจะมีนางฟ้ามายั่วก็ไม่สนใจ

ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า

พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี

ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี

ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว

......ถึงสามโคกก็คิดถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยซึ่งพระองค์ปกครองเมืองกรุงเทพฯ พระองค์ได้พระราชทานนามเมืองจากสามโคกซึ่งเป็นหัวเมืองชั้นสามเป็นเมืองปทุมธานีเป็นเพราะมีบัวเยอะ

โอ้พระคุณสูญลับไม่กลับหลัง

แต่ชื่อตั้งก็ยังอยู่เขารู้ทั่ว

แต่เรานี้ที่สุนทรประทานตัว

ไม่รอดชั่วเช่นสามโคกยิ่งโศกใจ

......ถึงพระองค์จะเสด็จสวรรคตไปแล้วแต่ชื่อปทุมธานีคงอยู่ตลอดไป แต่ทำไมชื่อของสุนทรภู่ชื่อขุนสุนทรโวหารที่ได้รับพระราชทานนามมาแต่กลับไม่มีชื่อในแผ่นดินหลังจากพระองค์สวรรคตเลย ซึ่งต่างกับปทุมธานี

สิ้นแผ่นดินสิ้นนามตามเสด็จ

ต้องเที่ยวเตร็ดเตร่หาที่อาศัย

แม้นกำเนิดเกิดชาติใดใด

ขอให้ได้เป็นข้าฝ่าธุลี

......สุนทรภู่ต้องเร่ร่อนหาที่อาศัยเพราะขณะนี้ไม่มีบ้าน สุนทรภู่ขอให้เกิดทุกชาติได้เป็นข้ารับใช้พระองค์ตลอดไป

สิ้นแผ่นดินขอให้สิ้นชีวิตบ้าง

อย่ารู้ร้างบงกชบทศรี

เหลืออาลัยใจตรมระทมทวี

ทุกวันนี้ก็ซังตายทรงกายมา

......พอพระองค์สวรรคตสุนทรภู่ก็ขออยากตายตามบ้างเพื่อจะได้รับใช้และพึ่งพระองค์ เดี๋ยวนี้ก็เศร้าโศกใจทุกข์ระทมอย่างทวีคูณมาก ต้องเร่ร่อนไปเรื่อยๆชีวิตไม่มีจุดมุ่งหมาย

ถึงบ้านงิ้วเห็นแต่งิ้วละลิ่วสูง

ไม่มีฝูงสัตว์สิงกิ่งพฤกษา

ด้วยหนามดกรกดาษระดะตา

นึกก็น่ากลัวหนามขามขามใจ

......ถึงหมู่บ้านบ้านงิ้วก็เห็นมีแต่ต้นงิ้วซึ่งไม่มีนกหรือสัตว์อื่นๆอยู่บนกิ่งเลยเพราะต้นงิ้วมีหนามขึ้นอยู่มากมายนึกถึงก็น่ากลัวหนาม

งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลม

ดังขวากแซมเสี้ยมแทรกแตกไสว

ใครทำชู้คู่ท่านครั้นบรรลัย

ก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง

......เพราะถ้าโดนคงเจ็บมาก แต่งิ้วในนรกยาวถึง ๑๖ ข้อนิ้วแหลมเหมือนกับไม้ไผ่เหลาทำกับดัก ซึ่งใครมีชู้เมื่อตายไปแล้วก็ต้องไปปีนต้นงิ้วในนรก

เราเกิดมาอายุเพียงนี้แล้ว

ยังคลาดแคล้วครองตัวไม่มัวหมอง

ทุกวันนี้วิปริตผิดทำนอง

เจียนจะต้องปีนบ้างหรืออย่างไร

......แต่สุนทรภู่เกิดมาอายุมากแล้วแต่ยังครองตัวอยู่ในศีลธรรมไม่มีชู้ แต่ทุกวันนี้ผู้คนวิปริตมีชู้กันมากคงต้องไปปีนต้นงิ้วในนรกกันบ้าง

โอ้คิดมาสารพัดจะตัดขาด

ตัดสวาทตัดรักมิยักไหว

ถวิลหวังนั่งนึกอนาถใจ

ถึงเกาะใหญ่ราชครามพอยามเย็น

......ทั้งหมดที่คิดมานั้นสุนทรภู่สามารถตัดขาดได้แต่การตัดความรักนั้นยากยิ่งนัก นั่งนึกอนาถใจไปจนเย็นก็ถึงเกาะใหญ่ราชคราม

ดูห่างย่านบ้านช่องทั้งสองฝั่ง

ระวังทั้งสัตว์น้ำจะทำเข็ญ

เป็นที่อยู่ผู้ร้ายไม่วายเว้น

เที่ยวซ้อนเร้นตีเรือเหลือระอา

......มองไปเห็นบ้านเรือนต่างๆอยู่ห่างจากสองฝั่งมาก ในที่นี้ต้องระวังจระเข้จะทำร้าย ทั้งที่นี่ยังเป็นที่อยู่ของผู้ร้ายซึ่งมาคอยดักตีเรือ สุนทรภู่คิดแล้วน่าเบื่อยิ่งนัก

พระสุริยงลงลับพยับฝน

ดูมัวมนมืดมิดทุกทิศา

ถึงทางลัดตัดทางมากลางนา

ทั้งแฝกคาแขมกกขึ้นรกเรี้ยว

......เมื่อพระอาทิตย์ตกก็มีเมฆมืดครึ้มมาจนดูมืดมัวไปทุกทิศทุกทาง พายเรือถึงทางลัดซึ่งเป็นทางตัดกลางนาก็เห็นมีต้นแฝกต้นคาต้นแขมต้นกกขึ้นปะปนกันอยู่มากมาย

เป็นเงาง้ำน้ำเจิ่งดูเวิ้งว้าง

ทั้งกว้างขวางขวัญหายไม่วายเหลียว

เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรียว

ล้วนเรือเพรียวพร้อมหน้าพวกปลาเลย

......เงาของต้นพวกนี้ทอดลงน้ำทำให้ดูเวิ้งว้างดูกว้างขวางเหลียวมองทีไรก็รู้สึกขวัญหายทุกที มองเห็นเงาของหญิงชายทั้งยังมีเสียงคุยกัน เรือของพวกเขาเพรียวเล็กและมีปลาอยู่บนเรืออีกด้วย

เขาถ่อคลองว่องไวไปเป็นยืด

เรือเราฝืดเฝือมานิจจาเอ๋ย

ต้องถ่อค้ำร่ำไปล้วนไม่เคย

ประเดี๋ยวเสยสวบตรงเข้าพงรก

......พวกเขาถ่อเรือคล่องแคล่วเดินทางไปอย่างรวดเร็ว แต่เรือของสุนทรภู่ไปช้ามากช่างน่าสงสารลูกศิษย์ที่ต้องถ่อเรืออย่างเหน็ดเหนื่อยทั้งๆที่ไม่เคยเส้นทาง บางทีเรือก็เสยเข้าพงหญ้ารกรุงรัง

กลับถอยหลังรั้งรอเฝ้าถ่อถอน

เรือขย้อนโยกโยนกระโถนหก

เงียบสงัดสัตว์ป่าคณานก

น้ำค้างตกพร่างพรายพระพายพัด

......จะถอยหลังก็ถอยยาก เรือก็โคลงจนกระโถนใส่หมากหก พอเงี่ยหูฟังก็ไม่ได้ยินเสียงสัตว์เลยสักตัว มีแต่น้ำค้างตกเพราะลมพัด

ไม่เห็นคลองต้องค้างอยู่กลางทุ่ง

พอหยุดยุงฉู่ชุมมารุมกัด

เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัด

ต้องนั่งปัดแปะไปมิได้นอน

......มองไปไม่เห็นคลองเลยต้องค้างอยู่กลางทุ่ง แต่พอหยุดเรือยุงก็มารุมกัดเจ็บเหมือนโดนทรายซัด เลยไม่ได้นอนเพราะต้องนั่งปัดยุง

แสนวิตกอกเอ๋ยมาอ้างว้าง

ในทุ่งกว้างเห็นแต่แขมแซมสลอน

จนดึกดาวพราวพร่างกลางอัมพร

กระเรียนร่อนร้องก้องเมื่อสองยาม

......สุนทรภู่รู้สึกอ้างว้างมาก มองไปในทุ่งกว้างเห็นมีแต่ต้นแขมขึ้นอยู่ปะปนกัน จนดึกก็มีดาวอยู่กลางท้องฟ้า มีนกกระเรียนบินร่อนและร้องก้องเมื่อตอนเที่ยงคืน

ทั้งกบเขียดเกรียดกรีดจังหรีดเรื่อย

พระพายเฉื่อยเฉื่อยฉิววะหวิวหวาม

วังเวงคิดจิตคะนึงรำพึงความ

ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส

......มีเสียงกบเขียดร้องเรื่อยๆ มีลมพัดเฉื่อยๆ สุนทรภู่รู้สึกวังเวงก็คิดรำพึงเมื่อตอนมียศถาบรรดาศักดิ์

สำรวลกับเพื่อนรักสะพรักพร้อม

อยู่แวดล้อมหลายคนปรนนิบัติ

โอ้ยามเข็ญเห็นอยู่แต่หนูพัด

ช่วยนั่งปัดยุงให้ไม่ไกลกาย

......ได้หัวเราะเฮฮากับเพื่อน มีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ แต่ยามลำบากเห็นแต่หนูพัดลูกชายคอยช่วยนั่งปัดยุงให้

จนเดือนเด่นเห็นเหล่ากระจับจอก

ระดะดอกบัวเผื่อนเมื่อเดือนหงาย

เห็นร่องน้ำลำคลองทั้งสองฝ่าย

ข้างหน้าท้ายถ่อมาในสาคร

......จนพระจันทร์ขึ้นก็เห็นต้นกระจับจอก มีดอกบัวเผื่อนขึ้นมากเมื่อคืนเดือนหงาย มองเห็นคลองทั้งสองด้านหัวท้ายเรือก็รีบถ่อเรือลงคลอง

จนแจ่มแจ้งแสงตะวันเห็นพันธุ์ผัก

ดูน่ารักบรรจงส่งเกสร

เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจร

ก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา

......จนพระอาทิตย์ขึ้นก็เห็นพันธุ์ผักดูน่ารักส่งเกสรแก่กัน มีบัวเผื่อนอยู่สองข้างทางที่เรือพายไป มีต้นก้ามกุ้งขึ้นอยู่กับสาหร่ายใต้น้ำ

สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่า

เป็นเหล่าเหล่าแลรายทั้งซ้ายขวา

กระจับจอกดอกบัวบานผกา

ดาษดาดูขาวดังดาวพราย

......มีต้นสายติ่งขึ้นสลับกับต้นตับเต่าเป็นกลุ่มๆมองไปเหมือนกับดาวบนท้องฟ้า

โอ้เช่นนี้สีกาได้มาเห็น

จะลงเล่นกลางทุ่งเหมือนมุ่งหมาย

ที่มีเรือน้อยน้อยจะลอยพาย

เที่ยวถอนสายบัวผันสันตะวา

......เหล่านี้ถ้าผู้หญิงได้มาเห็นก็คงจะลงเล่นกลางทุ่ง ที่มีเรือก็คงจะพายไปเก็บสายบัว

ถึงตัวเราเล่าถ้ามีโยมหญิง

ไหนจะนิ่งดูดายอายบุปผา

คงจะใช้ให้ศิษย์ที่ติดมา

อุตส่าห์หาเอาไปฝากตามยากจน

......ถ้าสุนทรภู่มีโยมผู้หญิงก็คงไม่นิ่งเฉยให้อายดอกไม้ คงจะใช้ให้ศิษย์ไปเก็บของฝากเท่าที่ทำได้ในตอนนี้

นี่จนใจไม่มีเท่าขี้เล็บ

ขี้เกียจเก็บเลยทางมากลางหน

พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยน

ถึงตำบลกรุงเก่ายิ่งเศร้าใจ

......แต่นี่จนใจไม่มีผู้หญิงสักคน ขี้เกียจเก็บจึงเลยมา พอมีแสงอ่อนๆของพระอาทิตย์ก็ถึงกรุงศรีอยุธยา สุนทรภู่รู้สึกเศร้าใจ

มาทางท่าหน้าจวนจอมผู้รั้ง

คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล

จะแวะหาถ้าท่านเหมือนเมื่อเป็นไวย

ก็จะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน

......เมื่อถึงหน้าจวนของเพื่อนของสุนทรภู่ สุนทรภู่ก็คิดถึงเมื่อก่อนจนน้ำตาไหล สุนทรภู่ตั้งใจจะแวะหาถ้ายังเหมือนเมื่อก่อนก็คงจะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน

แต่ยามยากหากว่าถ้าท่านแปลก

อกมิแตกเสียหรือเราเขาจะสรวล

เหมือนเข็ญใจใฝ่สูงไม่สมควร

จะต้องม้วนหน้ากลับอัประมาณ

......แต่ถ้าหากว่าท่านแปลกไปก็คงจะโดนหัวเราะเยาะจะต้องอายมาก รู้สึกไม่กล้าใฝ่สูงเป็นเพื่อนได้ จึงได้เดินทางต่อไปยังเจดีย์ภูเขาทอง

มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม

ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน

บ้างขึ้นล่องร้องรำเล่นสำราญ

ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง

......จอดเรือที่ข้างวัดพระเมรุซึ่งริมวัดมีเรือจอดเรียงอยู่ บางลำมีคนร้องเล่นเต้นสำราญ บางลำก็ร้องเพลงเกี้ยวกัน

บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ

ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง

มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสามเพ็ง

เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู

......บางลำฉลองผ้าป่าด้วยการขับเสภา ทั้งยังมีคนตีระนาดซึ่งตีเก่งเหมือนนายเส็ง (คนเก่งระนาดสมัยสุนทรภู่) มีโคมแขวนอยู่เรียงรายเหมือนอยู่สามเพ็ง เมื่อคราวเคร่งในพระศาสนาก็ไม่ได้ดู

ไอ้ลำหนึ่งครึ่งท่อนกลอนมันมาก

ช่างยาวลากเลื้อยเจื้อยจนเหนื่อยหู

ไม่จบบทลดเลี้ยวเหมือนเงี้ยวงู

จนลูกคู่ขอทุเลาว่าหาวนอน

......มีเรือลำหนึ่งกลอนมันมาก ร้องกลอนยากลากเลื้อยฟังแล้วเหนื่อยหู กลอนลดเลี้ยวเหมือนทางงู จนลูกคู่บอกว่าง่วงนอน

ได้ฟังเล่นต่างต่างที่ข้างวัด

ดึกสงัดเงียบหลับลงกับหมอน

ประมาณสามยามคล้ำในอัมพร

อ้ายโจรจรจู่จ้วงเข้าล้วงเรือ

......ได้ฟังการละเล่นต่างๆที่ข้างวัดพอดึกก็นอน ประมาณสามยามก็มีโจรขึ้นเรือ

นาวาเอียงเสียงกุกลุกขึ้นร้อง

มันดำล่องน้ำไปช่างไวเหลือ

ไม่เห็นหน้าสานุศิษย์ที่ชิดเชื้อ

เหมือนเนื้อเบื้อบ้าเลอะดูเซอะซะ

......พอมีเสียงกุกกักสุนทรภู่ก็ลุกขึ้นโวยวาย โจรก็รีบดำน้ำไปอย่างว่องไว มองไปไม่เห็นหน้าลูกศิษย์ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกด้วยความกลัว

แต่หนูพัดจัดแจงจุดเทียนส่อง

ไม่เสียของขาวเหลืองเครื่องอัฏฐะ

ด้วยเดชะตบะบุญกับคุณพระ

ชัยชนะมารได้ดังใจปอง

......แต่หนูพัดจุดเทียนส่องดูว่ามีอะไรหายไปบ้าง แต่ไม่มีเลยแม้แต่เครื่องอัฐบริขาร ทั้งนี้ด้วยเดชะตบะบุญและคุณพระที่คุ้มครอง ทำให้ชนะมารได้

ครั้นรุ่งเช้าเป็นวันอุโบสถ

เจริญรสธรรมาบูชาฉลอง

ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทอง

ดูสูงล่องลอยฟ้านภาลัย

......วันรุ่งขึ้นจะเป็นวันพระซึ่งจะได้บูชาพระธรรม ได้ไปเจดีย์ภูเขาทองซึ่งดูสูงเสียดฟ้า

อยู่กลางทุ่งรุ่งโรจน์สันโดษเด่น

เป็นที่เล่นนาวาคงคาใส

ที่พื้นลานฐานบัทม์ถัดบันได

คงคาลัยล้อมรอบเป็นขอบคัน

......อยู่กลางทุ่งดูโดดเด่นมีน้ำใสอยู่รอบๆที่ฐานพื้นที่เป็นรูปกลีบบัวถัดจากบันไดมีน้ำไหลล้อมรอบเป็นขอบ

มีเจดีย์วิหารเป็นลานวัด

ในจังหวัดวงแขวงกำแพงกั้น

ที่องค์ก่อย่อเหลี่ยมสลับกัน

เป็นสามชั้นเชิงชานตระหง่านงาม

......มีเจดีย์มีวิหารที่ลานวัด มีกำแพงกั้นอยู่ องค์เจดีย์ย่อเหลี่ยมไม้ ๑๒ มุมอย่างสวยงาม มีเป็นสามชั้นอย่างงดงาม

บันไดมีสี่ด้านสำราญรื่น

ต่างชมชื่นชวนกันขึ้นชั้นสาม

ประทักษิณจินตนาพยายาม

ได้เสร็จสามรอบคำนับอภิวันท์

......บันไดมี ๔ ด้าน คณะของสุนทรภู่ชวนกันขึ้นไปชั้น ๓ ตั้งใจเดินวนขวา ๓ รอบจนครบก็กราบเจดีย์

มีห้องถ้ำสำหรับจุดเทียนถวาย

ด้วยพระพายพัดเวียนอยู่เหียนหัน

เป็นลมทักษิณาวรรตน่าอัศจรรย์

แต่ทุกวันนี้ชราหนักหนานัก

......มีห้องที่เป็นถ้ำสำหรับจุดเทียนเพราะลมจะพัดแรงพาธูปเทียนดับ ตอนนั้นบังเกิดสิ่งอัศจรรย์มีลมพัดเวียนขวาราวกับจะเวียนเทียนด้วย ทุกวันนี้พระเจดีย์เก่าและทรุดโทรมมาก

ทั้งองค์ฐานรานร้าวถึงเก้าแฉก

เผยอแยกยอดทรุดก็หลุดหัก

โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก

เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น

......ที่ฐานร้าวถึงเก้าแฉก ที่ยอดก็หัก องค์พระเจดีย์ก็ทรุด เป็นเพราะเจดีย์ไม่มีคนคอยดูแล นึกแล้วเสียดายจนน่าร้องไห้

กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ

จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น

เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น

คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้น

......แล้วจะเทียบอะไรกับชื่อเสียงเกียรติยศของมนุษย์ ก็คงหมดไปในไม่นาน เหมือนกับเป็นผู้ดีแล้วลำบาก เป็นคนมั่งมีแล้วยากจน คิดแล้วทุกอย่างไม่เที่ยงแท้

ขอเดชะพระเจดีย์คีรีมาศ

บรรจุธาตุที่ตั้งนรังสรรค์

ข้าอุตส่าห์มาเคารพอภิวันท์

เป็นอนันต์อานิสงส์ดำรงกาย

......ขอเดชะแห่งเจดีย์ภูเขาทองซึ่งบรรจุพระบรมสาริกธาตุ สุนทรภู่ขอให้ที่ได้มากราบในครั้งนี้ให้เป็นบุญเพื่อเป็นอานิสงส์ให้พ้นภัยต่างๆ

จะเกิดชาติใดใดในมนุษย์

ให้บริสุทธ์สมจิตที่คิดหมาย

ทั้งทุกข์โศกโรคภัยอย่าใกล้กราย

แสนสบายบริบูรณ์ประยูรวงศ์

......ถ้าจะเกิดชาติไหนๆก็ขอให้ตนบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ ทั้งความทุกข์ความโศกอย่าได้มาใกล้ สบายไปตลอดกาล

ทั้งโลโภโทโสและโมหะ

ให้ชนะใจได้อย่าใหลหลง

ขอฟุ้งเฟื่องเรืองวิชาปัญญายง

ทั้งให้ทรงศีลขันธ์ในสันดาน

......ทั้งความโลภ โกรธ หลง ขอให้ตนชนะได้ ขอให้มีสติปัญญาหลักแหลม ให้มีศีลธรรมอยู่ในใจ

อีกสองหญิงสิ่งร้ายและชายชั่ว

อย่าเมามัวหมายรักสมัครสมาน

ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ

ตราบนิพพานชาติหน้าให้ถาวร

......ทั้งผู้หญิงร้ายและผู้ชายชั่วก็ขอให้อย่าได้รู้จักคบหากัน ขอให้สมดังหวังแม้แต่ชาติหน้าก็ขอให้เป็นดังหวัง

พอกราบพระปะดอกปทุมชาติ

พบพระธาตุสถิตในเกสร

สมถวิลยินดีชุลีกร

ประคองช้อนเชิญองค์ลงนาวา

......พอก้มลงกราบพระพุทธรูปเงยขึ้นมาก็เห็นดอกบัวและก็เห็นพระบรมสารีริกธาตุอยู่ในเกสรก็ดีใจมากและช้อนประคองลงเรือ

กับหนูพัดมัสการสำเร็จแล้ว

ใส่ขวดแก้ววางไว้ใกล้เกศา

มานอนกรุงรุ่งขึ้นจะบูชา

ไม่ปะตาตันอกยิ่งตกใจ

......พอหนูพัดกราบไว้เสร็จแล้วก็ใส่พระบรมสารีริกธาตุไว้ในขวดแก้วแล้วก็วางไว้ใกล้ศีรษะเมื่อนอน ไปนอนที่กรุงศรีอยุธยาและรุ่งเช้าจะบูชาพระบรมสารีริกธาตุแต่พอตื่นมามองไม่เห็นพระบรมสารีริกธาตุก็ตกใจอย่างมากทั้งที่วางไว้ใกล้ศีรษะ

แสนเสียดายหมายจะชมบรมธาตุ

ใจจะขาดคิดมาน้ำตาไหล

โอ้บุญน้อยลอยลับครรไลไกล

เสียน้ำใจเจียนจะดิ้นสิ้นชีวัน

......สุนทรภู่ว่าเป็นเพราะบุญตนน้อยทำให้พระธาตุลอยไปไกล

สุดจะอยู่ดูอื่นในฝืนโศก

กำเริบโรคร้อนฤทัยเฝ้าใฝ่ฝัน

พอตรู่ตรู่สุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณ

ให้ล่องวันหนึ่งมาถึงธานี

......สุนทรภู่คิดว่าไม่สามารถอยู่ที่เจดีย์ภูเขาทองต่อได้เพราะจะยิ่งเศร้าโศกและร้อนใจยิ่งขึ้น พอเช้าตรู่พระอาทิตย์ขึ้นส่องฉาย ก็ล่องเรือถึงกรุงเทพฯโดยใช้เวลาเดินทาง ๑ วัน

ประทับท่าหน้าอรุณอารามหลวง

ค่อยสร่างทรวงทรงศีลพระชินสีห์

นิราศเรื่องเมืองเก่าของเรานี้

ไว้เป็นที่โสมนัสทัศนา

......ถึงหน้าวัดอรุณก็ค่อยสร่างจากความเศร้าเพราะได้กราบพระพุทธรูป นิราศภูเขาทองของสุนทรภู่เรื่องนี้ไว้เป็นที่อ่านเมื่อเศร้าจะได้มีความสุข

ด้วยได้ไปเคารพพระพุทธรูป

ทั้งสถูปบรมธาตุพระศาสนา

เป็นนิสัยไว้เหมือนเตือนศรัทธา

ตามภาษาไม่สบายพอคลายใจ

......เพราะได้ไปกราบไว้พระพุทธรูป ทั้งกราบไว้พระบรมสารีริกธาตุ เพราะคนที่นับถือศาสนาพุทธเมื่อไม่สบายใจก็จะกราบไหว้พระพุทธรูปเพื่อให้สบายใจ

ใช่จะมีที่รักสมัครมาด

แรมนิราศร้างมิตรพิสมัย

ซึ่งครวญคร่ำทำทีพิรี้พิไร

ตามนิสัยกาพย์กลอนแต่ก่อนมา

......ตอนนี้สุนทรภู่ใช่ว่าจะมีคนรักหรือพึ่งจะจากรักมา แต่ที่กล่าวถึงผู้หญิงก็เพราะเป็นธรรมเนียมการแต่งนิราศแต่โบราณ

เหมือนแม่ครัวคั่วแกงพะแนงผัด

สารพัดเพียญชนังเครื่องมังสา

อันพริกไทยใบผักชีเหมือนสีกา

ต้องโรยหน้าเสียสักหน่อยอร่อยใจ

......เหมือนแม่ครัวจะปรุงอาหารประเภทพะแนงนอกจากจะใส่เครื่องปรุงและเนื้อสัตว์แล้วยังต้องใส่พริกไทยใบผักชีเพื่อเพิ่มความน่ารับประทานแก่อาหาร และผู้หญิงก็เหมือนพริกไทยใบผักชีเพื่อให้นิราศนี้น่าอ่าน

จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้น

อย่านึกนินทาแถลงแหนงไฉน

นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ

จึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอย

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!