‘โคจิโร่ โคจิโร่! นายตั้งสติไว้ก่อน โคจิโร่! ฉันมาช่วยแล้ว!’
ปังๆๆๆ!!! วิ้ง!!!! เสียงกระสุนที่สาดเข้าใส่กันของพวกก่อการร้ายกับหน่วยรบพิเศษตอนนี้เกิดการปะทะกันขึ้น ‘เคนจิ’ สั่งให้คนในหน่วยรีบยิงป้องกันพวกก่อการร้าย ในขณะที่ตัวเขาเองรีบเข้าไปช่วยเพื่อน
‘โคจิโร่!’ เคนจิตะโกนเรียกเพื่อนที่ตอนนี้หมดสติคาอยู่บนเก้าอี้ เขาพยายามแก้มัดเพื่อนอย่างเร็ว ตัวโคจิโร่เองค่อยๆตื่นจากการถูกซ้อมอย่างหนักหน่วง ตอนนี้ร่างกายเขาพร้อมจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
‘นายทำใจดีๆไว้นะ พวกฉันมาช่วยนายแล้ว’ ‘
เคนจิ…’ ตู้ม!!! เสียงของโคจิโร่ที่เล็ดลอดออกมาอย่างยากลำบากกำลังเงยหน้ามองผู้เป็นเพื่อน แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงระเบิดจากหน้าห้องดังขึ้น นั่นยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ไปกันใหญ่
‘โคจิโร่ นายต้องตื่นเดี๋ยวนี้!’ เสียงวิ้งๆและเสียงอื้ออึงต่อเหตุการณ์ทั้งหลาย ทำให้โคจิโร่เริ่มลำดับเหตุการณ์ ตาของเขาเริ่มตื่นเต็มที่
‘เคนจิ ระวัง!’ เขาที่พยายามแก้มัดขาตัวเองรีบร้องทักเพื่อนขึ้น เพราะตอนนี้มีศัตรูคนหนึ่งกำลังเหนี่ยวไก แต่แล้ว… ปังๆๆๆ ‘แฮ่กๆๆ’ โคจิโร่ ก้มหมอบลงและรีบคลานไปคว้าปืนที่อยู่กระเป๋าข้างๆตัวเคนจิ ยิงศัตรูจนมันล้มลง
‘ขอบใจ โคจิโร่ เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว พวกมันมีมากกว่าที่ฉันคิด มาให้ฉันช่วย’ เคนจิไม่รอช้าเขารีบลุกขึ้นพยุงเพื่อน และพยายามหาทางออกจากทีนั่นทันที โคจิโร่คอยยิงดักพวกมันไม่ให้เข้ามาใกล้ จนทั้งคู่มาถึงทางออก ดันมีพวกศัตรูยืนขวางไว้
‘เคนจิ ปล่อยฉันได้แล้ว’
‘แต่นายยังเจ็บอยู่นะ’
‘ฉันบอกให้ปล่อย!’ โคจิโร่ผลักเคนจิออกไปอีกทาง ส่วนตัวเขานั้นหันไปยิงใส่พวกศัตรู เคนจิลุกขึ้นมา เขาไม่รอช้ารีบเข้าตามไปสมทบ ในขณะที่เขากำลังชุลมุนอยู่กับการกำจัดศัตรู โคจิโร่ ค่อยๆเดินเข้ามา ยกปืนขึ้นเล็งไปที่เคนจิ นิ้วชี้สอดเข้าไปหวังจะเหนี่ยวไกใส่อีกคน พลันเคนจิเหวี่ยงศัตรูคนหนึ่งมาหลบทางกระสุนของเขาได้ทันที ปัง!...บ้าจริง!
‘โคจิโร่ ขอบใจมาก’ โดยหารู้ไม่ว่า การยิงครั้งนี้โคจิโร่มีเป้าหมายเป็นเคนจิเอง เคนจิตบบ่าเพื่อนและเดินออกมา เรื่องทั้งหมดมันจะไม่เกิดขึ้นถ้าแกไม่เข้ามาขัดขวางทางของฉัน มีแกอยู่ก็เหมือนมีขวากหนามที่คอยทิ่มแทงฉัน! เคนจิ! นี่มันภารกิจของฉัน ทำไมต้องเป็นแกที่ได้ทุกอย่างจากฉันไปหมด!
‘เคนจิ เครื่องส่งสัญญาณจับความเคลื่อนไหวของพวกมันได้แล้ว’ ทันทีที่รับทราบว่า โคจิโร่ตกเป็นเชลยของพวกก่อการร้าย ทางนายพลสั่งให้เขารีบบินมาที่ฐานทัพทันที และตอนนี้เคนจิกับทหารอีก 6 นาย กำลังนั่งอยู่หลังรถบรรทุก เขาเงยหน้ามองหนึ่งในหก
‘มันอยู่ทางตอนเหนือของเรา ห่างออกไป 3 กิโลข้างหน้านี่ครับ’ หนึ่งในผู้ช่วยชูคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ที่ตอนนี้มีภาพอินฟราเรดจับความร้อน ฉายให้เห็นคนกำลังเดินไปมาอยู่ในอาคารแห่งหนึ่ง
‘เอาล่ะทุกคน ก่อนจะถึง ขอให้พวกคุณทุกคน เตรียมพร้อม เพราะเราไม่รู้ว่าศัตรูจะเข้ามาทางไหน ทำตามที่เราฝึก มีสติเข้าไว้ ถ้าเห็นว่าจะไม่ดี รีบส่งสัญญาณมานะครับ’
‘รับทราบ!’ ทั้งหมดตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน และกลับไปนั่งที่เดิม อยู่ในความเตรียมพร้อมทุกขณะ ส่วนเขาตอนนี้หยิบหมวกที่มีกล้องอินฟราเรดติดอยู่บนหัว จับมันขึ้นมาเหม่อมองมันอยู่นาน
‘ฉันจะช่วยนายออกมาเอง’
‘ใกล้จะถึงที่หมายในอีก 1 กิโลข้างหน้านี้ทุกคนเตรียมพร้อม!’ นายทหารที่นั่งอยู่ข้างหน้าคนขับ เลื่อนที่กั้นออกพร้อมกับตะโกนเข้ามา นั่นทำให้เคนจิหลุดออกจากภวังค์ พร้อมกับลุกขึ้นยืน
‘S. Force พร้อม!’
‘โอ้ช!!’ หลังสิ้นเสียงเรียกขวัญและกำลังใจทุกคน ทุกคนสวมหมวกและหน้ากาก พร้อมกับหยิบปืนที่อยู่ข้างๆมาประจำที่ ทุกคนยืนหน้าเข้าหากัน โดยที่เคนจิยืนถือปืนอยู่หัวแถว ทุกคนเลื่อนกล้องอินฟราเรดมาประจำที่ เหลือแต่เขา เขากวาดตามองทุกคน ก่อนจะเลื่อนมือจับกล้องอินฟราเรดลงประกบระหว่างตา
‘จับตัวพวกมันมาและฆ่าใครก็ตามที่ขัดขวาง!’
‘รับทราบครับ!’
เคนจิ และโคจิโร่ ทั้งสองเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กจนทั้งคู่เข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาเหมือนจะเป็นผู้ชายธรรมดาทั่วไป แค่จะเหมือนเท่านั้น เพราะทั้งสองคนมีพ่อแม่เป็นถึงผู้มีอิทธิพลอย่างมากในญี่ปุ่น ครอบครัวของเคนจิมีอิทธิพลทางตอนเหนือ ส่วนครอบครัวของโคจิโร่มีอิทธิพลทางตอนใต้ ถึงพวกครอบครัวของพวกเขาจะน่าเกรงขามมากเท่าไร พวกเขาก็ไม่เคยสอนให้ทั้งสองเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่า โดยตัวเคนจิเองเขานั้นทำตามที่ครอบครัวของเขาสอนทุกอย่าง ผิดกับโคจิโร่พอรู้ว่าตัวเองมีใครกลัวก็แสดงอำนาจข่มขู่คนอื่น แต่ดีที่มีเคนจิคอยห้ามปรามไว้ โคจิโร่เองมักจะอิจฉาเคนจิอยู่บ่อยครั้ง เขาไม่เคยชอบเคนจิเลยสักครั้ง ที่เป็นเพื่อนด้วยเพราะครอบครัวของพวกเขาฐานะเท่ากัน ผิดกับเคนจิที่เห็นโคจิโร่เป็นเพื่อนตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งทั้งคู่ได้เข้าไปเป็นทหาร ทางกองทัพต้องการสร้างหน่วยรบพิเศษที่ชื่อว่า Special Force หรือ S.Force ที่กล้าพร้อมจะแลกชีวิต เสียสละเพื่อประเทศชาติ และคนๆนั้นจะได้รับเลือกเป็นหัวหน้าหน่วยรบพิเศษทันทีถ้าผ่านด่านทดสอบ พวกเขาสองคนรู้สึกสนใจเป็นอย่างมากจึงลงสมัคร เมื่อถึงวันนัดฝึกและคัดตัวเลือก ทุกคนต้องผ่านด่านที่พร้อมคัดกรองไปในตัว ทั้งคู่ผ่านมาได้หมดทุกด่าน จนเวลาผ่านไปหลายเดือน วันตัดสินในด่านสุดท้ายก็มาถึง เป็นด่านให้ประลองฝีมือกันเอง นั่นยิ่งทำให้เคนจิหนักใจเป็นอย่างมาก ทำไมการฝึกมันต้องมีแบบนี้ด้วยนะ แต่ไม่ใช่กับโคจิโร่ เขาต้องการเอาชนะเคนจิ ต้องการเป็นที่หนึ่ง!
‘ผมทำไม่ได้ครับท่าน’ ตอนนี้ทั้งสองยืนประจัญหน้ากับท่านนายพล โดยที่เคนจิก้มโค้งเพื่อเป็นการขอโทษ
‘ไม่ได้นายทหารเคนจิ นี่คือรอบตัดสิน’
‘ถ้าจะให้ผมมาทำร้ายเพื่อนตัวเองผมทำไม่ได้ครับ’
‘รีบทำให้มันจบๆไปเถอะน่า’ โคจิโร่พูดออกมาอย่างรำคาญ ท่านนายพลมองโคจิโร่ด้วยหางตาปราดเดียวก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้า
‘เงยหน้าขึ้นมา’ เคนจิค่อยๆเงยหน้ามองท่านนายพล ‘คุณสามารถไว้ใจคนทั้งบนโลกนี้ได้มากเท่าไหร่ มันจะยิ่งส่งผลร้ายต่อคุณมากเท่านั้น เชื่อในตัวเอง เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง ถึงแม้คนๆนั้นจะเป็นเพื่อนก็ตาม’
‘แต่ผม…’
‘ความเห็นใจและความเมตตา เราสามารถให้กับมนุษย์ทุกคนได้ แต่ไม่ใช่ตอนที่เราตกเป็นเชลย ผมจะถือว่าคุณตกลง เริ่มดำเนินการต่อได้’ ในเมื่อเขาไม่มีทางเลือก ทั้งคู่จึงเดินไปที่พื้นที่โล่งที่ไว้สำหรับประลอง เมื่อเสียงกรรมการสิ้นสุดลง โคจิโร่ชาร์จเข้าหาก่อน เคนจิที่ไม่ทันได้ตั้งตัว โดนต่อยเข้าไปหนึ่งมัด เขาเซถอยหลังไปเล็กน้อย นี่เขากำลังโดนเพื่อนต่อย??
‘อย่ามัวแต่ยืนนิ่งเคนจิ นายมาเป็นทหารนะไม่ใช่กระสอบทราย! รีบทำให้มันจบไปซะ ไม่ฉันก็นายที่จะได้เป็นหัวหน้าหน่วยรบ!’ โคจิโร่ยืนตะโกน เคนจิมองตรงไปยังโคจิโร่
‘นี่นายต่อยฉัน?’
‘ก็เออไงแล้วเมื่อไหร่มันจะจบ นายไม่ได้ยินที่นายพลบอกเมื่อกี้หรือยังไง?’
‘…’ เคนจิไม่พูดอะไรต่อ พร้อมกับยกการ์ดขึ้นมา เตรียมพร้อม โอเคทำให้มันจบๆไป ไอ้ตำแหน่งบ้าบออะไรนี่ฉันไม่ได้อยากได้สักนิด! ทั้งคู่เกิดการต่อสู้กัน ต่างคนต่างแลกหมัด เคนจิพยายามจะออมมือไว้ แต่โคจิโร่กลับไม่ทำเช่นนั้น เขากระหน่ำต่อยเคนจิ เหมือนเขาขาดสติไปหมดสิ้น เคนจิเห็นดังนั้น จึงใช้วิชาที่เขาเคยได้ฝึกฝนและเรียนมาจากนายทหารในค่ายมาใช้ ผลปรากฏเป็นฝ่ายเคนจิเองที่ล้มโคจิโร่ โดยจับโคจิโร่นอนพร้อมกับจับไขว้มือของโคจิโร่ไว้ข้างหลัง
‘ปล่อยฉันสิโว้ย!’
แปะๆ! ทั้งคู่หยุดลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงปรบมือ ‘ขอแสดงความยินดีด้วยนายทหารเคนจิ คุณได้เป็นหัวหน้าหน่วยรบพิเศษ S.Force ของเรา กรุณาตามผมมาที่ห้องด้วย และคุณนายทหารโคจิโร่ ในฐานะที่สู้อย่างสมศักดิ์ศรีผมจะให้คุณเป็นรองหน่วย S.Force คอยช่วยเหลือนายหารเคนจิ’
‘แต่ท่านครับ…’
‘ตามผมมานายทหารเคนจิ’ เคนจิยังไม่ทันได้ทักท้วงอะไร หันไปมองโคจิโร่อีกครั้งก่อนจะเดินตามท่านนายพล โดยที่โคจิโร่ได้แต่ยืนกำมือแน่น คอยดูเถอะสักวันฉันจะกำจัดแกทิ้ง ไอ้เคนจิ!
หลังจากจบภารกิจหน่วยรบพิเศษ เคนจิและโคจิโร่ได้ลาออกและขอกลับมายังญี่ปุ่น ที่ที่เป็นบ้านเกิดของพวกเขา แต่ช่างโชคร้ายที่ฝั่งของเคนจิ พ่อของเขาเกิดป่วยหนักจากโรคมะเร็งที่มันลามมาระยะสุดท้ายแล้ว ทันที่ที่เขากลับมา เขาต้องไปหาผู้เป็นพ่อที่โรงพยาบาลทันที
‘คุณชาย’ คนในแก๊งลุกขึ้นยืนก้มหัวให้สองสามคนเมื่อเคนจิ ‘นายท่านรอพบคุณชายครับ’
‘ขอบใจ’ ผมไม่รอช้าเดินเข้าไปในห้องที่พ่อนอนพักฟื้นอยู่ ผมเปิดประตูเข้าไปก่อนจะปิดประตูลงให้หลัง และเดินไปยังเตียงของผู้เป็นพ่อ ก็เห็นผู้ชายอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆเตียง โดยที่เขาหันหน้าออกไปทางประตูนั่นทำให้เขาเห็นผม โดยที่ไม่ต้องสงสัย ผู้ชายคนนั้นก็คือ…
'สวัสดีครับลุงมากิ’ ผมก้มโค้งทักทายคุณลุง พี่ชายแท้ๆของพ่อผม
‘เอาหน่า ไม่ต้องทักทายแบบพิธีรีตองหรอก ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ ถึงจะเป็นการต้อนรับที่ไม่น่าภิรมย์เท่าไหร่ก็เถอะ ยังไม่ได้กลับบ้านล่ะสิ ขอโทษที่ต้องรบกวนนะหลาน’
‘ไม่เลยครับ พอรู้ว่าพ่อป่วยเข้าโรงพยาบาล ผมนิ่งนอนใจไม่ได้จริงๆครับ
‘เป็นคนดีจริงๆเลยนะ พ่อเราเพิ่งนอนพักไปเมื่อกี้ เรามาแล้วก็ดี ลุงขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ’ คุณลุงพูดขณะลุกจากเก้าอี้ ก่อนจะออกไปแกตบบ่าผม และเดินออกไปรอหน้าห้อง ผมมองพ่ออยู่สักครู่ ก็เดินตามลุงมากิออกไป
‘ลุงมีอะไรอยากคุยกับผมหรอครับ?’
‘ลุงมีเรื่องอยากจะขอหลานหน่อย’ ลุงมากิมองผมด้วยสีหน้าเป็นกังวล ‘ลุงและพ่อของเรา มีเรื่องอยากให้ช่วย แต่ฉันและพ่อของหลายไม่สามารถทำมันได้จริงๆ และฉันไม่รู้จะพึ่งใคร แสงสว่างเดียวที่ฉันเห็นคือหลานนะ เคนจิ’
‘…’
‘แต่ถ้าหลานไม่อยากทำ ลุงก็ไม่ว่าอะไร ลุงจะปฏิเสธเขาไป’
‘ทำครับ’
‘!!’ ลุงมากิหันหน้ามามองผม สีหน้าจากที่ดูกังวลเปลี่ยนไปกลายเป็นสีหน้าที่มีความหวังขึ้นมา ‘พูดจริงใช่ไหม หลานของลุงพูดจริงๆใช่ไหม?’
‘ใช่ครับ เพราะนี่คือเรื่องของครอบครัวผม ผมจะไม่ทำได้ยังไง แล้วพ่อต้องมาเป็นแบบนี้ ผมต้องรับผิดชอบทุกอย่างเพื่อครอบครัวสิครับ’
‘ลุงภูมิใจในตัวหลายมากๆเลยนะ! แต่มีข้อแม้ว่า การที่จะทำเรื่องนี้ หลานจะต้องขึ้นมาเป็นผู้นำของ แก๊ง ยามารุ แทนพ่อของหลานนะ’
‘แต่พ่อผมยังไม่เสียไปนี่ครับ แล้วลุงก็เป็นผู้นำต่อจากพ่อผมได้นี่ครับ?’’’
‘ลุงทำไม่ไหวแล้วล่ะ ลุงอยากพักบ้างแล้ว และเรื่องนี้มีแต่หลานที่จะช่วยได้’ ลุงมากิเข้ามองหน้าผม ผมมองแกในหัวมีแต่คำถาม และแล้ว…
‘ขอต้อนรับผู้นำแก๊งยามารุคนใหม่ เคนจิ ยามารุ พวกเราพร้อมมอบชีวิตและพร้อมเสียสละเพื่อนายท่านแล้วครับ!’ ลุงมากิอยู่ๆก็ก้มหัวแบบไม่ให้ผมตั้งตัว
พรึ่บๆๆ!! ลูกน้องสองสามคนของพ่อที่มองดูเหตุการณ์ ต่างก้มโค้งให้ผม ตามที่ลุงมากิทำ ผมมองไปรอบๆตัวด้วยความมึนงง
‘ลุงครับ ผม…’
‘พิธีสาบานตนจะเริ่มวันพรุ่งนี้นะครับ นายท่าน’ ลุงมากิเงยหน้าขึ้นมาและยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ผม แววตาของแกบ่งบอกได้ถึงการการมีความหวัง มีความสุขออกมา ผมพยายามจะค้านแกแต่พอเห็นหน้าแกแล้วอย่าดีกว่า
นี่ผมเป็นผู้นำแก๊งฝั่งเหนือจริงๆหรอ?
‘โคจิโร่’ โคจิโร่ยืนมองพระจันทร์เต็มดวงอยู่ในห้องโถงพร้อมกับจิบชาในมือไปพร้อมกัน พลางคิดถึงเรื่องราวของเขากับเคนจิตอนที่อยู่ในหน่วยรบพิเศษ
แกทำฉันขายหน้า ไอ้เคนจิ!
จนกระทั่งพ่อของเขาเข้ามา เห็นลูกชายของตระกูลยืนมองพระจันทร์อยู่ในห้องโถงของบ้าน
‘ครับพ่อ’
‘พรุ่งนี้จะมีพิธีสาบานตนต่อตระกูล แกต้องเข้าไปทำพิธีด้วยเข้าใจไหม? ตำแหน่งผู้นำฉันยกให้แก’
‘ครับ’
‘แล้วแกอย่าทำอะไรที่มันขายขี้หน้าฉันเด็ดขาดด้วย’
‘พ่อเลิกทำเหมือนผมเป็นเด็กป.สองได้ไหม?’ โคจิโร่หันกลับมามองพ่อด้วยอารมณ์ที่บ่งบอกว่าหงุดหงิดเต็มทน
‘ก็เพราะความใจร้อนของแกนั่นแหละที่จะทำให้ทุกอย่างมันพัง’
‘แต่มันก็ไม่ใช่วันที่ผมต้องสาบานตนไหมครับพ่อ พ่ออย่าหาเรื่องผมได้ไหมครับ ผมกลับมาทั้งที แทนที่จะได้พักผ่อนกลับต้องมาเถียงพ่อเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้’
‘แกนี่มันไม่เหมือนเคนจิเลยนะ’
แกร้ง! โคจิโร่กระแทกน้ำชาลงบนโต๊ะตัวที่อยู่ใกล้ๆเขา
‘พ่อเลิกพูดถึงมันสักที! ผมไม่อยากได้ยินชื่อมัน!’
‘โคจิโร่!’ พ่อของเขาตวาด ‘ถ้าแกไม่ใจร้อน ถ้าแกไม่ควบคุมอารมณ์ตัวเอง ตำแหน่งผู้นำ ตระกูลเราได้สะบั้นหั่นแหลกเละแน่ๆ แกช่วยเอาความเป็นเคนจิมาใส่ตัวเองบ้างจะได้ไหม?’
‘ไม่! นี่ผมเป็นลูกพ่อนะ เลิกพูดแล้วเอามันยกมาเป็นตัวอย่างลูกดีเด่นสักที นี่มันผม! ถ้าอยากได้ไอ้เคนจิเป็นลูกมาก ก็ให้พ่อขึ้นไปฝั่งเหนือเองสิครับ ไปเลย!’
‘โคจิโร่!’
เพี้ยะ!
‘เพราะแกเป็นแบบนี้! แก…แกมันไม่เคยจะทำตัวดีกับฉัน!’ ฝ่ามือของพ่อที่ลงบนแก้มลูกชายคนโตในตระกูลเมื่อกี้นี้ ตอนนี้ได้ขึ้นเป็นสีแดงตามรอยนิ้วมือ เขาโมโหมากเมื่อลูกชายที่เขาจะฝากตระกูลไว้กลับมาพูดแบบนี้ โคจิโร่หันมามองพ่อตัวเองด้วยสายตาอันแข็งกร้าวพร้อมกับเดินเข้าไปเกือบชิดตัวพ่อของเขา
‘พ่อ พ่อจำไว้เลยนะครับ สักวันผมจะขึ้นไปฝั่งเหนือและยึดให้มาให้มันเป็นของผม และผมจะทำให้พ่อรู้ว่า ผมก็ไม่ด้อยกว่ามันไป พ่ออย่าลืมสิครับ ฝั่งตะวันตกตอนนี้ก็เป็นเพราะผมไม่ใช่หรอที่ไปยึดมาได้’ เขาพูดเบาๆต่อหน้าพ่อ และยิ้มมุมปากเพื่อบ่งบอกถึงชัยชนะในภายภาคหน้าที่เขาจะได้รับ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง
‘นายไม่น่าพูดกับพ่อแบบนั้นเลยนะ โคจิโร่’ โคอิจิ น้องชายของตระกูล ยืนพิงประตูและพูดขึ้นเมื่อโคจิโร่เปิดประตูห้องโถงออกมา
‘เฮ้อ’
‘นายก็รู้ว่าพ่อไม่สบายหนัก จะไปยั่วโมโหพ่อทำไม?’
‘แล้วใครที่มาหาเรื่องฉันก่อน?’ โคจิโร่หันขวับมองน้องชายตัวเอง
‘ก็ทำตัวให้มันดีหน่อย อีกไม่นานตำแหน่งผู้นำจะได้เป็นของนายแล้ว แค่ทนอีกหน่อยไม่ได้หรือไง?’
‘พอเถอะ อย่ามาหาเรื่องฉันอีกคนเลย ฉันเหนื่อย อยากพัก’
‘…’ โคอิจิไม่พูดอะไรต่อเพราะเขารู้ดีว่า ถ้าพูดไปได้มีเรื่องกับพี่ชายของตัวเองแน่ๆ และนั่นจะทำมันจะส่งผลกระทบอาการของพ่อให้แย่ลงไปอีก เขาเลยปล่อยให้โคจิโร่เดินจากเขาไป…
เช้าวันใหม่ วันที่ได้ฤกษ์งามยามดีในการสาบานต่อตระกูลเพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในแก๊ง เคนจิมองตัวเองในกระจกที่ในขณะที่เขาอยู่ในชุดสูทสีดำ ที่ทางลุงมากิเตรียมไว้ให้เขา แม่บ้านประจำตระกูลที่ทำหน้าที่เซ็ทผม แต่งหน้าแต่งตา มองเคนจิและยิ้มอย่างอ่อนโยน
‘หล่อเหมือนคุณท่านเลยนะคะ’
‘ไม่หรอกครับ พ่อผมหล่อกว่าอีก’
‘นายท่านครับ!’ เสียงลูกน้องคนหนึ่งดังอยู่หน้าประตู ‘ตอนนี้ทุกคนมาอยู่ที่ห้องโถงหมดแล้วครับ ท่านมากิให้ผมมาตามนายท่านครับ!’
‘เดี๋ยวฉันตามไป’ เคนจิตอบรับและหันกลับมามองแม่บ้านตัวเอง
‘ขอบคุณนะครับคุณน้า ผมขอไปรับหน้าที่นายท่านและผู้นำก่อนนะครับ’
‘ไปคนเดียวแบบนี้ น้าเองก็เป็นหนึ่งในตระกูลของเรานะ ลืมไปแล้วหรอ?’ แม่บ้านวัยกลางคนยิ้มให้เคนจิ
‘ไม่ลืมหรอกครับ มาครับแม่หญิงแห่งตระกูลยามารุ’ เคนจิกางแขนเพื่อให้แม่บ้านเข้ามาคล้องแขนเขา
‘ฮ่าๆๆๆ ไม่เอาสิคะ จะเป็นถึงผู้นำของแก๊งแล้ว มาเล่นแบบนี้ไม่ได้นะคะ ไป ออกไปรับตำแหน่งหน้าที่อย่างภาคภูมิใจกันค่ะ’ หญิงแม่บ้านหัวเราะด้วยความเอ็นดูพร้อมกับเลื่อนบานประตูให้เคนจิเดินออกไป เคนจิไม่รอช้าเขาก้าวเท้าเพื่อตรงไปยังห้องโถงเพื่อทำพิธี
‘สวัสดีครับนายท่านเคนจิ!’ เสียงลูกน้องหลายสิบคนพูดขึ้นเมื่อเห็นเคนจิ บัดนี้เขาหยุดยืนอยู่ตรงทางเขา มองทุกคน เขากวาดสายตามองทุกคนก้มหัวให้เขา จนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ตรงกลางของห้องโถงที่มีลุงมากิกำลังนั่งเหล้าสาเก ลงในจอกกระเบื้องสีขาวเกลี้ยง โดยที่ไม่ต้องบอกเขาเดินเข้าไปด้วยความมั่นใจ และความแน่วแน่เพื่อสืบทอดตำแหน่งนี้
‘ฉันไม่คิดเลยลูกไม้จะหล่นไม่ไกลต้น’
‘ครับ’ เคนจิยิ้มพร้อมกับนั่งคุกเข่าต่อหน้าลุงของเขา
‘เอาล่ะเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ฉันขอประกาศต่อหน้าทุกคนในฐานะตัวแทนของมากาตะที่ตอนนี้ทุกคนรู้ดีแล้วว่าคุณท่านได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไม่สามารถมาทำหน้าที่นี้ต่อได้ เขาจึงสั่งให้ฉันมาทำหน้าที่นี้แทน!’ เสียงอันทรงพลังของลุงมากิ นอกจากจะทำให้แกดูน่าเกรงขามแล้ว ยังดูหนักแน่นทุกคำพูดอีกด้วย
‘และฉันกับมายาตะเห็นแก่การสมควรที่จะยกตำแหน่งผู้นำตระกูลที่เห็นแก่การสมควร ให้กับ เคนจิ ยามารุ นับแต่นี้ต่อไปจะต้องทำหน้าที่และปกป้องทุกคนเหมือนคนในครอบครัว เข้าใจไหมเคนจิ!’
‘เข้าใจครับ!’ ผมเองก็ตอบไปด้วยความมั่นใจและหนักแน่นเช่นเดียวกัน
‘รับนี้ไปซะ เพื่อเป็นการสาบานตนและการเข้ามาเป็นผู้นำของตระกูลต่อหน้าทุกคนที่เป็นเหมือนดั่งลักขีพยานในการประกาศตำแหน่งของหลานวันนี้ จงดื่มให้กับพี่น้องถึงจะต่างเลือดเนื้อเชื้อไขก็อยู่เหมือนดั่งครอบครัว!’ ลุงมากิส่งจอกกระเบื้องให้ผม ผมก้มหัวและรับมันมาถือไว้ทั้งสองมือ ผมมองมันอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกระดกสาเกลงคอจนหมด เมื่อผมดื่มเสร็จก็ชูเจ้าจอกกระเบื้องเหนือหัว
‘เฮ!!!’ เหล่าลูกน้องร่วมฉลองดีใจที่เห็นการทำพิธีนี้และตำแหน่งหน้าที่เป็นของผม
‘วางจอกของหลานลงบนผ้านี่และเก็บไว้ เพื่อเป็นสิ่งย้ำเตือนใจว่า หลานได้เข้ามาเป็นผู้นำและผู้ดูแลของตระกูลแล้วนะ’ ผมค่อยๆวางจอกลงบนผ้าเช็ดหน้าและพับเก็บเรียบร้อยใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ
‘ผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดครับลุง’ พิธีการสาบานตนได้จบลง ถึงจะเป็นเวลาอันสั้นแต่ก็เป็นเวลาอันทรงเกียรติและมีคุณค่ากับผมมาก พิธีช่วงเช้าหมดไป พอตกดึกพวกเราทุกคนก็ร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน
ฝั่งเหนือทำพิธีสาบานตนต่อตระกูลและประกาศผู้นำคนใหม่แล้ว ฝั่งใต้เองก็ทำพิธีีเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เพราะว่าฝั่งใต้รู้ความลับแต่อย่างไร แต่เพราะเป็นเวลาฤกษ์งามยามดีที่ต้องทำ เหตุการณ์จากทั้งสองฝ่ายจึงผ่านไปได้ด้วยดี
‘ผมยินดีที่จะแต่งงานกับลูกสาวของลุงครับ’ ผมไม่รู้ว่า ผมตัดสินใจถูกหรือเปล่าแต่มันคือหน้าที่ ที่ผมต้องทำ เรื่องการแต่งงานมันเรื่องใหญ่ก็จริงแต่เรื่องหน้าที่ก็มาก่อนเสมอ
‘ขอบคุณมากๆนะเคนจิ ผู้นำฝั่งเหนือ ไม่เสียแรงที่ฉันหวังพึ่งเธอเลยจริงๆ’ ลุงนากาว่าลุกขึ้นมาตบไหล่ผมเบาๆ
อยากรู้ใช่ไหมครับว่าทำไมผมถึงตอบตกลงเรื่องที่จะแต่งงาน เพราะหลังจากที่ผมได้ขึ้นเป็นผู้นำฝั่งเหนือ หลังจากวันนั้นผมได้รับสายจากนางพยาบาลว่าพ่อผม อยากเจอผมกับลุง และพอผมไปถึงโรงพยาบาล
‘เคนจิ’ ผมเดินเข้าไปยืนใกล้ๆพ่อ ‘ขอโทษที่กลับมาแล้วเห้นพ่อเป็นแบบนี้นะ’
‘ไม่เลยครับพ่อ’ ผมยิ้มให้กับพ่อ ผู้ชายที่ผมนับถือที่สุดและถือเป็นไอดอลที่เก่งที่สุดของผม
‘ไม่สิ ต้องเรียกว่านายท่านเคนจิแล้วสินะ’
‘ผมก็ยังเป็นลูกของพ่อเหมือนเดิมนะครับ’
‘เฮ้อ…’ จู่ๆสีหน้าจากยิ้มแย้มของพ่อกลับเป็นสีหน้าแห่งความเศร้าทันที ‘ที่พ่อให้เราขึ้นมาแทนที่เพราะอยากให้เราช่วยพอเรื่องหนึ่ง พ่อกับลุงไม่สามารถทำเรื่องนี้เองได้แล้ว และเรื่องนั้นก็คือ ลูกจะต้องแต่งงานกับลูกสาวของเจ้านากาว่า’
‘แต่งงาน?’
‘ใช่ เจ้านากาว่ามันมาขอร้องพ่อก่อนที่พ่อจะล้มป่วยแต่พ่อทำไม่ได้จริงๆ มันน่าเกลียดไปนะถ้าจะแต่งงานกับรุ่นลูก พ่อเองเห็นหนูคานะเป็นลูกสาวคนนึงเหมือนกันและมันไม่ดีแน่ๆ พ่อไม่อยากให้หนูคานะมาดูไม่ดีในสายตาคนอื่น มันเหมือนไม่ให้เกียรติกัน และอีกอย่างเจ้านั่นมันก็เริ่มดูแลฝั่งตะวันออกไม่ไหวด้วยร่างกายที่เริ่มแก่ขึ้น ส่วนลูกสาวเจ้านั่นไม่สามารถดูแลคนเดียวได้แน่นอน ต้องมีคนช่วยดูแล คนที่รู้เรื่องหลบหนีทีไล่ รู้เรื่องธุรกิจแบบนี้’
‘แล้วลูกสาวของลุงนากาว่าเขาตกลงจะทำเรื่องนี้หรอครับ?’
‘ก็คงปฏิเสธไม่ได้ หนูคานะตอบตกลงที่จะทำ’
‘ฉันไม่คิดเลยนะว่าเจ้านั่นมันจะถอดใจไม่อยากดูแลฝั่งตะวันออกแล้ว’ ลุงมากิที่เงียบฟังพ่อพูดก็พูดขึ้น ผมหันไปมองจนลุงมากิมายืนอยู่ข้างๆผม
‘ก็เพราะมันมีบางคนที่เห็นความจุดอ่อนของฝั่งตะวันออกน่ะสิ แกก็น่าจะรู้ดีนะมากิว่าเขาคนนั้นคือใคร?’
‘คู่ปรับแกตั้งแต่เรื่องขโมยของที่เรือสำราญน่ะหรอ? ทั้งนิสัยทั้งหน้าตา ลักษณะท่าทางเหมือนกันอย่างกับแกะ ตอนที่ฉันเห็นครั้งแรกแล้วฉันเหมือนเห็นเจ้านั่นตอนหนุ่มๆเลย’
‘ใช่ แล้วอีกอย่างลูกชายเจ้านั่นก็ร้ายใช่ย่อย ยึดฝั่งตะวันตกได้ก่อนจะออกมาจากหน่วยรบพิเศษ ตอนนี้ฝั่งตะวันตกก็เหมือนสลัมจากแต่ก่อนเป็นแหล่งค้าขายอุดมสมบูรณ์ ตอนนี้กลายเป็นตลาดมืด และพวกทำเรื่องผิดกฎหมายเยอะแยะไปหมด’
‘แถมมันยังยัดเงินให้ตำรวจทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็นเหตุการณ์ด้วยนี่?’
‘ใช่’
‘ทำไมพ่อกับลุงถึงทำให้มันเกิดขึ้นแบบนี้ล่ะครับ ไหนพ่อเคยบอกว่าแก๊งสี่ทิศที่พวกพ่อสร้างขึ้นมาจะไม่แตกแยกกัน แต่ทำไมตอนนี้…’
‘เพราะความโลภ ความทะเยอทะยานที่ไม่มีสิ้นสุด แต่แปลกดีนะ มันกลับได้ดียิ่งกว่าหนูตกถังข้าวสารซะอีก’
‘แล้วถ้าเขาเกิดนึกอยากมายึกฝั่งเหนือล่ะครับพ่อ?’
‘ไม่มีทางอยู่แล้วล่ะ ตราบใดที่ยังมีลุงกับพ่อของเรา อย่าลืมสิเราก็มีกำลังคนต่อกรกับพวกนั้นได้อยู่ เราได้พวกตะวันออกมาแล้วไงล่ะ?’ ลุงมากิพูดยิ้มๆพร้อมกับบุหรี่จะขึ้นมาจุดสูบ
‘เฮ้ยๆ! มากิ ฉันป่วยอยู่นะเว้ย ไปสูบตรงที่เขาให้สูบสิเว้ย!’
‘ฮ่าๆๆๆ คนป่วยแบบแกอย่ามา ตอนแข็งแรงดีสูบซิก้าร์เป็นว่าเล่นเลยนะแก’
‘เฮ้ยนั่นมันตอนวัยกลัดมัน มันก็ต้องเพิ่มพลังสิวะ’
‘พ่อครับ ลุงมากิครับ’
‘…’ ทั้งพ่อและลุงมากิเงียบและมองมาทางผม ‘ถ้ามันเป็นเรื่องครอบครัวผมก็จะทำมันครับ’
‘ดีมาก พ่อภูมิใจในตัวลูกมากๆนะ ฝากด้วยนะนายท่านเคนจิ พ่อเองอยากเห็นลูกแต่งงานมีครอบครัว แต่ไม่ใช่เดินสายนี้ แต่เพื่อธุรกิจพ่อรบกวนด้วยนะ’
‘ครับ’ ผมก้มโค้งให้พ่อ
และวันนี้ก็มาถึง วันที่ลุงนากาว่ามาที่บ้านเพื่อมาคุยเรื่องงานแต่งงานของผมกับคานะ
‘อ้าวเคนจิ’ เสียงลุงนากาว่าดังขึ้นเมื่อเห็นผมแกยิ้ม ‘ไม่คิดว่าโตมาจะหล่อเอาเรื่องแบบนี้นะ’
‘ขอบคุณนะครับ เชิญลุงนากาว่านั่งก่อนนะครับ’ ผมผายมือให้แกนั่งกับเบาะนั่ง ส่วนผมนั่งฝั่งตรงข้าม โดยตรงกลางมีโต๊ะไม้ตั้งอยู่ บนโต๊ะมีชุดน้ำชาวางไว้
‘งั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลยนะเคนจิ ฉันบอกตรงๆฉันไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใครแล้ว เวลาผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยน รุ่นฉัน คนแบบฉันก็เริ่มหนีหายตายจากโลกนี้กันไปหมดแล้ว และตอนนี้ทางฝั่งตะวันออกยังเจอปัญหาการรังควานของคนกลุ่มหนึ่ง ฉันไม่รู้ว่าคนพวกนี้มันมาได้ยังไง แต่ฉันเดาไว้ว่า น่าจะเป็นพวกที่ถูกฝั่งใต้ว่าจ้างมา ธุรกิจส่งออกของฉันเมื่อก่อน ฉันจะเป็นคนตัดสินใจคนเดียวแต่ตอนนี้กลับมีไอ้พวกนี้มา ถ้าตัวฉันคนเดียวมันก็ยังพอสั่งลูกน้องสู้ได้ แต่เพราะฉันมีลูกสาวน่ะสิ ฉันกลัวว่าถ้าฉันไม่ทำให้มันกลัว หรือ ตาย มันต้องมายุ่งกับลูกสาวฉันแน่ๆ’
‘เพราะงั้นลุงเลยมาหาพ่อผมสินะครับ’
‘ใช่ มันมืดแปดด้านไปหมดเคนจิ ฉันได้ยินมาว่า ตอนที่มันยึดฝั่งตะวันตกทำยังไง ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น ฉันไม่อยากทำให้เมืองที่ฉันสร้างมาต้องมาพังลงเพราะความไม่รู้จักพอของฝั่งนั้นนะ’
‘ลุงไว้ใจพวกผมหรอครับ แล้วถ้าวันนึงมันไม่ได้เป็นไปตามที่ลุงคิดไว้’
‘ฉันรู้จักนิสัยพ่อเราดีเคนจิ และฉันไว้ใจพ่อของเรามากนะ ไม่งั้นฉันไม่ถ่อมาเองถึงที่นี่หรอก’
‘ครับ’ ผมนั่งฟังพร้อมกับรินชาให้แกไปด้วย
‘จริงสิ เราก็น่าจะพอรู้แล้วใช่ไหมว่า ที่ฉันมาเพราะเรื่องอะไร ฉันอยากจะถามว่า เราน่ะมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาบ้างหรือยัง’
‘แค่กๆๆๆ ขะ…ขอโทษครับ’ ผมถึงกับสำลักน้ำชาออกมาทันทีเมื่อลุงนากาว่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
‘ฮ่าๆๆ เดาไม่ผิดจริงๆ ยังไม่มีสินะ ฉันเหมือนได้โชคสองเด้งเลยแหะ ถ้างั้นโปรดรับลูกสาวฉันไว้ให้เป็นคู่ชีวิตด้วยเถอะนะเคนจิ ลุงขอร้องได้หรือเปล่า ลุงไม่อยากให้ใครมารังแกลูกของลุง ลุงไม่อยากให้ตระกูลของลุงหายไป’
‘…’ ผมมองคุณลุงพลางจิบชาไปด้วย ตอนแรกที่คุยกับพ่อและลุงมากิดูมันเหมือนง่ายนะครับแต่พอมาคุยกับลุงนากาว่าตรงๆ กลับเป็นเรื่องหนักอย่างบอกไม่ถูก
‘อย่างแรกเลยคือลุงต้องขอโทษที่ไม่ได้พาคานะมาเพราะ ลูกของลุงติดงานเดินแบบที่บราซิลเลยมาไม่ได้ เรื่องนี้ลุงได้คุยกับลูกไว้แล้ว ลูกของลุงตอบตกลงที่จะแต่งงานนะ แต่อย่างว่าเรื่องนี้มันเรื่องใหญ่ลุงไม่อยากบังคับเราหรอก ถ้าเราปฏิเสธ ลุงจะส่งคานะไปอยู่ที่ไกลๆ ไม่ให้ใครสามารถหาเธอเจอ ลุงรู้ว่านี่มันก็เหมือนการคลุมถุงชน ลุงเองก็อยากเห็นลูกสาวของลุงในวันแต่งงาน ถ้าได้แต่งกับคนที่คู่ควรลุงจะได้นอนตายตาหลับ’
‘ผมยินดีที่จะแต่งงานกับลูกสาวของลุงครับ’ ผมไม่รู้ว่า ผมตัดสินใจถูกหรือเปล่าแต่มันคือหน้าที่ที่ผมต้องทำ ขนาดลูกสาวของลุงยังทำ แล้วทำไมผมจะทำมันไม่ได้ ถึงแม้เรื่องการแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่ก็จริงแต่เรื่องหน้าที่ต้องมาก่อน เหตุผลของการแต่งงานสำหรับคนอื่นอาจจะเป้นที่คนสองคนรักกัน ตกลงปลงใจ แต่สำหรับผมกับลูกสาวของลุงนากาว่ามันคือ ธุรกิจ และการปกป้องเพื่อสิ่งที่เรารักกับคนที่เรารัก ผมคิดว่าเธอก็คิดแบบเดียวกันกับผม
‘ขอบคุณมากๆนะเคนจิ ผู้นำฝั่งเหนือ ไม่เสียแรงที่ฉันหวังพึ่งเธอเลยจริงๆ’ ลุงนากาว่ามีสีหน้าที่แจ่มใสขึ้นมาทันทีจนกระทั่งตอนเที่ยงลุงนากาว่าขอตัวกลับก่อน เพื่อดำเนินเรื่องงานแต่งต่อไปและจะติดต่อมาทางผมอีกที
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!