NovelToon NovelToon

ใครฆ่าผีเยลลี่

ตอนต้น

“ราม”

“อาหารไม่อร่อยหรือคะ”

ข้าวหน้าปาท่องโก๋ทอดอาจจะดูเป็นเมนูแปลกๆ แต่เลิศรสสำหรับผม ตอนนี้มีร่องรอยพร่องไปเพียงแค่หน่อยเดียว แน่นอนว่าปกติผมต้องกินหมดไม่เหลือ ‘เฟิร์น’ เพื่อนสาวคนเดียวในกลุ่มมองผมสลับกับข้าวในจานไปมาอย่างสงสัย หล่อนวางช้อนบนจานตรงหน้า จานที่เคยมีข้าวผัดกะเพราหมูกรอบไข่ดาวประทับอยู่ได้ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่โรงอาหารคณะนิเทศศาสตร์ของมหาลัยชื่อดังย่านชานเมือง เพื่อใช้เวลากับมื้อเที่ยงก่อนจะเข้าเรียนวิชาถ่ายรูปช่วงบ่าย

“เฮ้อ...น่าเบื่อ” ผมทำท่าเคี้ยวอากาศไปหนึ่งที “ฉันไม่ได้เป็นอะไร”

“ที่รัก ไม่ต้องไปยุ่งกับเจ้ารูปปั้นนี่หรอก มาสนคนหล่อๆ แบบมาริโอ้ดีกว่า” ปกติผู้หญิงสวยๆ ต้องคู่กับผู้ชายหล่อๆ ไม่ก็เก่งๆ แต่สงสัยของเฟิร์นคงเป็นข้อยกเว้น ‘เดลต้า’ เพื่อนชายที่รู้จักกับผมมาตั้งแต่มัธยม ควบตำแหน่งแฟนของเฟิร์น เขากำลังเอามือเสยผมด้วยความมั่นอกมั่นใจในความหล่อ เฉพาะเที่ยงนี้ผมเห็นเดลต้าเสยผมประมาณแปดรอบแล้วมั้ง จริงๆ แล้วผมไม่ได้เบื่ออาหารอะไรหรอก ก็แค่...

“นี่ๆ ราม ข้ารู้ว่าเจ้าได้ยินข้า เจ้าช่วยข้าเถอะนะ นะๆๆๆๆๆ” ก้อนวิญญาณสีฟ้าอ่อน ทรงกลมขนาดเท่าลูกบอลเด้งดึ๋งๆ อยู่กับที่ข้างๆ ขา ไม่รู้ว่าเป็นวิญญาณหรือจิงโจ้โดดเก่งเหลือเกิน แถม...ตื๊อเก่งด้วย ถ้าผมปิดเสียงน่ารักๆ ของไอก้อนกลมๆ นี่ได้ ผมจะทำทันที ‘พีท’ วิญญาณเร่ร่อนที่ตามผมไปทุกที่มาสี่ห้าวันแล้ว ทุกที่แม้แต่ส้วม เป็นตัววุ่นวายแถมยังชอบมาโวยวายใส่กันอีก

“ราม รามเป็นอะไรเหรอคะ ให้เฟิร์นป้อนไหม”

“ไม่เอานะที่ร้ากกก โอ๊ย เจ็บไปทั้งหัวใจ ทำไมยังทน ฮือๆ”

เพี้ยะ! ฝ่ามือเมียสุดที่รักของเพื่อนฟาดกลางกระหม่อมเพื่อนรักวัยมัธยมดังสนั่น

“ที่ร้ากกก เค้าเจ็บนะ แต่ที่ใจเจ็บที่สุด”

“ราม!” เสียงเจ้าก้อนกลมคำรามสุดเสียง “อย่าเมินข้านะ”

เจ้าก้อนสีฟ้างอแงโดดดึ๋งๆ ไปทั่วโรงอาหารเพื่อให้ผมสนใจ ที่คิดว่าเหมือนจิงโจ้ คงไม่เกินจริง พอถูกเมินทีไรก็เด้งดึ๋งๆ ไร้ทิศทางแบบนี้ตลอด ถ้าคนอื่นมองเห็นเจ้าก้อนนี่ ต้องจับมันไปแสดงโชว์งานวัดเก็บเงินซื้อกล้วยแขกแน่ๆ

เฮ้อ น่าเบื่อ

“ราม อย่าเมินข้านะ”

ปึง

เสียงปิดประตูดังเป็นสัญญาณระฆังว่าให้นักมวยเริ่มชกได้ ผมเตรียมเอามืออุดหู

“รามๆๆๆๆๆ ราม!”

ไอตัวก้อนๆ ที่เด้งไปกำแพงด้านขวาทีด้านซ้ายที ชนโคมไฟบ้าง ชนแก้วน้ำบ้าง จริงๆ มันก็ดูน่ารักดีนะ ถ้าไม่นับเรื่องที่ชอบโวยวายกับติดดื้อไปหน่อย แต่เจอแบบนี้ซ้ำๆ ทุกวันบางทีก็ไม่ไหว น่าเบื่อ โชคดีที่เขาเป็นผีโวยวายแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยิน (ยกเว้นผม) เรื่องที่ว่าถ้าวิญญาณมีห่วงจะไปเกิดไม่ได้ผมก็พอจะเคยได้ยิน แต่วิญญาณที่เป็นก้อนกลมๆ เหมือนเยลลี่ก็เพิ่งเห็นนี่แหละ ยังไงก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องของผม

เมื่อสี่ห้าวันก่อน ผมไปถ่ายรูปที่โกดังเก็บของพวกชมรมเกษตรด้านหลังมหาลัยแล้วเจอเจ้าก้อนกลมๆ นี่ดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ข้างถุงปุ๋ยเหมือนหมาชิสุโดนทิ้ง เห็นแปลกๆ นิ่มๆ ก็เลยเอานิ้วไปจิ้มๆ ดู ไม่คิดเลยว่าอามรมณ์ชั่ววูบ ไม่สิ ชั่วเสี้ยววินาทีในตอนนั้น จะนำพาเจ้าจิงโจ้มาสู่ห้องนอนในวันนี้

เรื่องที่มีวิญญาณตามมาอยู่ด้วย ผมไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ ถึงผมจะไม่ค่อยถูกกับสิ่งที่มองไม่เห็นสักเท่าไหร่ก็เถอะ แต่เรื่องที่คอยตามตื๊อทั้งที่คอนโด ในห้องเรียน ที่โรงอาหาร ในรถยนต์หรือแม้แต่ในส้วม ดูท่าจะน่าเบื่อเกินไปหน่อย ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยไล่หรอกนะ แต่พอผลักไสเมื่อไหร่ เจ้าก้อนนิ่มก็จะโดดดึ๋งๆ อยู่กับที่ประท้วงแล้วก็บอกว่าผมใจร้ายๆ ทั้งวันทั้งคืน ก็แอบน่าสงสารเหมือนกัน ทั้งที่พีทเป็นวิญญาณอิสระแท้ๆ แต่แทนที่จะมาใบ้หวยเหมือนผีต้นกล้วย ดันมาขอให้ช่วยซะได้ นี่ถ้ามาเป็นแบบให้ผมช่วยถ่ายรูปให้ก็ว่าไปอย่าง

ผมนั่งเช็ดเลนส์กล้องบนโซฟาในห้องรับแขกไปพลางคิดเรื่องวุ่นๆ ในหัวไปด้วย อย่างเช่น การตายของพีทอาจจะดูน่าสงสัยหรือมีเงื่อนงำมาก ไม่งั้นพีทคงสืบเองและไปเกิดแล้ว ยังไงก็แล้วแต่ มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับผมอยู่ดี ผมเอาเวลาไปนั่งเช็ดเลนส์กล้อง แล้วเตรียมออกไปถ่ายรูปสวยๆ ฝึกฝีมือดีกว่า การตายของพีทผมรู้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้ผมสร้างชื่อเหมือนพ่อได้ อีกอย่าง ต่อให้ผมไม่ช่วยสืบเรื่องนี้เดี๋ยวพีทก็คงไปหาคนอื่นให้ช่วยได้อยู่ดี

“ราม! ถ้ารามไม่ช่วยข้า ข้าจะ... ข้าจะเล่นงานเจ้า”

หึ เล่นงาน? อยากจะเด้งไปชนอะไรก็ตามใจ น่าเบื่อ...

วันต่อมา

แสงอาทิตย์อ่อนๆ ยามเช้าส่องลอดบานกระจกเข้ามากระทบผิวหน้า ผมที่ไม่เคยตั้งนาฬิกาปลุกสักวันก็ยังตื่นเช้าทันไปเรียนเช่นเดิม แม้ตอนนี้ผมรู้ว่าทันทีที่ผมลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ ห้อง จะต้องเห็นพีทเด้งดึ๋งๆ ดึ๊บๆ อยู่ตรงไหนสักที่ ผมก็คงไม่ตกใจแล้ว การตายของพีท พีทบอกว่าตัวเองจำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าตายตอนไหนด้วยซ้ำ เลยมาขอให้ผมช่วย แต่ผมไม่ช่วยแน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นวันนี้ต้องไล่พีทออกไปให้ได้ ถ้าไม่สงสารอีกอะนะ

ผมกวาดตามองไปรอบเตียงและแน่นอนว่า ผมเห็น.....

“อ๊ากกกกก คุณเป็นใคร”

ผมขยี้ตาตัวเองสองสามทีจนมั่นใจว่าสายตาผมยังไม่ได้ฝั่นเฟือน ผู้ชายเตี้ยๆ อ้วนๆ เหมือนโก๊ะตี๋ ในชุดเสื้อลายดอกนี่มันเป็นใครกัน ตกใจนะเนี่ย จู่ๆ ตื่นมาก็มีไออ้วนที่ไหนไม่รู้มายืนจ้องหน้าอยู่ปลายเตียง นี่ผมต้องแจ้งความหรือแจ้งยามก่อนดี

“ท่านยมๆ นี่แหละคนที่ข้าเล่าให้ฟัง ชื่อราม” เจ้าก้อนสีฟ้าเด้งดึ๋งๆ มาจากข้างซอกโต๊ะแคบๆ หลังผ้าม่าน พีทโดดขึ้นมาบนเตียงแนะนำผมให้กับแขกไม่ได้รับเชิญ ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่ใช้สายตาพิฆาตส่งไปหาเจ้าก้อนเยลลี่เป็นเชิงถามและดุในที

“แหะๆ อรุณสวัสดิ์ราม เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าแค่พาคนรู้จักมานิดหน่อย” ผมส่งสายตาดุซ้ำ “นี่คือ ท่านยม ยมทูตในอานาเขตแถวนี้”

อืม...ยมทูต

ห้ะ

“ผะ...ผี ว๊ากกก!”

ผมกระถดตัวไปข้างหลังให้แผ่นหลังชิดหัวเตียงภายในพริบตา เจ้าก้อนวิญญาณกับผีแปลกหน้ากำลังคุยกันสนุกสนานร่าเริงอยู่ปลายเตียง พีทที่เพิ่งโดดขึ้นมาบนเตียงเมื่อสักครู่นี้ เจ้าตัวกำลังทำหน้าที่ ต้อนรับแขกเป็นอย่างดี ยมทูตที่บุกเข้ามาให้ห้องผม หน้าตาดูเหมือนคนแก่กว่าผมได้ประมาณ 5 ปี แต่ส่วนสูงดูจะเป็นเด็กมัธยมต้นเท่านั้น เขาเป็นผี ผมเป็นคน จริงๆ แล้วเขาอาจจะอายุมากกว่าผมเป็นพันปีก็ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเอาหัวข้อเรื่องสถานะ อายุหรือส่วนสูง ดูเหมือนเจ้าก้อนสีฟ้าจอมสร้างปัญหาจะแพ้ราบคาบทุกทาง

ผมหน้าเสีย เหงื่อเม็ดเล็กเม็ดใหญ่ผุดตามกรอบหน้า แม้อุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศจะไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น ทันทีที่เห็นว่าผีทั้งสองหยุดบทสนทนาแล้วหันมามองทางนี้ หัวใจก็เต้นด้วยความเร็วเกินพันครั้งต่อวินาที นานมากแล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้

ตั้งแต่ตอน 6 ขวบ ที่แม่ชอบบอกว่า ผมโดนผีตามไปทุกที รอบๆ ตัวผมมีแต่ผี และเมื่อไหร่ที่ผมดื้อ ผมขี้ขลาด ผีพวกนั้นก็จะพาคนรอบๆ ตัวผมจากผมไป ถึงผมจะไม่เคยเห็นผี แต่ผมก็ไม่เคยแสดงความหวาดกลัวออกมาเท่านี้มาก่อน คงไม่มีใครอยากเสียคนรอบตัวไปหรอก

“ฮ่าๆๆๆ ดูเหมือนเพื่อนเจ้าจะกลัวเจ้าไม่เลิกนะ” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยอย่างชอบใจ

“ข้าว่ารามน่าจะกลัวท่านมากกว่านะ”

คนทั่วไปเจอผีอาจจะวิ่งหนีขนหัวตั้งไปแล้ว แต่ที่ผมยังนั่งมองผีถึงสองตนสนทนากันตรงหน้าระยะนี้ได้ บอกจากใจ ขามันก็แข็งจนก้าวไม่ออกแล้ว! ‘ท่านยม’ เพื่อนของพีทคนนี้ ช่างไม่น่าคบค้าสมาคมด้วยเสียจริง ยัง ยังจะมองมาทางนี้อีก เขาหายตัวขึ้นมาโผล่บนเตียงในเสี้ยววินาที ตอนนี้บนสังเวียน ไม่ใช่สิ บนเตียงมีผมเจ้าของห้องนั่งเบิกตาโพลงเหมือนไข่ห่าน กับผีสองตนที่นั่งตรงปลายเตียงในระยะน่าพิศวง ตอนนี้ขนหัวผมมันคงตั้งตระหง่านโดยไม่ต้องพึ่งเจลเลยล่ะ

“เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ ฮ่าๆ เจ้ามนุษย์ราม ข้ามีเรื่องให้เจ้าทำ” ยมทูตในชุดลำลองนั่งลงท่าขัดสมาธิ กอดอกออกคำสั่ง

“เรื่องให้ทำ?” ผมพยายามหายใจช้าๆ ปรับอุณหภูมิในร่างกายให้เป็นปกติ บังคับมือตัวเองที่กำผ้าห่มแน่นไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้

“ใช่แล้ว เจ้าต้องเผากระดาษเงินให้ข้า” เสียงเข้มเน้นคำว่า เจ้า ให้รู้ว่าราชสีห์อย่างเขามีอำนาจขนาดไหน และแน่นอนว่า ผลลัพธ์ที่ออกมา คือความน่าเกรงขาม และ…เดี๋ยวนะ

กระดาษเงิน?

เจ้าผีตัวนี้ บ้าไปแล้วสินะ มาขอใช้คนอื่นหน้าตาเฉย ผมละสายตาจากผีแปลกหน้าหันไปหาไอเจ้าก้อนสีฟ้า ตัวการ...

“แหะๆ ก็แหม ช่วงนี้ท่านยมพักร้อนอยู่นี่ครับ ช่วงพักร้อนก็ต้องใช้เงินเยอะใช่ไหมล่ะครับ ทีนี้พอเงินไม่พอ...”

“พอเงินไม่พอก็เลยบอกให้มาหาฉันงั้นสิ” ผมหันไปตวาดเจ้าก้อนเยลลี่ในทันที สายตาแสดงความไม่พอใจ มันน่าจับเยลลี่ก้อนนี้ไปบี้ไปบดให้เป็นก้อนเละๆ เหมือนหมูสับจริงๆ หรือจะเอากล้องสะกดวิญญาณมาถ่ายไว้ดีนะ มันน่าตีจริงๆ

“แหะๆๆ”

สีหน้าของเจ้าก้อนดูสำนึกผิดนิดๆ เฮ้อ น่าเบื่อ ผมนั่งเคี้ยวอากาศไปหนึ่งที ความกลัวเริ่มคลายลง แต่ถึงความกลัวจะเริ่มคลายลง ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะต้องไปผูกมิตรกับยมทูตซะหน่อย

“...ดึ๋ง....ดึ๋ง...ดึ๋ง...” พีทโดดดึ๋งๆ อยู่กับที่และมองมาที่ผม รู้สึกได้ถึงสายตาอ้อนวอนปิ้งๆ เลย

“เฮ้อ...น่าเบื่อ” ผมเคี้ยวอากาศกร้วมๆ ก่อนจะยื่นคำขาด “ไม่ มาทางไหนกลับไปเลย”

“อะไรนะ เจ้ามนุษย์นี่อยากตายใช่ไหม” คนฟังตาเขียวปั๊ดทำทีท่าถกแขนเสื้อขึ้นลอยมาหาผม ผมเบิกตาโพลง สมองคิดหาทางหนีทีไล่ แต่ไม่ทันถึงตัวก็มีเจ้าก้อนกลมขวางไว้

“ใจเย็นๆ นะครับท่านยม”

ผมกลับมาสงบจิตใจได้อีกครั้ง ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึง ครึ่งชม.ก็ได้เวลาไปมหาลัยแล้ว ปล่อยเรื่องไร้สาระแล้วไปทำหน้าที่ของตัวเองดีกว่า วันนี้มีคลาสถ่ายรูปด้วย

“เฮ้อ คุยกันเสร็จแล้วก็กลับไปด้วยล่ะ” ผมเดินลงจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ เตรียมอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนด้วยสีหน้าเบื่อโลก ถ้าออกมาแล้วไม่เจอผีคู่นี้คงจะดีมาก นี่ชีวิตผมมันคงโดดเดี่ยวเกินไปสินะ ฟ้าถึงได้ส่งความวุ่นวายมาให้

“ราม นั่นลูกจะไปไหน”

เสียงใสดังออกมาจากในครัว หญิงสาวในชุดแม่บ้านกับผ้ากันเปื้อนยืนคนข้าวต้มมื้อเช้าเหมือนทุกวัน เขาส่งรอยยิ้มหวานมาให้เด็กชาย บ้านสองชั้นสไตล์ยุโรปหลังหนึ่งมีครอบครัวพ่อแม่ลูกที่สมบูรณ์และอบอุ่นอาศัยอยู่ เด็กชายรูปร่างสมส่วนวัย 6 ขวบ วิ่งลงจากชั้นสองมุ่งหน้าไปทางประตูบ้าน

“ผมจะไปหาคุณพ่อครับ” เด็กชายตอบเสียงเจื้อยแจ้ว

“คุณพ่อไปทำงานที่สิงคโปร์ไงจ๊ะ เพิ่งบินไปเมื่อเช้านี้เอง” หญิงสาววางทัพพีก่อนจะค่อยๆ เดินมาหาลูกชายสุดที่รัก

“ครับ ผมรู้ ผมจะไปให้คุณพ่อสอนถ่ายรูป ผมจะเก่งเหมือนคุณพ่อ”

“จ้าๆ คนเก่ง” หญิงสาวลูบหัวลูกชายไปมา “แต่ก่อนอื่น คนเก่งของแม่ต้องไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปเรียนก่อนนะจ๊ะ”

“คุณแม่บอกว่าห้องน้ำมีผี ผะ…ผมไม่อาบได้ไหมครับ” เด็กชายหลบสายตามองพื้นตอบ

“ชู่ววว…อย่าให้คุณผีรู้นะจ๊ะ ว่าลูกกลัว ไม่งั้นคุณผีอาจจะไม่ให้พวกเราเจอคุณพ่ออีกน้า ลูกรีบไปอาบน้ำ รีบออกมาทานข้าวนะจ๊ะ คุณผีจะได้ไม่สงสัย”

ซ่า

สายน้ำที่ไหลผ่านร่างเหมือนพาเรื่องราวในอดีตให้กลับมาอีกครั้ง ผมตั้งสติปีดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป

กริ๊งๆ

(ฮัลโหลๆ ไอรูปปั้นอยู่ไหนฟร้ะ เอ้กับไอตองกลับมาจากค่ายแล้วนะเว้ย)

“อืม รู้แล้ว”

(เฮ้ย มีปากก็พูดให้เยอะๆ หน่อยสิเว้ย นี่แก@#$#@)

“กำลังแต่งตัว เจอกัน”

(เฮ้ย อย่าเพิ่งวางสายนะเฟ้ย!...ติ๊ด)

“รามเนี่ย ไม่เข้าสังคมเลยนะ”

พีทที่ฟังตั้งแต่ต้นเอ่ยทักก่อนจะโดดดึ๋งๆ ตามผมเหมือนลูกแมว ผมมองพีทที่โดดตามได้แว๊บเดียวก็หันไปหยิบโน่นนี่แต่งตัวเตรียมไปมหาลัยต่อ จริงๆ พีทน่าจะตามยมทูตนั่นไปนะเนี่ย ทำไมยังอยู่ตรงนี้อีก ยมทูตนั่นก็เช่นกัน ตำแหน่งก็ดีทำไมไม่มีตังค์ล่ะเนี่ย ว่าแต่ ผีต้องใช้ตังค์ด้วยหรือ ช่างเถอะจะผีหรือพีทผมก็ไม่ช่วยทั้งนั้น ยิ่งมาตามเกาะติดแบบนี้ยิ่งไม่อยากช่วย

ผมสะพายกระเป๋ากล้องตัวแพง เดินนิ่งๆ เข้าไปในโรงอาหาร วันนี้อากาศเย็นๆ แดดไม่มี ดูทรงแล้ววันนี้น่าจะมีฝน ผมไปที่โต๊ะประจำในโรงอาหารตึกนิเทศ จากนั้นก็วางกระเป๋าไว้ข้างๆ ที่นั่ง เจ้าก้อนสีฟ้าโดดดึ๊บๆ ไปแหมะอยู่บนกระเป๋าอีกที ในตอนที่ผมกำลังจะนั่งลงกับโต๊ะนั่นเองที่อยู่ดีๆ ตาขวาก็กระตุกดิ๊กๆๆ

“ท่านรามคร้าบบบ”

ฝ่ามือเล็กๆ กระโจนมากอดผมจากทางด้านข้างพร้อมเสียงใสๆ ‘ใบตอง’ ชายตัวเล็กรูปร่างผอมแห้งที่ผมบังเอิญไปช่วยสอนการบ้านด้วยความสงสาร ไม่สิ ด้วยความบังเอิญเมื่อปีที่แล้ว กลายมาเป็นเอฟซีและเป็นเพื่อนร่วมแก๊งตั้งแต่นั้นมา

สีหน้าของทุกคนในโรงอาหารแสดงความอยากรู้อยากเห็น สายตาเพ่งเล็งมาที่ผมกับลิงชิมแปนซีที่เกาะหนึบด้านหลังอยู่ในขณะนี้เป็นตาเดียว ขอร้องนะ พวกสาววายทั้งหลาย ผมรู้ว่าพวกคุณคิดอะไร แต่มันไม่ใช่ ไม่ใช่ และไม่ใช่ลูกเดียว อย่าใช้ความคิดทำร้ายผมเช่นนั้นเลย

สำหรับผมตอนนี้ถ้าจะให้เปรียบเทียบผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นแม่ลิง หรือไม่ก็เป็นเจ้าของสุนัขสักตัวที่พลัดพรากกันมานาน สะบัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุด ตอนนี้เลยยืนนิ่งๆ รอการหลุดพ้น เจ้าลูกลิงกอดผมสักพักก็กระโจนไปนั่งฝั่งตรงข้ามผม เบียดเดลต้าที่นั่งอยู่ก่อนตกเก้าอี้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับก้นช้ำๆ และเสียงบ่นอุบของเจ้าคนหล่อขี้โวยวายประจำกลุ่ม ทั้งยังทำตาประกายวิบวับส่งมาทางนี้ภายในพริบตา ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พีทที่อยู่ข้างๆ ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ผมตามไม่ทันแต่รู้สึกเหมือนเห็นใบตองกระดิกหางได้เลย

“เหมือนเห็นหมาเจอเจ้าของเลย” เฟิร์นแซว

“ใช่ ที่รัก เหมือนเห็นหางสะบัดไปมาด้วย” ทั้งสามคนพยักหน้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

ที่บอกว่าสามคนเพราะกลุ่มของผมจริงๆ แล้วมีห้าคนครับ ได้แก่ ผม เดลต้า เอ้ เฟิร์น และใบตอง ‘เอ้’ ชายรูปหล่อ บ้านรวย ดีกรีเดือนมหาลัยและอดีตนักบาสมหาวิทยาลัยปีที่แล้ว หันมองทางนี้แต่มือทั้งสองข้างยังคงประกบกับแป้นพิมพ์โน๊ตบุ๊คด้วยความเร็วในการพิมพ์ที่เรียกได้ว่า เหนือมนุษย์ ก็นะ เป็นนักธุรกิจของแท้เลยล่ะ แม้แต่อยู่ในโรงอาหารแบบนี้ ก็ยังปั่นหุ้นเหมือนอยู่ที่บ้านได้

“ท่านราม ผมมีของมาฝากด้วยครับ นี่” ใบตองยื่นด้ายสีแดงเส้นหนึ่งมาให้

“อะไร” ผมถาม

“น่ารักจัง ทำไมไม่เห็นมีของฉันบ้างเลย” เฟิร์นโอด

“ตอนที่ผมไปค่าย เจอหมอดูคนหนึ่งแม่นมากๆ เลยครับ ถามอะไรไปหลายอย่าง”

“ถามถึงคนหล่อๆ แบบกูบ้างรึเปล่า” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอที่เสยผมถามอยู่นี่ใคร

“คุณเป็นใครหรือครับ”

ใบตองทำหน้ามึนแม้จะถูกคนฟังแยกเขี้ยวใส่ไม่จริงจังนัก ผมมองเฟิร์นนั่งขำ กับ เอ้ที่ยังคงสนใจแต่แท่งเขียวแดงในจอ ที่เอ้เคยบอกว่า ความผิดพลาดอย่างเดียวในชีวิตคือการเข้ามาอยู่กลุ่มนี้ สงสัยจะไม่เกินจริง ผมว่าบางทีอาจไม่ใช่แค่เอ้นะที่รู้สึกว่าตัวเองหลงมาอยู่ผิดกลุ่ม

จริงๆ ผมว่ากลุ่มนี้เกิดขึ้นแบบงงๆ ผมรู้จักกับเดลต้าเพราะตอนเรียนมัธยมเคยไปขอให้เดลต้ามาเป็นแบบถ่ายรูปให้ (ช่วงฝึกถ่ายรูปเข้ามหาลัย) แค่ชมว่าหน้าตาดีก็มาเป็นแบบให้ฟรีๆ จากนั้น เฟิร์นกับใบตองก็ตามมาเป็นสมาชิกคนที่สามของกลุ่มส่งคนสุดท้ายที่มางงๆ เพราะโดนจับกลุ่มทำรายงานด้วยกันก็คือเอ้ (ไม่รู้ทำไม งานคู่หรืองานกลุ่ม อาจารย์ก็มักจะจับเอ้กับเดลต้าทำด้วยกัน) จนสุดท้ายก็มาเป็นกลุ่มแก๊งอย่างทุกวันนี้ สาวงาม คนหลงตัวเอง เด็กเล็ก นักธุรกิจ และรูปปั้นอย่างผม แต่ถึงจะดูไม่เข้ากันแต่ถ้าใครในกลุ่มมีเรื่องเดือดร้อน เราก็ไม่เคยทิ้งกัน

“ข้าเคยได้ยินว่าด้ายแดงจะเชื่อมวิญญาณสองดวงไว้ด้วยกัน” เจ้าก้อนกลมกระโดดขึ้นมาทำตัวยืดๆ หดๆ โยกไปโยกมาบนตักผม ท่าทางจะสนใจด้ายในมือมาก

ปกตินอกจากเฟิร์นที่ดูจะมูเตลูที่สุดในกลุ่มก็ไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องแบบนี้หรอก แต่….ผมมีลางสังหรแปลกๆ หรือผมจะเจอตัวแปลกๆ มากไป คงติดอาการคิดมากมาจากเดลต้าแน่ๆ ไม่สิ รายนั้นไม่ใช่คิดมาก แค่คิดเข้าข้างตัวเอง

“มีอะไรแปลกด้วยครับท่านราม”

“อะไรแปลก”

“ก็หมอดูคนนี้เขาใบ้หวยไม่ได้น่ะสิครับ” ใบตองบอกด้วยน้ำเสียงเชิงกระซิบทำให้ทุกคนตั้งใจฟังกันมาก (ยกเว้นเอ้) แต่ผมก็ลืมไปว่านี่มันใบตอง จะไปถือสาหาความอะไรกับมัน เคยเป็นโล้เป็นพายอะไรกับเขาที่ไหน ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนนี้ทุกคนถึงร้องโอ๊ยออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน ขนาดพีทที่โดดขึ้นมาฟังบนโต๊ะเมื่อกี้ยังร้องโอ๊ยเลย

“เฮ้อ น่าเบื่อ” ผมมองใบตองไปเคี้ยวอากาศไปสีหน้าบ่งบอกว่า นึกไว้แล้ว

“อย่าเพิ่งเบื่อสิครับท่านราม มีเรื่องที่สุดยอดด้วยนะ”

“ทำไม จะบอกว่าหมอดูหล่อกว่ากูเหรอ” เดลต้าบอก

“อันนั่นแน่อยู่แล้ว”

“โฮ่ ที่รักอ่า”

“ฮ่าๆ หมอดูเป็นผู้หญิงครับ”

“อ้าว” อันนี้อ้าวพร้อมกันทั้งเดลต้าและเฟิร์นเลย

“คือผมถามเรื่องท่านรามไปเยอะมากเลยครับ แต่สงสัยดวงท่านรามจะพิเศษมากจริงๆ หมอดูบอกแค่ว่า ชะตาลิขิต แล้วก็เอาด้ายแดงให้ผมนี่แหละครับ”

สีหน้าใบตองดูงงจริงจังมาก ผมว่าหมอดูก็คู่กับหมอเดานั่นแหละ ถ้าแม่นจริงรู้ทุกอย่างบนโลก คงนอนสบายบนกองเงินกองทองแล้วล่ะ งั้นไอของแบบนี้ก็คงไม่ต่างจากของหลอกเด็ก ของหลอกเด็กก็ยกให้เด็กแล้วกัน

“เขาเอาให้ตองแหละ” ผมส่งด้ายแดงคืนให้ แต่ใบตองบอกว่าไม่ใช่ของใบตองแน่นอนและให้ผมเก็บไว้แทน

คุณเคยเห็นกีฬาชักเย่อไหม ผมกับใบตองกำลังเป็นแบบนั้นเลย เพียงแต่ไม่ได้ดึงเข้าหาตัวแต่เป็นผลักไปไกลๆ เจ้าก้อนสีฟ้าที่เป็นกรรมการตรงกลางวง ก็เอนตัวตามเส้นด้ายแดง ยืดๆ หดๆ โยกไปทางซ้ายทีทางขวาที นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย งั้นดึงๆ ให้ขาดเลยแล้วกัน เอาล่ะ ดึง~~

“โอ๊ย ของดีแท้ๆ เกี่ยงกันอยู่ได้ เอามานี่มา” เฟิร์นอาสาก่อนจะเอื้อมมือมาฉกของกลางไป

“เฟิร์น เอามานี่นะ นั่นของพี่ราม”

ผมละความสนใจจากสงครามเด็กแย่งของเล่นนี้ เพราะระหว่างที่เฟิร์นกับใบตองกำลังต่อสู้กันอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงรถกู้ภัยจำนวนมากขับผ่านหน้ามหาลัย เสียงดังระรัวราวกับมีคดีสังหารหมู่เกิดขึ้นย่านนี้ ผมนั่งลงข้างๆ เอ้ พร้อมกับตาขวาที่กระตุกหยิกๆ ลางไม่ดีแล้วสิ

“อืม แม่นจริงๆ ด้วย” คราวนี้ไม่ใช่เฟิร์นหรือเดลต้า แต่เป็นเอ้ที่หยุดมือจากแป้นพิมพ์เอ่ยขึ้นมา

“อะไรแม่นหรือ” ผมถาม

“หมอดู...”

“ฮึ๋ย มึงไปอยู่ไหนมาราม เขาแชร์กันให้ทั่วมหาลัย” แน่นอนว่าเดลต้าไม่ปล่อยให้ใครสนใจเอ้มากกว่าตัวเอง” ก็หมอดูที่เพิ่งมาเปิดร้านหน้ามอเราไง โคตรแม่น วันนี้เปิดร้านวันแรก แม่งก็ทำนายว่าจะมีคนตายเป็นสิบเลยเว้ย”

“ใช่ๆ แล้วก็มีคนตายจริงๆ ได้ยินเสียงกู้ภัยแล้วเฟิร์นยังขนลุกเลย”

“ข่าวออกแล้ว” เอ้พูดขึ้นพร้อมกับหันหน้าจอโน๊ตบุ๊คมาให้พวกเราดู

ผมมองหน้าจอด้วยรูม่านตาดำที่หดเหลือนิดเดียว ร่างกายรู้สึกชาวาบ เปลือกตาไม่สามารถกะพริบหรือขยับได้ชั่วขณะ ภาพกู้ภัยขนศพในผ้าขาวลงบันไดตึกทีละร่างๆ กำลังฉายอยู่ในขณะนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น บันไดและสภาพแวดล้อมแบบในข่าวกับคนตายนับสิบนั่นมันคืออะไร

“นี่มันหอพักของท่านรามนี่ครับ”

“คนหัวใจวายทีเดียวเป็นสิบคนเลยเหรอวะ โคตรแปลก แต่ที่รักไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ เค้าจะปกป้องที่รักเอง”

“หรือว่าที่หอรามจะมีปีศาจ”

“โธ่ ที่รัก สนใจเค้าหน่อยสิ”

“ปีศาจ?”

มันดูเป็นไปไม่ได้ ไม่น่าเชื่อถือ งมงาย และเกินความเป็นวิทยาศาสตร์ไปมาก แต่สำหรับผมที่เจอทั้งผีเยลลี่และยมทูตยาจกบอกเลยว่า ปีศาจก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป แต่ว่านะ ไอเจ้าก้อนสีฟ้ามันย่องเบากระโดดดึ๊บๆ หนีไปทางด้านหลังผม แสดงว่า.....

ว่าแล้ว ใช่จริงๆ ด้วย

“ฮ่าๆๆ ข้าเก่งใช่ไหมล่ะ”

ผมยืนส่งสายตาพิฆาตไปหาพีท พีทโดดดึ๋งๆ ไปหลบหลังหมอดูมือใหม่ ที่ใช่นามพยากรณ์ว่า ‘หมอแมะ พญายม’ แหม เป็นยมทูตแต่เลื่อนขั้นตัวเองซะสำเร็จเลยนะ แบบนี้แจ้งโฆษณาเกินจริงได้ไหม ก็คิดอยู่แล้วว่าหมอดูอะไรจะมาเปิดร้านหน้าโรงเรียนตอนนี้ แถมยังไปทายเรื่องคนตาย ไหนจะช่วงจังหวะเหมาะเจาะลงตัวนั่นอีก พอผมจับได้แทนที่จะสำนึกกลับมายืนหัวเราะอย่างภูมิอกภูมิใจ เปิดร้านไม่ถึงสามชั่วโมงคนยังตายกันขนาดนี้ ไอร้านน่ากลัวแบบนี้ ถ้าพีทไม่มีพิรุธ ผมคงไม่มาที่นี่หรอก

“เฮ้อ น่าเบื่อ สรุปว่าคุณเป็นคนฆ่าพวกเขาใช่ไหม”

“แหมๆ พูดจาโหดร้ายนะไอ้หนู ข้าก็แค่ทำงานแลกเงินไปเที่ยวกับพวกผีสาวๆ ในมัลดีฟเท่านั้นเอง”

“ระ....ราม” พีทกระดึ๊บออกมาทำท่าจะอธิบาย แต่ผมจ้องเขม็ง พีทเลยโดดกลับไปด้านหลังยมทูตเหมือนเดิม

“ฉันรู้นะว่าคนพวกนั้นยังไม่ถึงฆาต”

“ฮ่าๆ ถ้าถึงฆาตข้าจะเก็บอายุขัยที่เหลือของใครไปขายล่ะไอ้หนู” เจ้าของร่างอวบอ้วนลอยไปยังโซฟา เอนตัวนั่งอย่างอารมณ์ดี

ผมล่ะเชื่อเลยว่าจะมียมทูตไร้จรรยาบรรณแบบนี้อยู่จริงๆ ผมไม่ยอมให้คนดีๆ ต้องมาตายเพราะเหตุผลแบบนี้หรอก ถึงผมจะไม่ค่อยถูกกับเพื่อนบ้าน (สถานะ:ถูกเพื่อนบ้านกลัวเพราะชอบไปจ้องหน้าเขา) แต่ยังไงซะ ผมก็ยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ ถึงผมจะต้องกลืนน้ำลายตัวเองก็ตาม

“ฉันจะเผากระดาษเงินไปให้”

“ฮ่าๆๆ ตอนนี้ข้าไม่ได้ต้องการเงินจากเจ้าแล้วไอ้หนู” พีทกระโดดขึ้นไปบนตักยมทูตในทันที หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไปหลบทำมุมซุบซิบกันอยู่สองคน ไม่สิ สองตน

“อะแฮ่มๆ เอางั้นก็ได้ ข้าจะคืนวิญญาณเจ้าพวกนี้แลกกับที่เจ้าเผากระดาษเงินให้ข้าและ....”

ยมทูตยาจกพูดจบแค่คำว่า แลก แล้วก็ไม่ยอมพูดต่อ เอาแต่จ้องหน้าผมเหมือนกับมันจะมีเงินมีทองไหลออกมา ยมทูตยาจกนี่อาจจะนึกเล่นพิเรนทร์อยากสื่อสารด้วยจิตรึเปล่า หรือส่งสารทางดวงตาเป็นปลากัด มันใช่เวลาไหม ผมว่าผมต้องทำให้ทุกอย่างมันชัดเจนแล้วรีบออกห่างพวกผีไม่เต็มเต็งพวกนี้ ก่อนที่ชีวิตผมจะแปลกไปกว่านี้ ตอนแรกผมก็กลัวผีนะ ตอนเจอยมทูตก็กลัวจนตัวสั่น แต่ตอนนี้ความหงุดหงิดมันมีมากกว่า หงุดหงิดที่ชีวิตต้องมาเจออะไรแบบนี้

“ฉันรอฟังอยู่”

“เจ้าต้องช่วยพีท”

ผมหันขวับไปมองเจ้าก้อนสีฟ้าๆ ที่โดดดึ๋งๆ ข้างโซฟา ผมว่านี่ต่างหากจุดเริ่มต้นของปัญหาที่แท้จริง ตอนนี้ลางสังหรณ์ของผมกะพริบอะจึ๊กๆ เป็นจังหวะสามช่าเลยครับ ช่างเถอะ ผมมันคนไม่มีทางเลือก ผมจะจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด แล้วสัญญาเลยว่าจะไม่ยุ่งกับผีตนไหนอีกแล้ว

เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วตอนที่ผมอยู่ปีสอง เอกฟิล์ม และพีทอยู่ปีหนึ่ง คณะวารสารศาสตร์ ตอนนั้นเพิ่งเปิดเทอมได้ไม่นาน พีทเล่าว่า ตอนนั้นได้รับข้อความแปลกๆ บ่อยๆ อาทิตย์นี้ส่วนใหญ่ผมเลยลองไปถามข่าวพีทจากพวกปีสอง วารสารดูใครๆ ก็บอกว่าพีทเป็นคุณหนูน้องใหม่ เพราะเป็นคุณชายจากครอบครัวตระกูลดัง พวกสาวๆ ก็เลยชอบมาเล่นด้วย จะมีคนไม่ชอบหน้าก็เป็นเรื่องปกติ ตอนที่มันบอกว่าปกติพร้อมเล่าถึงตอนมีชีวิตด้วยน้ำเสียงโลกสวย ผมอยากจะถามเหมือนกันว่ามันคิดจะโกรธคนที่ฆ่ามันบ้างไหม บางทีคนที่ส่งข้อความแปลกๆ มาหาพีทกับฆาตกรอาจจะเป็นคนเดียวกัน

ผมว่าเรื่องนี้ หาตัวคนทำยากเหมือนกัน ด้วยระยะเวลาที่นานมาแล้ว ครอบครัวพีทที่อยู่ต่างประเทศ หลักฐานและพยานอะไรที่พอจะเป็นเบาะแสได้ก็ไม่มีเลย พอถามถึงเพื่อนสนิท เจ้าก้อนสีฟ้าก็ดันตอบแบบทองไม่รู้ร้อนว่า สนิทกับทุกคน ให้ตายเถอะ ผมคิดผิดแน่ๆ ที่ช่วย

เอาเถอะไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พอมาคิดดูมันก็ยังพอมีทางสืบอยู่บ้าง เพราะพีทตายที่มหาลัย บางทีคนในสาขาอาจจะรู้เห็นอะไรบ้าง แต่ไอที่น่าหงุดหงิดจริงๆ ก็คือ เจ้าก้อนเยลลี่นี่ดีใจเรื่องที่ผมยอมช่วยเลยเด้งซ้ายเด้งขวาทั่วห้อง ชนห่อขนมเค้กของผมตกพื้นหมดเลย ผมเป็นคนที่ติดของหวานมากซะด้วย อุตส่าห์ดุว่าไม่ให้เข้าไปในห้องครัวเด็ดขาด แต่บอกทุกวันเจ้าก้อนก็เข้าไปทำลายล้างทุกวันเหมือนกัน ผมไม่ใช่ผีนะยังต้องกินข้าวกินเค้ก ถ้าผมอิ่มทิพย์เหมือนเจ้าก้อนนี่คงประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้เยอะเลย

“ราม เจ้าจะไปไหน” เจ้าก้อนโดดดึ๋งๆ ตามผมมาที่หน้าประตู

“ซื้อเค้ก”

“ข้าว่า....”

“ไม่ต้องตามมา”

สถานการณ์ที่ต้องมีเจ้าเยลลี่สีฟ้าเด้งไปมาตามไปทุกที่ ต่อให้คนอื่นจะมองไม่เห็นแต่ผมก็ต้องการระยะห่างบ้าง พีทมองผมพร้อมส่งอารมณ์หงอยๆ มาให้ ผมทำเมินเจ้าเยลลี่ปิดประตูล็อกห้อง เตรียมเดินลงไปร้านเบเกอรี่ใต้ตึกซื้อเค้กชิ้นใหม่อีกครั้ง!

ตอนต่อ

“อ้าว ราม มาซื้ออะไรหรือ”

“ซื้อของ เฟิร์นไม่ได้อยู่หอนี้ไม่ใช่หรือ”

ผมบังเอิญเจอเฟิร์นหน้าร้านเบเกอรี่ ปกติแล้วเฟิร์นไม่ชอบมาหอนี้เท่าไหร่เห็นบอกว่าเหม็นบุหรี่ ถึงบุคลิกภายนอกเฟิร์นจะดูเป็นสาวห้าวผมสั้น แต่จริงๆ ผมว่าเฟิร์นก็เป็นผู้หญิงหวานๆ คนหนึ่ง ถึงได้คิดอยู่ว่าน่าจะจับฉลากได้เดลต้าเป็นแฟน

“มาจิกหัวต้าทำงานอะสิ ไม่งั้นงานของอาจารย์มณีไม่เสร็จแน่ ของรามเสร็จแล้วเหรอ”

“อืม”

“จะฝากส่งไหม”

“ฉันว่างานเดลต้าคงไม่เสร็จเร็วๆ นี้หรอก” ผมบอกเฟิร์นตามตรง หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะขำแห้งๆ “เอาเป็นว่า ถ้าเฟิร์นกับเดลต้าทำเสร็จแล้วเดี๋ยวฉันไปส่งให้แทนแล้วกัน”

ปึง ตุบ

“พีท!”

ทันทีที่ผมเข้าห้องตัวเองก็ต้องตกใจ กล่องเค้กที่เพิ่งซื้อตกลงพื้น ผมรีบวิ่งไปดูพีท ตอนนี้พีทร้องด้วยเสียงที่เจ็บปวดทรมาน ร่างกลมๆ บิดเบี้ยวและดูเหมือนจะมีบางส่วนคล้ายกำลังหลอมละลาย ผมพยายามถามพีทว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนพีทจะไม่มีสติพอจะได้ยินสิ่งที่ผมพูด

“อ๊ากกกก! โอ๊ย อ๊ากกกก อ๊า โอ๊ย”

“ยมทูต ยมทูต” ผมเดินไปเดินมาตะโกนเรียกรอบห้อง แต่เหมือนจะไม่มีการตอบกลับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ผมเดินไปจุดธูปหนึ่งดอกก่อนจะตะโกนอีกครั้ง “ยมทูต ยมฑุตมานี่หน่อย ท่านยม!”

เงียบ

“ไอยมทูตเส็งเคร็ง ถ้าไม่มาฉันจะไม่เผาเงินให้อีก!”

แว้บ ... “เจ้าเรียกข้าทำไม” ในที่สุดก็มา แถมมาพร้อมลูกมะพร้าวพร้อมดื่มในมืออีกด้วยนะ

“พีท พีทเป็นอะไรก็ไม่รู้”

เจ้าของร่างอ้วนมองพีทอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาเพ่งสมาธิ ผมได้แต่มองพีทที่ยังคงร้องโอดโอยอย่างทรมานอย่างร้อนใจ พีทจะเป็นอะไรไหม ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน

ยมทูต ส่งพลังบางอย่างไปยังวิญญาณของพีท แสงสีทองโอบอุ้มร่างสีฟ้าของพีทไว้ครู่หนึ่งก่อนที่เสียงของพีทจะเงียบลง เหมือนจะหลับไป

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพีทถึง....”

“มีคนตั้งใจทำร้ายพีท”

“แต่พีทเป็นวิญญาณ”

“ข้าสัมผัสได้ว่าน่าจะเป็นพวกหมอผี แต่ทำทำไม หรือใครสั่ง ข้าไม่รู้”

“ช่างมัน ตอนนี้พีทโอเคก็พอแล้ว”

“ยังหรอก พลังของข้า แค่ช่วยไม่ให้วิญญาณสลายชั่วคราว อาคมที่โดนจะกัดกินวิญญาณไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งวิญญาณจะสลายไป”

“แล้ว....”

“ใจเย็นๆ ไอ้หนู มันไม่มีทางแก้ แต่...ถ้าเจ้าทำให้พีทไปเกิดใหม่ได้ก่อนที่วิญญาณพีทจะสลายไปก็ไม่มีอะไรน่าห่วง”

ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก

เสียงนาฬิกาแขวนผนังในห้องดังสักระยะ น่าจะราวๆ ครึ่งชั่วโมง ผมกับยมทูตคุยกันเรื่องพีท แต่ไม่ว่าจะคิดไปทางไหนก็ไม่มีหนทางช่วยได้เลย ถ้าผมช่วยปลดปล่อยวิญญาณพีทไม่สำเร็จ เขาจะหายไปตลอดกาล

ใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้ ผมหันไปมองพีทที่สงบนิ่งอยู่บนโซฟาก่อนจะนั่งลงข้างๆ และอุ้มพีทกอดไว้ ผมรู้สึกใจหวิวแปลกๆ ผมจะต้องช่วยพีทให้ได้ ผมจะต้องทำยังไงถึงจะดีที่สุด

“ฮ่าๆ ไอ้หนู ใช้งานเสร็จแล้วจะเมินกันเหรอ ข้าว่าจะซื้อตั๋วไปเที่ยวฮาวายต่อ อย่าลืมส่งเงินมาด้วยล่ะ” ร่างอ้วนพูดจบก็แว้บหายไป

เอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยด

เสียงที่ปัดน้ำฝนดังวนเป็นจังหวะซ้ำๆ ช่วยทำลายความเงียบภายในรถ แต่ไม่สามารถทำให้ผมหยุดคิดเรื่องของพีทได้ เมฆสีดำยังคงปกคลุมท้องฟ้า ผมหันไปมองพีทที่อยู่บนเบาะด้านข้างคนขับสักพัก จากนั้นรถด้านหลังก็บีบแตรเสียงดังลั่น เตือนให้ผมหันกลับมามองสัญญาณไฟจราจรที่เป็นสีเขียวแล้ว

“ราม!”

เจ้าก้อนสีฟ้ามีท่าทางตื่นตระหนกราวกับโดนคนลักพาตัวมาอย่างนั้นแหละ หึ จับปล่อยวัดซะดีไหม ไม่รู้ว่าทำไม พอเห็นพีทฟื้นขึ้นมาทำท่าจะอาละวาดใส่ผมได้ มุมปากของผมมันก็ยกยิ้มขึ้นมาซะอย่างนั้น +

“ราม นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

เจ้าก้อนถามถึงเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนก่อนจะโดดดึ๋งๆ เซ้าซี้ พอตื่นมา วิญญาณจิงโจ้ก็เข้าสิงเลยนะ ผมเล่าว่าไม่มีอะไรแล้วพอดียมทูตคนนั้นเขามาช่วยไว้ แต่แทนที่พีทจะหยุดโดดดึ๋งๆ กับโดดถี่กว่าเดิมอย่างกับว่าถ้าโดดครบ1ล้านครั้งแล้วจะได้ไปเกิดอย่างนั้นแหละ แต่...เอ๋ ทำไมพีทถึงมีท่าทีราวกับจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ

“จำอะไรได้บ้าง” ผมหยั่งเชิง

“เจ้า…เจ้าออกไปซื้อเค้ก ข้าเห็นแสงสีเหลืองๆ แล้วก็….จำไม่ได้แล้ว” เจ้าก้อนเยลลี่นั่งนึกและตอบด้วยท่าทีสงบนิ่งแบบที่ร้อยวันจะทำได้สักหน

พีทควรได้รู้ความจริง เขาจะได้ระวังตัว แต่ถ้าความจริงนั้นมันจะทำร้ายความสุขของวิญญาณดวงนี้ ผมก็จะยอมเป็นคนบาปตกนรกไปพร้อมกับเรื่องนี้ ตอนแรกผมก็ว่าจะบอกเขา แต่ก็ต้องชั่งใจพอเห็นเจ้าก้อนกลับมาโดดดึ๋งๆ ได้อีกครั้ง ผมยังจำได้ ภาพเมื่อสามวันที่แล้ว ว่าเขาทรมานมากแค่ไหน ถ้าพวกคนร้ายมันคิดว่าจะทำลายวิญญาณพีทเพื่อปกปิดความผิด พวกมันก็คิดผิดแล้ว เพราะตอนนี้ผมเต็มใจที่จะเปิดเผยความผิดของพวกมันด้วยตัวเอง

“สามวันก่อนที่จะหลับไป ฉันกลับมาที่ห้องก็เห็นพีทตัวร้อนมาก ยมทูตมาพอดี เขาบอกว่าพีทเป็นไข้ไม่สบาย เขาเลยช่วยรักษาให้”

“วิญญาณไม่สบายได้ด้วยหรือ เอ๊ะ นี่ข้าหลับไปตั้งสามวันเลยหรือ”

ผมมาถึงโรงจอดรถคณะนิเทศแล้ว แต่ฝนยังตกหนักไม่หยุด ผมรีบโกยเจ้าก้อนที่เด้งดึ๋งๆ ตรงเบาะด้านข้างมาชิดหน้าอก ใช่ โกย ผมใช้คำไม่ผิด โกยเสร็จหยิบของแล้วก็วิ่งฝ่าสายฝนเข้าตึกไป เจ้าก้อนดิ้นไปมาจนหลุดออกจากมือ แต่ดีที่ตอนนี้เข้าร่มแล้ว เจ้าเยลลี่เปลี่ยนจากเยลลี่สีฟ้าเป็นสีชมพูไปซะแล้ว นี่เดี๋ยวนี้วิญญาณเขาเปลี่ยนสีตามเทรนกันแล้วหรือ ผมเอื้อมมือไปสัมผัสเพื่อเช็คอุณหภูมิของเจ้าก้อน แต่...เจ้าก้อนกระโดดหนี

เฮ้อ เด็กดื้อ

“จะ…เจ้าจะทำอะไร” เจ้าตัวที่หันหน้าหนีผมถามเสียงใส

“เปียกฝกหรือเปล่า ไม่สบายตรงไหน”

“ขะ…ข้าไม่เป็นไร วิญญาณถึงถูกฝนก็ไม่เปียกหรอกน่า” เจ้าก้อนกลมยังคงหันหลังให้

“แต่สีเจ้า…”

“ขะ…ข้าเข้าฤดูผลัดสีน่ะ” เสียงใสเลิ่กลั่กตอบ

“ผลัดสี? วิญญาณต้องผลัดสีด้วยหรือ”

ผลัดสีนี่เหมือนลอกคราบแบบงูไหม หรือเป็นการเปลี่ยนสีแบบสัตว์เลื้อยคลาน ผมว่ามันแปลกๆ นะ ทำไมต้องหลบหน้าด้วยล่ะ ถ้าจ้องตาตอนผลัดสีจะท้องแบบปลากัดหรือ เจ้าก้อนเยลลี่ไม่คุยต่อ ตั้งหน้าตั้งตาโดดดึ๋งๆ ไปทางโรงอาหารด้วยความเร็วแสง ผมที่เดินช้าๆ ก็กำลังเดินตามไปที่หลังอย่างงงๆ

ปั๊ก!

“โอ๊ย” ผมเดินอยู่ตรงทางเดิน จู่ๆ ก็มีก้อนหินปริศนาลอยมากระแทกหัว

ผมหยิบมันขึ้นมา คลี่กระดาษแปลกๆ ที่ห่อก้อนหินเอาไว้ออกดู มันมีตัวอักษรสีเลือดเขียนคำว่า “ตาย” หึ สงสัยเป็นพวกตกอับ นี่เขาเลิกปารถมาปาหัวคนกันแล้วสินะ จริงๆ เลย เอาการปาหินมาเป็นงานอดิเรกได้ยังไงเนี่ย ดีนะที่ผมหัวแข็งเลยไม่เป็นอะไร สงสัยผมจะเป็นรูปปั้นเหมือนที่คนอื่นๆ ว่ากันจริงๆ

เฮ้อ น่าเบื่อ

ผมปากระดาษทิ้งไป เคี้ยวอากาศหนึ่งที ก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนเดินต่อ

ไม่รู้ว่าวันนี้เทวดาดูซีรี่ย์เกาหลี่มากไปหรือว่าเทพท่านใดอกหัก ฝนถึงได้ตกแรง เร็ว ทะลุนรกแบบนี้ แต่ผลที่ได้จากการร้องห่มร้องไห้ของท่านเทพก็เป็นที่น่าพอใจ ช่วยตัดความน่ารำคาญในโรงอาหารไปได้เยอะ ผมหย่อนก้นนั่งลงที่โต๊ะประจำรอไปเข้าเรียนพร้อมเดลต้ากับเฟิร์นที่ตอนนี้นั่งจีบกันอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ท่านรามมมมครับ” เด็กน้อยกระโดดมากอดผมจากทางด้านหลัง ส่งยิ้มเห็นฟันทั้งสามสิบสองซี่มาให้ พีทกระโดดดึ๋งๆ ขึ้นไปเล่นบนหัวใบตอง เฮ้อ ตามสบายเลย

“เอ้ล่ะ” ผมถาม

ในระหว่างที่คู่รักกำลังสวีทหวานก็ขอขัดจังหวะสักหน่อยก่อนที่มดจะขึ้น ผมถามหลังจากที่ละสายตาจากใบตองและพีท เดลต้ายังคงเล่นแก้มเฟิร์นไม่สนใจผม ทำตาหวานเชื่อมยิ้มน้องยิ้มใหญ่ ส่วนเฟิร์นหันมามองหน้าผม สีหน้าเหมือนกำลังจะบอกว่าผมเป็นมะเร็งอย่างนั้นแหละ พีทกระโดดขึ้นมาฟังบนโต๊ะ

“เอ้อยู่โรงพยาบาล”

“เกิดอะไรขึ้น”

เมื่อวานผมยังโทรถามเรื่องงานกับเอ้อยู่เลย เอ้ไม่เคยขับรถเองเพราะบ้านรวย มีคนขับรถให้จะไปเฉี่ยวไปชนใคร เป็นไปไม่ได้แน่ๆ ถ้าเป็นเดลต้าก็ว่าไปอย่าง

“เมื่อวานเอ้โดนหลอกให้ไปเอาของใต้ตึก12”

“หล่อๆ อย่างกูไม่เห็นจะแปลกใจเลย พวกเดิมๆ แม่งละมั้ง มันไม่ได้เป็นอะไรมาก ที่บ้านมันเวอร์ให้แอดมิทเอง เดี๋ยวพรุ่งนี้ แม่งก็ออกมาแล้ว” เดลต้าเสริม

คนเกิดมาหล่อนี่โชคดีนะ แต่บางทีก็ไม่รู้ว่าเบ้าหน้าฟ้าประทานจะไปกระตุกฝ่าเท้าใครเข้า จริงๆ เอ้ก็โดนพวกผู้ชายมาหาเรื่องบ่อย เพราะดันไปเป็นสเป๊กสาวๆ แต่ไม่เคยเห็นว่าจะลงไม้ลงมือจนต้องเข้าโรงพยาบาลขนาดนี้

“จับคนร้ายได้ไหม” เฟิร์นส่ายหัวตอบ

“ราม ดูโน่น” พีทโดดดึ๋งๆ มาขวางหน้าผม ก่อนจะส่งสัญญาณไปทางบันไดเชื่อมตึกทางซ้ายมือ มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังแบกกองหนังสือใหญ่เท่าฝาบ้าน เดินเข้าโรงอาหารมา ผมหันกลับไปหาพีทและถามทางสายตา

“ข้าเห็นเขาตามเจ้าไปทุกที่เลย ตอนเจ้าไปห้องสมุด เขาก็อยู่ที่นั่น ที่โรงจอดรถหรือห้องน้ำก็ด้วย”

ผู้ชายสายแว่นเนิร์ดๆ ที่ดูติ๋มๆ สูงไม่น่าเกิน170 แบกของหนักจนเป็นจุดเด่นขนาดนี้ เขาจะตามผมมาทำไม ไม่คุ้นหน้าเลย เท่าที่สังเกตเขาไม่หันมองเฉียดมาทางนี่้ด้วยซ้ำ แทนที่จะให้ผมระวังเขา ให้เขาระวังตัวเองไม่ให้สะดุดล้มหรือโดนกองหนังสือที่เขาหอบทับตายจะดีกว่า ช่างเหอะ อย่าไปยุ่งดีกว่า คนแบบนี้น่าเบื่อจะตาย ผมส่ายหน้าเบาๆ ให้พีท

“รามคะ ใบตองล่ะ” เฟิร์นถาม

เฮ้อ น่าเบื่อ

ผมเคี้ยวอากาศไปหนึ่งทีก่อนจะมองซ้ายมองขวา นี่เห็นผมเป็นอับดุลหรือ ถามอย่างกับผมรู้ทุกอย่าง มีไลน์ก็ใช้ได้ไหมล่ะ แต่จะว่าไปเมื่อกี้เจ้าเด็กยังกระโดดกอดผมอยู่เลย เผลอแพ้บเดียวหายแว้บเหมือน…ยมทูตบางคน

“ช่างเถอะค่ะ เราไปเรียนกันดีกว่า” เฟิร์นชวนก่อนเจ้าตัวจะเก็บของลุกจากโต๊ะ

“มา ที่รัก เดี๋ยวเค้าถือให้” เสียงเข้มดัดให้หล่อเหลาพร้อมเสยผมหนึ่งที เจ้าก้อนสีฟ้าที่เดิมทีอยู่บนโต๊ะก็กระโดดขึ้นไปแหมะบนหัวคนพูดอย่างฉับไว โอเค พีทได้เกวียนชั้นดีซะแล้วสิ ผมที่ไม่มีของอะไรก็ลุกขึ้นบ้าง

“เอ๋ รามไม่ได้เอากล้องมาหรือคะ” เฟิร์นสังเกต

นี่เป็นเรื่องแปลกที่สามารถลงกินเนสบุ๊คได้ เพราะการที่ผมไม่พกกล้อง ก็ไม่ต่างจากการไม่พกโทรศัพท์ออกนอกบ้าน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงร้อนใจจนลงแดงตายไปแล้ว พีทที่เกาะบนหัวเดลต้าก็มองมาอย่างสงสัยเหมือนกัน หึ ไม่ต้องมามองเลย ก็ใครล่ะที่เล่นหลับไปตั้งสองสามวัน เป็นตัวต้นเหตุแท้ๆ ผมรีบจ้ำฝีเท้าไปห้องเรียนโดยไม่ได้ตอบอะไร

แซ่ด แซ่ด

บรรยากาศเดิม เพิ่มเติมคือความวุ่นวายที่มากขึ้น ผู้คนมากมายในโรงอาหารส่งเสียงดังจอแจ ไม่รู้คุยอะไรกัน พอได้เวลาพระอาทิตย์ตรงหัวทีไร โรงอาหารก็คือตลาดดีๆ นี่เอง เฟิร์นนั่งกินกะเพราหมูกรอบอย่างละเมียดละไม ส่วนเดลต้าน่าจะอิ่มอากาศ ตอนนี้นั่งดูดชานมชมพูไปไลฟ์สดไอจีไป เห็นดูดมาสองชั่วโมงแล้ว สงสัยเป็นชานมชมพูทิพย์ถึงไม่หมดสักที

ดึ๋ง….ดึ๋ง…..ดึ๋ง….

เจ้าก้อนสีฟ้าไม่ได้หายไปไหนหรอกนะ โดดดึ๋งๆ ตื่นเต้นกับไลฟ์สดอยู่บนหัวเจ้าของไอจีนั่นแหละ เอาจริงๆ คนอื่นอาจจะมองว่าเดลต้าทำตัวหน้าหมั่นไส้ แต่ถ้าพูดกันตามตรง เดลต้าก็ถือว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่…น่าหมั่นไส้จริงๆ นั่นแหละ

“ไปซื้อน้ำนะ” ผมบอก โดยปกติจะไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องรายงานใครหรอก แต่พอเห็นเจ้าก้อนสีฟ้ากำลังสนใจของเล่นใหม่ก็คิดว่าน่าจะบอกสักคำ

“เราจะเอาจานไปเก็บเหมือนกัน” เฟิร์นลุกขึ้น ส่วนเดลต้าก็ฉีกยิ้มให้แฟนสาวหนึ่งสเต็ปแล้วก็หันไปสนใจคอมเม้นในมือถือต่อ

“มึง กูฝากซื้อน้ำด้วยสิ” เจ้าของไอจีพูดลอยๆ ที่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าบอกผม ผมส่งสายตาเย็นเยียบไปให้จนอีกฝ่ายขนหัวลุก

“เออ กูพูดเล่น แม่งทำหน้าอย่างกับจะแดกหัวกู” คนที่ฝากซื้อน้ำได้ไม่ถึงสามนาที หันมาบ่นอุบ

ปั๊ก

“เฮ้ย เจ๋งหรือวะ”

วันนี้เป็นวันอะไรเนี่ย ฟ้าดินเห็นชีวิตผมราบเรียบไปหรือเปล่า หรือกลัวเอ้ไม่มีเพื่อนนอนด้วย ถึงได้อยากเห็นผมโดนกระทืบ ผมถือน้ำเดินออกจากร้านเครื่องดื่มมาได้ไม่ถึงสิบก้าวก็ชนกับใครเข้าไปรู้ แต่มั่นใจหนึ่งอย่างว่า ไม่ได้บังเอิญแน่นอน ผู้ชายร่างใหญ่ในชุดเสื้อช็อป ประมาณสามสี่คนยืนล้อมผมเป็นวงกลม พวกมันบีบให้ผมอยู่ตรงกลางวง คนที่ผมชนเข้าเมื่อกี้ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า มันสาวเท้าเข้ามาประชิดตัวผม

ขอขอบคุณบริษัทจัดการชีวิตจำกัดที่มอบตำแหน่ง เหยื่อมาให้ แต่ผมปาตำแหน่งนี้ทิ้งได้ไหม ไอพวกลูกสมุนพวกนี้ก็จ้องอยู่ได้ อย่าให้มีช่องว่างนะ ผมจะสับขาวิ่งให้พวกมันมองกันไม่ทันเลย

“อยู่ดีๆ ไม่ชอบ เจ๋งนักหรือมึงอ่ะ”

หัวหน้าแก๊งร่างสูงกว่าผมใช้มือขวากระชากที่คอเสื้อฮู้ดสีเทาของผมขึ้นไปประจันหน้ากับมัน ผมยืนนิ่งรับบทรูปปั้นสมบูรณ์แบบ มือขวาของผมล้วงไปในกระเป๋ากางเกงยีนของตัวเอง มือกำปากกาแน่น เตรียมโต้กลับ ไอเบิ้มใช้มือซ้ายที่ว่างง้างหมัด

ตุบ ตุบ ตุบ

พวกลูกกระจ๊อกที่ยืนล้อมผมเมื่อนาที่ที่แล้วค่อยๆ ล้มไปนอนกองกับพื้นทีละคน ไอเบิ้มที่ง้างหมัดจะต่อยผมเมื่อกี้ สะบัดคอเสื้อผมออกประกาศกร้าว

“ใครทำเพื่อนกู” เสียงแข็งชี้หน้าไทยมุงที่ยืนมองอยู่รอบๆ

“กูเอง” เสียงฮีโร่ขี่ม้าขาวดังจากด้านหลังไอเบิ้ม ก่อนที่หมัดขวาของพระเอกจะต่อยเชยคางน็อคพี่เบิ้มกลางอากาศ แน่นอนว่าพระเอกคนนั้นไม่ลืมที่จะเสยผมทำเท่ใส่ไทยมุง พร้อมเก๊กหล่อไป1ที พีทกระโดดออกมาจากกองไทยมุงขึ้นมาบนหัวผม ก่อนจะพ่นคำถามมากมาย ทั้งที่รู้ว่าผมพูดกับพีทต่อหน้าเพื่อนไม่ได้ แต่ก็แอบหาจังหวะเพื่อนเผลอเอามือลูบเจ้าก้อนบนหัวเพื่อให้เขาสบายใจ

จากการสอบสวนพวกที่มาหาเรื่องผมเมื่อตอนกลางวัน มีผู้หญิงคนหนึ่งจ้างมาอีกที นอกนั้นก็ว่างเปล่า แต่ตามลักษณะที่ผู้หญิงพวกนั้นบอก ผู้หญิงคนนั้นใส่ชุดนักศึกษา แสดงว่าไม่น่าจะใช่สาขาเรา เพราะเด็กนิเทศใส่ชุดลำลอง บางทีคนที่ส่งพวกนี้มา อาจจะเกี่ยวข้องกับคนที่ฆ่าพีท นอกจากคณะนิเทศ ก็ดูจะมีแค่คณะวารสารณ์เท่านั้นแหละที่ช่วงนี้ผมไปวุ่นวายด้วย

ผมล่ะเบื่อเดลต้าจริงๆ ที่ช่วยผมเมื่อกลางวัน ไม่ได้รับบทพระเอกนะ แต่รับบทพ่อค้าขี้ตืด ทำเป็นเสยผมเอาเท่ พอตกเย็นก็เอามาต่อรองให้ผมทำเวรแทน แถมยังต้องไปประชุมกับอาจารย์คณะแทนอีก ถ้ากลับบ้านไม่ทันช่วงเวลารถติดนะ เจอเอาคืนแน่

ปั๊ก ตุบ

วันนี้สงสัยผมจะฮอตเป็นพิเศษ แต่ฮอตแบบนี้ไม่ต้องก็ได้นะ ฮอตเวอร์ฮอตวัง ฮอตซะเจ็บตัวไปหมด นี่แค่จะขึ้นไปหาอาจารย์คณะ ยังชนกับใครหน้าบันได้ไม่รู้ ทำเอาหนังสือที่เขาถือมาร่วงเต็มพื้นไปหมด

ผู้ชายคนนี้

“ขอโทษครับ”

เด็กเนิร์ดแว่นที่พีทบอกเมื่อตอนเช้า เขามาทำอะไรแถวนี้ บังเอิญหรือ ช่างเหอะ ไม่มีอะไรต้องกังวลมากเกินไป รีบขึ้นไปหาอาจารย์ดีกว่า ปล่อยเจ้าก้อนรอที่รถลำพังเดี๋ยวจะเด้งดึ๋งๆ ไปโดนรถชาวบ้าน

“วันนี้ตึกคณะปิดห้าโมงนะครับ”

ทันทีที่ผมกำลังจะก้าวขาขึ้นบันได หนุ่มแว่นคนนั้นก็เอ่ยขึ้น ผมว่าจะขอบคุณ แต่พอหันกลับไปก็ไม่เจอแล้ว ช่างเหอะต้องรีบแล้ว เหลือเวลาอีกแค่10นาที

ฟุ่บ

เกิดอะไรขึ้น?

พีท….

ตุบ ตับ ตุบ ตับ

“อัก อึก”

นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เมื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวด สมองจะพยายามลดผลกระทบลง…ซะที่ไหน โดนเตะหน้าเตะหลังเป็นลูกบอลอยู่นี่ ไม่เห็นละมีอะไรลดลงสักนิด ผมอยากให้นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นเจ้าของวลีข้างบนลองมาโดนรุมยำ5ต่อ1ดูบ้าง ไม่รู้เท้าใครเป็นเท้าใคร เจ็บจนจุกไปหมด

แรงของชายวัยฉกรรจ์กระแทกเข้าที่หน้าท้องบ้าง หน้าแข้งบ้าง กระดูกสันหลังบ้าง อือหือ เยี่ยมจริงๆ มันเล่นงานผมมาเป็นชั่วโมงยังสามารถยืนหัวเราะคิกคักกันได้

ไอสถานที่เฉอะแฉะนี่เหมือนกัน ที่นี่ที่ไหนก็ไม่รู้รู้แต่ว่าร่างผมที่กองอยู่กับพื้นมันคันยุบยิบไปหมด น้ำสกปรกที่ส่งกลิ่นราวกับหลังร้านขายหมูนี่มันอะไร ถ้าจะกระทืบเป็นชั่วโมงแบบนี้ ย้ายไปสถานที่ที่ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ

นี่ถ้าไม่ติดว่ามีไอถุงดำเน่าๆ นี่ครอบหัวและเจ็บจนไม่มีแรงลุกแบบนี้ ผมไม่นอนให้พยาธิไชผิวผมแน่นอน

“เฮ้ย มึงว่ามันตายยังวะ” หนึ่งในคนร้ายเห็นว่าเหยื่อนอนนิ่ง ความขี้ขลาดก็เลยเริ่มโผล่หางให้เห็น

ผมรู้สึกว่าบางทีผมอาจยุติเวลาที่แสนทรมานนี้ได้ ผมกลั้นหายใจฉับพลัน ทำตัวราวกับตุ๊กตา ไม่มีเสียง ไม่มีแรงตอบสนองหรือต่อต้านใดๆ พวกมันเริ่มหารือกันว่าจะเอายังไงกับผมดี ซึ่งนั่นแสดงว่าผมมาถูกทาง

“ช่างแม่งดิ ตายก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราหรือเปล่าวะ อีนังนั่นมันก็อยากให้ไอนี่ตายอยู่แล้ว”

นังนั่น?

ผมพอจะนึกออกว่าสถานการณ์เป็นมายังไง หลังจากที่พวกคนร้ายหยุดกระทืบผมและหันไปพล่ามกันเองราวๆ ห้านาที ก็คือนอกจากจะกระทืบผมแบบไม่เกรงใจพลังชีวิตอันน้อยนิดของผมแล้ว บทจะเมินก็คือผมกลายเป็นอากาศไปเลย เข้าเรื่องก็คือ มีผู้หญิงคนหนึ่งจ้างพวกมันมาปิดปากผมด้วยเงินก้อนหนึ่ง แต่เงินมันไม่มากพอจะสั่งปิดบัญชี ก็เลยได้แค่สั่งสอนแทน

“เฮ้ย แต่สวยจั๊วน่าเจี๊ยะแบบนั้น น่าเสียดายว่ะพี่”

ขาว? สวย?

ตอนที่ไปถามเรื่องพีทกับพวกวารสาร ผู้หญิงมีราวๆ 20คน แต่คนที่หน้าตาดีขาวจั๊วน่าเจี๊ยนี่มันใครกัน

นี่พวกคนร้ายมันมีรสนิยมแบบไหนกันเนี่ย

สวยที่ว่านี่มีนิยามเป็นอย่างไร ใช่แบบป้าภารโรงมหาลัยหรือเปล่า ทำไมคนแค่20คน ผมถึงจะไม่เห็นว่าจะมีคนไหนงามหรือไม่งามอย่างไร

อย่างผู้หญิงที่คนร้ายพวกนี้นินทา เอาจริงๆ แค่บอกว่าขาวก็ตัดสาววารสารไปกว่าครึ่งแล้ว ผมผุดภาพสาววารสารปี2ในหัวเลื่อนซ้ายขวาปัดไปมาราวกับรูปภาพในหัวสมองเป็นเครื่องฉายคอลเลกชั่นฮาเร็มสาวชนิดหนึ่ง

“คิดว่าจะใสๆ ไม่น่า…”

“เฮ้ย! พวกมึงทำอะไรอ่ะ”

เวลาดูละครแล้วตัวเอกโดนทำร้าย คนดูมักจะภาวนาให้ตำรวจมาช่วยไวๆ แต่สำหรับผมตอนนี้อยากตะโกนว่า ใครปล่อยคิว โดนกระทืบมาสองชั่วโมง หายจ๊อย พอตอนจะได้เรื่องได้ราวอะไรหน่อยล่ะโผล่มา เฮ้อ น่าเบื่อ

ตุบ ตับ ตับ

เสียงการปะทะกันของเหล่าตัวร้ายกับผู้มาใหม่ดังลั่นอย่างกับหนัง ระบบเสียงเซอร์ราวด์สตูดิโอมาก ผมไม่รู้หรอกว่าคนที่กำลังต่อยตีกับพวกนักเลงนี่เป็นใคร อาจจะเป็นอริที่แค้นฝังหุ่นกันมาแต่ชาติปางก่อนของพวกนักเลงไม่มีระดับ เป็นพลเมืองดีที่ชาติต้องการ หรือเป็นตำรวจที่เกิดอยากเป็นวีรบุรุษที่ทำงานอย่างแข็งขัน แต่ก็ต้องขอบคุณที่ยื่นโอกาสให้ผมหาช่องออกไปจากสถานที่ที่ทั้งเหม็นและสกปรกนี่

“เฮ้ย ไอรูปปั้น”

“รามคะ”

ผมดันตัวเอง มือปริศนาซ้ายขวามาพยุงผมให้ลุกนั่ง ก่อนจะกระชากถุงดำเหม็นๆ ออกจากส่วนบน ภาพแรกที่เห็นคือเดลต้ากับเฟิร์น ทั้งสองมองมาที่ผมอย่างสำรวจและนัยตาแสดงความเป็นห่วงโจ่งแจ้ง แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนี้หรอก ปัญหามันอยู่ตรงโน้น ฉายสปอร์ตไลท์ไปตรงกลางได้เลย

ตุบ ตับ ตับ

ใครจะเชื่อว่าผู้ชายตัวผอมเพรียว หุ่นเด็กแว๊นจะซัดผู้ชายกล้ามปูตัวใหญ่ๆ ได้ทีเดียว5คน

“เฮ้ยพวกมึง เผ่นดิวะ”

ผมนึกไม่ออกเลยว่าทำไมคนตรงหน้าถึงมาอยู่ที่นี่ เจ้าของผมสีน้ำตาล ในวัย20ปี เสื้อคลุมแจ๊กเก็ตกับเสื้อยืดขาวด้านใน ตัดกับเดฟยีน มือของเขาเปื้อนเลือดของพวกคนร้ายที่เพิ่งจะซัดแบบ1 รุม 5 จนพวกมันหนีกระเจิง สาวตาของเขาหันมาทางนี้ ก่อนที่ขายาวๆ จะก้าวตามมา แบบที่ว่า หกเจ็ดก้าวก็ถึงแล้ว

“พี่ ไปมีเรื่องกับมันได้ไง”

ที่เคยคิดว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆ ก็ไม่เกินจริงเลย เฮ้อ นี่มันวันอะไรเนี่ย ทำไมมันถึงได้แจ๊กพ็อตตลอดวันขนาดนี้

ถ้าผมรู้ว่าถอดถุงดำแล้วต้องมาเจอคนๆ นี้ในสภาพนี้ เอาถุงดำคลุมผมแล้วจับโยนลงถังขยะไปเลยดีกว่า “บิว” น้องชายแท้ๆ แบบที่ว่าพ่อกับแม่เป็นคนเดียวกันแบบสำเนาถูกต้อง เขากำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างหน้าผม มือขวาเอื้อมมาจับใบหน้าผมหันไปมา พลิกซ้ายพลิกขวาควับๆ อย่างกับพลิกปลาทู ตรอกแคบๆ ที่ธรรมดากลิ่นก็เหมือนร้านขายหมูอยู่แล้ว พอเจอสถานการณ์แบบนี้ยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่ แล้วหมูถูกเชือกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผมเอง

“เอ่อ…คือ…” ผมเอ่ยตะกุกตะกัก พยายามคิดหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาอธิบาย สายตาของน้องชายสุดสวาทขาดใจว่ากดดันแล้ว พอหันไปมองหาตัวช่วย ทั้งเฟิร์นและเดลต้าใช้สายตาคาดคั้นหาคำตอบไม่แพ้กัน นี่มันอาการของเด็กโดดเรียนที่โดนครูฝากปกครองเรียกมาอบรมชัดๆ “เอ่อ…คือ”

เฮ้อ นี่ผมควรจะทำอย่างไรดีล่ะ จะให้ตอบว่า คนที่มากระทืบพี่ชายตัวเองเกี่ยวข้องกับคดีคนตายที่ไหนไม่รู้ พอดีพี่บุญหล่นทับ พระเจ้าให้พลังตาทิพย์มองเห็นผีเยลลี่ก้อนสีฟ้าที่มีงานอดิเรกเป็นการโดดดึ๋งๆ เด้งไปเด้งมารอบห้อง แล้วเขาก็ต้องมารับบทนักสืบ จับกุมคนชั่วพดุงคุณธรรมอย่างนั้นหรือ ไม่ว่าจะมองในมุมเดลต้า บิว หรือเฟิร์น ก็ดูจะหาความน่าเชื่อถือไม่ได้เลย

ผมคิดจนหัวจะระเบิดแล้วเนี่ย หรือจะแก้ตัวแบบเด็กอนุบาลสามบอกว่าพวกคนร้ายเป็นพวกแก๊งทวงหนี้ แบบว่า ยืมมาจ่ายค่าปาท่องโก๋ทอดแล้วยังไม่คืนดีไหม

“ท่านรามไปยุ่งกับคดีแปลกๆ เข้าน่ะสิครับ” เสียงใสของเด็กน้อยประจำกลุ่มดังมาจากด้านหลังขัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวผม ใบตองเดินเข้ามาหาผมที่ตอนนี้นั่งอยู่ที่โต๊ะไม้เก่าๆ ใกล้ที่เกิดเหตุ “ที่เอ้โดนทำร้ายก็เพราะพวกมันเข้าใจว่าเอ้คือท่านราม ผมไปเยี่ยมเอ้ที่โรงพยายาบาลเมื่อเช้านี้”

“ใบตองเป็นคนตามพวกกูมาช่วยมึง ไม่งั้นหล่อๆ อย่างกูไม่มาที่แบบนี้หรอก” เดลต้าเสริม

“อืม” พอรู้ความจริงเรื่องเอ้ มันก็รู็สึกจุกจนพูดไม่ออกเลย

“พวกมันเป็นใคร” น้องชายสุดสวาทขาดใจของผมเอ่ยถาม แต่รอบนี้ไม่ได้ถามผมนะ โน่น หันไปถามใบตองโน่น

“คนที่ทำร้ายเอ้ มันขู่ให้รามเลิกยุ่งกับคดีการตายของใครสักคนนี่แหละ เอ้บอกว่าจำชื่อไม่ได้”

สีหน้าใบตองเล่าเหมือนมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา เล่าไปแบ๊วไป ผมอยากจะถามใบตองเหมือนกันว่าญาติเป็นโคนันหรือเปล่า แหม… ตอนนี้ผมไม่อยากลากใครเข้ามาพัวพันธ์กับเรื่องนี้ เพราะฆาตกรมันน่าจะรู้ตัวแล้ว และผมก็ไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรอีกบ้าง คงไม่นั่งว่างส่องหุ้นเหมือนเอ้ หรือเสยไลฟ์ไอจีแบบเดลต้าแน่ๆ

“ไปเอารถมาให้หน่อย ฉันจะขับกลับเอง” ผมหันไปบอกบิว พร้อมล้วงกุญแจรถในกระเป๋ากางเกงยีนให้ จังหวะก้มมองแล้วเห็นเสื้อฮู้ดเทาตัวเองเน่าจนไม่เหลือสภาพก็แอบรู้สึกสลดใจ

“รามคะ” ใบเฟรินปราม

“ถ้าฉันพร้อม ฉันจะเล่าทุกอย่างเอง ขอบใจ และขอโทษด้วย”

ผมพูดตัดบทแค่นั้น ทั้งเพื่อนทั้งน้องหันมองหน้ากันอย่างปรึกษา ผมรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงผมถึงได้ถามเรื่องเหล่านี้ แต่เชื่อเถอะว่าถ้ามีใครรู้เรื่องเข้า ทุกอย่างจะแย่กว่านี้

“ราม เจ้าขับรถไหวแน่หรือ”

“อืม”

ผมเอื้อมมือไปบี้บี้บีบบีบเจ้าก้อนสีฟ้าที่จุ้มปุ๊กอยู่เบาะข้างคนขับเบาๆ บาดแผลในร่างกายระบมเขียวบ้าง ม่วงบ้าง สร้างความเจ็บปวดทุกครั้งที่หมุนพวงมาลัย เหยียบเบรก หรือขยับตัว จนต้องนิ่วหน้า

พีทจับสังเกตได้จึงถามแล้วถามอีกด้วยน้ำเสียงแผ่วระคนอ่อนโยนว่าไหวไหม

เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงกับสภาพการจราจรประเทศไทยที่ผู้คนใช้เวลาบนถนนมากกว่าในร้านอาหารเสียอีก เยี่ยมจริงๆ เจ้าก้อนที่เห็นผมสีหน้าไม่ดีก็เริ่มเด้งดึ๋งๆ อยู่ไม่สุขตามอาการร้อนใจ

“ฆาตกรเป็นผู้หญิง” ผมบอกพีทหลังจากตัดสินใจอยู่นาน มือจับพวงมาลัย ขาเหยียบคันเร่งหลังรถคันหน้าเริ่มขยับ “ที่เอ้เข้าโรงพยาบาลเพราะคนร้ายมันตั้งใจมาทำร้ายฉัน พวกมันขู่เรื่องคดีของพีท เมื่อเช้ามีคนส่งจดหมายเลือดมาให้ฉัน ไหนจะเหตุการณ์ตอนเที่ยงกับเย็นนี้อีก ถึงคนร้ายจะคนละกลุ่มแต่คนจ้าง เป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่ฆ่าพีทแน่นอน”

“ราม เจ้าจะอันตราย” พีทเสียงแผ่ว สีหน้ารู้สึกผิดแบบปิดไม่มิดเลย

“น่าจะเป็นเด็กวารสารรุ่นเดียวกับพีท ไม่ต้องห่วงฉัน ฆาตกรต้องไปสารภาพบาปในคุก ถ้าจับคนร้ายได้ ทุกคนจะปลอดภัย ทั้งฉันและนาย”

สีหน้าท่าทางของพีททำให้ผมเศร้าไปด้วย ผมก็อยากจะให้พีทร่าเริง ไม่ต้องบอกอะไร รอจนทุกอย่างคลี่คลายแล้วให้เขาไปเกิดทีเดียว แต่พอเห็นสายตาที่พีทมองมาเมื่อกี้ มันเหมือนกับสายตาของบิวที่มองผมเมื่อตอนเย็นนี้ ถ้าผมเลือกจะไม่พูดอะไรเลย อาจจะเป็นการขโมยทั้งความสุขและความจริงของเขาไป จริงๆ ถ้าผมจัดการทุกอย่างเองได้ ต่อให้ผมจะต้องเป็นเหยื่อล่อ ผมก็ยินดีจะทำเพื่อลากคอฆาตกรเข้าตาราง

ทันใดนั้นเอง…

กึก! เอี๊ยด!

“ราม เกิดอะไรขึ้น”

“เหมือนล้อรถจะเหยียบอะไรสักอย่าง รถเสียหลัก! พีทระวังนะ”

ปรี๊น! ปรี้นๆ!

“ราม!”

โครม!

.

.

.

ตอนต่อ2

แอ่ อี๊ แอ่ อี๊ดดดด

เสียงเพลงมอญร้องไห้ผสมเสียงสะอื้น ดังลั่นห้องพักผู้ป่วย เจ้าของลำโพงหกตัวที่ขนมาเพื่อการนี้นั่งสะอึกสะอื้นราวกับโลกจะแตก เพลงศักดิ์สิทธิ์ในงานพิธีเศร้าโศกลอยเข้าหูคนป่วยและคนเฝ้าไข้มาตลอดสามวัน สามวันที่ไม่มีใครห้ามเพราะแพ้น้ำตาเด็กน้อย คนที่ฟื้นสติมาได้สามวันอยากจะสลบเหมือดอีกรอบ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“คนไข้เป็นอย่างไรบ้างครับ เจ็บแผลไหม”

“เจ็บสิหมอ คนหล่อๆ อย่างผมนี่ซี๊ดเลย” คนเฝ้าไข้ตอบแทน เขาพิงพนังเสยผมอย่างกับตัวเองอยู่ในสมุดภาพ

“...” ผมส่ายหัว

“ดีครับ เข้าเฝือกอีกสองอาทิตย์ กระดูกที่ร้าวก็น่าจะเข้าที่แล้ว ระหว่างนี้ก็อย่าขยับขาทั้งสองข้างมากเกินไปนะครับ”

“ครับหมอ” ผมตอบ

“ฮือ อึก ฮือๆ”

หมอหนุ่มปรายตามองเจ้าของเพลงมอญร้องไห้ที่ยังสะอึกสะอื้นตัวโยนที่โซฟาไม่หยุด หมอครับนอกจากขาแล้วรับรักษาจิตใจด้วยไหม เฮ้อ…หมอสีหน้าสิ้นหวังมาก ก็นะ เป็นแบบนี้ตั้งแต่ผมยังไม่ฟื้นจนฟื้น หมอคงเมินแล้ว

“ฮืก อีก ฮือๆ”

“ใบตอง”

“ครับ ท่านราม ฮือๆๆๆๆ” ใบตองกระโจนมากอดเอวผมทันที เอาน้ำตาที่ไหลเป็นก๊อกมาราดเสื้อผมจนเปียกชุ่ม

“ปิดเพลง” ผมเอ่ยเสียงเรียบ

“ครับ ท่านราม” บอกครับแต่นิ่งคืออะไร

“ใบตอง ปิดเพลง”

“ครับ ท่านราม”

ตุบ ตุบ ปึก

ระหว่างที่ผมกำลังจดจ่อกับใบตองที่พูดไม่รู้เรื่อง เอาแต่กอดเอวผมร้องไห้ ทันใดนั้น NVP ของจริงก็ปรากฏตัว ลำโพงทั้งหกเครื่องมีสภาพน่าอนาถใจ บ้างก็ควันขึ้น บ้างก็ผ่าเป็นสองท่อน บ้างก็แบนแต๊ดแต๋ เสียงมอญร้องไห้หายเข้ากลีบเงียบ ใบตองรีบพุ่งไปดูซากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กระจัดกระจายอยู่กับพื้น

“โทษที เท้าลั่น” คนเสยผม หย่อนก้นนั่งที่โซฟาทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว

เท้าลั่น โอ้โห ลั่นได้ถูกเวลามากเลย น่าจะลั่นแบบนี้ตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว ผมนี่ยกนิ้วโป้งให้ในใจเลย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ขออนุญาตครับ”

ตำรวจสองนายในชุดเครื่องแบบเต็มยศยืนตะเบะหลังก้าวพ้นประตูมาได้สองก้าว คนที่ยืนนำหน้าดูเหมือนจะยศใหญ่กว่าคนที่มาด้วยหน่อย ที่มากระทันหันแบบนี้ ไม่บอกก็รู้ว่ามาทำไม เดลต้าที่ยืนอยู่ใกล้แขกที่สุด ผายมือต้อนรับมาทางผม แหม…ขอโทษนะ นี่บ้านมึงหรือ

“ผู้เสียหายรู้จักคนในรูปนี้ไหมครับ” ตำรวจเปิดรูปผู้หญิงคนหนึ่งในโทรศัพย์ยื่นมาให้ผมดู

อืม…คนๆ นี้ขาว ผอม สวย และติดจะหยิ่งๆ หน่อย

ใครอ่ะ

“...” ผมส่ายหัว

“เธอชื่อ แพร เห็นว่าเรียนคณะเดียวกันสาขาเดียวกันกับคุณ” พอตำรวจพูดชื่อเท่านั้นแหละ เจ้าสองคนจอมวุ่นวายก็เด้งตูดจากโซฟามาเสนอหน้าข้างเตียง ทำตัวขี้เผือกเป็นป้าข้างบ้านฉกโทรศัพท์ตำรวจไปดู

“นี่มัน….” ทั้งสองคนเอ่ยเสียงลั่น มองหน้ากันเลิ่กลัก ก่อนที่เดลต้าจะเป็นตัวแทนหมู่บ้านพูดต่อ “แพรเป็นดาวคณะครับ สาขาเดียวกัน แต่เธอติดงานก็เลยไม่ค่อยได้เข้าเรียน มีเจอบ้างในวิชารวม”

ก็ว่าอยู่ว่าทำไมไม่คุ้นหน้าเลย

“เธอเป็นคนวางตะปูเรือใบรถของผู้เสียหาย ตอนนี้ฝากขังอยู่ที่สอนอครับ เท่าที่สอบปากคำเธอ เรายังหาแรงจูงใจในการก่อเหตุไม่พบ”

หรือว่าแพรจะเกี่ยวข้องกับการตายของพีท

“ท่านรามครับ ทะเลาะอะไรกับคุณแพรหรือครับ” ใบตองถาม

“...” ผมได้แต่ส่ายหัว

การที่ผมเห็นพีทแค่คนเดียว ทำให้ผมไม่สามารถสื่อสารกับพีทต่อหน้าคนอื่นๆ ได้ หลังจากฟื้นขึ้นมาจึงติดสินบนเจ้ายมฑูตเส็งเคร็งเป็นการใหญ่ เพื่อฝากเจ้าก้อนไปทัศนศึกษาด้วยสักระยะ พีทคัดค้านที่จะอยู่กับผมด้วยสีหน้าโทษตัวเอง เอาแต่พูว่าขอโทษๆ ไม่หยุด เกลี่ยกล่อมอยู่ชั่วโมงหนึ่งระหว่างที่ยังไม่มีใครมาเฝ้าจนสุดท้ายก็ยอมไปอย่างจำใจ

คงต้องรอออกจากโรงพยาบาลแล้วคุยเรื่องนี้กับพีท

เฮ้อ คดีของผีช่างวุ่นวายนัก ไม่สิ คดีของเจ้าก้อนเยลลี่ต่างหาก

ครืด…. ครืด…

โทรศัพท์สีดำข้างหมอน สั่นเป็นจังหวะ หน้าจอขึ้นชื่อสายเรียกเข้า ทำเอาหน้าเจ้าของถึงกับถอดสี เรื่องคดียังไม่ทำให้เขาประหม่าจนกลืนน้ำลายลงคอก้อนใหญ่ขนาดนี้เลย เดลต้ากับใบตองชะโงกหน้ามาดู ก่อนจะขำในลำคอ

“งั้นถ้าออกจากโรงพยาบาลแล้ว ขอเชิญไปให้ปากคำที่สอนอหน่อยนะครับ ขอตัว” ตัวรวจทั้งสองนายตะเบะก่อนจะออกไป คนเฝ้าไข้ทั้งสอง นั่งที่โซฟา ส่วนผม…

ติ้ด

“ฮัลโหล”

(ทำไมรับสายช้า)

“พี่มีแขกน่ะ”

(อยู่โรงพยาบาลมีแขกด้วยหรือ ช่างเหอะ เริ่มเลย)

“เฮ้อ เรามีกันแค่สองพี่น้อง พ่อตาย แม่แต่งงานใหม่ที่เมืองนอก ตั้งแต่บิวเจ็ดขวบพี่ก็สัญญาว่าจะดูแลบิวให้ดีที่สุด แม่ถึงไม่บังคับให้บิวย้ายไปอยู่กับแม่ ตอนเด็กๆ พี่ยอมถูกพวกนักเลงรุมซ้อม เพราะไม่อยากให้พวกมันไปยุ่งกับบิว และตอนนั้นพี่ก็สัญญาแล้วว่า เราสองคนจะไม่มีอะไรบิดบังกันอีก เราจะคุยกันทุกเรื่อง ….”

เอ้า นักเรียนออกมาท่องกลอนสุนทรภู่หน้าห้องค่ะ เฮ้อ ตั้งแต่เกิดเรื่องผมกับบิวก็ไม่ต่างอะไรจากครูกับนักเรียนเลย น้องชายสุดสวาทขาดใจโทรมาให้ผมเล่าถึงความสนิดแน่นแฟ้นและสัญญาต่างๆ ของเราสองคนให้ฟังทุกวัน เฮ้อ น่าเบื่อ แต่ก็นะ ทำก็ได้ เพื่อน้องสุดที่รัก

เมื่อไหร่จะออกจากโรงพยาบาลเนี่ย อยากเจอพีทแล้ว!

อยากอยู่อย่างสงบ

“ท่านรามคร้าบบบบ ไปกับผมเถอะนะครับ”

“ไอรูปปั้น ไปกับกูดีกว่าเว้ย งานนี้ไม่เช้าไม่กลับ”

“แต่รามคะ ไปสะเดาะห์เคราะกับเฟิร์นดีกว่าค่ะ”

เฮ้อ น่ารำคาญ

ขอเคี้ยวอากาศสักที ผมถูกดึงแขนไปทางซ้ายทีขวาที เดี๋ยวเฟิร์นดึงมือไปจับ เดี๋ยวใบตองดึงมือไปจับ วันนี้ออกจากโรงพยาบาล ทุกคนก็เลยวุ่นวายเป็นพิเศษ เฟิร์นจะลากผมไปสะเดาะเคราะห์ล้างซวยเก้าวัด ใบตองจะพาไปหาหมอดู ส่วนเดลต้าจะพาเข้าผับไปฉลอง สุดท้ายจนถึงป่านนี้ก็ยังไม่ได้ขึ้นรถสักที

“คุณราม” ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวในชุดเดรสชมพูคนหนึ่งขัดจังหวะความวุ่นวายนี้

แกร๊ก

“ราม!!!!”

ทันทีที่เปิดประตูเข้าห้อง เจ้าก้อนสีฟ้าก็เด้งดึ๋งๆ ขึ้นมาบนหัวผม โยกไปมายืดๆ หดๆ อยู่บนหัว สงสัยเจ้ายมฑูตจะพากลับมาส่งที่ห้องสักพักแล้ว ตอนนั้นทำหน้าเศร้ารู้สึกผิด ตอนนี้กลับมาดีดเป็นจิงโจ้เหมือนเดิมซะงั้น

ค่อยยังชั่วหน่อย สุดท้ายก็ตรงกลับมาที่ห้อง

ผมวางกระเป๋าสัมภาระใบหนึ่งบนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะเอาสารร่างตัวเองไปทิ้งลงบนโซฟา ใบหน้าล้าไม่ไหว ส่วนเจ้าก้อนตอนนี้ดีใจที่ผมหายแล้วอย่างกับถูกหวย โน่นเด้งไปเด้งมาชนพนังห้องขวาซ้าย ชนเพดานบ้างโคมไฟบ้าง ปิงปองยักษ์ขนานแท้ เอาเถอะ มีเรื่องต้องคุยกับพีทแต่…

ดึ๋ง…ดึ๋ง…ดึ๋ง…

ดึ๋ง…ปัก… (พีทเด้งไปชนโคมไฟล้มลง)

ดึ๋ง…ดึ๋ง…ดึ๋ง…

ดึ๋ง….โครม…. (พีทเด้งไปชนชั้นหนังสือล้มตูม)

เฮ้อ วันนี้ขอไปอาบน้ำนอนเลยแล้วกัน

ติ๊ก ตอก ติ๊ก ตอก

พีทโดดดึ๋งๆ ไปข้างๆ หมอนบนเตียงของราม มองเจ้าของเตียงกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา สายตาอาลัยอาวรณ์แสดงออกราวกับคนบนเตียงกำลังจะสลายไป

“จริงๆ ก็ใช่แหละ เป็นข้าจริงๆ ปะ…เป็นข้าที่พาอันตรายมาให้เจ้า เป็นข้าที่พรากตัวตนของเจ้าไป เจ้าไม่ควรมายุ่งกับเรื่องพวกนี้เลย” แม้น้ำเสียงคนพูดจะแหบพร่า แต่ทว่าบนในหน้ากลับปรากฏรอยยิ้มประหลาด

“จะลักหลับเจ้านี่หรืออย่างไร” ยมฑูตที่เพิ่งปรากฏกายตรงประตูเอ่ยทัก

“เป็นข้าจริงๆ ด้วย ท่านยม อย่างที่ท่านบอก”

“หืม ตัดสินใจแล้วหรือ” คนถามเห็นคนตอบนิ่งเงียบ จึงเค้นต่อ “แต่เจ้าจะสลายไปตลอดกาลนะ”

“....”

“ฮือ ฮื้อ ฮืม ฮื้อ ฮือ”

แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าในวันที่เมฆเปิดแบบนี้ ช่างเป็นใจในการตากผ้าเสียจริง สงสัยวันนี้เทวดาเพิ่งแต่งงานใหม่บรรยากาศเลยเป็นใจเป็นพิเศษ หลังจากตากผ้าตัวสุดท้ายแล้ว ไปนั่งกินเค้กช็อกโกแลตดีกว่า ฮัมเพลงสักพักคอก็เริ่มกระหายของหวานซะแล้วสิ

ดึ๋ง….ดึ๋ง…ดึ๋ง…

สงสัยเจ้าก้อนนี่จะคิดว่าตัวเองเป็นแมว ถึงได้โดดดึ๋งๆ ตามผมตั้งแต่ตื่นนอนแล้ว นี่ถ้าไม่ดุไม่ด่าส่งสายตาห้าม คงตามเข้าห้องน้ำด้วย วิญญานที่เดือดร้อนมาขอให้ช่วยนี่ไปไหนแล้ว เห็นแต่เจ้าจิงโจ้เริงร่ามีความสุข

งั่ม งั่ม

กลิ่นหอมตีขึ้นจมูกขนมเค้กตัดแบ่งทรงสามเหลี่ยมรสช็อกโกแลตละลายในปาก นุ่มละมุนทันทีที่ต่อมรับรสสัมผัส รู้สึกราวกับว่าวันนี้จะโชคดีสุดๆ ไปเลย จะว่าไปวันนี้ช่วงบ่ายต้องไปที่สอนอสินะ

“พีท”

ดึ๋ง

“เจ้าเรียกข้าหรือ” เจ้าก้อนกระโดดขึ้นมาบนโต๊ะ แหมะอยู่ข้างๆ จานเค้ก

“อืม วันนี้ไปสวนสาธารณะกัน” ผมเอ่ยเสียงเรียบ

“...” ดึ๋งๆๆๆๆๆๆๆๆๆ “รามใจดี รามใจดี รามใจดี” เจ้าเยลลี่โดดดึ๋งๆ ถี่ๆ อยู่กับที่ นี่เจ้าก้อนไปเอาเอ็นเนอร์จี้มาจากไหนเยอะแยะ เด้งได้เด้งดีแบบนี้ จับลวกใส่เส้นใส่เครื่องปรุงเลยดีไหม

“ก็แค่จะแวะถ่ายรูปก่อนไปโรงพักเท่านั้นเอง รู้ตัวคนร้ายแล้ว คนที่….น่าจะเกี่ยวข้องกับการตายของพีท หรือไม่ เขาก็คือฆาตกรที่เราตามหา” ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาสื่อว่าตอนนี้ความจริงกำลังค่อยๆ ปรากฏออกมาแล้ว

“รามใจดี รามใจดี” ดึ๋งๆๆๆๆๆๆๆ

“ฟังอยู่ไหมเนี่ย เฮ้”

หมับ

“จะ….เจ้า ปล่อยข้า” แมวน้อยจอมพยศโยกไปมา ยืดๆ หดๆ ในมือ พยายามหดตัวเองลอดฝ่ามือลงไปบนโต๊ะ แต่แมวก็คือแมว

“นิ่งๆ” เจ้าก้อนหยุดดุ๊กดิ๊กไปมา จะว่าไปผิวมันก็หนึบๆ นิ่มๆ ไหนขอจิ้มหน่อยสิ

“จะ…เจ้า อื้อ”

ไหนลองบีบๆ คลึงๆ นวดๆ หน่อย อือหือ เจ้าก้อนหลับตาพริ้มเลยนะ แถมลมหายใจยังแผ่วๆ ช้าๆ ให้อารมณ์เหมือนกำลังเกาคางแมวอยู่จริงๆ

“...”

“ปล่อย!” เจ้าก้อนลืมตาโต เอ่ยขู่หง่าวๆ เสียงดัง เมื่อกี้ยังเคลิ้มอยู่เลย ผมยอมปล่อยแมวเหมียวลงพื้นโต๊ะ เจ้าก้อนรีบโดดดึ๋งๆ ไปโซฟาหน้าทีวี เพิ่งสังเกตว่า เยลลี่สีฟ้ากลายร่างเป็นสีชมพูไปแล้ว ผมยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว

“ผลัดสีอีกแล้วหรือ”

“...” เจ้าก้อนอยู่นิ่งๆ เป็นเยลลี่เรียบร้อย เมินคำหยอกล้อของผม แต่ถึงจะทำตัวนิ่งสงบ ทว่าสีกายเปลี่ยนจากชมพูเป็นชมพูเข้มแบบเนี๊ยนเนียน ฮ่าๆ นี่ถ้าไม่ติดว่าผมถอดผ้าม่านไปทำความสะอาด พนันได้ว่าเจ้าก้อนกลมนี่ได้โดดดึ๋งๆ ไปอยู่ที่ซอกตู้หลังผ้าม่านแน่

“ฮืม ฮื้อ ฮืม” ผมเดินฮัมเพลงนำจานไปล้างอย่างอารมณ์ดี

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผู้หญิงคนหนึ่งมาหาผมที่ห้อง เธอคือคนที่ผมเจอขากลับจากโรงพยาบาล วันนั้นไม่สดวกคุยเลยนัดให้มาคุยที่นี่วันนี้ ผมเชิญแขกเข้ามานั่งด้านใน เธอบอกว่า เธอชื่อ 'ริน' เป็นเลขาและเพื่อนวัยเด็กของแพร ผมไม่สนว่าแพรหรือรินจะเป็นใคร ตอนนี้ผมสนใจแค่ พวกเขาเกี่ยวข้องอะไรกับพีท

แต่ว่า

ดึ๋ง…ดึ๋ง….ดึ๋ง….ดึ๋ง

ถ้าบอกให้เจ้าก้อนเยลลี่หยุดโดดดึ๋งๆ บนหัวผมจะดีมาก

“ได้โปรดอย่าเอาเรื่องคุณหนูแพรเลยนะคะ คุณหนูถูกตามใจมาตั้งแต่เล็ก อาจจะทำอะไรผิดพลาดตามอารมณ์ไปบ้าง คุณรามอย่าถือสาเลยนะคะ”

“ตอบคำถามฉันมาข้อหนึ่ง”

“ค่ะ”

“เธอรู้จักพีทหรือเปล่า” หญิงสาวชะงักไปครู่หนึ่ง

“พีทไหนหรือคะ พอดี คนชื่อพีทที่รู้จักมีเยอะมากเลย”

ถ้าบอกว่าพี่ที่ไม่ใช่คนจะกระชับขึ้นไหมนะ

“พีทที่เรียนวารสาร ไม่สิ เคยเรียน”

ใช่ๆ เคยเรียนวารสาร แต่ปัจจุบันแปลงร่างเป็นจิงโจ้ไร้สังกัดโดดดึ๋งๆ ไม่หยุด อยู่บนหัวเนี่ย

“ขอโทษนะคะ รินไม่รู้จักใครที่เรียนวารสารเลยค่ะ”

“อ่อ อืม” ดูท่าแล้วผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้โกหก เพราะพีทเองก็บอกผมทีหลังว่าเขาไม่รู้จักริน

“วอร์หนึ่งเรียกวอร์สอง ติ้ด…”

ผมนั่งรอเจอแพรที่ห้องรวมกับเอ้ ส่วนพีทก็อยู่บนหัวเหมือนเดิม สักพักมีตำรวจยศผู้กองเรียกผมเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง เอ้รออยู่ด้านนอก ในห้องมีผู้หญิงคนหนึ่งในชุดนักโทษนั่งหันหลังอยู่ ตำรวจยืนอยู่ข้างประตูสองนาย เปิดอิสระให้ผมคุยกับเจ้าของข้อมือที่มีกุญแจเหล็กคล้องอยู่อย่างเต็มที่

“แพร”

ดวงตาโกรธจัดมองตาขวาง ตาขาวปนสีแดงดังมีดคมที่อาบไปด้วยแรงอาฆาต อือหือ จ้องอย่างกับผมไปสร้างความเจ็บแค้นอะไรให้ตั้งแต่ชาติปางก่อน แพรลุกขึ้นยืน ค่อยๆ สาวเท้ามาหาผมที่อยู่กลางห้อง

“ทำไม….ทำไมแกไม่ตายๆ ไปซะ อ๊ากกกกกก”

หญิงสาวคำรามก่อนจะพุ่งมากดผมลงกับพื้น พีทหล่นจากหัวลงไปด้านข้าง แรงมาหาศาลส่งมาอย่างไม่ปราณี มือน้อยๆ บีบเค้นลำคอจนรู้สึกจุกอก

“มึงมันแส่ไม่เข้าเรื่อง คนตายไปแล้วจะรื้อฟื้นมาทำเหี้ยอะไรวะ มึงต้องตาย มึงตาย!!!!” ตำรวจสองนายลากแพรออกไป ผมลูบคอตัวเองป๊อยๆ ราวกับที่มือมียาฟื้นฟู ผมกับพีทมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ

ผู้หญิงเกี่ยวข้องกับการตายของพีทไม่ผิดแน่

“ไหวไหม” เอ้ถาม ตอนนี้ผมนั่งอยู่ห้องรวมกับเอ้รอตำรวจมาสอบปากคำเพิ่มเติม

กริ้ง….กริ้ง….

“ฮัลโหล ฟิวส์หรือ ….อ่อๆ ได้แล้วใช่ไหม ไม่มีปัญหา ติ้ด.” ปลายสายทำหน้าบอกบุญไม่รับ สายตาดูเอียนมาก

“เป็นอะไรหรือ” ผมถาม

“งานคู่วิชาอาจารย์มณีนะสิ ช่วงนี้ผมยุ่งมากเลยฝากงานไว้กับเดลต้า แต่เจ้านั่นกลับไปจ้างให้คนอื่นทำให้ แถมยังไม่ยอมไปรับงานเองอีก”

“แสดงว่าต้องไปจัดการเองสินะ”

น่าสงสาร งานก็ยุ่ง ได้จับคู่กับเดลต้าจอมขี้เกียจด้วย ยิ่งแล้วใหญ่ มีอะไรที่พอจะช่วยได้ไหมนะ

“ส่งคอนแท็กเขามาสิ เดี๋ยวฉันไปเอางานมาให้ แค่ไปรับงานมาให้…” ผมพูดไม่ทันจบ คุณตำรวจก็มาซะก่อน

“ตอนนี้ผู้ต้องหากำลังสงบสติอารมณ์นะครับ เมื่อกี้เจ้าหน้าที่เช็คกล้องวงจรปิดแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ดูเหมือนผู้ต้องหาจะพูดถึงการตายของใครสักคน คุณพอจะอธิบายหน่อยได้ไหมครับ”

“เอ่อ…คือ…”

ผมไม่ได้บอกอะไรตำรวจ เพราะกลัวจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ผมต้องหาเวลามาเยี่ยมแพรอีก ถึงจะเสี่ยงไปหน่อย แต่เบาะแสชั้นดีขนาดนี้ จะทิ้งไปไม่ได้ ดีไม่ดี ผมว่าแพรนี่แหละที่ฆ่าพีท

ปึก

ประตูรถคันเก่งถูกปิดล็อก คนขับเตรียมคาดเข็มขัดนิรภัยและออกรถ เจ้าก้อนสีฟ้าย้ายตำแหน่งจากบนหัวคนขับไปที่เบาะด้านข้างคนขับ ดูเหมือนการมาวันนี้จะไม่เสียเที่ยว แปลกอย่างเดียวที่…

“แน่ใจนะพีท”

“อืม…ข้าไม่รู้จักเขา”

นี่พีทจำแพรไม่ได้ หรือไม่รู้จักจริงๆ ล่ะเนี่ย แต่เป็นคนฆ่าตัวเองตายเลยนะ จะจำหน้าไม่ได้เลยหรือ เฮ้อ ปวดหัว

ครืด…ครืด….

บอกผมทีว่าผมตาฝาด บอกทีว่าหน้าจอไม่ได้ขึ้นชื่อ คนคนนั้น ผมไม่อยากเล่าเรื่องความสัมพันธ์และสัญญาแบบหนังเก่าเล่าใหม่แล้ว เดี๋ยวนะ ผมออกจากโรงพยาบาลแล้วนี่

“ฮัลโหลบิว”

(พี่ มาหาผมที่คาเฟ่ประจำหน่อย)

อารมณ์ไหนเนี่ย หรือวันนี้เทวดาที่อยู่บนฟ้าอยากกระชับความสัมพันธ์พี่น้อง

“ตอนนี้เลยหรือ”

(ใช่)

“มีอะไรหรือเปล่า ทะเลาะกับแม่หรือ”

แม่โทรหาผมกับน้องทุกอาทิตย์ กับผมก็ถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป แต่กับน้องนี่คืออย่าเรียกว่าคุยกัน เรียกว่า 'หยุมหัว' กันดีกว่า

(พี่ราม พี่คิดจะบอกผมเมื่อไหร่)

ผมลอบกลืนน้ำลาย หรือปลายสายจะบ่นเรื่องของหวานอีกแล้วเนี่ย

“บิว….”

(ผมรู้แล้วนะว่าพี่ไปยุ่งเรื่องอะไรอยู่)

“บิว น้องหมายถึงอะไร”

(ผมรู้เรื่องการตายของคนที่ชื่อพีท)

“...”

กลิ่นดินและแร่ธาตุคลุกเคล้ากับอินทรีย์วัตถุลอยตบจมูก รองเท้าผ้าใบขาวแต้มสีดินร่วนส่วนหนึ่ง ทิศทั้งสี่เป็นเรือนกระจกสามส่วน อีกด้านต่อเข้ากับห้องไม้เล็กๆ ด้านในบรรจุอุปกรณ์ตัดแต่งพืชสวน โต๊ะไม้ขนาดมาตรฐานพร้อมเก้าอี้สองสามตัว ถูกจัดวางอย่างไร้แบบแผน วิญญานดวงกลมเคลื่อนไหวกระดุ๊กกระดิ๊กขึ้นลงย้ำๆ อยู่บนโต๊ะไม้สน ผู้ครอบครองรองเท้าผ้าใบตามที่กล่าวมานั้น ยืนตรวจหาร่องรอยในที่เกิดเหตุอยู่ไม่ไกล

ไม่อยากเชื่อว่าผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว

โลกนี้มีวิญญานเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่ง กล่าวได้ว่าวิญญานกับมนุษย์ก็เหมือนมีบ้านหลังเดียวกัน นั่นทำให้ผมคิดว่าวิญญานมีทั้งสุขและทุกข์เหมือนกับมนุษย์ ทว่า…

ดึ๋ง…ดึ๋ง…ดึ๋ง…

“บิวน่ารัก รามใจดี บิวน่ารัก รามใจดี๊ดี”

ผมน่าจะคิดผิด

วิญญานบางตนอาจจะไม่รู้จักความทุกข์เลยก็ได้

เจ้าก้อนเยลลี่เป็นวิญญานที่ร่าเริงและมีความสุขที่สุดในโลก ทั้งซื่อบื้อจนถูกอ่านออกได้ง่าย ขี้ตื้อ น่ารำคาญ แต่ก็เป็นความสดใสที่ทำให้โลกนี้มีชีวิต

แม้เจ้าตัวจะไม่มีชีวิตก็เหอะ

เจ้าเยลลี่คงไม่คิดว่าจะได้มาเจอคนที่มองเห็นตัวเองได้แบบนี้ เอาจริงๆ ผมก็ไม่คิด แต่ถึงจะเจอเรื่องต่างๆ มากมายตลอดสองเดือน ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่า…โชคดีจังเลย

ผมรู้ว่าเหลือเวลาที่จะได้มองเจ้าก้อนเด้งดึ๋งๆ มีความสุขกายสบายใจแบบนี้อีกไม่เท่าไหร่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผมจะไม่ปล่อยให้พีทตายฟรี ยิ่งกว่านั้น ผมไม่ปล่อยให้คนร้ายลอยนวล ที่เรือนเกษตรหลังนี้เป็นทั้งจุดเริ่มต้นระหว่างผมกับพีท อีกทั้งเป็นจุดจบของพีทเช่นกัน

ดึ๋ง…ดึ๋ง…ดึ๋ง

พีทยังคงโดดดึ๋งๆ อยู่กับที่และพูดประโยคเดิมๆ

ตัวเองตายที่นี่แท้ๆ เอาแต่เด้งดึ๋งๆ จำอะไรไม่ได้สักอย่าง เฮ้อ เหนื่อยใจ

ตัวการที่จำอะไรไม่ได้เลยนอกจากชื่อ คิดว่าตัวเองมาปิคนิกละมั้ง

ช่างเถอะ

ผมแวะเดินออกไปดูอีกคนที่สำรวจด้านนอก

พี่น้องสายเลือดเดียวกันตัดอย่างไรก็ตัดกันไม่ขาด อันนี้ผมรู้ พี่น้องที่สนิดกันมากๆ มักเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของกันและกัน อันนี้ผมก็รู้ พี่ชายที่อยู่กับน้องชายเพียงลำพังตั้งแต่วัยเยาว์มักมีน้องชายประเภทที่ เนี๊ยบ จุกจิกจู้จี้ขี้บ่น หรือมุทะลุเอาแต่ใจ อันนี้ผมก็รู้อีก แต่น้องชายประเภทที่ทำตัวเท่มากกว่าพี่ชาย อีกทั้งยังคอยตามสืบชีวิตความเป็นอยู่ของพี่ชายตัวเองนี่ มันออกจะรันทดเกินไปหน่อยไหม

หลังจากที่บิวคลายข้อสงสัยด้วยการจ้างนักสืบตามดูชีวิตประจำวันของพี่ชายตัวเอง ก็ต่อด้วยจ้างสืบประวัติของพีท ฤกษ์งามยามดีบิวก็สถาปนาตัวเองมาเป็นโคนันไขคดีแบบเต็ํมตัว วันนี้บิว ผม และผู้ตายตัวกลมๆ มาหาเบาะแสที่จุดเริ่มต้น เผื่อจะเจออะไรดีๆ แม้ว่า เอิ่ม…มันจะผ่านมาเป็นปีแล้วอะนะ

“พี่ราม มาดูนี่สิ”

น้องชายสุดสวาทขาดใจเดินมาส่วนจัดเก็บและวิจัยพืช ท่าทางจะเจอเบาะแสอะไรบางอย่าง พึ่งพาได้จริงๆ ผมรู้ว่าพีทตายที่นี่ก็เพราะบิวนี่แหละ เห็นนิ่งๆ เงียบๆ แต่ก็สืบจนรู้ทุกอย่าง

รู้มากกว่าเจ้าคนที่ตายเองเสียอีก

สุดท้ายผมก็ไม่เคยปิดบังอะไรเขาได้เลย ยังดีที่เขาไม่ห้ามแถมยังช่วยผมหาตัวคนร้ายอีกด้วย ทำเอาเจ้าก้อนที่ไปคาเฟ่กับผมเมื่อวานนี้เอ่ยชมบิวไม่หยุดปาก

“มุมซ้ายตรงประตูมีกล้องด้วย พี่ดูสิ”

จริงด้วย บิวตาดีชะมัด แบบนี้แค่ไปขอดูกล้องวันเกิดเหตุก็น่าจะมัดตัวคนร้ายเข้าซังเตได้แล้วแหละ ส่วนวันที่พีทตายแน่นอนว่าก็ต้องถามพีท…หรือ?

ถามพีทไปก็ไม่ได้เรื่องหรอก ถึงได้บอกว่าเป็นตัวการ เฮ้อ ตัวการความวุ่นวาย

โชคดี บิวสืบเรื่องของพีทมาพอประมาณ ตอนนี้เรื่องวันตายของพีทก็เข้าใจกระจ่างแล้ว เหลือแค่….ลากคนผิดมาลงโทษให้ได้ ความจริงใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว

“ตอนนี้ผมขอให้พี่อยู่นิ่งๆ”

อยู่นิ่งๆ?

“เรื่องเทปกล้องวงจรปิด ผมจะไปเอามาให้เอง ระหว่างนี่ผมขอให้พี่อย่าหาเรื่องใส่ตัว”

เฮ้อ…

“บิว พี่รู้ว่าบิวห่วงความปลอดภัย พี่ไม่เป็นไร เรื่องนี้…”

“พี่ราม!!!”

จะตะโกนทำไมเนี่ย ตกใจหมด

“อยู่นิ่งๆ ได้ไหม!!” เสียงทุ้มขู่เสียงดัง ดวงตาแข็งกระด้างที่ส่งมาช่างเหมือนมารดากำลังตำหนิเขาจริงๆ “นะ” น้ำเสียงแผ่วเบาผิดกับเมื่อกี้ มาพร้อมน้ำใสๆ ที่ปริ่มๆ ริมขอบตา วงแขนสองข้างของพี่ชายได้แต่เข้าไปโอบรัดไว้เบาๆ คนถูกกอดตัวสั่นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “นะพี่ ผมขอร้อง”

บิวไม่ใช่คนขี้แย ไม่ใช่คนอ่อนแอ และไม่ใช่คนเสแสร้งที่ชอบบีบน้ำตา ล่าสุดที่ผมเห็นเขาร้องไห้ตัวสั่นขนาดนี้ก็ตอนเด็กๆ ตอนนั้นเพื่อช่วยบิวไม่ให้โดนพวกผู้ใหญ่เกเรกระทืบ ผมเอาตัวเองไปรับแทนจนเข้าไอซียูและต้องพักฟื้นไปเป็นเดือน บิวเอาแต่ร้องไห้สำนึกผิดและโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง ตอนนี้ผ่านมาหลายปีเขาก็ยังร้องไห้เพราะผม

เจ้าน้องชายของผมยังเป็นแค่เด็กน้อยเท่านั้นเอง

ผมเอาแต่หาคนร้ายเพื่อจะช่วยพีทและค้ำจุนคุณธรรมที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง ไม่คาดคิดเลยว่าตัวเองจะกลายมาเป็นคนร้ายที่ฆ่าความรู้สึกของน้องชาย ผมคิดว่าพอปล่อยให้น้องได้แยกหอพักออกไปใช้ชีวิต เขาจะเข้าโลกส่วนตัวจนไม่สนใจพี่ชายอย่างผม ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันหรืออีก20ปี ผมลืมไปว่าเขาเป็นคนที่หวังดีและแคร์ผมที่สุด วันนี้ผมรู้แล้วว่า ผมควรจะดูแลความรู้สึกเขาให้มากกว่านี้

“อืม ขอโทษนะ” คนโดนอ้อนวอนลูบผมคนอายุน้อยกว่าด้วยกริยาที่สุภาพนิ่มนวล

ตัดภาพไปที่พีท

ดึ๋ง…ดึ๋ง….ดึ๋ง

เจ้าก้อนเด้งออกมาให้ห่างจากสองคนพี่น้อง กายสีฟ้าเริ่มจางหายเหมือนสัญญานทีวีโบราณที่ติดๆ ดับๆ ความรู้สึกเหมือนร่างกายจะถูกฉีกวิญญานแล่นเข้ามาหนักและรุนแรงขึ้น วิญญานน้อยต้องสาปอดทนตั้งสติ สะกดกลั้นเสียงของความเจ็บปวดไม่ให้เผยออกมา

เขาไม่ได้ประหลาดใจกับความผิดปรกติของวิญญานเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ามันเคยเกิดขึ้นแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เขาเพียงแค่เด้งตัวไปหลบหลังพุ่มไม้ไม่ให้ใครรู้ แน่นอนว่าใครที่ว่าก็คือคนคนเดียวที่มองเห็นเขา

ครืด….ครืด…

กายอุ่นซุกตัวในผ้าห่มอยู่ในสภาพที่ไม่รับรู้ต่อสิ่งแวดล้อม วัตถุทรงสี่เหลี่ยมข้างหมอนส่งเสียงรบกวนน่ารำคาญเมื่อมีคนจงใจรบกวนเวลานอนของเขา เปลือกตาหนักเบิกโพลง ใจกระตุกผวาจนเผลอเต้นผิดจังหวะ สายตาตวัดมองนาฬิกาดิจิตอลแขวนพนัง ก่อนจะหันไปจัดการปีศาจร้ายที่ก่อกวนเขาตั้งแต่หกโมง

เฮ้อ น่ารำคาญ อยู่กันดีๆ ไม่ได้ใช่ไหม

“ติ้ด…ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงเข้มใส่ปลายสาย

เจ้าก้อนสีฟ้าเหมือนรู้ว่าผมหงุดหงิด กระโดดขึ้นมาเด้งดึ๋งๆ บนหน้าอกผมที่นอนอยู่ ส่งเสียงเรียกชื่อผมซ้ำๆ น้ำเสียงดัดแปลงช่องเสียงที่ล้านแปดเอ่ยออดอ้อนอย่างจงใจ สงสัยคิดว่าตัวเองน่ารักมากมั้ง อืม…ก็ใช่แหละ

พีทอ้อน+ความหัวเสีย = อารมณ์ดี

สมการที่ไม่มีในห้องเรียนแต่มีในชีวิตจริง สมการที่ไม่ต้องสอบก็ตอบได้

“ไอรูปปั้น เชี่ยเอ้บอกว่ามึงจะไปเอางานให้ไม่ใช่เหรอ พรุ่งนี้กูเดทไลน์แล้วนะเว้ย มึง….”

เฮ้อ น่าเบื่อ

“อืม แค่นี้ใช่ไหม”

“กะ ก็ เอ่อ…”

“....ติ้ด”

ดึ๋ง…ดึ๋ง….ดึ๋ง

หมับ

“อื้อ ราม” เสียงสองเสียงสามครางครวญ

ผมชอบเสียงครางบู้บี้ของพีทนะ น่าแกล้ง ผมบีบๆ คลึงๆ นวดๆ เจ้าเยลลี่ไปมา เจ้าเยลลี่ก็ดูจะชอบนะ หลุดเสียงครางน่ารักเชียว แถมยังหายใจเบาๆ แผ่วๆ เหมือนแมวเคลิ้มอีก น่ารักขนาดนี้ถูกฆ่าตายได้อย่างไรเนี่ย

“อื้อ ปล่อย” เจ้าเยลลี่ผลัดสีเป็นชมพูเข้มอีกแล้ว

สีเหมือนเค้กสตอเบอร์รี่เลย เลียสักทีได้ไหม ฮ่าๆ

คอนโดหรูเจ็ดชั้นใจกลางเมืองทรงตัว U ที่ตรงกลางเป็นสระน้ำ ด้านหน้าอาคารมีแต่รถหรูมีระดับจอดเรียงราย ต้นไม้ให้ร่มเงายามเที่ยงปลูกโดยรอบตัดแต่งอย่างดี ดูมีระดับชนิดที่พูดได้ว่า ไร้ที่ติ ผมฝ่าด่านยามหลายชั้นกว่าจะมายืนหน้าประตูห้องชั้น 6 ‘ฟิวส์’ ฟรีแลนซ์ที่ปั่นงานให้เอ้กับเดลต้า ส่งที่อยู่กับเลขห้องมาให้ ดูท่าทางเป็นคนที่ไม่ระวังตัวเอาเสียเลย ผมส่งข้อความไปหาเขาแล้วว่าอยู่หน้าห้อง พีทโดดลงจากหัวผมลงไปเด้งดึ๋งๆ ที่พื้นข้างๆ ตัว หันมองเจ้าก้อนได้ไม่นานประตูก็เปิดออก

“สะ…สวัสดีครับ”

คนคนนี้!

ไม่ต้องเจอผีก็อ้าปากค้างได้ คนตรงหน้าคือเจ้าของกองหนังสือที่ได้รับฉายา สโตกเกอร์ จากพีท วันนี้เจ้าตัวเข้าประกวดมาในลุกสาวน้อยตกน้ำกับผ้าขนหนูพันรอบเอวหนึ่งชั้น แว่นตาที่เคยบดบังดวงตาสีน้ำเงินนั้นหายไปไหนแล้วไม่รู้ สายตาปกติหรือ? เขายืนเก้อเขินเอามือขวาลูบปอยผมเปียกเงอะงะ

บังเอิญแหละ แต่่…ไม่น่าไว้ใจเลย

“ราม เจ้าโทรตามเพื่อนเถอะ” เจ้าก้อนบอก

“งานล่ะ” ผมรีบตัดบท

แค่รับงานแล้วกลับบ้านก็พอ

“เอ่อ…คือ เข้ามาก่อน กะ..ก็ได้ครับ”

“เจ้าอย่าเข้าไปนะ”

“ไม่ละ”

“ผะ….ผมหนาวนิดหน่อยน่ะครับ” เจ้าบ้านลูบแขนตัวเองยืนตัวสั่นเทาอย่างน่าสงสาร

เฮ้อ ตัวเปียกแล้วเปิดแอร์ สมควร

“ราม เจ้าอย่าเข้าไปนะ” พีทปราม

“เร็วๆ”

ผมหน้าตูมบอกเสียงเย็น ก้าวเนิบๆ เข้าห้องรับแขกที่ตกแต่งอย่างดี นั่งรอที่โซฟาหน้าทีวี ตอนนี้กำลังฉายหนังสยองขวัญโรคจิตแนวหนึ่งซึ่งดูไม่เข้ากับบุคลิกเจ้าของห้องสักเท่าใด พีทกระโดดมานั่งข้างๆ

แค่รอผู้ชายแต่งตัวคงใช้เวลาไม่นานหรอกมั้ง ดีกว่ามีใครมาหนาวตายเพราะผม

ถึงเจ้าก้อนจะห้ามแต่จะให้ทำอย่างไรล่ะ ถือว่าสถานการณ์พาไปแล้วกัน จะว่าไป หมอนี่รู้จักกับเดลต้าสินะ ถ้าเป็นเพื่อนเดลต้าก็คงไม่มีอะไรหรอก

“ขะ…ขอบคุณครับ สักครู่นะครับ”

“...” ผมพยักหน้าขอไปที เจ้าของห้องรีบวิ่งไปจัดการตัวเอง แต่ก่อนจะได้เปิดประตู เขาก็ลื่นหัวทิ่มหน้าคะมำโชว์ไปหนึ่งทีหน้าประตู ดีนะที่ผ้าไม่หลุด ผมก็ไม่อยากสักการะชีเปลือยตอนนี้เสียด้วย

เฮ้อ…น่าเบื่อ

ติ่ง ติ้ง ติงๆ ติ้งๆ ติ่ง ติ้ง

ไอโฟนราคาแพงวางอยู่บนโต๊ะน้ำชาด้านหน้าโซฟา ผมนั่งนิ่งไม่สนใจเสียงเรียกเข้าที่ดังไม่หยุด ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านและไม่ชอบหาเหาใส่หัว สมองจึงสั่งการว่าให้นั่งนิ่งๆ ไม่สนใจมัน แต่เจ้าก้อนดูเหมือนจะตรงข้าม ฉีกทุกกฎของคำว่า วางตัว หรือ มารยาท แบบที่เรียกว่าโนสนโนแคร์

“ราม เจ้าดูนี่สิ” เจ้าก้อนที่เด้งไปข้างโทรศัพท์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเอ่ยอย่างกระวนกระวายใจ

ผมลอบมองทางห้องที่ฟิวส์หายเข้าไป เมื่อไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตจึงค่อยลุกไปดูมัน ภาพหน้าจอที่ปรากฎขีดกาหัวเจ้าของเครื่องให้เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยทันที พีทกับผมมองหน้ากันอย่างนิ่งเงียบก่อนเลื่อนสายตากลับไปมองรายชื่อปลายสายที่หน้าจออีกครั้ง

[พี่แพร ม.5/6]

แกร๊ก

ทันทีที่เสียงประตูห้องเปิดออก สัญชาตญาณดิบของผมมันก็บอกให้นั่งลงเดี๋ยวนี้

ร่างกายตอนนี้อยู่ในจุดที่เรียกได้ว่า ย้อนแย้งในตัวเองขั้นสุด สีหน้าและอากัปกริยานั่งนิ่งเรียบเฉยราวกับรูปปั้นหินที่เอาค้อนทุบก็ไม่แตกหัก หัวใจเต้นระทึกเหมือนเพิ่งไปวิ่งสี่คูณร้อย สมองคิดปะติดปะต่อประมวณผลต่างๆ นาๆ เทียบเท่าคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่ง

ใบหน้าค่อยๆ หันไปมองเจ้าของห้องช้าๆ

ผิดกับคนที่เพิ่งเปิดประตูออกมาที่พอได้ยินเสียงเรียกเข้า ก็รีบวิ่งแจ้นมาหยิบมือถือด้วยท่าทางลุกลี้ลุดลน ก่อนจะกดรับสายแล้วเดินหนีไปคุยทางอื่น

แน่นอนว่าผมสังเกตเห็นสีหน้าที่มองมาที่ผมตัดสลับกับมองหน้าจอมือถืออย่างมีลับลมคมในนั่น และใช่…ตอนนี้ผมต้องแข่งกับเวลาแล้ว

ปฎิบัติการรื้อค้นและสำรวจ เริ่ม!

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!