อดีตกาลเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน
เมื่อครั้งเผ่าพันธ์ปีศาจถูกแบ่งแยกออกจากเผ่าพันธ์เทพและเผ่าพันธ์มนุษย์ เผ่าพันธ์เทพเชื่อว่าปีศาจใด ๆ ล้วนชั่วร้ายไม่อาจเป็นมิตรหรือใกล้ชิดกันได้ ทำให้เกิดการแบ่งแยกเผ่าพันธ์กันอย่างชัดเจน เมื่อเทพพบเจอปีศาจสามารถสังหารได้ทันที เพราะเหตุนี้ปีศาจเองก็คิดทำลายเผ่าพันธ์เทพที่คอยข่มเหงอยู่ร่ำไปเช่นกัน แต่ใด ๆ นั้นล้วนมีสองด้านถึงจะเป็นเทพเซียนก็มีทั้งดีและชั่วร้าย ปีศาจและมนุษย์เองก็เช่นกัน เช่นเดียวกับเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
—————————————————————
โลกมนุษย์
โลกมนุษย์ได้เกิดพายุฝนฟ้าตกกระหน่ำสิบวันสิบคืนไม่มีหยุดพัก ชาวบ้านเดือดร้อนข้าวปลาไร่นาต่างเสียหาย หลายหมู่บ้านได้ถูกฝนถล่มพัดหายไปกับสายน้ำหรือถูกดินภูเขาถล่มทับจนบ้านเรือนจมลงไปกับดินโคลน
หมู่บ้านซีถังที่ชาวบ้านยากจนอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่บ้านเรือนต่างถูกปลูกสร้างด้วยดินทรายและไม้ไผ่ ชาวบ้านที่พอมีฐานะซื้อม้าต่างขนของย้ายถิ่นฐานกันขึ้นสู่ที่สูงเพื่อเอาตัวรอด แต่สำหรับครอบครัวที่จนมากก็ต้องยอมรับชะตากรรมของตนเอง
เมื่อปริมาณน้ำในเมืองหลวงสูงขึ้นจนเขื่อนที่กักเก็บน้ำจะล้นเขื่อน ทางการจึงจำเป็นที่จะต้องปล่อยน้ำจากเขื่อนออกมา ซึ่งเหล่าขุนนางต่างถกเถียงกันเพราะถ้าปล่อยน้ำไปชาวบ้านจะต้องเดือดร้อนและเมืองทั้งเมืองอาจจะจมอยู่ภายใต้มหาสมุทร
หน้าวัดเล่ยซาพระลูกวัดต่างเดินทางเคลื่อนย้ายออกจากวัดตามที่เจ้าอาวาสสั่งการ ทั้งวัดเงียบเชียบมีเพียงเสียงสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา เจ้าอาวาสซือฝงใต้ซื้อไม่ยอมเคลื่อนย้ายหนีไปจากวัดเนื่องด้วยอาพาธขาสองข้างเดินไม่ไหวจึงไม่อยากเป็นภาระให้กับลูกศิษย์ ภายในบริเวณหน้าวัดมีสระบัวอยู่ บัวเหล่านี้เติบโตภายในสระแห่งนี้มากว่าสองพันปีจนกระทั่งวัดเล่ยซามาก่อสร้างแต่ใต้ซือซือฝงไม่ให้ทำลายบัวกอนั้นแถมยังเลี้ยงดูอย่างดีให้ปุ๋ยและดูแเลเรื่องแมลงดอกบัวเหล่านี้จึงสวยสดงดงามอยู่เสมอ
ชาวบ้านที่เหลือบางส่วนต่างสวดภาวนาเทพพิรุณบนสรรค์ให้เมตตาปราณีให้ฝนหยุดตก แต่ดูคำขอร้องจะไม่เป็นผลหนำซ้ำเลวร้ายเมื่อทางการมีประกาศมายังผู้ใหญ่บ้านให้หนีอย่างเร่งด่วนเนื่องจากทางการปล่อยน้ำออกจากเขื่อนและไม่เกินหนึ่งชั่วยามหมู่บ้านนี้จะถูกกลบไปด้วยมวลน้ำมหาศาลและจมอยู่ใต้น้ำ ซือฝงใต้ซือยังคงสวดมนต์ต่อเนื่องไม่หวั่นไหว ปีศาจดอกบัวหานตันก็ปรากฎตัวออกมาจากสระดอกบัว จ้องมองใต้ซือซือฝงด้วยความเป็นห่วง พลันนั้นปีศาจเงาฮวันหยิ่นก็ปรากฎตัวออกมาพลางจับข้อมือหานตันด้วยสีหน้าแววตาเป็นห่วงอย่างสุดซึ้งพลางส่ายหน้าเชิงห้ามปราม
"ใต้ซือมีพระคุณกับข้าไม่เช่นนั้นข้าคงรอดมาไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ข้าต้องช่วยใต้ซือช่วยชาวบ้านเจ้าอย่าห้ามข้าเลยและอย่ากังวลข้าบำเพ็ญมา สองพันปีแล้วรากของข้าแข็งแรงและหยั่งลึกพอต้านทานมวลน้ำได้"
ฮวันหยิ่นปีศาจเงาคนรักของหานตันจำใจต้องปล่อยมือเพราะคงห้ามคนรักในการช่วยเหลือมนุษย์คงไม่ได้
"ถ้าเช่นนั้นข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า"
หานตันยิ้มออกมาอย่างยินดี พลางเอามือคลำที่ท้องดอกบัวเหล่าใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในครรภ์ หานตันเดินไปยังเชิงสะพานใหญ่ยืนบนสะพานที่สายฝนเทกระหน่ำสาดซัดลงมา และมวลน้ำมหาศาลกำลังพุ่งมาตามเส้นทางของแม่น้ำ หานตันร่ายมือขึ้นมาดูดพลังจากมวลธรรมชาติลงสู่ปลายเท้าแล้วหยั่งเท้าลึกลงไปเพื่อเตรียมกั้นน้ำที่กำลังทะลักเข้ามา
ร่างปีศาจดอกบัวที่หยั่งรากลงไปกางใบสีเขียวขนาดใหญ่จนปิดทางไหลของน้ำแน่นสนิท จนคิดว่าคงปลอดภัยชาวบ้านเห็นอภินิหารกลับคิดว่าคือเทพเซียนที่มาช่วยเหลือจึงยืนดูด้วยใจลุ้นระทึก น้ำเขื่อนรอบแรกปะทะมาใบบัวขนาดใหญ่เท่าประตูเมืองแห่งนึงสามารถต้านทานมวลน้ำได้ ชาวบ้านต่างส่งเสียงเชียร์และสรรเสริญแต่หารู้ไม่ว่าใบบัวมีรอยฉีกออกมา ยังไม่ทันได้ตั้งหลักมวลน้ำระลอกที่สองก็ไหลทะลักมาคราวนี้ซัดก้านใบบัวยักษ์หักไป รากเริ่มโอนเอียงลู่ไปตามแรงดันของน้ำ หานตันเริ่มอ่อนแรงเพราะไม่รู้ว่าน้ำที่ทางการปล่อยออกมานั้นมากเพียงใดเพียงแค่สองระรอกก็สุดช้ำแล้ว รออยู่บนสะพานครู่นึงจนไม่เห็นมวลน้ำมา จึงร่ายพลังดึงรากที่หยั่งไว้ขึ้นมา พลันนั้นมวลน้ำมหาศาลอีกลูกก็ทะลักเข้ามาด้วยความเร็วและแรงจนซัดรากของหานตันหลุดไปกับกระแสน้ำพัดผ่าน เพราะรากชำรุดเสียหายทำให้หานตันทรุดลงกับพื้น ฮวันหยิ่นเห็นเข้าก็เปลี่ยนร่างเป็นเงาลอยไปมาหยุดตรงหน้าหานตันแล้วรีบอุ้มนางลอยตัวขึ้นมาจากพื้นสำรวจดูเท้าพบว่าเป็นรอยช้ำที่แขนสองข้างข้าง หานตันอ่อนเพลียมากรีบบอกกับปีศาจเงา
"พาข้ากลับไปที่สระบัวที"
ฮวันหยิ่นอุ้มหญิงคนรักที่โรยแรงขึ้นมาแล้วพากลับไปยังวัดเล่ยซาค่อย ๆ หย่อนตัวคนรักลงที่สระบัว ขาสองข้างของหานตันแปรเปลี่ยนรากบัวแต่รากเสียหายหนักมากไม่อาจหยั่งลงไปลึกเพื่อรักษาได้ดั่งเดิม ปีศาจเงาจ้องมองสีหน้าเจ็บปวดของหญิงคนรักด้วยความเจ็บปวด
"ขนาดเทพบนสวรรค์ยังไม่ทำหน้าที่ของตนเอง เหตุใดเจ้าต้องทำเกินหน้าที่ด้วย ไม่ได้การหากเป็นเช่นนี้ต่อไม้รากของเจ้าหยั่งลึกดูดพลังรักษาจากธรรมชาติไม่ได้เจ้าต้องตายแน่ ข้าจะไปสวรรค์ขโมยผลไม้อายุวัฒนะมาให้เจ้า"
ฮวันหยิ่นทำท่าจะลุก หานตันจับข้อมือชายคนรักไว้พลางส่ายหน้า ใบหน้าซีดขาวอ่อนกำลังของหานตันทำให้นางกลายร่างกลับเป็นดอกบัวในทันที ฮวันหยิ่นซึ่งในใจบัดนี้กำลังหวาดกลัวและเจ็บปวดเกรงจะสูญเสียคนรักไปกำลังลุกลามเผาไหม้ความรู้สึกและสติ เขาลุกขึ้นเดินผละออกมาจากสระบัว แววตาที่กำลังเอ่อท้นไปด้วยน้ำใส ๆ นั้นไหลลงมาอาบแก้มเขายกมือมาปาดน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มก่อนหายตัวไป
ตำหนักสวรรค์
ณ สวนผลไม้สวรรค์ของเหล่าเทพเซียน มีผลไม้วิเศษนานาพันธ์ หนึ่งในนั้นที่ถูกเฝ้าดูแลโดยเวรยามทหารนั่นคือผลไม้อายุวัฒนะ ปีศาจเงาฮวันหยิ่นแฝงกายดั่งเงาไปตามการเคลื่อนไหวของสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเงาจนมาถึงสวนผลไม้เทพ ปีศาจแอบแฝงเข้าไปเด็ดออกมาได้หนึ่งลูก เห่าฟ้าสุนัขสวรรค์คู่ใจของเทพสามตาเอ้อหลางก็เห่าเสียงดังระหว่างเดินผ่านสวน
เพราะเห่าคล้ายกับได้พบเจอปีศาจ เทพเอ้อหลางจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปในสวนเพื่อตรวจสอบผลปรากฏเจอปีศาจเงาหลบหนีผ่านไปต่อหน้าต่อตา การไล่ตามจับกุมปีศาจบนสวรรค์จึงเริ่มขึ้น
ในโลกมนุษย์ หานตันที่กลายร่างเป็นบัวในสระได้กำเนิดบัวเหล่าใหม่ขึ้นมา เพราะบาดเจ็บหนักนางจึงได้ตั้งจิตอธิษฐาน ใช้พลังวิญญาณครั้งสุดท้ายขอวิงวอนไปยังเทพบุปผาที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเทพและปีศาจผู้มีหน้าที่ดูแลมวลบุปผชาติทั้งหมดในสามโลกนี้
ขณะเดียวกันปีศาจเงาฮวันหยิ่นไม่สามารถต่อกรกับเทพเอ้อหลางได้ ได้ถูกเห่าฟ้าติดตามจนพบแล้วเทพเอ้อหลางใช้ทวนเทพแทงเข้าที่ร่างปีศาจเงา ผลไม้อายุวัฒนะยังกำอยู่ในมือแน่น ร่างปีศาจเงาทรุดลงเทพเอ้อหลางมาดึงเอาผลไม้สวรรค์จากในมือก่อนจะเงื้อทวนขึ้นปลายทวนแหลมชี้ไปที่ร่างของปีศาจเงากำลังจะถูกแทงอีกรอบก่อนวิญญาณแตกสลายวาระสุดท้ายของชีวิตปีศาจเงาตัดสินใจฮึดสู้ลมหายใจสุดท้ายหนีจากคมทวนของเทพเอ้อหลางแล้วหนีไปที่ประตูสวรรค์ก่อนหลบหนีไปที่โลกมนุษย์
ร่างที่กำลังจะสูญสลายของปีศาจเงาเดินทางกลับไปถึงสระบัว ร่างปีศาจเงาค่อย ๆ คืบคลานเข้าไปใกล้ดอกบัวในสระ ดอกบัวที่เป็นตัวแทนของหานตันมีหยดน้ำใส ๆ ผุดออกมาจากกลีบดอกสีชมพูนั้นคล้ายกำลังร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ ฮวันหยิ่นเอื้อมมือไปแตะกลีบบัวเบา ๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นบัวเหล่าใหม่กำเนิดขี้นมา แววตาก็เปล่งเประกายมีความสุขขึ้นมา เอื้อมมือไปยังบัวเหล่าเล็กนั้น พลังวิญญาณเริ่มสูญสลายทีละน้อย ๆ จนปลายนิ้วได้สัมผัสกับดอกบัวเหล่าใหม่ก่อนวิญญาณแตกจะสูญสลายไป หยดโลหิตวิญญาณของปีศาจเงาหยดลงไปที่กลีบบัวน้อย ๆ
พลันนั้นดอกบัวสีชมพูก็กลายเป็นดอกบัวสีดำทันที หยดน้ำผุดราวหยดน้ำค้างเกาะในยามเช้าหานตันในร่างดอกบัวกำลังร่ำไห้ปริ่มใจจะขาด ทำให้แรงอธิษฐานครั้งสุดท้ายปลุกใครบางคนที่กำลังพักผ่อน ด้วยปรารถนาอันแรงกล้าทำให้คำอธิษฐานส่งไปถึงเย่ไหลเซียงผู้เป็นเทพบุปผาสะดุ้งลืมตาตื่นทันที
ตำหนักชูฮวาเทพบุปผา
ใบหน้าสะคราญดวงหน้าผุดผ่อง ดวงตาของเย่ไหลเซียงค่อย ๆ ลืมขึ้นเปิดเผยนัยน์ตาสีม่วง ในดวงตาฉายแววบางอย่างออกมา ก่อนนางจะค่อย ๆ ยืนขึ้นเดินไปยังสวนดอกไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ ดึงกลีบดอกบัวออกมาหนึ่งกลีบกำแน่นก่อนจะโปรยลงที่ฝ่ามืออีกด้านลำแสงส่องประกายสีม่วงก็ปรากฏเหตุการณ์ในโลกมนุษย์ให้เห็น นัยน์ตาสีม่วงอ่อนนั้นฉายแววฉงนสงสัยไม่น้อยว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น
"ภูติดอกบัว สละตะบะสองพันปีเพื่อช่วยมนุษย์เช่นนั้นหรือ แล้วเหตุใดนางจึงใช้แก่นวิญญาณสุดท้ายเรียกข้าด้วย ลู่หลานเจ้าคิดว่าเช่นใดเหตุการณ์นี้ข้าควรจะยุ่งหรือไม่"
ภูติผีเสื้อตัวเล็กสีทองบินมาเกาะที่นิ้วมือของเย่ไหลเซียง ก่อนจะขยับหนวดไปมา เย่ไหลเซียงยิ้มบาง ๆ ออกมา
"ก็ได้ ๆ ยังดีนะที่ข้าอยู่กึ่งกลางระหว่างสามโลกดูแลแค่มวลบุปผาทั้งหมด เรื่องนี้ข้าเลยยุ่งได้ ถ้าเช่นนั้นเราไปดูกันหน่อยก็ได้"
เย่ไหลเซียงเดินมาที่ประตูทางเข้าก่อนกวาดมือปัดกลุ่มหมอกออกไป ประตูทางเข้าตำหนักก็เปิดให้เห็นทางออก เย่ไหลเซียงเดินทางลงมายังโลกมนุษย์อำพรางกายไว้ไม่ให้มนุษย์ทั่วไปพบเห็นได้ ต่างมองดูชาวบ้านที่เพิ่งผ่านความทุกข์ยากจากพายุและอุทกภัย บ้านเรือนสองข้างทางเสียหายไปจนเกือบหมด นางค่อย ๆ เดินไปเรื่อย ๆ จนถึงวัดเล่ยซาก็หยุดเงยหน้ามองป้ายของวัด
"น่าจะที่นี่แหล่ะ"
เย่ไหลเซียงก้าวเท้าเข้าไปในวัดพลางสายตากวาดมองไปยังรอบ ๆ สภาพวัดทรุดโทรมและเต็มไปด้วยโคลนตมเพราะเพิ่งผ่านพายุฝน ต้นไม้ล้มระเนระนาด ดอกไม้เล็ก ๆ เหี่ยวเฉา นางใช้สองนิ้วหมุนวนข้างลำตัวดึงพลังธาตุจากพื้นดินฟื้นฟูดอกไม้เหล่านั้นจนลำตัวตั้งตรงขึ้นมาใหม่และดอกก็ผลิบานออกมาเย่ไหลเซียงเดินไปจนถึงสระบัวพบบัวเหล่านึงกำลังเหี่ยวเฉาทอดลำต้นบนขอบสระ ทันทีที่เห็นนางก้าวเท้าเร็วขึ้นวิ่งมาที่บัวกอนั้นพลางสัมผัสที่ดอกบัวที่กลีบกำลังร่วงหล่นลงเรื่อย ๆ ทีละใบ ๆ เย่ไหลเซียงวางฝ่ามือคว่ำลงแนบกับบัวดอกนั้น สำแสงสีม่วงส่องประกายใต้ฝ่ามือก่อนหานตันจะคืนร่างมนุษย์นอนหายใจรวยริน ใบหน้าซีด เท้าเปลี่ยนเป็นสีดำเริ่มแห้งเหี่ยว เย่ไหลเซียงเลื่อนสายมามองร่างหานตันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
"เจ้าเรียกข้ามามีเรื่องอะไรจะขอข้าหรือ"
"ท่านเทพบุปผา ขอบคุณที่มาฟังคำขอร้องของข้า นั่นเหลียนฮวาลูกสาวของข้าที่เพิ่งแตกหน่อกำเนิดขึ้นมา ข้าคงไม่ได้อยู่เลี้ยงดูนาง เดิมนางสามารถเติบใหญ่ได้เอง แต่ว่าปีศาจเงาบิดาของนางก่อนจะสลายไปทำให้หยดเลือดปีศาจตกลงไปในกลีบบัว...ทำให้นางกลายเป็นเช่นนั้น หากเป็นเช่นนี้ไม่นานนางจะต้องตายไม่มีโอกาสได้เติบโตแน่นอน"
เย่ไหลเซียงมองไปที่ดอกบัวสีดำ ที่ตั้งเด่นชูดอกน้อย ๆ อยู่ริมขอบสระ
"แต่ดอกบัวสีดำ ไม่มีทางที่จะผลิบานได้ เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่ ถึงข้ารักษาสภาพนางไว้ได้ แต่นางจะไม่มีวันผลิบานเพียงแค่จะเติบโต นางจะไม่มีทางกลายร่างได้จะเป็นเพียงแค่ดอกบัวตูมดอกนึงเท่านั้น"
หานตันพยักหน้าว่ารู้เรื่องนี้ดี
"ข้ารู้ดี...ถึงนางจะเป็นดอกบัวสีดำไม่มีโอกาสผลิบานอย่างน้อยข้าก็หวังว่าจะมีปาฏิหารย์ ข้าจึงอยากขอพรจากท่านด้วยดวงจิตสุดท้ายของข้า ได้โปรดพานางไปอยู่ที่ตำหนักบุปผาแล้วช่วยเลี้ยงดูนางด้วย เพราะถ้าหากนางอยู่ที่โลกมนุษย์ดอกบัวลักษณะแปลกเช่นนี้คงโดนตัดไม่ก็ถอนรากออกไปสักวันแน่"
เย่ไหลเซียงสีหน้าครุ่นคิดก่อนขาของหานตันจะค่อย ๆ แห้งเหี่ยวขึ้นมาจนถึงกึ่งกลางลำตัว สีหน้าบ่งบอกความเจ็บปวดทำให้เย่ไหลเซียงคิดจะรักษาหานตันก่อน
"นั่นคือเลือดเนื้อของเจ้า เจ้าต้องได้ดูแลเอง มาข้าจะช่วยรักษาเจ้าเอง"
"อย่า ได้โปรดอย่าใช้พลังตบะของท่านรักษาข้าเลย อาการเช่นข้าท่านต้องเสียตบะกว่าพันปีอย่าเลยเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าพลังของท่านทั้งสร้างและรักษาหากท่านจะรักษารับปากข้าช่วยพาเหลียนฮวาไปดูแลที่ตำหนักเทพด้วย"
เย่ไหลเซียงสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะรับปากจะดูแลดอกบัวสีดำให้
"ก็ได้ ข้าจะดูแลดอกบัวสีดำนี้เอง"
หานตันยิ้มออกมา พลางน้ำตาไหลก่อนร่างจะแห้งเหี่ยวทั้งหมดกลายเป็นเพียงกอดอกบัวที่แห้งกรังเท่านั้น เย่ไหลเซียงยืนขึ้นวาดมือเปลี่ยนดอกบัวที่แห้งเฉานั้นให้กลายเป็นปิ่นดอกบัวสีทองแล้วปักเข้าที่ผมของตนเองก่อนจะหันไปยังดอกบัวสีดำที่เพิ่งแตกหน่อนั้นแล้วถอนหายใจก่อนยื่นมือออกไปแล้วดอกบัวเล็ก ๆ นั้นก็มาอยู่บนฝ่ามือ
"เจ้าดอกบัวอัปลักษณ์ ข้าไม่รู้หรอกนะจะทำให้เจ้าบานได้หรือไม่ แต่ข้ารับปากภูติดอกบัวมารดาเจ้าเอาไว้แล้ว ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปอยู่กับข้าก็แล้วกัน"
ลู่หลานผีเสื้อน้อยสีทองบินมาตอบรอบ ๆ ดอกบัวสีดำนั้น เย่ไหลเซียงยิ้มออกมา
"ทำไม ลู่หลานเจ้าชอบนางงั้นหรือ"
ผีเสื้อน้อยสีทองกระพือปีกประกายผงสีทองที่ปีกร่วงโปรยลงที่ดอกบัวสีดำนั้น
"เจ้าเป็นผีเสื้อที่ชอบดมดอมดอกไม้นี่นา เพราะฉะนั้นต้องดูแลให้ดี ๆ นะ"
ตำหนักชูฮวา
เย่ไหลเซียงกลับมาถึงตำนักเดินลัดเลาะไปยังน้ำตกบริสุทธิ์ ช่วงระหว่างเดินผ่านมวลบุปผา ร่างเดิมก่อนเย่ไหลเซียงจะกลายเป็นเทพบุปผาคือดอกราตรีราชินียามค่ำคืนด้วยเหตุนี้กลิ่นกายอันหอมรัญจวนของเย่ไหลเซียงก็ฟุ้งกระจายไปรอบ ๆ ทำให้บรรดามวลหมู่ดอกไม้ต่างเบ่งบานกลายร่างเป็นมนุษย์ ต่างส่งสายตายั่วยวนและดึงดูดให้เทพบุปผาผู้งดงามหันมาสนใจและสัมผัสตนเอง แต่ว่านอกจากจิตใจที่มีแต่ความเมตตาแล้ว เทพบุปผาหาชายตาแลไม่ แม้เหล่าบุปผานั้นจะงดงามเพียงใดก็ไม่เคยทำให้นางหวั่นไหวได้เลย
"ข้าเพียงแค่ต้องการให้ท่านเย่ไหลเซียงสัมผัสตัวข้าแม้เพียงน้อยนิดก็คงจะดีไม่น้อย"
ภูติกุหลาบตนนึงพูดออกมาขณะกลายร่างเป็นมนุษย์นั่งอยู่บนโขดหินริมน้ำตกบริสุทธิ สายตาของเหล่าบุปผาที่ตบะมากกว่าพันปีที่กลายร่างได้ต่างนั่งจ้องมองใบหน้าและท่วงท่าอันงดงามของเย่ไหลเซียงด้วยดวงตาหยาดเยิ้มแต่นางก็ไม่สนใจ ยังคงเดินสำรวจพื้นที่เพื่อหาที่ปลูกดอกบัวสีดำกอนั้น
"นั่นดอกอะไรกัน น่าเกลียดจังสีดำราวถ่าน"
เหล่ามวลดอกไม้ต่างพากันหัวเราะขำขันกับดอกบัวสีดำนั้น เมื่อเจอแอ่งน้ำเล็ก ๆ แสงแดดเพียงพออุณหภูมิน้ำไม่เย็นยะเยียบมากจนเกินไป เย่ไหลเซียงก็นำดอกบัวสีดำนั้นวางลงในแอ่งน้ำ
"อยู่ตรงนี้นะเจ้าอัปลักษณ์ ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้มแข็งพออย่าไปฟังคำดูถูกของพวกนาง ถึงแม้เจ้าจะไม่มีวันที่ผลิบานได้ แต่เจ้าก็คือดอกไม้ของข้า"
เย่ไหลเซียงยืนขึ้นยื่นนิ้วมือให้ลู่หลานผีเสื้อน้อยมาเกาะที่นิ้ว ก่อนเดินกลับผ่านสระมรกตที่เหล่าบุปผางามที่กลายร่างต่างเล่นน้ำกันอยู่ และภูติดอกไม้บางตนที่ใส่ชุดบางเบาเพียงน้อยชิ้นนั่งอยู่ตรงขอบสระ
เย่ไหลเซียงก็สะบัดมือเสกให้ใส่เสื้อคลุมปกปิดเรือนร่างนั้นซะ
"วันนี้อากาศออกจะหนาวใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นเช่นนี้หากไม่สบายข้าจะไม่รักษาให้พวกเจ้า"
เย่ไหลเซียงพูดเปรย ๆ ออกมาโดยไม่ชายตามองเดินกลับเข้าตำหนักไปยังหอตำรานั่งอ่านตำราและดื่มชาที่ลู่หลานน้อยชงให้อยู่ในห้องนั้นอย่างเงียบ ๆ ภูติผีเสื้อลู่หลานกลายร่างเป็นมนุษย์เพื่อคอยรับใช้เย่ไหลเซียง หลังชงชาให้ก็มานั่งด้านหลังถือหวีมาแปรงผมให้ ยิ่งย่ำค่ำกลิ่นหอมจากผมและผิวกายของเทพบุปผายิ่งอบอวนไปทั่วทั้งตำหนัก เทพสาวหลับตารู้สึกสบายที่ศีรษะเอนตัวกับหมอนอิงฟังเสียงร้องเพลงของเหล่าบุปผาในสวนที่แผ่วเบาอย่างมีความสุข
ทุกหนึ่งร้อยปี เย่ไหลเซียงจะต้องเดินทางไปยังดินแดนปีศาจเพื่อเก็บ**ดอกฮวงหลัน**
สรรพคุณของดอกฮวงหลัน
ช่วยบำรุงธาตุ (ดอก, ผล, เมล็ด)
ช่วยบำรุงหัวใจ (ดอก)
ช่วยบำรุงประสาท (ดอก)
ช่วยกระจายโลหิต (ดอก)
ช่วยบำรุงโลหิต (ดอก, เนื้อไม้)
ช่วยทำให้เลือดเย็น (ดอก)
ช่วยแก้โรคเส้นประสาทพิการ (ใบ)
ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ (น้ำมันกลั่นจากดอก)
ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย หน้ามืดตาลาย (ดอก)
ช่วยแก้คลื่นเหียน อาเจียน (ดอก, ผล, เมล็ด)
ช่วยขับลม (ดอก)
เพื่อนำมาปรุงยาไว้สำหรับเข้าบำเพ็ญตบะ วันนี้ก็เช่นกันเย่ไหลเซียงเตรียมออกเดินทางไปดินแดนปีศาจแต่เช้าซึ่งการจะไปดินแดนปีศาจเพื่อไปทะเลทุ่งดอกไม้นั้นจะต้องผ่านเมืองลับแลที่ซึ่งเป็นจุดเชื่อมผ่านทั้งสามโลกคือเทพ มนุษย์ และ ปีศาจ ลู่หลานภูติปีศาจตัวน้อยยังคงตื่นเต้นและดีใจทุกครั้งที่ได้มาเมืองลับแลเพราะถือเป็นศูนย์รวมของต่าง ๆ ที่หาดูได้ยากของทั้งสามโลก
"เจ้าเดินเล่นไปก่อนนะลู่หลาน ข้าจะเดินไปซื้อตั๋วเรือก่อน"
ลู่หลานยิ้มและพยักหน้ายืนเลือกของอยู่ร้านของเล่นจากโลกมนุษย์ เย่ไหลเซียงเดินไปยังร้านทุกอย่าง 20 หินวิญญาณ ที่ขายตั๋วเรือไปยังแต่ละดินแดนที่เปิดจำกัดให้สามารถเข้าหรือไปท่องเที่ยวได้ เพราะความสง่างามและกลิ่นกายที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ปีศาจสามหัวเจ้าของร้านจำเย่ไหลเซียงได้ทันที
"มาตรงตามเวลาเดิมเลยท่านเทพบุปผาคนงาม ตั๋วสองใบไปทุ่งดอกไม้ปีศาจใช่หรือไม่"
เย่ไหลเซียงพยักหน้า พลางยื่นหินวิญญาณแลกกับตั๋วก่อนจะเดินออกจากร้านไป
ในร้านมีลูกค้าเป็นบุรุษอยู่ผู้นึงแต่งกายธรรมดาแต่ดูสง่างาม อกผายไหล่ผึ่ง รูปร่างสูงใหญ่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ไม่มีทั้งกลิ่นเทพและปีศาจหรือกลิ่นสาบมนุษย์กำลังเดินดูของในร้านค้า ทันทีที่ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ แต่ช่างรัญจวนใจทำให้จิตใจเกิดความร้อนรุ่มขึ้นมา จนต้องหันไปมองผู้ที่เข้ามาในร้าน เขามองสตรีสวมชุดสีขาว ใบหน้าผุดผ่อง ดูสง่างาม ไม่มีท่าทีอรชรอ่อนช้อยเช่นสตรีทั่วไปก็เกิดความสนใจขึ้นมา พอได้ยินปีศาจสามหัวเรียกเทพบุปผา ก็ยิ่งดึงความสนใจของบุรุษผู้นั้นมากขึ้นจนต้องเดินออกมาหลังจากนางเดินออกไป ปีศาจสามหัวเห็นบุรุษผู้นึงมองตามเทพบุปผาขนาดนั้นก็พูดขึ้นมา
"นั่นคือท่านเทพบุปผาคนงามเย่ไหลเซียง นางกำลังจะเดินทางไปทุ่งดอกไม้ปีศาจหากท่านจื้อหรงอยากจะตามไปก็ซื้อตั๋วที่ข้าได้นะ"
จื้อหรงเทพอัคคียืนนิ่งพลางยื่นหินวิญญาณให้กับปีศาจสามหัวเพื่อแลกกับตั๋ว ทันทีที่ได้ตั๋วมาเขาก็รีบเดินออกไปข้างนอกทันที พอมองหาเย่ไหลเซียงก็พบนางเดินไปอีกฝั่งแล้ว ทันใดนั้นก็เกิดเหตุคล้ายเกิดการวิวาท ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางถูกนักพรตจากเขาคุนหลุนตามล่าเพราะแอบไปเล่นแล้วทำกระบี่ท้อ ประจำสำนักคุนหลุนหัก
"กระบี่พวกเจ้าไม่ได้เรื่องเองนี่ ข้าแค่แกว่งฟันเล่น ๆ ก็หักเสียแล้ว อยากได้คืนนักก็เอาคืนไปข้าไม่เล่นแล้ว"
นักพรตคุณหลุนตั้งค่ายจับปีศาจในเมืองลับแล เขตที่ห้ามมีการทะเลาะวิวาทกันเด็ดขาด ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางตัวน้อยพลังตะบะเพียงหนึ่งพันปีจึงไม่อาจต้านพลังค่ายกลได้ถูกจับมัดด้วยเชือกจับปีศาจและกำลังจะฟาดด้วยแส้อาคม เย่ไหลเซียงมายืนขวางแส้นั้นก่อนจะจับรวบปลายแส้แน่น ภายใต้นัยน์ตาสีม่วงนั้นแววตาเยือกเย็น และดูงามสง่าจิ้งจอกน้อยที่ยกมือขึ้นมาป้องที่ศีรษะตนเองเพราะกลัวเจ็บเงยหน้ามองเย่ไหลเซียงที่เข้ามาช่วยอย่างตกตะลึงตาเบิกกว้าง คล้ายกับเวลากำลังหยุดหมุนจิ้งจอกน้อยจ้องมองเทพบุปผาอย่างไม่อาจละสายตาได้ เช่นเดียวกับเทพอัคคีจื้อหรงที่ยืนมองนิ่งจากอีกฝั่ง
"ที่นี่คือเมืองลับแลตามกฎแล้วให้งดมีการทะเลาะวิวาทกันเหตุใดท่านนักพรตจึงทำผิดกฏเช่นนี้"
เย่ไหลเซียงเอื้อนเอ่ยออกมาสอบถามด้วยความสงสัย นักพรตตนนึงสีหน้ากำลังโมโห
"จิ้งจอกน้อยตัวนี้เล่นซนกับกระบี่ท้อประจำสำนักของเราจนหัก หากไม่จับไปลงโทษสั่งสอนนางเรื่องสมบัติสำนักที่ชำรุดเราที่เป็นศิษย์จะเอาหน้าที่ไหนไปพบอาจารย์"
"หากข้าทำให้กระบี่ท้อของสำนักคุนหลุนกลับมาดังเดิมได้ จะปล่อยจิ้งจอกน้อยตนนี้ได้หรือไม่"
นักพรตทั้งหกต่างจ้องมองหน้ากันว่าจะทำเช่นไร ก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง
"ถ้าเช่นนั้นขอกระบี่ท้อให้ข้า"
นักพรตคนนึงเดินมายื่นกระบี่ท้อให้กับเย่ไหลเวียง ก่อนนางจะรับกระบี่ที่หักมาแล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะร่ายมือใช้พลังในการรักษาฟื้นฟูกระบี่ท้อนั้นจนกลับมาเชื่อมต่อกันดังเดิมโดยไร้ตำหนิใด ๆ จื้อหรงยืนกอดอกมองดูอย่างสนใจ
"ถ้าเช่นนั้นก็ปล่อยจิ้งจอกน้อยนี่ได้หรือไม่"
"เรานักพรตรักษาสัจจะ ปล่อยนางจิ้งจอก"
ซูหนี่ถูกปลดปล่อยจากตาข่ายปีศาจ ตาจ้องมองไปยังเย่ไหลเซียงด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มหลงไหล เทพบุปผาหลังช่วยจิ้งจอกน้อยเสร็จก็เดินมุ่งหน้าไปยังท่าเรือปีศาจ
"เดี๋ยวก่อนท่าน ท่าน!! ขอบคุณที่ช่วยข้าไว้"
จิ้งจอกน้อยวิ่งมาขวางทางเย่ไหลเซียงพลางจับจ้องที่ใบหน้าของนาง ดวงตากลมโตเป็นประกายมองอย่างปลาบปลื้มและซาบซึ้ง เมื่อได้มองเห็นใบหน้าของเทพบุปผาใกล้ ๆ เผลอมองจ้องตาสีม่วงคู่นั้น ใจของจิ้งจอกน้อยก็เต้นสั่นระรัวราวกับมีคนตีกลองอยู่ข้างใน
"นางเป็นสตรีเหมือนกันกับข้ามิใช่บุรุษแต่เหตุใด ข้ามองเพียงแค่ใบหน้าของนางใจข้าถึงสั่นไหวถึงเพียงนี้นะ"
ซูหนี่กำลังนึกในใจอย่างเคลิบเคลิ้ม เย่ไหลเซียงยืนจ้องหน้าซูหนี่ที่มายืนขวางทางพลันค่อย ๆ ยกมือขวาขึ้นมาค่อย ๆ เอื้อมไปที่ใบหน้าฝั่งขวาของซูหนี่ จิ้งจอกน้อยใจก็เต้นสั่นระรัวใบหน้าแดงก่อนจะถูกเย่ไหลเซียงใช้มือขวามาดันศีรษะนางออกไปให้พ้นทาง
"ขออภัยแต่เจ้ากำลังขวางทางข้า ลู่หลานไปกันเถอะ"
ผีเสื้อน้อยหันมาแลบลิ้นใส่ซูหนี่เพราะรู้ว่ากำลังคาดหวังอะไร จื้อหรงเดินตามเย่ไหลเซียงอยู่ห่าง ๆ จนกระทั่งไปขึ้นเรือ ซูหนี่อยากตามไปด้วยจึงถามคนแถวนั้นว่าเรือกำลังไปที่ใด
"เรือลำนั้นกำลังเดินทางไปที่ใดกัน"
"อ๋อ นั่นหรอกำลังเดินทางไปทะเลดอกไม้ปีศาจ เรือกำลังจะออกแล้วหากเจ้าจะไปก็รีบไปซื้อตั๋วเรือที่ปีศาจสามหัวแล้วจ่ายด้วยลูกแก้ววิญญาณ"
ซูหนี่ไม่รอฟังจนจบรีบวิ่งไปหาซื้อตั๋วทันที พอได้ตั๋วแล้วก้รีบวิ่งมาที่เรือย่างเร็วแต่เรือออกจากฝั่งแล้ว ปีศาจจิ้งจอกชูมือขึ้นแล้วตะโกน
"ข้ามีตั๋วนะรอข้าด้วย รอด้วย!! เชอะ!! ระยะทางแค่นี้เองข้ากระโดดเอาก็ได้"
ซูหนี่ตั้งหลักก่อนจะวิ่งแล้วกระโดดตัวลอยออกจากฝั่งกระโจนไปที่เรือปีศาจ เพราะการคำนวนแรงผิดพลาดทำให้ซูหนี่พุ่งตัวมายังเย่ไหลเซียงที่ยืนอยู่ นางเงยหน้ามองด้านบนดูตกใจเล็กน้อยตาเบิกกว้าง ก่อนที่ร่างจิ้งจอกน้อยจะร่วงลงไปทับเย่ไหลเซียง จื้อหรงก็เข้ามายืนขวางกางฝ่ามือออกทำให้ซูหนี่กลายร่างเป็นจิ้งจอกตัวเล็กร่างชนปะทะกับหน้าอกของจื้อหรงที่มายืนขวางเย่ไหลเซียงพอดี
จิ้งจอกน้อยในอ้อมกอดของจื้อหรงดูท่าทางไม่ค่อยพอใจยิ่งนัก ดิ้นไปมาจนจื้อหรงจับหางแล้วยกขึ้นหันหน้ามาหาเย่ไหลเซียงที่ยืนด้านหลังแล้วยื่นจิ้งจอกให้ นางสีหน้าแววตาดูงุนงงและสงสัยว่าจื้อหรงเป็นใคร
"ดูท่าปีศาจจิ้งจอกตัวนี้อยากติดตามท่าน"
จื้อหรงยิ้มออกมา เย่ไหลเซียงหันไปทางอื่นเบือนหน้าหนีไม่สนใจจื้อหรงแววตาเย็นชา
"ข้าไม่ชอบเลี้ยงปีศาจ"
จื้อหลงหันไปทางลู่หลานที่ยืนอยู่ด้านข้างแล้วยิ้มพลางยื่นหน้ามาใกล้ ๆ เย่ไหลเซียง
"ข้าว่าไม่น่าใช่ นางก็ปีศาจไม่ใช่หรือ"
จื้อหรงพูดหมายถึงลู่หลาน เย่ไหลเซียงหันมามองหน้าจื้อหรง
"นางเป็นภูติผีเสื้อที่จำเป็นในการเพาะเลี้ยงดอกไม้ของข้า"
นางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยกับจื้อหรงพลางเลื่อนมือใช้พลังทำให้ซูหนี่กลายร่างกลับมาเป็นคน แววตาจ้องมองสบตากับจื้อหรงแต่ชายหนุ่มไม่เห็นแม้แต่แววหวั่นไหวใน ๆ ในดวงตาสีม่วงคู่นั้น
ซูหนี่ที่กลายร่างเป็นคนนอนกองอยู่กับพื้นแววตายังคงจับจ้องที่ใบหน้าของเย่ไหลเซียงดวงตาเป็นประกาย
"นางช่วยข้าอีกแล้ว....ช่างดีจริง ๆ "
"นายท่าน ถึงป่าฮวงหลงแล้วเจ้าค่ะ"
ลู่หลานชี้มือไปที่ด้านหน้าที่ป่าฮวงหลงที่กำลังออกดอกมากมายด้วยความตื่นเต้นหันมายิ้มกับเย่ไหลเซียง พอเรือเทียบท่าทั้งคู่ก็เดินลงตรงท่าเทียบ ซูหนี่รีบตามไปทันทีตามด้วยจื้อหรง ที่เดินตามห่าง ๆ เย่ไหลเซียงเหลือบตามองสงสัยใจตัวจื้อหรงเหตุใดจึงต้องเดินตาม
ในป่าฮวงหลงลู่หลานช่วยเย่ไหลเซียงเด็ดดอกฮวงหลงใส่ในตะกร้าสานที่สะพายไว้ด้านหลัง ส่วนเย่ไหลเซียงเดินดูต้นอวงหลงที่แห้งเหี่ยวไม่มีดอกก่อนยื่นมือไปแตะที่ต้นก่อนต้นกลับมาฟื้นคืนชีวิตและออกดอกออกมา
"ที่แท้ท่านก็คือเทพบุปผา"
จื้อหรงที่เดินทางมาพูดกับเย่ไหลเซียง
"ท่านเองก็เป็นเทพอัคคีมิใช่หรือ ท่าทางตำหนักเซียนจะว่างกันมากท่านถึงเวลาตามข้าเช่นนี้"
"ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่บังเอิญมาทางเดียวกับท่านข้าได้ยินเรื่องความงดงามของป่าต้นฮวงหลงมานานแล้วเลยอยากชื่นชมให้เห็นกับตา
พูดจบจื้อหรงก็มองไปยังต้นดอกฮวงหลงที่มีมากมายนับพันต้น ดอกสีเหลืองทองส่งกลิ่นหอมอบอวน ใบพริ้วไหวตามสายลมแทบไม่น่าเชื้อว่าวิวข้างหน้าจะเป็นดินแดนปีศาจ
"ไม่น่าเชื่อบุรุษเช่นท่านจะชอบชื่นชมบุปผาด้วย"
เย่ไหลเซียงพูดเปรย ๆ ออกมา ดวงตายังจ้องมองไปที่วิวด้านหน้าก่อนจื้อหรงจะแอบหันมามองสตรีคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!