NovelToon NovelToon

ทิวไผ่เจ้าขา

ตอนที่ 1

คาร์เทอร์โฮเทล

นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก คาร์เทอร์โฮเทล โรงแรมหรูระดับห้าดาวกลางใจเมือง เจ้าของโรงแรมคือ ดีล คาร์เทอร์ นักธุรกิจวัยกลางคน เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงระดับต้น ๆ ของเอเชีย แม้ว่าจะมีอายุใกล้จะแตะห้าสิบแต่ด้วยใบหน้าอันหล่อเหลา จึงทำให้ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ดูแก่ตามวัยแม้แต่นิดเดียว

แต่ที่สร้างความสนใจแก่พวกนักข่าว และเหล่าซุบซิบคนดัง กลับไม่ใช่เรื่องที่ดีล คาร์เทอร์ยังไม่มีครอบครัวและยังใช้ชีวิตตามวิถีชายโสด แต่ที่นักข่าวให้ความสนใจคือเรื่องที่ดีล คาร์เทอร์ แอบมีครอบครัวอย่างลับ ๆ หรือบางข่าวก็ว่าดีล คาร์เทอร์แอบไปทำผู้หญิงท้องแล้วไม่ยอมรับผิดชอบ บ้างก็ว่าแอบเล่นชู้กับเมียนักธุรกิจด้วยกัน แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ไม่ได้รับความกระจ่างแจ้ง เพราะดีล คาร์เทอร์ไม่เคยเปิดเผยและไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย ไม่ว่านักข่าวจะพยายามขุดคุ้ยมากเท่าใด แต่ทุกอย่างก็จบลงที่ความว่างเปล่า

แน่นอนว่างานเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ของบริษัทคาร์เทอร์กรุ๊ป ย่อมมีเหล่านักธุรกิจและเหล่าผู้มีอิทธิพลคนดังมาร่วมงานอย่างมากหน้าหลายตา และที่ขาดไม่ได้ก็คงจะไม่พ้นแขกคนสำคัญและยังเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าของงานอย่าง ทะเล วัชรสกุลกิจ

ทันทีที่ทะเล วัชรสกุลกิจ และ ปลายฟ้า วัชรสกุลกิจ เดินเคียงคู่เข้ามาภายในงาน ทุกคนที่อยู่ภายในงานต่างให้ความสนใจ ช่างภาพและนักข่าวรีบเข้าไปรุมล้อมเพื่อสัมภาษ์และบันทึกภาพกันรัว ๆ เรียกได้ว่าไม่บ่อยนักที่จะเห็นคนทั้งคู่ออกงานร่วมกัน

เมื่อเห็นเพื่อนสนิทเข้ามาภายในงาน เจ้าของงานรีบออกไปต้อนรับทันที

"ไงเพื่อน ฉันคิดว่าแกจะไม่มาซะแล้ว" ดีลเอ่ยทักทายเพื่อนสนิทอย่างเป็นกันเอง

"งานเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ของเพื่อนทั้งที ฉันจะไม่มาร่วมยินดีได้ยังไง"

"สวัสดีครับคุณปลายฟ้า รู้สึกเป็นเกียรติจังเลยนะครับที่คุณมาร่วมงานในคืนนี้ด้วย" ไม่พูดเปล่า ดีลยังยื่นมือออกไปเพื่อที่จะจับมือกับปลายฟ้าเพื่อเป็นการทักทาย

"สวัสดีครับคุณดีล" ปลายฟ้าเหลือบตามองมาที่ทะเลเล็กน้อยเพื่อเป็นการขออนุญาต ซึ่งทะเลก็พยักหน้าให้กับภรรยาของตนเพื่ออนุญาต

แต่แทนที่ดีลจะรีบปล่อยมือของปลายฟ้าแต่กลับใช้หัวแม่มือสัมผัสที่นิ้วหัวแม่มือของปลายฟ้าเบา ๆ เมื่อรับรู้ได้ถึงอะไรบ้างอย่าง ปลายฟ้ารีบดึงมือกลับทันที การกระทำของคนทั้งคู่อยู่ในสายตาของทะเลทุกอย่าง

เมื่อเห็นว่ามือของภรรยาเป็นอิสระจากคนตรงหน้า ทะเลไม่รอช้ารีบสอดนิ้วมือของตนกับมือของปลายฟ้าทันที

"ฉันว่าเราเข้าไปข้างในกันดีกว่า งานใกล้จะเริ่มแล้ว" ดีลเอ่ยปากชวนเพื่อนสนิทของตนเข้าไปในงาน แต่สายตากลับจดจ้องมาที่ภรรยาของเพื่อนตาเป็นประกาย โดยที่ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าเพื่อนของตนจะรู้สึกยังไง ทะเลที่เห็นแบบนั้นก็ปล่อยมือของปลายฟ้าให้เป็นอิสระ

ปลายฟ้าที่ถูกสามีดึงมือออกจากมือของตนก็เงยหน้าขึ้นสบตากับสามีด้วยความสงสัย ทะเลไม่ได้พูด แต่เลือกที่จะสอดแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามไว้ที่เอวของปลายฟ้าแทนคำตอบ

เมื่อถูกสามีโอบเอวจนแทบจะฝังร่างทั้งร่างเข้าไปในตัวของสามี ปลายฟ้าจึงส่งยิ้มให้ทะเลเล็กน้อย และทะเลเองก็ส่งยิ้มให้กับปลายฟ้าเช่นกัน

ดีลที่ยืนดูการกระทำของเพื่อนสนิทอย่างทะเลกับปลายฟ้าก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ก็ยังทำอะไรมากไม่ได้ อีกไม่นานเกินรอ อีกแค่ไม่กี่อึดใจ คนที่ยืนเคียงข้างปลายฟ้าจะต้องเป็นตนเท่านั้น

เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เผลอแสยะยิ้มร้ายออกมา จนคนที่มองทุกการกระทำของดีล อย่างทะเลถึงกับหัวคิ้วกระตุกกับรอยยิ้มไม่ชอบมาพากลของเพื่อนของตน แต่ก็เลือกที่จะเก็บความคิดเหล่านั้นเอาไว้ และเดินตามดีลเข้าไปในงานทันที

อีกมุมหนึ่งของงานกลับมีชายผู้หนึ่งยืนมองผู้คนภายในงานด้วยสายตาเรียบนิ่ง แม้ว่าใบหน้าจะหล่อเหลาราวเทพบุตร แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่าภายใต้ความหล่อเหลานั้นเปรียบเสมือนมัจจุราชที่พร้อมจะกระชากวิญญาณของใครบางคนได้ทุกเวลาเช่นกัน

ทันทีที่เห็นเหยื่อที่ตนจ้องจะขย้ำเดินเข้ามาภายในงาน ริมฝีปากสวยได้รูปก็ยกขึ้นแสยะยิ้มร้ายจนดูน่ากลัว

มุมที่เด็กหนุ่มยืนอยู่สามารถมองเห็นบรรยากาศภายในงานได้เป็นอย่างดี และแน่นอนว่าทุกการกระทำของคนที่อยู่ภายในงาน รวมถึงการกระทำของทั้งสามคนเมื่อสักครู่ก็อยู่ในสายตาของตนด้วยเช่นกัน

ทิวไผ่ มองดูทุกการกระทำของคนที่ตนเกลียดด้วยแววตาที่เรียบนิ่ง แต่ในความเรียบนิ่งนั้นมันเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความเกลียดชัง

เจ้าของงานอาจจะคิดว่านี่คือวันเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ของคาร์เทอร์กรุ๊ป แต่เชื่อเถอะว่ามันจะไม่ใช่แค่งานเปิดตัวสินค้าอย่างเดียว แต่มันจะเป็นวันเปิดโปงความชั่วของมันด้วยเช่นกัน

ความแค้นและความอัปยศที่ตนต้องทนแบกรับมานับสิบปี มันจะต้องจบลงในวันนี้ จบสิ้นกันสักที

ทันทีที่เจ้าของงานขึ้นไปกล่าวเปิดงาน ทิวไผ่จึงเดินออกมาจากมุมของตนทันที แต่ยัง ยังไม่ถึงเวลา ตนจะรอให้มันเผยความเลวของมันออกมาให้มากกว่านี้ก่อน พอถึงตอนนั้น ตนจะเป็นคนเดินเข้าไปปิดเกมนี้เอง

"วันนี้ผมรู้สึกเป็นเกียรติมาก ๆ เลยนะครับ ที่คุณปลายฟ้าภรรยาของเพื่อนสนิทของผมได้ให้เกียรติมาร่วมงานในค่ำคืนนี้ด้วย" ดีลที่กล่าวเปิดงานเสร็จก็กล่าวขอบคุณภรรยาของเพื่อนออกสื่ออย่างไม่เกรงกลัวสามีของเธอที่ยืนโอบเอวภรรยาของตนไม่ห่างเลยสักนิด

และแน่นอนว่าหลังจากที่พูดจบเหล่านักข่าวและผู้ที่มาร่วมงานต่างให้ความสนใจในความสัมพันธ์ของคนทั้งสามคนไม่น้อย ก่อนจะพากับซุบซิบจนเสียงเริ่มจะดังอื้ออึงไปหมด

ทะเลที่ได้ยินแบบนั้นก็กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดขึ้นปูดโปนเต็มแขนจนปลายฟ้าต้องสวมกอดสามีของตนเอาไว้เพื่อเรียกสติของทะเลไม่ให้หลงไปกับคำพูดของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิท

อีกฝั่งหนึ่งของงาน ทิวไผ่ที่ได้ยินแบบนั้นก็แสยะยิ้มอย่างสมเพชกับคำพูดชวนให้อ้วกนั่น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ในสายตาของทิวไผ่ ผู้ชายคนนี้มันทั้งน่ารังเกียจและน่าขยะแขยงยิ่งกว่าของเน่าเสียซะอีก

"ในเมื่อคุณปลายฟ้าอุตส่าห์มาร่วมเป็นเกียรติในค่ำคืนนี้ ผมซึ่งเป็นเจ้าของงาน ขออนุญาตเชิญคุณปลายฟ้าขึ้นมากล่าวอะไรสักเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเป็นเกียรติให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ" แม้จะรับรู้ได้ถึงสายตาและอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นของเพื่อนสนิทอย่างทะเล แต่มีหรือที่คนอย่างดีลจะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ และนี่ก็คือหนึ่งในแผนการของตน เพราะทันทีที่ปลายฟ้าเดินออกมาจากทะเล มือปืนที่รอซุ่มยิงจากตึกตรงข้ามจะลงมือทันที

ปลายฟ้าเมื่อถูกดีลเอ่ยปากพูดออกไปแบบนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตากับสามีเล็กน้อยเพื่อเป็นการขออนุญาตอีกครั้ง ซึ่งทะเลมีทีท่าลังเลเล็กน้อย แต่เพราะเชื่อใจในสายตาที่หนักแน่นของปลายฟ้า จึงจำต้องพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการอนุญาตให้ปลายฟ้าได้ทำตามคำเชื้อเชิญของดีล

"เฮียใจเย็น ๆ นะ เชื่อใจปลาย ไม่ว่าเขาจะพูดหรือจะทำอะไร ปลายจะทำให้เขาได้รู้ ว่าปลายรักได้แค่เฮียคนเดียว" เมื่อเห็นสายตาที่วูบไหวของทะเล ปลายฟ้าก็เลือกที่จะกระซิบข้างหูของทะเลเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน ก่อนที่มือเรียวจะบีบกระชับที่มือหยาบกร้านของทะเลเบา ๆ เพื่อปลอบให้ผู้เป็นสามีได้ใจเย็นลงมาบ้าง

"เฮียรอเธออยู่ตรงนี้นะ ถ้าเกิดอะไรขึ้น รีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด คนของเฮียจะเข้าไปถึงตัวเธอได้ไวกว่าเฮีย กลับไปรอเฮียที่บ้าน ไม่ต้องเป็นห่วงเฮีย เฮียสัญญาว่าจะกลับไปหาเธอกับลูกอย่างปลอดภัย" เมื่อพูดจบก็ดึงปลายฟ้าเข้ามากอดก่อนจะจุ๊บที่หน้าผากมนเพื่อเป็นการยืนยันว่าตนจะกลับไปหาลูกและเมียตามสัญญา

ปลายฟ้าลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะผละตัวออกจากผู้เป็นสามี และเดินตามหลังพนักงานในโรงแรมไปยังด้านหน้าทันที

ทางด้านเจ้าของงานเมื่อเห็นว่าทะเลยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวก็ส่งสัญญาณให้ลูกน้องของตนลงมือตามแผนการทันที

และแน่นอนว่าหลังจากที่ดีลส่งสัญญาณให้กับคนของตน ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนที่ดีลได้วางเอาไว้

ปัง !!

กรี๊ดดดด !!

หลังจากเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด บรรดาแขกเหรื่อ และผู้ที่มาร่วมงานต่างพากันวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอดจนชุลมุนวุ่นวายไปหมด และแน่นอนว่าเจ้าของงานรีบวิ่งมาที่ปลายฟ้าทันที แต่ก็ช้ากว่าคนของทะเล

"เฮีย" ปลายฟ้าที่เดินไปได้ไม่ไกลรีบกุลีกุจอจะวิ่งกลับไปหาทะเล แต่ก็ถูกเดย์ลูกน้องของทะเลคว้าตัวเอาไว้ซะก่อน

"คุณปลายฟ้าไปกับผม"

เดย์พูดพร้อมกับอุ้มปลายฟ้าขึ้นพาดบ่าและพาออกไปจากงานทันที โดยมีคนของทะเลคอยคุ้มกันไม่ห่าง

"ปล่อย !!.. ปลายจะไปหาเฮีย ปล่อยเซ่!!"

"นายให้ผมพาคุณปลายฟ้ากลับไปรอที่บ้าน ผมต้องทำตามคำสั่งของนายครับ" เมื่อภรรยาของผู้เป็นนายไม่ยอมให้ความร่วมมือ เดย์จึงจำเป็นต้องใช้ไม้ตายขั้นเด็ดขาด นั่นก็คือการเอาผ้าที่มียาสลบอ่อน ๆ ปิดที่ปากและจมูกของปลายฟ้า และชั่วอึดใจ ปลายฟ้าก็แน่นิ่งไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขนของเดย์

เมื่อปลายฟ้าสิ้นฤทธิ์ เดย์และลูกน้องอีกสี่ห้าคนรีบพาปลายฟ้ากลับไปยังบ้านของเจ้านายทันที เพราะถ้าขืนมัวชักช้าไปกว่านี้ คนของดีลอาจจะรู้ตัวและตามมาทันก็ได้

แต่เหมือนทุกอย่างจะง่ายไปหมดเพราะตลอดทางแม้จะมีคนของดีลตามมา แต่ก็ถูกลูกน้องของใครสักคนคอยสกัดกั้นเอาไว้ได้ตลอด ถ้าให้เดาก็คงไม่พ้นลูกน้องของนายใหญ่อย่างดาวเหนือ

และแน่นอนว่าถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูดาวเหนือ นายของตนที่อยู่ภายในงานคงได้รับการดูแลจากดาวเหนือแล้วเช่นกัน

ภายในงาน หลังจากที่สิ้นสุดเสียงปืน ร่างของชายคนหนึ่งที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเลือด กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่ที่พื้น

"ทิวไผ่!!" หมอต้นไม้ที่มาร่วมงานนี้แทนป๊าของตน ถึงกลับเหงื่อกาฬแตก มือไม้สั่นไปหมด เพราะไม่คิดว่าคนที่ถูกยิงจะเป็นน้องชายของตน

"ม..มึงมาที่นี่ทำไม" แม้ว่าร่างกายจวนเจียนจะหมดแรง แต่ทิวไผ่ยังถามพี่ชายของตนเสียงขุ่น

"มึงทำใจดี ๆ ไว้นะ กูจะช่วยมึงเอง" ต้นไม้ไม่รอช้ารีบโทรเร่งรถโรง'บาลและทำการปฐมพยาบาลให้กับทิวไผ่ทันที

แต่ด้วยความที่ตนเป็นหมอประจำห้องผ่าตัด ตนรู้ดีว่าอาการของทิวไผ่ตอนนี้ไม่สู้ดีนัก แต่แล้วยังไงล่ะ ตนเป็นหมอจะปล่อยให้น้องชายของตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตาได้ยังไง

"ม...มึงไม่ต้องช่วยกู กู..อึก กูรู้ตัวเองดี.." พูดยังไม่ทันจบประโยค ทิวไผ่ก็อาเจียนออกมาลิ่มเลือดแดงฉานเต็มตัวต้นไม้ไปหมด

"มึงต้องไม่ตาย มึงต้องรอด มึงได้ยินกูมั้ย ฮึก ทิวไผ่ มึงต้องรอด" หมอต้นไม้กอดน้องชายตัวเองไว้ในอกด้วยมือที่สั่นเทา สองตาพร่าเบลอไปด้วยคราบน้ำตา แม้ว่าร่างกายของทิวไผ่จะชุ่มไปด้วยเลือด แต่คนเป็นพี่ชายกลับไม่ได้คิดจะรังเกียจเลยแม้แต่น้อย

ไม่มีอีกแล้วคราบของคุณหมอที่เคยมีสติและใจเย็นกับทุกสถานการณ์ตรงหน้า ไม่มีแล้วความสุขุมและเยือกเย็น ในสมองตอนนี้มันเต็มไปด้วยความกลัว กลัวแบบที่ไม่เคยกลัวมาก่อน

"ไอ้เด็กโง่ !!.. แกทำแบบนี้ทำไม เอาตัวเองมาตายแทนพวกมันทำไม!!" ดีลที่ถูกดาวเหนือและทะเลตามไปลากตัวมาได้ก็ถึงกับทรุดตัวลงไปที่พื้นอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก แม้ว่าคำพูดที่เปล่งออกไปจะแข็งกร้าว แต่แววตากลับวูบไหวไปด้วยน้ำตา

ใครจะเชื่อว่าคนอย่างดีล คาร์เทอร์จะร้องไห้เพราะเด็กหนุ่มที่นอนหายใจรวยรินอยู่ตรงหน้า

"หึ กูเคยเตือนมึงแล้วไง อึก.. แต่.. แต่มึงไม่ฟังกูเอง" ทิวไผ่ร้องหึอยู่ในลำคอและพยายามเคร้นเสียงออกมาเพื่อตรอกย้ำคนตรงหน้าในสิ่งที่ตนเคยพูดเอาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน

"ทำไมวะ!! ทำไมต้องปกป้องพวกมันด้วย!! ฉันเป็นพ่อของแก..แกต้องปกป้องฉันถึงจะถูก!!" เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและชิงชังของทิวไผ่ ดีลก็ระเบิดอารมณ์ของตนออกมาเช่นกัน

คำพูดของดีลทำให้ทะเลกับดาวเหนือชะงักไปชั่วอึดใจ พร้อมกับตั้งคำถามเอาไว้ในใจอีกมากมาย

ทิวไผ่เป็นลูกของดีล ?

"พ่อ... หึ เพราะว่ากูไม่อยากมีพ่ออย่างมึงไง กูถึงได้ยอมตายซะยังจะ อึก ดีกว่าที่จะต้องมีเลือดชั่ว ๆ ของมึงอยู่ในร่างกายของ...กู!!" ทิวไผ่กะอักออกมาเป็นลิ่มเลือดแดงฉานจนแทบจะพูดไม่เป็นภาษาแต่ก็พยายามเคร้นเสียงที่ตอนนี้เริ่มจะแหบพร่าเพื่อตรอกย้ำความรู้สึกของตนที่ต้องทนเก็บมันเอาไว้เป็นเวลาหลายปี

"พอแล้ว ฮึก พอแล้วไม่ต้องพูดแล้ว" ต้นไม้ที่กอดทิวไผ่เอาไว้ในอกพยายามห้ามไม่ให้ทิวไผ่พูด เพราะถ้าลิ่มเลือดเข้าไปอุดหลอดลม นั่นหมายความว่าโอกาสรอดของทิวไผ่เท่ากับศูนย์

"กู..อึก...กูฝากขอโทษ.. ขอโทษแม่กับป๊าด้วย..." ทันทีที่พูดจบทิวไผ่ก็แน่นิ่งไปในอ้อมกอดของผู้เป็นพี่ชาย

"ไม่!! มึงต้องไม่เป็นอะไร มึงต้องรอด มึงต้องกลับมาอยู่กับกู...ทิวไผ่กลับมา!!.."

เมื่อร่างของคนตรงหน้านอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ดีลทิ้งตัวนั่งลงที่พื้นอย่างคนพ่ายแพ้

ใช่!!

ตอนนี้ตนแพ้แล้ว ถึงแม้ว่าทิวไผ่จะเป็นลูกที่เกิดมาจากความเลวระยำของตน แต่ทันทีที่รู้ว่าทิวไผ่คือเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ตอนนั้นทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ ถึงแม้จะรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่ยอมให้ตนได้ใช้สิทธิ์ของความเป็นพ่อของลูก แต่ตนก็รู้สึกขอบคุณที่อย่างน้อยผู้หญิงคนนั้นยังเลือกที่จะพูดความจริง ว่าตนคือพ่อของทิวไผ่

ตลอดเวลาสิบปีที่รู้ว่าทิวไผ่เป็นลูก ตนพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำให้ทิวไผ่ยกโทษให้ตน และให้โอกาสตนได้ทำหน้าที่ของพ่อบ้าง แต่นอกจากทิวไผ่จะไม่ให้โอกาสแล้ว เขายังเลือกที่จะจบทุกอย่างลงด้วยมือของผู้ที่เป็นคนทำให้เขาได้เกิดมา

ดีลคือคนที่ทำให้ทิวไผ่ได้เกิดมา

...และ...

...คือคนคนเดียวกับคนที่พรากลมหายใจของทิวไผ่ไป...

...ทุกอย่างมันจบลงแล้วจริง ๆ ...

...เกมนี้มันจบลงแล้ว จบไปพร้อมกับ...

...ลมหายใจเฮือกสุดท้าย...

...ของ...

..."ทิวไผ่"...

สิบปีต่อมา

กริ๊งงงง กริ๊งงงง

เมื่อได้ยินเสียงริงโทนดังต่อเนื่องอยู่หลายครั้ง ฝ่ามือหนาของใครบางคนควานหาโทรศัทพ์ของตนที่โต๊ะข้างที่นอนด้วยอาการงัวเงีย ก่อนจะกดรับสายโดยที่ไม่ทันได้ดูรายชื่อของผู้ที่โทรเข้ามา

[ทำอะไรอยู่วะ ทำไมเพิ่งจะรับสาย]

ทันทีที่กดรับสายก็ได้ยินเสียงปลายสายสวดมาทันที

"โทรมามีไร" จากที่กำลังงัวเงียก็ต้องตาสว่างขึ้นมาในทันทีเมื่อรู้ว่าปลายสายนั้นคือใคร

[อย่าบอกนะว่าแกยังไม่ตื่น]

"ตื่นแล้ว ตื่นตอนที่มึงโทรมานี่แหละ"

[ไอ้ฟาย!! ไหนบอกว่าจะกลับไทยวันนี้ไง ทำไมยังไม่เตรียมตัวอีก]

"...."

จะให้ตอบกลับไปว่าไงล่ะ ก็มันลืมจริง ๆ นั่นแหละ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะออกเดินทางแต่เช้า แต่ที่ตื่นสายก็เพราะมัวแต่ไปเลี้ยงฉลองกับไอ้พวกเพื่อนเวรนั่นแหละ ไม่รู้จะเลี้ยงส่งอะไรกันนักหนา กว่าจะได้กลับก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม ยังไม่รวมเวลาที่ไปนั่งอ้วกในห้องน้ำนั่นอีก กว่าจะอาบน้ำเสร็จ กว่าจะได้เข้านอนก็ปาเข้าไปเกือบตีห้า แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาตื่นแต่เช้า

[แกลุกไปอาบน้ำแล้วก็ลากสังขารลงมาจากคอนโดเดี๋ยวนี้ อีกสามสิบนาทีลูกน้องของป๊าจะเข้าไปรับแกที่หน้าคอนโด]

"บอกป๊าไปเลยว่าไม่ต้องส่งใครมารับ กูไปเองได้ กูโตแล้วนะ" เมื่อรู้ว่าคนของป๊ากำลังจะมารับตนที่คอนโด ทิวไผ่ จึงโวยกลับไปยังปลายสายทันที

จะไม่ให้โวยวายได้ยังไง ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น ป๊ากับแม่แล้วก็ไอ้พี่ชายตัวดีก็ส่งตนมารักษาตัวที่อังกฤษ แล้วยังบังคับให้เรียนต่อให้จบปริญญาโท ไอ้เรื่องเรียนต่อ ตนไม่อะไรอยู่แล้ว เพราะใจจริงก็อยากเรียนต่อ แต่ไอ้ที่ให้มาเรียนมาเที่ยวอย่างเดียวโดยที่ไม่ยอมให้ทำอะไรเลยนี่สิ มันชักจะมากเกินไปแล้ว

จะขอออกไปทำงานก็ไม่ยอมให้ทำ จะออกไปไหนหรือจะทำอะไรก็ต้องมีคนคอยติดตามตลอดเวลา ขนาดหนีออกมาอยู่คอนโด ก็คิดว่าจะหนีพ้นแล้ว แต่ที่ไหนได้ คอนโดนี้ก็เป็นของป๊าเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว เหอะ อายุก็ปาเข้าไปสามสิบต้น ๆ แล้ว แต่ดูทุกคนทำกับตนสิ ไม่ต่างอะไรจากเด็กมอต้นเลยสักนิด แต่ยังดีที่เวลาจะไปไหนกับเพื่อน ๆ หรือเวลามีงานเลี้ยงสังสรรค์ ยังยอมปล่อยให้ตนไปได้อย่างอิสระ แต่มันคืออิสระจริง ๆ เหรอ ในเมื่อคนของป๊ายังเดินตามก้นตนทุกฝีก้าวอยู่แบบนั้น

และนี่คือทางออกที่ดีที่สุด ถ้าอยากได้รับอิสระ มีทางเดียวคือต้องกลับไปอยู่ที่ไทยเท่านั้น และแน่นอนว่ากว่าตนจะขอกลับไทยได้ ก็เล่นเอาเหนื่อยพอสมควร

หรือถ้าไม่ยอมให้ตนกลับไทย อย่างน้อยป๊ากับแม่ก็น่าจะยอมให้ตนได้ทำงานทำการบ้าง ไม่ใช่ต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไปขอซื้อหุ้นส่วนจากบริษัทของเพื่อนแล้วแอบหอบงานกลับมาทำที่คอนโดแบบนี้

[แกไม่ต้องพูดมาก อีกยี่สิบนาทีฉันจะถึงล่ะ ถ้าแกยังไม่ลงมา ฉันจะขึ้นไปลากแกลงมาเอง แค่นี้]

พอปลายสายพูดในความต้องการของตัวเองจบ ก็กดตัดสายทันที ทิวไผ่ได้แต่หัวเสียก่อนจะโยนมือถือลงบนที่นอนและลากสังขารที่ยังมีอาการเมาค้างเข้าไปในห้องน้ำทันที

หลังจากที่ได้ชำระล้างร่างกายจนรู้สึกสดชื่น ทิวไผ่ที่เดินออกมาจากห้องน้ำพลางผิวปากอย่างคนอารมณ์ดี โดยที่ตัวเองมีผ้าขนหนูคาดอยู่ที่เอวเพียงผืนเดียว

"ก็รู้แหละว่าแกหุ่นดี แต่ช่วยใส่เสื้อผ้าให้มันเรียบร้อยกว่านี้หน่อยได้มั้ย" ต้นไม้ ที่เข้ามานั่งรอน้องชายก็อดไม่ได้ที่จะแหวใส่เพราะความหมั่นไส้

"อิจฉาที่กูหุ่นดีกว่า หล่อกว่าอ่ะดิ" ไม่พูดเปล่าแต่ทิวไผ่ยังยักคิ้วข้างหนึ่งเพื่อกวนประสาทพี่ชายตัวเองหนึ่งที ก่อนจะเดินผิวปากเข้าไปยังห้องแต่งตัวอย่างคนอารมณ์

"เหอะ" ต้นไม้ทำได้แค่ส่งเสียงเหอะอยู่ในลำคอ จะให้ตนพูดอะไรได้ในเมื่อสิ่งที่ทิวไผ่พูด มันคือความจริงทุกประการ

ถึงแม้ว่าเราสองคนจะมีแม่คนเดียวกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทิวไผ่ได้ความหล่อเหลามาจากดีล คาร์เทอร์ผู้เป็นพ่อไม่น้อย หรือจะเรียกว่าถอดแบบเบ้าหน้ามาเลยก็ได้ ทั้งส่วนสูงที่สูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซ็นติเมตร ทั้งหุ่นล่ำ ๆ ที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม แล้วยังจะมีเบ้าหน้าฟ้าประทานนั่นอีก ผิดกับตนที่สูงแต่ร้อยเจ็ดสิบห้าเซ็นติเมตร แม้ว่าร่างกายจะมีกล้ามเนื้ออยู่บ้างแต่ก็แค่กล้ามเนื้อที่ได้มาจากการออกกำลังแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะอาชีพหมอแค่กลับจากรักษาคนไข้ ก็แทบจะหลับทันทีที่ก้าวขาเข้าไปยังห้องนอนแล้ว และถ้าพูดถึงหน้าตา ตนแทบจะถอดแบบมาจากแม่แทบจะทั้งหมด โลกนี้มันชั่งไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

หลังจากที่เสียเวลารอไอ้น้องชายตัวดีมัวพิลี้พิไลอยู่นาน ทั้งคู่ก็มาถึงสนามบินทันเวลาพอดี

ประเทศไทย

บริษัททะเลซีฟู้ดส์

"หนูขา ทำไมยังไม่ไปทานข้าวอีกล่ะคะ" ทะเลที่เดินเข้ามายังห้องทำงานของเจ้าขาลูกชายคนโตของตนก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยทันที เพราะนี่ก็เลยช่วงพักเที่ยงมาจนจะครึ่งชั่วโมงแล้ว

"หนูขอดูเอกสารอันนี้อีกแป๊บนึงนะคะ" เจ้าขาตอบกลับผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนเดิม แต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่แฟ้มเอกสารตรงหน้า จนหัวคิ้วแทบจะผูกกันเป็นปม

ทะเลเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างหลังเจ้าขาและก้มดูเอกสารในมือของเจ้าขาด้วยความสนใจ

"นี่มัน... " ทันทีที่เห็นเอกสารในมือของเจ้าขา ทะเลถึงกับชะงักไปชั่วอึดใจ

"มันคือยอดสั่งซื้อวัตถุดิบที่ทางฝ่ายบัญชีเอามาให้หนูช่วยตรวจสอบให้ค่ะ"

"ยอดการสั่งซื้อกับของที่ได้รับจริงมันไม่สอดคล้องกันสักรายการ เรื่องนี้แด๊ดดี๊ขอจัดการเองดีกว่าค่ะ" เมื่อเห็นว่าเอกสารที่อยู่ในมือของเจ้าขามันมีอะไรที่ไม่โปร่งใส ทะเลจึงเลือกที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

ไม่ใช่ว่าตนไม่เชื่อใจเจ้าขาลูกชายของตน แต่เพราะรู้ว่าเจ้าขาเป็นคนยังไง ตนจึงเลือกที่จะจัดการเรื่องนี้เองดีกว่า อย่างน้อยคนที่มันคิดทุจริตกับบริษัทของตนก็อาจจะแค่ถูกดำเนินคดี แต่ถ้าเรื่องนี้ถึงมือเจ้าขาล่ะก็....หึ ใครเลี้ยงมาก็คงไม่ต่างจากคนเลี้ยงสักเท่าไหร่หรอก แต่ที่น่ากลัวกว่าก็ตรงที่เจ้าขาเป็นคนเด็ดขาดนี่แหละ คำไหนคำนั้น ไม่มีข้อแม้ และไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น

"แด๊ดดี๊ให้หนูจัดการเองก็ได้นะคะ เรื่องแค่นี้เอง" ทันทีที่เห็นสายตาเป็นกังวลของทะเล เจ้าขาก็ส่งยิ้มหวานให้ทะเลทันที และแน่นอนว่าในรอยยิ้มนั้นมันละลายหัวใจของทะเลจนเหลวไปหมด

"แด๊ดดี๊ว่าเราพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนดีกว่า ได้เวลาไปทานข้าวแล้วค่ะ" ฝ่ามือหนารวบเอกสารในมือของเจ้าขาเก็บไว้ในแฟ้มอย่างเดิม ก่อนจะดึงมือเจ้าขาให้เดินตามตนออกไปยังห้องอาหารที่แม่บ้านได้จัดเตรียมเอาไว้ให้

"เย็นนี้แด๊ดดี๊กับมามี๊ไม่ต้องรอทานข้าวนะคะ หนูมีนัดกับเจ้าสองแสบค่ะ"

"หืม จะไปไหนกันเหรอคะ ให้แด๊ดดี๊ไปเป็นเพื่อนมั้ย"

"ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกค่ะ แค่สองแสบอยากจะดูหนัง หนูก็เลยว่าจะพาไปสักหน่อย ฉลองที่น้องสอบเสร็จน่ะค่ะ"

"อย่ากลับดึกนะคะ แด๊ดดี๊ว่าให้คนของแด๊ดดี๊ไปกับหนูด้วยดีกว่า แด๊ดดี๊เป็นห่วง"

"ไม่เป็นไรค่ะ หนูสัญญาว่าจะรีบกลับ ไม่เถลไถลแน่นอนค่ะ"

เมื่อเห็นสายตาออดอ้อนของเจ้าขาที่มาพร้อมกับรอยยิ้มหวานจนตาหยี ทะเลก็อดที่จะบีบแก้มป่อง ๆ ของเจ้าขาด้วยความมันเขี้ยวไม่ได้

"ยื้อ...แก้มหนูยืดหมดแล้วค่ะ" แม้ว่าปากจะพูดจาประชดประชัน แต่เจ้าตัวกลับหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ

"ทานข้าวได้แล้วค่ะ ถ้ามามี๊กับพี่เหนือพี่น่านรู้ว่าแด๊ดดี๊ใช้งานหนูขาจนทานข้าวไม่ตรงเวลา แด๊ดดี๊คงจะถูกบ่นจนหูชาแน่นอนค่ะ"

"ขอโทษค่ะ ต่อไปหนูจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ"

"ทานเยอะ ๆ นะคะคนเก่ง" ทะเลตักไข่เจียวใส่ในจานข้าวให้เจ้าขาทันที

"ขอบคุณค่ะ"

เจ้าขาก็คือเจ้าขาคนเดิม ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน อาหารจานโปรดของเจ้าขาก็ยังคงเป็นไข่เจียวเหมือนเดิม

ทะเลที่นั่งมองเจ้าขาทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อยก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้

แม้ว่าเจ้าขาจะเป็นลูกชายคนโตของตน แต่ด้วยร่างกายที่ค่อยข้างจะตัวเล็กและมีใบหน้าที่ค่อนข้างจะน่ารักมากกว่าหล่อ และการที่เจ้าขาถูกคนในครอบครัวเลี้ยงดูมาประหนึ่งว่าเป็นเจ้าหญิงของตระกูล นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทุกคนมักจะพูดคะพูดขากับเจ้าขาซะส่วนใหญ่

คนทั่วไปอาจจะมองว่าการเลี้ยงลูกผู้ชายให้เป็นเหมือนผู้หญิงแบบนี้อาจจะเป็นเรื่องที่น่าอับอาย แต่สำหรับตนกับคนในครอบครัวไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ขอแค่เขามีความสุขในสิ่งที่เขาเป็น แค่นี้คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็มีความสุขไปด้วยแล้ว

ไม่ว่าคนอื่นจะมองว่าเขาเป็นตัวประหลาดหรืออะไรก็แล้วแต่ ขอแค่คนในครอบครัวเข้าใจและมีความสุขกับสิ่งที่เขาเป็นก็พอ และแน่นอนว่าทุกคนภูมิใจในตัวของเจ้าขามาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลการเรียน เรื่องการใช้ชีวิตประจำวันรวมไปถึงเรื่องของการทำงาน เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีตรงไหนที่เป็นข้อบกพร่องเลยก็ว่าได้

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเป็นพ่ออย่างทะเลรู้สึกเป็นห่วงก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของความรัก เพราะตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าขาไม่เคยคบกับใครเกินคำว่าเพื่อนเลยสักคน ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเข้ามาจีบหรือมาขอคบ แต่เจ้าขาเลือกที่จะปฏิเสธมันมาโดยตลอด

ถ้าจะบอกว่าที่เจ้าขาไม่ยอมมีแฟนก็เพราะว่าทุกคนในบ้านหวง มันก็ไม่น่าจะใช่เพราะบางคนก็ผ่านด่านทดสอบของดาวเหนือมาจนได้ แต่ความพยายามกลับต้องมาพังลงไม่เป็นท่า เพียงเพราะเจ้าขาเลือกที่จะสานสัมพันธ์ในสถานะเพื่อนเท่านั้น

สิ่งที่ทะเลกลัวมากที่สุดก็ตรงนี้แหละ ตรงที่เจ้าขาไม่เคยมีแฟน แล้วถ้าวันหนึ่งมีคนที่ทำให้เจ้าขามีความรัก และสุดท้ายความรักนั้นมันไม่ได้สวยงามอย่างที่หวัง เจ้าขาที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของตนและของทุกคนในครอบครัวจะรู้สึกยังไง

และสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คงไม่พ้นไอ้คนที่มันกล้าทำให้เจ้าหญิงของตระกูลวัชรสกุลกิจเสียใจ โทษของมันก็คงไม่ต่างอะไรกับนักโทษชั้นเลว ที่บทลงโทษมีแค่ความตายเท่านั้น

ฝ่ามือหนาลูบที่กลุ่มผมนุ่มของเจ้าขาด้วยความรักและความเอ็นดู คนที่ถูกลูบที่กลุ่มผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผู้เป็นพ่อพร้อมกับส่งยิ้มหวานละลายหัวใจให้ทะเลจนตาหยี ก่อนจะหันกลับมาสนใจไข่เจียวในจานข้าวของตนดังเดิม

ภาพของเด็กน้อยในวัยห้าขวบที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่โซฟากลางห้องโถง ในมือมีช้อนหนึ่งคัน และที่บนตักของเด็กคนนั้นมีจานใส่ข้าววางไว้หนึ่งใบ และแน่นอนว่าบนข้าวสวยในจานมีไข่เจียววางทับไว้ด้านบน หน้าตาของไข่เจียวน่ะเหรอ

"มี๊ชอบทำไข่เจียวให้หนูทานบ่อย ๆ สีมันจะออกน้ำตาล ๆ แล้วก็เละ ๆ รสชาติเค็ม ๆ แต่อร่อยนะคะ หนูชอบ"

เมื่อคิดถึงภาพของเจ้าขาตอนที่นั่งทานข้าวกับไข่เจียวของพี่น่านฟ้าทีไร ก็ทำเอาทะเลอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ถึงแม้ว่าหน้าตาไข่เจียวของพี่น่านฟ้ามันจะมีหน้าตาแปลก ๆ แต่เจ้าขาก็กินมันจนหมด

...อยากจะถามเจ้าขาเหลือเกิน...

...มันอร่อยจริง ๆ ...

...หรือ...

...เป็นเพราะว่าหนูหิวกันแน่...

ตอนที่ 2

ห้างสรรพสินค้า

"ขาขาไปซื้อตั๋วหนังกับเจ้าคุณก่อนได้มั้ย เขาปวดห้องน้ำ ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่ง"

"พี่ชายจะไปห้องน้ำเหรอ คุณขอไปด้วยดิ คุณก็ปวดเหมือนกัน"

"ให้ขาขาไปเป็นเพื่อนมั้ยครับ"

"ไม่เป็นไร เขาไปกับเจ้าคุณก็ได้ ขาขาไปซื้อตั๋วรอเลย เขากับเจ้าคุณจะรีบตามไป"

"อื้ม ห้ามเถลไถลนะ ขาขาจะไปซื้อป๊อบคอร์นไว้รอ"

"ครับ/ครับ"

เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เจ้าคุณกับเจ้าชายรีบเดินแยกไปทางห้องน้ำของห้างทันที ส่วนเจ้าขาก็เดินแยกไปทางโรงหนังเพื่อจะซื้อตั๋วกับป๊อบคอร์นเอาไว้รอเจ้าสองแสบ

เมื่อได้ของที่ต้องการ เจ้าขานั่งลงที่โซฟาหน้าโรงหนังเพื่อรอรอบฉายและรอเจ้าสองแสบที่ขอไปเข้าห้องเมื่อสักครู่

ระหว่างนั่งรอ เจ้าขาหยิบโทรศัพท์มานั่งไถเล่นดูนั่น ดูนี่เพื่อฆ่าเวลา จากห้านาทีเป็นสิบนาที จากสิบนาทีเป็นยี่สิบนาที เหลือเวลาอีกแค่ไม่ถึงสิบนาทีหนังก็จะเริ่มฉายแล้ว แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าสองแสบ

"ทำไมถึงชอบเถลไถลจังเลยนะ" ว่าพลางกดเบอร์แล้วกดโทรออกหาเจ้าชายทันที แต่กลับโทรไม่ติด เมื่อโทรหาเจ้าชายไม่ติด เจ้าขาจึงรีบกดหาเบอร์ของเจ้าคุณและกดโทรออกทันที

"ไม่ติดเหมือนกัน หรือว่าจะเกิดเรื่อง!!"

เมื่อติดต่อใครไม่ได้ เจ้าขาไม่รอช้าวางถังป๊อบคอร์นไว้ที่โซฟาและกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังห้องน้ำที่เจ้าชายกับเจ้าคุณไปทันที

"ช่วยด้วยค่ะ มีคนถูกแทงในห้องน้ำค่ะ"

ยังไม่ทันถึงที่หมายก็ได้ยินเสียงแม่บ้านทำความสะอาดห้องน้ำวิ่งหน้าตื่นออกมาจากห้องน้ำและตะโกนขอความช่วยเหลือ

เจ้าขารีบแทรกตัวเข้าไปในห้องน้ำด้วยใจที่เต้นระส่ำ ได้แต่เพียงภาวนาว่าคนที่ถูกแทงในห้องน้ำนั้นจะไม่ใช่น้องชายของตน

"ขอทางหน่อยครับ"

"เข้าไม่ได้นะครับ คนร้ายอยู่ในนั้น ต้องรอให้เจ้าหน้าที่มาก่อนนะครับ"

"ขอทางหน่อยครับ ผมจะเข้าไปข้างใน น้องชายของผมมาเข้าห้องน้ำที่นี่เขายังไม่ได้ออกมา และผมคิดว่าเขาน่าจะอยู่ในนั้น"

"เข้าไม่ได้จริง ๆ ครับ คนร้ายมีอาวุธ เขาอาจจะทำร้ายคุณก็ได้"

"แต่ผมต้องเข้าไปเดี๋ยวนี้ครับ!!" เจ้าขาที่เริ่มจะหมดความอดทนกับคนตรงหน้าก็ตะคอกเสียงออกมาด้วยความหัวเสีย ปกติตนไม่ใช่คนกร้าวร้าว แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาใจเย็นเพื่อรออะไรอีกแล้ว ถ้าน้องของตนอยู่ในนั้นจริง ๆ สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือเข้าไปช่วยสองคนนั้นให้เร็วที่สุด

"แต่มันอันตราย ผมคงปล่อยให้คุณเข้าไปไม่ได้หรอกครับ" ผู้ชายคนเดิมยังคงยืนยันคำเดิมและไม่ยอมเปิดประตูให้เจ้าขาเข้าไปได้ง่าย ๆ

"ขอโทษนะครับที่ผมต้องกร้าวร้าว" พูดจบเรียวขาของเจ้าขาก็งัดเข้าที่หว่างขาของคนตรงหน้าอย่างจัง มันไม่ได้แรงมาก แค่ก็ทำเอาคนตรงหน้าถึงกับเอามือกุมเป้าตัวงอลงไปนอนอยู่ที่พื้นทันที

เมื่อหมดคนขวาง เจ้าขารีบถีบประตูห้องน้ำให้เปิดออกและพุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำทันที

"ว้าว!! คนสวยเข้ามาแบบนี้จะมาเล่นสนุกกับพวกพี่เหรอจ้ะ" หนึ่งในสามของคนร้ายที่อยู่ในห้องน้ำเอ่ยถามเจ้าขาด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรก่อนจะส่งสายตาลวนลามเจ้าขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

นอกจากเจ้าขาจะไม่ได้รู้สึกกลัว แต่สายตากลับกำลังมองหาน้องชายของตัวเอง ตรงบริเวณที่ตนยืนอยู่มีแต่คราบเลือด แล้วก็ไอ้สวะสามคน แต่ไม่พบผู้บาดเจ็บ ถ้าเดาไม่ผิดผู้บาดเจ็บอาจจะซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำที่ปิดสนิทนั่นแน่ ๆ แต่มันปิดอยู่สามห้อง ชั่งเถอะจะห้องไหนก็ช่าง ตอนนี้ต้องการแค่ให้คนที่อยู่ในนี้ไม่ใช่คนที่ตนกำลังตามหาอยู่ก็พอ

ในขณะที่เจ้าขากำลังกวาดสายตามองสภาพภายในห้องน้ำ ไอ้สวะสามคนนั้นก็กำลังประเมินรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณของเจ้าขาด้วยเช่นกัน

ผู้ชายตัวเล็ก ๆ สูงไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซ็นติเมตร น่าตาจิ้มลิ้ม ปากนิด จมูกหน่อย แก้มป่อง ๆ ผิวพรรณเกลี้ยงเนียนสะอาดตา ดูยังไงก็สวย สวยกว่าผู้หญิงซะอีก

ผู้ชายร่างกายบึกบึนสามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับอาวุธมีดสามเล่ม ดูยังไงก็น่ากลัว แต่ไม่ใช่กับเจ้าขา เพราะที่เจ้าขาเจอมามันหนักกว่าและน่ากลัวกว่านี้หลายสิบเท่า

"น่าสวย ๆ แบบนี้ มาเป็นเมียพวกพี่ดีกว่ามั้ย รับรองว่าพวกพี่จะพาน้องขึ้นสวรรค์ทั้งคืนเลย"

"เจ้าชาย เจ้าคุณอยู่ในนี้มั้ย" แม้ว่าคนตรงหน้าจะพูดจาลวมลามมากแค่ไหน แต่เจ้าขากลับให้ความสนใจกับคนที่ตนกำลังตามหามากกว่า

"ขาขา เขา..เขาอยู่ในนี้" เจ้าชายที่ซ่อนตัวเองอยู่ในห้องน้ำรีบตอบรับเสียงเรียกของพี่ชายของตนทันที

"ขาขา คุณอึก คุณก็อยู่ในนี้"

เจ้าขาที่ได้ยินเสียงตอบรับของเจ้าคุณกับเจ้าชายที่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แสนจะแผ่วเบา ไม่ต้องถามเพื่อหาคำตอบ ตนก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายทั้งสองคนของตน

มือเล็ก ๆ ค่อย ๆ กำเข้าขากันช้า ๆ แววตาที่เคยยิ้มจนตาหยีแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว แต่ริมฝีปากกับแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย

"ขาขาอยู่นี่แล้ว นับหนึ่งถึงร้อย แล้วรีบออกมา ขาขาจะรีบพาไปหาหมอ"

"ครับ/ครับ"

"ใครที่มันกล้าแตะต้องตระกูลวัชรสกุลกิจ มันต้องไม่ได้ตายดี" แม้ว่าใบหน้าจะหวานปานเจ้าหญิงแต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังยังไงมันก็ไม่ต่างอะไรกับเสียงของพญามัจจุราช

เมื่อบอกกับคนในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว เจ้าขาไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าไปหาไอ้สวะสามตัวนั่นทันที

จังหวะที่เจ้าขาพุ่งตัวเข้าไปหาพวกมัน เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เจ้าชายเปิดประตูห้องน้ำออกมาพอดี เจ้าขาเสียจังหวะเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพน้องชายของตนที่ตอนนี้ร่างกายชุ่มไปด้วยคราบเลือด หนึ่งในไอ้สวะสามตัวนั่นไม่รอช้ารีบตวัดปลายมีดมาที่ตัวของเจ้าขา

"ขาขาระวัง!!" เจ้าชายร้องเสียงหลงเมื่อเห็นพี่ชายของตนกำลังจะเสียท่าให้ไอ้สารเลวคนนั้น

ฉึก!!

แม้ว่าจะเบี่ยงตัวหลบทันแต่ก็ช้าเกินไปปลายมีดตวัดถูกที่ต้นแขนของเจ้าขาทำให้เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่เจ้าขาใส่มาขาดตามรอยมีด แม้จะแค่เฉียด ๆ แต่ก็มีเลือดไหลซึมออกมาจากรอยแผล

"เจ้าชายหลบไปก่อน ขาขาขอเวลาหกสิบวินาที"

"อื้ม" เมื่อเห็นว่าตนกำลังจะเพิ่มภาระให้เจ้าขามากกว่าจะเป็นประโยชน์ เจ้าชายจึงรีบพาตัวเองเข้าไปหลบในห้องน้ำและลงกลอนประตูทันที

ไม่ใช่ว่าไม่ห่วงพี่ชายตัวเล็กของตน แต่จากสภาพของตนในตอนนี้อย่าว่าแต่ช่วยเจ้าขาเลย แค่ช่วยมีชีวิตรอดจนไปถึงโรงพยาบาลให้ได้ก็พอ

เมื่อตอนนี้เจ้าชายเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว เจ้าขาจึงหันกลับมาให้ความสนใจไอ้สวะทั้งสามคนทันที

"ไม่เอาน่า หน้าหวาน ๆ อย่างน้อง ยอมมาเป็นเมียของพวก....อั้ก" หนึ่งในสามคนที่กำลังพูดจาลวมลามเจ้าขาและเป็นจังหวะที่มันไม่ทันได้ระวังตัว ถูกเจ้าขาหมุนตัวเล็กน้อยก่อนจะตวัดขาฟาดเข้าที่ท้ายทอยของมันเต็มแรง และแน่นอนว่าไอ้สวะคนนั้นม้วนตัวลงไปนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นตามแรงฟาดของเจ้าขาทันที

"จะออกไปมอบตัวดี ๆ หรือจะลงไปนอนด้วยกัน" แม้จะเป็นคำพูดที่แสนจะราบเรียบ แต่แววตาที่แข็งกร้าวบ่งบอกว่าตนเอาจริง และจะไม่ยอมอ่อนข้อให้อย่างแน่นอน

แต่ด้วยความมั่นใจของพวกมันที่คิดว่าตนตัวใหญ่กว่าและยังมีมีดอยู่ในมือยังไงก็เหนือกว่าคนตัวเล็กตรงหน้าอยู่แล้ว

"ดุ ๆ แบบนี้แหละพี่ชอบ เวลาเอา...อ๊ากกกก!!..."

แน่นอนว่าเจ้าขาไม่ได้รอให้มันพูดจนจบ ปลายมีดพกที่เจ้าขาแอบหยิบออกมาถือเอาไว้ตอนที่พวกมันเผลอ ตอนนี้บาดเป็นแผลที่ข้างแก้มของมัน บาดแผลทั้งลึกและยาวจนเกือบจะสุดกรอบหน้า เลือดสีแดงฉานกระเด็นไปทั่วทุกทิศทางจนเจ้าของใบหน้าต้องเอาฝ่ามือกดปิดที่บาดแผลเอาไว้

"หึ อย่าพูดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันน่าสมเพช"

"มึงทำเพื่อนกู!! มึงต้องตาย!!" ไอ้สวะคนที่สามตวัดปลายมีดมาที่ตัวเจ้าขาสุดแรง แต่เจ้าขาอาศัยความไวและทักษะของตนที่มีมากกว่าเบี่ยงตัวหลบและตวัดปลายเท้าเข้าไปที่ท้ายทอยของมันเต็มแรง และแน่นอนว่าไอ้สวะคนนั้นลงไปนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นคู่กับไอ้คนแรกเป็นที่เรียบร้อย

ส่วนไอ้คนที่ถูกปลายมีดบาดที่ใบหน้าพยายามขยับตัวหนีเจ้าขาด้วยความตื่นกลัว แต่เจ้าขาไม่ได้ให้ความสนใจมันเลยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้จิตใจของตนมันอยู่ที่น้องชายหัวแก้วหัวแหวนของตนที่หลบอยู่ในห้องน้ำมากกว่า

"เจ้าชาย เจ้าคุณ ออกมาได้แล้วครับ ขาขาจะพาไปหาหมอ" เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็รีบพุ่งตัวไปหาเจ้าชายกับเจ้าคุณทันที

"ขาขา ช้าไปสามสิบวินาทีนะ" เจ้าชายที่ลากตัวเองออกมาจากห้องน้ำก็เอ่ยแซวพี่ชายของตนด้วยน้ำเสียงทะเล้น

"เงียบไปเลย แล้วเจ้าคุณล่ะ เจ้าคุณได้ยินขาขามั้ย" เมื่อไม่เห็นเจ้าคุณน้องชายคนเล็ก เจ้าขามีอาการร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

"คุณอยู่นี่" บานประตูห้องน้ำค่อย ๆ ถูกเปิดออก ก่อนจะเผยให้เห็นน้องชายคนเล็กของตนที่ตอนนี้เนื้อตัวชุ่มไปด้วยเลือดไม่ต่างจากเจ้าชาย แต่อาการของเจ้าคุณเหมือนจะหนักกว่าเพราะตอนนี้ใบหน้าของเจ้าคุณซีดเซียวจนแทบจะไม่มีสีเลือด

"เจ้าคุณ!!" เมื่อเห็นสภาพของเจ้าคุณ เจ้าชายไม่รอช้ารีบแบกเจ้าคุณที่กำลังจะหมดสติเอาไว้บนหลังของตนทันที

"เจ้าชายไหวมั้ย ให้ขาขาแบกเจ้าคุณเองดีกว่า"

เจ้าขาที่เห็นสภาพของน้องชายของตนก็เสนอตัวเพื่อจะแบกเจ้าคุณแทนเจ้าชาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองตัวเล็กกว่าน้องชายทั้งสองของตน แต่ตอนนี้มันไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้แล้ว ขอแค่ได้พาน้องทั้งสองของตนไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดก็พอ

" เขาแบกเจ้าคุณเอง ขาขาเองก็เจ็บเหมือนกัน รีบไปกันเถอะ เจ้าคุณจะแย่แล้ว"

"แล้วอีกห้องหนึ่งล่ะ เขาเป็นอะไรรึเปล่า" เจ้าขาที่เหมือนจะเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่ามีอีกห้องหนึ่งที่ยังปิดสนิทอยู่ก็เอ่ยถามน้องชายของตนด้วยความสงสัย

"เขาไม่เป็นไรหรอก แค่ยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเฉย ๆ"

"ห้ะ!!" เมื่อได้ยินคำตอบของเจ้าชาย เจ้าขาถึงกับร้องออกมาเสียงหลง

"รีบพาเขากับเจ้าคุณไปหาหมอก่อนเถอะ เดี๋ยวเล่าให้ฟังทีหลัง"

และเหมือนจะเพิ่งได้สติว่าน้องของตนกำลังจะแย่ เจ้าขาไม่รอช้ารีบวิ่งนำหน้าเจ้าชายออกมาจากห้องน้ำทันที

แม้ว่าภายนอกจะมีคนมุงอยู่มากมายแต่กลับไม่มีใครเข้าไปช่วยตนกับน้องแม้แต่คนเดียว แต่ก็นะ เรื่องแบบนี้ใครจะกล้าเอาชีวิตของตนเข้าไปเสี่ยง จำนวนคนร้ายก็ไม่รู้ อาวุธที่พวกมันมีอยู่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง ถ้าถามว่าถ้าคนที่ติดอยู่ข้างในไม่ใช่เจ้าสองแสบ ตนก็คงไม่กล้าบ้าบิ่นบุกเดี่ยวเข้าไปแบบนั้นหรอก

สภาพสามคนพี่น้องที่ชุ่มไปด้วยเลือด วิ่งฝ่าฝูงคนที่ยืนมุงดูออกมาแบบไม่สนสายตาของใครทั้งสิ้น จุดมุ่งหมายเดียวในตอนนี้คือไปให้ถึงรถให้ไวที่สุด และต้องไปให้ถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเช่นกัน

เมื่อพากันมาถึงลานจอดรถ เจ้าชายเข้าไปนั่งที่เบาะหลังกับเจ้าคุณ โดยกอดเจ้าคุณเอาไว้ในอ้อมกอด ส่วนเจ้าขาก็เข้าประจำที่คนขับ ก่อนจะเหยียบคันเร่งจนมิด โดยที่ไม่คิดจะแตะเบรคแม้แต่น้อย ใบสั่งน่ะเหรอ รอไปเคลียร์กับดี๊ที่บ้านก็แล้วกัน วินาทีนี้ขอแค่ไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดก็พอ

เพราะเวลานี้ทุกวินาทีมีความหมาย

เจ้าคุณและเจ้าชายจะต้องปลอดภัย

อดทนหน่อยนะ อดทนเพื่อขาขาสักครั้ง

...ขาขาขอแค่นี้...

โรงพยาบาล

"อะไรของมึงเนี่ยต้นไม้ ลงจากเครื่องปุ๊บก็พากูมาโรงพยาบาลปั๊บ"

"ฉันมีเคสผ่าตัดด่วนไง แกก็รู้ว่าฉันเป็นหมอ หมอมีหน้าที่ต้องช่วยชีวิตคนเว่ย"

"กูไปหาข้าวกินก่อนนะ จะกินอะไรมั้ยเดี๋ยวซื้อไปฝาก" แม้ว่าจะหงุดหงิดที่ไอ้พี่ชายตัวดีลากมาที่โรงพยาบาลด้วย แต่ในเมื่อนั่นมันคืออาชีพของมันและหมอที่มีจรรยาบรรณอย่างมันไม่มีทางที่จะทิ้งคนไข้ เพราะว่ามันเป็นคนแบบนี้ไง เด็กน้อยคนนั้นถึงได้รอดชีวิตมาได้ รวมทั้งตนแล้วก็ผู้ชายคนนั้นด้วย

"อะไรก็ได้ แต่ถ้าแกอยากกลับบ้านก่อนก็ขับรถกลับไปได้เลยนะ เดี๋ยวฉันนอนที่บ้านพักหมอก็ได้"

"เออ เดี๋ยวไปนั่งรอที่หน้าห้องผ่าตัด"

"อืม ฉันไปก่อนนะ ป่านนี้ไม่รู้ว่าเด็กสองคนนั้นจะเป็นไงบ้าง"

เมื่อรถจอดสนิท หมอต้นไม้รีบเปิดประตูรถและวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลทันที ทิ้งให้ทิวไผ่นั่งหัวเสียอยู่ในรถเพียงคนเดียว

เมื่อเจ้าชายกับเจ้าคุณเข้าไปในห้องผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว เจ้าขารีบโทรบอกทางบ้านทันที เจ้าขาเลือกที่จะโทรบอกกับดี๊ดาวเหนือ เพราะคิดว่าดี๊น่าจะมีสติมากที่สุด แต่สุดท้ายกลับต้องขอสายมี๊น่านฟ้า เพราะดี๊เอาแต่ร้องไห้จนพูดไม่รู้เรื่อง ประเมินระยะทางจากบ้านมาถึงที่นี่ก็น่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง

ครึ่งชั่วโมงที่ตนต้องอยู่คนเดียว กับความกลัวและความคิดต่าง ๆ นา ๆ ตั้งแต่เล็กจนโต ตนไม่เคยกลัวอะไรมากเท่านี้มาก่อนเลย ถ้าคนที่ต้องนอนอยู่ในห้องผ่าตัดเป็นตนก็คงจะดี อย่างน้อยน้อง ๆ ก็จะได้ไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้

แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ที่ตนถูกยิงจนต้องเข้ารักษาตัวเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน ตอนนั้นตนไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนจะต้องทุกข์ร้อนและร้องไห้ดีใจเมื่อรู้ว่าตนฟื้นแล้ว แต่พอมาเจอกับตัวเองในวันนี้ เข้าใจแล้วว่าวันนั้นทุกคนรู้สึกยังไง

เจ้าเด็กน้อยตัวกลม ๆ ที่ฟัดแก้มตนหอมซ้ายหอมขวาเพราะดีใจที่ตนฟื้น แต่วันนี้เด็กน้อยคนนั้นกลับต้องเข้าไปอยู่ในห้องนั้นซะเอง

ช่วยอดทนและปลอดภัยและกลับมาอยู่กับขาขาเหมือนเดิมได้มั้ย ขาขาสัญญาว่าจะดูแลเจ้าชายกับเจ้าคุณให้ดีกว่านี้และจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้กับเจ้าชายกับเจ้าคุณขึ้นอีก

และแน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนและน้อง ๆ ในวันนี้ต้องเป็นข่าวใหญ่อย่างแน่นอน แต่ในเวลานี้สิ่งเดียวที่ตนสนใจคืออาการของน้องชายทั้งสองคนของตนมากกว่า

ทิวไผ่ที่เดินเข้ามายังหน้าห้องผ่าตัดเพื่อมารอหมอต้นไม้ เมื่อมาถึงก็พบกับผู้ชายตัวเล็ก ๆ ผิวขาว หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แม้ว่าเสื้อผ้าจะเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผู้ชายตรงหน้าดูน่ารักน้อยลงเลยสักนิด

ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นญาติของเด็กน้อยสองคนที่ต้นไม้กำลังผ่าตัดอยู่ในห้องนั้น

แม้ว่าแววตาจะดูเศร้าและเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย แต่กลับไม่มีน้ำตาหรือเสียงสะอื้นให้ได้ยิน มือเล็ก ๆ กำเข้าหากันจนเล็บน่าจะจิกเข้าไปในฝ่ามือบาง ดูก็รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังรู้สึกยังไง ต้องเก่งแค่ไหนถึงได้อดทนได้มากขนาดนี้ ถ้าเป็นตน ตนยังไม่รู้เลยว่าจะร้องไห้ฟูมฟายจนโรงพยาบาลแตกหรือเปล่า

เมื่อมองสำรวจคนตรงหน้าดี ๆ ทิวไผ่ถึงกับมือไม้สั่น หัวใจเต้นโครมครามจนไม่เป็นจังหวะ

ใช่แน่ ๆ !!

คุณหนูเจ้าขาที่ตนเคยเฝ้ามองตั้งแต่คุณหนูยังเป็นแค่เด็กแสบคนนั้น จนมาถึงวันที่เกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูในวันนั้น

ถึงจะไม่ได้เจอกันเป็นเวลาสิบปี แต่ตนจำได้ดี และจำได้ไม่เคยลืม แต่ที่น่าตกใจคือทุกครั้งที่ตนได้เจอกับคุณหนู ทำไมมันถึงต้องมีแต่เรื่องให้คุณหนูต้องเสียน้ำตาด้วยนะ

ทิวไผ่ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาคุณหนูตัวน้อยช้า ๆ ด้วยท่าทีประหม่า เพราะไม่มั่นใจว่าคุณหนูเจ้าขาจะจำตนได้หรือเปล่า เมื่อเข้ามายืนใกล้ ๆ ถึงได้รู้ว่าที่ต้นแขนของคุณหนูมีรอยเหมือนถูกของมีคมบาด จนแขนเสื้อเป็นรอยขาด แล้วยังมีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด

"คุณหนูครับ ไปทำแผลก่อนดีมั้ยครับ แผลของคุณหนูเลือดยังไหลอยู่เลยครับ"

"ฮึก!!" เจ้าขาที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน จึงไม่ได้รับรู้ถึงการมาของผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ จึงทำให้ตกใจและสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ต้นแขนของตนบริเวณที่มันเป็นแผล

"ขอโทษครับที่ทำให้ตกใจ ผมเห็นเลือดมันยังไหลไม่หยุด ผมก็เลยถือวิสาสะเอาผ้าเช็ดหน้ากดที่แผลให้น่ะครับ"

"ขอบคุณครับ"

เมื่อมือบางจับที่ผ้าเช็ดหน้าที่ทิวไผ่กดห้ามเลือดเอาไว้ให้ ทิวไผ่จึงรีบดึงมือกลับทันที เพราะไม่อยากให้ใครมาเห็นและคิดว่าตนล่วงเกินคุณหนูตัวน้อย โดยเฉพาะคนในตระกูลวัชรสกุลกิจ แค่คิดถึงสายตาของคนในตระกูลนี้ ตนก็แทบจะมุดดินหนีไปให้ไกล ๆ แต่ตอนนี้คุณหนูอยู่คนเดียว ถ้าตนจะขอเสนอตัวอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูสักห้านาที สิบนาที คงไม่ถูกลากไปกระทืบหรอกมั้ง

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ตนก็อดจะเสียวสันหลังแทนไอ้คนที่มันกล้ามาทำร้ายคุณหนูกับน้องชายของคุณหนูไม่ได้ เพราะโทษของพวกมันคงจะมีแค่ความตายสถานเดียว

"เข้าไปให้หมอทำแผลสักหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมพาไป" เมื่อเห็นสายตาที่มองมาพร้อมกับความสงสัยทิวไผ่จึงไม่รอช้าที่จะแนะนำตัวเองให้คุณหนูตัวน้อยได้หายสงสัย "ผมชื่อทิวไผ่ครับคุณหนู เคยทำงานกับคุณทะเลเมื่อนานมาแล้วน่ะครับ แล้วก็เป็นน้องชายของหมอต้นไม้ด้วยครับ แต่คุณหนูน่าจะจำผมไม่ได้แล้ว"

"พี่.. พี่ทิวไผ่ใช่มั้ยครับ หนูจำได้" เมื่อเห็นอาการประหม่าของทิวไผ่ เจ้าขาจึงยิ้มกว้างให้คนตรงหน้าทันที เพื่อยืนยันว่าตนจำได้จริง ๆ

เมื่อได้รับรอยยิ้มจากคุณหนูตัวน้อย จากที่มีอาการประหม่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่ต้องถามว่ารู้สึกยังไง มันทั้งตื่นเต้นที่คุณหนูยิ้มให้ ทั้งดีใจที่คุณหนูยังจำตนได้

"ผมดีใจนะครับที่คุณหนูจำผมได้ แต่ผมว่าคุณหนูไปทำแผลก่อนดีมั้ยครับ เดี๋ยวผมพาไป"

"ไม่เป็นไรครับ แผลแค่นี้เองหนูไม่เป็นไร หนูไม่เจ็บ" พูดจบก็ส่งยิ้มหวานให้กับคนตรงหน้าทันที

คำพูดคำจาของคุณหนูเจ้าขายังเหมือนเดิม แม้จะมีคำว่าครับต่อท้าย แต่ก็ยังพูดแทนตัวว่าหนูเหมือนเดิม แล้วไอ้คำพูดที่บอกว่าหนูไม่เป็นไร หนูไม่เจ็บ มันเป็นคำพูดที่ตนได้ยินจนติดหนู

ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองจมน้ำเกือบตาย ก็ยังพูดว่าหนูไม่เป็นไร หนูไม่เจ็บ ขนาดวันนั้นถูกยิงจนเลือดท่วมตัว ก็ยังพูดว่าหนูไม่เป็นไร หนูไม่เจ็บ แต่สุดท้ายก็เกือบไม่รอด แต่ยังถือว่าโชคดีที่รอดมาได้

"คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วงน้องชายของคุณหนูหรอกครับ ยังไงเขาสองคนก็ต้องปลอดภัย ต้นไม้มันเก่ง ขนาดผมตายไปแล้ว มันยังลากผมกลับมาได้เลย"

"จ...จริงด้วย หนูมัวแต่ตกใจเรื่องน้องชาย เอ่อ..พี่ไม่ได้ตายอย่างที่เขาพูดกันเหรอครับ แล้ว.. แล้วพี่ไปอยู่ที่ไหนมา แล้วพี่เป็นไงบ้าง หนูขอโทษที่ไม่ได้ถาม แล้วก็ขอบคุณที่ช่วยแด๊ดดี๊หนูเอาไว้อีกแล้ว" เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่เคยมีข่าวว่าเอาตัวเข้ามาขวางและถูกยิงแทนพ่อของตนจนตัวเองต้องตาย แต่ตอนนี้กลับมายืนอยู่ตรงหน้าของตน ฝ่ามือที่มีแต่คราบเลือดยกขึ้นพนมเป็นพุ่มก่อนจะไหว้ขอบคุณผู้ชายตรงหน้าด้วยท่าทางอ่อนน้อม

"ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ว่าง ๆ ผมจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังนะครับ แต่ตอนนี้คุณหนูไปทำแผลกับผมก่อนนะครับ ผมขอร้องล่ะ"

"แต่หนูกลัวว่าถ้าทุกคนมาแล้วจะไม่เจอหนู แล้วถ้าเจ้าชายกับเจ้าคุณออกมาไม่เจอหนู สองคนนั้นอาจจะคิดว่าหนูทิ้งพวกเขาก็ได้ หนูไม่อยากทิ้งพวกเขาสองคนไว้ตามลำพังอีกแล้ว"

ทิวไผ่อดที่จะลอบถอนหายใจออกมาไม่ได้ คุณหนูเจ้าขาก็คือคุณหนูเจ้าขาสินะ ตัวเองเป็นยังไงจะเจ็บมากแค่ไหนก็ยังคงเป็นห่วงคนอื่นก่อนเสมอ

คำจำกัดความสำหรับคุณหนูในเวลานี้คงมีแค่คำเดียว

...ดื้อ!!...

"แต่ถ้าคุณหนูไม่ยอมไปทำแผล แล้วคนที่บ้านคุณหนูมาเจอคุณหนูตัวเปื้อนเลือดแบบนี้ พวกเขาคงเป็นห่วงและคิดมากแน่ ๆ เลยครับ ที่ปล่อยให้คุณหนูเจ็บตัวแบบนี้"

ในเมื่อพูดด้วยดี ๆ ไม่เป็นผล ก็คงต้องเอาคนในครอบครัวของคุณหนูมาอ้างแล้วล่ะ

"เอ่อ.. งั้นพี่ช่วยยืนเฝ้าน้องชายให้หนูแป๊บหนึ่งได้มั้ยคะ...เอ่อครับ หนูขอไปทำแผลแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวหนูมา"

มันได้ผลจริง ๆ แฮะ เมื่อคุณหนูตัวน้อยยอมไปทำแผลตามที่ตนบอก ทิวไผ่ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

"ครับ เดี๋ยวผมเดินไปเป็นเพื่อน ตอนที่คุณหนูเข้าไปทำแผล ผมจะรีบกลับมาที่นี่เพื่อมาเฝ้าน้องชายของคุณหนูเองครับ"

"ขอบคุณครับ" มือเรียวยกขึ้นพนมไหว้ขอบคุณทิวไผ่อีกครั้ง และทิวไผ่เองก็รับไหว้ด้วยการส่งยิ้มและพยักหน้ารับคำขอบคุณของคุณหนูอย่างอ่อนโยน

เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ทั้งคู่ตกลงกันไว้ หลังจากที่ทิวไผ่เดินไปส่งคุณหนูเจ้าขาที่ห้องฉุกเฉินเพื่อทำแผล ตนก็รีบวิ่งกลับมาที่หน้าห้องผ่าตัดทันที

แม้ว่าจะได้พูดคุยกับคุณหนูเจ้าขาของตนไปบ้างแล้ว แต่อาการประหม่ากับหัวใจที่มันเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอกไม่ได้ลดลงเลย

สิบปีที่ไม่ได้เจอกัน คิดว่าคุณหนูเจ้าขาคงจะลืมตนไปแล้ว แต่นอกจากจะไม่ลืม คุณหนูเจ้าขายังจำได้ว่าตนเคยช่วยพ่อของเขาเอาไว้ แล้วไอ้หน้าตาตื่น ๆ ระคนดีใจนั่นอีก ขอคิดเข้าข้างตัวเองได้มั้ยว่าคุณหนูเจ้าขาดีใจที่เจอตน แล้วก็ดีใจที่ตนยังไม่ตาย

ไม่ใช่แค่คุณหนูเจ้าขาหรอกที่ไม่ลืมตน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ตนก็ลืมคุณหนูเจ้าขาไม่ได้เช่นกัน

แต่ที่ไม่ได้กลับมาที่นี่ก็เพราะไม่อยากรับรู้เรื่องของผู้ชายคนนั้น และอีกเหตุผลก็คือแม่กับป๊าแล้วก็ไอ้พี่ชายตัวดีไม่ยอมให้กลับ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นตนต้องใช้เวลารักษาตัวเกือบสองปี กว่าจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติก็ปาเข้าไปเกือบ ๆ สามปี มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างหนักเอามาก ๆ แต่ตนยังโชคดีที่มีครอบครัวที่ดี ช่วงที่พักรักษาตัวอยู่ที่อังกฤษ มีแม่ไปอยู่ด้วยไม่ห่าง ส่วนป๊ากับต้นไม้ก็เทียวมาเทียวไปตลอด เรียกได้ว่าตอนนั้นถ้าไม่ได้กำลังใจจากคนในครอบครัว ตนคงไม่ลุกขึ้นมาสู้ และก็คงจะไม่ได้กลับมาเจอกับคุณหนูของตนในวันนี้หรอก

แม้ว่าลึก ๆ จะรู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่ได้เจอคุณหนูที่นี่ แต่ในใจที่ลึกกว่านั้นก็ไม่อยากจะคิดถึงตอนที่คนในครอบครัวของคุณหนูมาถึงที่นี่เลย ต่อให้ตนไม่ใช่คนผิด และไม่ได้ทำอะไรผิด สถานการณ์มันก็ชวนอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่ดี

แล้วยิ่งถ้าพี่ชายสองคนนั้นของคุณหนูมาด้วยล่ะก็.. แค่ส่งสายตามาที่ตน ตนก็แทบจะแหลกเหลวเป็นผุยผง ไม่รู้ว่าจะทำหน้าเคร่งขรึมไปถึงไหน ก็รู้หรอกว่าหวงคุณหนูตัวน้อยมากแค่ไหน แต่ก็น่าจะส่งสายตาเป็นมิตรมาให้บ้าง ไม่ใช่มองแบบเชือดเฉือนตลอดเวลา

ถ้าถามว่ากลัวมั้ย ตอบได้เลยแบบไม่ต้องคิด กลัวมาก แต่ถ้าถามว่าตอนนี้ระหว่างกลัวพี่ชายของคุณหนูเจ้าขากับกลัวว่าจะไม่ได้เจอคุณหนูเจ้าขา กลัวเรื่องไหนมากกว่ากัน

ขอตอบว่ากลัวไม่ได้เจอคุณหนูเจ้าขามากกว่า

ในเมื่อคุณหนูตัวน้อยที่ตนเคยเฝ้าฝันอยู่ตรงหน้าแล้ว งานนี้มันก็ต้องเสี่ยง

แม้จะรู้ว่ากำลังจะเล่นของสูง เพราะคุณหนูเจ้าขาเปรียบเสมือนเจ้าหญิงที่อยู่บนหอคอยสูง แถมยังมีองครักษ์อยู่รอบ ๆ หอคอยนั่นอีก ถ้าใจไม่ถึงจริง ๆ ก็ไม่ควรเอาชีวิตไปทิ้ง เพราะนอกจากจะไม่ได้พบกับเจ้าหญิงแล้ว อาจจะถูกเหล่าบรรดาองครักษ์ฆ่าตายก่อนที่จะได้เข้าไปถึงบริเวณของปราสาทเสียด้วยซ้ำ

ถ้าอยากได้ครอบครองเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ มีอยู่ทางเดียว ตนจะต้องดึงตัวเองขึ้นไปให้สูงเท่าเจ้าหญิงให้ได้ และแน่นอนว่าตนวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว ที่เหลือก็แค่รอเวลา รอให้เหล่าบรรดาองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิง ยอมเปิดประตูต้อนรับตนด้วยความเต็มใจก็พอ

...รอก่อนนะครับ...

...คุณหนูตัวน้อยของทิวไผ่...

ตอนที่ 3

"คุณหนูไปมีเรื่องกับพวกใครมาเหรอครับ"

หลังจากที่เจ้าขาทำแผลเสร็จก็เดินกลับมานั่งที่หน้าห้องผ่าตัดเหมือนเดิม จากที่นั่งเงียบกันอยู่นาน ทิวไผ่จึงเอ่ยถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ เพราะตอนนี้เจ้าขาเริ่มมีอาการกระสับกระส่ายนั่งไม่ติด เพราะเป็นห่วงน้องชายทั้งสองของตนที่ยังคงอยู่ในห้องผ่าตัด

"หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาเป็นใคร ตอนที่หนูเข้าไปช่วยน้องชายสองคนในห้องน้ำ พวกเขาก็มีสภาพที่ไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ หนูเลยรีบพาเขาสองคนมาที่นี่" เจ้าขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

"คุณหนูโทรบอกคุณดาวเหนือกับคุณทะเลหรือยังครับ"

"หนูโทรไปบอกดี๊แล้วค่ะ ดี๊กับมี๊กำลังมาค่ะ"

"อ่อ.. ครับ แต่ระยะทางจากบ้านของคุณหนูกับที่นี่ก็ไกลกันพอสมควร วันนี้เป็นวันศุกร์ด้วย ผมว่ารถน่าจะติด กว่าจะมาถึงก็คงอีกสักพักใหญ่ ๆ แหละครับ" แต่ยังไม่ทันที่สมองจะได้ประมวลผลอะไรต่อ เมื่อกี้คุณหนูพูดกับตนว่า ค่ะ ค่ะงั้นเหรอ โอ๊ย!! หัวใจมันกระตุกจนแทบจะล้นออกมานอกหน้าอก ทำไมถึงได้น่ารักแบบนี้นะ น่ารักจนใจเจ็บไปหมด

"พี่ทิวไผ่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ...เอ่อครับ" เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าตนไม่ควรพูดจาคะขากับคนตรงหน้า เจ้าขาจึงรีบแก้คำลงท้ายเป็นครับทันที

"คุณหนูไม่ต้องเกร็งหรอกครับ พูดคะขาเหมือนเดิมก็ได้ครับ ผมว่ามันเหมาะกับคุณหนูมากกว่าคำว่าครับน่ะครับ"

เมื่อเห็นอาการประหม่าของเจ้าขา ทิวไผ่จึงรีบพูดเพื่อเสริมความมั่นใจให้กับเจ้าหญิงตัวน้อยของตนทันที ใครจะมองยังไงตนไม่รู้ แต่สำหรับตนแล้ว เจ้าขาเปรียบเสมือนเจ้าหญิงที่สูงศักดิ์ ที่ตนทำได้แค่ชะเง้อมอง และได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งตนอาจจะมีวาสนาได้ครอบครอง แต่แค่คิดถึงองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิง ตนก็แทบจะยกธงชาวยอมแพ้ในทันที

"พี่ทิวไผ่มารอใครเหรอคะ อื้อ.. ขอโทษค่ะ เมื่อกี้พี่ทิวไผ่เพิ่งจะบอกกับหนูว่ามารอคุณหมอต้นไม้ หนูขอโทษนะคะที่จำไม่ได้" เจ้าขารีบพูดขอโทษคนตรงหน้าก่อนจะส่งยิ้มหวานแก้เก้อให้คนตรงหน้าจนตาหยี

รอยยิ้มนั้นทำเอาคนมองอย่างทิวไผ่หัวใจเต้นโครมครามไม่ได้พัก ตั้งแต่เจอคุณหนูจนถึงตอนนี้ หัวใจของทิวไผ่ทำงานหนักมาก ๆ ทำไมถึงได้ขยันทำตัวน่ารักแบบนี้นะ

"ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจว่าตอนนี้คุณหนูเป็นห่วงน้องชายของคุณหนูมาก ๆ แต่เชื่อผมเถอะครับ เขาจะต้องปลอดภัย ต้นไม้มันเก่ง มันช่วยน้องชายของคุณหนูได้อยู่แล้วครับ"

"หนูก็ขอให้เป็นแบบนั้น" แม้จะไม่มีเสียงสะอื้นไห้ แต่ทิวไผ่ก็จับสังเกตุได้ว่าความรู้สึกของเจ้าขาตอนนี้มันวูบโหวงและสั่นไหวแค่ไหน แต่เจ้าหญิงตัวน้อยกลับเก็บซ่อนมันเอาไว้ซะจนแทบจะจับพิรุธไม่เห็น ถ้าไม่ได้ใส่ใจจริง ๆ จะไม่มีทางรู้เลยว่าคนตรงหน้าพยายามเข้มแข็งมากแค่ไหน

ยิ่งเห็นเจ้าขาพยายามเข้มแข็งมากแค่ไหน ตนก็อยากจะโอบกอดเพื่อปลอบประโลมให้คุณหนูตัวน้อยของตนได้รู้สึกผ่อนคลายมากเท่านั้น แต่ก็ทำได้แค่คิด เพราะถ้าตนทำอะไรลุ่มล่ามแบบนั้น บอกได้คำเดียวเลยว่าตาย ตายแบบไม่มีทางฟื้นขึ้นมาอีกเป็นแน่

"หนูขา!!" ดาวเหนือที่วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อนไม่รอช้าคว้าตัวคุณหนูตัวน้อยเข้าไปกอดเอาไว้ในอกทันที "หนูขาเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ บอกดี๊สิคะ"

ว่าพลางสำรวจร่างกายของเจ้าขาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดด้วยท่าทางตื่นตระหนก

"หนูถูกปลายมีดนิดหน่อยค่ะ แต่หนูไปทำแผลมาแล้วนะคะ เย็บแค่สี่ห้าเข็มเองค่ะ"

"หนูว่าอะไรนะ!! เย็บตั้งสี่ห้าเข็ม!! หนูจะบอกว่าไม่เป็นไรได้ยังไง" ดาวเหนือที่รู้ว่าเจ้าหญิงตัวน้อยของตนเป็นแผลจนต้องเย็บถึงสี่ห้าเข็มก็แทบจะหมดแรงล้มฮวบไปที่พื้น แววตาที่มองใบหน้าของเจ้าหญิงของตนวูบไหวไปด้วยคราบน้ำตา

"ดี๊ขา หนูขอโทษค่ะ หนูขอโทษที่ดูแลตัวเองกับน้อง ๆ ไม่ดี หนูขอโทษ" มือเรียวยกขึ้นพนมเป็นพุ่มก่อนที่จะกราบลงที่หว่างอกของดาวเหนืออย่างคนรู้สึกผิด

"ไม่เป็นไรนะคะคนดี หนูไม่ได้ผิด ไอ้คนที่มันทำร้ายหนูกับน้อง ๆ ต่างหากล่ะที่ผิด" ฝ่ามือหยาบกร้านลูบที่แผ่นหลังของเจ้าขาอย่างอ่อนโยน ผิดกับแววตาที่มันแข็งกร้าวจนดูน่ากลัว

ทิวไผ่ที่เห็นว่าคนในตระกูลวัชรสกุลกิจรวมไปถึงเหล่าลูกน้องของดาวเหนือยืนครอบคุมเต็มพื้นที่หน้าห้องผ่าตัด ตนจึงปลีกตัวออกมายืนอยู่อีกฟากหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นห่วงคุณหนูตัวน้อย แต่ตอนนี้เธออยู่กับผู้นำตระกูลที่น่าเกรงขามอย่างดาวเหนือ คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะ

"ดี๊ขา เจ้าชายกับเจ้าคุณ ฮึก เจ้าชายกับเจ้าคุณยังอยู่ในห้องผ่าตัด เขา ฮึก เขาสองคน..." ความอ่อนแอที่ตนพยายามซุกซ่อนเอาไว้ แต่ตอนนี้มันเก็บซ่อนเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว มันกลัวไปหมด กลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกลัวมาก่อน

"ชู่วว.. หนูขาของดี๊ไม่ต้องคิดมากนะคะ ยังไงสองคนนั้นก็ต้องปลอดภัย เชื่อดี๊นะคะคนดี" แค่เห็นร่างกายของยอดดวงใจมีบาดแผล ตนก็โมโหจนแทบคลั่ง แต่นี่เจ้าขาต้องมาร้องไห้จนตัวสั่นสะท้าน หัวใจของดาวเหนือแทบแตกสลาย เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้วที่ตนไม่เคยเห็นเจ้าขาร้องไห้ แล้วไอ้สารเลวพวกนั้นเป็นใคร กล้าดียังไงมาทำให้ยอดดวงใจของตนต้องมีบาดแผลแล้วยังจะต้องมาร้องไห้จนตัวโยนแบบนี้อีก บอกเลยว่าโทษของพวกมันไม่ต่างจากนักโทษชั้นเลว และแน่นอนว่าผู้สำเร็จโทษจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากตน

ปลายจมูกโด่งกดหอมที่กลุ่มผมนุ่มอย่างอ่อนโยน ฝ่ามือหยาบเช็ดน้ำตาที่พวงแก้มเนียนอย่างเบามือ แขนอีกข้างก็กอดรั้งเอวคอดเอาไว้ในแน่น

"ดี๊มาคนเดียวเหรอคะ" เจ้าขาที่พอตั้งสติได้ก็เริ่มถามหาคนอื่น ๆ เพราะมันน่าแปลก เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมดี๊ดาวเหนือถึงมาที่นี่แค่คนเดียว แม้จะมีลูกน้องติดสอยห้อยตามมาอีกเกือบสิบคน แต่แด๊ดดี๊ มามี๊ แล้วก็มี๊น่านฟ้า ทำไมไม่มากับดี๊ดาวเหนือด้วย

"ปลายฟ้ากับน่านฟ้ากำลังตามมาค่ะ ส่วนทะเลไปทำธุระให้ดี๊ค่ะ แต่เดี๋ยวก็คงจะตามมา"

"แด๊ดดี๊ไปทำธุระเหรอคะ" เจ้าขาก็คือเจ้าขา ไม่มีทางที่จะรู้ไม่ทันคำพูดของดี๊ดาวเหนือ และคาดว่าธุระที่ดี๊ดาวเหนือให้แด๊ดดี๊ไปทำก็คงไม่พ้นเรื่องของคนที่ทำร้ายตนกับพวกน้อง ๆ ในห้องน้ำ

ฟอดดด

"หนูขาไม่เชื่อดี๊เหรอคะ หื้ม?" ปลายจมูกโด่งฟัดที่พวงแก้มเนียนของเจ้าหญิงตัวน้อยด้วยความมันเขี้ยวระคนเอ็นดู ทั้งฉลาด ทั้งเก่ง แบบนี้สิถึงได้รู้ทันดาวเหนือไปเสียทุกเรื่อง

"หื่อ!! ดี๊ให้แด๊ดดี๊ไปจัดการเรื่องที่น้อง ๆ ถูกทำร้ายใช่มั้ยคะ ดี๊อย่าเพิ่งทำอะไรพวกเขานะคะ เพราะหนูยังไม่รู้ว่าต้นสายปลายเหตุมันมาจากอะไร เผื่อเจ้าแสบจะไปหาเรื่องพวกเขาก่อน เราจะได้ไม่กลายเป็นคนผิดที่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ไงคะ"

ไม่ใช่ว่าตนจะไม่รู้จักนิสัยน้องชายตัวแสบของตน แต่มันก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี เจ้าชายอายุสิบแปด กำลังเป็นหนุ่มครึกคะนองและเลือดร้อน ส่วนเจ้าคุณอายุสิบห้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถอดแบบเจ้าชายมาอย่างกับคนคนเดียวกัน แล้วที่ตนยังคาใจก็คือบุคคลที่ยังอยู่ในห้องน้ำห้องที่สาม อะไรคือเขายังไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ที่เขายังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเพราะสามคนนั้น หรือเพราะเจ้าแสบน้องชายของตนกันแน่ ที่ตนคิดแบบนี้ก็เพราะบางทีเจ้าน้องชายตัวแสบก็แอบดื้อเงียบ ๆ แต่ก็ไม่เคยสร้างเรื่องที่มันใหญ่โตเท่าวันนี้ เพราะที่ผ่านมาอย่างมากก็แค่มีเรื่องชกต่อยตามประสาวัยรุ่น แต่ครั้งนี้มันหนักหนาจริง ๆ ถ้ารอดปลอดภัยออกมาได้ ตนคงต้องกำราบอย่างจริงจังซะแล้วล่ะ

"เรื่องที่หนูสงสัย หาคำตอบได้ไม่ยากหรอกค่ะ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครเป็นคนสร้างเรื่อง แต่ความผิดของพวกมันมีแน่นอนค่ะ มันผิดที่ทำให้หนูขากับลูกชายทั้งสองคนของดี๊ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ ดี๊อภัยให้พวกมันไม่ได้หรอกค่ะ" ดาวเหนือพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ริมฝีปากหยักยกยิ้มให้นางฟ้าตัวน้อยอย่างอ่อนโยน แต่แววตากลับแข็งกร้าววาวโรจน์ไปด้วยความโกรธแค้น เหมือนกับว่ากำลังมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในดวงตาของดาวเหนือก็ไม่ปาน

เรียวแขนเล็กโอบกอดเอวสอบของดี๊ดาวเหนืออย่างออดอ้อน พวงแก้มเนียนถูไถที่แผ่นอกของดี๊ดาวเหนือเหมือนลูกแมวตัวน้อยกำลังออดอ้อนเจ้าของของมัน ปากบางฉีกยิ้มพิมพ์ใจให้ดาวเหนือจนตาหยี และแน่นอนว่าการกระทำของเจ้าหญิงตัวน้อยมันมีผลต่อจิตใจของดี๊ดาวเหนือไม่ใช่น้อย เพราะทันทีที่ลูกแมวมันเอาหัวถูไถที่อกของตน ดาวเหนือก็อดไม่ได้ที่จะฝังจมูกหอมที่กลุ่มผมนุ่มไปฟอดใหญ่

แพ้ลูกอ้อนให้กลับเจ้าหญิงตัวน้อยอีกแล้วสิน้า!!

"ดี๊อย่าเพิ่งลงโทษพวกเขาได้มั้ยคะ หนูอยากฟังความจริงจากปากของเจ้าสองแสบเสียก่อน หนูไม่อยากฟังความข้างเดียวค่ะ" ว่าพลางฉีกยิ้มพิมพ์ใจให้ดี๊ดาวเหนือได้ใจอ่อนยวบอีกครั้ง

"ทำไมหนูขาของดี๊น่ารักแบบนี้ล่ะคะ ทั้ง ๆ ที่พวกมันทำให้หนูเจ็บ หนูยังจะร้องขอชีวิตของพวกมันเอาไว้อีก ดื้อจริง ๆ เลย!!" ปากก็ว่าเด็กดื้อ แต่ปลายจมูกโด่งก็กดหอมแก้มดื้อ ๆ ของเจ้าหญิงตัวน้อยไปอีกฟอดใหญ่ แล้วมีเหรอที่เด็กดื้อจะยอมแพ้ นอกจากจะออดอ้อนให้ดี๊ดาวเหนือใจอ่อนได้แล้ว ยังหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ ก่อนจะจุ๊บที่แก้มสากของดี๊ดาวเหนือเพื่อขอบคุณที่ยอมใจอ่อนและทำตามคำขอร้องของตน

อีกฟากหนึ่ง ทิวไผ่ที่ยืนดูการกระทำของสองพ่อลูก ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตามไปด้วย ไม่ว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะเลวร้ายมากแค่ไหน แต่คุณหนูตัวน้อยก็สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ตรงนั้นให้กลับมาดีขึ้นได้ไม่ยาก เพียงแค่คุณหนูยิ้ม ทุกอย่างมันก็ดูผ่อนคลายไปหมด

ขนาดดาวเหนือที่ใครต่อใครบอกว่าโหดเหี้ยมนักโหดเหี้ยมหนา กลับยืนโอบกอดคุณหนูตัวน้อยอย่างอ่อนโยน แววตาและน้ำเสียงที่พูดคุยกับคุณหนูเจ้าขาก็อ่อนโยนจนแทบจะเป็นเสียงสองเสียงสามเลยก็ว่าได้

เมื่อคิดมาได้ถึงตรงนี้ก็รู้สึกหน่วง ๆ อย่างบอกไม่ถูก ความฝันที่จะได้ดูแลเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลวัชรสกุลกิจคงเป็นได้แค่ความฝันสินะ เพราะดูท่าแล้ว ตนคงจะผ่านด่านองครักษ์ผู้พิทักษ์องค์หญิงตัวน้อยไปได้ยากเสียเหลือเกิน คิดได้แค่นั้น ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

แกร๊ก!!

"คุณหมอ!! ลูกชายของผมเป็นไงบ้างครับ เขาปลอดภัยดีใช่มั้ยครับ" ทันทีที่คุณหมอเดินออกมาพ้นประตูห้องผ่าตัด ดาวเหนือไม่รอช้ารีบถามไถ่อาการลูกชายทั้งสองของตนทันที แต่อ้อมแขนยังคงกกกอดเจ้าขาเอาไว้ในอกไม่ยอมปล่อย เพราะเกรงว่าถ้าคำตอบที่คุณหมอตอบออกมาตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตนคิดเอาไว้ ตนจะได้กอดปลอบเจ้าขาได้ทันท่วงที

"ครับ เขาสองคนปลอดภัยแล้วครับ เดี๋ยวหมอจะให้เจ้าหน้าที่ย้ายคนไข้ไปยังห้องพักผู้ป่วยนะครับ" ต้นไม้รู้สึกตกใจเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าญาติคนไข้ที่มารออยู่ที่หน้าห้องผ่าตัดจะเป็นดาวเหนือ ภาพของชายวัยกลางคนที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้องไอซียูเมื่อสิบปีที่แล้วฉายซ้ำเข้ามาในความคิดของหมอต้นไม้อีกครั้งแต่ครั้งนี้ดีกว่าครั้งนั้นก็ตรงที่เด็กน้อยที่ตนช่วยเอาไว้ปลอดภัยดีทั้งคู่ ความรู้สึกมันจึงแตกต่างจากครั้งที่แล้วอย่างลิบลับ

"ขอบคุณนะครับคุณหมอ ขอบคุณที่ช่วยน้องชายของผมจนพวกเขาปลอดภัย" มือน้อย ๆ ยกขึ้นพนมก่อนจะก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อขอบคุณคุณหมอตรงหน้า

"ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว หมอขอตัวก่อนนะครับ" เมื่อตนทำหน้าที่ของตนเสร็จสิ้นแล้ว ก็เดินแยกออกมาทางเจ้าน้องชายตัวดีของตนทันที ไอ้น้องชายที่ว่าก็เอาแต่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างกับคนเสียสติ ไม่รู้จะยิ้มอะไรนักหนา ผิดกับตอนแรกที่มาถึงโรงพยาบาลราวฟ้ากับเหว สงสัยว่าเรื่องนี้จะต้องถึงหูป๊ากับแม่ซะแล้ว อย่างน้อยถ้าไม่รีบเตรียมเงินค่าสินสอด ก็คงต้องรีบเตรียมหลุมฝังศพเอาไว้ให้มัน เพราะดูท่างานนี้คงจะจบไปในทิศทางที่สองซะมากกว่าจะได้เตรียมเงินค่าสินสอด

เพราะคนที่มันหมายปอง ไม่ใช่แค่ดอกฟ้าแต่เป็นนางฟ้าที่หมาอย่างมันทำได้แค่มอง

คฤหาสน์วัชรสกุลกิจ

"อ๊ะ!!...อึ๋ย!!..เจ็บชะมัด" เจ้าขาร้องเสียงหลงเมื่อเผลอพลิกตัวนอนทับแขนข้างที่มีแผล

"เจ็บมากมั้ยคะ"

"เฮีย...เฮียนายมาได้ไงคะ" ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย เจ้าขารีบลืมตาตื่นขึ้นมามองคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ตนด้วยท่าทีที่ตื่นตระหนก

ฟอดดด

"มอร์นิ่งค่ะ" เจ้านายฟัดที่แก้มของเจ้าขาด้วยความเอ็นดู

"ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาสิ จะได้กินข้าวกินยา"

"เฮีย...เฮียสมุทร" เมื่อได้ยินน้ำเสียงราบเรียบที่เป็นเอกลักษณ์ของอีกคน เจ้าขารีบหันมาตามเสียงทันที เจ้าสมุทรนั่งเอนหลังพิงที่หัวเตียง ฝ่ามือหนาลูบที่กลุ่มผมนุ่มอย่างอ่อนโยน "สวัสดีค่ะเฮียนาย สวัสดีค่ะเฮียสมุทร"

มือน้อย ๆ ยกขึ้นไหว้พี่ชายทั้งสอง พร้อมกับส่งยิ้มหวานจนตาหยีอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ

ฟอดด

เจ้าสมุทรอดไม่ได้ที่จะก้มฟัดที่พวงแก้มของเจ้าขาด้วยความมันเขี้ยว

"เจ็บมากมั้ยคะ" เจ้าสมุทรเอ่ยถามเจ้าขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แม้ว่าภายในใจจะลุกโชนด้วยไฟแห่งความโกรธแค้นก็ตาม ยอมรับเลยว่าตอนที่รู้ว่าน้อง ๆ ของตนถูกทำร้าย ตนกับเจ้านายร้อนใจจนแทบคลั่ง และรีบนั่งเครื่องบินส่วนตัวมาที่นี่ทันที

"ไม่เจ็บแล้วค่ะ" ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บ แต่ไม่อยากทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วงไปมากกว่านี้ต่างหาก แค่เห็นพี่ชายทั้งสองของตนมานอนขนาบข้างทั้งซ้ายและขวา ตนก็รู้สึกผิดจะแย่อยู่แล้ว

"ไม่เจ็บ หรือไม่อยากทำให้ทุกคนเป็นห่วง" เจ้าสมุทรที่รู้ทันความคิดของเจ้าขาก็เอ่ยถามเสียงเรียบ เพราะทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าเจ้าหญิงที่พวกตนเฝ้าถนอมกันมาตั้งแต่เล็กเป็นคนยังไง นิสัยแบบไหน แล้วก็ดื้อได้ใคร

"ขอ...ขอโทษค่ะที่ดูแลสองแสบไม่ดี จนเกิดเรื่องขึ้น และก็ขอโทษที่ดูแลตัวเองไม่ดี จนทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วง" มือเรียวยกขึ้นพนมเป็นพุ่มก่อนจะหันไปไหว้ขอโทษพี่ชายทั้งสองของตนด้วยใบหน้าที่บ่งบอกว่าตนรู้สึกผิดจริง ๆ

เจ้าสมุทรเมื่อเห็นหน้าหงอย ๆ ของเจ้าขาก็ใจอ่อนยวบ จึงรีบคว้าตัวเจ้าขามานั่งที่ตักของตน และกอดปลอบขวัญเจ้าขาอย่างอ่อนโยน

"ขอโทษที่ดุ เฮียกับเฮียนายเป็นห่วงหนูขามากเลยรู้มั้ย แค่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับหนู เฮียกับเฮียนายก็รีบมาหาทันทีเลย เพราะกลัวว่าเด็กดื้อของเฮียจะพลั้งมือฆ่าใครตายไปซะก่อน"

"หื่อ!! ... หนูไม่ได้ฆ่าใครตายสักหน่อย ก็แค่ป้องกันตัวเฉย ๆ เถอะ" คนถูกแซวบึนปากคว่ำ แก้มทั้งสองข้างอมลมเอาไว้จนแก้มป่อง

ฟอดดด

เจ้าสมุทรอดไม่ได้ที่จะฟัดที่แก้มป่อง ๆ ของเจ้าขาด้วยความมันเขี้ยวไปอีกหลายฟอดใหญ่

"ไม่ตาย แต่ก็สาหัส ไอ้คนที่ถูกเตะ สองคนนั้นป่านนี้ยังไม่ฟื้นเลย ส่วนอีกคนเห็นตำรวจบอกว่าถึงขั้นเสียสติพูดจาให้การณ์อะไรไม่รู้เรื่องเลย ต้องส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวช" เจ้าสมุทรรีบสาธยายอาการของไอ้สวะสามคนนั้นให้เจ้าหญิงตัวน้อยของตนฟังทันที

"พวกเขาเจ็บหนักขนาดนั้นเลยเหรอคะ หนู.. หนูไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายพวกเขาให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น คุณตำรวจจะแจ้งข้อหาพยายามฆ่าหรือเปล่าคะ แต่...แต่หนูสาบานได้ หนูไม่ได้ตั้งใจ หนู.."

เมื่อเห็นหน้าหงอย ๆ ระคนตื่นตระหนกของเจ้าขา เจ้าสมุทรก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขำกับท่าทางตื่น ๆ ของเจ้าขา

"จ้าว หยุดแกล้งน้องได้แล้วน่า" เจ้านายรีบพูดปรามเจ้าสมุทรที่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตนจนตัวสั่น

"หื่อ!! เฮียแกล้งหนูเหรอ" พอรู้ว่าตัวเองถูกพี่ชายสุดที่รักกลั่นแกล้งก็นั่งกอดอกและอมลมเข้าปากจนกระพุ้งแก้มทั้งสองข้างป่องขึ้น

ฟอดดด

"ขอโทษค่ะ แต่ความจริงอาการของพวกมันก็ไม่ได้ต่างจากที่เฮียพูดสักเท่าไหร่ แต่ไม่ได้เกิดจากฝีเท้าของหนูหรอกนะ แต่เกิดจากฝีเท้าของเฮียนายต่างหาก"

"ฮะ...เฮียนายทำอะไรพวกเขาคะ"

"จ้าวก็พูดเกินไป เฮียก็แค่สั่งสอนพวกมันนิด ๆ หน่อย ๆ ก็แค่นั้นเองค่ะ" เจ้านายที่ถูกพาดพิงก็รีบอธิบายให้เจ้าขาฟังทันที เพราะไม่อยากให้เจ้าขารู้สึกไม่สบายใจ แต่ถ้าให้พูดกันตรง ๆ สภาพของไอ้สวะสามตัวนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากคนตาย เพราะทั้งแขนและขาหักจนใช้การไม่ได้ ต้องอยู่อย่างทุกทรมานไปชั่วชีวิต

"แค่สั่งสอนจริง ๆ เหรอคะ" เจ้าขาหันไปมองหน้าเจ้านายเพื่อจับพิรุธ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เจ้านายพูด แต่ก็อดที่จะระแวงไม่ได้ แม้ว่าภายนอกเจ้านายจะดูเหมือนเป็นคนใจดี ไม่ค่อยใช้อารมณ์และกำลังเหมือนกับเจ้าสมุทร แต่เวลาโกรธขึ้นมา ความน่ากลัวไม่ได้ต่างจากเจ้าสมุทรเลยสักนิด

หรือจะพูดให้ถูก ตระกูลวัชรสกุลกิจไม่มีใครไม่น่ากลัวเลยต่างหาก

"หนูขาไม่เชื่อเฮียเหรอคะ ในสายตาของหนูขา เฮียดูโหดร้ายมากขนาดนั้นเลยเหรอ หนูขาถึงได้คิดว่าเฮียจะทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้น" เจ้านายทำทีเหมือนกำลังน้อยอกน้อยใจเจ้าหญิงตัวน้อยของตน แต่สีหน้าและแววตามันกลับตรงกันข้ามทุกอย่าง แล้วริมฝีปากหยักที่ยกยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรนั่นอีก ใครเชื่อที่เจ้านายพูดก็บ้าแล้ว

"หนู...เฮ่อ!!" สุดท้ายก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อุตส่าห์ร้องขอชีวิตของพวกเขาให้รอดพ้นมาจากเงื้อมมือของมัจจุราชอย่างดี๊ดาวเหนือมาได้ แต่สุดท้ายก็ต้องมามีจุดจบที่เฮียทั้งสองของตน "หนูไปอาบน้ำดีกว่า ไม่รู้ว่าป่านนี้เจ้าสองแสบจะเป็นไงบ้าง"

"ใครอนุญาตให้อาบน้ำ แผลที่แขนหายดีแล้วหรือไง" ก่อนที่เจ้าขาจะได้ลุกออกจากตักของเจ้าสมุทร แขนแข็งแรงที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามก็กอดเข้าที่เอว รั้งให้เจ้าขานั่งลงที่ตักของตนอย่างเดิม

"แต่หนูอยากไปหาสองแสบนี่คะ ให้หนูไปหาน้องเถอะนะคะ"

"นั่งอยู่กับเฮียสมุทรก่อนนะคะ เดี๋ยวเฮียเข้าไปหยิบกะละมังน้ำแล้วก็แปรงสีฟันมาให้ แปรงฟันเสร็จเดี๋ยวเฮียเช็ดตัวให้นะคะ" เจ้านายเอ่ยบอกกับเจ้าขาก่อนจะรีบเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานก็เดินออกมาพร้อมกับกะละมังน้ำ ผ้าขนหนูผืนเล็กและแปรงสีฟัน

"ต...แต่หนูโตแล้วนะ ฮ...เฮียจะดูหนูโป๊ได้ยังไง" แขนเล็ก ๆ รีบยกขึ้นกอดที่อกของตนเอาไว้ทันที

"เพ้อเจ้ออะไร เมื่อคืนนี้ก็เช็ดตัวให้ทั้งคืน ไม่เห็นจะโวยวายอะไรเลย แล้วเฮียกับเฮียนายก็เห็นของหนูมาตั้งแต่หนูเกิด จะมาอายอะไรตอนนี้" เจ้าสมุทรพูดเสียงเรียบ แต่คนฟังอย่างเจ้าขากลับหน้าร้อนผ่าวจนใบหน้าที่เคยขาวเนียนขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อ

"หึ จ้าวเลิกแกล้งน้องสักที ดูสิหน้าแดงอย่างกับคนป่วย" ปากก็พูดว่าเจ้าสมุทรที่พูดจาเย้าแหย่เจ้าขาจนเขินอาย แต่ตนก็ยกยิ้มที่มุมปากอย่างชอบใจไม่แพ้กัน

"หื่อ!! เฮีย ๆ หยุดแกล้งหนูเดี๋ยวนี้เลยนะ ถ้าไม่หยุดหนูจะฟ้องดี๊จริง ๆ ด้วย" แม้จะแผดเสียงใส่เจ้านายกับเจ้าสมุทรที่ชอบแกล้งให้ตนหัวเสีย แต่ตนก็รู้ดีว่าที่ทั้งสองเฮียพูดมามันก็คือเรื่องจริง เพราะตั้งแต่เล็กจนโต นอกจากดี๊ดาวเหนือกับมี๊น่านฟ้า ก็มีเฮียเจ้านายกับเฮียเจ้าสมุทรนี่แหละที่คอยดูแลประคบประงมตนไม่เคยห่าง แต่หลังจากที่ตนมาอยู่ที่ไทยเมื่อสิบปีที่แล้ว และประกอบกับเฮียทั้งสองมีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝา และตนก็เริ่มโตขึ้น สองเฮียก็ไม่เคยอาบน้ำหรือทำอะไรที่มันไม่เหมาะสมอีกเลย แล้วอยู่ ๆ จะให้มาแก้ผ้าให้สองเฮียเช็ดตัวให้ ใครจะยอมกันล่ะ ตอนนี้ตนอายุยี่สิบห้าแล้วนะไม่ใช่ห้าขวบ

แกร๊ก!!

"แกล้งอะไรน้องอีก เสียงดังไปถึงชั้นล่างเลย" น่านฟ้าที่เดินเข้ามาในห้องเอ่ยถามลูกชายของตนเสียงเรียบ เพราะคิดว่าเจ้านายกับเจ้าสมุทรจะต้องแกล้งเจ้าขาจนหัวเสียอย่างแน่นอน และก็เป็นอย่างที่คิด เพราะตอนนี้ใบหน้าของเจ้าขาขึ้นสีแดงระเรื่อ และถ้าตนคิดไม่ผิดจากที่เห็นกะละมังน้ำกับผ้าขนหนูผืนเล็กในมือของเจ้านาย ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

"มี๊ขา เฮีย ๆ จะดูหนูโป๊ค่ะ" พูดพร้อมกับส่งสายตาออดอ้อนให้กับมี๊น่านฟ้า

"ใครจะไปอยากดู เห็นตั้งแต่เกิดแล้วเถอะ" เจ้าสมุทรพูดเสียงเรียบตามแบบฉบับของตน แต่ก็ยังไม่วายยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเพื่อกวนประสาทคนให้อ้อมกอดให้หัวเสียเล่น ๆ

"เฮีย!!" นอกจากจะอายจนแก้มแทบสุกแล้ว เจ้าสมุทรยังกวนประสาทให้เจ้าขาได้อมลมเข้าปากจนกระพุ้งแก้มทั้งสองข้างป่องมากขึ้นไปอีก

"กล้าขึ้นเสียงกับเฮียเหรอ หื้ม!!"

"ขอโทษค่ะ ก็เฮีย...เฮียแกล้งหนูก่อน" เจ้าขาก็คือเจ้าขา พอถูกเจ้าสมุทรดุ ก็จะเอ่ยคำว่าขอโทษ พร้อมกับเอนตัวพิงแผ่นอกของเจ้าสมุทรอย่างคนสำนึกผิด และมันก็ใช้ได้ผลเสมอ

ฟอดดด!!

"เฮียก็แค่แกล้งเล่นเฉย ๆ เฮียเห็นหนูเครียด ๆ ก็เลยอยากให้หนูทิ้งเรื่องเครียด ๆ พวกนั้นไปบ้าง เฮียกับเฮียนายรักและก็เป็นห่วงหนูมากนะคะ" ฝ่ามือใหญ่ลูบที่แผ่นหลังของเจ้าขาอย่างอ่อนโยน

"เดี๋ยวมี๊เช็ดตัวให้น้องเอง ส่วนเราสองคนลงไปรอข้างล่างก่อน จะได้ไปโรงพยาบาลพร้อมกัน" น่านฟ้าว่าพลางหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาจากมือของเจ้านาย

"เฮียลงไปรอข้างล่างนะคะ" แต่ก่อนที่จะเดินออกไป จมูกโด่งของเจ้านายก็ฟัดเข้าที่แก้มป่อง ๆ ของเจ้าขาไปอีกฟอดใหญ่

"รีบลงไปนะคะ เฮียจะรอทานข้าวพร้อมกับหนู" ฝ่ามือหนาอุ้มคนบนตักให้นั่งลงบนที่นอนนุ่มก่อนจะฝังจมูกลงที่พวงแก้มของเจ้าขาไปอีกฟอดใหญ่เช่นกัน

เมื่อเจ้านายกับเจ้าสมุทรเดินออกไปจากห้อง น่านฟ้าจึงไม่รอช้ารีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เจ้าขาทันที เมื่อเช็ดตัวให้เจ้าขาเสร็จก็รีบเดินเข้าไปหยิบเสื้อผ้าและสวมใส่ให้เจ้าหญิงตัวน้อยของวัชรสกุลกิจอย่างเบามือ ก่อนจะพากันเดินลงบันไดมายังชั้นล่างและเดินตรงดิ่งไปยังห้องครัวทันที

ทางด้านของทิวไผ่

"วันนี้ไม่ไปโรงพยาบาลเหรอ" ทิวไผ่เอ่ยถามหมอต้นไม้ด้วยความสงสัย เพราะปกติสายป่านนี้มันต้องไปโรงพยาบาลเพื่อคอยดูแลคนไข้ที่มันรักแล้วสิ

"ไอ้ที่ถามเพราะว่าสงสัย หรือว่าอยากไปด้วยกันแน่" หมอต้นไม้ถามกลับด้วยท่าทางกวน ๆ

"กูก็แค่สงสัยไง เพราะปกติคนบ้างานอย่างมึงไม่เคยอยู่ติดบ้านสักวัน"

"หึ" หมอต้นไม้ร้องหึอยู่ในลำคอก่อนจะจ้องใบหน้าของไอ้น้องชายตัวดีอย่างจับพิรุธ

"มองอะไร มองเพื่อจะตอกย้ำความขี้เหร่ของตัวเองรึไง" ก็รู้แหละว่ามันมองเพราะต้องการจะจับผิดตน แต่มีเหรอที่คนอย่างทิวไผ่จะยอมรับง่าย ๆ ว่าในใจลึก ๆ ตนอยากจะติดสอยห้อยตามมันไปโรงพยาบาลใจแทบขาด

"อยากไปดูอาการของคุณหนูเจ้าขาก็พูดมาเถอะ แต่เสียใจด้วยนะ คุณหนูไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล เห็นหมอกริชบอกว่าพี่ชายของคุณหนูมารับกลับไปนอนพักที่บ้านตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว"

"ก็...มึงว่าไงนะ!! พี่ชายของคุณหนูมาที่นี่งั้นเหรอ แล้ว...แล้วเขาจะพาคุณหนูกลับเมกาเลยรึเปล่า เหี้ยเอ๊ย!! กูเพิ่งจะได้เจอกับคุณหนูแค่คั้งเดียวเองนะเว่ย!! กู...กูต้องทำไงวะถึงจะได้เจอกับคุณหนูอีกสักครั้ง" เมื่อรู้ว่าพี่ชายของคุณหนูเจ้าขามาที่ไทย ทิวไผ่ก็เกิดอาการร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

ตนอุตส่าห์กลับมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อที่จะได้เจอคุณหนูตัวน้อยของตน แต่พี่ชายของคุณหนูกลับจะพาคุณหนูหนีตนไปอยู่ที่อื่นเนี่ยนะ

ไม่มีทาง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตนจะไม่มีวันยอมให้คุณหนูหนีไปไหนอีกแล้ว ไม่ได้เจอกันตั้งสิบปี มันก็ทรมานมากเกินพอแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไป คงจะมีแค่ความตายเท่านั้นแหละที่จะพรากคุณหนูไปจากตนได้

หมอต้นไม้ที่เห็นสีหน้าของไอ้น้องชายตัวดีที่ตอนนี้ลุกลี้ลุกลนจนนั่งไม่ติดก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ จนคนที่กำลังหัวเสียถึงกลับมองหน้าพี่ชายของตนอย่างเอาเรื่อง

"แกเป็นอะไรของแก หรือว่า...แกแอบชอบคุณหนูเจ้าขาใช่มั้ย!!"

"...."

ทิวไผ่ที่กำลังร้อนใจเรื่องที่พี่ชายสุดโหดของคุณหนูเจ้าขามาหาคุณหนูที่ไทย แต่เมื่อถูกหมอต้นไม้พูดแทงใจดำ ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงอาการเลิ่กลั่กออกมายิ่งกว่าเดิม

"อ่า... เข้าใจแล้ว แกแอบชอบคุณหนูเจ้าขาจริง ๆ ด้วย ฉันก็เอะใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ตอนที่คุณหนูถูกยิงเมื่อสิบปีที่แล้ว ทำไมแกถึงได้ดูร้อนรนกับอาการของคุณหนูมากขนาดนั้น แล้วยังจะบังคับให้ฉันดูแลคุณหนูเป็นเคสพิเศษอีก เพราะแกแอบชอบคุณหนูเจ้าขามาตั้งนานแล้วนี่เอง"

"พ...พูดบ้าอะไรของมึง" แม้จะพยายามเฉไฉไม่ยอมรับในสิ่งที่หมอต้นไม้พูด แต่ก็ไม่กล้าสบตาผู้เป็นพี่ชายของตน

"ทำไม? ฉันพูดอะไรผิดงั้นเหรอ" เมื่อเห็นอาการประหม่าของทิวไผ่ หมอต้นไม้ก็อดไม่ได้ที่จะไล่ต้อนคนปากแข็งให้จนมุม

"ถ้ามึงว่างมากน่ะนะ ก็ไปโรงพยาบาลโน่น ไม่ต้องเสือกมายุ่งเรื่องของกู"

"ก็ไม่ได้อยากยุ่ง แค่จะเตือนด้วยความเป็นห่วง"

"ห่วง? มีอะไรให้น่าเป็นห่วง กูไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย"

"แกก็รู้ว่าคุณหนูไม่ใช่แค่ดอกฟ้า แต่เธอคือนางฟ้า และเป็นนางฟ้าที่หมาผิวไผ่อย่างแกทำได้แค่แหงนมองเท่านั้นแหละ เพราะเหล่าองครักษ์ผู้พิทักษ์นางฟ้าคงจะไม่ยอมให้หมาอย่างแกได้เข้าใกล้นางฟ้าของตระกูลวัชรสกุลกิจง่าย ๆ หรอก"

คำพูดของหมอต้นไม้เหมือนเข็มนับพันเล่มที่ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของทิวไผ่พร้อม ๆ กัน มันเจ็บ เจ็บเหมือนจะขาดใจ ก็รู้ว่าตนเป็นได้แค่หมา

แต่หมาตัวนี้แหละจะคอยปกป้องและดูแลเจ้าหญิงตัวน้อยด้วยความซื่อสัตย์

ถึงจะเป็นแค่หมา...

แต่ตนก็จะเป็นหมาตัวโปรดของคุณหนูเจ้าขาให้ได้

คุณหนูเจ้าขาของหมาทิวไผ่

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!