Prologue
งานรื่นเริงที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก เพราะสถานที่จัดงานไม่ใช่สถานที่ที่ตาสีตาสาจะเข้ามาวิ่งเล่นได้ ต่อให้มีเงินเป็นแสนล้านก็ถูกโยนออกไปได้ง่ายๆ
วงออร์เคสตรามือหนึ่งกำลังบรรเลงเพลงแจ๊ซพอให้ได้เต้นรำหรือขยับตัวเล็กน้อย แสงไฟสว่างทำให้เห็นความหรูหราของเครื่องใช้และสถานที่ระดับลักชัวรี่ที่ประดับตกแต่งด้วยสีเขียวอ่อน ผู้คนที่มียศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหญิงชายแต่งกายด้วยชุดสูทชุดราตรีสีไข่ไก่และสีใบตอง
ห้องโถงโอ่อ่าตามแบบพระราชวังตะวันตก ตามพนังมีตราสัญลักษณ์ ธงชาติสีเขียวล้วนมีรูปหนังสือกางออกสีน้ำตาลตรงกลางเป็นเครื่องแสดงเอกราชของ 'รัฐชรัล’
“เราขอขอบใจพวกท่านทั้งหลายที่พร้อมใจกันมาเพื่อต้อนรับเราในวันนี้…” เจ้าของเสียงนุ่มถือไมค์โครโฟนด้วยท่าทีสง่างามสมกับที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
บันไดวนที่มีทางแยกสองทางด้านบน จุดดึงดูดสายตาติดป้ายต้อนรับการกลับมาขององค์รัชทายาทจากอังกฤษ ณ จุดกึ่งกลางบันไดปรากฏร่างเจ้าของผมดำเงา ระดับความยาวเหนือใบหู ดวงตาเล็กแบบคนจีนสีดำประกาย จมูกเล็กที่ไม่ค่อยมีสันแต่ก็รับกับใบหน้ารูปไข่ได้อย่างเหมาะเจาะ ปากจิ้มลิ้มสีเชอร์รี่ที่เป็นทรงเด่นชัด ผิวขาวเนียนละเอียดอมชมพูราวกับกินคอลลาเจนแทนข้าวเป็นอาหารหลัก เสื้อผ้าแบรนด์เนมสไตล์เจ้าชายที่ถูกตัดเย็บมาเป็นอย่างดีทั้งเสื้อเชิ้ตด้านในสีครีมขาวและเสื้อกั๊กตัวนอกสีตองอ่อน กางเกงทรงกระบอกสีนวลที่ถูกรีดให้เรียบจนขึ้นเส้น กับรองเท้าขาวขัดเงา และนาฬิกาข้อมือเรือนหลายร้อยล้าน บ่งบอกว่าผู้สวมใส่ไม่ธรรมดา
“ขอให้ทุกท่าน…” องค์รัชทายาทพูดไปยิ้มไปเห็นฟันขาวเรียงสวย สะกดทุกสายตา
“เจ้าชาย!!!” เสียงแหลมของแขกสาวนิรนามที่ยืนมองอยู่ด้านล่าง ตะโกนโพล่งขึ้นมากลางวง ไม่สนใจว่าเจ้าของงานจะกล่าวจบไหม
กึก!
บรรยากาศอันน่าภิรมย์ในงานเลี้ยง แปรเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ ทหารและองครักษ์น้อยใหญ่โดยรอบ จับจ้องเจ้าของเสียงแผดแหลมเป็นตาเดียว
“ไม่สิ องค์รัชทายาท ‘กรีน’ ...” สาววัยกลางคนในชุดราตรีขาว รอยยิ้มแสยะร้ายยกขึ้นเหนือริมฝีปากแดง
.......
กรีน พาร์ท
“เราขอขอบใจพวกท่านทั้งหลายที่พร้อมใจกันมาเพื่อต้อนรับเราในวันนี้…”
พวกคุณเห็นบรรดาผู้คนที่กำลังยืนฟังผมด้วยสีหน้าอันชื่นชมด้านล่างนั่นไหมครับ นั่นแหละ…คือเครื่องการันตีความสุข ที่คนรวยอย่างเดียวมีไม่ได้ ฐานะและชื่อเสียงล้วนเป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้กัน
ดูสายตาไม่จริงใจของเหล่าขุนนางที่ใส่หน้ากากเข้างานพวกนี้สิ ผู้รากมากดีที่วันวันเอาแต่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล พวกนั้นมองมาอย่างชื่นชมราวกับผมกำลังยิงฟ้ายิงตะวันให้พวกเขาดูอย่างนั้นแหละ
ผมจับไมค์โครโฟนในมือมั่น พูดฉะฉานไร้ซึ่งอาการประหม่าใด จนสามารถกล่าวได้ว่า ง่ายเหมือนปอกกล้วย ก็นะ...ผมเรียนวิชาบุคลิกภาพกับวิชาภาษา บ่อยกว่าวิชาเช็ดก้นอย่างวิชาบริหารเสียอีก
.
.
.
8ปีที่แล้ว...
“หลังตรงเพคะ”
คุณนายท่านทูตที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระราชาให้เป็นคนสอนวิชาบุคลิกภาพทำหน้าที่ได้ดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ตั้งแต่ผมอายุได้ 8 ปี ถึงตอนนี้ จนได้ฉายาว่า...
"ยัยป้าโหด" ผมบ่นพึมพำ หลังจากที่ถูกฝึกมากว่าสองชั่วโมง
"องค์ชายตรัสว่ากระไรนะเพคะ"
"..."ยิ้มน้อยๆ แล้วส่ายหัวด้วยสีหน้าเด็กน้อยใสซื่อ
"หลังตรงเพคะ"
“ครับ” หน้าเชิด ยืดหลังยืนตรง แววตามุ่งมั่นสะท้อนผ่านตาคมในกระจกบานใหญ่
“ยิ้มมากกว่านี้เพคะ รอยยิ้มห้ามตกเพคะ”
ยัยป้าโหดยืนซ้อนหลังมองผมฝึกกล่าวปราศรัยที่สะท้อนผ่านกระจกเงาในห้องซ้อมส่วนพระองค์
“ครับ”
ฟุ่บ!
“เฮ้อ…”
ผมในวัยสิบสี่ทรุดลงไปนอนกองกับพื้นไม้ทันทีที่ยัยป้าโหดปิดประตูเดินออกจากห้องไป ใบหน้าแสดงอาการเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด
“วิชาบุคลิกภาพจบตอนบ่ายสอง วิชากฎหมายตอน สี่โมงเย็น งั้นก็แปลว่า…”
ผมผุดความคิดดีๆ ตาเป็นประกายราวกับสีหน้าเหนื่อยล้าไม่เคยปรากฏมาก่อน เรี่ยวแรงที่น่าจะหมดไปแล้ว กลับเต็มเปี่ยม แขนทั้งสองหยัดพื้นลุกขึ้นวิ่งออกไปจากห้องด้วยความเร็วแสง แต่ก็ไม่วายคอยสอดส่องซ้ายขวาไม่ให้มีใครเห็น
หมับ!
ผมวิ่งหอบหลบหลังเสาปูนต้นใหญ่ แอบมองสถานการณ์ที่ลานกว้างกลางแดดตาเป็นประกาย ชายฉกรรจ์ สิบสองคน กำลังส่งเสียงอย่างห้าวหาญ ไม่มีอาการต้องการจิบชามะนาวสักนิด
“ทุกคนจับคู่สอง ฝึกด้วยดาบจริง ใครแพ้หรือมีรอยขีดข่วน งดข้าวเย็น!” ครูฝึกตะโกน
“รับทราบครับ!” เหล่าองครักษ์ตอบรับเสียงแน่น ก่อนจะแยกกันไปฝึกตามคำสั่ง
"หึหึ เรียนที่นี่จริงๆ ด้วย เรานี่จำแม่นจริง นั่นไง...สมกับที่เราแอบตั้งฉายาให้ว่าครูฝึกตุ๊ต๊ะ ขนาดสอนฟันดาบ ไขมันรอบเอวยังออกมาวิ่งเล่นเลย ฮ่าๆ" ทำสีหน้าสิ้นหวัง "ว่าแต่...เราจะมีโอกาสได้เรียนวิชาพวกนี้บ้างไหมน้า~"
ผมจำตารางเรียนต่อสู้กับฟันดาบของพวกองครักษ์ได้แม่นเสียยิ่งกว่ากฎหมายกับข้อมารยาทเสียอีก ถ้าวันไหนว่างแว็บได้สักครึ่งชั่วโมง ผมไม่มีทางพลาดแน่นอน
ผมเองก็อยากเรียนฟันดาบบ้างจังเลย อย่างเท่!
.
.
.
“ขอให้ทุกท่าน…”
ผมเพิ่งบินกลับมาจากอังกฤษหลังเสร็จพิธีรับปริญญา ไม่กี่ชั่วโมง ก็ต้องถ่อมาปั้นหน้าในงานเลี้ยง มิน่าล่ะ เจ้าน้องชายที่จะเรียนจบปีหน้ามันถึงทิ้งท้ายคำลาว่า โชคดีนะพี่
ผมมองบรรยากาศในงานและผู้คนแปลกหน้าเกินครึ่งที่ไม่ได้รู้จักมักจี่แต่อย่างใด
มาทำไมกันก็ไม่รู้ ไม่เห็นรู้จักสักคน มาเดินลอยหน้าลอยตาเป็นงานรับถุงยังชีพไปได้
ผมเก็บอารมณ์ไว้ในใจเหมือนการเข้าสังคมทุกครั้ง แค่ยิ้มตามที่เรียนมา พูดจาตามมารยาท ต้อนรับและเฟรนลี่กับทุกคน แค่นี้ก็เรียบร้อย
เอ๊ะ...ทำไมตาขวากระตุกถี่ๆ
กึก!
“เจ้าชายกรีน!"
ว่าแล้วว่าทำไมตาขวากระตุกดิ้กๆ
หญิงสาวในชุดราตรีสีไข่ไก่ แต่กระเป๋าที่มือขวากำลังถืออยู่สีแดงสด ราวกับไม่ได้อ่านไลน์กลุ่มกำลังมองซ้ายมองขวาอย่างภูมิอกภูมิใจ
ผมหยุดพูดสคริปต์ที่ท่องมาเพียงเท่านั้นแล้วหันมองคนอยากได้ซีนอย่างตั้งใจ
"ไม่สิ…ตอนนี้องค์รัชทายาทกรีนก็จบการปกครองจากอังกฤษแล้ว องค์รัชทายาทมีแพลนจะทำสิ่งใดต่อไปหรือเพคะ”
ผมยิ้มสงบอย่างเป็นมิตร รับฟังอย่างผู้ดีมีมารยาทดีเลิศ ไม่แย่งพูด ไม่โต้แย้ง รับฟังอย่างใจเย็น แม้จะแอบจิกนิ้วโป้งตัวเองอยู่ก็ตาม
ยัยป้า ยัยมนุษย์ป้า เบ้าหน้าอย่างกับขูดแป้งทั้งโลกไปพอกไว้ แต่งตัวไม่เหมาะกับวัยเลยนะป้า คิดว่าตัวเองเป็นสาวสวยเหรอ แล้วปากกับมารยาทแย่ๆ นั่นน่ะ รับหมัดซ้ายกับหมัดขวาเป็นการสั่งสอนหน่อยไหม เผื่อนิสัยจะดีขึ้น
“ท่านพ่อของพระองค์เป็นผู้ปกครองที่แสนสง่า สุภาพ และอ่อนโยน ทักษะการทูตและการเจรจาของท่านล้วนเป็นที่กล่าวขาน ทำให้รัฐของเราเข้าสู่ยุคทองจนถึงบัดนี้”
ยิ้มฟังต่อไป ผู้คนในงานหันมามองหน้าผมเป็นระยะ คงหมายจะให้ผมแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวไม่พอใจออกไป แต่เสียใจด้วย ผมไม่หลุดคาแรกเตอร์แน่นอน แม้ว่า…
หน็อยยัยป้า กล้าเอ่ยถึงเสด็จพ่อ ป้าเคยทำอะไรให้ประเทศบ้าง โมโห! สีปากนั่นน่ะ แดงน้อยไปไหม อยากให้แดงเลือดข้างในด้วยหรือเปล่า ผมช่วยได้นะป้า
ยิ้ม.
“องค์รัชทายาทคงไม่ใช่ว่า จะขึ้นครองบัลลังก์เพียงเพราะเกิดก่อน เจ้าชายเดย์ผู้น้องอย่างที่ร่ำลือใช่หรือไม่”
.
.
.
“องค์รัชทายาทคงไม่ใช่ว่า จะขึ้นครองบัลลังก์เพียงเพราะเกิดก่อน เจ้าชายเดย์ผู้น้องอย่างที่ร่ำลือใช่หรือไม่”
ผมยิ้มส่งให้หญิงสาวที่กล้าเสียมารยาทราวกับมันเป็นคำถามสุดแสนธรรมดา แม้ว่าในใจ…
ป้า! เข้างานมาได้ไงเนี่ย สาบานไหมว่าใช้ปากพูด แหม กล้าที่จะบอกว่าผมเป็นรัชทายาทเพราะเกิดก่อน ป้าละเป็นขุนนางเพราะเอาอะไรไต่มา เพราะดูแล้วเต้าป้าไม่น่าจะไต่ได้นะ ยานขนาดนั้น.... ผมมีบริการช่วยทำนมโดยไม่ต้องไปหาหมอนะ เตะสักปาบ ซ้ำด้วยปืนอีกสักสองนัด ก่อนเกิดใหม่ป้าปัดซ้ายปัดขวาเลือกเอาเลยว่าอยากได้นมไซซ์ไหน
“เราขอขอบคุณในความเสียสละและความรักชาติทุกลมหายใจของท่าน ขอให้ทุกท่านชื่นชมคุณผู้หญิงท่านนี้เช่นเดียวกับเรา สำหรับคำตอบของข้อนี้ เราเองก็รักรัฐชรัลเช่นเดียวกับท่าน เสด็จพ่อเป็นผู้ปรีชาและนอบน้อม แลพระองค์ก็มีทักษะการเจรจาหาผู้ใดเทียบ เราสัญญาด้วยเกียรติของเราว่า นับจากท่านพ่อลงมา เรา…เป็นผู้ถวายทุกลมหายใจเพื่อให้รัฐชรัลไปสู่สิ่งที่ดีกว่ายุคทอง นั่นคือ อิสระบนความมั่นคง”
แปะๆๆๆๆ
เสียงปรบมือจากแขกในงานดังเกรียวกราว สีหน้าของคนถามดูจะออกไปในทางผิดหวังก่อนจะเดินโทงๆ ออกจากงาน ผมมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรจากด้านบน
ผมย้ำกับตัวเองว่าต้องคีพลุคไว้จนกว่าจะถึงวันนั้น วันที่ผมได้เป็นพระราชา ห้ามให้ใครจับได้ว่า ผมชอบยิงปืนหรือต่อสู้มากว่าวิชานักการทูต ผมต้องยิ้มรับนิ่งสงบกับทุกสถานการณ์ และตอบกลับอย่างสุภาพที่สุด
“วันนี้องค์รัชทายาทแก้สถานการณ์ได้ยอดเยี่ยมมากพระเจ้าคะ” หลังลงจากกล่าวเปิดพิธี องครักษ์ส่วนพระองค์ก็เข้าประกบด้านข้าง
“ขอบใจนนท์”
“ผู้หญิงเมื่อสักครู่ นางเกี่ยวข้องกับวงการมาเฟีย หากครั้งหน้ามีเหตุพบเจอ พระองค์ทรงระวังให้มากนะพระเจ้าคะ”
“มาเฟียเหรอ”
“พระเจ้าค่ะ พวกมาเฟียทำทุกอย่างนอกกฎหมาย ไม่สนใจขนมประเพณีหรือวิธีการ ในรัฐของเรามีกลุ่มมาเฟียใหญ่ใช้สัญลักษณ์เป็นรูปงูคาบดอกกุหลาบ เป็นพวกชอบบงการทุกอย่างตามอำเภอใจพระเจ้าค่ะ”
“อืม เราไม่เข้าไปยุ่งหรอก” เดินหนี
องครักษ์ปรี่เข้ามายืนขวางหน้า “พระองค์จะเสด็จไปที่ใดพระเจ้าคะ”
ยิ้มตอบ “ห้องน้ำครับ”
.......
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ผมเดินมาเข้าห้องน้ำที่ดูโล่งราวกับไม่เปิดใช้บริการ หลังเสร็จกิจก็กดปั๊มน้ำโถสุขภัณฑ์ให้เรียบร้อยก่อนจะเอ่ยระบายอย่างอดรนทนไม่ไหว
“โอ๊ย เบื่อ เหนื่อย อยากยิงปืนอ่า! ยัยป้าปากแดงนั่นน่าหงุดหงิดชะมัด อยากจะจับมาเป็นเป้าซ่อมยิงปืนไม่ก็กระสอบทรายจริงๆ อย่าโลกสวยได้ไหม อิสรภาพบ้าบออะไร ตัวผมเองยังไม่มีเลยเหอะ ไม่เอียนตายเพราะปั้นหน้าเข้าสังคมก็เก่งแล้ว ถ้าไม่ต้องเป็นคิงคนต่อไปจะต้องมาทนกับยัยป้ามหาภัยแบบวันนี้ไหมห้ะ!” บ่นเสร็จก็เปิดประตูออกจากห้องสุขา
!!!
“เธอ!”
“เอ่อ….องค์รัชทายาท ขะ...ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบว่าพระองค์จะทรงโปรดการใช้ห้องน้ำสตรี” ก้มหน้าก้มตาเอ่ยเสียงแผ่ว
ห้องน้ำสตรี!
ผมมองซ้ายขวา พอเห็นว่า ไม่มีโถปัสสาวะของผู้ชายก็แน่ใจแล้วว่า….
ตายแล้ว!!
อยากยิงตัวเองตายเดี๋ยวนี้จริงๆ
ผมหันกลับไปมองใบหน้าหญิงสาวพยายามสังเกตให้ชัดว่านางเป็นลูกหลานขุนนางท่านใด เพราะเธอดวงถึงฆาตแล้วที่มาได้ยินความลับของผม
เดี๋ยวนะ
“พาย...พายใช่ไหม พายที่เคยมาเล่นกับเราตอนเด็กๆ ใช่ไหม”
“เพคะ”
'พาย' เพื่อนเล่นคนเดียวในวัยเยาว์ของผมที่หายไปหลังจากพี่เลี้ยงไปกราบทูลเสด็จพ่อว่าพายชวนผมปีนต้นมะม่วงในเขตพระราชฐาน
หมับ!
“พระองค์ พระองค์กอดหม่อมฉันไม่ได้นะเพคะ หากมีใครเห็น…”
“พายเป็นไงบ้าง เราคิดถึงพายมากเลย ตอนนั้นเราแค่ปีนต้นไม้กันเอง ไม่คิดว่าเธอจะโดนท่านพ่อลงโทษ” ผมผละกอดจับไหล่เธอไว้ พอเห็นสีหน้าที่เศร้าสร้อยของอีกฝ่ายจึงถามต่อ “พายเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่ดีใจที่เจอเราเหรอ”
ส่ายหัว "ดีใจเพคะ เพียงแต่..."
"แต่..."
“หม่อมฉันกำลังจะแต่งงานกับท่านฮวาเจ้าค่ะ"
แต่งงาน!!
ไม่เจอกันตั้งนาน เจอทั้งทีก็จะมีข่าวดีซะงั้น แต่....ทำไมเจ้าสาวดูเศร้าจังเลย บอกว่าเจ้าบ่าวตายหรือเป็นขันทีโดนตัดจู๋ยังดูโอเคกว่า
“ฮวา ชื่อดีนี่ เธอ…ไม่ชอบเขาเหรอ” พายส่ายหัว
“การแต่งงานของหม่อมฉันเพียงเป็นการเปิดทางให้งานของคุณพ่อ หม่อมฉันมิอาจมอบหัวใจให้ชายใดได้หรอกเพคะ โดยเฉพาะพวกนอกกฎหมายเช่นนั้น” สีหน้าของพายเศร้าสร้อยราวกับขายวิญญาณให้ปีศาจไปแล้ว
“พาย…” ผมเม้มปาก ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง “ถ้างั้น...ผมจะแต่งงานแทนพายเอง”
“...” พายเงยหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ
“ผมจะเป็นเจ้าสาวให้เอง พายไม่ต้องกลัวนะ”
แล้วจุดเริ่มต้นขององค์ชายที่กลายไปเป็นเจ้าสาวกำมะลอก็เริ่มขึ้น....
เพล้ง ระฆังยกที่หนึ่ง เริ่มได้! จะเอาให้เจ้าหมาฮวาเจ้าบ่าวของพายหนีป่าราบไปเลย ฮึๆๆ
.......
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ผมเดินมาเข้าห้องน้ำที่ดูโล่งราวกับไม่เปิดใช้บริการ หลังเสร็จกิจก็กดปั๊มน้ำโถสุขภัณฑ์ให้เรียบร้อยก่อนจะเอ่ยระบายอย่างอดรนทนไม่ไหว
“โอ๊ย เบื่อ เหนื่อย อยากยิงปืนอ่า! ยัยป้าปากแดงนั่นน่าหงุดหงิดชะมัด อยากจะจับมาเป็นเป้าซ่อมยิงปืนไม่ก็กระสอบทรายจริงๆ อย่าโลกสวยได้ไหม อิสรภาพบ้าบออะไร ตัวผมเองยังไม่มีเลยเหอะ ไม่เอียนตายเพราะปั้นหน้าเข้าสังคมก็เก่งแล้ว ถ้าไม่ต้องเป็นคิงคนต่อไปจะต้องมาทนกับยัยป้ามหาภัยแบบวันนี้ไหมห้ะ!” บ่นเสร็จก็เปิดประตูออกจากห้องสุขา
!!!
“เธอ!”
“เอ่อ….องค์รัชทายาท ขะ...ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบว่าพระองค์จะทรงโปรดการใช้ห้องน้ำสตรี” ก้มหน้าก้มตาเอ่ยเสียงแผ่ว
ห้องน้ำสตรี!
ผมมองซ้ายขวา พอเห็นว่า ไม่มีโถปัสสาวะของผู้ชายก็แน่ใจแล้วว่า….
ตายแล้ว!!
อยากยิงตัวเองตายเดี๋ยวนี้จริงๆ
ผมหันกลับไปมองใบหน้าหญิงสาวพยายามสังเกตให้ชัดว่านางเป็นลูกหลานขุนนางท่านใด เพราะเธอดวงถึงฆาตแล้วที่มาได้ยินความลับของผม
เดี๋ยวนะ
“พาย...พายใช่ไหม พายที่เคยมาเล่นกับเราตอนเด็กๆ ใช่ไหม”
“เพคะ”
'พาย' เพื่อนเล่นคนเดียวในวัยเยาว์ของผมที่หายไปหลังจากพี่เลี้ยงไปกราบทูลเสด็จพ่อว่าพายชวนผมปีนต้นมะม่วงในเขตพระราชฐาน
หมับ!
“พระองค์ พระองค์กอดหม่อมฉันไม่ได้นะเพคะ หากมีใครเห็น…”
“พายเป็นไงบ้าง เราคิดถึงพายมากเลย ตอนนั้นเราแค่ปีนต้นไม้กันเอง ไม่คิดว่าเธอจะโดนท่านพ่อลงโทษ” ผมผละกอดจับไหล่เธอไว้ พอเห็นสีหน้าที่เศร้าสร้อยของอีกฝ่ายจึงถามต่อ “พายเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่ดีใจที่เจอเราเหรอ”
ส่ายหัว "ดีใจเพคะ เพียงแต่..."
"แต่..."
“หม่อมฉันกำลังจะแต่งงานกับท่านฮวาเจ้าค่ะ"
แต่งงาน!!
ไม่เจอกันตั้งนาน เจอทั้งทีก็จะมีข่าวดีซะงั้น แต่....ทำไมเจ้าสาวดูเศร้าจังเลย บอกว่าเจ้าบ่าวตายหรือเป็นขันทีโดนตัดจู๋ยังดูโอเคกว่า
“ฮวา ชื่อดีนี่ เธอ…ไม่ชอบเขาเหรอ” พายส่ายหัว
“การแต่งงานของหม่อมฉันเพียงเป็นการเปิดทางให้งานของคุณพ่อ หม่อมฉันมิอาจมอบหัวใจให้ชายใดได้หรอกเพคะ โดยเฉพาะพวกนอกกฎหมายเช่นนั้น” สีหน้าของพายเศร้าสร้อยราวกับขายวิญญาณให้ปีศาจไปแล้ว
“พาย…” ผมเม้มปาก ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง “ถ้างั้น...ผมจะแต่งงานแทนพายเอง”
“...” พายเงยหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ
“ผมจะเป็นเจ้าสาวให้เอง พายไม่ต้องกลัวนะ”
แล้วจุดเริ่มต้นขององค์ชายที่กลายไปเป็นเจ้าสาวกำมะลอก็เริ่มขึ้น....
เพล้ง ระฆังยกที่หนึ่ง เริ่มได้! จะเอาให้เจ้าหมาฮวาเจ้าบ่าวของพายหนีป่าราบไปเลย ฮึๆๆ
.......
บทที่ 2
กลีบกุหลาบสีแดงที่โปรยปรายเป็นรูปหัวใจบนเตียงนุ่มสีเทาน่าขนลุก ห้องนอนที่ดูใหญ่โตโอ่อ่า แต่ของใช้ต่างๆกลับเรียบง่าย ไม่ได้รับการประดับประดาใดๆ แถมบรรยากาศตั้งแต่รั้วหน้าบ้านมาจนถึงห้องที่อยู่ชั้นสองนี้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เหมือนใช้ฟีลเตอร์ขาวดำอยู่ตลอดเวลา
นี่ผมมาทำอะไรที่นี่เนี่ย!
"งานแต่งบ้าบออะไร ไหนแขก ไหนละโต๊ะจีน" ผมบ่นพึมพัม "ให้มานั่งรอเจ้าบ่าวในห้องหอแบบนี้ วิกผมบ้านี่ก็คันชะมัด เมื่อไหร่เจ้าบ่าวจะมาสักที นี่ถ้าชุดเจ้าสาวไม่ยาวลากพื้น ผมคงคิดว่าตัวเองมาเป็นโสเภณีแล้วนะเนี่ย ขนบธรรมเนียมอะไรก็ไม่มีสักอย่าง"
ฟึ่บ
นี่รอมาจะชั่วโมงแล้ว ยังไม่เห็นวี่แววหมาสักตัวเลย
"ไม่รู้ไม่ชี้แล้วโว้ย" ผมเอนหลังลงไปกับที่นอน ไม่สนว่ากลีบกุหลาบบนที่นอนจะกระจัดกระจายอย่างไร
เบื่อ คิดถึงคุณลำดวล อยากหนีกลับวัง!
แกร๊ก!
หนังสือประวัติศาสตร์ช่วยด้วย มีคนมา...
เสียงลูกบิดประตูทำให้ผมเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งหลังตรงราวกับเป็นหุ่นพลาสติกตัวหนึ่ง มือบางๆขึ้นมาจัดแจงผ้าปิดหน้าเจ้าสาวผืนบางให้เรียบร้อย
"เฮ้อ..." เสียงหอบหายใจดูทุ้มเข้มน่ากลัว
นี่สินะเจ้าบ่าวของพาย มาก็ดี ผมจะได้รีบปั่น จะเอาให้ทนอยู่กับผมไม่ได้เลย
ฟึ่บ ฟึ่บ ตุบ
หางตาผมเหลือบมองเจ้าของห้อง ไม่สิ เจ้าบ่าวที่เข้ามาถึงก็ถอดเนคไทป์ ถอดเสื้อสูทดำตัวนอกออก โยนไปพาดบนโต๊ะบ้าง เค้าเตอร์บ้างดูสะเปะสะปะ ดูแล้วถึงยังไม่เห็นหน้าก็รู้ได้เลยว่า คงเป็นตาแก่หงำเหงือกที่ต้องการจะแอ้ม เด็กสาว แบบนี้จัดการง่าย
โชคดีจริงๆที่พายไม่ต้องมาแต่งงานกับคนแบบนี้
ฟุ่บ
เจ้าบ่าวป้ายแดงทิ้งตัวลงไปบนเตียงโดยไม่สนใจ ไม่ถงไม่ถามสุขภาพผมสักคำ
"..." ตาแก่นี่ ไม่เห็นหรือไงว่าผมนั่งหัวโด่ตรงนี้ อยู่ข้างๆเดี๋ยวก็ถีบซะเลยชิบ
ว่าแต่หมอนี่ชื่ออะไรนะ อ๋อ...
"อะแฮ่ม...พี่ฮวาคะ ช่วยเปิดผ้าปิดหน้าให้หนูหน่อยสิคะ" ดัดเสียงได้กระแดะมาก ผมยังหมั่นไส้ตัวเองเลย
ถ้าใครมาได้ยินเข้าว่าองค์รัชทายาทมาแต่งหน้าทาปากอ่อนๆ ทำตัวเป็นชายร่านรักอยู่ที่นี่ งานนี้ได้ตายสถานเดียว ตายแบบไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเสียด้วย
"...." ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ ผมหันไปมองก็พบว่า....หลับ!
หลับ!
หลับเนี่ยนะ!!
"เฮ้ย เจ้าบ่าวที่ไหนเขานอนตายตอนเข้าหอเนี่ย อย่ามาดูถูกเรานะ รู้ไหมว่าเราแต่งหน้านานแค่ไหน"
ผมมองคนที่อ้าปากหวอไม่รู้สึกรู้สา ดูไม่มีทีท่าจะตื่น
หึ หลับเก่งใช่ไหม
ฟึ่บ หมับ
ผมขึ้นนั่งคล่อมคนที่นอนอยู่ ใช้มือทั้งสองข้างกดไหล่เขาไว้กับเตียง เขาสะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้ามองผม
ตื่นได้แล้วเหรอ นึกว่านอนตาย!
"ลงไป!" เสียงทุ้มเอ่ยไม่พอใจ
เขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร เป็นพระเจ้าหรือ ถึงได้มาออกคำสั่ง หรือเขาคิดว่าผมจะกลัว ถึงได้นอนนิ่งใช้แค่เสียงดุๆ แล้วผมจะทำตามที่เขาบอกอย่างว่านอนสอนง่าย
ถ้าคิดว่าสั่งผมได้ก็ลองดู ผมจะนั่งทับอยู่แบบนี้แหละ จะทำไม
ติ้ก ตอก ติ้ก ตอก
เสียงนาฬิกาฝาพนังดังอยู่อย่างนั้น ผมกับเจ้าบ่าวป้ายแดงเอาชนะกันด้วยความเงียบ เขาสั่ง แต่ผมไม่ทำเสียอย่างจะทำไม จะทับให้แบนไปเลย จะให้นั่งทั้งคืนก็ย่อมได้ เจ้าชายกรีนซะอย่าง
"เมื่อไหร่จะลง"
เช้ามั้ง ก็ไม่ได้อยากนั่งนักหรอก
"พี่ฮวาก็เปิดหน้าหนูก่อนสิคะ" ใช่ เปิดสักทีอยากเห็นหน้าชัดๆว่าแก่ขนาดไหน ถึงได้ไร้มารยาทเหมือนการศึกษาเข้าไม่ถึงขนาดนี้
"ไม่!" เสียงแข็งประกาศกร้าว
"... " ผมกัดฟันแน่น
หน้าท้องแกร่งขยับขึ้นลงตามการหายใจทำให้ผมที่นั่งทับอยู่ขยับขึ้นลงตามไปด้วยอย่างกับกำลังเล่นม้าหมุนในสวนสนุก ผมที่หงุดหงิดอยู่ก็เลยยิ่งหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
"ไม่ต้องมาตอแหล แล้วก็หยุดอ่อย เลิกทำตัวร่านได้แล้ว ต่อให้เธอแก้ผ้าตรงนี้ ฉันก็ไม่มีอารมณ์หรอก"
โอ้โห สาบานไหมว่าใช้ปากพูด ขอบีบคอสักหน่อยเถอะ
หมับ!
ว่าแล้วว่าเจ้าบ่าวของพายต้องนิสัยไม่ดีแน่ นางถึงได้มีสีหน้าแบบนั้น คิดไว้แล้วไม่มีผิด
ผมจะแก้แค้นให้พายเอง
"นี่...จะทำอะไรอะ โอ๊ะ...กล้าบีบคอฉัน อยากตายสินะ"
คนโดนบีบคอลุกขึ้นนั่งอย่างง่าย ราวกับผมที่นั่งทับเขาอยู่เป็นแค่ตุ๊กตา ตอนนี้เราเลยอยู่ในท่าล่อแหลมพอสมควร หน้าท้องผมกับเขาชนกัน มือที่บีบคอแกร่งเปลี่ยนเป็นโอบรอบคอ
"แฮะๆ หนูขอโทษ"
อะ...ขอโทษแล้ว ทุบได้
"โอ๊ย หยุด..."
"นี่แหนะๆ"
ฟึ่บ
!!!
เขาเบนตัวไปด้านข้าง ก่อนจะทิ้งร่างผมลงกับเตียงแล้วพาตัวเองมาทาบทับไว้ไม่ให้ผมขัดขืน มือใหญ่ข้างขวาของเขารวบสองมือผมไว้เหนือหัวอย่างง่ายดาย กลีบกุหลาบปลิวว่อน กระจายไปทั่วเตียง ผ้าปิดหน้าเปิดออกทำให้ผมเห็นอะไรๆได้ถนัดตา
"จะทำอะไรอะ" ผมโวยวาย
ผู้ชายคนนี้แม้ไม่ได้ใส่สูทคลุมตัวนอกก็ยังหล่อเหลา หน้าตาดูลูกครึ่งนิดๆ อายุน่าจะประมาณสามสิบต้นๆ ดวงตาที่มีความแขกหน่อยๆสีดำสนิทดูน่าเกรงขาม เขามองมาเหมือนไม่เชื่อสายตาอะไรบางอย่าง ตอนแรกยังทำหน้าดุ แต่พอเห็นใบหน้าผม แววตาของเขาก็เปลี่ยนไป ราวกับว่า เจอของถูกใจบางอย่าง
แย่แล้ว
หรือเขาจะรู้ว่าผมไม่ใช่พาย แต่พายบอกว่าไม่เคยเจอกันมาก่อนนี่น่า
"ปล่อยนะ" ผมดิ้นขัดขืนเมื่อเขาเอาแต่จ้องหน้า แต่ไม่ยอมขยับตัวหรือพูดอะไรสักที
กรรมที่ผมหนีคุณลำดวลมากำลังสนองผมแน่ๆ ถึงต้องมาโดนเจ้ายักษ์แรงเยอะจับกด....กับเตียงแบบนี้
"หึๆ" เขาหัวเราะมุมปาก
ผมไม่ใช่ตุ๊กตาไขลานพูดได้นะ มันน่าขำน่าสนุกตรงไหนไม่ทราบ เจ้ายักษ์โรคจิต
"ขำอะไร" ผมแวด "ปล่อยสิ"
คนอะไรแรงเยอะขนาดนี้ ดิ้นจนหมอนหลุดไปข้างเตียงแล้วเขายังไม่สะทกสะท้านเลย เจ็บมือไปหมดแล้วเนี่ย
"น่าสนใจ"
กึก!
"ภรรยาข้า น่าสนใจจริงๆ"
สนใจอะไรล่ะ รีบๆรำคาญแล้วไล่ผมสักที อยากกลับบ้าน
.......
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!