"สวัสดีนักอ่านทุกท่าน ข้ามีนามว่าอะไรงั้นหรือ ข้าเองก็ยังบอกตอนนี้ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะอะไรใช่ไหม? นั่นก็เพราะข้าชาติที่แล้วไปปากพล่อยสัญญารักซาบซึ้งกับความดีของท่านอ๋องหนุ่มรูปงามคนนึงเข้า ว่าชาติหน้าข้าจะเป็นฝ่ายตามหาและรักเขาเอง นั่นแหล่ะ หลังจากชาติภพปัจจุบันของข้าได้แก่ตายไปอย่างสงบ พอไปพบยมฑูต ยมฑูตก็ไล่ข้าให้ไปสวรรค์ได้ แต่ว่าไม่ใช่เพราะข้าทำความดีเยอะหรอกนะ แต่เพราะสวรรค์เตรียมจะลงโทษข้าต่างหาก
เรื่องอะไรก็เรื่องสัญญารักนั่นแหล่ะ เพราะท่านอ๋องคนนั้นดันตายแล้วขึ้นสวรรค์กลายเป็นเทพ ไปปากพล่อยเขียนแช่งข้าในใบอธิษฐานรักกับท่านเทพแห่งความรักเยว่เหล่า ว่าหากเกิดใหม่แล้วถึงวัยที่ข้าต้องแต่งงานหากข้าไม่ตามหาเขาและแต่งงานกันภายในสี่สิบเก้าวันข้าจะถูกฟ้าผ่าตายอย่างอนาถ แต่ตายแล้วมันควรจะจบใช่หรือไม่ ไม่เลยมันไม่จบแค่นั้นเมื่อเริ่มชาติภพใหม่หากข้าตายวิญญาณของข้าก็จะไปสิงที่ร่างอื่นที่เพิ่งตายโดยทันที
ทีนี้คงพอจะเข้าใจข้าแล้วใช่หรือไม่ ว่าข้าต้องเจอกับความวายป่วงอะไรบ้าง นี่คือร่างกำเนิดใหม่ที่ห้าของข้า ข้าต้องตามเกี้ยวพาราสีชายที่ข้ามีสัญญารักให้เจอในชาติภพที่เราเกิดเหมือนกันเท่านั้น
เอาล่ะเมื่อแนะนำตัวจบแล้ว หลังจากที่ข้าไปเกิดใหม่ในร่างของนางเงือกน้อย ซึ่งข้าไม่มีขา พยายามเกี้ยวพาราสีเงือกหนุ่มลอยตามน้ำไปเจ็ดคาบสมุทรยังไม่ทันได้พบรักเลย ดันเกิดมีสงครามระหว่างมหาสุทรทำให้เงือกหนุ่มต่างพากันไปออกรบ ข้าเลยต้องออกตามหาเงือกหนุ่มที่ข้าพอจะทดลองเสี่ยงดูได้ และแล้ววันที่ข้าชะตาขาดก็มาถึง ขณะติดอยู่โขดหินในวันที่สี่สิบเก้าพอดี กำลังจะแห้งตายเพราะตากแดดแต่กลับโดดสายฟ้าฟาดกลายเป็นปลาย่างในทันที และตอนนี้ข้าก็กำลังจะไปเข้าร่างใหม่แล้วมาเป็นกำลังใจให้ข้ากันนะว่าข้าจะตามหาชายคนนั้นที่เป็น ประกาศิต รัก(วายป่วง) ของข้าเจอหรือไม่"
ตระกูลเยี่ย
ย่ำค่ำคืนหนึ่งในคิมหันต์ฤดู ท้องฟ้าไร้ซึ่งเมฆบดบังแต่กลับมองไม่เห็นประกายสุกสกาวของดวงดาวบนท้องฟ้า แต่ท้องนภาก็ยังสว่างไสวด้วยแสงจันทร์นวลผ่องในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นยามห้ายแล้วนอกถนนบ้านเรือนต่าง ๆ ปิดประตูเข้าสู่ห้วงนิทรากันจนบรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด คงมีเพียงจวนสกุลเยี่ยที่ตอนนี้ถูกแขวนด้วยโคมไฟสีขาวและธงผ้าริ้วสีขาวตกแต่งรอบประตูหน้าจวน
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักของครอบครัวดังออกมาจากห้องพิธีศพไม่ขาดสาย บ่าวไพร่เดินไปเดินมาเตรียมของในงานขาวดำด้วยใบหน้าเศร้าโศก รอบดวงตาแดงก่ำ เสียงสะอึกสะอื้นบ่งบอกถึงความอาลัยอาวรณ์ของผู้ลาลับ ในห้องพิธีสถานที่ตั้งศพและโต๊ะสถิตดวงวิญญาณสำหรับเซ่นไหว้ถูกตกแต่งไว้อย่างดีเพื่อเป็นการเคารพให้เกียรติแด่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
บนถนนที่เงียบสงัดชายชราหลังค่อมเดินถือคบไม้เคาะบอกเวลายามจื่อ
"อากาศแห้งแล้งระวังฟืนไฟ"
ชายชรายามบอกเวลาประจำหมู่บ้าน พยายามตะเบ็งเสียงที่แหบพร่านั้นเพื่อแจ้งเวลาแม้ในยามนี้จะไม่มีผู้ใดตื่นมารับฟังก็ตามทีเขาก็ยังคงเดินเยื้องย่างอย่างช้า ๆ ไปตามถนนนั้นอยู่เช่นเดิม ชายชราหลังค่อมเดินมาเรื่อย ๆ จนถึงหน้าจวนสกุลเยี่ยพลันนั้นก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่เงียบสงัดมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม ถึงจะเป็นคิมหันต์ฤดูแต่ก็ยังพอมีลมพัดปลิวต้นไม้มีใบสั่นไหวบ้างแต่ตอนนี้กลับมีสิ่งผิดปกติกำลังเกิดขึ้น แม้แต่เสียงใบไม้วูบไหวก็ยังเงียบสงัด ไม่มีลมพัดวูบผ่านร่างเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกเย็นเยียบสะท้านแทรกเข้ากระดูกสันหลัง มีดวงไฟสีเขียว ๆ ดวงนึงลอยมาอย่างช้า ๆ เหนือศีรษะของชายชราหลังค่อมผู้นั้น
มือที่ถือโคมไฟและคบไม้ของชายชราสั่นเทามือเย็นสะท้านสัมผัสได้ถึงดวงไฟนั้นหยุดนิ่งบนศีรษะ ร่างคนชราสั่นเทาไม่กล้าหันไปมองแม้จะเห็นแสงวูบวาบนั้นที่ปลายลานสายตา ขาสองข้างหนักอึ้งจนไม่สามารถก้าวเท้าต่อไปข้างหน้าได้เหงื่อบนใบหน้าเริ่มไหลหยดลงมาตามใบหน้า
"ไม่ว่าเจ้าจะอยู่แห่งหนใดข้าจะตามหาเจ้าให้พบ"
เสียงเย็นเยียบอยู่ข้าง ๆ คล้ายออกมาจากแสงไฟสีเขียวนั้น ทันทีเท้าเริ่มขยับได้ชายชราหลังค่อมไม่รอช้าเดินยืดหลังตรงได้แล้ววิ่งซอยเท้าฝุ่นตลบพลางตะโกนโหวกเหวกโวยวายเสียงดังไปทั่วท้องถนน
"ช่วยด้วย ผีหลอก ช่วยด้วย ผีหลอก ข้าแก่จนจะเข้าโลงอยู่แล้วเกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็น"
ชายชราที่ตอนนี้หลังหายค่อมวิ่งอย่างรวดเร็วราววัยหนุ่มหายลับไปในทันที ก่อนดวงไฟดวงนั้นจะเคลื่อนที่ไปยังหน้าบ้านสกุลเยี่ย ก่อนจะลอยข้ามกำแพงเข้าไปแล้วลอยวูบไหวไปมาเหนือจวน
เหมือนมีแรงดึงดูดจากสนามแม่เหล็กดูดดวงไฟสีเขียวนั้นพุ่งตรงเข้าไปยังที่ตั้งศพก่อนจะพุ่งเข้าไปในโลงศพไม้อย่างดีนั้นพลันเกิดแสงสว่างวาบออกมาแล้วโลงเขย่าไปมา ภายในห้องพิธีที่เต็มไปด้วยเสียงสะอึกสะอื้นเสียใจต่างหยุดเงียบตกใจดวงตาเบิกโพลงกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้านั้น
"กะ....เกิดอะไรขึ้น อาเป่า เจ้าลองเข้าไปดูสิ"
ชายรูปร่างท้วมชี้มือไปที่โลงศพสั่งให้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันเข้าไปดู
"ทำไมข้าต้องเข้าไป พี่สิเข้าไป"
"ข้าเป็นพี่ของเจ้านะ ข้าเกิดก่อนเจ้าต้องฟังข้า ข่ะ เข้าไปดูเดี๋ยวนี้"
สองชายวัยกลางคนที่หนวดขาวแล้วทั้งคู่ต่างใช้ไหล่เบียดกันไปมาให้อีกคนเข้าไปดู ต่างไม่มีใครยอมขยับตัว
มีดวงตาคู่หนึ่งลืมขึ้นมองบรรยากาศที่มืดรอบ ๆ
"เข้าร่างใหม่แล้วใช่หรือไม่"
พุดพลางหยิกที่แขนตัวเองอย่างแรงคล้ายกำลังพิสูจน์ว่ามีกายเนื้อจริงหรือไม่
"โอ้ย!!"
"หึ๊ เสียงอะไร เมื่อครู่ท่านพี่ได้ยินหรือไม่ เสียงคนร้อง"
ต่างคนต่างมองหน้ากัน บ่าวไพร่ต่างนั่งเงียบกริบกลืนน้ำลายลงในคอ ใบหน้าเริ่มแสดงสีหน้าหวาดกลัว
ปัง!!! ฝาโลงไม้ลอยปลิวออกจากตัวโลงศพตกลงด้านข้าง คนในห้องต่างตาโตราวไข่ห่านกระโดดมากอดจับมือกันแน่น ก่อนที่ในโลงนั้นจะปรากฏมือของคนเคลื่อนไหวเกาะขอบโลงแล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง
ย๊าก!!! เสียงกรีดร้องตกใจของบ่าวไพร่วิ่งหนีกระเจิงออกจากห้องพิธีศพเมื่อพบว่าผู้ที่วายชนม์ไปแล้วลุกนั่งขึ้นมา ชายวัยกลางคนสองคนกุมมือกันแน่นหลับตาแน่นปี๋ไม่กล้าลืมตามอง จนมีมือมาแตะสะกิดที่ไหล่ของทั้งคู่พร้อมกัน ก่อนจะร้องเสียงหลงมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
"ท่านพ่อ ข้าฟื้นแล้ว"
เสียงคนที่เพิ่งกลับมามีชีวิตเรียกชายทั้งสองที่นั่งถูมือพลางหลับตาคำนับไปมาอยู่นั้น ทำให้ชายทั้งคู่หยุดนิ่งทันใดก่อนจะค่อย ๆ หรี่ตาข้างนึงมอง ก่อนจะประจันหน้ากับคนที่เพิ่งฟื้นที่นั่งลงจ้องหน้าอย่างใกล้ชิด ก่อนตกใจจนเสียหลักหงายหลัง
"ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว เงินที่ข้าแอบขโมยเอาไว้ไปให้เมียน้อยข้าจะเอามาคืนท่านแม่ทั้งหมดเลย"
ชายหนึ่งในสองคนพูดออกมาพลางถูมือทำท่าขอขมา คำนับนับครั้งไม่ถ้วน
"เดี๋ยวนะ ท่านแม่งั้นหรือ ข้าไม่ใช่ลูกสาวที่เพิ่งตายของบ้านนี้งั้นหรือ"
เสียงคิดในใจของผู้ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมากำลังสับสน สองมือค่อย ๆ ยกขึ้นมาดูเมื่อพบผิวที่แห้งเหี่ยวย่น ผิวตกกระหยาบกระด้าง ใจแทบจะหลุดวูบไปในทันที มือเหี่ยวแห้งนั้นค่อย ๆ ยกมาคลำใบหน้าของตนเองช้า ๆ ก่อนจะสัมผัสได้ใบหน้าที่ทั้งแห้งเหี่ยวและหย่อนคล้อย ก่อนจะยืนขึ้นเดินหากระจกไปทั่วห้องจนไปเจอกระจกบานนึงตั้งอยู่ทันทีที่ส่องเห็นใบหน้าตนเองที่ปรากฏบนกระจกใบนั้นหัวใจพลันกระตุกวูบอย่างแรงก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องออกมา
"อ๊าก..ก..ก...ก..ก"
ทุกคนต่างตกใจส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน ชายสองคนในห้องพิธีรีบวิ่งหนีออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างวิ่งหนีกันแตกตื่นเสียงดังระงมวุ่นวายไปกันหมด
ใบหน้าบนกระจกปรากฏริ้วรอยและกระเต็มใบหน้า ใบหน้าหญิงชราอายุอานามน่าจะราวแปดสิบปีได้ มือแห้งเหี่ยวนั้นลูบที่ใบหน้าตนเองอย่างช้า ๆ แววตาแดงก่ำยืนอ้าปากค้างตัวแข็งราวกับหุ่นไม้
ผู้คนในจวนสกุลเยี่ยทั้งนายทั้งบ่าวต่างพากันมายืนแอบอิงตามพุ่มไม้ต้นไม้เพื่อดูสถานการณ์ด้านในที่ยังมีเสียงกรีดร้องออกมาเป็นระยะของผู้ที่อยู่ด้านใน
"ทำไมกัน ทำไม สวรรค์ เหตุใดจึงเล่นตลกกับข้าเช่นนี้ ร่างแรกเกิบนเกาะอันไกลโพ้นที่มีแต่สตรีไม่รู้ประสาจนถูกฟ้าผ่าตายก่อนตามหาเจ้าบ้านั่น รอบที่สองให้ข้าอยู่ในร่างเงือกช่วงเกิดสึกสงครามของคาบสมุทรเงือกหนุ่มถูกเกณฑ์ไปออกรบหมด ข้าถึงขนาดว่ายข้ามเจ็ดคาบสมุทรกลับต้องมาตายเพราะถูกตากแห้งที่โขดหิน พอมาร่างที่สามของข้าดันเป็นยายแก่ที่แม้แต่เดินข้ายังเหนื่อยเลย สวรรค์เหตุใดจึงกลั่นแกล้งข้าเช่นนี้ ฮือ ๆ ๆ "
น้ำเสียงตัดพ้อต่อว่าและดวงตาที่แดงก่ำพยายามจะร้องไห้แต่น้ำตาแม้สักหยดยังไม่มี
"ดูสิแห้งเหี่ยวจนแม้แต่น้ำในร่างกายยังไม่มีแม้แต่จะผลิตน้ำตา โธ่!! ชีวิตน้อย ๆ ของข้าเหตุใดจึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยนะ ข้าสาบานเลยต่อไปข้าจะไม่ไปสัญญาเรื่องความรักกับใครพร่ำเพรื่ออีกแล้ว"
ดวงตาที่เหม่อลอยน้ำเสียงหมดอาลัยนั่งทอดถอนใจอยู่ครู่นึง โกรก~~~!! เสียงท้องที่ดังบ่งบอกความหิวของร่างกาย
"เอาเถอะ ก่อนจะตายอีกครั้ง ข้าหาอะไรกินให้อิ่มท้องใช้ชีวิตให้มีความสุขดีกว่า"
หลังจากคิดได้ดังนั้น ร่างหญิงชราก็ลุกขึ้น กร่อบ!!! เสียงกระดูกสันหลังดังลั่น อาการปวดเอวร้าวลงขาเข้ามาเยือนทันที
"โอ้ย !! หลังข้า"
ร่างหญิงชราหลังตั้งหลักได้ ก่อนจะค่อย ๆ รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ก่อนจะเดินชนประตูอย่างจังจนคนที่มองจากด้านนอกตกใจเมื่อหญิงชราล้มหงายหลังลงไป
"ห้ะ!! ท่านแม่ ท่านแม่!!"
ชายสองคนด้วยความรักต่อมารดาจึงขจัดความหวาดกลัววิ่งเข้าไปประคองหญิงชราที่ล้มหงานหลังตึงลง
"ท่านแม่ ท่านยังไม่ตายจริง ๆ ด้วย ปาฏิหารย์จริง ๆ ขอบคุณสวรรค์"
หญิงชราทำปากขมุบขมิบเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน
"ท่านแม่ ท่านพูดว่าอะไรงั้นหรือ ท่านพูดใหม่ทีสิ อาเป่าเจ้าเงี่ยหูฟังสิท่านแม่กำลังพูดอะไร"
ชายผู้เป็นน้องพยักหน้าก่อนค่อย ๆ เอียงหูไปมือหญิงชราคว้าหมับเข้าที่ปกคอเสื้อดึงเข้ามาใกล้ ๆ ปาก
"ข่ะ....ข้า...ข้า......หิ.......ว"
สิ้นประโยคหญิงชราก็หมดสติไปทันทีแต่ยังมีลมหายใจอยู่
"พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ไปตามหมอเร็ว อาเป่าเจ้าไปบอกพ่อครัวรีบทำอาหารให้ท่านแม่เร็ว ๆ เข้า ท่านแม่ของลูก ท่านอย่าเพิ่งตายอีกรอบนะ"
ร่างของหญิงชราถูกเขย่าไปมาอยู่อย่างนั้นก่อนจะมีบ่าวมาช่วยยกเข้าไปในห้อง
หลังจากจวนสกุลหลี่วุ่นวายกันมาจวบจนรุ่งเช้า โคมไฟที่ตกแต่งหน้าบ้านและริ้วธงผ้าขาวสำหรับตกแต่งงานศพถูกรื้อออกอย่างรวดเร็ว ท่านหมอที่ต้องถูกปลุกตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ฉายแสงเดินตามบ่าวในบ้านสกุลเยี่ยเข้าไปให้ห้องของเยี่ยฮูหยิน
ทันทีที่เห็นท่านหมอเดินเข้ามาเยี่ยเสี่ยวหยวนบุตรชายคนโตของเยี่ยฮูหยินที่เดินวนเวียนเฝ้ามารดาที่นอนสลบอยู่บนเตียงก็แสดงสีหน้าท่าทางดีใจออกมา รีบพุ่งเข้าหาท่านหมอเดินมาจับแขนให้เข้าไปตรวจร่างกายหญิงชราที่นอนอยู่บนเตียงนั้น
ร่างหญิงชราที่นอนนิ่งบนเตียงอยู่นั้นได้รับการตรวจจับชีพจรและตรวจร่างกายอย่างละเอียดพบว่าร่างกายแข็งแรงเลือดลมไหลเวียนดี
"เรียนท่านเยี่ย ข้าตรวจทุกอย่างของเยี่ยฮูหยินแล้วพบว่าท่านผู้เฒ่าร่างกายแข็งแรงดี หัวใจเต้นแรงและเร็วที่สลบไปตอนนี้ ดูเหมือนจะหลับจากอาการอ่อนเพลียจากขาดอาหารมากกว่า หากได้พักผ่อนเต็มที่ทานอาหารดี ๆ สักสองสามวันก็น่าจะหายสนิทแล้วล่ะ" ท่านหมอพูดอย่างชัดเจนชัดถ้อยชัดคำ
"ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขอบคุณท่านหมอมาก ไม่รบกวนแล้วเชิญ"
เจ้าของเรือนยกมือคำนับพลางผายมือเชิญผู้มาเยือนกลับ
หญิงชราค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาก่อนจะลุกขึ้นมานั่งด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของเยี่ยฮูหยินตระกูลเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองหยางโจวพอเห็นมารดาลุกขึ้นมานั่งได้ก็รีบวิ่งมาคุกเข่าต่อหน้าทันที
"ท่านแม่ ตอนนี้ท่านรู้สึกเช่นใดบ้าง รู้หรือไม่...ว่า ท่านเพิ่งจะฟื้นจากความตายราวปาฏิหารย์"
เยี่ยเสี่ยวหย่วนบุตรชายคนโตรีบสอบถามอาการด้วยความเป็นห่วง เยี่ยเสี่ยวเป่าบุตรชายคนรองรีบพยักหน้าตามพี่ชาย สายตาสองคู่ต่างจ้องมองไปยังหญิงชราผู้เป็นมารดาที่นั่งก้มหน้ามือกอดอก แล้วขาสองข้างนั่งสั่นหงึก ๆ จนร่างสั่นสะเทือน ราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
"ทำเช่นไรดี ทำเช่นไรดี ถ้าเป็นเยี่ยงนี้แม้แต่จะหาบุรุษมาลองแต่งงานด้วยสักคนก็ยากขึ้นไปอีก ใครจะอยากมาแต่งกับหญิงแก่ชราอายุเกือบจะร้อยปีกัน ยกเว้นสมบัติจะเยอะแยะมากมายหวังสมบัติแบบนี้ก็ว่าไปอย่าง"
นอกจากนั่งเขย่าขาสองข้างแล้ว หญิงชรายกนิ้วมือขึ้นมานั่งแทะเล็บตนเองสีหน้าท่าทางครุ่นคิดหนักคิ้วขมวดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ายิ่งทวีเพิ่มมากขึ้น บุตรชายสองคนเอียงหน้าตามมารดาไปมาที่กำลังครุ่นคิดหันหน้าไปซ้ายทีขวาที
"เฮ้ย!!!"
เยี่ยฮูหยินตะโกนออกมาสองตาเบิกกว้าง ลุกขึ้นยืนจนบุตรชายทั้งสองตกใจหงายหลังลงไปพร้อมกัน นางหันไปจ้องมองที่บุตรทั้งสองแล้วเดินไปคุกเข่าข้างนึงเบื้องหน้าสายตาจดจ้องอย่างคอยจับผิด มองสลับหน้าไปมาบุตรชายทั้งสองเบือนหน้าหลบสายตามารดาของตนเอง
"ข้าได้ยินว่าเจ้า!!! คนใดคนนึงยักยอกเงินของข้าไปใช่หรือไม่"
น้ำเสียงและแววตาราวกับกำลังโมโหที่บุตรอกตัญญู เยี่ยเสี่ยวเปา รีบคุกเข่าแล้วกราบคำนับมารดาสารภาพผิด
"ท่านแม่ข้าเอง ข้าผิดไปแล้ว ข้าเพียงแค่อยากร่ำรวยเท่าพี่ใหญ่บ้างเลยอยากได้เงินไปลงทุน ข้าเลยเอาเงินไปเข้าบ่อนแต่ก็เสียพนันจนหมดตัวแถมติดหนี้บ่อนอีก เจ้าหนี้ติดตามทวงขู่ข้าทุกวันข้าเลยขโมยเงินในคลังของท่านแม่นิดหน่อยเพื่อนำเอาไปใช้หนี้"
เยี่ยเสี่ยวเปาพูดด้วยน้ำเสียงกระมิดกระเมี้ยนยกนิ้วมือทำท่าขโมยเงินในคลังไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เยี่ยฮูหยินรีบหันหน้ามาทางบุตรชายคนรองอย่างรวดเร็ว
"นิดหน่อยของเจ้ามันเท่าไหร่กัน ห้าร้อยตำลึงหนึ่งพันตำลึง"
หญิงชราคาดคั้นจากบุตรชาย ที่กลัวมารดาจะลงโทษจนตัวสั่นจนผู้เป็นพี่สะกิดให้รีบสารภาพ
"เจ้าขโมยไปเท่าไหร่ก็บอกท่านแม่ไปซะที ใยชักช้าอืดอาดเช่นนั้น"
เยี่ยเสี่ยวหยวนตวาดผู้เป็นน้องชายจนสะดุ้งโหยง
"ก็ไม่มาก ก็แค่...แค่หนึ่ง...."
เขาพูดพลางยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วน้ำเสียงแสนเบาราวกับลมผ่านออกมาจากในลำคอ หญิงชราเงี่ยหูฟัง
"ห้ะ ว่าไงนะ หนึ่งพันตำลึงงั้นหรือ"
เยี่ยฮูหยินพูดเสียงดังออกมา เยี่ยเสี่ยวเปาส่ายหน้า
"หนึ่งหมื่นตำลึงทอง"
หญิงชราตาเบิกโพลง ตกใจกับจำนวนเงินจำนวนมากนั้นก่อนจะลงมือทุบตีเยี่ยเสี่ยวเปาอย่างหนักมือ
"ไอ้ลูกบ้า ลูกอกตัญญูเล็กน้อยที่ไหนของเจ้าเงินหนึ่งหมื่นตำลึงทองไม่ใช่หมดคลังแล้วหรือ"
เยี่ยฮูหยินไล่ตีจนหอบ นั่งพักบนเก้าอี้ เยี่ยเสี่ยวหยวนบุตรชายคนโตเข้ามานวดไหล่ให้ท่าทางออดอ้อนออเซาะ
"จะทำยังไงดี ตอนแรกข้ากะว่าจะใช้เงินจ้างหาบุรุษที่อายุ 20-25 ปีมาแต่งงานด้วยซะเลย ตาลุงนี่ดันใช้เงินของข้าจนหมด"
หญิงสาวในร่างเยี่ยฮูหยินนั่งหอบพลางคิดในใจถึงแผนในการติดตามหาชายที่ติดค้างคำสัญญาเมื่ออดีตชาติ
"ท่านแม่โปรดใจเย็น ๆ ก่อน เงินหนึ่งหมื่นตำลึงทองเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับทองคำมหาศาลและของล้ำค่าต่าง ๆ ในนั้น ท่านแม่ไม่ชอบสะสมเงินแต่ท่านแม่ชอบสะสมทองและของล้ำค่า น้องร้องหยิบยืมไปแค่หนึ่งหมื่นตำลึงทอง ข้าชดใช้คืนให้เขาก็ได้ แต่ท่านแม่เพิ่งจะฟื้นโปรดใจเย็นก่อนเดี๋ยวจะหัวใจวายไปอีก ครานี้เกรงว่ารอบนี้ท่านจะไม่ฟื้นแล้วนะ"
ทันทีที่ฟังเยี่ยเสี่ยวหยวนพูดจบ เยี่ยฮูหยินก็ตาเบิกโพลงออกมาอีกครั้งดวงตาเป็นประกายวิบวับพลางหัวเราะออกมาอย่างพออกพอใจ อารมณ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ ลูกของข้าดีมาก ช่างดีจริง ๆ"
หญิงชราพูดพลางตบไหล่บุตรชายทั้งสองอย่างพึงพอใจ
หญิงชราก้มศีรษะลงพลางกระดิกมือเรียกบุตรชายทั้งสองคนขยับมาฟังใกล้ ๆ
"พวกเจ้าสองคน จะแสดงความกตัญญูกับแม่ผู้ให้กำเนิดเป็นอย่างสุดท้ายได้หรือไม่"
ฟังมารดาพร่ำพูดอะไรแสนแปลก สองพี่น้องต่างมองหน้ากันอย่างสงสัยในคำพูดของมารดา
"ท่านแม่ต้องการสิ่งใดหากพวกข้าทำได้ จะจัดหาให้ท่านทันที"
เยี่ยเสี่ยวหยวนบุตรชายคนโตพูดตกปากรับคำด้วยสีหน้าท่าทางมั่นใจและเต็มใจทำโดยมีเยี่ยเสี่ยวเปาผู้น้องพยักหน้าทำตาม
"คือว่าที่แม่ฟื้นมาคราวนี้เพราะมีเรื่องที่ค้างคาภายในใจแม่มาตลอดที่อยากจะทำแต่ทำไม่ได้ พวกเจ้าทั้งสองเป็นลูกรักของแม่ แม่จึงอยากให้พวกเจ้าสองคนช่วยอะไรแม่จะได้หรือไม่"
ชายวัยกลางคนสองคนต่างจ้องมองหน้ากัน ยกมือขึ้นมาจับประสานกันแล้วพยักหน้าตอบตกลงพร้อมๆ กัน
"เพื่อท่านแม่ของข้า เราสองคนยินดีทำตามความปรารถนาของท่าน ได้โปรดบอกพวกเรามาเถิด"
หญิงสาวในร่างหญิงชรายิ้มออกมาอย่างพอใจแววตาเป็นประกายแล้วตัดสินใจพูดแผนที่อยู่ในใจออกมา
"แม่อยากแต่งงานกับบุรุษที่มีไฝตรงหน้าอกซ้ายอายุ อยู่ในช่วง 20-25 ปีเพื่อแก้เคล็ดที่ฟื้นจากความตาย!!!"
หญิงชราตะโกนออกมาสุดเสียงยืนขึ้นยาสองข้างยืนแยกจากกันมือสองข้างกางออกเงยหน้าขึ้นบนฟ้าแสดงถึงความต้องการอย่างเต็มเปี่ยม
"หา!!! ว่าเช่นใดนะท่านแม่ของลูก"
ชายสองคนพูดออกมาพร้อมกันแววตาฉายแววตกใจระคนปนสงสัย หญิงชราที่กำลังอ้าปากกางมือแหงนมองเพดานอยู่นั้น หุบปากลงในทันใดแล้วแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาทันทีแล้วมองจ้องที่บุตรชายทั้งสอง
"ทำไม...เรื่องแค่นี้พวกเจ้าทำให้ข้าผู้เป็นแม่ที่ให้กำเนิดพวกเจ้ามาไม่ได้หรืออย่างไรกัน ฮือ ๆ ๆ ๆ สวรรค์เหตุใดจึงใจร้ายกับข้าเช่นนี้ ข้าดูแลเลี้ยงดูมาบุตรมาอย่างยากลำบากเลือดตาแทบกระเด็นแต่บุตรอกตัญญูของข้าแม้แต่คำขอก่อนตายของข้าก็ยังปฏิเสธ ฮือ ๆ ๆ ๆ"
เยี่ยฮูหยินแกล้งร้องไห้ฟูมฟายออกมายกชายแขนเสื้อทำเป็นซับน้ำตาพลางเอามือจุ่มชาในถ้วยแตะ ๆ ที่ตาอย่างเจ้าเล่ห์ จนบุตรทั้งสองคนร้อนรนทนไม่ได้รีบคลานเข่าเข้ามากอดแข้งกอดขาอย่างรวดเร็ว
"เข้าใจแล้ว ๆ ท่านแม่ แค่แต่งแก้เคล็ดใช่หรือไม่ พวกเราแค่ตามหาคนมีไฝที่หน้าอกซ้ายอายุอยู่ในช่วงยี่สิบถึงยี่สิบห้าพอเข้าพิธีแต่งงานเสร็จก็ให้เงินค่าจ้างไปเช่นนี้ใช่หรือไม่ท่านแม่"
เยี่ยเสี่ยวหยวนบุตรชายคนโตที่ค่อนข้างฉลาดเฉลียวเข้าใจได้โดยไว หญิงสาวในร่างหญิงชรารีบพยักหน้าอย่างรวดเร็วดวงตาเป็นประกาย
เช้าวันต่อมาก็มีข่าวใหญ่ติดป้ายประกาศไปทั่วเมืองหยางโจว ผู้คนผ่านไปมาในตลาดต่างพากันโจษจันเรื่องข่าวการตายแล้วฟื้นของเยี่ยฮูหยินแล้วหาชายหนุ่มเพื่อแต่งงานแก้เคล็ดหลังจากฟื้นแล้วจะมีเงินค่าจ้างหนึ่งพันตำลึงหลังเข้าพิธีแต่งงานกันแล้ว
ข่าวแพร่ไปอย่างรวดเร็วชายหนุ่มมากหน้าหลายตาต่างพากันมาออกันที่หน้าจวนสกุลเยี่ยเพื่อรับการตรวจสอบร่างกายก่อนจะผ่านด่านเข้าพิธี แถวที่เหล่าบุรุษที่ต้องการเงินทองมายืนรอต่อแถวยาวเลื้อยราวกับงูจนกีดขวางทางคนเดินเท้าไปมา จนมีคนไปฟ้องนายอำเภอจึงได้ส่งมือปราบมาตรวจสอบความเรียบร้อยและสืบข่าว
"เยี่ยฮูหยินตายแล้วฟื้น เลยต้องการแต่งงานกับบุรุษหนุ่มเพื่อแก้เคล็ดเช่นนั้นหรือ"
นายอำเภอหยางโจวยืนฟังรายงานจากกุนซือประจำตัวก่อนจะพยักหน้าเข้าใจอย่างง่ายดาย
"ถ้าเช่นนั้นก็ส่งมือปราบไปช่วยดูแลความเรียบร้อยจัดระเบียบผู้คนอย่าให้กีดขวางถนนหนทางก็แล้วกัน"
เจ๋อจางหมิ่นนายอำเภอเมืองหยางโจวสั่งงานด้วยน้ำเสียงสุขุมใจเย็นน้ำเสียงเนิบนาบจนผู้ฟังแทบจะหลับ เขาหันไปมองกงซุนที่ยืนฟังคำสั่งด้วยอาการสัปหงกจึงค่อย ๆ หยิบไม้เคาะที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาตีบนโต๊ะ เสียงดังจนกงซุนเฮ่อสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา
"ขอรับท่านนายอำเภอข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้"
กงซุนเฮ่อคำนับรับคำสั่งกำลังจะก้าวเท้าออกไป นายอำเภอก็เรียกเอาไว้
"เดี๋ยวก่อน จุยมิ่งอยู่ที่ใดเหตุใดข้าไม่เห็นเจ้าลูกไม่เอาไหนนี่อีกแล้ว"
นายอำเภอฉุกคิดมาได้ว่าบุตรชายที่สุดแสนจะเจ้าชู้เสเพล ไม่มาท่องตำราให้ฟังเพราะถูกลงโทษจากการก่อเรื่องวุ่นวาย เจ๋อจางหมิ่นนายอำเภอที่ย้ายมาประจำการเมื่อสิบปีที่แล้วหลังภรรยาเสียชีวิต จึงพาบุตรชายวัยสิบขวบทำเรื่องย้ายมาอยู่หยางโจวบ้านเกิดของตนเอง แต่บุตรชายคนเดียวกลับเป็นหนุ่มสำอางเจ้าสำราญ เจ้าชู้เสเพลไปวัน ๆ ไม่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
"คุณชายน้อย แอบหนีออกไปกับเวยหลงตั้งแต่ช่วงสาย ๆ แล้วขอรับท่านนายอำเภอ"
กงซุนเอ่ยรายงานด้วยน้ำเสียงเรียบเแยเช่นกันเพราะนิสัยเอาแต่ใจไม่โตเป็นผู้ใหญ่ของจุยมิ่งหาใช่ครั้งแรกที่เป็นนี้ไม่
"อะไรนะ หนีออกไปอีกแล้วงั้นหรือ เจ้ารีบเลยส่งมือปราบไม่สิ ไม่ได้ ๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าข้าใช้อำนาจโดยมิชอบอีก ให้บ่าวในจวนไปตามตัวมาเดี๋ยวนี้"
นายอำเภอเจ๋อออกคำสั่งให้กงซุนไปตามบ่าวไพร่ออกไปตามหาจุยมิ่งเพราะกลัวจะไปก่อเรื่องซ้ำอีก
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!