จ้าวลี่หมิง (พระเอก) : ลำดับที่เก้าของฮ่องเต้ระดับเช็งกับพระสนมนางหนึ่ง
ได้รับการเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมาที่จะมาเป็นกัปตันทีมซึ่งบราซิลจะเป็นผู้กำหนดซึ่งจะเป็นใคร
มะเยว่ วินซิน (ผู้นำ) : บุตสาวผู้ยิ่งใหญ่แห่งการสอบคัดเลือก เป็นระเบียบเรียบร้อยอ่อนหวาน
เรนกลับมามีจิตใจที่จะเด็ดเดี่ยวเหนือบางคน
จางหมิงเจ๋อ : ผู้รับมอบอำนาจของฮ่องเต้ระดับเฉิงกับพระสนมเอก
ตอนเด็กมีร่างกายอ่อนแอขี้โรค พัฒนาการช้ากว่าพี่น้อง
โดนรังแกอยู่บ่อยครั้ง
เป็นแบบอย่างที่เข้มแข็งขึ้นเพื่อหวังจะปกป้องนาง
เซินเจิ้นฮุ่ยน่า : ผู้น้องที่หลงเสน่ห์จ้าวลี่หมิงหมิงที่ยังเด็ก
จะขอเป็นคนที่สำคัญมากในชีวิตของน้อยกว่าที่นางรัก
หม่าเหินเยอวอ : ชนเผ่าใหญ่แห่งพี่น้องเชงแม่ของมะเย่อวอซิง
สหายคนสนิทของตระกูลบัลลังก์จ้าวลี่หมิงซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบต่อแผ่นดินเกิด
จนกว่าจะตัดสินใจดำเนินการในสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้ต้องได้รับการเช็งมีผู้ปกครองที่เที่ยงธรรม
จ้าวฟางเหนียง : พระมงกุฎของจ้าวลี่หมิง ยอมจำนนต่อการใช้ชีวิตด้วยตนเอง เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งองค์รัชทายาท
จางมู่เฉิน : ฮ่องเต้ต้องได้รับการต้อนรับจากจ้าวลี่หมิงและจางหมิงเจ๋อ
เกริ่นนำ
เริ่มต้นจากพวกเราแม่
บดขยี้คนที่ต้องรับผลกรรมนั้นกลับเป็นธิดาของเขาแทน
'หม่าเรอหินอู๋' พลั้งมือทำเรื่องที่มิอาจมองข้าม
จนสร้างไฟแค้นครั้งใหญ่ให้กับ 'จ้าวลี่หมิง' ทั้งหมดชายเก้าแห่งระดับผู้ท้าชิงเหนือใคร
ต่างเลื่องลือกันว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดสำหรับพี่น้องทั้งสองท่านนี้
ที่รัชทายาทจะสืบต่อพัฒนาการมังกร
แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่กระทำการดังกล่าวจะได้รับการลงโทษ
ผลกรรมนั้นมันดันไปตกอยู่ที่ 'มะเยว่ซิน' ธิดาของเขาแทน
การสั่งลงโทษหม่าเหินเยว่ด้วยกฎข้อบังคับเหล่านี้มีข้อห้ามเพิ่มเติม
ในเมื่อกล้าห้ามสิ่งที่จ้าวลี่หมิงรักที่สุด
ท่านผู้นั้นมักจะถูกห้ามสิ่งที่หวงแหนที่สุดเหมือนกัน!!
อยากตายก็ตายไม่ได้
ยังไงก็ต้องตายทั้งเป็นศักดิ์ศรีถูกย่ำยีจนย่อยยับ
จากคุณหม่าผู้เพียบพร้อมด้วยทุกสิ่งเหนือใคร
ตกลงมาสู่หุบเหวกลายเป็นมนุษย์ยากแค้นในกำมือของจ้าวลี่หมิง
กล้ำกลืนฝืนทนอยู่เพื่อเพื่อนบ้านของแม่
คาดเดาความหวังภาวนาว่าสักวันหนึ่งไฟกองนี้จะมอดดับ
เรนเดอร์... สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยความฝันลมๆ แล้งๆ
1เจ้าสาวผู้อาภัพ
ร่างอ้อนแอ้นอรชรในชุดเจ้าสาวสีแดงสดไม่ต่างจากสีบนริมฝีปากอิ่ม
ที่เม้มแน่นเพราะกำลังกลั้นเสียงสะอื้นไห้ให้อยู่ภายในลำคอ
ดวงตากลมโตทั้งสองข้างแดงก่ำมีน้ำสีใสคลอหน่วยพร้อมไหลรินอาบใบหน้างาม
แม้จะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยไล้ออกไปบ้างแล้ว ทว่ามันกลับไร้วี่แววจะเหือดแห้งหายไป
หลังจัดการแปลงโฉมเจ้าสาวจนงดงามไร้ที่ติ
แม้แต่เดิมสตรีผู้นี้จะโฉมสะคราญโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางอยู่แล้ว นางกำนัลซึ่งถูกส่งตัวมาจากทางฝั่งของเจ้าบ่าวทั้งสี่คน
จึงค่อยๆ ทยอยเดินออกจากห้องไปยืนรออยู่ด้านนอก ให้ผู้เป็นเจ้าของห้องได้มีเวลาอยู่กับตัวเองสักระยะ
เวลานี้จวนจะถึงฤกษ์ที่เจ้าสาวควรออกไปขึ้นรถม้าได้แล้ว
ทว่านางยังคงนั่งทอดสายตามองเงาของตนซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจก
ด้วยสายตาเศร้าโศกเสียใจไร้วี่แววการเคลื่อนขยับกายไปไหน จนบุคคลซึ่งมารอรับอยู่ด้านนอก
ต้องเปิดประตูเข้ามาเอ่ยปากเร่งเสียงเข้มด้วยกระแสเสียงที่ดูคล้ายไม่พอใจอยู่กลายๆ
“คุณหนูหม่า ถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางกันแล้ว”
‘หม่าเยว่ซิน’ บุตรสาวเพียงคนเดียวของอดีตแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฉิง
ทำเพียงปรายตามองอีกฝ่ายในเงาสะท้อนของกระจก ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยซับน้ำตาอีกครั้ง
สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสร้างกำลังใจให้ตนเองมีแรงฮึดสู้
ไม่ใช่สู้เพื่อตัวเองแต่สู้เพื่อบิดาซึ่งถูกขังอยู่ในคุกหลวงต่างหาก
ร่างเล็กลุกขึ้นยืนเต็มความสูงราวๆ
ห้าสิบชุ่น (166 เซนติเมตร) ใช้สองมือจับชายกระโปรงยาวระพื้นยกเพียงนิดให้ก้าวเท้าได้สะดวกขึ้นกว่าเดิม
เดินออกมาด้านนอกโดยมีเหล่านางกำนัลทั้งสี่และผู้คุมขบวนเจ้าสาวเดินตามอยู่เบื้องหลัง
หม่าเยว่ซินหันมองบรรยากาศภายในจวน
ที่ตนเคยอาศัยอยู่มาตั้งแต่ยังแบเบาะด้วยสายตาเจ็บปวด มันเคยครึกครื้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้อยู่อาศัย
มีแต่เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังกึกก้องอยู่ในจิตสำนึกที่นางจำได้
แต่บัดนี้กลับหลงเหลือเพียงความว่างเปล่า
มีแต่คนแปลกหน้าซึ่งถูกส่งมาจากตำหนักซินอี๋
ให้มาควบคุมดูแลหม่าเยว่ซินในตลอดระยะเวลาสามเดือนเต็ม
ดั่งนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ที่ต้องได้รับการกักขังเข้มงวด ทั้งๆ
ที่ความจริงแล้วนางก็เป็นเพียงสตรีบอบบางธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
ผู้คนในบ้านต่างแตกฉานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง
เพราะมิอาจอยู่พร้อมหน้าเหมือนแต่ก่อนได้อีก ทิ้งเพียงความเศร้าโศกเสียใจและร่องรอยของน้ำตาไว้ให้คนที่ยังอาศัยอยู่รู้สึกปวดร้าว
แต่ตอนนี้ผู้พำนักอาศัยคนสุดท้ายของบ้านกำลังจะจากไปเช่นกัน
เท้าเล็กก้าวผ่านประตูจวนออกมายืนอยู่ด้านนอก
ค่อยๆ หมุนกายกลับไปทอดมองบ้านของตัวเองด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์อีกครั้ง จนผู้คุมขบวนต้องส่งสัญญาณให้ทหารองครักษ์ปิดประตูไม่ให้นางเห็นภายในได้อีก
“ไปกันได้แล้วคุณหนูหม่า อย่าให้องค์ชายต้องทรงรอนาน
ท่านก็รู้อยู่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร”
ประโยคข่มขู่กลายๆ
ถูกเอื้อนเอ่ยก่อนร่างสูงใหญ่จะเดินผ่านหม่าเยว่ซินไปกระโดดขึ้นนั่งบนหลังม้า
ใบหน้าสวยฉายแววความหนักใจ ถอนหายใจเพียงนิดก่อนหมุนกายหันกลับไปมองหารถม้า ที่เข้าใจว่าจอดรอรับอยู่ด้านหลังทว่ากลับไม่พบมัน
หม่าเยว่ซินเงยหน้าขึ้นมองผู้คุมขบวนด้วยแววตาสงสัย
เขารับรู้ได้ในทันทีว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ภายในใจ
จึงเอ่ยปากชี้แจงแถลงไขให้รับรู้อย่างกระจ่างแจ่มชัด
“ไม่มีรถม้าให้ขึ้นนั่ง องค์ชายมีคำสั่งให้ท่านเดิน”
กล่าวจบผู้นำขบวนจึงบังคับให้ม้าออกตัวเคลื่อนขยับไปด้านหน้า
โดยไม่รอฟังความคิดเห็นใดจากสตรีที่ยังยืนทำหน้าวิตกกังวลอยู่เบื้องหลัง
ระยะทางจากจวนอดีตแม่ทัพใหญ่ไปยังตำหนักซินอี๋แม้จะไม่ไกลเท่าไหร่นัก
ทว่าหากเดินเท้าโดยสวมชุดเจ้าสาวซึ่งมีน้ำหนักพอสมควร ไหนจะเครื่องประดับศีรษะซึ่งดูอลังการงานสร้างนี่อีก
ก็ดูเป็นเรื่องที่ลำบากพอสมควรสำหรับสตรีรูปร่างบอบบาง
แต่ตอนนี้หม่าเยว่ซินอยู่ในสถานะที่ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องสิ่งใดได้
จำต้องก้มหน้ายอมรับในสิ่งที่ตนต้องเผชิญ เอื้อมจับผ้าคลุมศีรษะปิดบังใบหน้า ดึงรั้งชายกระโปรงให้ลอยเหนือพื้นเพื่อให้ก้าวเดินได้สะดวก
ขยับกายเดินตามขบวนเจ้าสาวซึ่งกำลังเคลื่อนที่ออกห่างไปเรื่อยๆ
มันดูไม่เหมือนขบวนงานมงคลสมรสสักนิด
หากหม่าเยว่ซินไม่ได้สวมใส่ชุดเจ้าสาวอยู่บนเรือนร่าง คงดูคล้ายกับว่านางกำลังถูกคุมตัวไปสอบสวนความผิด
มีเพียงทหารองครักษ์สี่คนขี่ม้าประกบหัวท้าย
ราวกับคอยสอดส่องไม่ให้คนซึ่งเดินอยู่ตรงกลางหลบหนี ผู้คุมขบวนเดินนำอยู่ด้านหน้าสุด
และมีนางกำนัลอีกสี่คนเดินตามหม่าเยว่ซินอยู่ด้านหลัง
ไม่มีการโปรยกลีบดอกไม้
ไร้เครื่องดนตรีเดินนำขบวน แค่เกี้ยวอำนวยความสะดวกยังไม่มีให้เจ้าสาวได้นั่ง
ดีที่ผ้าคลุมหน้าไม่ถึงกับทึบจนเกินไป ยังสามารถมองทะลุเห็นพื้นถนนที่ก้าวเหยียบได้
ไม่งั้นมีหวังนางได้เดินสะดุดก้อนหิน ซึ่งร่วงหล่นอยู่บนพื้นถนนล้มหน้าคะมำเป็นแน่แท้
ระหว่างทางต้องเคลื่อนผ่านตลาดเมืองหลวง
ผู้คนมากมายทั้งเหล่าพ่อค้าแม่ค้าและบุคคลที่ออกมาจับจ่ายใช้สอย
ต่างหยุดมองหม่าเยว่ซินด้วยสายตาแปลกใจระคนสงสัยไม่ต่างกัน
ก็ไม่แปลกหากพวกเขาจะมองด้วยสายตาเช่นนั้น
ลูกสาวบ้านไหนเขาสวมชุดเจ้าสาวเดินไปเข้าพิธีแต่งงานที่บ้านเจ้าบ่าวกันเล่า ไม่ขึ้นรถม้าก็ต้องมีเกี้ยวให้นั่งแต่นี่นางกำลังเดินอยู่
สภาพช่างดูน่าสมเพชเวทนาเสียจริง
ใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าจะเดินทางมาถึงจุดหมาย
เล่นเอาร่างเล็กหายใจเหนื่อยหอบอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้า หม่าเยว่ซินช้อนสายตามองบานประตูขนาดใหญ่
ซึ่งเปิดอ้าออกให้เห็นบรรยากาศภายในอย่างชัดเจน
แทนที่สถานที่จัดพิธีสมรสจะดูครึกครื้นรื่นเริง
ทว่ากลับเงียบสงบไร้เสียงจอแจ ดูวิเวกวังเวงแปลกๆ ชอบกล
บรรยากาศอึมครึมชวนอึดอัดจนหม่าเยว่ซินคล้ายจะหายใจไม่ออก
ไม่มีแม้ผ้าแพรสีแดงหรือโคมไฟมงคลประดับตกแต่ง
มีเพียงผ้าสีขาวห้อยผูกรอบบริเวณคล้ายไว้อาลัยเสียมากกว่า ไร้เงาแขกเหรื่อมาร่วมแสดงความชื่นชมยินดี
สุราอาหารเครื่องดนตรีไม่มีสักชิ้น
เมื่อก้าวขาเข้ามาด้านในยิ่งให้ความรู้สึกหดหู่สิ้นหวัง
เหล่าธารกำนัลยืนร้องไห้คร่ำครวญจ้องมองหม่าเยว่ซินด้วยสายตาเคียดแค้น
ไม่ต่างจากบุรุษรูปโฉมงดงามซึ่งกำลังยืนจ้องนางเขม็งอยู่เบื้องหน้า
ดวงตาคมกริบแดงก่ำไม่ต่างจากคนอื่นๆ
ร่างสูงสวมใส่อาภรณ์สีดำสนิทไว้ด้านใน
มีเสื้อนอกของชุดเจ้าบ่าวคลุมกายไว้ลวกๆ ต้นแขนด้านขวามีผ้าสีขาวผืนเล็กติดอยู่
บ่งบอกว่าเขากำลังไว้ทุกข์ให้กับใครบางคน
“พานางไปให้พ้นหน้าข้า!!”
เสียงทุ้มต่ำตวาดลั่นพร้อมยกมือสะบัดโบกไล่อย่างไม่ไยดี
หมุนกายหันหน้าหนีราวกับรังเกียจการมองสตรีผู้นี้อย่างไรอย่างนั้น
หัวใจดวงเล็กชาวาบด้วยความหวาดหวั่น
วิตกกังวลไม่น้อยเมื่อมาอยู่ในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยบุคคลที่ในอดีตเคยคุ้นเคย แต่บัดนี้กลับดูเปลี่ยนไปคล้ายโกรธแค้นนางอย่างชัดเจน
หม่าเยว่ซินถูกนางกำนัลทั้งสี่พาตัวไปอีกทางจนมาถึงห้องห้องหนึ่ง
ร่างเล็กถูกผลักเข้าไปด้านในอย่างไร้ความทะนุถนอม นางเปิดผ้าคลุมหน้าออกทอดสายตามองรอบกายอยู่ชั่วครู่
ก่อนตัดสินใจเดินไปทรุดกายนั่งลงบนเตียงกว้าง เพราะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางด้วยเท้าระยะไกล
ไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าวันนี้นางมาเข้าพิธีอภิเษกสมรส
มาถึงกลับถูกโยนใส่ห้องกักขังทั้งที่ยังไม่ได้เข้าพิธีไหว้ฟ้าดินด้วยซ้ำ
สุรามงคลสักจอกยังไม่มีโอกาสได้ดื่ม
นี่หรือคือพิธีแต่งงานในชีวิตที่สตรีทุกนางปรารถนาจะได้สัมผัส
การต้องมาอยู่ในสถานที่ที่รู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย
ไม่มีบุคคลซึ่งทำให้อบอุ่นหัวใจอยู่ข้างกาย
ราวกับนางกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดลำพัง
ไหนจะเรื่องราวเลวร้ายที่ทำให้ต้องพลัดพรากจากบิดาเมื่อไม่นานนี้อีก
พลันน้ำตาเม็ดเล็กซึ่งพยายามข่มเอาไว้ก็รินไหลออกมาในที่สุด
สองขาเรียวยกชันขึ้นเพื่อฟุบใบหน้าร้องไห้ใช้หัวเข่าซับน้ำตาตนเอง
วันงานมงคลสมรสของตนกับบุรุษที่แอบรักมาเนิ่นนานแท้ๆ
แต่หม่าเยว่ซินกลับไร้ความสุขและรอยยิ้มอย่างสิ้นเชิง เมื่อการแต่งงานระหว่างนางกับเขาในครั้งนี้
มิได้เกิดขึ้นด้วยความรักอย่างที่วาดฝันเอาไว้
หากแต่เกิดจากความแค้นในหัวใจของผู้เป็นเจ้าบ่าวต่างหาก
‘จ้าวลี่หมิง’ หรือองค์ชายเก้าแห่งราชวงศ์จาง
กำลังนั่งยกเหยือกสุรากรอกใส่ปากตัวเองด้วยท่าทางเศร้าโศก สายตาเจ็บปวดทอดมองเบื้องหน้าอย่างไร้จุดจับ
จู่ๆ กลับสลับไปเป็นเคียดแค้นพร้อมหยดน้ำตาที่รินไหล
ยกสุรากระดกดื่มราวกับเป็นน้ำหวานรสชาติชุ่มคอ ไร้วี่แววความสนใจสตรีซึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ในห้องของตน
เพล้ง!
เมื่อสุราในเหยือกหมดมือใหญ่จึงปามันทิ้งลงพื้น
ก้มลงมองเสื้อนอกชุดเจ้าบ่าวซึ่งตนกำลังสวมใส่ด้วยสายตาขยะแขยง
ลงมือถอดมันออกและปาลงพื้นอย่างไม่ไยดี
คว้าสุราเหยือกใหม่ที่นางกำนัลยกมาวางไว้ให้ขึ้นดื่มอีกครั้ง
องค์ชายจ้าวใช้เวลาอยู่กับสุราและความเศร้าเสียใจร่วมหลายชั่วยาม
จนท้องฟ้ามืดครึ้มก็ยังคงไม่หยุดดื่ม
คิดว่าการเมามายจะทำให้ความเจ็บปวดภายในหัวใจจางหายไปได้
ทว่าความจริงแล้วมันกลับยังคงชัดเจนอยู่เสมอ
ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำจนดูน่ากลัวเพราะผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน
มีหยาดน้ำตารินไหลอยู่เรื่อยๆ ไม่ขาดสาย แต่กลับไร้เสียงสะอื้นไห้ให้ได้ยิน
ร่างสูงหยัดกายลุกขึ้นยืน
เดินซวนเซตรงไปยังห้องของตนที่ตอนนี้ภายในมีหม่าเยว่ซินนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ ตั้งแต่ถูกส่งตัวเข้ามาในห้องจนถึงตอนนี้
นางเองยังคงร้องไห้ไม่ยอมหยุดเช่นกัน
ปัง!
เสียงบานประตูซึ่งถูกเปิดและปิดกระแทกอย่างแรงเรียกดวงหน้าสวยให้เงยจากเข่าขึ้นมองทั้งน้ำตา
จ้าวลี่หมิงเดินถือเหยือกสุราเข้าไปใกล้ หม่าเยว่ซินรู้สึกกลัวจนต้องกระเถิบกายถอยหนีลึกเข้าไปด้านในเตียง
ทว่ามิอาจหลีกหนีอุ้งมือของมัจจุราชที่ประสงค์ร้ายต่อนางได้
“กรี๊ด!!”
ทันทีที่ฝ่ามือแกร่งดั่งเหล็กกล้าคว้าข้อเท้าบอบบางลากเข้าหาตัว
หม่าเยว่ซินจึงแผดเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจกลัวสุดขีด ร่างเล็กสั่นสะท้านจ้องใบหน้าคมคายด้วยแววตาสั่นระริก
ท่าทางหวาดหวั่นดั่งลูกแกะหลงฝูงไม่ได้ทำให้หมาป่ารู้สึกเวทนาสงสาร
เพล้ง!
จ้าวลี่หมิงยกเหยือกสุราขึ้นดื่มอีกครั้งจนหมด
ก่อนโยนไปทางด้านหลังให้ร่วงหล่นลงพื้นจนแตกกระจัดกระจาย
จ้องดวงหน้าสวยของอดีตเพื่อนในวัยเด็กที่แปรเปลี่ยนเป็นลูกสาวศัตรู
และกำลังจะพลันตัวกลายมาเป็นเมีย!
ไม่สิ… ก็แค่นางบำเรอสวาทบนเตียง ของเล่นที่เอาไว้ระบายอารมณ์ สัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงเอาไว้ทรมานบิดาของนางต่างหาก
แววตาเกรี้ยวกราดมุ่งร้ายมองหม่าเยว่ซินไม่วางสายตาขณะปีนเตียงขึ้นไปหา
แสยะยิ้มชั่วร้ายเยือกเย็นมอบให้จนนางขนลุกเกรียวอย่างหวาดหวั่น
จนเผลอเอ่ยคำถามโง่เง่าสิ้นคิดออกมา
“ลี่หมิง… เจ้าจะทำอันใด?”
“ได้เวลาทำหน้าที่เมีย!”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างพร้อมอ้าปากค้างอย่างตกใจ
ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวร่างหนากลับโถมทับกายเข้าหา พยายามกดสตรีใต้อาณัติให้ล้มตัวนอนลงบนเตียง
แต่หม่าเยว่ซินกลับต่อต้านเต็มกำลัง ทั้งตีตบเตะเพื่อหวังจะปกป้องศักดิ์ศรีอันมีค่าที่เหลืออยู่
ยอมตกปากรับคำแต่งงานกับบุรุษที่ลงมือสั่งขังพ่อของนางก็ทำลายเกียรติมากพออยู่แล้ว
หม่าเยว่ซินจะไม่มีวันยอมพลีร่างกายให้เขาได้เชยชมเป็นแน่
คนที่มองนางเป็นเพียงเครื่องมือใช้แก้แค้นไม่มีสิทธิ์ได้สัมผัสร่างกายของนาง
ทว่าเรี่ยวแรงสตรีตัวเล็กๆ
มีหรือจะต่อต้านบุรุษร่างใหญ่กำยำได้ กระเสือกกระสนดิ้นรนได้เพียงไม่นานก็ถูกจ้าวลี่หมิงรวบแขนรวบขาได้ภายในพริบตาเดียว
ข้อมือทั้งสองถูกรวบไว้ด้วยฝ่ามือใหญ่เพียงข้างเดียว
ขณะเรียวขาทั้งสองข้างถูกท่อนขาแข็งแรงหนีบรัดเอาไว้จนกระดุกกระดิกไม่ได้
เหลือเพียงริมฝีปากซึ่งยังคงเป็นอิสระจากการถูกจองจำเท่านั้น
“ปล่อยข้าไปเถอะนะ อย่าทำเยี่ยงนี้กับข้าเลย ได้โปรด…”
หม่าเยว่ซินร้องขอทั้งน้ำตา
นางรู้อยู่เต็มอกว่าอย่างไรเสียคืนนี้คงไม่หลุดพ้นชะตากรรมนี้ได้
แต่ก็ยังภาวนาให้ภายในหัวใจของบุรุษผู้นี้ ยังคงหลงเหลือความเมตตาสงสารแทรกแซมรวมอยู่กับความแค้นที่อัดแน่น
“หึ! แล้วเจ้าคิดว่าตอนที่บิดาเจ้ายกปลายดาบจ่อพระมารดาข้า
นางไม่วอนขอความเมตตาเช่นเจ้าหรือ?”
แต่ขณะนี้คนที่มีความเคียดแค้นเข้าครอบงำอย่างสมบูรณ์
มองข้ามเส้นแบ่งดีชั่วไปอย่างสิ้นเชิง กลับรู้สึกรื่นรมย์ที่ได้เห็นสตรีใต้ร่างแสดงความน่าสมเพชออกมา
ยิ่งนางอ่อนแอหรือทุกข์ทรมานเท่าไหร่ จ้าวลี่หมิงยิ่งรู้สึกอภิรมย์ยิ่งนัก
ใบหน้าหล่อเหลาก้มต่ำลงเรื่อยๆ
หม่าเยว่ซินพยายามเบือนหน้าหลบหนี
เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ล่าซุกไซ้ใบหน้าเข้าข้างซอกคอซึ่งเปิดอ้าแทน
สูดดมเรือนกายหอมกรุ่นพร้อมฝังริมฝีปากดูดดึงขบกัดลำคอขาวแรงๆ
ฝากฝังตีตราความเป็นเจ้าของร่างกายนี้
ย้ำชัดให้นางรับรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของเขาแม้กระทั่งร่างกายของนางเอง
“เจ็บ! อ๊ะ!”
ริมฝีปากอิ่มเปล่งเสียงร้องด้วยความรู้สึกเจ็บ
ทว่ามันกลับมีความเสียวซ่านอย่างแปลกประหลาดปะปนรวมอยู่ด้วย
จ้าวลี่หมิงถอดถอนริมฝีปากออก
เงยใบหน้าขึ้นมองสบดวงตากลมใสที่ยังคงหลงเหลือคราบน้ำตาให้เห็น แสยะยิ้มที่เพิ่มระดับความน่าขนหัวลุกใส่หม่าเยว่ซิน
จนใจดวงเล็กหวาดหวั่นกับประโยคที่เขากำลังจะเอื้อนเอ่ยให้ฟัง
“ต่อจากนี้ต่างหากที่เรียกว่าความเจ็บของจริง!!”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!