NovelToon NovelToon

Paparazzi สืบข่าวป่วนหัวใจ​ (มีEBOOK​ Meb)​

บทที่​ 1 (1)

ผู้คนมากมายต่างพากันมาจับจ่ายใช้สอยสิ่งที่จำเป็นและต้องการ บ้างก็มาทานอาหารกับครอบครัว เพื่อน คนรักหรือแม้กระทั่งกับกิ๊ก!

ต่างพากันเพลิดเพลินโดยบางคนก็ไม่รู้เลยว่ามีคนกำลังแอบจับตามองหรือสะกดรอยตามอยู่

ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังทำตัวลับ ๆ ล่อ เหมือนว่ากำลังดักซุ่มสังเกตการณ์ใครบางคน หากคนทั่วไปมองผ่าน ๆ ก็คงไม่ได้ใส่ใจกับการกระทำและการแต่งกายของเธอมากนัก

แต่หากสังเกตและพิจารณาก็คงแปลกใจไม่น้อย

เธออยู่ในชุดลำลองสบาย ๆ แต่ทะมัดทะแมง รวมผมเป็นหางม้า กางเกงยีนขายาว เสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำด้านและหมวกแก๊ปไว้อำพรางใบหน้า

ในมือถือโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่การันตีกล้องว่าซูมได้ไกลที่สุดในบรรดาแบรนด์อื่น ๆ

เธอกำลังส่องดูบางคนจากกล้องมือถือตัวนี้ ที่เพิ่งถอยล่าสุดเพื่องานนี้โดยเฉพาะ

คงสงสัยว่าเธอทำงานอะไรถือได้ว่างตามส่องชีวิตของคนอื่นแบบนี้

เธอเป็นนักข่าวแต่เป็นนักข่าวกีฬา!

ย้อนไปสองอาทิตย์ก่อน

ฉันกำลังเลื่อนเม้าท์ไล่ดูหน้าเฟซบุ๊กเรื่อยเปื่อยด้วยความเบื่อหน่ายจนไปสะดุดกับโพสต์หนึ่งที่เพื่อนแชร์มาจนต้องไล่ย้อนขึ้นไปดู นั่นคือข่าวซุบซิบดารา

‘นางเอกดังหน้าตาใสซื่อ แต่!! ตัวจริงร้ายยิ่งกว่านางร้ายในละคร ล่าสุดมีข่าวเม้าท์มาว่านางเกรี้ยวกราด เหวี่ยงทุกคนในกอง ผู้กำกับหรือนักแสดงรุ่นใหญ่ต่างก็รู้กิติศักดิ์นางดีว่าเป็นอย่างไร คนมันดังแฟนคลับแน่นอะเนาะเลยมีงานเข้าเรื่อย ๆ เดี๊ยนก็ไม่รู้ว่านางจะดับเมื่อไหร่เหมือนกันนะงานนี้ คงต้องตามดูกันต่อไปจ้าาา’

“ข้าวทำไรอยู่ ทำไมดูตั้งอ่านจังเลย อ่านไร” เสียงของกนกเพื่อนร่วมงานดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

“ข่าวดาราอ่ะ ว่าแต่แกรู้ปะว่าเป็นใคร”

ฉันใช้ขาดันเก้าอี้ล้อเลื่อนที่นั่งอยู่ออกนิดหน่อยให้ไม่บังหน้าจอและข้อความข่าวที่กำลังอ่านอยู่

กนกเป็นเพื่อนนักข่าวร่วมสถาบัน เธอเป็นนักข่าวสายบันเทิง และฉันรู้ว่าเธอกำลังตามงานนี้อยู่

“อ่อข่าวนี้เองเหรอ แกอยากรู้จริง ๆ เหรอ”

“อยาก อยากมาก!”

ต่อมเผือกฉันทำงานเมื่อเห็นหัวข้อข่าว ความจริงฉันก็ไม่ได้อยากรู้อะไรขนาดนั้น เพียงแต่ว่าฉันมีเพื่อนสนิทเป็นดารา เป็นถึงนางเองดังเชียวนะ ก็เลยกลัวว่าข่าวนี่จะเป็นของเพื่อนฉันต่างหากล่ะ

“ก็มีเล็ง ๆ ไว้สองสามคน แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นคนไหนกันแน่ ข้าวแกสนใจสืบปะ”

“สน!” ฉันตอบแบบไม่ต้องคิดเลย ขอบอกก่อนเลยนะว่าไม่ค่อยอยากจะเผือกเท่าไหร่ แต่กลัวคนในข่าวเป็นเพื่อน จะได้เตือนได้ทัน

“แต่ฉันไปแย่งงานแกมันจะดีเหรอ”

“ดี พี่อนุญาต”

“พี่เอกวุฒิ”

ผู้ชายขาวตี๋ร่างท้วมดูสะอาดสะอ้าน พี่เอกวุฒิหัวหน้าที่คอยจัดสรรหน้าที่ต่าง ๆ ให้คนในบริษัทนั่นเอง

“เดี๋ยวตบปากแตก บอกให้เรียกเอก…”

“เอกชัย”

ฉันพูดขึ้นก่อนที่พี่เอกวุฒิจะพูดชื่อที่ตัวเองตั้งขึ้นใหม่

“ไม่ตบปากแล้ว แต่ไล่แกออกแทนดีไหม” พี่เอกวุฒิลดมือที่ง้างขึ้นเตรียมฟาดลง

“ไม่ดีค่ะ ถ้าออกแล้วข้าวจะมีกินเหรอคะ อีกอย่างถึงพี่จะไล่ข้าวข้าวก็ไม่ออก” ฉันส่งยิ้มยียวนกวนบาทา

โชคดีที่ฉันมีเจ้านายเป็นกันเอง ไม่งั้นฉันคงโดนไล่ออกตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานแล้ว

“พี่เอกกี้หวัดดีค่ะ” กนกทักพี่เอกวุฒิด้วยชื่อที่คนฟังรู้สึกพึงพอใจ

“หวัดดีจ้ะน้องหนกพนักงานดีเด่นของพี่.. ไม่เหมือนยัยที่อยู่ตรงหน้าฉัน” พี่เอกวุฒิหันหน้ามาทำหน้ายักษ์แยกเขี้ยวใส่

ส่วนฉันก็ยิ้มหวานตอบ

“ไม่ต้องมายิ้ม เมื่อไหร่แกจะเรียกฉันให้เสนาะหูสักทีฮะใบข้าว”

ฉันว่าคงไม่มีวันนั้น ก็คนมันชินเรียกแบบนี้ไปแล้วนี่ ตั้งแต่ทำงานที่นี่มาฉันไม่เคยเรียกพี่เอกวุฒิว่าเอกกี้สักครั้งเดียว ครั้งเดียวก็ไม่มี

“พี่เอกวุฒิก็… ข้าวว่าพี่น่าจะชินได้แล้วน่า”

“แล้วที่พี่บอกว่า ‘ดี’ เมื่อกี้มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ” ฉันรีบถามต่อ หากไม่รีบแทรกคงได้เถียงกันเรื่องชื่อยาวแน่

“พี่อยากให้เราช่วยน้องหนกของพี่ตามสืบตามเผือกข่าวซุบซิบหน่อยน่ะ”

“เอ้าแล้วงานของข้าวล่ะคะ ข้าวต้องไปคอยติดเกาะขอบสนามแข่งอีกตั้งหลายที่”

“คนของเราไม่พอน่ะสิ เรื่องพวกนี้มันมีมาไม่เว้นแต่ละวันเลย แถมมีแต่เรื่องน่าเผือกทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ”

ใช่ มันมีแต่เรื่องคนโน้นคนนี้มาไม่เว้นแต่ละวัน แถมยังเป็นข่าวที่คนทั่วไปให้ความสนใจอย่างล้นหลามซะด้วย

“แต่ข้าวไม่ถนัด…” ฉันทันได้พูดจบพี่เอกวุฒิก็ตีหน้าเศร้าแล้วพูดต่อ

“บริษัทของเราคงต้องปิดลงในเร็ววัน บริษัทเล็ก ๆ จะไปสู้บริษัทใหญ่โตเหมือนสำนักอื่นได้ยังไง พนักงานของเราก็มีน้อย ทำข่าวได้ไม่ทั่วถึง ข่าวที่คนสนใจกันก็มีแต่ข่าวคนดังเนี่ยแหละ ถ้าข้าวไม่ช่วยพี่อีกแรง มีหวังพนักงานทุกคนของพี่คงต้องตกงาน เฮ้องานสมัยนี้ก็หาลำบากซะด้วย ไหนจะป้าแม่บ้าน แกแก่แล้วไปที่ไหนใครเขาจะจ้าง พี่ล่ะเป็นห่วงจริง ๆ ไหนจะยามหน้าบริษัทแล้วไหนจะ….”

“พอก่อนพี่เอกวุฒิ” ฉันรีบยกมือห้ามก่อนที่พี่แกจะอ้างเอาทุกแผนกมาพูด “ร่ายยาวยิ่งกว่าละครหลังข่าวอีก สรุปข้าวต้องทำ นี่บังคับทางอ้อมชัด ๆ”

บอกว่านี่คือคำสังตั้งแต่แรกก็จบ เล่นดึงดราม่าซะยาวเหยียดเชียว

“เออ! ก็รู้อยู่แล้วจะปฏิเสธให้เสียเวลาทำไม” พี่เอกวุฒิสลัดสีหน้าเมื่อครู่ทิ้งทันที

มงต้องลง รางวัลโนเบลต้องได้แล้วแหละ

“ให้ข้าวควบสองงาน มีอะไรให้ข้าวเปล่าพี่” ฉันหรี่ตามองพี่เอกวุฒิพลางถูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าด้วยกัน

เงินน่ะเงิน มันต้องมีโอทีกันบ้าง

“เดี๋ยวสิ้นปีพี่จัดให้เลย โอปะ”

“โอ! เดี๋ยวข้าวรีบหาข้อมูลแล้วจัดการสืบเลย” ฉันรีบขยับตัวเข้าไปยังหน้าคอมก่อนจะลงมือหาข้อมูลเตรียมไว้

และทั้งหมดที่กล่าวมา ฉันจึงต้องมาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ในที่สาธารณะแบบนี้

บทที่​ 1 (2)

แต่ที่กำลังตามสืบอยู่เนี่ยไม่ใช่เรื่องของนางเองสาวนะ พอดีเรื่องนั้นมันยังไม่มีจังหวะ

แต่เนี่ยข่าวใหม่ เขาว่ากันว่าดาราหนุ่มใหญ่ที่กำลังถูกฉันจับตามองอยู่เนี่ย ชอบลวนลามพนักงานเด็กสาววัยกรุบกริบที่อ่อนต่อโลก จะได้ไม่กล้าหือ

แต่ฉันสงสัยอยู่อย่างว่าทำไมถึงไม่มีข่าวประจานหลุดออกมาเลยสักราย เหยื่อของนายคนนี้ไม่ออกมาแฉบ้างเหรอ มันต้องมีสักคนแหละที่กล้า แต่นี่กลับไม่มีเลยสักคนเดียว

อุ้ย เป้าหมายเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นแล้ว

เมื่อเขาคนนั้นกำลังจะเดินเข้าไปยังที่นั่ง แขนของเขาก็เข้าไปเฉียดหน้าอกน้องพนักงาน จนเด็กเสิร์ฟสะดุ้งและถอยเท้าออกห่างเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าที่ของตัวเองต่อ

โอโห้เล่นแบบนี้จะจะตากลางร้านเลยเหรอเนี่ย ว่าแล้วฉันก็ตั้งกล้องเล็งโฟกัสทันที นิ้วโป้งเตรียมพร้อมไว้ที่ปุ่มกดถ่าย ฉันว่าต้องไม่ได้มีครั้งเดียว จะได้เตรียมรัวหลาย ๆ ช็อต เก็บสะสมเป็นหลักฐานพอมีเยอะ ๆ ก็จะได้ดิ้นไม่หลุด

ฉันยืนรอให้เหตุการณ์มันเกิดขึ้นอีกรอบ แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จนกระทั่งเขาเช็กบิล

ดาราหนุ่มคนนั้นก้มตัวเก็บกระเป๋าตังที่แกล้งเขี่ยลงพื้นเมื่อครู่ และมือค่อยหยิบ…กระจกขึ้นมาส่อง!?

ฉันหรี่ตามองหน้าจอมือถือก่อนเอามันออกและใช้สายตามองไปข้างหน้าแทน

โธ่! มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังขัดขวางการทำงานของฉัน ขยับออกไปนิดสิ ฉันเปลี่ยนตำแหน่งส่องไม่ได้เสียด้วย เดี๋ยวเป้าหมายจะรู้ตัว ตรงจุดที่ฉันยืนมันเป็นมุมอับและมองได้กว้างซะด้วย

โอ๊ย ยัยผู้หญิงชุดจั้มสูทมายืนส่องกระจกอะไรตรงนี้

ไม่นานเธอก็เดินออกจากรัศมีกล้องไป แต่เขาคนนั้นหายไปแล้ว หายไปไหนวะ

ฉันรีบสาวเท้าตรงไปยังบริเวณร้าน กวาดตามองพลางแกล้งยกโทรศัพท์มือถือขึ้นแนบหูเหมือนกับว่ากำลังโทรตามเพื่อน

โคร่ม!

ฉันรีบหันไปตามเสียงที่มาจากด้านข้างของลำตัว ก็เห็นกระเป๋าตกอยู่ที่พื้น ข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นพร้อมกับเจ้าของกระเป๋านั่งจับกบอยู่ข้างของของตัวเอง

เจ้าของกระเป๋าไม่ใช่ใครที่ไหน ยัยชุดจั้มสูทเมื่อกี้นั่นเอง

ฉันมองเธอก่อนที่หางตาจะพลันเหลือบไปเห็นเป้าหมายที่ฉันกำลังตามอยู่ แต่คนดีอย่างฉันคงต้องช่วยผู้หญิงคนนี้ก่อน

“เป็นไรไหมคะ ฉันช่วย” ฉันยืนมือให้เธอแต่ทว่ากลับถูกปัดออก เธอปฏิเสธความหวังดีของฉันซะงั้น

“สกปรก! ชนฉันแล้วไม่ขอโทษอีกเหรอ นิสัยไม่ดีเลยคนสมัยนี้” เธอรีบดันตัวเองลุกขึ้นก่อนที่จะอายคนอื่นไปมากกว่านี้

“โอ๊ย ว๊ายยยย” เธอร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อเท้าสัมผัสกับพื้นจากนั้นร่างเธอก็เอนไปทางข้างหน้า ฉันรีบคว้าเอวเธอไว้ก่อนที่เธอจะล้มลงอีกครั้ง

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ” ฉันถามซ้ำอีกรอบก่อนบอกถึงความบริสุทธิ์ของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง “เอ่อแต่ว่าฉันไม่ได้เป็นคนชนนะคะ คุณเข้าใจผิดแล้ว”

เธอล้มเองแล้วมากล่าวหาฉันว่าเป็นคนชน

“อี๋สกปรก ปล่อยนะปล่อย”

“คะ?”

เป็นอะไรของเขา ว่าแต่ทำไมฉันรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นเสียงผู้หญิงคนนี้จัง

“มือเธอน่ะสกปรก ปล่อย!”

ปล่อยก็ปล่อย ว่าแล้วฉันก็ทำตามที่เธอบอกโดยการปล่อยมือที่กำลังพยุงเธอออก

โคร่ม! “โอ๊ยใครบอกให้ปล่อย”

เสียงตวาดแว๊ดดังขึ้นทะลุแก้วหูของฉัน

ตกลงจะให้ปล่อยหรือไม่ให้ปล่อย

“ก็คุณเป็นคนบอกฉันเอง” ฉันตอบออกไปพลางก้มมองเธอที่ล้มคะมำอยู่ตรงหน้า

“ก็ไม่ใช่ปล่อยแบบนี้ไหม!” เธอนิ่วหน้าจ้องฉันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

สรุปฉันเป็นคนผิดเหรอเนี่ย

“ฉันว่าคุณลุกขึ้นก่อนเถอะ คนมองทั้งห้างแล้ว”

ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาเริ่มหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้น บางคนก็ซุบซิบกันก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป

เธอยื่นมือมาตรงหน้าฉัน

“ดึงขึ้นสิ ยืนมองอะไรอยู่เล่า ช่วยฉันหน่อย เธอเป็นคนผิดนะ”

ฉันถอนหายใจก่อนพยุงเธอไปนั่งม้านั่งทรงกลมที่ตั้งอยู่กลางทางเดิน

“โอ๊ย”

เธอโอดโอยเดินกะเผลก

“คุณนั่งพักตรงนี้ก่อนแล้วกันค่ะ เดี๋ยวฉันไปเก็บของคุณให้”

จากนั้นฉันจึงก้มเก็บของของเธอที่กระจัดกระจายไปทั่วก่อนจะนำมันมาให้เธอ

เธอคว้าไปจากมือฉันก่อนจะคุ้ยบางอย่าง

“งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”

เฮ้อ สุดท้ายวันนี้ฉันก็ไม่ได้อะไรนอกจากมีเรื่องกับผู้หญิงคนนี้

“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป”

เธอคว้ามือฉันไว้ ฉันจึงจำเป็นต้องหันกลับไป

“มีอะไรรึเปล่าคะ”

“อย่าเพิ่งไปจนกว่าฉันจะเช็กจนแน่ใจแล้วว่าเธอไม่ได้ขโมยของฉันไป” ว่าจบเธอก็คุ้ยกระเป๋าของเธอต่อ โดยที่อีกมือยังคงจับฉันไว้

สงสัยกลัวฉันจะหนี

“ฉันอุตส่าห์ช่วยคุณนะ แล้วจะมากล่าวหากันแบบนี้ได้ยังไง”

“ช่วยเหรอ? แกล้งชนแล้วทำมาเป็นช่วยเหลือเพื่อปล้นฉันมากกว่า เป็นแก๊งตกทองหรือเปล่าก็ไม่รู้”

เอาเข้าไป! ฉันกลายเป็นโจรตกทองไปซะแล้ว

ช่างเถอะยังไงวันนี้งานก็ล่มไปแล้ว จะเสียเวลาตรงนี้อีกหน่อยก็คงไม่เป็นไร

ฉันยืนสักพักเมื่อเห็นว่ามันเริ่มนาน จึงเปลี่ยนเป็นนั่งลงข้าง ๆ เธอ

เธอหันหน้ามองฉันพลางขยับตัวออกห่าง แต่ก็ยังคงจับมือฉันไว้แน่น

“คุณไม่ต้องระแวงฉันหรอก แค่เมื่อยเลยนั่งน่ะ แล้วมือน่ะเลิกจับได้แล้ว หาของมือเดียวมันจะเสร็จตอนไหน”

“ถ้าเธอหนีล่ะ”

“ไม่หนีหรอก จะเอาเบอร์โทร เลขที่บ้านไว้เลยมะ” ฉันประชดออกไป

“เอา!”

ฉันนั่งอ้าปากมองเธอ ฉันแค่ประชดเล่นไม่นึกว่าเธอจะจริงจังขนาดนี้

“ไหนบอกจะให้ เอามาสิ เร็ว” เธอกระดิกนิ้ว

“เอาจริงเหรอ”

“จริง เอามาสิ ลีลาอยู่นั่น หรือเป็นโจรจริง ๆ เป็นโจรจริงใช่ไหม” เธอเบิกตาก่อนจะอ้าปากทำท่าเหมือนจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ

“เอามือถือคุณมา เดี๋ยวเมมให้” ฉันรีบพูดตัดก่อนที่เธอจะร้องออกไป ดูท่าแล้วน่าจะร้องออกไปจริง ๆ

เธอยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้ฉัน เมื่อเมมเบอร์ตัวเองเสร็จจึงส่งคืน

“ใบข้าวผู้ปิดทองหลังพระ?” เธออ่านชื่อที่ฉันเมมให้

“ช่างกล้า มันต้องแบบนี้” จากนั้นเธอก็ลบและพิมพ์บางอย่างแทน แต่เมื่อฉันจะชะโงกดูเธอก็ซ่อนมันไม่ให้ฉันอ่านเห็น

“แล้วคุณชื่ออะไรคะ”

ฉันถามเธอ ในเมื่อเธอรู้ชื่อของฉันแล้ว ฉันก็ควรจะรู้ชื่อของเธอเหมือนกัน

เมื่อฉันถามออกไป เธอทำหน้าเหวอใส่

“ไม่รู้จักฉันจริง ๆ เหรอ”

“ไม่ค่ะ”

“ไปอยู่หลุมไหนมาฮะ ที่บ้านไม่รู้จักทีวีเหรอ แต่สมัยนี่เน็ตก็เข้าถึงทุกพื้นที่แล้วนะ ให้ตายสิ! ไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าฉันเป็นใคร”

“เอ้า คุณยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร แล้วทำไมฉันต้องรู้”

“โอ๊ย บ้านเธออยู่หลังเขาแน่ ๆ”

“แล้วสรุปของหายไหมคะ” ฉันตัดบท ตอนนี้อยากกลับบ้านไปนอนเต็มทีแล้ว

“ไม่มียังหาของที่เธอขโมยไปไม่มี ถ้ามีเมื่อไหร่โทรจิกแน่นอน ไม่ต้องห่วง”

“งั้นมือค่ะ” ฉันชี้ไปที่มือของตัวเอง

“ก็ไม่ได้อยากจับหรอก แค่มันจำเป็น” เธอรีบปล่อยออกแล้วก็หยิบบางอย่างขึ้นมาบีบใส่จนเกือบล้นมือ

“เจลล้างมือ? ทำไมใช้เยอะอย่างนั้นล่ะคะ”

“ฆ่าเชื้อสิ จับเชื้อโรคมาก็ต้องทำให้มันสะอาด”

เอ๊ะ! นี่หลอกด่าฉันหนิ

“งั้นขอตัวก่อนนะคะ”

เธอเหลือบมองฉันพลางยกไหล่และยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาบางคน

ทีแรกฉันก็กะว่าจะนั่งเป็นเพื่อนเธออยู่หรอก เห็นว่าเจ็บขา แต่ทำกันถึงขนาดนี้ คงไม่เป็นอะไรง่าย ๆ

บทที่​ 2 (1)

“ไหน เมื่อวานได้อะไรมาบ้าง” กนกแวะมาหาฉันในออฟฟิศชั้นสายข่าวกีฬา

“เอานิ้วมา” เธอหยิบมือถือของฉันขึ้นมาพร้อมยกนิ้วโป้งของฉันมาแปะลงที่หน้าจอ

เมื่อโทรศัพท์มือถือถูกปลดล็อกแล้วเธอก็เข้าไปในคลังภาพ

“ตอนที่เธอบอกฉันว่าพี่มานัทสุดหล่อของฉันดันเป็นคนแบบนั้นไปได้ นี่ตอนที่เธอบอกแทบไม่อยากจะเชื่อเลย จนได้ไปเห็นกับตาตัวเอง”

“เป็นไงบ้าง พอใช้ได้ไหม แต่เมื่อวานเกิดเรื่องนิดหน่อยเลยได้มาเท่านี้” ฉันบอกอย่างเซ็ง ๆ

“อื้ม น้อยไป รูปแค่นี้ยังประจานไม่ได้” กนกเลื่อนภาพไปเรื่อย ๆ จนไปเจอภาพหนึ่งคั่น “ถ่ายใครส่องกระจกมาวะนั่น”

เนื่องจากในภาพเป็นภาพที่ซูมระยะไกลแล้วผู้หญิงคนนั้นดันอยู่ในระยะที่ใกล้กว่าจึงมองไม่ชัดว่าหน้าตาเป็นอย่างไร

“เออคนนี้แหละแกตัวขวางงาน พูดถึงแล้วก็หงุดหงิด” ฉันคว้าโทรศัพท์มือถือกลับคืนก่อนวางไว้บนโต๊ะตามเดิม

“แล้วเมื่อวานมีไรอะไรถึงได้เป็นถึงขนาดนี้ ท่าจะหนักน่าดู” กนกสงสัยเพราะปรกติฉันไม่ค่อยอารมณ์เสียใส่ใครเท่าไหร่ ออกจะเป็นคนเฮฮาปาจิโกะ

“เรื่องมันยาว ยาวมากกกก เล่าสามวันอารมณ์ยังค้าง”

“งั้นไม่อยากรู้ก็ได้ ไม่อยากให้แกอารมณ์เสียแต่เช้า กลัวจะพาลไปกวนตีนใส่คนอื่น”

“รู้ดีไปอีก”

หลังจบบทสนทนากับกนก ฉันก็พนมมือขึ้นเหนือหัว

“… สาธุ”

“ทำไรของแกอีกไอ้ข้าว” กนกสงสัยกับท่าทางของฉัน

“พอพูดถึงเรื่องเมื่อวานก็อดนึกถึงผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ ก็เลยขอพรอย่าให้ได้เจอกันอีกเลยชาตินี้ พูดแล้วขนลุก ดูสิดู” ฉันชี้นิ้วไปที่แขนของตัวเอง ตอนนี้มันกำลังขึ้นเป็นตุ่มหนังไก่ทั่วร่างกาย

“โห ฉันว่าแกไปขี้ไปไอ้ข้าว”

“ไม่ได้ปวดเว้ย! ไปดีกว่า” ฉันลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเป้

“เอ้าไปไหน”

“ทำงาน ไปสนามก่อน”

หลังจากนั้นฉันก็มุ่งหน้าไปสนามกีฬาวอลเลย์บอล เพื่อไปเก็บภาพการแข่งขัน

ก่อนเข้าไปในตัวอาคารสนามฉันดันเหลือบไปเห็นหลังไวไวของผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปยังอาคารข้าง ๆ แค่ฉันเห็นแว๊บเดียวก็รู้ทันทีเลยว่าเป็นพี่มานัทสุดหล่อนิสัยเลวของฉัน

ว่าแล้วฉันจึงเปลี่ยนทิศทางการเดินทันทีพร้อมกับเตรียมโทรศัพท์มือถือขึ้นมาไว้ในมือ

“ข้าวจะไปไหนนั่น ทางเข้าอยู่ทางนี้” พี่ชัยวัตน์ที่มาทำข่าวกับฉันถามขึ้น

“แฮะ พี่ก็รู้ใช่ปะว่าข้าวได้รับมอบหมายสองงานอะ พอดีข้าวเจอเป้าหมายพอดี ข้าวฝากพี่ด้วยนะ” ฉันยิ้มแห้ง

“เออ! ถ้าวันนั้นพี่ไม่ได้ยินพี่เอกกี้พูดไว้นะ พี่คงคิดว่าเราจะโดดงานชัวร์”

“ข้าวไม่ใช่คนแบบนั้นซะหน่อย พี่รีบเข้าไปเถอะ คนอื่นเข้าไปกันหมดแล้ว” ฉันกวักมือไล่พี่ชัยวัตน์ให้เข้าไปข้างในสนามก่อนที่ตัวฉันเองจะเข้าไปในอาคารข้าง ๆ แทน

ฉันยืนอยู่หน้าทางเข้าสักพักก็มีกลุ่มนักข่าวกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในตัวงาน ฉันเลยตีเนียนไปกับเขาซะเลย

“ขอดูบัตรด้วยค่ะ” พนักงานที่คอยต้อนรับแขกและตรวจสอบความเรียบร้อยยกแขนขวางฉัน

“นี่ค่ะ” ฉันยื่นบัตรสื่อให้เธอดู ในใจก็ลุ้นกลัวว่าทางงานจะมีบัตรพิเศษแยกต่างหาก

เธอหยิบป้ายที่คล้องคอฉันขึ้นมาดูและยิ้มแย้มให้การต้อนรับ

“เชิญค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ”

ฟู่! นึกว่าจะโดนจับโยนออกนอกงานซะแล้ว จากนั้นฉันจึงยกป้ายห้อยคอขึ้นมาจุ๊บหนึ่งที

เมื่อเดินเข้าไปแล้วเหมือนกับอยู่คนละโลกจากเมื่อกี้ ข้างในค่อนข้างครึกครื้นผิดจากข้างนอกโดยชิ้นเชิง ดูเหมือนว่าจะเป็นงานโปรโมทละครหรืออะไรสักอย่าง ในงานมีดารานักแสดงเพียบ

และที่สำคัญมีอาหาร ขนม น้ำให้ทานให้ดื่มฟรีด้วย เย็นนี้ประหยัดค่าข้าวไปหนึ่งมื้อ รู้งี้น่าจะเอากล่องพลาสติกมาด้วย

ฉันรีบเลิกสนใจของกินที่ล่อตาล่อใจ และกวาดตามองไปรอบงานเพื่อหาพี่มานัท

นั่นไง ฉันเห็นเขาแล้ว ดูเหมือนว่าจะเข้าไปในห้องแต่งตัว

ฉันเม้มปากคิดสักพัก ว่าจะหาวิธีไหนเพื่อที่จะเข้าไปในนั้นได้

ตอนนี้ฉันเดินวนเวียนอยู่หน้าประตูทางเข้า พลางชำเลืองมองข้างใน

ก่อนจะมีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาเพราะเห็นสิ่งผิดสังเกต.. ฉันเองคือสิ่งผิดสังเกต เขาคงเห็นฉันมาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่นาน

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

“เอ่อคือฉัน… ฉัน…ฉันมา….”

มาทำอะไรดี จะเอาอะไรมาอ้างดี ถ้าบอกว่าเป็นแฟนคลับพี่มานัทคงถูกต้อนให้ไปรอหน้างานแน่ ๆ

ในขณะที่เม็ดเหงื่อของฉันกำลังผุดขึ้นที่ใบหน้าก็มีเสียงเรียกช่วยชีวิต

“ข้าว? ใบข้าวใช่ไหม” เสียงนี้เรียกด้วยความไม่มั่นใจว่าใช่คนที่เธอรู้จักหรือเปล่าหรือแค่ท่าทางเหมือนเท่านั้น

“คุณยิหวา มางานนี้ด้วยเหรอ” ยิหวาเพื่อนสนิทของฉันเอง ที่เคยบอกว่าฉันมีเพื่อนสนิทเป็นดาราดัง

แต่ความจริงแล้วเธอเป็นแฟนของเพื่อนสนิทฉันอีกทีหนึ่ง ฉันเลยสมอ้างตีสนิทเป็นเพื่อนคนดังซะเลย

“ที่แท้ก็รู้จักกับน้องยิหวานี่เอง งั้นตามสบายนะครับ เอ่อแล้วเดี๋ยวสักพักมาเติมหน้าหน่อยแล้วกันครับ” ว่าจบพี่ผู้ชายน่าจะเป็นช่างแต่งหน้าของงานก็เข้าไปข้างในตามเดิม

“ฉันต้องถามเธอมากกว่าว่าทำไมถึงมางานนี้”

“ก็ฉันเป็นนักข่าวไง”

“แต่ที่รู้มา กองฟางบอกว่าเธอทำสายกีฬา!” ยิหวาหรี่ตาจ้องหาความจริง

“ฉันรับจ๊อบสองงานน่ะค่ะ ว่าแต่ฉันขอเข้าไปข้างในนี่กับคุณจะได้ไหม”

ไหนไหนฉันก็เจอคนรู้ที่พอจะพาเข้าไปได้แล้ว ก็เลยลองตีมึนถามไปเพื่อโชคดี

“ได้ เพื่อนฟางก็เหมือนเพื่อนฉัน ข้างในมันมีห้องรับแขกเล็ก ๆ อีกห้อง เข้าไปนั่งรอ กินของว่างไปพลาง ๆ ก่อนได้”

“งั้นโอเคเลย ถ้าคุณแต่งหน้าเสร็จแล้วมาเรียกฉันให้ออกไปพร้อมด้วยนะคะ ไม่อยากออกไปคนเดียวเด๋อ ๆ”

ยิหวาพยักหน้ารับ ก่อนจะนำฉันไปยังห้องรับแขก

“ว่าแต่ฟางไม่มาด้วยเหรอคะ”

“ฟางเพิ่งกลับบ้านไปน่ะ อีกสักอาทิตย์คงกลับมา ฉันไปแต่งหน้าก่อนนะ” เธอยิ้มให้ก่อนไปนั่งลงหน้ากระจก

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!