โอ้ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส มองไม่เห็นเรือใบล่องอยู่ในท้องทะเล
เสียงคลื่นซัดดังกระทบฝั่งตลอดเวลา หมู่ปลาแหวกว่ายตามน้ำ บ้างก็ทวนน้ำเล่น บางชนิดก็รวมอยู่กันเป็นกลุ่ม บางชนิดก็ฉายเดี่ยว
สายลมอ่อน ๆ โบกพัดต้นไม้บริเวณริมหาดลู่ลมลงแทบจะติดพื้นทรายละเอียดสีขาวนวล
ผืนทรายที่นวลขาวมีสัตว์หลากชนิดอยู่ริมฝั่งอาทิแม่ปูสีส้มตัวโตเดินเอียงนำลูกปูลงรูหลังจากเดินสวนสนาม และยังมีสัตว์อีกชนิดกำลังนอนหงายหน้าให้แสงแดดยามบ่ายสาดส่องเผา มันนอนแน่นิ่งได้สักครู่ใหญ่ก็สำลักน้ำออกมา
“แค่ก ๆ” เสียงไอพร้อมกับน้ำที่ค้างคาสะสมอยู่ในท้องพรั่งพรูทะลักล้นออกมา
ร่างบางพลิกตัวนอนคว่ำหลังเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณ ใบหน้าและเมื่อฝ่ามือแตะพื้นทรายเสียงร้องอย่างเจ็บปวดและสะบัดมือข้างที่เจ็บทันทีตามสัญชาตญาณมนุษย์
ฉันลืมตามองมือตนเองด้วยภาพที่พร่ามัว ปูตัวโตใช้ก้ามของมันงับห้อยตัวอยู่ที่นิ้วชี้ข้างขวาจากนั้นจึงสะบัดด้วยความโมโหจนเจ้าปูตัวนั้นร่วงลงสู่น้ำทะเล
ค่อย ๆ ใช้แรงทั้งหมดที่มีพยุงตัวนั่งและประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตัวเอง
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมายังสนุกสนานอยู่บนเรือสำราญเบิกบานใจกับเพื่อน แล้วจู่ ๆ บางอย่างก็ชนกระแทกเรือ? หรือเรือแล่นชนกระแทกสิ่งนั้น? แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ ตรงนี้แถมยังคนเดียว ไม่มีอะไรข้าวของติดตัวมาเลยนอกจากนาฬิกามือที่ล็อกแน่นอยู่ในข้อมือและเสื้อชูชีพที่ล็อกแน่นอยู่กับตัวตลอดเวลา
พยายามมองไปรอบเกาะก็พบว่าที่นี่ไม่มีอะไรเลยเช่นกันไม่ว่าจะสิ่งปลูกสร้างหรือผู้คน มองไปทางไหนก็ป่า ก็น้ำ
“ที่นี่ที่ไหน” ฉันพึมพำกับตัวเอง ยกมือขึ้นบังแดดหรี่ตามองวัตถุสีดำบางอย่างกำลังถูกน้ำทะเลซัดอยู่ริมฝั่ง รีบวิ่งตรงเข้าไปและหยิบมันขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด
“นึกว่าหายซะแล้ว” ใช้มือตบปัดเศษดินทรายที่เลอะเปรอะเปื้อนกระเป๋าเป้สะพายหลังใบเล็ก หันมองหาพื้นที่ร่มสำหรับนั่งพักหลังจากนั้นจึงพยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
******
“ธาร ธารรักรีบขึ้นเรือได้แล้ว มัวแต่โอ้เอ้อยู่นั่น!” ลูกบัวตะโกนเรียกเพื่อนสาวที่กำลังใจจดจ่อกับขนมขบเคี้ยวในร้านสะดวกซื้ออยู่นานสองนาน “รอเพื่อนหนูสักครู่นะคะ เห็นผอม ๆ แบบนั้นแต่กินจุมาก” เธอหันไปฟ้องคนขับเรือข้ามฟาก
“แป๊บหนึ่ง เสร็จแล้ว” ฉันรีบควักเงินจ่ายค่าสินค้าและยัดทุกสิ่งลงในเป้ใบโปรด รูดซิปปิดโยนขึ้นหลังวิ่งตรงไปยังลูกบัวเพื่อนร่วมทริปล่องเรือดำน้ำดูปากการังและอีกหลายกิจกรรม
“ทำอย่างกับบนเกาะจะไม่มีของกินอย่างนั้นแหละ เอากระเป๋าแกไป” เธอดันกระเป๋าสัมภาระทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดสิบสี่นิ้วคืนไปยังเจ้าของ
“นิดหน่อยทำเป็นบ่น” ฉันรับมันมาไว้ในมือเดินตรงขึ้นเรือเรือสปีดโบ๊ทเพื่อข้ามไปยังเกาะที่ได้ทำการจองแพ็กเกจท่องเที่ยวไว้ล่วงหน้านานนับเดือน ความจริงแล้วทริปนี้ไม่ได้มีแค่ฉันกับลูกบัวแต่ยังมีเพื่อนร่วมทริปอีกสองคนที่เทกระจาดทำทริปเกือบล่มไม่เป็นท่าและที่ได้มากันสองคนก็เพราะว่าฉันจะไม่มีทางโยนเงินทิ้งไปฟรี ๆ น่ะสิ
“ถ่ายรูปลงสตอรี่กัน” ฉันยื่นมือถือให้กับลูกบัวและขยับตัวพิงลำตัวเรือ ใช้สองมือจับราวเหล็กให้มั่นคงและยิ้มสู้กล้อง แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงชัตเตอร์ดังติดต่อกันไม่พัก
“เสร็จแล้ว” เธอยื่นมือถือคืนเจ้าของ
“ไหน ผอมหรือเปล่า?” เมื่อรับมาก็ไม่รอช้ากดเข้าแกลลอรี่
“ผอมกว่านี้ก็ไม่เสียบผีแล้ว” เธอมองเพื่อนตัวกะทัดรัดอย่างกับหมากระเป๋า
“ร้อยภาพ!! ตั้งใจถ่ายหน่อยสิไอ้บัว!” ฉันถอนหายใจอย่างหน่ายใจ
“อย่าเวอร์ไปหน่อยเลย สิบกว่าภาพเองเถอะ!” เธอกลอกตาขึ้นข้างบน เบ้ปากและเมินหน้าหนี
ฉันไม่สนใจตอบโต้ ตั้งใจก้มหน้าเลือกภาพที่แทบจะไม่ต่างกันเลยสักมุม เมื่อได้ภาพที่ถูกใจแล้วก็กดอัปโหลดขึ้นไปยังแพลตฟอร์มเพื่อโอ้อวดบรรยากาศสุดชิลในวันหยุดสุดสัปดาห์
“อัปเดตไม่สำเร็จทั้งที่คลื่นก็มี” จบประโยคฉันเหลือบมองอาการของเพื่อนสุดซื่อเล็กน้อย เป็นไปตามคาด เธอตกหลุมพราง
“คลื่น? แถวนี้มีเสาสัญญาณด้วยเหรอ?” ลูกบัวสะดุดกับคำพูดของเพื่อนที่กำลังชูไม้ชูมือเหนือฟ้าเพื่อรับสัญญาณโทรศัพท์
ฉันเห็นท่าทางของเพื่อนก็หลุดหัวเราะร่วนอย่างอดไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าจะซื่อขนาดนี้
“ขำอะไรของแก?” เธอย่นหน้าขมวดคิ้ว
“มีสัญญาณก็บ้าแล้ว!”
“อ้าว ก็แกบอกมีคลื่น” ใบหน้าและแววตาฉายแววฉงนสงสัย
“นี่ไงคลื่น” ฉันชี้ไปยังผืนน้ำทะเลที่กำลังกระเพื่อมตามแรงลมแรงเรือ
“นี่มุขหรือเปลือกหอย” ลูกบัวถอนหายใจพรืดยาว สีหน้าเรียบเฉยเบื่อหน่ายกับมุขไม่ฮาพาเพื่อนเครียด
“ไม่เห็นมีมุกหรือเปลือกหอยเลย”
“ยัง ยังไม่หยุดอีก สลับกันได้แล้ว” ลูกบัวยื่นโทรศัพท์ตัวเองให้กับฝ่ายตรงข้าม เธอก็ต้องการรูปภาพสวยงามไว้อวดเช่นกัน
ในขณะที่ฉันและลูกบัวกำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติก็เห็นผ่านเกาะหนึ่งเข้า
“นั่นไงเกาะ!” เธอสะกิดเรียกธารรักพร้อมกับยกมือถือถ่ายด้วยอาการตื่นเต้นที่จะได้เหยียบผืนดินเสียที เธอเบื่อที่จะนั่งโคลงเคลงจะแย่อยู่แล้ว
ฉันหันไปมองตามคำบอก เกาะอยู่ตรงนั้นแต่ทำไมรู้สึกเหมือนว่าเรือขับไกลออกไปทุกที ไม่เห็นจะมีวี่แววว่าคนขับเรือจะเลี้ยวตรงไปหาเลยสักนิดจึงเอ่ยปากถามลุงคนขับเรือ
“ลุงคะนั่นใช่ที่ที่เราจะไปไหม?”
“ไม่ใช่หรอกหนู เลยไปอีกชั่วโมงโน่น” เขาตอบโดยไม่ต้องหันไปมองว่าสิ่งที่เธอถามหมายถึงอะไร
“งั้นมันคือเกาะอะไรเหรอคะ? บนเกาะสวยไหมคะ? เผื่อจะได้มาเที่ยว” ใกล้วันกลับอาจจะมาแวะที่เกาะนี้ มองจากมุมนี้แล้วเกาะตรงหน้านี้ช่างเขียวชอุ่ม ต้นไม้หนาแน่นเหมาะสำหรับคนหิวโหยธรรมชาติ
“เกาะร้างน่ะ ไม่มีใครเขากล้าเข้าไปหรอกหนู เกาะอาถรรพ์เกาะนรกนั่นน่ะ”
เมื่อเกาะที่ไม่มีใครกล้าเหยียบถูกกล่าวถึง เขาจึงเริ่มเล่าขานถึงตำนานอาถรรพ์ที่พูดกันมาปากต่อปากตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ หากใครได้ย่างกรายเข้าไปแล้วก็ยากที่จะกลับออกมา
เหตุการณ์สะเทือนขวัญล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้วได้มีกลุ่มนายทุนเข้าพื้นที่ไปสำรวจหวังจะเนรมิตให้เกาะนี้กลายเป็นสวรรค์ของเหล่านักท่องเที่ยวเพื่อกอบโกยกำไรอันมหาศาล แรกเริ่มนั้นชาวบ้านคนในพื้นที่ก็พยายามประท้วงให้ล้มเลิกโครงการนั่นถ้าไม่อยากฉิบหายบรรลัย เพราะมันเต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับ เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าภูติผีปีศาจ เมื่อเหล่านายทุนทั้งหลายได้ยินได้ฟังเรื่องราวก็ต่างพากันหัวเราะกับความงมงายไร้สาระและเร่งเวลาส่งทีมเข้าไปสำรวจให้เร็วขึ้น
“จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครกลับออกมา เรื่องนี้ข่าวกระจายโด่งดังอย่างรวดเร็วในวงในพวกมีเงินมีอำนาจเลยไม่มีใครหน้าไหนกล้าแตะเกาะนั้นอีก”
“บนเกาะนั้นเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?” ลูกบัวถามด้วยความสงสัยหลังจากตั้งใจฟังเรื่องราวเกาะนรกที่เพิ่งแล่นเรือผ่าน
“แล้วเหตุการณ์ครั้งนั้นมีคนรอดชีวิตไหมคะ?” ฉันถามเพิ่มเติมจากลูกบัว
เขาส่ายหน้า “ไม่มีใครรู้หรอก นายทุนใหญ่โครงการนั้นรอดก็เพราะไม่เคยขึ้นไปบนเกาะเลยสักหน”
เมื่อเรื่องราวของเกาะอาถรรพ์จบลงทันใดนั้นเองท้องฟ้าที่สว่างสดใสกลับมืดครึ้ม เมฆสีดำขนาดใหญ่เข้ามาบดบังแสงอาทิตย์เพียงไม่กี่วินาที เหล่านกกาพากันบินว่อนส่งเสียงร้องระงมอย่างโกลาหล แรงลมพัดลอดผ่านช่องว่างของเรือมันโหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่องพร้อมสายฝนที่ร่วงหล่นติดกันเป็นแพจนแทบมองไม่เห็นทางข้างหน้า จู่ ๆ ท้องฟ้าที่มืดครึ้มกลับสว่างวาบเป็นช่วง ๆ พร้อมกับเสียงร้องดังกระหึ่มดังสนั่นไปทั่วสารทิศ
เสียงกรีดร้องของสองหญิงสาวร้องขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจหวาดหวั่นแต่ถูกกลบด้วยเสียงของน้ำที่รั่วไหลจากลงจากฟากฟ้า
“จับไว้! ชูชีพอยู่กับตัวใช่ไหมหนู!” ลุงขับเรือตะโกนบอกผู้โดยสาร เขาพยายามหมุนพวงมาลัยบังคับให้เรือไม่เสียศูนย์พร้อมกับคว้าชูชีพที่ห้อยติดข้างเรือนำมาใส่ให้กับตัวเอง
ฉันหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อสู้กับเม็ดฝน กวาดตามองหาราวเหล็กสำหรับจับยึด ให้ตายเถอะ ราวเหล็กที่สามารถจับได้อย่างมั่นคงมีเพียงทางด้านหน้าหัวของเรือเท่านั้นที่มั่นคงแต่ด้วยความแรงของคลื่นและลมที่ซัดขึ้นมาตรงนั้นอย่างต่อเนื่องทำให้มันไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย
“ตรงนั้นแก! จับตรงนั้น!” ฉันตะโกนบอกเพื่อนก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่ ใช้แขนทั้งสองล็อกและเกี่ยวเอาไว้
“หา! ตรงนั้นเนี่ยนะ!” ใบหน้าของเธอซีดเผือดเมื่อเห็นน้ำทะเลซัดเข้าอย่างต่อเนื่อง เธอพยายามมองหาจุดปลอดภัยจุดอื่นแทน ทว่าตรงนั้นกลับดีที่สุดแล้ว ลูกบัวกลั้นใจพุ่งตัวไปยังราวเหล็กฝั่งตรงข้ามธารรักและใช้แรงทั้งหมดที่มีเกาะเกี่ยวไม่ให้กระเด็นตก
“ลุง!!” ฉันร้องเสียงหลงเมื่อมองไปทางลุงคนขับเรือที่เซไปเซมาอย่างทุลักทุเล “ลุงระวัง!” สิ้นเสียงเตือนที่เอ่ยออกไปจอภาพก็ค่อย ๆ ดับลง รู้สึกแค่เพียงเหมือนร่างกายที่อ่อนปวกเปียกกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศราวกับมีปีกบินขึ้นสูงและร่วงลงสู่ที่ต่ำทันที
“ธาร!!” ลูกบัวตัวเย็นวาบสั่นระริกเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์เพื่อนลอยหายลงสู่ทะเลไปต่อหน้าต่อตา เพียงไม่กี่วินาทีเธอก็เปลี่ยนไปโฟกัสเหตุการ์ณใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในสาม...สอง...หนึ่ง และทุกอย่างก็นิ่งเงียบไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องสุดท้ายราวกับไม่เคยมีเหตุระทึกเกิดขึ้นในทะเล ณ จุดนี้มาก่อนเลย
******
ฉันเหม่อมองทอดสายตาไปยังเส้นขอบฟ้าเมื่อภาพความทรงจำผุดเข้ามาในหัวถึงเหตุการณ์พายุบนเรือ ก้มมองเวลาที่ข้อมือ
สามชั่วโมง? แล้วท้องฟ้าแจ่มใสนี่มันอะไรกัน? ทุกคนอยู่ที่ไหน?
ในขณะที่กำลังเหม่อคิดไม่ตกกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตัวไม่ถึงวันก็มีเสียงบางอย่างตกลงกระทบกับพื้นดังตุ๊บ เมื่อหันไปตามเสียงที่มาใจก็ร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด! ลูกมะพร้าวลูกโตสีเขียวสดกำลังสั่นเล็กน้อยก่อนจะนิ่งสนิท เกือบจะสิ้นชีพใต้ต้นมะพร้าวนี่เสียแล้ว แหงนหน้ามองยอดต้น
หนึ่ง สอง สาม สี่...โอ้โห! มีเป็นสิบ ๆ ลูกเลยโว้ย! โชคดีที่มันร่วงลงมาแค่ลูกเดียวไม่งั้นศพไม่สวยแน่ รีบคลานตัวเองออกห่างจากรัศมีแรงโน้มถ่วงดีกว่า
หัวใจยังไม่ทันหายตื่นตระหนกกับลูกมะพร้าว เรื่องราวบางอย่างที่เพิ่งได้รับข้อมูลมาก็พุ่งชนเข้ามาในหัว
เรื่องราวของเกาะอาถรรพ์! ตายทุกคน!! ฉันอยู่บนเกาะแห่งนี้!!!
ฉันถอดเสื้อชูชีพที่เกะกะวางไว้ “ขอบใจนะ” กล่าวขอบคุณมันที่ช่วยให้ฉันไม่กลายเป็นอาหารของปลาในทะเล
จากนั้นพยายามเดินค้นหาลูกบัวหรือคุณลุงคนขับเรือทั่วริมชายหาดเท่าที่เข้าถึงได้และหวังในในใจพวกเขาเหล่านั้นจะลอยมาติดฝั่งอย่างปลอดภัยเช่นกัน
เมื่อตะวันเริ่มจะลาลับขอบฟ้ากำลังใจที่สร้างให้กับตัวเองก็เริ่มดับลงเรื่อย ๆ
เวลากลางคืนคงมืดสนิท บรรยากาศโดยรอบคงวังเวงเคว้งคว้างน่ากลัวหลอนเสียงคลื่นกระทบฝั่ง จากนั้นก็จะเป็นเวลาของสัตว์ป่าดุร้ายเริ่มออกล่า
ฉันนั่งชันเข่าอยู่ริมหาดปล่อยให้คลื่นแตะฝ่าเท้า ความคิดฟุ้งซ่านประเดประดังเอ่อล้นท่วมทวีคูณน้ำตาไหลแหมะหยดผสมกับน้ำเค็ม
“ฉันไม่อยากตายที่นี่” ไม่ได้การแล้วฉันต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง สัญญาณขอความช่วยเหลือ ว่าแต่บนนี้มีอะไรที่สามารถพอช่วยได้บ้างเนี่ย!
จังหวะนั้นเองก็มีเสียงเครื่องยนต์ดังอยู่เหนือศีรษะ เครื่องบิน! จริงสิเส้นนี้คงเป็นเส้นทางการบินข้ามไปยังบนเกาะท่องเที่ยว ฉันต้องก่อกองไฟ!
หลังจากรวบรวมเศษไม้ใบหญ้าพอที่จะสามารถสร้างแสงสว่างได้แล้วก็เริ่มลงมือสุมไม้รวมกัน วางใบไม้แห้งไว้ข้างใน แต่ว่า… จะใช้อะไรจุดไฟใส่?
มองวัสดุธรรมชาติตรงหน้าและหยิบกิ่งไม้แผ่นไม้โรยเชื้อเพลิงอย่างใบไม้แห้งและทำการปั่น
“ติดสิ! ติด!” ใช้สองมือถูกเข้าหากันอย่างต่อเนื่องจนกระทั่ง… “ไปไกล ๆ เลยไป แสบมือไปหมด” ฉันขว้างไม้เจ้าปัญหาทิ้งสุดกำลังอย่างหัวเสีย
จริงสิยังมีอีกวิธี หินกระทบหิน! และแล้วมันก็ได้ลอยตามกิ่งไม้ก่อนหน้านี้ตามไปติด ๆ
ฉันคงดูละครเยอะไป…
ฉันเดินคอตกยกใบมะพร้าวแห้งและลากมันกับพื้นทรายจนปรากฏตัวอักษร HELP ME
เป็นวิธีที่ช่างไร้ความหวังสุด ๆ ลมพัดน้ำซัดข้อความขอความช่วยเหลือก็คงมลายหายไปในไม่ช้านี้ แถมยังไม่รู้อีกว่าหากมีใครมองลงมาจากทางหน้าต่างของเครื่องบินจะมองเห็นเส้นเหล่านี้หรือเปล่า?
ไม่นานสิ่งกลัวที่สุด ณ ตอนนี้ก็เริ่มคืบคลานเข้ามาอย่างช้า ๆ เวลาไม่เคยคอยใคร ฉันเหม่อหมดอาลัยตายอยากมองท้องฟ้าสีแสดที่กำลังจะหายไปในไม่ช้านี้ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงบางอย่างถูกโยนลงน้ำ เสียงจ๋อม ๆ สองสามที ฉันรีบหันไปตามต้นเสียงอย่างมีความหวัง บางทีอาจจะเป็นลูกบัว
“ลุง!” ฉันวิ่งหน้าตั้งด้วยความดีใจที่เจอใครสักคน เขากำลังนั่งหันหลังก้มหน้าก้มตาขะมักเขม้นทำบางอย่าง “ลุง! ใช่ไห...ม...” เสียงที่เปล่งออกมาอย่างมีความหวังถูกกลืนกินหายเข้าไปในกลีบเมฆ สรีระแบบนั้นไม่ใช่ลุงขับเรือแน่นอน ถ้าฉันมีสติสักนิดคงไม่หลงร้องเรียกอย่างสบายใจหรอก
จากที่กำลังวิ่งมุ่งตรงไปหาเพื่อจะขอความช่วยเหลือแต่เมื่อคิดบางอย่างได้จึงเบรกโดยใช้ปลายเท้าจิก
“โอ๊ย!” ฉันสะดุดขาตัวเองล้มกลิ้งม้วนหน้าตีลังกาหน้าทิ่มทราย ใช้สองมือยันพื้นเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายแปลกหน้ากำลังจ้องมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยและก้มหน้าทำสิ่งที่อยู่ในมือต่อโดยไม่สนใจ นั่นเป็นสัญญาณที่ดีว่าเขาคงไม่ปองร้าย แต่ฉันยังคงไว้ใจเขาไม่ได้หรอก คอยดูอยู่ห่าง ๆ ดีกว่า
ฉันลุกขึ้นรีบเดินห่างออกไป นั่งลงข้างโขดหินกอดกระเป๋านั่งสังเกตการณ์ในการกระทำของชายคนนั้นชายผิวคล้ำรูปร่างที่กำยำกล้ามเนื้อแน่น ผมเผ้ายาวรุงรังแถมยังเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างเหมือนมีผ้าบางอย่างห่อหุ้มปกปิด
ชายร่างเปลือยเก็บมีดสั้นเสียบใส่ปลอกใส่ที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวหลังจากเหลาปลายไม้ในมือจนแหลม เขาเหยียดยืนตรงกระแทกหอกลงกับพื้นเล็กน้อยจนทำให้หญิงสาวตรงหน้าสะดุ้ง แววตาที่จ้องมองเขาดูหวาดกลัวแต่ก็ยังแอบมองตลอดเวลา
เขาหันตัวเข้าหาทะเลกว้างก้าวขาลงไปยังน้ำและปีนขึ้นโขดหินที่มีความแหลมคมเพราะถูกน้ำเซาะมานานนับหลายร้อยหลายพันปีอย่างชำนาญ จ้องมองที่ผิวน้ำสักพักก็ง้างแขนและปาหอกนั้นด้วยความเร็วและแรงจากนั้นก็พุ่งตัวลงไปเก็บไม้ที่เพิ่งปาลงไปขึ้นมาพร้อมกับปลาตัวเล็กที่กำลังดิ้นด้วยความเจ็บปวด เขาดึงมันออกจากปลายไม้โยนมันขึ้นฝั่งและทำซ้ำ ๆ จนกระทั่งตอนนี้บนฝั่งมีปลาไม่ต่ำกว่าสิบตัวนอนดิ้นเกลื่อนชายหาด
ฉันแอบมองการล่าปลาในทะเลของเขา เขาหยิบปลาที่นอนเกลื่อนพื้นใส่ตาข่ายขนาดพอเหมาะและเดินห่างฝั่งเข้าไปในป่า
ฉันตัดสินใจเดินตามห่าง ๆ อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ณ ตอนนี้ชายแปลกหน้าอาจเป็นที่พึ่งคนเดียวในตอนนี้และฉันตัดสินใจถูก เพราะไม่ถึงสิบนาทีแสงอาทิตย์ก็ดับลับไปเหลือเพียงแสงจันทร์แสงดาวส่องประกายระยิบระยับสะท้อนกับผืนน้ำทะเล
เขาแขวนตาข่ายใส่ปลาไว้กับไม้ที่ใช้ทำเพิงสำหรับพักค้างอ้างแรมชั่วคราว หยิบก้อนหินใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยจับมาวางเรียงเป็นวงกลมไว้นอกเพิงสำหรับพัก เขาใส่ไม้และเชื้อเพลิงธรรมชาติและหยิบหินสองก้อนขึ้นมากระทบกัน
ฉันเห็นดังนั้นก็แอบหัวเราะในใจ ฉันเคยทำแล้วมันไม่ได้ผลหรอก! แต่ใจหนึ่งก็ลุ้นว่าเขาจะทำสำเร็จหรือเปล่า?
เสียงเคาะป๊อกแป๊กดังอยู่สองถึงสามที ประกายไฟก็เริ่มแลบออกมา เขาโยนเศษหญ้าแห้งที่ติดไฟลงไปและก้มหน้าเป่าลมจนไฟพวยพุ่ง ลุกขึ้นหยิบปลาตัวน้อยเสียบเรียงกันทีละสองตัวพลิกไปพลิกมาเหนือกองไฟ
ถ้าเขาจุดไฟไม่ได้สิแปลก คงไม่อยู่รอดจนผมยาวปรกหน้าแบบนี้หรอก จะว่าไปตัวฉันเองยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ลืมตาและพบว่าอยู่บนเกาะแห่งนี้ โชคดีที่พอมีขนมในกระเป๋า น่าจะพอรองท้องได้สองวัน
“ขนมปังจ๋า” รูดซิปแหวกกระเป๋า “ขะ… หนม… ปัง…” ข้างในว่างเปล่าเฉนเช่นท้องของฉัน ลืมไปว่าก่อนหน้านั้นฉันหยิบถุงขนมวางไว้ในเรือเพื่อกินระหว่างทางและที่เหลือคงตกอยู่ไหนสักแห่งในเรือหรือกำลังลอยตามกระแสน้ำไปแล้ว
ตอนนี้ฉันได้แต่นั่งตาละห้อยพิงต้นไม้ต้นใหญ่ ผ่านไปสักพักควันไฟก็ลอยเตะจมูก กลิ่นหอมของปลาย่าง ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอพินิจพิจารณาว่าควรตีมึนเข้าไปร่วมวงกับชายคนนั้น
เขาปิ้งปลาตัวแล้วตัวเล่า เมื่อมันสุกก็ฉีกเนื้อกินอย่างเอร็ดอร่อย แหงนมองในตาข่ายเหลือปลาสดอีกสองตัว เขาลุกขึ้นหยิบลูกมะพร้าวใช้มีดเฉาะด้วยความชำนาญ ยกน้ำมะพร้าวกระดกและตามด้วยเศษเนื้อสีขาวนวลของมัน เขาเหลือบมองหญิงสาวที่กำลังซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ตรงหน้า มือก็หยิบเศษไม้เพื่อเติมเชื้อเพลิงไปด้วย
ฉันหลบสายตาเมื่อเห็นเขาจ้องมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยหรือเขากำลังบอกฉันว่า ‘กินปลาด้วยกันไหม?’
ฉันรวบรวมความกล้าลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาชายคนนั้น
“นี่...” ฉันเม้มปาก น้ำลายอึกใหญ่ไหลลงคออีกครั้ง “ขอนั่นได้ไหม?” ชี้ไปยังปลาย่างในมือเขา จู่ ๆ เขาก็ลุกพรวดขึ้น ฉันรีบถอยห่างทิ้งระยะหรือบางทีฉันควรจะหาอะไรแลกเปลี่ยน จนสายตาสะดุดเข้ากับหินรอบกองไฟที่วางเรียงเป็นวงกลมและก่อกองไฟในวงนั้นแต่มันแหว่งไปหนึ่งช่อง
เขายืนมองเธอวิ่งหนีหายไปในความมืดอย่างประหลาดใจ เธอคนนั้นวิ่งหนีไปทำไมในเมื่อเขากำลังจะย่างปลาให้เธอ เขาหยิบปลาที่เหลือสองตัวเสียบใส่ไม้ บางทีเธออาจจะกลับมาแต่ถ้าไม่เขาก็จะกินเองเพราะกระเพาะของเขายังสามารถจุได้อีกเยอะ
ไม่นานเขาก็เห็นเธอวิ่งตรงมาด้วยอาการเหนื่อยหอบพร้อมกับถืออะไรบางอย่างในมือ หิน? เธอหายไปเพราะไปหาหินที่ใหญ่กว่าสองมือของเธอเสียอีก ว่าแต่จะเอามาทำอะไร?
และเขาก็ได้คำตอบที่สงสัยเมื่อจู่ ๆ เธอก็ยื่นมันมาตรงหน้าเขา
“เอาไปวางตรงนั้นสิ” ฉันหันไปมองจุดแหว่ง “แลกกับปลานะ”
ให้ตายเถอะ! หินเนี่ยนะที่เธอพยายามหาของแลกเปลี่ยนกับเขา “...” มองหินที่ชุ่มไปด้วยน้ำ รับมันมาไว้ในมือก่อนจะโยนมันทิ้งไป
หินที่เปียกชื้นไม่เหมาะแก่การนำมาวางรอบกองไฟเพราะมันอาจจะระเบิดออกได้เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันของอุณหภูมิ เขาจึงเลือกที่จะโยนมันทิ้งให้ออกห่างจากความร้อนนั้น
ฉันยิ้มดีใจเมื่อเขารับของที่ฉันหามาอย่างยากลำบาก แต่การกระทำต่อจากที่รับไปทำเอาฉันช็อกไปเลยเพราะเขากลับโยนมันทิ้งอย่างไม่ไยดี กว่าจะหาหินที่มีขนาดพอ ๆ กับที่เขาวางล้อมรอบมันยากเหลือเกิน ส่วนมากตามชายหาดมีแต่หินกรวดก้อนเล็กแถมยังต้องใช้ความกล้าหาในกลางคืนที่มืดมาก
“ทำไมล่ะ? ไม่แบ่งฉันเหรอ?” ฉันก้มหน้าเบี่ยงมองก้อนหินนอนอยู่กับพื้น ดวงตาเริ่มร้อนผ่าว จมูกคัดตันฉับพลัน
ภาพก้อนหินตรงหน้าก็ถูกแทรกด้วยปลาสุกสองตัว ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาอัตโนมัติ
“ให้ฉันเหรอ? ให้จริง ๆ นะ?” ถึงจะเอ่ยถามออกไปแต่ก็รับมันมาไว้ในมือแล้ว ฉันนั่งลงกินมันอย่างเงียบ ๆ พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้แต่มันดันไหลไม่หยุด “ขอบใจนะ”
“…” เขาไม่ตอบอะไรทำเพียงมองหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม
เมื่อท้องอิ่มคอก็เริ่มแห้งเหือด ฉันยื่นมือไปหยิบลูกมะพร้าวในเพิง เหลือบมองชายใจดีตรงหน้าเล็กน้อยและยื่นให้เขา
เขาดึงมีดสั้นในฝักออก ฟันไปที่ผลไม้ลูกนั้นและยกมันขึ้นดื่ม
สีหน้าของฉันหงิกงอเมื่อเห็นภาพบาดตาตรงหน้า ฉันไม่ได้ให้ดื่มสักหน่อย! ฉันต้องการให้นายเปิดมันให้ฉันต่างหากเล่า!
ฉันดึงมันกลับ ก้มมองข้างในที่ปราศจากน้ำเหลือไว้เพียงเนื้ออ่อนไว้ดูต่างหน้า
“หิวน้ำ ฉันหิวน้ำ” ฉันบอกออกไปโดยที่ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจในสิ่งที่พูดหรือเปล่า
เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้นจึงหยิบมะพร้าวลูกใหม่พร้อมกับยื่นมีดให้เธอ
ฉันมองพวกมันสลับไปมา เกิดมาไม่เคยปอกมะพร้าวมาก่อน มีแต่ซื้อเขากิน
เอาล่ะนะนี่จะเป็นครั้งแรกที่ฉันจะเปิดมันด้วยตัวของตัวเอง ฉันวางมันกับพื้น ง้างมีดขึ้นสุดแขนและ… ทันทีที่มีดกระทบลูกมะพร้าวก็กลิ้งกระเด็นไปคนละทิศละทาง เนื่องจากฉันปล่อยมือข้างที่จับมันไว้
พยายามปอกมันอยู่แสนนานก็หลงปล่อยมือออกทุกที ทำยังไงได้ก็กลัวมืออีกข้างจะถูกตัดแทนที่จะเป็นมะพร้าว… ชาตินี้ฉันจะได้กินน้ำไหม!
เขานั่งมองหญิงสาวตรงหน้าสักพักก็เริ่มหน่ายใจกับการปอกมะพร้าว เขาไม่อยากเชื่อว่าเธอปอกมันไม่เป็น ผู้คนบนเกาะนี้ใคร ๆ ก็ทำมันได้ทั้งนั้น ว่าแต่เธอมาจากเผ่าไหนกัน? สัญญาลักษณ์ระบุก็ไม่มี การแต่งตัวของเธอก็ดูช่างประหลาด ชุดกระโปรงขาวยาวและบาง รองเท้าห่อหุ้มไปถึงสั้นเท้า เครื่องนุ่งห่มคล้ายกับแคมป์ร้างในป่า
แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือเขาสามารถเข้าใจภาษาที่เธอสื่อสาร
ตอนนี้ฉันถอดใจกับการดื่มน้ำนี่แล้วหรือฉันควรเดินลงชายหาดเพื่อตักน้ำทะเลให้หายอยาก ถึงมันจะเค็มจะทำให้กระหายมากขึ้นก็เถอะ
ในขณะที่กำลังตัดสินใจดื่มน้ำทะเล เขาก็หยิบลูกมะพร้าวสภาพเปลือกเละเทะ สับมันออกจากนั้นวางลงต่อหน้าฉัน จากนั้นเขาก็ล้มตัวลงนอน
ฉันดื่มมันรวดเดียวหมดด้วยความกระหาย จากนั้นจึงถอดรองเท้าผ้าใบที่เปียกชื้นไม่ห่างจากกองไฟและเขยิบตัวเข้าใกล้เพื่อทำความอบอุ่นร่างกาย อากาศตอนกลางคืนบนเกาะค่อนข้างเย็น ลมพัดมาแต่ละทีหนาวสั่นเข้ากระดูกบวกกับชุดอันบางเฉียบที่สวมใส่อยู่
ฉันตั้งใจว่าคืนนี้จะไม่หลับโดยเด็ดขาด! พยายามเบิกตากว้างแต่ก็ต้องยอมจำนนต่อความเหน็ดเหนื่อยที่พบเจอมาตลอดทั้งวัน
เมื่อเริ่มรู้สึกตัวก็รีบลุกขึ้นนั่งโดยไม่งัวเงีย มองไปที่ที่จุดที่ชายคนนั้นนอน ทว่าพบกลับความว่างเปล่า กองไฟที่เคยลุกโชนตลอดทั้งคืนก็มีทีท่าจะดับมอดลงเร็ว ๆ นี้
บรรยากาศรอบข้างวังเวง ไร้เสียงของสิงสาราสัตว์ ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนพวกแมลงยังร้องส่งเสียงระงมทั่วผืนป่า
ใบหน้าฉันเริ่มซีดเผือด ใจหวิวลอยละล่อง… ฉันถูกทิ้ง!
ฉันนั่งเอาไม้เขี่ยกองไฟไปเรื่อย ๆ พลางชะเง้อมองหาเขาอย่างมีความหวังและแล้วเขาก็กลับมา ฉันลุกขึ้นทิ้งทุกอย่างในมือวิ่งเท้าเปล่าโผเข้ากอดดีใจสุดขีดจนน้ำตาเล็ด
เขาเห็นเธอพุ่งตรงมาหาก็เข้าใจว่าเธอคงเห็นปลาที่เขาเพิ่งจับมาเมื่อกี้ เธอคงหิวเหมือนเมื่อคืนเป็นแน่ แต่เธอกับพุ่งเข้าใส่เขาและโอบกอดเสมือนคู่สามีภรรยา
“นึกว่าทิ้งกันซะแล้ว” ฉันโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หน้าซุกกับแผงอกอันเปลือยเปล่าอย่างลืมตัว
“นายไปไหนมา?” ฉันเงยหน้าถามน้ำตายังคงคลอเบ้า
“จับปลาเหรอ?” มองไปที่หอกแหลมด้ามเมื่อวานที่ใช้แทงปลา
เขายกตาข่ายใส่ปลาขึ้นให้ดู จากนั้นจึงเดินนำแต่เมื่อเห็นว่าเธอคนนั้นก้าวขาตามมาไม่ทัน เขาจึงลดแรงฝีเท้าให้ช้าลง จนกระทั่งเธอเดินขนาบข้าง
“นายจับมากี่ตัว?” ฉันพยายามพูดคุยเพื่อให้บรรยากาศไม่อึดอัด อีกอย่างฉันต้องพยายามผูกมิตรกับเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันรู้แน่ ๆ แล้วว่าเขานี่แหละที่พึ่งเดียวของฉัน ฉันจะไว้ใจเขา!
หลังจากยิงคำถามออกไปฉันก็ตอบคำถามของตัวเอง “เยอะกว่าเมื่อวานอีก ขอสี่ตัวนะ” ยกนิ้วเพื่อทำสัญลักษณ์
เมื่อปลาสุกเขาก็วางมันพักไว้บนใบไม้ขนาดใหญ่ ใหญ่พอที่จะวางปลาได้ทั้งหมด
“ขอบใจนะ แล้วนายชื่ออะไร? มีชื่อไหม? ฉันชื่อธารรัก เรียกธารเฉย ๆ ก็ได้นะ”
“...”
“เข้าใจหรือเปล่าเนี่ย? ธาร ธารรัก ธารที่แปลว่าน้ำ” ฉันเน้นคำและชี้เข้าหาตัวพร้อมอธิบายความหมายของชื่อ จากนั้นจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“หินเมื่อวานที่นายใช้จุดไฟน่ะมันคือหินอะไร? ก่อนหน้านี้ฉันก็ลองพยายามจะใช้หินจุดก็แต่ไม่ได้สักที ว่าแต่ที่นายจุดได้เป็นเพราะหินดำ ๆ หน้าตาประหลาดนั่นใช่ไหม?”
“...อวัช”
“หืม?” จู่ ๆ เขาก็เอ่ยคำออกมา ฉันจึงหยุดการสนทนาฝ่ายเดียวและหันไปจ้องเขาและรอเขาเอ่ยอีกครั้ง
“อวัช” เขาชี้เข้าหาตัวเอง ‘อวัช’ คือชื่อของเขา
ฉันยิ้มกว้างยิ้มดีใจ ต่อไปนี้ฉันและเขา เราสองคนจะสื่อสารกันรู้เรื่อง
“อวัช ธารรัก” ชี้ไปที่เขาสลับกับตัวเอง
“อวัช ไม่มีโทษ ไม่มีที่ติ” เขาอธิบายความหมายชื่อของตัวเองบ้างแต่เธอกลับเข้าใจผิดเป็นอย่างอื่น
“รู้แล้วน่า ฉันไว้ใจนาย นายไม่มีพิษมีภัยไม่ใช้คนไม่ดี ส่วนไอ้ที่ว่าไม่มีที่ติก็...” ใช้สายตาสำรวจร่างกายความบึกบึน กล้ามเป็นมัด ๆ “แน่นดีจริง ๆ” ใช้มือลูบไร้ต้นแขนของเขา
อวัชสะดุ้งเล็กน้อย เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองเธอตาปริบ ๆ แววตาสั่นไหว เลือดฝาดบริเวณแก้มค่อย ๆ เด่นชัดขึ้น อวัชตัวแข็งทื่อกลับหันหลังเร่งฝีเท้าเดินกลับไปเก็บของเตรียมตัวออกเดินทางต่อไป
“อ้าว ไปไหน...รอฉันด้วย”
ฉันจะไม่มีทางปล่อยให้เขาคคลาดสายตาไปอีกเด็ดขาด ไม่ว่าเขาจะเลี้ยวซ้าย ฉันก็จะตามไปทางซ้าย หรือเลี้ยวขวา ฉันก็จะตามไปทางขวา มุดน้ำเข้าถ้ำ ฉันก็จะตามเกาะยิ่งกว่าปลิง ในระหว่างที่เดินตามหลังอวัชสายตาจึงไปจับจ้องผ้านุ่งห่มส่วนล่างของเขา มันคือหนังของเสือ การที่เขาใส่มันแปลว่าเขาต้องเคยสู้กับสัตว์ดุร้ายชนิดนี้และเอาชนะมัน
แข็งแกร่ง!
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงแล้วอวัชยังคงเดินไปเรื่อย ๆ และตอนนี้ฉันก็เริ่มที่จะหมดแรงเดินต่อ ฉันอยากนั่งพักสักแป๊บก็ยังดี
“นาย! อวัช!” ฉันใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่วิ่งไปให้ทันเขา จับมือรั้งเขาเอาไว้ให้หยุดอยู่กับที่ “พักได้ไหม? ฉันเหนื่อย”
อวัชมองธารรัก เธอโค้งตัวลงมือทั้งสองค้ำจับเข่า เสียงหายใจเหนื่อยหอบดังฟืดฟาด เขามองรอบบริเวณเพื่อหาจุดที่สามารถนั่งพักได้ ข้างหน้าอีกไม่เกินยี่สิบเมตรมีท่อนไม้นอนตายอยู่ “พักนั่น”
ฉันพยักหน้าจากนั้นพยายามฝืนสังขารลากตัวเองไปให้ถึงและหย่อนก้นนั่ง ความปวดเมื่อยบริเวณต้นขาน่องขาค่อย ๆ จางหายไป ขณะที่กำลังนั่งสบายใจอยู่นั้นรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังจ้องมองมาทางนี้และหันไปตามความรู้สึกลางสังหรณ์ ขนหัวขนตัวลุกก็ซู่เมื่อสายตาพลันไปจ้องกับนัยน์ตาสีเหลืองทอง
“เสือ!!” ร้องดังลั่นไปทั่ว ฝูงนกที่กำลังนอนสงบอยู่ในรังต่างพากันแตกตื่นบินหนีไปตั้งหลัก แววตาของฉันสั่นระริกหวาดหวั่นหวาดกลัวสุดขีด ร่างกายขยับอัตโนมัติตามสัญชาตญาณอีกครั้ง ความเร็วของฝีเท้ายิ่งกว่านักกรีฑากีฬาโอลิมปิกผสมกับปีนเขา
ขณะนี้ฉันนั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ สองมือโอบกอดลำต้นไว้แน่น เหล่มองเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวใหญ่มหึมาแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าแห่งนี้เป็นอย่างมาก
มันแหงนหน้ามองคนแปลกหน้ากลิ่นไม่คุ้นชินด้วยแววตาใสซื่อ?
“มะ...มองทำไม ไปไกล ๆ เลยนะ” เสียงที่เปล่งออกมาแทบเป็นลมไม่มีเสียง โชคดีที่ไอ้ตัวข้างล่างมันไม่ใช่เสือดาว ไม่อย่างงั้นมันคงปีนขึ้นมางาบฉันเข้าท้องเป็นอาหารรสเลิศมื้อเที่ยงแล้วแน่ ๆ
ฉันที่กำลังเกาะเป็นลูกลิงอย่างอนาถใจอยู่นั้น เทพบุตรขี่ม้าขาวก็ปรากฏตัวขึ้น
“อวัชช่วยด้วย!” ร้องตะโกนด้วยความดีใจอย่างหลงลืมตัว
เสือตัวใหญ่ตอบรับเสียงของฉัน มันร้องขู่คำราม เหลียวหลังหันไปจ้องอาหารรสเลิศอีกชิ้น มันกระโจนเข้าใส่อย่างจัง!
“ระวัง!” ฉันเบิกตากว้างโพลงร้องเตือนก่อนจะหลับตาปี๋ ไม่รอดแน่ ๆ นายนั่นโดนขย้ำคอแหง ๆ ไม่สิ เขาเคยสู้กับเสือนี่น่ะ ครั้งนี้เขาคงเอาชนะมันได้อีกแน่นอน เมื่อคิดได้อย่างนั้นก็เริ่มสบายใจ แต่ทำไมถึงไร้เสียงการต่อสู้ใดใด
ฉันค่อย ๆ หรี่ตามองด้วยหัวใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ แต่แล้วภาพที่เห็นตรงหน้ากลับกลายเป็นว่าอวัชกำลังนั่งย่อลูบหัวเสือใหญ่ด้วยความเอ็นดูและมันเองก็คลอเคลียซุกไซร้เขาเช่นกัน มันหงายท้องล้มตึงเอาแผ่นหลังถูกลิ้งไปมากับพื้นหญ้า ส่วนอวัชนั้นก็กำลังจกพุงเจ้านั่นอย่างไร้ความเกรงกลัว
นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ภาพที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้มันคืออะไร!
อวัชแหงนหน้ามองธารรัก เขากวักมือเรียกให้เธอลงมาข้างล่าง
ฉันส่ายหน้ารัว ๆ แขนและขาเกาะรัดลำต้นแน่นขึ้นไปอีก ลงให้โง่สิ นั่นเสือเลยนะ
“มันไม่กัดหรอก” เขาบอกเธอด้วยสีหน้าและเสียงที่เรียบเฉย ทำไมเธอต้องกลัวเจ้านี้ด้วย มันออกจะน่ารักเสียขนาดนี้
แน่สิ! มันไม่กัดแต่มันจะเขมือบ!!
“ไม่ต้องกลัว” เขาพยายามเกลี้ยกล่อมเธอ
“นั่นเสือเลยนะ ต้องกลัวสิ!”
เขาเหลือบมองเธอบนฟ้าและหันไปคุยกับสัตว์ขนสั้นลายสีเหลืองสลับดำ ลูบหน้ามันอย่างเบามือ “ตัวเล็กนั่นธารรัก ธารที่แปลว่าน้ำ” เขาแนะนำเธอให้กับมันพร้อมกับอธิบายความหมายของชื่อเหมือนที่เธอเคยอธิบายให้เขาฟังไม่ผิดเพี้ยน สิ้นเสียงของเขาตัวเล็กก็คำรามขึ้นอีกครั้ง
“ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาบอกกับเธอ
“ไอ้ตัวนั้นมันมีชื่อด้วยเหรอ!? แล้ว...แล้วยินดีที่ได้รู้จักคืออะไร!!”
“ตัวเล็กบอก” อวัชตอบหน้าตายราวกับว่ามันเป็นเรื่องปรกติ
“นะ นายเป็นอะไรกับมัน มันถึงต้องเชื่อฟังที่นายบอกด้วยเล่า!”
“เพื่อน”
เพื่อนเนี่ยนะ? เพื่อนที่ถลกหนังเพื่อนของเพื่อนไปทำเสื้อผ้าเนี่ยนะ!! เขามีเพื่อนเป็นเสือ แถมไอ้เสือตัวโตด้านล่างนั้นดันมีชื่อว่า ‘ตัวเล็ก’ ให้ตายยังไงวันนี้ฉันก็ไม่ยอมลงไปแน่ ๆ ไม่ลงเด็ดขาด
อ่าวเห้ย! แล้วนั้นเขาจะไปไหนนั่น ทำไมเดินไปทางนั้น “ไปไหน?” ตะโกนถามอย่างหวั่นใจ
“หาอาหาร”
“อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียวสิ! ไม่เอานะ” เบ้ปาก น้ำเสียงออดอ้อนและจ้องเขาอย่างอ้อนวอน
“ไม่ทิ้ง” เขาบอกเธอ แต่เมื่อเห็นว่าเธอกำลังกังวลใจจึงเดินกลับไปยังใต้ต้นไม้ที่เธอห้อยอยู่ด้านบนและบอกกับเพื่อนสี่ขา “ตัวเล็ก ฝากดูแลธารด้วยนะ จะไปหาอาหาร” เขาฝากฝังเพื่อนคู่หูที่ไว้ใจที่สุดให้อยู่คอยดูแลเธอคนนั้น
เพียงเท่านี้เธอน่าจะสบายใจขึ้นมาบ้าง
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!