NovelToon NovelToon

Ghost Girl รักคนละโลก​ (มีEBOOK​ Meb)​

บทที่หนึ่ง แขกไม่ได้รับเชิญ

ท้องฟ้าที่สดใสกลับกลายเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่นอย่างรวดเร็ว จากลมอ่อนๆ พัดโชยกลับเป็นลมพายุ ฝนตกลงมาจนแทบมองไม่เห็นทาง รถจากที่กำลังขับเคลื่อนด้วยความเร็ว เป็นต้องชะลอตัวลง

หญิงสาวคนหนึ่งหรี่ตามองหาทางเดินผ่านสายฝนที่เทลงมายังกับยืนอยู่ใต้น้ำตก เธอเปียกปอนไปทั้งตัว

“ตะวันทางนี้” เพื่อนสนิทของเธอที่สวมเสื้อกันฝน วิ่งไปฉุดเธอเข้ามายังตัวอาคาร “ไปยืนตากฝนทำไมวะ!”

“ก็มันมองไม่เห็นทางนี่หว่า แว่นก็มัวไปหมด” หากจะให้เธอถอดแว่นออกก็คงมองไม่เห็นทาง ไม่ต่างอะไรกับใส่แว่นที่เต็มไปด้วยหยดน้ำ เธอถอดแว่นออกมา ใช้ปลายเสื้อเช็ดเลนส์ให้พอมองเห็น

“ท่าจะอีกนาน” น้ำอิงแหงนหน้ามองฟ้าหม่น “ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดห้องฉันก่อนแล้วกัน ใกล้จะมาแล้วด้วย” น้ำอิงดูเวลา อีกไม่กี่นาทีรายการโปรดของเธอใกล้ฉาย ‘รายการตามล่าหาผี’

ตะวันเข้าห้องกันของน้ำอิงก็ย่นจมูกทันที “นี่แกยังไม่เก็บห้องอีกเหรอวะ นี่มันที่อยู่คนหรือรังหนู” คราวก่อนเธอที่เธอมาค้างที่นี่เพราะต้องอยู่ทำงานกลุ่มก็บ่นเรื่องเก็บห้องให้น้ำอิงฟัง จนวันนี้ทุกอย่างก็ยังคงวางระเกะระกะเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน

“เออน่า เก็บไปเดี๋ยวก็เหมือนเดิม วางไว้แบบนี้แหละ ฉันจะได้หาของได้ง่ายๆ ด้วย” น้ำอิงเดินไปเปิดโทรทัศน์รอเวลาของรายการ “ผ้าขนหนูกับชุดนอนแกอยู่ในตู้”

“แล้วไอ้เจนมันไม่คิดจะอยู่ห้องบ้างเลยเหรอ สงสัยทนความสกปรกของแกไม่ไหวแน่ๆ” ตะวันหมายถึงเมทร่วมห้องของน้ำอิง

“มันยกห้องให้ฉันแล้ว มันไปอยู่กับแฟนโน่น”

หลังจากตะวันอาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วก็เห็นน้ำอิงนั่งดูรายการผีอย่างใจจดใจจ่อ เธออยากเดินไปปิดทีวีทิ้งเสียนี่ เธอไม่ได้กลัวผีหรอกนะ เพียงแต่ใครเขาดูกันดึกๆ ดื่นๆ กัน

“แกมานั่งนี่เร็ว พี่ดิวสัมผัสจิตกำลังจะท่องบทสวดอัญเชิญแล้ว”

“ไม่เอาไม่ฟัง” ตะวันกระโดดขึ้นเตียง ยกมือขึ้นอุดหูแต่ก็ไม่ช่วยให้ได้ยินเสียงน้อยลงเลย มันกลับดังก้องกว่าเดิม

“โธ่ ป๊อดวะ สนุกจะตาย ดูเอาบันเทิงน่า ผีเผลอมีที่ไหน”

“ไม่ได้กลัว แต่มันมืดแล้ว” เธอเถียง

“นั่นแหละเขาเรียกว่ากลัว”

(....ขออัญเชิญผีเร่ร่อน วิญญาณพเนจรหรือสัมภเวสี หากท่านได้ยินและรับรู้ กรุณาปรากฏตัวด้วย พวกเรามิได้ลบหลู่ท่านแต่อย่างใด....)

ไม่ลบหลู่บ้าลบหลู่บอสิ!

“แกว่าจะมีใครเห็นอะไรปะ” น้ำอิงถามขึ้นพร้อมกับจ้องจับผิดภาพในจอ “หรือเขาจะจัดฉากวะ”

“ไม่รู้ ฝนหยุดพอดี ฉันกลับห้องดีกว่า” ฝนที่ตกอย่างกับพายุเข้า บัดนี้ได้สงบลงเปลี่ยนเป็นตกปรอย ๆ และขืนเธออยู่ต่อคืนนี้คงนอนไม่หลับเพราะในหัวเอาแต่สร้างมโนให้ตัวเองหลอน “ยืมร่มนะ”

“เออ ๆ ถึงห้องแล้วแชทมาบอกด้วย” น้ำอิงเป็นห่วง กลัวว่าจะมีใครฉุดไประหว่างทาง

“โอเคจ้ะน้ำอิง”

ตะวันกางร่มสีเหลืองอ่อนเดินกลับหอพักของตัวเอง เธอเป็นนักศึกษาปีสามพักอยู่หอในตั้งแต่ปีหนึ่ง ปรกติหนึ่งห้องจะมีนักศึกษาพักสองคนต่อห้อง แต่ของเธอโชคดีเป็นพิเศษที่ได้อยู่คนเดียว เนื่องจากเพื่อนร่วมห้องซิ่วย้ายหนีไปมหาวิทยาลัยอื่นแต่จ่ายค่าเช่าห้องทิ้งล่วงหน้าไว้เป็นปี ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาห้องนี้จึงกลายเป็นห้องส่วนตัวของเธอไปโดยปริยาย

ในขณะที่ตะวันกำลังเดินกลับหอนั่น เธอรู้สึกเหมือนมีใครบางคนตามหลังมา ตะวันหยุดเดินรีบหันไปมองข้างหลัง ซึ่งพบแต่ความว่างเปล่า ตะวันมองไปรอบ ๆ แสงให้ทางสีส้มไฟสลัว ๆ กวาดสายตาไปทั่วบริเวณ เมื่อไม่มีอะไรจึงเดินหน้าต่อ แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ

ตะวันกำด้ามจับร่มแน่น สูดลมหายใจเข้าสุดปอด หันไปมองที่เดิมช้า ๆ เธอชำเลืองซ้ายและขวา ยืนนิ่งมองสายฝนที่ตกกระทบกับแอ่งน้ำบนพื้นถนน ทันใดนั้นความคิดต่าง ๆ แล่นเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ตะวันหันขวับรีบวิ่งแปดคูณร้อยเมตรอย่างไม่คิดชีวิต ไม่ห่วงว่าน้ำขังบนพื้นจะดีดขึ้นมาเปื้อนเสื้อผ้าแต่อย่างใด

“ว๊ายยยยย” ด้วยความที่ใส่รองเท้าแตะคู่เก่าไร้ซึ่งดอกยาง จึงทำให้เธอลื่นไถลล้มก้นจ้ำเบ้า “โอ๊ย” ตะวันตรวจสอบแผลถลอกตามร่างกาย โชคดีที่ไม่มีแต่ข้อมือกลับเจ็บแปลบ เพราะใช้มือค้ำเอาไว้ไม่ให้ใบหน้าถูไปกับพื้น เมื่อยืนตั้งหลักได้ที่แล้วจึงวิ่งต่ออย่างไม่กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อครู่อีกครั้ง

แฮ่กๆ ตอนนี้ตะวันยืนหอบอยู่หน้าประตูห้อง เธอหุบร่มลงและไขประตูเข้าห้องด้วยความโล่งใจ

“เฮ้อ!” ตะวันถอนหายใจ เอี่ยวตัวสำรวจเสื้อ กางเกงก่อนถอดและอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนใหม่ทั้งหมด

เรื่องนี้เธอจะไม่ให้ใครรู้เด็ดขาด โดยเฉพาะน้ำอิง ไม่อย่างนั้นคงโดนล้อหัวเราะเยาะไปตลอดชีวิต ดูรายการผีแล้วเกิดหลอนไปเอง วิ่งกลับห้องจนลื่นล้ม

[ถึงห้องแล้วนะ] ตะวันไม่ลืมที่จะรายงานให้น้ำอิงรับรู้ว่าตัวเองถึงห้องอย่างปลอดภัย

บรู๊ววววววววว

ใจสงบไม่ทันไรก็เกิดระแวงขึ้นอีกรอบหลังจากเสียงหมาเริ่มหอนรับต่อกันเป็นทอดๆ ตะวันรีบเปิดไฟทั่วห้อง ปิดม่าน กระโดดขึ้นเตียง เอาผ้าห่มคลุมโปง

“สงสัยหมามันหอนหาคู่ น่าจะเป็นช่วงผสมพันธุ์ของมัน” ตะวันพูดปลอบใจตัวเองทั้งที่เธอรู้อยู่แก่ใจว่านี่ไม่ใช่เดือนสิบสอง

“ผิด! มันหอนเพราะเห็นผีต่างหาก”

“หอนเพราะหาคู่ต่างหาก!!” เมื่อเธอตอบก็พลันนึกได้ว่าเธออยู่คนเดียว ล-แล้วใครกันที่เป็นคนพูดเมื่อกี้?? จะแกล้งหลับไปเลยดีไหมหรือจะเปิดผ้า เผื่อเป็นโจร แต่ก็ไม่น่าจะใช่โจร

“จะนอนแล้วทำไมเปิดไฟทั่วห้องเลยล่ะเนี่ย ที่บ้านทำการไฟฟ้ารีไง เปลืองนะรู้ไหม”

เสียงปริศนายังคงดังต่อเนื่อง แถมกำลังต่อว่าเธอเรื่องสิ้นเปลืองพลังงานโลกซะด้วย

“เอาก็เอาวะ” ตะวันค่อยๆ เลื่อนผ้าที่ปิดหน้าออกช้าๆ ก็พบผู้หญิงผมยาวประบ่าในชุดนักศึกษาตัวโคร่งเหมือนฮิปฮอป นั่งอยู่ข้างเตียงอยู่ห่างเธอไม่เกินเอื้อมมือกำลังส่งยิ้มหวานกะพริบตาปริบๆ ให้กับเธอ

“กริ๊ดดดดด ผี! ผี! ผี!!!” ตะวันสะบัดผ้าห่มทิ้ง ก่อนใช้สองเท้าถีบเข้ากลางลำตัว แต่เท้าทั้งสองก็ทะลุร่างโปร่งแสงนั่นออกไปก่อนจะตกเตียงเสียงดังสนั่น

“ไหน! ผีอยู่ไหน” ผู้หญิงปริศนาร่างโปร่งกระโดดลงมานั่งคุดคู้อยู่ข้าง ๆ เจ้าของห้องคนปัจจุบัน

“เธอนั่นแหละผี กริ๊ดดดดด! อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ ออกไปๆ” ตะวันหันข้าง เมื่อเห็นว่าร่างโปร่งแสงนั่งติดกับเธอจนเนื้อแนบเนื้อ ถึงจะทะลุร่างเธอก็เถอะ ตะวันก็รู้สึกเย็นวาปบริเวณต้นแขนที่ชนกัน เธอกระโดดถอยไปติดกำแพง เปิดลิ้นชักควานหาสร้อยพระและบทสวดมนต์

“นั่นน่ะสิ ฉันเป็นผีนี่น่า” เธอชี้เข้าหาตัวเองก่อนยักไหล่ขึ้นอย่างลืมตัว

มือหนึ่งกำพระไว้แน่น ส่วนอีกมือรีบกางหาบทสวด เธอยกมือขึ้นพนมเหนือหัว หลับตาปี๋ “นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ........” ตะวันตั้งนะโมฯ สามจบก่อนจะตามด้วยพระคาถาชินบัญชร

ระหว่างที่สวดไปก็รู้สึกว่าห้องเริ่มเงียบ บรรยากาศในห้องเริ่มกลับไปเป็นปรกติ ตะวันค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้า มองตรงไปข้างหน้าก็ว่างเปล่า ด้านซ้ายก็ว่างเปล่า หันไปข้างหลังก็เงียบสนิท

คงจะไปแล้วสินะ แต่เพื่อความชัวร์ควรสวดให้จบ แต่อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเดิมดังมาทางด้านขวา ที่หนักไปกว่านั้นเสียงนี้ดันสวดนำเธอเสียด้วย

“ฮือออออ สวดได้ด้วยเหรอ ไม่กลัวเหรอ” ตะวันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ใจดีสู้เสือถามออกไป

“อืม สวดทุกคืนเลยนะ...ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่” ว่าจบวิญญาณตนนี้ก็สวดต่อ

“ส-สวดทุกคืนด้วย? ฉันมีพระนะ” ตะวันยื่นมือข้างที่กำสร้อยพระออกไปไว้ตรงหน้าผีสาวที่กำลังตั้งใจสวดมนต์

เธอชำเลืองมองเล็กน้อยว่าอีกฝ่ายยื่นอะไรมาให้ดู เมื่อเห็นแล้วก็ไม่ได้ตื่นตกใจกลัวอะไร “สวดแล้วต้องสวดต่อให้จบสิ จะมาครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้นะ หยุดกลางคันมันไม่ดี”

ในใจก็กลัวแต่ตะวันก็สวดตามที่วิญญาณตนนี้บอก ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่ ผีถึงขั้นสวดมนต์นำแถมคล่องแคล่วขนาดนี้ หากขัดเธอก็กลัวจะโดนจับหักคอ มิหนำซ้ำยังโดนด่าเสียอีก

ตะวันปล่อยให้เธอตนนั้นนำ ส่วนเธอเองเป็นฝ่ายตามด้วยน้ำเสียงที่สั่นและท่องถูกบ้างผิดบ้าง เนื่องจากไม่ชินกับบาลีสักเท่าไหร่

เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงทั้งคนและผีก็ก้มลงกราบสามครั้ง

“สวดจบแล้ว ยังไม่ไปที่ชอบๆ อีกเหรอ” ตะวันถามเชิงไล่

“ไล่เหรอ แต่ดวงดาวชอบที่นี่”

“แต่ฉันไม่ชอบ ธ-เธอจะไปไหนก็ไปเถอะนะ” ตะวันยกมือขึ้นไหว้ขอร้อง

“ก็ไม่อยากอยู่กับคนรังเกียจดวงดาวเท่าไหร่นักหรอก แต่มันไปไม่ได้”

“ท-ทำไมล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันทำบุญไปให้นะ เธอชื่อดวงดาวใช่ไหม ฉันจะเอ่ยชื่อเธอส่งตรงให้เลย”

“อื้ม ตกลง...โอ๊ย!” ดวงดาวยอมรับข้อตกลงก่อนจะเดินทะลุกำแพงออกไป แต่ทว่าจู่ๆ ร่างก็กลับกระเด็นเข้ามาในห้องเหมือนเดิม

“เกิดอะไรขึ้น!!” ตะวันเห็นดังนั้นแววตาก็เต็มไปด้วยความสงสัย เธอเดินเข้าไปใกล้อย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะหยุดฝีเท้าเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนที่ร้องด้วยความเจ็บไม่ใช่คน

“ทำไมออกไปไม่ได้” และแล้วดวงดาวก็พยายามเดินออกไปอีกครั้งและอีกครั้ง วิญญาณสาวหันมามองเจ้าของห้องช้าๆ พลางทำปากจู๋แสดงสีหน้าให้เห็นว่าเสียดายสุดๆ “ไปไม่ได้อะ สงสัยต้องรอเธอทำบุญให้ก่อนล่ะมั้ง งั้นคืนนี้ขออยู่ด้วยคนนะ”

ดวงดาวนั่งลงตรงปลายเตียงหลังจากพยายามเดินออกจากห้อง ความจริงเธอรู้อยู่แก่ใจว่าให้ตายยังไงก็ไม่สามารถออกไปจากตรงนี้ได้อยู่แล้ว นอกเสียจากว่าตะวันจะออกไปด้วย แต่เรื่องนี้ค่อยไว้บอกพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ขืนบอกไปตอนนี้มีหวังเธอคงได้เห็นคนเป็นลมสลบล้มพับไปแน่ๆ อยู่ด้วยกันสักคืนให้รู้สึกชินแล้วค่อยบอกความจริงออกไปก็แล้วกัน

“ไม่นอนเหรอ พรุ่งนี้ไม่มีเรียนเหรอ” ดวงดาวถามตะวันที่ยังคงยืนชิดติดมุมห้องไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

ตะวันไม่ตอบ เธอทำเพียงส่ายหน้า

“ไม่มี? แล้วไม่นอน?”

หลายนาทีผ่านไปจากที่ยืนอยู่มุมห้องก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นนั่งและจ้องผีสาวที่นั่งอยู่ปลายเตียงเธออย่างไม่วางตา

“ไม่ง่วงจริงๆ เหรอ งั้นดวงดาวนอนก่อนแล้วกัน ไหนๆ เธอก็ไม่นอนอยู่แล้ว ขอนะ” ดวงดาวชี้ไปที่เตียง “เตียงนุ่มจังเลย สบ๊ายสบาย ฟูกกับหมอนนุ่มขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” ดวงดาวอ้างความนุ่มสบายของเตียงก่อนเหลือบมองคนที่นั่งสัปหงกอยู่มุมห้อง

เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น ดวงดาวหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตะวัน เธอนั่งขัดสมาธิเอามือเท้าคาง ถ้าเธอหยิบจับสิ่งของได้ ป่านนี้คงห่มผ้าให้ไปแล้ว

“นี่เธอ เช้าแล้ว ไหนจะตื่นมาทำบุญให้ไง”

“ใส่บาตร!!” ตะวันสะดุ้งขึ้นก่อนจะกรีดร้องด้วยความตกใจ เพราะวิญญาณที่แทนตัวเองว่าดวงดาวนั่งอยู่หน้าเธอห่างกันไม่กี่คืบ “ผี! กริ๊ดดดด ผี!”

“รู้แล้ว โวยวายอยู่ได้” ดวงดาวลุกขึ้นและย้ายตัวเองไปอยู่สุดกำแพงซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับตะวัน “ไกลพอยัง”

“ถ้าจะให้ดีกว่านี้ควรออกนอกห้อง”

“ก็รู้นี่ว่าไปไม่ได้”

“อยู่ตรงนั้นห้ามขยับไปไหนนะ” ตะวันชี้นิ้วสั่งผี จากนั้นจึงค่อยๆ ขยับตัวเองออกจากมุมห้องวิ่งเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแต่งตัว เตรียมซื้อของใส่บาตรทำบุญให้ดวงดาว

แต่ดวงดาวไม่ได้ทำตามคำที่ตะวันบอก เธอกลับเดินรอทั่วห้อง “เป็นระเบียบดีแฮะ” และทันใดนั้นเองประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออก ทั้งสองยืนประจันหน้ากันเข้าอย่างจัง

“กริ๊ดดดด! ก็บอกห้ามขยับไปไหนไง!” ดวงตาของตะวันเบิกกว้างอย่างตกใจ สิ้นเสียงของเธอ ดวงดาวก็หายตัวกลับไปยืนชิดกำแพงที่เดิมทันที

“ก็มันเบื่อนี่ ให้ยืนเฉยๆ”

“เดี๋ยวก็ไม่ทำบุญไปให้หรอก” ตะวันเริ่มที่จะกล้าขู่ เขาว่ากันว่าพวกนี้กลัวจะไม่ได้รับบุญ แต่กับผีตนนี้คาดการณ์อะไรไม่ได้จริงๆ

“ก็ตามใจเธอนะ ดวงดาวก็จะอยู่ด้วยตลอดไป”

“ทำแล้วทำแล้ว ไม่ขู่แล้ว”

ดวงดาวฉีกยิ้มอย่างผู้ชนะ

บทที่สอง ผีหลอก

ตอนนี้ตะวันอยู่ในร้านสะดวกซื้อ เธอกำลังเลือกของโดยมีดวงดาวเดินตามติด ๆ ด้วยอาการตื่นตาตื่นใจกับของกินต่าง ๆ นานา มันแปลกตาสำหรับเธอไปหมดทุกอย่าง

“อันนั้นอะไรอะ โอโห! ขนมปังมีหลายไส้มากเลยอะ อุ๊ยขนมอันนี้ยังมีอยู่เหรอเนี่ย ดวงดาวกินมาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ เลย ยาคูลท์! ดวงดาวเอายาคูลท์ นี่หยิบสิหยิบ” ดวงดาวยืนตัดหน้าตะวันที่ทำท่าจะเมินสิ่งที่เธออยากได้ เธอทำหน้าถมึงทึงยืนเท้าสะเอว

“เอายาคูลท์เพิ่มดีกว่า” ว่าแล้วตะวันก็ถอยหลังเอื้อมมือไปหยิบใส่ตะกร้า

“อุ๊ย! มีทองหยิบทองหยอดแล้วก็ฝอยทองด้วย น่ากินจังเลย” ดวงดาวหยุดอยู่หน้าห่อขนมไทย ทำตาแป๋วมองไม่กะพริบ

ตะวันจึงจำใจต้องหยิบใส่ตะกร้าเพิ่มอีกหนึ่งชิ้นก่อนนำทั้งหมดไปคิดเงิน

หลังจากใส่บาตรเสร็จ ตะวันก็เอ่ยออกเสียง “ขอมอบบุญกุศลที่ได้ทำในวันนี้ให้กับ” ตะวันชำเลืองตามองวิญญาณสาวที่กำลังยืนรับพรไม่ห่างจากตัวเธอ “...ดวงดาว ขอให้ได้รับผลบุญทั้งหมดและกลับไปยังที่ชอบ ๆ เถิด สาธุ”

“ไล่จนถึงวินาทีสุดท้ายเลยนะ”

“แน่สิ ผีก็อยู่ส่วนผี ทำบุญให้แล้ว รีบไปตามที่สัญญาไว้เลยนะ” ตะวันต่อปากต่อคำอย่างลืมตัว เธอชะงักอย่างลืมตัวอีกครั้งว่ามีเธอแค่คนเดียวที่น่าจะเห็นดวงดาว

พระสงฆ์ที่ยืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาวในชุดนักศึกษามองพื้นว่างเปล่าไร้สิ่งมีชีวิตก่อนจะเดินอย่างสำรวมแต่เร่งฝีเท้า

ตะวันหลับตาพนมมือและยิ้มอย่างสบายใจ ในที่สุดเธอก็หลุดพ้นจากดวงดาวสักที ถึงแม้จะโดนรบกวนเพียงคืนเดียว แต่สำหรับเธอมันช่างนานและระทึกใจเหลือเกิน แต่ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นก็ต้องอ้าปากค้าง เธอยังคงเห็นดวงดาวยืนดูดยาคูลท์ที่เธอเพิ่งใส่บาตรไปอย่างสบายใจเฉิบ

ทำไมยังไม่ไปอีก?

ตะวันจึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นว่าดวงดาวยืนอยู่ตรงนั้น เธอหันหลังกลับและตรงกลับไปห้องเพื่อเตรียมอุปกรณ์การเรียนทันที

“ทองหยิบทองหยอดอร่อยจัง กินไหม?” ดวงดาวยื่นขนมไทยต่อหน้าตะวัน “ลืมไปว่ากินไม่ได้ ว๊า...อยากแบ่งให้จังเลย วันหลังต้องลองซื้อมาชิมนะ”

ตะวันทำหน้าตรงไม่ว่อกแว่กต่อสิ่งตรงหน้า เธอเดินทะลุผ่านมือของดวงดาวที่ยืนทองหยิบให้

“นี่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นกันเหรอ ฉันรู้ว่าเห็นแล้วก็ได้ยินด้วย ว่าแต่เธอชื่ออะไร เราดวงดาวนะ ยินดีที่ได้อยู่จัก” ดวงดาวไม่ล้มเลิกความพยายาม เธอเปลี่ยนมาเดินขนานคู่

“จะเมินได้สักกี่น้ำเชียว เพิ่งสังเกตว่าเธอใส่ชุดนักศึกษา ไหนบอกว่าไม่มีเรียนไง โกหกกันนี่นา ไม่ได้นอนทั้งคืนทนไหวเหร๊อออ เอาอย่างนี้ ดวงดาวจะบอกความลับให้ฟัง” คราวนี้แหละตะวันต้องตอบเธอเป็นอย่างแน่นอน

“ความลับที่ว่าก็คือ...ถึงเธอจะทำบุญให้ ดวงดาวก็ยังคงไม่ไหนไม่ได้อยู่ดี เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตรงนี้”

และแล้วมันก็ได้ผล

“หา! เมื่อกี้เธอว่าไงนะ ไหนว่าสัญญาแล้วไงว่าได้บุญแล้วจะไป” ตะวันทนเงียบต่อไปไม่ไหว โพล่งออกไปทันที โชคดีที่เธออยู่ในห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องกังวลว่าใครจะมองว่าเธอคุยคนเดียว

“ดวงดาวไม่ได้ให้สัญญาอะไรทั้งนั้นเลยนะ ดวงดาวแค่ตั้งข้อสันนิษฐาน” ดวงดาวยิ้มหน้าระรื่น

“โอเค พวกเราต้องจับเข่าคุยกันแล้ว” ตะวันฮึดเผชิญหน้ากับวิญญาณตนนี้ “ทำยังไงฉันถึงจะไล่เธอไปให้ไกล ๆ ได้ พอจะรู้ไหม?”

“ก็พอจะรู้นะ คิดว่า” เธอพยักหน้า

“รู้!? ทำไมไม่บอกตั้งแต่เมื่อคืน” ปล่อยให้เธออดหลับอดนอนทั้งคืน

“ก็เธอเรียกมา ถ้าจะให้ไปก็ต้องเรียกกลับ”

“ฉันเนี่ยนะเรียก? ตอนไหน พูด!” ตะวันงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อได้ยินจากปากของดวงดาว

“ก็ไม่รู้อะ ดวงดาวก็อยู่ของดวงดาวดี ๆ แล้วอยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกประมาณว่า ‘ขออัญเชิญผีเร่ร่อน วิญญาณพเนจรหรือสัมภเวสี หากท่านได้ยินและรับรู้ กรุณาปรากฏตัวด้วย พวกเรามิได้ลบหลู่ท่านแต่อย่างใด’ ประมาณนี้นะเท่าที่จำได้”

ตะวันนึกในสิ่งที่ดวงดาวบอก ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เพราะสิ่งที่ดวงดาวบอกนั้นมาจากรายการทีวีที่น้ำอิงเปิดดูเมื่อคืนนั่นเอง

“ทำหน้าแบบนี้แปลกว่านึกออกแล้วว่าเรียกดวงดาวมาตอนไหนสินะ”

กับอีแค่เสียงจากในโทรทัศน์มีอิทธิพลถึงขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย มันบ้าไปแล้ว มันบ้ามาก ๆ แล้วอีกอย่างคนเขาก็ดูกัน ได้ยินกันทั่วบ้านทั่วเมือง แล้วทำไมคนที่แจ็คพอตแตกถึงต้องเป็นเธอด้วย

“ฉันไม่ได้เป็นคนเรียกนะ ใครเรียกก็ตามคนนั้นไปสิ จะมาตามฉันทำไม”

“เธอไม่ได้เรียกแล้วใครเรียก?” ดวงดาวเอียงคอถาม

“พี่ดิวสัมผัสจิต”

“ใครล่ะเนี่ย ดิวสัมผัสจิต ชื่อแปลกจัง” เธอยังคงไม่เข้าใจ

“เขาชื่อดิว มีซิกเซ้น ทำรายการเกี่ยวกับผี ๆ ส่วนที่เธอได้ยินนั้นมันดังมาจากในทีวี ฉันไม่ได้เป็นคนเรียกสักหน่อย” ทำไมเธอต้องมาอธิบายอะไรให้ผีฟังด้วย

“งั้นก็แปลก เพราะพอได้ยินก็พุ่งมาหาเธอทันทีเลย จริงสิเมื่อคืนเจ็บมากไหม เห็นล้ม สภาพดูไม่ได้เลย เปียกปอนไปตัว” ดวงดาวถามเหมือนจะเป็นห่วงแต่ก็แอบขำเล็ก ๆ

“เห็นงั้นเหรอ?” ตะวันนึกว่าจะไม่มีใครเห็นให้อาย ไม่คิดเลยว่าต้องมาอายผี้ที่ใส่ชุดนักศึกษาตัวใหญ่เบ้อเร่อ

“อืมเห็น ก็ตามมาตั้งแต่ในห้องนั่นแหละ ตามติด ๆ ไม่ห่างเลยนะ ห่างไม่ได้ไม่รู้ทำไม”

“สรุปจะไปตอนไหน” ตะวันตัดบท

“ก็บอกแล้วไงว่าจะไปก็ต่อเมื่อมีบทเรียกกลับ”

“อย่างนั้นเหรอ โอเค...ขออัญเชิญผีเร่ร่อน สัมภเวสีที่ชื่อดวงดาวจงกลับไปยังที่ที่จากมาด้วยเถิด เพี้ยง!”

สิ้นการเรียกกลับ ดวงดาวก็ยังคงนั่งยิ้มแฉ่งให้เธอ และไม่ว่าตะวันจะพยายามเปลี่ยนคำพูดอย่างไรก็ไม่ได้ผลสักประโยค

“ไม่ได้ผล ยังอยู่ที่เดิมเลยอะ” ดวงดาวพูดขึ้นอย่างใสซื่อ เธอมองไปรอบ ๆ ตัวเอง

“รู้ว่าไม่ได้ผล!” ตะวันตอบอย่างหัวเสีย หรือเธอต้องมีวิญญาณที่ชื่อดวงดาววนเวียนข้างกายไปตลอดชีวิต เมื่อคิดอย่างนั้นก็แอบวิตกหวั่นใจ

“มีเรียนกี่โมง” ดวงดาวถาม

“เก้าครึ่ง”

“ไม่ไปเหรอ นี่เก้าโมงยี่สิบแล้วนะ”

“ว-ว่าไงนะ! ทำไมไม่รีบบอกเล่า!” ตะวันลุกพรวด คว้ากระเป๋าเป้ขึ้นสะพายหลัง

“ก็ไม่ถาม อีกอย่างดวงดาวไม่รู้ว่าเธอมีเรียนกี่โมง”

วันนี้ตะวันมีสอบเก็บคะแนนคณิตศาสตร์ เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้ของเธอที่อุตส่าห์หนีตัวเลขมาเรียนศิลปะก็ดันเจอวิชาบังคับมีตัวเลขและการคำนวณเสียอย่างนั้น

เธอควบมอเตอร์ไซค์บิดอย่างไม่คิดชีวิต มุ่งตรงไปยังคณะทันที โดยมีดวงดาวนั่งซ้อนท้ายไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ขับเร็วเกินไปแล้ว” ดวงดาวเตือน

“ก็เพราะใครล่ะ!” ตะวันตอบอย่างหัวเสีย ถ้าไม่ใช่เพราะดวงดาวป่านนี้เธอคงนอนหลับเต็มอิ่ม หัวสมองปลอดโปร่งไม่ลืมว่าวันนี้มีสอบหรอก

“ดวงดาวไม่เกี่ยว อย่าโทษกัน”

ตะวันไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไรต่อ เมื่อถึงคณะเธอก็รีบวิ่งตรงไปยังห้องเรียนทันที เธอผลักประตูพรวดพราด เพื่อน ๆ ในห้องต่างหันมองเป็นตาเดียว และบนโต๊ะมีกระดาษวางคว่ำอยู่

“ขอโทษค่ะ” จากนั้นตะวันจึงรีบหาที่ว่างนั่ง

“นางสาวตะวัน สายนะเธอ ฉันเกือบล็อกห้องแล้ว” อาจารย์เจ้าของวิชาเอ่ยตำหนิ

“ขอโทษค่ะ”

“ส่งชีทไปให้เพื่อนด้วย” อาจารย์บอกเพื่อนที่อยู่แถวหน้าก่อนจะยื่นชีทข้อสอบเพื่อส่งให้นักศึกษาผู้มาสาย

“ทำไมมาสาย” น้ำอิงถามในขณะที่ส่งชีทที่ส่งกันมาจากข้างหน้าให้ตะวัน

“มีเรื่องให้ปวดหัวนิดหน่อยน่ะ”

“ได้ครบกันทุกคนแล้วนะคะ เปิดและเริ่มทำข้อสอบได้ค่ะ”

เมื่อสิ้นเสียงของอาจารย์ นักศึกษาทุกคนก็พลิกกระดาษข้อสอบขึ้นดูรวมทั้งตะวัน เมื่อเธอได้เห็นโจทย์ก็กลืนน้ำลายฝืด ๆ ลงลำคอทันที

ทำไมมันยากขนาดนี้ ข้อสอบปรนัยเธอยังไม่รอด แต่นี่เป็นถึงอัตนัย เขียนล้วน ๆ พร้อมให้แสดงวิธีทำ ใครจะไปจำสูตรได้!

“ใครจะไปทำได้วะ” เธอสบถกับตัวเองเบา ๆ

“ดวงดาวไงทำได้ ง่ายมากเลยตะวันทำไม่ได้เหรอ?” ดวงดาวชะโงกหน้าดูโจทย์ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างสบาย ๆ และคราวนี้เธอก็รู้ชื่อของตะวันแล้ว รู้จากอาจารย์และเพื่อนเรียก

“ถ้าง่ายก็มาทำเองไหมล่ะ ขี้อวด!”

“นางสาวตะวัน เริ่มสอบแล้วนะคะ” อาจารย์เตือน

ตะวันเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนก้มหน้าจดจ่อกับข้อสอบต่อ

“เริ่มสอบแล้ว ไม่เสียงดังรบกวนเพื่อนสิตะวัน” ดวงดาวเสริม

“ก็...” ตะวันตัดใจไม่เถียงออกไป ไม่งั้นเธอคงโดนอาจารย์เรียกเป็นครั้งที่สองแน่

เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า ๆ โดยมีดวงดาวพูดไปเรื่อยตั้งแต่ต้นชั่วโมงจนถึงตอนนี้ และตะวันยังคงหาคำตอบในหลายข้อไม่ได้

“ข้อนี้ไม่ได้ตอบแบบนี้ ทำผิดแล้วตะวัน ต้องหาค่าตัวนี้ก่อนแล้วค่อยย้ายมันไปไว้ตรงนี้ จากนั้นค่อยหาค่าของตรงนี้ต่อ” ดวงดาวชี้นิ้วอธิบายเป็นขั้นเป็นตอน

“ยุ่งน่า” ตะวันกัดฟันพูดเพื่อให้เสียงเล็ดลอดน้อยที่สุด

“เหลือเวลาอีกแค่ชั่วโมงนิด ๆ เอง แล้วนี่ตะวันจะทำเสร็จทันเหรอ ว่างหลายข้อขนาดนี้ไม่น่ารอด ดวงดาวช่วยได้นะ” เธอเสนอตัว

“ช่วยอยู่เฉย ๆ แล้วเงียบก็พอ!”

“นางสาวตะวัน! ฉันเห็นปากเธอขยับมุบมิบมาสักพักแล้วนะ ถ้าทำเสร็จแล้วก็เอามาส่ง อย่ารบกวนสมาธิเพื่อน”

“ยังไม่เสร็จค่ะ ขอโทษค่ะ” ตะวันยืนขึ้นขอโทษก่อนหันไปจ้องหน้าดวงดาวอย่างเอาเรื่อง

“อย่าให้มีครั้งต่อไป” อาจารย์ประจำวิชาเตือน

“ค่า”

“มา เรามาเริ่มข้อนี้ก่อนเลย” ดวงดาวชี้ข้อแรกสุดที่ยังคงว่างเปล่า

“จิ๊!” ตะวันปัดมือดวงดาวออก แต่ลืมไปว่าปัดยังไงก็ไม่มีทางโดน

“ตกลง ตกลง ดวงดาวไม่ยุ่งแล้วก็ได้ ดวงดาวจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมของตะวันแล้วกัน ตกก็แค่เรียนใหม่กับรุ่นน้องเอง” ดวงดาวเปรย

‘โอเค งั้นทำยังไง เอาให้หมดทุกข้อ’ ตะวันไม่เปล่งเสียงออกมาทำเพียงขยับปาก

รอให้ออกจากห้องสอบก่อนเถอะ เธอจะหาวิธีไล่ผีตนนี้ออกไปจากรอบตัวให้ได้ ไม่ว่าข้าวสารเสก น้ำมนต์หรืออะไรก็ตามที่สามารถไล่ดวงดาวได้ แต่ตอนนี้เอาตัวรอดจากข้อสอบพวกนี้โดยการทำตามที่ผีที่ชื่อดวงดาวบอกไปก่อนก็แล้วกัน ยังไงก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว คงไม่เสียหายอะไรมาก

“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง ตะวันต้องเอาตรงนี้ย้ายมานี่ก่อน แล้วจากนั้น...” ดวงดาวกำลังจะอธิบายต่อ แต่ตะวันวางปากกาลง เธอจึงมองอีกฝ่ายว่าต้องการอะไร

‘ไม่ต้องอธิบาย บอกมาเลยว่าต้องทำยังไง นี่สอบนะ ไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวัน’ ขืนดวงดาวอธิบายละเอียดแบบนี้มีหวังข้อแรกก็ไม่เสร็จ

“โทษที ลืมไปว่าสอบ” เธอจะบอกวิธีทำและคำตอบให้ก่อน หลังจากสอบเสร็จเธอตั้งใจจะจับตะวันมานั่งฟังเธออธิบายให้สมองสร้างรอยหยักสำหรับเรื่องพวกนี้

หลังจากนั้นดวงดาวก็บอกวิธีและคำตอบที่ถูกต้องให้กับตะวัน รวมไปถึงแก้ข้ออื่น ๆ ที่เธอทำเสร็จไปแล้วแต่คำตอบไม่ถูกต้อง

“หมดเวลาค่ะ ที่เหลือส่งข้อสอบ”

ครบสามชั่วโมงอาจารย์ก็ประกาศขึ้น นักศึกษาบางคนที่ยังคงอยู่ในห้องสอบก็ทยอยกันไปส่ง บางคนก็ทำไม่ทัน ว่างไปหลายข้อ ส่วนตะวันนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เธอทำครบทุกข้อไม่มีข้อไหนเว้นว่างไว้ ถึงเธอจะไม่ค่อยเชื่อใจดวงดาวก็เถอะ แต่ก็ดีกว่าส่งกระดาษโล่ง ๆ

“ไอ้ตะวัน! ทำไมวันนี้ดูเพลีย ๆ แล้วตอนอยู่ในห้องสอบแกเป็นไรวะ?” น้ำอิงเดินเข้ามาถามตะวันที่กำลังเก็บของลงกระเป๋า

“ก็เพราะไอ้รายการผีเฮงซวยที่แกชอบดูนั่นแหละ!” ตะวันบอกอย่างหัวเสีย

น้ำอิงขมวดคิ้วกับคำพูดของเพื่อน “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสอบหรือ...อย่าบอกนะว่าแกกลัวผีจนหลอนนอนไม่หลับ? ปรกติแกก็ไม่เป็นนี่หว่า” น้ำอิงเกาหัวแกรก ๆ คราวก่อนที่ตะวันมาทำงานกลุ่มที่ห้อง เธอเองก็เปิดดู ก็ไม่เห็นว่าตะวันจะมีอาการกลัวผีจนนอนไม่หลับเหมือนครั้งนี้

“ฉันเคยบอกแล้วไงว่าไม่ได้กลัวผี แต่อีรายการโปรดแกเนี่ย ครั้งนี้มันทำให้ฉันซวยยิ่งกว่าซวย โอ๊ย...พูดไปเดี๋ยวแกก็หาว่าเพ้อเจ้อ”

“เล่ามาก่อน เดี๋ยวตัดสินใจเอง”

“ก็ได้”

และตะวันก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนให้เพื่อนอย่างน้ำอิงและเจนที่เพิ่งเข้ามาฟังเหตุการณ์ให้ฟัง

“เพ้อเจ้อ! /เพ้อเจ้อ!” ทั้งน้ำอิงและเจนพูดพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

“นั่นไง ก็บอกแล้ว แต่ที่เล่ามันคือเรื่องจริงนะเว้ย” ตะวันยืนยัน

“กลับไปนอนพักผ่อนไปแกน่ะ” น้ำอิงไล่

“เออ ไปนอนไป สงสัยเห็นข้อสอบเมื่อกี้ถึงกับเพี้ยน” เจนเสริม

“พวกแกไม่เชื่อก็แล้วแต่...แล้วเธอหัวเราะอะไร มันตลกนักเหรอไง” ประโยคหลังตะวันพูดกับดวงดาวที่กำลังยืนหัวเราะเพราะไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่ตะวันเล่าออกไป

“พวกฉันไม่ได้หัวเราะ” เจนเอ่ยขึ้น

“ฉันไม่ได้บอกพวกแก ฉันบอกนี้” เธอชี้ข้าง ๆ

“ไม่เห็นมีอะไร”

“ก็พวกแกไม่เห็นไง มีแต่ฉันที่เห็น จะเป็นประสาทตายอยู่แล้ว ไม่รู้แหละพรุ่งนี้ฉันโดดเรียน พวกแกจดเลคเชอร์ให้ด้วยแล้วกันนะ”

“แกจะไปไหนตะวัน?” เจนถาม

“นั่นสิจะไปไหน ปรกติเห็นไม่อยากขาดเรียน” น้ำอิงเสริม

“นั่นสิ จะไปไหน” ดวงดาวพยักหน้าเห็นด้วยกับเจนและน้ำอิง

“ไปวัด!”

“ไปทำไมอะ?” คราวนี้ดวงดาวเป็นฝ่ายถาม

“ไล่เธอไปไกล ๆ ไง จับถ่วงน้ำเลยยิ่งดี!” พูดจบตะวันก่อนคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายก่อนเดินลงอาคารไป โดยทิ้งให้น้ำอิงและเจนมองตามอย่างประหลาดใจ

วันนี้พวกเธอคงต้องปล่อยให้ตะวันกลับไปพักผ่อน นอนสักตื่นเดี๋ยวก็คงจะหาย เพื่อนของพวกเธอคงเครียดกับการเรียนมากเกินไปแน่ ๆ

บทที่สาม หาวิธีไล่ผี​ + แจ้ง​ Ebook

“พรุ่งนี้จะโดดเรียนจริง ๆ เหรอ มันไม่ดีนะรู้เปล่า ถ้าเรียนไม่ทันเพื่อนล่ะ” ดวงดาวถามอย่างเป็นห่วง แต่แท้ที่จริงแล้วเธอกลัวจะถูกจับถ่วงน้ำตามที่ตะวันพูด

“ถ้ามันจำเป็นก็ต้องโดด”

“แต่ดวงดาวว่ามันไม่จำเป็นนะ”

“เธอช่วยเงียบ ๆ หน่อยได้ไหม จะนอน!” ความง่วงทำให้ตะวันไม่คิดกลัวดวงดาวที่มาอยู่ร่วมห้องแล้ว

“ปิดไฟไหม เดี๋ยวดวงดาวปิดให้” เธอเสนอ

“ไม่” ตะวันต้องการเปิดไฟสว่างทั่วห้องแบบนี้แหละดีแล้ว เธอยังคงไม่ไว้วางใจดวงดาวสักเท่าไหร่ อย่างไรเสียดวงดาวก็เป็นผี ถ้าห้องมืดเดี๋ยวบรรยากาศมันจะยิ่งได้ “อ้อ ในระหว่างที่ฉันหลับ เธอช่วยไปอยู่ไกล ๆ หรืออยู่ในห้องน้ำไปเลยยิ่งดี” เมื่อเธอตื่นขึ้นมาจะได้ไม่ตกใจดวงดาวที่วงเวียนเดินเล่นอยู่ในห้อง

“ตะวัน...ตะวัน” ดวงดาวเรียก แต่ตะวันหลับไปแล้ว จากนั้นดวงดาวจึงนั่งลงที่โต๊ะอ่านหนังสือแกว่งขาฆ่าเวลารอตะวันตื่น เธอฟุบหน้าลงด้วยความเบื่อ นอนมองดินสอที่วางไว้พลางเอานิ้วชี้เขี่ย แต่ทว่านิ้วกลับทะลุและดินสอก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด เธอจึงเปลี่ยนไปใช้ปากเป่าแทน แต่ก็เหมือนเดิม สรุปแล้วเธอไม่สามารถหยิบจับหรือทำให้สิ่งของอะไรเคลื่อนไหวได้เลย

“ตะวัน” ดวงดาวหันไปเรียกอีกรอบ “หื้ม? ตื่นแล้วเหรอ” ดวงดาวเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ เธอเห็นตะวันขยับตัวอยู่บนเตียง จึงรีบพุ่งเข้าไปหา

“อ่าว ยังไม่ตื่น” เธอเอ่ยอย่างผิดหวัง เธอเบื่อจะแย่อยู่แล้ว ตลอดเวลาไม่มีใครเห็นและสื่อสารคุยกับเธอได้สักคน จนกระทั่งในคืนนั้นที่ดิวอะไรสักอย่างเรียกและเธอก็มาเจอตะวัน ที่สำคัญตะวันเป็นคนแรกที่เห็นเธอ ดวงดาวจึงตื่นเต้นเป็นพิเศษที่จะได้พูดคุยกับใครสักคน

ดวงดาวโน้มตัวลงและจ้องหน้าตะวันใกล้ ๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า หากตะวันตื่นขึ้นมาและเห็นเธออยู่ใกล้ขนาดนี้ คงโวยวายร้องลั่นหอแน่ ๆ เมื่อนึกได้อย่างนั้นดวงดาวจึงยืนตัวตรงและย้ายตัวเองไปรอตะวันในห้องน้ำแทน

ดวงดาวยืนอยู่หน้ากระจก ยกมือขึ้นแตะก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แม้แต่หน้าตัวเองเธอยังไม่สามารถเห็นมันได้เลย

สี่ชั่วโมงผ่านไปหลังจากสอบเสร็จ ตะวันที่นอนอยู่ก็ตื่นขึ้นอย่างสดใส เธอลุกขึ้นบิดขี้เกียจสองสามทีก่อนเดินเข้าห้องน้ำ

ตะวันเปิดก๊อกวักน้ำล้างหน้า เธอเห็นเงาอะไรบางอย่างแว็บ ๆ อยู่ด้านหลัง จึงหันกลับไปดู....

“กริ๊ดดดดดดดดดดดดด ผี!” ตะวันหลับตาปี๋ ชี้ไปที่ดวงดาวที่นั่งอยู่บนฝาชักโครก เธอผลักประตูออกไปนอกห้องทันที

“ดวงดาวเองไม่ใช่ผี ตะวันใจเย็นก่อน นี่ดวงดาวเอง” ดวงดาวรีบดักหน้าตะวันไม่ให้ตะวันวิ่งเตลิดเปิดเปิงไปไกลมากกว่านี้

“ดวงดาว?” ตะวันฉุกคิดนิดหนึ่ง

“อื้ม ดวงดาวเอง”

ตะวันเอามือทาบอก อย่างนี้นี่ก็ไม่ใช่ผีตนอื่น “ว่าแต่ว่ากล้าเนาะที่บอกว่าไม่ใช่ผี ใครใช้ให้ไปนั่งเงียบ ๆ ในห้องน้ำฮะ! ตกใจหมด หัวใจจะวายตาย” ตะวันแว๊ดขึ้น

ดวงดาวค่อย ๆ ยกมือขึ้นชี้เจ้าของห้อง

“ฉัน? เธอชี้ฉัน?”

“ใช่ ก่อนหน้านี้ตะวันบอกให้ดวงดาวไปนั่งไกล ๆ หรือเข้าไปในห้องน้ำก็ดี”

จริงสิ เธอเป็นคนบอกเอง

“ก-ก็ส่งเสียงหน่อยไม่ใช่เงียบเป็นผี”

“ก็ดวงดาวเป็นผี”

ตะวันเหล่มองอย่างเซ็ง ๆ ก่อนเปิดประตูเข้าห้องตามเดิม โชคดีที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเช้า ถ้าหากเกิดขึ้นในเวลากลางคืน ห้องอื่น ๆ คงได้สาปส่งแน่ ๆ

“วันนี้ตะวันมีแค่สอบคณิตเหรอ วิชาอื่นมีไหม” ดวงดาวถามขึ้นเพื่อไม่ให้ห้องเงียบ

“อื้มมีวิชาเดียว” ตะวันตอบส่ง ๆ

“หลังจากที่ดวงดาวเห็นตะวันทำข้อสอบวันนี้ ดวงดาวเลยจะอาสาเป็นอาจารย์พิเศษให้ตะวันเอง ดีไหม ความคิดดวงดาวดีใช่ไหม”

“ไม่ได้ขอร้อง ไม่ต้องอาสา...เห้ย!” ตะวันสะดุ้งตกจากเตียง เมื่ออยู่ ๆ ดวงดาวก็หายจากฝั่งนู้นมาฝั่งนี้ แถมยังใกล้เธอถึงขั้นแตะตัวกันได้ ถ้าสามารถแตะได้

“ดวงดาวว่าตะวันขวัญอ่อนไปนะบางที”

“ใครเจอแบบฉันก็เป็นกันทุกคนนั่นแหละ แล้วก็กรุณาเดินมาดี ๆ ไม่ใช่คิดอยากจะหายจากตรงนั้นไปตรงนี้ตามใจชอบ” เธอไม่ได้ขวัญอ่อน แต่ให้มาอยู่มาคุยกับสิ่งลี้ลับอย่างดวงดาว เป็นใครใครก็ต้องมีหวั่นมีสะดุ้ง

“จะพยายามแล้วกันนะ” เธอไม่รับปาก เพราะดวงดาวชินกับการหายไปหายมามากกว่า มันเร็วและสะดวก “ส่วนเรื่องสอนจะให้ดวงดาวสอนเมื่อไหร่ก็บอกมาได้ทุกเมื่อนะ ดวงดาวเต็มใจ”

“ขอบใจ แต่ไม่เป็นไร” เธอคงไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากดวงดาวหรอก ในเมื่อวันพรุ่งนี้เธอก็จะหาวิธีกำจัดดวงดาวไปให้พ้น ๆ เมื่อคิดอย่างนี้แล้วตะวันก็อดที่จะยิ้มกริ่มไม่ได้ เธออยากให้ถึงวันพรุ่งนี้จะแย่อยู่แล้ว

“ตะวัน”

ตะวัน ตะวัน ตะวัน ตะวัน นี่คือเสียงเรียกของดวงดาวที่ดังก้องในหัวของตะวันทั้งวัน “เลิกเรียกฉันสักที ฉันรู้แล้วว่าฉันชื่อตะวัน” เธออยากอยู่เงียบ ๆ บ้างเหมือนทุกวัน เธอไม่ชินเอาเสียเลยแถมรำคาญมากด้วย

“ก็ดวงดาวดีใจนี่นาที่มีคนคุยด้วย แล้วก็ดีใจด้วยที่รู้จักชื่อเธอ พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ”

“เธอรู้ชื่อฉันเพราะคนอื่น ๆ เรียก ส่วนไอ้ประโยคหลังอย่าได้หวัง ฉันไม่มีวันเป็นเพื่อนกับผี ไม่ว่าจะเป็นผีตัวไหนก็ตาม!”

“แล้วก็ไม่ต้องตามมานะ” ตะวันเดินหัวเสียงออกจากห้องไป ตั้งแต่สอบกลับมายังไม่มีอะไรตกทิ้งท้องเลยสักนิด

ตรงข้ามหอของตะวันเป็นร้านอาหารเจ้าประจำ เธอสั่งมักกะโรนีเมนูประจำ ในขณะที่กำลังตักอาหารเข้าปากนั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบดวงดาวนั่งยิ้มอยู่ตรงหน้า ตะวันวางช้อนลงแต่ดวงดาวรีบพูดแทรกขึ้น

“ดวงดาวไม่ได้ตั้งใจจะตามมานะ แต่ตะวันลืมไปแล้วเหรอว่าตะวันไปไหนดวงดาวก็ไปด้วย ดวงดาวห่างตะวันไม่ได้ แล้วตรงนี้คนเยอะด้วยสิ” ดวงดาวมองไปรอบ ๆ เธอบอกตะวันเป็นนัย ๆ หากตะวันเอะอะเสียงดังขึ้น คนอื่นคงคิดว่าเธอเป็นบ้าคุยคนเดียว

ตะวันรีบยัดมักกะโรนีเข้าปาก เคี้ยวตุ้ย ๆ หมดหนึ่งคำก็รับตักคำที่สองสามสี่เข้าไปทันที กินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

แค่ก ๆ จนในที่สุดเธอก็สำลักจนได้

“คิดไว้แล้วเชียวว่าต้องสำลัก” ดวงดาวที่นั่งดูตะวันกินเอ่ยขึ้น

ตะวันรินน้ำก่อนยกขึ้นให้คล่องคอ จากนั้นจึงหยิบหูฟังไร้สายขึ้นมาใส่ ถ้าเธอไม่ได้พูดอะไรสักอย่างออกไปคงขาดใจตาย

“เงียบน่า พูดมาก คนจะกินข้าว” เธอจ้องดวงดาว

“ไม่กลัวคนอื่นว่าพูดคนเดียวรึไง” ดวงดาวถามพลางทำหน้าเหนือใส่ ยักคิ้วขึ้น

“ใส่หูฟังแล้ว จะพูดอะไรก็ได้ จะด่าเธอก็ยังได้” ตะวันชี้ไปที่หูฟังที่เสียบไว้

“หูฟัง?” จากที่ดวงดาวนั่งอยู่ก็หายมาด้านข้างตะวันทันที ก้ม ๆ เงย ๆ จ้องหูฟังประหลาด “ทำไมไม่มีสาย อย่ามาหลอกกัน”

“ก็หูฟังไร้สายไง ไม่รู้หรือไง” ตะวันประชด “แล้วบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เดินมาดี ๆ ไม่งั้นจะจับถ่วงน้ำจริงด้วย”

ดวงดาวไม่ได้ในใจในสิ่งที่ตะวันพูดเลยสักนิด เพราะเธอกำลังสงสัยฉงนใจกับเจ้าหูฟังไร้สายอยู่

“ไม่มีสายแล้วเสียงออกได้ไง ดวงดาวว่าตะวันมั่วแล้วแหละ หลอกใครไม่หลอกมาหลอกดวงดาวผู้ได้ที่หนึ่งของห้อง”

“มาจากหลุมไหนวะเนี่ย” ตะวันบ่น หลังจากนั้นจึงจ่ายเงินค่าอาหารเรียบร้อยแล้วก็กลับห้องทันที วันนี้ตะวันเหนื่อยเกินกว่าที่จะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก

ในขณะที่ดวงดาวกำลังนั่งเบื่อ ๆ ในห้อง อยู่ ๆ ก็มีเสียงเพลงดังขึ้น เธอมองไปรอบห้องเพื่อหาที่มาของเสียง ดวงดาวขมวดคิ้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ก่อนที่เสียงมันจะหายไป แต่ตามมาด้วยเสียงของตะวันแทน

“ฮัลโหลว่าไง จะโทรมาถามว่าหายเพี้ยนใช่ไหม”

[เออสิ!]

“แกโทรมาก็ดีแล้วน้ำอิง มีวัดขลัง ๆ แนะนำไหม”

[มันยังไม่หายเอ๋อเลยวะเจน มันถามว่ามีวัดไหนขลัง หาให้มันหน่อย] เสียงของปลายสายที่หันไปคุยกับอีกคน

[ฉันว่าแกควรไปนอนอีกสักตื่น] คราวนี้เจนเป็นคนพูด

“นอนอีกกี่ตื่นก็เหมือนเดิมโว้ย เร็ว รีบหามาให้เดี๋ยวนี้เลย”

[เออ ๆ ฉันรู้จักอยู่ที่หนึ่ง ใกล้กับมหาลัยเรา เดี๋ยวส่งโลฯ ให้]

“ขอบใจที่ไม่ขัด”

[ขัดจนไม่รู้จะยังไงแล้ว เอาที่แกสบายใจ] เจนและน้ำอิงปล่อยให้ตะวันทำตามที่เธอเชื่อ หากมันทำให้เพื่อนของเธอสบายใจ

“เค แค่นี้แหละ พรุ่งนี้อย่าลืมจดให้ด้วยล่ะ ถ้าคาบบ่ายไปทันก็จะเข้าอยู่”

เมื่อตะวันวางสายจากเพื่อนทั้งสอง ดวงดาวก็หายมานั่งข้าง ๆ เธอทันที โดยมีจุดหมายอยู่ที่เครื่องเล็ก ๆ สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ตะวันเพิ่งคุยกับบางคนและวางมันลง

ดวงดาวสอดส่องมันอย่างประหลาดใจ “ตะวัน! ไอ้นี่คืออะไร”

“เห้ย ตกใจกหมด บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำแบบนี้ ทำไมไม่ฟังกันบ้างเลย” ตะวันตบหน้าอกตัวเองเบา ๆ เป็นการเรียกขวัญ

“สรุปไอ้ที่ตะวันพูดคนเดียวโดยมีไอ้เจ้านี้แนบหู มันคือไรเหรอ” ดวงดาวถามพลางมองตาปริบ

“มือถือไง โทรศัพท์มือถือ อย่าบอกว่าไม่รู้จักมือถือ!? อะไรวะ หูฟังก็ไม่รู้จัก แล้วนี่ยังจะไม่รู้จักมือถืออีก”

“รู้จักสิ แต่รูปทรงมันแปลก ๆ นะ”

“แปลกยังไง?”

“ไม่เห็นมีปุ่มตัวเลขเลย แล้วทำไมมันบางแบบนี้ เสาอากาศก็ไม่เห็นมี”

“เสาอากาศ? เสาอะไร? นี่สมาร์ทโฟน รุ่นแบบมีปุ่มก็ยังมีอยู่แต่ไม่นิยมกันแล้ว ล้าสมัย”

“สมาร์ทโฟน?”

“ไม่รู้จักอีก” ตะวันกลอกตาขึ้น เจอผีว่าแย่แล้ว เจอแต่ละคำถามของดวงดาวที่ถามออกมาแย่ยิ่งกว่า

“ตะวันลองเปิดหน้าจอให้ดูหน่อยสิ นะ นะ” ดวงดาวรบเร้า เธออยากเห็นการทำงานของมือถือเครื่องนี้

“ไม่ ฉันจะนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

“ไปวัดน่ะเหรอ”

“ใช่สิ!”

“ตะวันใจร้าย ทำร้ายผีไม่มีทางสู้อย่างดวงดาว” เธอทำหน้างอ

“เลิกพูดได้แล้ว คืนนี้ช่วยอยู่เงียบ ๆ แล้วก็ไกล ๆ ด้วย”

“ไม่...”

ตะวันรู้ว่าดวงดาวจะพูดอะไรจึงรีบแทรกขึ้น “ไม่ปิดไฟอะไรทั้งนั้น แล้วก็เงียบได้แล้ว!” เธอยังคงไม่ว่างใจหากจะต้องปิดไฟมืด ๆ และอยู่กับดวงดาวสองต่อสอง ทน ๆ นอนแบบสว่าง ๆ อีกสักคืนคงไม่ลำบากอะไรมาก ถ้าเทียบกับความสบายใจ

เช้าวันถัดมา

เมื่อตะวันลืมตาขึ้น สิ่งที่ทำเป็นอันดับแรกก็คือสอดส่องไปทั่วห้องอย่างระแวง เมื่อเจอเป้าหมายที่กำลังนั่งหันหลังอยู่บนที่โต๊ะอ่านหนังสือเธอที่เดิม จึงสั่งให้อยู่เฉย ๆ ห้ามขยับไปไหนจนกว่าเธอจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ

“ตะวันจะไปวัดจริง ๆ เหรอ” ดวงดาวถามอีกครั้ง

“อืม”

ตะวันขับรถไม่ถึงสิบหน้านาทีก็มาถึงหน้าวัด เธอยืนมองประตูก่อนเหล่มองดวงดาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอไม่รอช้ารีบเดินผ่านเข้าไปทันที แต่ดวงดาวไม่ได้ตามมาด้วย ตะวันยกยิ้มอย่างพึงพอใจ

ผีกับวัดไม่ใช่ของคู่กัน

“เธอไม่ตามฉันมาล่ะ” ตะวันแกล้งถาม

“เดี๋ยวแล้วกัน” ในระหว่างที่ดวงดาวตอบตะวัน เธอกำลังมองบางอย่างแล้วจากนั้นจึงหายวับไป

เมื่อตะวันเห็นดังนั้นก็ยิ้มมุมปากอีกครั้ง ดวงดาวห่างจากเธอไปอีกขั้น ต้องขอบคุณสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

ตอนนี้เธอนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีทองเหลืออร่าม เธอยกมือขึ้นไหว้ขอพรภาวนาอย่างเคารพนับถือ กราบพระประทานสามครั้งก่อนหันไปกราบพระสงฆ์

“หลวงพี่เจ้าคะ คือหนูมีเรื่องอยากปรึกษาเจ้าค่ะ”

“มีอะไรให้อาตมาช่วยล่ะโยม”

“หนูอยากได้น้ำมนต์เจ้าค่ะ พอมีไหมเจ้าคะ ขอแบบปลุกเสกขลัง ๆ หรือจะเป็นข้าวสารเสกก็ได้นะเจ้าคะ”

สีหน้าพระใหม่ฉายความสงสัยขึ้นทันที หลังจากที่ตะวันตามจบ

“คือว่าช่วงนี้หนูรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เหมือนมีสิ่งลี้ลับอยู่รอบ ๆ ตัว อยากได้มาไว้ให้อุ่นใจ” เธออธิบายเพิ่ม

“ข้าวสารเสกอาตมาไม่มีหรอกนะโยม”

“น้ำมนต์ก็ได้เจ้าค่ะ” อย่างไรเสียทุกวัดต้องมีน้ำมนต์อยู่แล้ว

“โยมสามารถไปตักเอาได้ในโอ่งที่อยู่ตรงนั้น”

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ เอ่อ...คือว่าถ้าน้ำมนต์มันไล่ผีไม่ได้ หนูควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ” ตะวันถามเผื่อไว้

“อาตมาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะโยม อาตมาเป็นเพิ่งบวชเมื่อวาน อาตมาคิดว่าสวดมนต์น่าจะพอช่วยได้”

ช่วยไม่ได้ค่ะ แถมสวดตามอีกต่างหาก ตะวันอยากจะตอบกลับไปเหลือเกิน “งั้นขอตัวก่อนนะคะ ไม่รบกวนท่านแล้ว” ตะวันปล่อยให้พระใหม่รับสังฆทานจากญาติโยมคนอื่น ๆ ต่อ

ตะวันหยิบขวดพลาสติกเปล่าที่เตรียมมา เปิดและกรอกน้ำมนต์ลงไปทันที เธอยกมือขึ้นหลังจากปิดขวดแล้ว “ขอให้ได้ผลทีเถิดดดดด”

“ไหว้ขออะไรเหรอ แถวนี้ไม่เห็นมีอะไรเลยนอกจากโกศ” ดวงดาวที่เพิ่งโผล่มาถามขึ้น พร้อมสอดส่องไปทั่วบริเวณ “นี่หลุมคนรู้จักของตะวันเหรอ ที่แท้ก็มาไหว้นี่เอง ดวงดาวก็นึกว่ามาเพื่อไล่ดวงดาวซะอีก” เธอบอกอย่างโล่งใจ

เมื่อสิ้นเสียงของดวงดาว ตะวันตกใจยกใหญ่ “ธ-เธอเข้ามาในวัดได้ด้วยเหรอ”

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” ในเมื่อวัดนี้เป็นวัดที่เธออยู่ เพียงแต่ตะวันไม่รู้เท่านั้น เรื่องนี้เธอจะไม่บอกตะวันเด็ดขาด

ขนาดวัดผีดวงดาวยังเข้ามาได้ แล้วน้ำมนต์ที่ถืออยู่ในมือจะได้ผลเหรอ สงสัยต้องลองเสี่ยงดู ตะวันยืนกำขวดน้ำพลางคิด หากเธอเปิดสาดตรงนี้ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาคงมองแปลก ๆ อดทนรอจนกว่าจะถึงห้องก็แล้วกัน

“ตะวันยังไม่ตอบดวงดาวเลย ทำไมดวงดาวถึงจะเข้ามาไม่ได้ ตะวัน” ดวงดาวเรียกตะวันที่อยู่ ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป เหมือนโมโหอะไรสักอย่างและตรงไปที่รถอย่างรวดเร็ว

“ตะวันเป็นอะไร เงียบตั้งแต่ที่วัดจนถึงห้อง” ดวงดาวยังคงซื่อ

ตะวันถอนหายใจเฮือกยาว หยิบขวดน้ำมนต์ขึ้นเปิดฝา จ้องดวงดาวสลับกับสิ่งที่อยู่ในมือ จากนั้นเธอก็ตัดสินใจสาดน้ำปริมาณหนึ่งเพื่อลอง

“เห้ย! น้ำอะไรน่ะ สาดใส่ทำไม?” ดวงดาวกระโดดหนี

ร้องแบบนี้แสดงว่า... “ร้อนล่ะสิ! นี่น้ำมนต์ไงล่ะ! หึหึ” เธอเตรียมเทและสาดอีก

“ตะวันอย่า อย่า มันจะ...” ดวงดาวยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ตะวันก็สาดเข้าเต็ม ๆ ยกใหญ่ จนน้ำหมดขวด

“อ่าวเห้ย ทำไม...ทำไมไม่เป็นอะไรเลย” ตะวันเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ ในเมื่อก่อนหน้านี่ดวงดาวร้องโหยหวน แล้วทำไมสาดอีกรอบถึงไม่เป็นอะไรเลย

“ดวงดาวจะบอกตะวันว่าอย่าสาดมันจะเปียก เห็นไหมเปียกพื้นห้องหมดแล้ว อุ๊ย เหมือนจะโดนกองกระดาษนี่ด้วย” เธอชี้บอก

“ว๊ายยยย ชีท! งาน!” ตะวันโยนขวดเปล่าทิ้ง รีบยกกองกระดาษที่เปียกน้ำรอมร่อขึ้น เธอสำรวจตรวจประเมินความเสียหายด้วยสายตา “ดีนะไม่เละ”

“ตะวันระวังลื่นน...ะ” ไม่ทันขาดคำ ตะวันที่กำลังจะเอาชีทในมือไปเก็บก็ลื่นหงายหลัง ของในมือปลิวกระจายไปทั่ว

“โอ๊ยยยย อู๊ยยย” เธอลูบก้นกบก่อนจะหันมาตวาดใส่ดวงดาว “ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี่เล่า!”

“อ่าว ดวงดาวผิดเหรอ” เธอกะพริบตาปริบ ๆ “อยากช่วยตะวันเก็บจัง ถ้าทำได้นะ” ดวงดาวนั่งลงยอง ๆ ข้างตะวันที่กำลังเก็บและเรียงหน้ากระดาษตามพื้นห้อง

“ช่วยเงียบจะขอบคุณมาก ยัยผีโลว์เทค...ข้าวสารเสก!” ในระหว่างนั้นตะวันก็นึกอีกวิธีไล่ผีได้ ถ้าน้ำมนต์ไม่ได้ผล คงต้องลองอะไรไปไม่ได้นอกจากข้าวสารเสก

“ไม่ดี ดวงดาวว่าไม่ดี ไม่ได้ผลหรอก เชื่อสิ” เธอไม่ค่อยมั่นใจว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า แต่ถ้าหากได้ผลคงปวดแสบปวดร้อนไม่ใช่น้อย ห้ามออกไปแบบนี้แหละดีกับตัวของเธอที่สุด

“ฉันเชื่อว่ามันจะต้องได้ผล!”

“ถ้าไม่ได้ผลล่ะ? พนันกันไหม” เธอคงต้องลองเสี่ยง

“จิ๊ เป็นผีโลว์เทคไม่พอยังเป็นผีพนันอีกเหรอเนี่ย ให้ตายสิ”

“พนันไหมล่ะ!”

“พนันอะไรล่ะ ว่ามา” ในเมื่อโดนท้า ก็พร้อมยอมรับคำท้า

“ถ้าข้าวสารไม่ได้ผล ตะวันต้องเลิกหาวิธีไล่ดวงดาวแบบนี้จนกว่าดวงดาวจะไปเกิด ดวงดาวว่าคงอยู่ติดแหงกกับตะวันไม่นานนักหรอก”

“แล้วถ้ามันได้ผลล่ะ”

“ดวงดาวก็หายไปทันทีไงเพราะโดนตะวันไล่ แค่นี้ก็ต้องถามเหรอ”

“เอ๊ะ!” เธอก็ไม่น่าหลวมตัวไปถามอะไรโง่ ๆ เป็นไงล่ะโดนผียอกย้อนเข้าจนได้ “รับคำท้าก็ได้!”

—————————————————

...ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาถึงตอนนี้นะคะ​ ในนี้จะลงเป็นตัวอย่างเพียงเท่านี้นะคะ​ สามารถติดตามต่อได้ในรูปแบบของebook ใน​ Meb​...

...หรือรายตอนต่อใน​ readawrite​ ค่ะ...

...พิมพ์ชื่อเรื่องหรือนามปากกาหาได้เลยนะ...

...นามปากกา​ น.นิรา...

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!