NovelToon NovelToon

ซินเดอเรลล่า​ I'M Your Stepsister (มีEBOOK​ Meb)​

บทที่หนึ่ง

เสียงกริ่งดังบอกเวลาใกล้จะแปดนาฬิกาตรง แถวหน้าเสาธงเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และฉัน! ที่กำลังวิ่งใส่เกียร์หมาเพื่อให้ทันแถวตอนเช้า เดือนนี้ฉันหมดโควตามาสายไปเมื่อสองวันก่อน ถ้าครั้งนี้ไม่ทันซวยแน่ ไม่อยากโดนจับไปทำจิตอาสา และประตูหน้าโรงเรียนกำลังถูกปิดไปต่อหน้าต่อตา

“เวรเอ๊ยยย!” ฉันเบรกจนหน้าแทบจะทิ่มกับประตูรั้ว

“แอ็ก… อู้ยยยยย” ฉันร้องซี๊ดหน้าเหยเก

“โทษทีเพื่อน หยุดไม่ทัน”

ฉันหันไปมองหน้าเอาเรื่องคนที่วิ่งมาชนจนฉันร่างแบน หน้ากระแทกกับซี่เหล็กของประตู

“ขอโทษจริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจ แหะ” นักเรียนชายพุงพลุ้ยพูดด้วยเสียงแหบแห้ง

“ตุ๊ต๊ะ!” ฉันตะเบ็งเสียงเอ่ยชื่อ กัดฟันกรอดข่มอารมณ์หงุดหงิด หงุดหงิดที่เข้าแถวสายอีกจนได้ อีกแค่เส้นยาแดงผ่าแปดก็จะรอดแล้วแท้ ๆ มิหนำซ้ำยังโดนอัดกระแทกเจ็บตัวไปหมดอีกต่างหาก

“นังโ-ส-น! หงุดหงิดอะไรแต่เช้า พาลไปเรื่อย เมนไม่มารึไง” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา

ฉันไม่ต้องหันไปมองก็รู้เลยว่าใครกำลังแขวะอยู่ มีคนเดียวเท่านั้นที่เรียกชื่อฉันแบบนี้

“ค่ะคุณแสนดี! ฉันชื่อโสนเว้ย โสนน้อยเรือนงามน่ะ แกนี่หัดทำตัวให้เหมาะกับชื่อทีเถอะแสนดี!” ฉันกดเสียงต่ำเน้นชื่อแสนดีที่แสนเลว

“กินรังแตนมาแน่ ๆ เลิกหงุดหงิด เดี๋ยววันนี้แสนดีคนนี้จะพาแกไปส่องพี่ต้องตา โอเค๊?”

แสนดีรู้ว่าจุดอ่อนที่สุดของฉันในตอนนี้ก็คือพี่ต้องตาคนสวย คนอะไรก็ไม่รู้งามทั้งใบหน้า ทั้งท่วงท่าการเดิน กิริยาที่เรียบร้อยอ่อนหวานไม่ว่าจะพูดจะจา แถมเวลาเดินผ่านกลิ่นหอม ๆ ของดอกไม้อะไรก็ไม่รู้ก็โชยเตะจมูกอยู่ตลอด ๆ คนอะไรก็ไม่รู้ช่างเพียบพร้อมเหมาะที่จะมาเป็นแฟนของฉัน

“ตื่น ตื่น ตื่น” แสนดีตบมือต่อหน้าเพื่อปลุกให้ฉันสะดุ้งจากอาการเพ้อ

“ตื่นอะไร ไม่ได้หลับ”

“ตื่นจากฝันลม ๆ แล้ง ๆ ต้องให้เรียกสติอีกกี่หมื่นครั้งแกถึงจะจำว่าหมาวัดไม่ควรได้คาบดอกฟ้า”

ดูมันพูดเข้าสิ เอาซะใจที่กำลังฟูฟ่องกลายเป็นฟูแฟบ “กำลังใจน่ะมีไหม!”

“ก็อยากให้ แต่ที่แกอยากได้มันเกินเอื้อมปะ”

“ไม่ลองไม่รู้ วันนี้แหละ!” ฉันเงยหน้ามองหน้า วันนี้ฉันจะเข้าไปขอเบอร์ พอได้เบอร์เราก็จะมีไลน์ พอเรามีช่องทางติดต่อก็จะเดินหน้าลุย!!

“ทำไม จะไปขอเบอร์โทรเหมือนคราวก่อนน่ะเหรอ สีหน้าตอนนี้มั่นใจสุดขีด แต่พอไปถึงหน้างานกลับวิ่งหนีจุกตูด เพลีย” แสนดีมองบน

ครั้งก่อนฉันบอกกับเธอคล้าย ๆ แบบนี้และสุดท้ายฉันก็ไม่กล้าขอตามที่มันบอกมานั่นแหละ

“แต่คราวนี้ครั้งนี้ของจริง จริงแท้แน่นอน ไม่เชื่อเดี๋ยวเลี้ยงขนม” ฉันวางเดิมพันให้กับตัวเอง ยังไงฉันก็ต้องทำสำเร็จเพราะฉันไม่ยอมเสียเงินเลี้ยงแสนดีแน่ ๆ

จริง ๆ ก็ไม่ค่อยจะงกเท่าไหร่หรอก

“สาธุ เดี๋ยวนึกก่อนนะว่าอยากกินอะไร จะเอาให้ล้มละลาย”

“หึ เดิมพันครั้งนี้แกไม่มีวันชนะ”

“สาธุ ๆ” แสนดีทำประชด

“อะแฮ่ม! อะแฮ่ม! สายแล้วยังจะคุยกันอีก เข้ามาเรียงแถวมุมนี้” อาจารย์ประจำเวรหน้าประตูเปิดประตูต้อนเด็กมาสายให้ไปเข้าแถวตามที่จัดไว้ให้เฉพาะเด็กพิเศษกลุ่มมาสายนี้โดยเฉพาะ

หลังจากกิจกรรมหน้าเสาธงเสร็จเป็นที่เรียบร้อย นักเรียนที่มาเช้าทันเข้าแถวก็ทยอยขึ้นห้องรอเรียนตามปรกติ เหลือแต่กลุ่มเด็กที่มาสายที่ขึ้นช้าสุด เพราะอาจารย์กำลังไล่เช็กชื่อตามชั้นปีและห้องว่าใครบ้างที่เกินลิมิตมาสายภายในเดือน

หนึ่งเดือนสามารถมาสายได้สามครั้ง ถ้าหากเกินสามครั้งต้องทำจิตอาสาตามที่อาจารย์กำหนด ซึ่งแต่ละครั้งก็จะต่างกัน สลับวน ๆ กันไป แล้วแต่ว่า ณ ช่วงเวลานั้นส่วนไหนต้องการคนช่วย

“เธออยู่ชั้นไหนห้องไหน ชื่ออะไร” อาจารย์ถามนักเรียนตรงหน้า

“มอสี่ห้องสาม ชื่อแสนดีค่ะ”

อาจารย์เปิดสมุดบัญชีหนังหมาลายจุด หรี่ตาไล่หารายชื่อก่อนจะปิดสมุดลงตามเดิม “แสนดีเดือนนี้สายเป็นครั้งแรก มิน่าถึงไม่คุ้นหน้า คราวหลังอย่าให้มีครั้งที่สองที่สามล่ะ”

“แล้วหนูล่ะคะอาจารย์” ฉันยื่นหน้าเข้าไปถามอย่างใสซื่อบริสุทธิ์

“เดี๋ยวคิดก่อนว่าจะส่งเธอไปทางไหนดี” อาจารย์พูดแล้วเดินผ่านไปหานักเรียนอีกคน

ฉันต้องรีบยื้ออาจารย์ไว้ “เดี๋ยวสิคะ ทำไมของหนูอาจารย์ไม่เปิดสมุดนั่นเลยคะ ไม่ถามหนูสักนิ๊ดเลยเหรอคะว่าอยู่ห้องไหน ชื่ออะไร”

“ครูคนไหนไม่รู้จักเธอบ้าง! เปิดให้เสียเวลาทำไม ส่งตัวไปเลยง่ายกว่า”

“โธ่ อาจารย์คะ ถ้าเกิดสมมติว่าเดือนนี้หนูสายเป็นครั้งแรกของเดือน อาจารย์ทำพลาดครั้งยิ่งใหญ่เลยนะคะ ที่ให้คนบริสุทธิ์ต้องได้รับโทษ”

“อารัมภบทเข้าไป ครูดูเรียบร้อยแล้ว เดือนนี้ครั้งที่ห้าแล้วนะโสน! สงสัยต้องหาวิธีทำโทษใหม่แล้วมั้งถึงจะจำ”

อาจารย์พูดจนตอนนี้หน้าฉันหดเหลือสองนิ้วแล้วเนี่ย อายคนอื่นจังวุ้ย เอ๊ะหรือเราไม่ควรอาย? ควรจะชินได้แล้วเนาะ

“เที่ยงนี้อย่าลืมนะแสนดี พี่ต้องตาน่ะพี่ต้องตาคนสวยของฉัน” ฉันกระซิบทบทวนความจำเพื่อนอีกสักรอบ

“เออ เดี๋ยวพาไป แต่ตอนเที่ยงแกไม่น่ารอด น่าจะได้ไปทำจิตอาสาเก็บชั่วโมงมากกว่า”

จริงด้วย ฉันต้องรอฟังคำสั่งว่าครั้งนี้จะได้ส่งตัวไปทำงานที่ไหนในโรงเรียน

เมื่ออาจารย์ตรวจเช็กนักเรียนแต่ละแถวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ย้อนกลับมาหาฉัน ย้อนกลับมาบอกจุดหมายปลายทางที่ต้องไปทำในเที่ยงนี้

“ช่วงนี้ห้องสมุดงานเยอะ ไปเป็นบรรณารักษ์ช่วยเช็กหนังสือ จัดเก็บเข้าที่แล้วกัน ตลอดหนึ่งเดือนทุกเที่ยง ให้เวลาทานข้าวสิบนาที”

“สิบนาทีเองเหรอคะอาจารย์ มันน้อยไปนะคะ ไหนจะต้องต่อแถวซื้อข้าว ไหนจะต้องกิน” ฉันบ่นและพยายามจะต่อรองขอยืดเวลา

“จะมีใบเช็กชื่อลงเวลาอยู่หน้าห้อง” อาจารย์เอ่ยต่อโดยที่ไม่สนใจในสิ่งที่ฉันกำลังพยายามอ้อนวอนอยู่เลยสักนิด

“แต่ว่า...”

“ตามนั้น ไม่งั้นสองเดือน” อาจารย์ยื่นคำขาด จึงทำให้ฉันเถียงต่อไม่ได้ ขืนเถียงต่อมีหวังจากหนึ่งเดือนจะเป็นสามเดือน

“ค่ะ”

“วันนี้เริ่มวันแรก” อาจารย์บอกเสร็จก็เดินจากไป ปล่อยให้ฉันยืนทำตาปริบ ๆ เบะปากใส่แสนดี

“ฮืออออ พี่ต้องตาคนสวย” ฉันร้องโอดครวญ วันนี้คงไม่ได้เจอพี่ต้องตาคนสวยแล้ว เอ๊ะ!? ไม่สิ ปรกติพี่ต้องตาชอบมาห้องสมุดนี่

โอ้พระเจ้ามันยอดมาก อย่างน้อยสวรรค์ก็เข้าข้างละวะ ไอ้โสนเอ๊ย!

“หน้าระรื่น เมื่อกี้ยังเศร้าสลดเหมือนไม่ได้ขี้มาสามวันอยู่เลย” แสนดีเหล่มอง เพื่อนของเธออาการหนักเอาการ ผิดหวังจนสติล่องลอยไป คงกู่ไม่กลับ

“หึ! เดี๋ยวหลังเลิกเรียนฉันจะเอาเบอร์มาโชว์ คอยดูแล้วกัน!” ฉันบอกแสนดีก่อนจะหรี่ตา แสดงสีหน้าภาคภูมิใจในตัวเอง

ภาคภูมิใจเรื่องอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่อยากทำหน้าแบบนี้

“เลิกยืนเก๊กได้แล้ว จะขึ้นเรียนไหมหะโ-ส-น!”

“โสนเว้ย! ขึ้นดิ รอไร ไปกัน” และฉันก็รีบวิ่งตามหางแถวที่ทิ้งช่วงจนขาดตอน

ฉันมองเข็มนาฬิกา หูก็คอยฟังเสียงเตือนหมดเวลาและมือก็เตรียมพร้อมที่จะเก็บหนังสืออุปกรณ์การเรียนลงใต้โต๊ะ และเมื่อเสียงที่รอดังขึ้น ฉันก็กวาดทุกอย่างยัด ๆ เข้าใต้โต๊ะไปอย่างรีบร้อน มือคว้าขวดน้ำเปล่า กระเป๋าเงินและพุ่งตัวออกจากห้องเรียนคนแรกประดุจดั่งสายฟ้าฟาด

ฉันต้องถึงโรงอาหารเป็นคนแรกของโรงเรียน!!

แฮ่ก แฮ่ก

“ป้..า..ค...ะ แฮ่ก แฮ่ก” ฉันยืนหอบอยู่หน้าร้านขายข้าว เหนื่อยหน่อยแต่ก็ได้ตามเป้าหมาย

“พักหายใจหายคอก่อนลูก”

“เอานี่...กับนี่ค่ะ” ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ค่อย ๆ พยุงตัวยืดหลังตรง ชี้นิ้วสั่งอาหาร ลาบและฮอตดอกราดข้าว ตอนนี้ยังเหนื่อยเกินที่จะสั่งอาหารแบบเรียกชื่อเมนูเต็มยศ

ทันทีที่รับจานข้าวจากป้าขายอาหาร ฉันก็รีบเดินจ้ำไปหาที่นั่ง กินแต่ละคำก็คอยดูเวลาตลอด ต้องรีบยัดเข้าไปให้หมดให้อิ่ม เรื่องเวลาอาจารย์เป๊ะมาก สายคือสาย มาช้าไปเสี่ยววินาทีก็คือสาย จะชักแม่น้ำทั้งห้าหาเหตุผลอธิบายยังไงก็ชักไม่ขึ้น ดังนั้นไม่สายดีที่สุด

สามนาทีสุดท้าย

“โห กินหมดแล้ว ฉันเพิ่งจะได้ข้าวเอง” แสนดีบอก เธอนั่งวางจานข้าวลงข้าง ๆ

“เออมาพอดีเลย ฝากเก็บหน่อยนะ ขอบใจแสนดี” ฉันไหว้วานฝากแสนดีจัดการต่อให้

“ไอ้นี่!”

“ขอบใจนะแสนดี” ฉันตีมึนขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือแบบยัดเยียด

สองนาทีสุดท้าย

ทุกวันห้องสมุดมันก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ ทำไมวันนี้มันไกลนัก เหมือนวิ่งจากเหนือไปใต้

ทันทีที่ขาฉันก้าวเข้าห้องสมุดก้าวแรก อาจารย์บรรณารักษ์ก็เอ่ยขึ้น

“ทันเวลาพอดี ช้าอีกนิดโดนรายงานแน่โสน” และอาจารย์ก็ก้มติ๊กเช็กชื่อ

อาจารย์เขาทำงานกันเป็นทีมเวิร์กจริง ๆ ส่งรายชื่อคนโดนทำโทษได้รวดเร็ว

“วันนี้หนูต้องทำอะไรบ้างคะ พอดีเพิ่งเคยมาทำที่นี่ครั้งแรก”

ปรกติฉันโดนแต่ให้ไปเก็บขยะ เอะอะเก็บขยะ ไม่ก็ทำความสะอาดห้องประชุมบ้าง ขัดส้วมยังโดนมาแล้ว ครั้งนี้งานสบายหน่อย แค่จัดหนังสือเก็บเข้าที่ตามหมวดหมู่ มันจะไปเหนื่อยอะไรแถมทำในห้องแอร์อีก สบายมาก!

“ทำนี่ก่อนแล้วกัน เอาหนังสือที่อยู่บนโต๊ะคืนหนังสือไปเก็บเข้าที่ตามหมวดหมู่”

ฉันหันไปตามมือของอาจารย์ที่ชี้ไปทางนั้นทีทางนี้ที เมื่อสายตาไปหยุดอยู่ที่โต๊ะ ลมก็แทบจับ

“โห กองใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาไฟฟูจิ!” ฉันไล่หนังสือที่ระเกะระกะตามใต้โต๊ะยันแหงนหน้ามองจนแทบจะทะลุเพดาน

“นี่ห้องสมุดนะคะนักเรียน อย่าส่งเสียงดัง เดี๋ยวมีรายงาน” อาจารย์บรรณารักษ์กล่าวตักเตือนผสมขู่

ขู่เก่งจริง ๆ คิดว่าโสนคนนี้ไม่กลัวเหรอคะ? ใช่ค่ะ โสนกลัว

“แหนะยืนอยู่ทำไม ไปทำได้แล้ว อย่างน้อยวันนี้ต้องให้ลดไปครึ่งหนึ่งรู้ไหม”

“ค่ะอาจารย์”

ฉันหอบหนังสือส่วนหนึ่งหลังจากแยกหมวดหมู่แล้ว ตรงไปยังชั้นหนังสือสุดมุมห้อง ค่อย ๆ จัดเข้าที่เล่มแล้วเล่มเล่า จนหนังสือในมือที่พอถือมาได้เหลือในมือเพียงหนึ่งเล่ม และไอ้เล่มที่ถืออยู่ช่องเก็บมันดันสูงเหนือหัว ฉันกวาดสายตามองหาเครื่องมือช่วยเหลือ

“เก้าอี้หายไปไหนนะ เหมือนเห็นอยู่แถวนี้นี่” ฉันก้ม ๆ มอง ๆ กวาดสายตาหาเก้าอี้บันได ทันได้หาเจอสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นพี่ต้องตา! ฉันก็เลยหยุดการค้นหาไอ้เจ้าเก้าอี้บันไดไปชั่วคราว ขออู้มองอาหารตาหาความชุ่มฉ่ำในหัวใจก่อนแล้วกัน

ฉันใช้ชั้นหนังสือเป็นกำบังเอาไว้แอบมอง ดูสิคนอะไรสวยไปทุกอณูยันรูขุมขน คิ้วก็โค้งโก่งได้รูป สันจมูกก็โด่ง ตากลมโต ขนตาหนายาวเป็นแพ ผมดำขลับ ผิวผ่องมีออร่า แถมยังตูม ๆ สะบะระฮึ่ม

ในขณะที่ฉันกำลังพินิจพิจารณาความสมบูรณ์แบบของพี่ต้องตาอยู่นั่น ก็มีใครก็ไม่รู้มาขัดอารมณ์ คอยสะกิดอยู่นั่นแหละ เอามือปัดทิ้งแล้วทิ้งอีกก็ยังสะกิด สงสัยต้องหันไปจัดการ

“นี่ อย่ายุ่ง...น่...า แหะ สวัสดีค่ะอาจารย์” ฉันยิ้มหน้าเจื่อนให้อาจารย์บรรณารักษ์

“มีเรื่องรายงานแล้วหนึ่ง” อาจารย์เอ่ยหน้านิ่งและเดินหายกลับไปประจำที่โต๊ะประจำตำแหน่ง โดยไม่ปล่อยให้ฉันร้องขออ้อนวอน มิหนำซ้ำยังจ้องดูการกระทำของฉันต่ออย่างไม่ละสายตา

ฉันกลืนน้ำลายฝืด ๆ ลงคอ ทำอะไรแทบไม่ถูก ในเมื่อหาเก้าอี้บันไดไม่เจอก็ใช้ขามันกระโดดเก็บหนังสือเล่มนี้เลยแล้วกัน

“อึ๊บ!”

ฉันกระโดดอยู่สองสามหยอง พยายามสอดหนังสือเล่มใหญ่แสนจะหนักเข้าชั้น ส่วนมากหนังสือที่อยู่สุดมุมห้องเป็นหนังสือจำพวกสารานุกรมเล่มหนาเตอะ จนในที่สุดก็วางได้เป็นที่เรียบร้อย แต่ทันทีที่ปลายเท้าของฉันแตะลงกับพื้น หนังสือเล่มหนึ่งก็ร่วงลงมา สันหนังสือฟาดเข้ากลางศีรษะดังตุ๊บ!

มือกุมหัวล้มทั้งยืน ทรุดคุกเข่าลงกับพื้น ตัวโคลงเคลงด้วยความมึน ตาเริ่มพร่ามัว ก่อนสติจะดับ สายตาเหลือบไปเห็นสันหนังสือที่มีชื่อเล่มว่า ‘ซินเดอเรลล่า สตอรี่’

บทที่สอง​ 1/2

ฉันพยายามลืมตาขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังข้างหู แต่พยายามลืมเท่าไหร่ก็ลืมตาไม่ขึ้น เปลือกตามันหนักผสมกับอาการวิงเวียน

หนังสือนิทานบ้าอะไรเล่มหนายังกับสารานุกรมประวัติศาสตร์สงครามโลก อีกอย่างมันไม่สมควรจะมาอยู่หมวดนี้ช่องนี้ไม่ใช่เหรอไง! ใครมันมือบอนมายัดไว้มั่ว ๆ ต้องลำบากคนจัดหนังสืออย่างฉันอีก

“อนาสตาเซียตื่นได้แล้ว จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน! อนาสตาเซีย แม่บอกให้ลืมตาลุกขึ้นมา!!” เสียงแหลมแสบแก้วหูตะโกนดังลั่น

“แกก็อีกคนดริสเซลล่า! ฉันเหลืออดกับพวกแกแล้วนะ! อนาสตาเซีย! ดริสเซลล่า! ตื่น!!!!!” เสียงแผดร้องดังอย่างต่อเนื่อง หากมีแก้วน้ำตั้งอยู่ก็คงจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ

ร่างกายของฉันดีดตัวลุกขึ้นนั่งอัตโนมัติ หนังตาที่หนักอึ้งก็ดีดขึ้นเช่นกัน และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าฉันคือห้องกำแพงอิฐสี่เหลี่ยมกับเตียงขนาดห้าฟุตวางไว้กลางห้อง

ถึงแม้ว่าผนังห้องจะก่อด้วยอิฐแต่ภายในถูกตกแต่งอย่างสวยงาม

มุมนี้คือส่วนไหนของห้องสมุด? รีโนเวทใหม่งั้นเหรอ? ตอนไหนกันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย

ฉันเหม่อมองไปรอบห้องด้วยอาการมึนงง มองเห็นเด็กผู้หญิงผมสีแดงกระโดดลงจากเตียงด้วยอาการร้อนรนและเดินหายออกจากห้องไป

นี่ไม่ใช่ห้องสมุด....

แล้วฉันอยู่ที่ไหน หรือกำลังฝันถึงเรื่องอะไรอยู่ จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย แล้วเสียงแสบแก้วหูของยัยป้าทรงผมกะบังลมก็แสบลึกเข้าทรวงใน เหมือนจริงมาก เหมือนมาก

ทำไมจ้องเขม็งเหมือนจะฉีกฉันเป็นชิ้น ๆ แบบนั้นล่ะ ขนลุก

“อนาสตาเซียไปสิ ไม่ตามพี่แกไปอาบน้ำแต่งตัวรึไง ลุก!!” เธอตะโกนลั่นสุดเสียงอย่างหัวเสีย

ฉันสะดุ้งพุ่งกระโจนตัวออกจากห้องตามเด็กหัวแดงนั่นไปอย่างรวดเร็ว ว่าแต่ต้องตามไปไหนนะ? อาบน้ำแต่งตัว ห้องน้ำอยู่ไหนล่ะทีนี้ ลองเรียกเด็กนั่นดูแล้วกัน

“ดริส...เซลล่า” น้ำเสียงที่เปล่งออกไปไม่เต็มคำมากนัก เนื่องจากฉันไม่มั่นใจในชื่อของเธอ

“มัวเรียกอยู่ทำไม รีบเข้ามาสิ เดี๋ยวก็โดนคุณแม่ดุอีกหรอก เมื่อกี้ยังโดนไม่พอใช่ไหม รีบเข้ามา” เธอชะโงกหน้า กวักมือเรียก

ถ้านี่คือความฝัน งั้นก็เล่นตามบทไปเถอะ เดี๋ยวก็ตื่นแล้ว เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้วจึงเดินตามเข้าไปอย่างว่าง่าย สองมือเอื้อมหยิบแปรงสีฟันแถมยังต้องใช้สองเท้าเขย่งยืดตัวเพื่อเป็นการช่วยหยิบอีกด้วย

เฮ้อ ฝันทั้งทีดันเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยก ทำอะไรก็ลำบากไปหมด

“เสร็จแล้ว ทำอะไรต่อ” ฉันหันไปหาเด็กผมสีแดง

“ก็เหมือนทุกวัน”

“แล้วไอ้ที่ว่าเหมือนเดิมทุกวันคือทำอะไรเล่า”

“เอ๊ะ! ก็แต่งตัว เตรียมทานอาหารเช้าแล้วก็เรียน” เธอชักสีหน้าใส่ แต่ก็ตอบคำถามให้พอหายสงสัยอยู่บ้าง

“บ้านหลังนี้อยู่กันกี่คนเหรอ”

เมื่อฉันถามคำถามประโยคนี้ออกไป สีหน้าของคนถูกถามแสดงออกอย่างชัดเจน เหมือนกำลังก่นด่าอยู่ในใจ เธอถอนหายใจแรง บ่งบอกว่าเริ่มไม่พออกพอใจ

“พี่ น้อง คุณแม่ และนังซินนังคนใช้!” เธอชี้ตัวเองและชี้นิ้วมาที่ฉัน

“น้อง?” คราวนี้ฉันชี้เข้าหาตัวเอง เธอพยักหน้าบอกว่าใช่ ฉันคือน้องของเธอ ก็ยังดีที่หัวฉันเป็นสีน้ำตาล ไม่แดงแบบเชิญชวนเรียกวัวกระทิง

ฉันยืนมองชุดกระโปรงทรงสุ่มยาวคลุมตาตุ่มที่ต้องใส่อย่างสงบนิ่ง นี่มันเสื้อผ้าอะไรกัน ใส่ได้จริง ๆ น่ะเหรอ

“ใส่สิ” ดริสเซลล่าดึงชุดออกจากไม้แขวนและโยนมาบนเตียงต่อหน้าฉัน เมื่อสวมใส่เสร็จแล้วก็เห็นป้าผมกระบังผมนั่งรออยู่ก่อน อาหารถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบคอยไว้แล้ว

“หนึ่ง สอง สาม” มีทั้งหมดสามจาน ไหนเมื่อกี้เด็กผมแดงนั่นบอกว่าบ้านหลังนี้อยู่กันสี่คน ทำไมบนโต๊ะถึงมีแค่นี้

“อนาสตาเซีย! แกมัวแต่นับอะไร มานั่งได้แล้ว ทานเสร็จจะได้เข้าเรียน”

คนบ้านนี้นิยมตะคอกเรียกชื่อกันหรือยังไง หูชาตั้งแต่รู้สึกตัวยันตอนนี้ แล้วเมื่อไหร่ฉันจะตื่นจากฝันบ้า ๆ นี่สักที หวังว่าหูคงไม่ดับไปก่อน

อยากจะถามเหลือเกินเรื่องจำนวนจานข้าวบนโต๊ะ แต่ดูท่าแล้วไม่ควรถาม สนใจอาหารบนโต๊ะดีกว่า มีทั้งซุปข้าวโพดกับสปาเกตตีแสนหอมฉุย

ฉันกำส้อมหมุนเส้นขึ้นและในขณะที่กำลังจะเอาเข้าปาก มือก็ถูกฟาดจนส้อมหลุดกระเด็นข้ามหัวไป

“อนาสตาเซีย! ใครสั่งใครสอนให้กินแบบนี้! มารยาทผู้ดีมันหายไปไหนหมด!”

“คุณแม่คะ วันนี้ปล่อยน้องไปเถอะค่ะ วันนี้น้องดูแปลกตั้งแต่ตื่นนอนแล้ว” ดริสเซลล่ารีบลุกขึ้นห้ามเลดี้เทรเมนผู้เป็นมารดา

เลดี้เทรเมนจ้องเขม็ง นัยน์ตาแข็งกร้าว เธอถอนหายใจอย่างหงุดหงิด นั่งลงแบบไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

“ต้องทานซุปก่อน” ดริสเซลล่ากระซิบบอก

ซุปงั้นเหรอ? แล้วทำไมฉันจะกินเส้นก่อนไม่ได้...ซุปก็ซุป จะได้ไม่มีปัญหา

ฉันเลื่อนจานตรงหน้าไปไว้ข้าง ๆ และหยิบจานซุปข้าวโพดมาแทนที่ แต่เมื่อจะเอาเข้าปากก็โดนอีกรอบ

“ไร้มารยาทแบบนี้ ไม่ต้องกินมันแล้ว!” เลดี้เทรเมนปัดมือคว่ำจานชาม

ฉันทำอะไรผิดอีกเนี่ย! ฉันหันไปมองหน้าดริสเซลล่าเพื่อขอความช่วยเหลือ หล่อนทำเพียงถอนหายใจโดยไม่บอกอะไร

“พวกเราต้องเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ นะ ขืนไร้มารยาทแบบนี้มีหวังเจ้าชายไม่สนแกแน่! เหลืออีกไม่กี่ปีนะ!”

เจ้าชายอะไรวะ ฉันจะได้เป็นเจ้าหญิงงั้นเหรอ?

“สงสัยต้องกำชับอาจารย์ให้เข้มงวดกับแกแล้วสิ! ดริสเซลล่าแกดูน้องแกด้วยนะ!” เลดี้เทรเมนหันไปกำชับลูกสาวคนโต

“ค่ะ คุณแม่” หล่อนก้มหน้าก้มตา

“อ๋อ อนาสตาเซียมื้อนี้ไม่ต้องกิน… ไปรอในห้องเลยไป!” เธอชี้นิ้วไปยังห้องข้างหน้า

ยัยป้านี่เกรี้ยวกราดเสียเหลือเกิน ไม่กินก็ไม่กิน

บทที่สอง​ 2/2

ฉันลุกขึ้นและตรงไปยังห้องนั้น ฉันแง้มประตูออก ค่อย ๆ ชะโงกหัวเข้าไปสอดส่อง เอ๊ะ…ไฟห้องเปิด มีคนอยู่ในนี้งั้นเหรอ? น่าจะเป็นคนที่ชื่อซิน

“มีใครอยู่ไหม?”

เมื่อฉันลองถามออกไป ก็มีคนคนหนึ่งผลุบขึ้นมาจากใต้โต๊ะ ผู้หญิงในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน ผมสีทองในทรงมัดรวบ เนื้อตัวเปรอะเปื้อน ชุดที่เธอสวมอยู่ก็เช่นกัน

“ขะ ขอโทษค่ะ ไม่คิดว่าคุณจะเข้ามาเร็วขนาดนี้ เอ่อคือว่า… ทำความสะอาดใกล้จะเสร็จแล้ว” น้ำเสียงตะกุกตะกัก

“ไม่เป็นไร ฉันแค่เข้ามานั่งรอเฉย ๆ” ฉันบอกเธอและพยายามเพ่งมอง ฉันอยากเห็นใบหน้าของเธอเสียงจริง เพราะน้ำเสียงคุ้นแสนคุ้น แต่ก็มองไม่ถนัด ก็เธอมัวแต่ก้มหน้า ไม่ยอมเงยหน้าสบตาฉัน

“ขอตัวนะคะ” เด็กน้อยผมเหลืองทองรีบเร่งฝีเท้า

ในขณะที่เธอกำลังจะผ่านหน้า ฉันจึงเอาตัวเข้าไปยืนขวาง ดูจากขนาดตัว เธอน่าจะเด็กกว่าฉันสักสองถึงสามปีเห็นจะได้

“เธอชื่ออะไรเหรอ?”

“คะ?” เธองงกับคำที่ถูกเอ่ยออกมา

“ฉันถามว่าชื่ออะไร ซินเหรอ? เห็นดริสเซลล่าเรียกแบบนี้ สรุปชื่อซินหรือเปล่า”

“……”

“เอางี้ ถ้าใช่ให้พยักหน้า ถ้าไม่ใช่สงให้ส่ายหน้า”

และเธอก็ส่ายหน้า

“งั้นชื่ออะไร?”

“…อ..เอลล่า”

เอลล่างั้นเหรอ ชื่อเพราะ สักอยากจะเห็นหน้าแล้วสิ

“เงยหน้าหน่อย เงยหน้าขึ้นมามองกันหน่อย จะก้มคุยกับฉันตลอดเวลาเหรอไง” ฉันบอกเธอด้วยน้ำเสียงปรกติทุกอย่าง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะคิดว่าฉันกำลังออกคำสั่งบังคับ ตัวสั่นงก ๆ และค่อยเงยหน้าขึ้นสบตาฉัน

“พี่ต้องตา!” คนตรงหน้าฉันคือพี่ต้องตา พี่ต้องตาในเวอร์ชันย่อขนาดและผมทอง นี่ฉันเพ้อจนเก็บเอามาฝัน ต้องใช่แน่ ๆ นี่แหละเนื้อคู่ฉัน

“ขะ ขอโทษค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” เธอก้มหน้าลงทันทีที่ฉันเอ่ยชื่อออกไป ดูเหมือนว่าเธอกลัวฉัน กลัวมากเสียด้วย

“เดี๋ยวสิคะ ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย….” ฉันยืนมองเธอวิ่งไปจนเกือบจะถึงประตูห้อง

แต่แล้วประตูก็ถูกเปิดโดยดริสเซลล่า จึงทำให้เด็กผมทองที่กำลังจะวิ่งออกไปชนเข้ากับดริสเซลล่า และต่างคนต่างล้มกองลงกับพื้น

“โอ๊ย! นังซิน! นังขี้ข้า! อี๋! สกปรก! กริ๊ดดดดดดดด!” หล่อนกรีดร้อง ดิ้นแด่ว ๆ อยู่บนพื้น

เป็นอะไรมากเปล่าเนี่ย….

“ขะ ขอโทษค่ะ ขอโทษ เอลล่าไม่เห็น” เธอร้อนรนเอ่ยขอโทษ

“ขอโทษแล้วมันหายเจ็บไหม! แก! แก!” ดริสเซลล่าชี้หน้าร้องโวยวาย เสียงที่ดังลั่นทำให้แม่ของหล่อนเข้ามาดู

“เกิดอะไรขึ้น”

“คุณแม่ขา นังนี้นังซินมันมาชนหนู สกปรกไปหมดแล้ว อี๋” เธอฟ้อง

เลดี้เทรเมนหันขวับไปหาต้นเหตุที่ทำให้ลูกสาวตัวเองเจ็บ

“มานี่! ไปเก็บโต๊ะ แล้วอย่าหวังว่าวันนี้แกจะได้กินข้าว!” หล่อนตวาดใส่เอลล่าผู้น่าสงสาร ฉุดกระชากลากเธอออกไป

ยัยป้านั่นกับยัยเด็กนี้ต้องโดน! กล้ามาทำพี่ต้องตาคนสวยของฉันได้ยังไง ถึงจะอยู่ในฝัน แต่ทำแบบนี้ต่อหน้าต่อตา ฉันไม่ยอม!

ฉันตรงไปหาดริสเซลล่า ยัยเด็กหัวแดงปากร้าย ดูท่าจะเอาแต่ใจด้วย หล่อนเป็นคนผิดแท้ ๆ

“นี่ จะนั่งดิ้นอีกนานไหม?” ฉันกอดอกแน่น

“แกดูนังซินสิ รอให้เรียนเสร็จก่อนเถอะ ฉันไม่ปล่อยมันไว้แน่!... แล้วจะยืนมองอีกนานไหม!” หล่อนพูดอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะยื่นมือขอความช่วยเหลือให้ฉันช่วยดึงหล่อนขึ้น

ฉันยื่นมือออกไป ในขณะที่กำลังดึงตัวดริสเซลล่าขึ้น ฉันก็ปล่อยมือ

เสียงก้นกระแทกพื้นดังตุ๊บพร้อมกับเสียงร้องโอดครวญ

“โอ๊ยยยย ปล่อยทำไมอนาสตาเซีย เจ็บ”

“โทษที พอดีมือมันลื่น เหงื่อมันออกน่ะ” ฉันยิ้มกว้าง กลับหันหลังไปนั่งที่เก้าอี้กลางห้อง ปล่อยให้หล่อนลุกขึ้นมาเอง

ใครจะอยากไปช่วยคนที่มารังแกสุดที่รักของตัวเองกันล่ะ

“รีบมานั่งสิ ดริสเซลล่า”

“รู้แล้วน่า”

“ถามอะไรหน่อยสิ…”

“อะไร”

“ยัยป้า… เอ่อไม่สิ แม่พาเอลล่าไปไหนเหรอ?”

“ว่ายังไงนะ อย่าพูดแบบนี้ให้คุณแม่ได้ยินอีกนะ ฉันไม่อยากเห็นเธอโดนขังรวมกับนังซิน เข้าใจไหมอนาสตาเซีย!”

ฉันส่ายหน้าเป็นคำตอบ

ฉันพูดอะไรผิดไปอีกแล้ว? ทำไมฝันนี้มันดูยาก ๆ จะทำอะไรหรือหยิบจับอะไรก็ดูผิดไปหมด

“พูดผิดตรงไหนเหรอ?” ฉันถามออกไปตรง ๆ

“เธอป่วยแน่ ๆ เอาล่ะ ข้อแรกห้ามเรียกแม่ว่าแม่เฉย ๆ เรียกคุณแม่ ส่วนอีกข้อเธอไม่น่าลืมแต่ทำไมถึงลืม! นังซิน นังสกปรกนั่น”

“เอลล่าน่ะเหรอ?”

“อี๋ อย่าเรียกชื่อของมันอีก ไม่แสลงปากหรือไง!” หล่อนแสดงท่าทีรังเกียจเมื่อเอ่ยชื่อเอลล่า เด็กหญิงผมทองหน้าตาเหมือนพี่ต้องตา

“เอล-ล่า” ฉันเน้นชื่ออีกรอบ เอาให้อกแตกตายไปเลย

“กริ๊ดดดดดดด!!”

แกล้งเด็กมันสนุกแบบนี้นี่เอง แต่พอแค่นี้ก่อน ขอพักแก้วหูบ้าง จากนั้นฉันจึงถามเธอต่อ

“ซินที่พี่หมายถึงคือ….” ฉันกำลังจะเอ่ยถาม แต่ดริสเซลล่าก็โพล่งออกมาเสียก่อน

“ซินเดอเรลล่า นังเด็กขี้เถ้า!” หล่อนใส่อารมณ์

“โอเค ซินก็ซิน ซินเดอเรลล่า” ฉันทวน

โอเค สรุปว่าฉันโดนหนังสือนิทานตกใส่หัวสลบจนเก็บเอามาฝัน

ซินเดอเรลล่าสินะ… แสดงว่าฉันคือพี่สาวต่างแม่ พี่สาวใจร้ายของพี่ต้องตาสินะ…อยากเป็นเจ้าชายมากกว่าในเมื่อพี่ต้องตาเป็นเจ้าหญิง!

“ตลกล่ะ ตื่นสักทีเถิดยัยโสนเอ๊ย”

ในขณะที่ฉันกำลังคิดประมวลผลเกี่ยวกับที่กำลังฝันอยู่ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกโดยหญิงวัยกลางคน

“สวัสดีจ้ะดริสเซลล่า อนาสตาเซีย วันนี้เลดี้เทรเมนให้ครูเน้นเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารเป็นพิเศษ เอาล่ะ นั่งประจำที่ ครูจะให้ทบทวนความจำเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารที่เคยสอนไปเมื่อคราวก่อน ใครทำได้จะปล่อยเร็วเป็นพิเศษ” หล่อนหยิบอุปกรณ์สำหรับการสอนขึ้นมาเรียงบนโต๊ะตัวยาว ไม่ว่าจะเป็นจาน ชาม มีด ช้อนและส้อม

ดริสเซลล่าเป็นคนแรกที่เริ่มทำการทดสอบ หล่อนหยิบโน้นจับนี่วางเรียง ไม่ว่าคุณครูจะถามอะไร หล่อนก็ตอบได้หมดทุกอย่าง

หล่อนสอบผ่านโดยไม่ต้องสงสัย

“เอาล่ะดริสเซลล่าวันนี้พอแค่นี้” คุณครูสอนมารยาทบอกหล่อน ก่อนจะหันมาหาเรียกฉัน “อนาสตาเซีย”

“ค่ะ….” ฉันเดินเข้ามาแทนที่ดริสเซลล่า แอบเหล่มองหล่อนเดินออกจากห้องอย่างสบายใจ

“เริ่มแรก จัดโต๊ะแบบพื้นฐาน”

เมื่อได้รับโจทย์ข้อแรก ฉันกวาดสายตามองแต่ละอย่างบนโต๊ะ จากนั้นจึงเริ่มลงมือจัดจานชามให้อยู่ในตำแหน่งที่สมควร

โชคดีที่เมื่อกี้ฉันแอบจำวิธีการจัดของดริสเซลล่ามาเรียบร้อย แต่ปัญหาใหญ่ของฉันคือพวกนี้ต่างหากล่ะ

ช้อน ส้อม มีด!

ทำไมมันมีหลายขนาดแบบนี้ แล้วแต่ละประเภทควรวางไว้ส่วนไหนของจานแต่ละใบ

ฉันยืนลังเลสักพัก ก่อนจะวางตามความรู้สึก

“อนาสตาเซีย! เธอจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ สงสัยต้องเข้มงวดแล้ว จำไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกจากห้องนี้เลย”

“ตะ แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่ค่ะ เลดี้เทรเมนบอกครูว่าถ้าเธอไม่ได้ห้ามปล่อยเด็ดขาด! เอาละ ครูจะเริ่มสอนตั้งแต่ต้น ทุกวิธีการจัด”

จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนตะวันเกือบจะลับขอบฟ้า

“ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ หวังว่าเธอจะจำได้! คราวหน้าครูจะมาทดสอบเธอใหม่ หวังว่าจะไม่ต้องสอนใหม่ตั้งแต่ต้นนะอนาสตาเซีย”

“ลาก่อนค่ะ” ฉันโค้งบอกลา

ขอให้ลาแล้วลาลับ อย่าได้ฝันอะไรแบบนี้อีกเลย.. สาธุ!

ฉันเดินลากสังขารออกมาจากห้องเรียน ท้องร้องดังโครก

หิวจัง… ทำไมมันหิวแบบนี้นะ ทำไมฝันครั้งนี้ถึงรู้สึกสมจริงแบบนี้ ทั้งความเหนื่อย ความหิว สมองก็ล้า ง่วงอีกต่างหาก

เมื่อฉันผลักประตูห้องเรียนออก ภายในตัวบ้านเงียบสนิท

“ดริสเซลล่า? คุณแม่? มีใครอยู่ไหม? ” ฉันตะโกนเรียก แต่ก็ไร้เสียงตอบกลับ และเมื่อเดินไปในครัว เจอกระดาษโน้ตวางแอบไว้บนโต๊ะโดยมีสมุดที่มีชื่อกำกับของดริสเซลล่าวางทับไว้

‘ฉันกับแม่ออกไปกินข้าวข้างนอก แอบขนมปังไว้ให้ในตู้เย็น อ่านแล้วทิ้งด้วย เดี๋ยวคุณแม่เห็น’

จริงสินะ ฉันโดนทำโทษอดอาหาร แต่ก็ยังดียัยพี่สาวหัวแดงเก็บขนมปังไว้ให้ ถือว่าเป็นคนดีใช้ได้

“ไหนดูซิ๊” ฉันเปิดประตูตู้เย็นออก ก็เห็นถุงกระดาษสีน้ำตาลวางไว้ตรงกลาง

ข้างในมีขนมปังสองก้อนใหญ่

“ขอบใจนะดริสเซลล่า” ฉันหยิบถุงกระดาษนั่นมาไว้ในมือ “ยังร้อน ๆ อยู่เลย น่าจะเพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้”

ฉันฉีกกินทีละนิด และเดินสำรวจตัวบ้านไปในตัว จนกระทั่งไปหยุดอยู่หน้าบันไดชั้นใต้ดิน กลิ่นอับลอยโชยเตะจมูก ฉันย่นจมูกลงเล็กน้อย

และในขณะที่กำลังจะเดินผ่านจุดนั้นไปก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากข้างล่าง ฉันจึงถอยหลังย้อนกลับ

“เสียงอะไร? อับขนาดนี้คงไม่มีใครหรอกมั้ง” ฉันเอ่ยกับตัวเองก่อนจะฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้

ถ้านี่คือเรื่องซินเดอเรลล่า งั้นแสดงว่าคนที่อยู่ข้างล่างก็ต้องเป็น…

“พี่ต้องตา!”

ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจเดินลงไปในห้องอับ ๆ ใต้ดินนั่น และเมื่อลงไปถึงก็เห็นเธอคนนั้นนั่งกอดเข่าเอาก้มหน้าซุกอยู่บนฟูกเล็ก ๆ

“เอ่อคือว่า…”

เธอเงยหน้าขึ้นมาตามเสียง และผงะตกใจ

“มีอะไรให้รับใช้คะ?”

“เปล่า ไม่มี… แค่เอานี้มาให้” ฉันยื่นถุงกระดาษสีน้ำตาลให้

เธอรับมาด้วยอาการงุนงง แง้มปากถุงดู

“ขนมปัง?”

“อื้ม ให้ ยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม?”

เอลล่าเงียบ มองขนมปังในถุงด้วยความลังเล

“ให้จริง ๆ อร่อยนะ กินมาก่อนแล้ว” ฉันดันถุงในมือเธอ ส่งยิ้มให้ก่อนบอกลา “งั้นไปแล้วนะ”

ฉันรีบเดินกลับขึ้นมายังข้างบน ฉันเกรงว่าขืนอยู่ต่อเธออาจจะเกร็งทำตัวไม่ถูก ในขณะที่ฉันกำลังจะก้าวเท้าขึ้นเหยียบขั้นบันได ก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันตัวกลับ ยืนนิ่งมองเด็กตรงหน้า กัดริมฝีปากครุ่นคิดเล็กน้อย

จุ๊บ

“ฝันดีนะเอลล่า”

ฉันบอกลาเธออีกครั้งก่อนวิ่งกลับขึ้นไป ปล่อยให้เอลล่ายืนทำตาปริบ ๆ

“ไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ตื่นจากฝันสักที” ฉันหาวหวอด อาบน้ำแต่งตัวและเข้านอน

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!