จะเป็นอย่างไร... เมื่อความตายนั้นยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต?
จะเป็นอย่างไร... เมื่อคนที่เสียชีวิตไปแล้วได้มาเกิดใหม่ยังโลกที่ไม่มีใครคุ้นเคย?
จะเป็นอย่างไร... เมื่อโลกนี้มีพลังที่เหนือธรรมชาติและสามารถใช้มันได้ราวกับว่ามันคือเรื่องปกติ?
และจะเป็นอย่างไร... เมื่อนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับชายคนนี้?
...
ในวันธรรมดาที่ผู้คนต่างใช้ชีวิตธรรมดา ๆ กันเป็นปกติ ชีวิตที่สงบเรียบง่ายท่ามกลางผู้คนมากหน้าหลายตา บรรยากาศที่ดีและลมที่พัดอยู่ตลอดเวลา
ในตอนนี้ที่ทางเท้าได้มีผู้คนพลุกพล่านอยู่พอสมควร การใช้ชีวิตที่ปกติในตอนเช้าก็คงจะเป็นการไปทำงานหาเงิน แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คงจะเป็นการทำความดี เพื่อที่จะได้ไปบนสวรรค์เหมือนที่คนบางคนนั้นเชื่อและคิดแบบนั้นมาโดยตลอด เช่นเดียวกันกับเขาคนนี้...
“เอ๊ะ? คุณยายกำลังจะข้ามถนนนี่” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาก่อนที่จะวิ่งตรงไปหาคุณยายที่กำลังจะเดินข้ามถนน ชายคนนี้มีนามว่า "ยามะ โชจิ" อายุ 31 ปี เป็นคนที่เชื่อในเรื่องของบาปบุญคุณโทษมาก ๆ จนหาที่เปรียบไม่ได้ เขาเชื่อมาโดยตลอดว่าถ้าทำความดีอยู่เป็นประจำ เมื่อเสียชีวิตลงก็จะได้ไปบนสวรรค์และจะได้พ้นจากการมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ นี่คือสิ่งที่เขาเชื่อมาโดยตลอดตั้งแต่จำความได้
“คุณยายครับ ให้ผมช่วยไหมครับ” เขาบอกกับคุณยายก่อนที่จะหันซ้ายหันขวาและค่อย ๆ พยุงประคองแล้วพาคุณยายนั้นเดินข้ามถนนไป
“ขอบคุณมากเลยจ้ะพ่อหนุ่ม ยายค่อยเดินง่ายขึ้นหน่อย”
...จนกระทั่งถึงกลางถนน ในขณะที่อีกเพียงนิดเดียวก็จะถึงฝั่งตรงข้าม คุณยายก็จะข้ามถนนได้อย่างปลอดภัยแล้ว และก็จะไม่มีความรู้สึกแบบนี้แล้ว แต่แล้วทำไม? ทำไมรถคันนั้นถึงได้มาด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นทั้งที่น่าจะเห็นอยู่ไกล ๆ ว่ามีคนข้ามถนน
“อะไรกัน?”
รถคันนั้นขับมาด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดที่ว่ายังอยู่ห่างกันมากแต่ก็ยังได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่ดังมาจากรถคันนั้น
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ทำไมถึงรู้สึกว่าเหมือนจะขยับขาไม่ได้ คุณยายจะเป็นอะไรไหม จะข้ามถนนได้ไหม ทำไมถึงรู้สึกแปลก ๆ ได้ล่ะเนี่ย นี่เรา... คือใคร? เราชื่ออะไร? หรือว่าเรา...’
‘กำลังจะพบกับคทวามตายงั้นเหรอ?’
เขาคิดในใจ ก่อนที่จะไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนใด ๆ ของเขา แม้แต่ชื่อของตนเองก็นึกไม่ออก ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ก็เริ่มเลือนลางไป รอบข้างเริ่มไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นและไม่เห็นคนอื่น ๆ ในสายตา ราวกับว่าตัวเขาเองกำลังตกอยู่ในภวังค์ที่ไม่อาจหวนคืนได้
ทันใดนั้นเอง รถคันนั้นก็ปะทะเข้ากับร่างของคุณยายและตัวเขาจนเกิดเสียงที่ดังสนั่น ผู้คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างพากันตกใจ ร่างของทั้งคู่กระเด็นไปไกล ซึ่งแน่นอนว่าเสียชีวิตทั้งคู่...
สิ่งที่โชจิรู้สึกได้ในตอนนี้นั้นไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่เป็นความรู้สึกที่ราวกับว่าตัวเขาเองไม่มีตัวตนอีกต่อไป ในสายตาของเขานั้นมองไม่เห็นสิ่งใด
...ทุกอย่างมืดมิดลง...
“ที่นี่มัน ที่ไหนเนี่ย?!” เขาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตอนนี้ตัวเขานั้นอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จักและไม่คุ้นเคย เหมือนว่าอยู่ในห้องกระจกสีแดงที่เต็มไปด้วยความร้อนระอุ
“หืม ทำไมตอนนี้ฉันถึงจำได้ว่าฉันตายไปแล้ว... โดนรถชนเพราะช่วยคุณยายข้ามถนน อืม... คิด ๆ ดูแล้วทำไมพระเจ้าถึงเล่นตลกกับฉันแบบนี้กันฟร้ะ!!!”
“ดีจ้า การตายของนายจบสวยดีไหมเอ่ย?” ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าเขา ราวกับว่ามาจากอีกมิติหนึ่ง
“เอ่อ น..นี่เธอเป็นใคร? หรือว่าจะพาฉันมานรก” เขาถามออกไปด้วยความงุนงง เพราะเขาคิดว่าตนเองจะได้ไปบนสวรรค์เสียอีก
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นายนี่ตลกดีนะ! ฉันคงคิดถูกแล้วล่ะที่เลือกนายมา จะบอกให้ว่าฉันน่ะ.. คือผู้คัดเลือก และนายก็คือผู้ถูกเลือกไงเล่า”
“ผู้คัดเลือก? ผู้ถูกเลือก? อะไรของเธอน่ะ” สำหรับเขาแล้วนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งงุนงง เพราะเขายังไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งที่เขาควรจะได้ไปบนสวรรค์แล้วแท้ ๆ แต่กลับได้มาเจอหญิงสาวในสถานที่แปลกประหลาด
“เฮ้อ! "ยามะ โชจิ" อายุ 31 ปี ตายเมื่อสักครู่นี้.. ตายพร้อมคุณยายด้วย นายนี่ตัวอัปมงคลหรือไงเนี่ย ทำไมต้องพาคนอื่นมาตายด้วย” หญิงสาวคนนั้นพูดออกไป
“ยามะ โชจิ นั่นคือชื่อเรางั้นเหรอ?” เขาพูดถามกับตนเองด้วยน้ำเสียงที่สั่นระริกและสีหน้าที่ตกใจ
“โอ๊ะ! ฉันว่ามันคงถึงเวลาของนายแล้วล่ะ ฉันจะส่งนายไปยังโลกใหม่ที่มีแต่เวทมนตร์ ไปใช้ชีวิตใหม่ในเมืองเล็ก ๆ ที่มีแต่ความสงบสุขและการทำความดี ฉันว่านายก็คงจะทำความดีด้วยนั่นแหละนะ แต้ม B (Black) และแต้ม W (White) จะเป็นตัวตัดสินชะตาชีวิตของนายเองว่านายจะได้ไปไหน ขอให้โชคดี”
“เดี๋ยว อย่าเพิ่ง...” ทันใดนั้น เขาก็หายไปพร้อมกับแสงสีแดงที่พุ่งตรงขึ้นไปบนฟ้า
“...นายจะเป็นหายนะของโลกใบใหม่หรือเปล่าน้าา หรือจะเป็นคนดีเหมือนเดิม หุหุ น่าสนใจซะจริง” เธอพูดก่อนที่จะแสยะยิ้มออกมา
...
ณ จักรวรรดิไดจิ
เมืองชิโตเสะ
ในโลกแห่งเวทมนตร์ เมืองชิโตเสะคือเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในจักรวรรดิไดจิ ซึ่งเมืองนี้ก็คือเมืองที่ผู้คัดเลือกพูดถึงนั่นเอง จักรวรรดิไดจิซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางระหว่าง 4 จักรวรรดิใหญ่ จึงทำให้ตกเป็นเป้าหมายของจักรวรรดิรอบด้านที่จะบุกเข้ามายึดครองได้ทุกเมื่อ
‘เอ๊ะ?’
“ได้ลูกชายล่ะครับ แต่แปลกที่เด็กไม่ส่งเสียงร้องสักนิดเลยนะครับ” เสียงของหมอพูดขึ้นมา ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะยกยิ้มด้วยความปิติยินดี แต่แม่ผู้ให้กำเนิดนั้นกลับยิ้มด้วยความขมขื่น พี่ชายที่อยู่ข้าง ๆ นั้นก็ดูไม่ค่อยยินดีนัก
“ลูกคนที่ 2 ของเรา หวังว่าจะเป็นคนดีเหมือนพี่ชายนะ ถึงแม้ในคืนก่อนคลอดฉันจะฝันร้ายก็เถอะ” ทางด้านของ "คาอิดะ ฮารุโนะ" ผู้เป็นแม่พูดด้วยสีหน้าที่ดูหดหู่
“เอาน่าที่รัก ลูกก็คงจะเป็นคนดีนั่นแหละนะ เพราะว่า...” "คาอิดะ อิซามุ" ผู้เป็นพ่อนั้นยังพูดไม่ทันจบประโยค ฮารุโนะก็เกิดอาเจียนออกมาเป็นเลือดที่มีสีดำ
“แม่ครับ!”
“ฮารุโนะ!”
เมื่อเห็นอย่างนั้นพี่ชายที่มีนามว่า "คาอิดะ เก็น" ก็ลุกขึ้นมาในทันที เพราะไม่เคยเห็นแม่เป็นแบบนี้มาก่อน อิซามุก็ตกใจเป็นอย่างยิ่งจึงได้แต่ประคองให้เธอนั้นนอนลง
“นี่มันไม่ใช่ผลข้างเคียงนะครับ.. หมอเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร” หมอและพยาบาลก็ตกใจไปตาม ๆ กัน แต่ตอนนี้จำเป็นที่จะต้องทำอะไรสักอย่าง แต่ทันใดนั้นเอง ฮารุโนะที่นอนอยู่ก็กระอักเลือดออกมา และมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ราวกับว่ากำลังกลัวอยู่
“เจ้า.. เด็กนี่เป็น...” ฮารุโนะสลบไปในทันที หัวใจและชีพจรของเธอหยุดเต้นไปหลังจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อครู่นี้เกิดขึ้นและผ่านไปรวดเร็วมาก หมอและพยาบาลก็ทำได้แค่ปั๊มหัวใจ ซึ่งนั่นก็ไม่สามารถกู้ชีวิตของเธอคืนมาได้
“แม่!!”
“ฮารุโนะ!”
‘อย่าบอกนะว่าตายเพราะคลอดฉัน?’
ทั้งอิซามุและเก็นต่างก็เศร้าโศกเสียใจ ทางด้านของอิซามุนั้นคิดว่าคงจะเป็นผลข้างเคียงของบางอย่างที่รุนแรงเกินไป แต่ว่าเก็นไม่คิดอย่างนั้น..
“แก.. ถ้าแกไม่ได้เกิดมา แม่ก็คงไม่ตาย”
“หยุดนะเก็น! เพราะยังไงเขาก็คือน้องชายแท้ ๆ ของลูก ยังไงเขาก็เป็นคนในครอบครัวของเราที่มีสายเลือดเดียวกันนะ!” อิซามุพยายามพูดเพื่อที่จะทำให้เก็นนั้นเปลี่ยนความคิด แต่ทว่า.. กลับไม่เป็นเช่นนั้น
“ผมไม่นับมันเป็นน้อง!” เขาตวาดกลับมาด้วยอารมณ์พร้อมกับเดินออกไปในทันที
‘เอ๋? นี่ฉันผิดอะไรเนี่ย?’
“เติบโตมาเป็นคนที่ดีนะลูก” อิซามุพูดพร้อมกับลูบหัวลูกชายที่นอนอยู่อย่างอ่อนโยน
‘คนดี? ก็แปลกแล้วล่ะ ฮิฮิ’ ตัวเขาในตอนนี้นั้นยังคงมีความทรงจำเมื่อชาติที่แล้วหลงเหลืออยู่ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามเขาก็ไม่สามารถนึกชื่อตนเองเมื่อชาติที่แล้วออกได้ แต่ที่จำได้แม่นเลยก็คือการตายของเขา.. ที่ตายเพราะทำความดี
‘เป็นคนดีแล้วมันแย่ ผมไม่เป็นหรอกครับพ่อ’ ...
6 ปีต่อมา
หลังจากวันที่เขาเกิดก็ผ่านมาหกปีแล้ว เขามีชื่อว่า "คาอิดะ อาคุมุ" นั่นคือชื่อของเขา แน่นอนว่าเดี๋ยวเขาต้องได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ จากพ่อและพี่ชายรวมถึงคนอื่น ๆ ซึ่งอย่างแรกเลยก็คงจะเป็นเรื่องของแต้ม W (White) และแต้ม B (Black)
แต้ม W จะอยู่บริเวณซีกซ้ายของร่างกาย ถ้าหากใครมีแต้ม W ถึง 1,000,000 ก็จะได้ไปบนสวรรค์ แน่นอนว่าอาคุมุนั้นไม่เชื่อเป็นแน่แท้
แต้ม W ก็คือแต้มการทำความดี ตัวเลขนั้นจะปรากฏขึ้นบนซีกซ้ายของร่างกายแบบสุ่ม ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา ไหล่ ชายโครง แก้ม หรือแม้กระทั่งหน้าผากด้านซ้าย ซึ่งการทำความดีแต่ละอย่างนั้นจะได้รับแต้ม W ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความอยากจะทำของแต่ละคน
แต้ม B จะอยู่บริเวณซีกขวาของร่างกาย ถ้าหากใครแต้ม B ถึง 1,000,000 ก็จะมีพลังที่สูงมากจนไม่มีใครเทียบเคียงได้ ที่เปิดเผยเพราะคนส่วนใหญ่จะทำแต่ความดี เนื่องจากเชื่อในเรื่องของสวรรค์และนรกนั่นเอง จึงมีแค่คนส่วนน้อยเท่านั้นที่ต้องการพลังมหาศาล
แต้ม B ก็คือแต้มการทำความชั่ว ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงในสิ่งที่ทำ เช่นการฆ่าพ่อและแม่ผู้ให้กำเนิด ก็อาจจะได้รับแต้ม B มามากพอสมควร รวมไปถึงการทรมานก่อนที่จะลงมือฆ่า นั่นก็จะเพิ่มไปอีกครึ่งหนึ่งของแต้มที่ได้รับ เช่นฆ่าคนได้รับแต้ม B มา 500 แต้ม แต่ก่อนฆ่าก็ทรมานด้วย ก็จะได้รับเพิ่มอีก 250 แต้ม กลายเป็น 750 แต้มนั่นเอง
ตัวเลขของแต้มทั้งสองบนร่างกายอาคุมุนั้น แต้ม W ทางซีกซ้ายนั้นอยู่ที่หลังมือ และแต้ม B ทางซีกขวานั้นอยู่ที่หัวไหล่ ทั้งสองตำแหน่งนั้นปรากฏให้เห็นเลข 00
“นี่ อาคุมุ.. ลูกน่ะต้องเป็นคนดีนะ จะได้มีแต้ม W เยอะ ๆ เราจะได้ไปสวรรค์กัน ส่วนแต้ม B ถ้ามีบ้างเราก็จะไว้ใช้ป้องกันตัว เดี๋ยวพ่อจะสอนการใช้เวทมนตร์และอีกหลาย ๆ อย่างให้เอง” อิซามุนั้นจะบอกทั้งคู่อยู่เสมอว่าให้เป็นคนดี และให้ทำความดี ซึ่งทางด้านของเก็นนั้นเชื่อฟังมาโดยตลอด แต่...
“ครับคุณพ่อ”
‘แต่ว่าเรื่องทำความดี.. คิดว่าผมจะทำเหรอครับพ่อ? พ่อหรือไม่ก็พี่ คนใดคนหนึ่งนั่นแหละจะตายด้วยมือของผมเองเมื่อถึงเวลา หึหึ’
สิ่งที่อิซามุพูดกับสิ่งที่ตัวเขาทำนั้นอาจไม่สอดคล้องกันสักเท่าไร เพราะบ่อยครั้งที่อาคุมุนั้นคิดจะแอบดูแต้ม W และแต้ม B ของอิซามุเพราะตัวเลขทั้งสองอย่างของอิซามุนั้นอยู่ที่แผ่นหลัง แต่ทุกครั้งก็ถูกอิซามุจับได้ตลอด ราวกับว่าผู้เป็นพ่อนั้นรู้อยู่แล้วว่าลูกคิดจะทำอะไรในตอนไหน
และบ่อยครั้งที่เวลาอาคุมุถามเกี่ยวกับเรื่องการทำความดีของอิซามุ ซึ่งอิซามุนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นการย้ำเตือนผู้เป็นลูกทั้งสองคนอยู่ทุกครั้ง
นั่นจึงทำให้อาคุมุเริ่มสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของอิซามุผู้เป็นพ่อของเขาเอง
“ตอนนี้ลูกก็ 6 ขวบแล้ว พ่อคิดว่าคงถึงเวลาที่ลูกนั้นจะได้รับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่มากกว่าแต้ม W และแต้ม B แล้วล่ะ” อิซามุพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจัง ในตอนนี้อาคุมุก็มีอายุครบหกปีพอดี
ซึ่งอาคุมุนั้นมีสีผมเป็นสีแดงสดเช่นเดียวกันกับอิซามุ แต่ที่แปลกไปคือบางจุดของสีผมนั้นมีสีฟ้าปะปนมาด้วย ดวงตาของเขามีสีดำสนิทและดูดุดัน แต่ร่างกายนั้นดูผอมบาง ซึ่งร่างกายที่ต้องฝึกฝนเพิ่ม แต่มาพร้อมกับพลังอันมหาศาลที่ซ่อนอยู่ แน่นอนว่าเขาจะได้ใช้มันอย่างเต็มที่เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม
“เกี่ยวกับโลกนี้เหรอครับพ่อ?” อาคุมุถามกลับไป ซึ่งมันเป็นคำถามที่เขาไม่ควรจะถามไปตรง ๆ แบบนั้นเลยสักนิด
“ใช่แล้วล่ะ เกี่ยวกับโลกนี้และการใช้ชีวิต เพราะมันมีหลายอย่างเลยล่ะที่ลูกต้องรู้” อิซามุนั้นตอบกลับไปโดยที่ไม่มีท่าทีสงสัยหรือแปลกใจอะไรเลยสักนิด
‘ไม่สงสัยอะไรในตัวฉันงั้นเหรอเนี่ย? ถ้าเป็นแบบนี้ฉันก็หลอกถามอะไรได้ง่าย ๆ น่ะสินะ’
“ผมพร้อมรับฟังครับ” อาคุมุนั้นพูดด้วยสีหน้าที่ตั้งมั่น แต่ในใจลึก ๆ แล้วเพียงแค่ต้องการคนช่วยสอนอะไรหลาย ๆ อย่างในโลกนี้ ทั้งการใช้พลังเวท การต่อสู้ การฝึกใช้อาวุธ หรือแม้กระทั่งการฆ่า
“ก็นะ พ่อจะบอกให้ว่าจักรพรรดิของจักรวรรดินี้น่ะ.. มีแต้ม B ที่สูงมากเลยล่ะ”
“เอ๋? แต้ม B เนี่ยนะครับ เป็นถึงจักรพรรดิแท้ ๆ ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้ แปลกดีนะครับ” อาคุมุเริ่มมีความสนใจขึ้นมาในทันที เพราะนี่เป็นสิ่งที่ดูประหลาดมาก ทั้งที่จักรพรรดิควรจะมีแต้ม W เยอะกว่าแต้ม B แต่นี่ก็หมายความว่าจักรพรรดินั้นคงจะทำแต่สิ่งที่ไม่ดี
“แปลกดี? แต่จักรพรรดิแบบนี้นี่ไม่ดีนะลูก เพราะสร้างแต่ความเดือดร้อนให้คนทั้งจักรวรรดิ หลาย ๆ เมืองต่างอยู่กันอย่างไม่สงบสุข สาเหตุหลักก็มาจากจักรพรรดินี่แหละ”
‘สร้างความเดือดร้อน? แสดงว่าก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะเพิ่มแต้ม B สินะ’
“วิธีเพิ่มแต้ม B นี่มีหลายวิธีเหรอครับพ่อ?” อาคุมุถามออกไปในทันที เพราะนอกจากการฆ่าก็คงมีอีกหลายอย่างที่ทำให้แต้ม B นั้นเพิ่มขึ้นสูงได้
“ใช่แล้วล่ะ แต่ตอนนี้ลูกลองตั้งใจมองมาทางพ่อสิ ตั้งสมาธิและมองมาให้เห็นออร่าที่อยู่รอบตัวพ่อ ถ้าเห็นแล้วนั่นก็แสดงว่าลูกน่ะมีพรสวรรค์นะ เพราะอย่างพี่ชายลูกกว่าเขาจะมองเห็นออร่าได้ก็เกือบจะสิบขวบเลยล่ะ”
“ไม่ต้องเอามาพูดก็ได้หรอกครับพ่อ เรื่องเกี่ยวกับผม.. ไม่ต้องให้คนอย่างเขารู้นักหรอก” เก็นพูดขึ้นมาในทันที ราวกับว่านั่งฟังอยู่นานแล้ว ทั้งที่ตอนแรกอิซามุนั้นเห็นว่าเขาออกไปข้างนอก
“อ้าว! เก็น มาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“สักพักแล้วครับ” เก็นตอบกลับมาก่อนที่จะหันไปและเตรียมจะเดินเข้าบ้าน
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว ช่วยน้องฝึกการใช้พลังเวทหน่อยสิ สอนควบคุมด้วย แล้วก็บอกทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย พ่อไปข้างนอกก่อน ฝากทีนะ”
“เดี๋ยวก่อนสิครับพ่อ ผมเพิ่งกลับมาได้ไม่นานเองนะ แล้วจะให้ผมสอนคนอย่างหมอนี่..” เก็นยังพูดไม่ทันจบประโยค อาคุมุก็พูดแทรกขึ้นมาในทันที
“ว้าว พลังของพ่อและพี่ สูงมาก ๆ เลยล่ะครับ ออร่าสีสวยสุดยอด”
“อะไรนะ?” ทั้งคู่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน เพราะไม่เคยมีใครที่อายุเพียงแค่นี้ก็สามารถมองเห็นออร่าพลังเวทได้ ส่วนมากก็แค่ใช้พลังเวทได้นิดหน่อยเท่านั้น
“นี่.. มองเห็นแล้วอย่างงั้นเหรอ?” อิซามุถามกลับไปก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ ๆ
‘ก็แค่แกล้งพูดไปงั้นแหละ จริง ๆ ฉันยังมองไม่เห็นอะไรเลย บ้าชะมัด’
“ใช่ครับพ่อ แบบนี้ก็แสดงว่าผม.. มีพรสวรรค์น่ะสิครับ” อาคุมุพูดออกมาก่อนจะยิ้มที่มุมปากแล้วหันไปทางเก็นที่ยืนมองอยู่
“ชิ คนอย่างแกน่ะ.. คนอย่างแกน่ะไม่สามารถเป็นนักเวทได้หรอก! พรสวรรค์อะไรของแกก็ไม่มีหรอก ก็แค่ดวงดีมองเห็นได้เร็วเท่านั้นเอง แกไม่สามารถเหนือกว่าฉันได้หรอกนะจำเอาไว้!!” เก็นตวาดด้วยอารมณ์ก่อนที่จะหันหลังให้แล้วเตรียมจะเดินออกไปพร้อมกับความแค้นที่อยู่ในใจ
‘นั่นแหละดี โกรธฉันซะ หึหึ’
“เก็น! กลับมานี่เดี๋ยวนี้นะ” อิซามุตะโกน
“สร้างวงแหวนเวท!”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นเก็นจึงไม่เดิน แต่เปลี่ยนไปใช้พลังเวทในการเคลื่อนที่แล้วหายไปจากตำแหน่งเดิมในพริบตา
“ว้าว นั่นคือท่าอะไรเหรอครับ?” อาคุมุสนใจเพียงแต่ทักษะเมื่อครู่นี้ที่เก็นใช้ เพราะนี่อาจเป็นสิ่งที่สำคัญมากก็เป็นได้
“นั่นน่ะคือการเคลื่อนที่ด้วยวงแหวนเวท เป็นการเคลื่อนที่โดยสร้างวงแหวนเวทขนาดใหญ่ไว้รอบตัวเอง หลังจากนั้นมันจะอยู่ที่พื้นโดยมีแค่ผู้ใช้ที่มองเห็น ซึ่งขนาดของวงแหวนก็ขึ้นอยู่กับการฝึก เมื่อสร้างไว้แล้วเราก็จะสามารถเคลื่อนที่ไปตรงไหนก็ได้ในวงแหวนเวทนั้น” อิซามุอธิบายให้เขาฟัง
“แบบนี้นี่เอง แล้วมีพลังอะไรบ้างเหรอครับที่จำเป็นในการต่อสู้?” อาคุมุถามกลับไปด้วยความอยากรู้
“พ่อว่าของแบบนี้ลูกต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองนะ พ่อแค่บอกตามที่พ่อรู้เท่านั้นแหละ”
“แต่พ่อเนี่ยดูรอบรู้จังเลยนะครับ” อาคุมุพูดราวกับว่าแค่พูดไปเฉย ๆ แบบไม่ได้คิดอะไร แต่อิซามุนั้นตอบกลับในทันที
“เพราะพ่อ.. เป็นนักเวทไงล่ะ พ่อถึงต้องรู้เรื่องพวกนี้ไว้เป็นพื้นฐาน ไม่งั้นคงจะไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้” อิซามุพูดจบก็มีท่าทีที่จะหันหลังให้แล้วเดินไปข้างนอก
‘เห ว่าแล้วเขาต้องเป็นนักเวท งั้นก็แสดงว่าพี่ชายโง่นั่นด้วยสินะ หลุดปากมาซะขนาดนั้น’
“นี่พ่อเป็นนักเวทเหรอครับ? สุดยอดไปเลย งั้นก็แสดงว่าพี่เขาก็เป็นด้วยใช่ไหมครับ? แต่ทำไมตอนนี้เขาดูฉุนเฉียวจังเลย พี่เขาติดขัดอะไรกับผมหรือเปล่าครับพ่อ” อาคุมุถามกลับไปอย่างทันท่วงที จึงทำให้อิซามุต้องนั่งลงข้าง ๆ เขา
“ก็นะ ใช่แล้วล่ะ ทั้งพ่อและพี่เขาก็เป็นนักเวท แต่ที่พี่ชายของลูกนั้นถึงกับต้องตะโกนใส่ก็เพราะว่าเขาโกรธตัวเขาเองเพราะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่ง ไม่ได้มีพรสวรรค์ และไม่เคยชนะใครเลย.. เมื่อตอนที่เขาไปสอบเป็นนักเวทเขาก็แทบจะชนะใครไม่ได้ แถมเกือบจะตายเพราะปีศาจเวทมนตร์ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ได้เป็นนักเวทในระดับต่ำ ขนาดเพื่อนเขาเองยังไม่ยอมรับในตัวเขาเลย.. ก็ประมาณนี้นี่แหละนะ” อิซามุเล่าเรื่องราวส่วนหนึ่งให้อาคุมุฟัง ซึ่งเก็นนั้นมีความแค้นฝังลึกมาตั้งแต่อดีต ที่ในตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถทำให้มันหายไปหรือลืมมันไปได้
“มีการสู้กับอะไรบ้างเหรอครับพ่อ? ในการสอบเป็นนักเวท” อาคุมุถามกลับไป
“จะมีการสู้กับปีศาจเวทมนตร์ทุกระดับตั้งแต่ระดับ 1 ถึง 6 และระดับ 1 ดาวถึง 3 ดาว”
**ระดับของปีศาจเวทมนตร์
-ปีศาจเวทมนตร์ระดับ 1
-ปีศาจเวทมนตร์ระดับ 2
-ปีศาจเวทมนตร์ระดับ 3
-ปีศาจเวทมนตร์ระดับ 4
-ปีศาจเวทมนตร์ระดับ 5
-ปีศาจเวทมนตร์ระดับ 6
-ปีศาจเวทมนตร์ระดับ 1 ดาว
-ปีศาจเวทมนตร์ระดับ 2 ดาว
-ปีศาจเวทมนตร์ระดับ 3 ดาว
“ซึ่งการสู้กับปีศาจเวทมนตร์ก็คือการวัดระดับของการเป็นนักเวท เช่นในตอนนี้พ่อสามารถสู้กับปีศาจเวทมนตร์ระดับ 4 ได้อย่างสูสีพอสมควรแล้วก็ชนะในตอนท้าย แต่สู้กับปีศาจเวทมนตร์ระดับ 3 และชนะมาด้วยความง่ายดาย พ่อก็จะได้เป็นนักเวทระดับ 3 นั่นเอง”
**ระดับของนักเวท
-นักเวทระดับ 1
-นักเวทระดับ 2
-นักเวทระดับ 3
-จอมเวทระดับ 1
-จอมเวทระดับ 2
-จอมเวทระดับ 3
-ราชันจอมเวทระดับ 1 ดาว
-ราชันจอมเวทระดับ 2 ดาว
-ราชันจอมเวทระดับ 3 ดาว
“งั้นก็หมายความว่า พี่เขาได้เป็นนักเวทระดับ 1 สินะครับ และเกือบตายเพราะปีศาจเวทมนตร์ระดับ 2 แต่ชนะได้แบบหวุดหวิดใช่ไหมครับพ่อ?” อาคุมุถามกลับไป เขาพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างเกี่ยวกับการเป็นนักเวทและปีศาจเวทมนตร์
“ใช่แล้วล่ะ แล้วก็จะมีการต่อสู้กันเองด้วยหลังจากที่สู้กับปีศาจเวทมนตร์เพื่อวัดระดับ ซึ่งการสู้กันเองก็จะเป็นการวัดความสามารถอีกครั้งเพื่อแบ่งกลุ่มในการทำงาน เช่นพ่อสู้กับนักเวท 8 คน ซึ่งพ่อแพ้ทุกคน พ่อก็คงจะได้ไปเป็นคนคอยติดตามนักเวทที่ระดับสูงกว่านิดหน่อยแล้วออกไปตายในหน้าที่.. อะไรทำนองนั้นแหละนะ”
“แล้วนักเวทกับจอมเวท นอกจากจะสู้กับปีศาจแล้วต้องสู้กับใครอีกเหรอครับพ่อ?” อาคุมุถามกลับไปในทันทีหลังจากที่อิซามุนั้นพูดจบ ราวกับว่าเตรียมคำถามไว้อยู่แล้วแต่แค่รอเวลาที่จะถาม
“ก็.. จอมมารและผู้ใช้พลังปีศาจทั้ง 13 ของจอมมารไงล่ะ” ...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!