เดือนสองในนครหลวง อากาศของฤดูใบ้ไม้ผลิหนาวเย็นเล็กน้อย ภายในห้องบรรทม เหล่านางกำนันที่มีสีหน้าเบิกบานกำลังถือน้ำร้อน และผ้าเช็ดหน้าเดินเข้าไปในยังตำหนักที่เป็นขั้นตอน
บนเตียงมังกรสีทองอร่ามมีมือขาวๆ ยื่นออกมา ขันทีน้อยซึ่งรออยู่ด้านข้างมองจ้องสองเท้าเปลือยเปล่าของฮ่องเต้ที่จะแตะพื้นอย่างอกสั่นขวัญ ยามนี้หัวหน้าขันที เถียนฝูเซินกำลังอุ่นฉลองพระบาทให้ฮ่องเต้อยู่ด้านนอกจึงไม่มีผู้ใดห้ามได้ ทุกอิริยาบถของฝ่าบาทที่เพิ่งหายจากอาการประชวรรุนแรงทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นตระหนก
ขันทีน้อยตกใจ ก้าวไปข้างหน้าแล้วหมอบลงหน้าเตียง เท้าของผู้สูงศักดิ์ที่สุดในใต้ล่าเหยื่อบนหลังของขันทีน้อยได้ทันเวลา
ศีรษะของขันทีน้อยชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาพยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลัง กล่าวอย่างติดๆขัดๆ"ฝ่าบาทจะสัมผัสความเย็นไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้หัวเราะด้วยเสียงหนึ่ง ก่อนจะยิ้มแล้วด่าขึ้นมาว่า "ไสหัวไปทางโน้น" ขันทีน้อยไม่กล้าที่จะไม่ฟังคำเขาแต่ก็ไม่กล้าปล่อยให้เขาลงพื้นทั้งอย่างนี้จึงกล่าวอย่างบังอาจว่า"ไม่ได้แพ้ค่ะบนพื้นมันเย็นไอเย็นนี้จะแทรกซึมเข้าสู่เพราะวรกายมังกรจากพระบาทได้พ่ะย่ะค่ะ"
เทียนฟู่ฉันเพิ่งเข้ามาได้ยินขันทีน้อยกล่าวประโยคนี้ รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันควัน ถือรองเท้ามังกรอยู่ในมือแสร้งร่ำไห้ว่า" ฝ่าบาท กระหม่อมมาปรนนิบัติให้พระองค์ลงพื้น พระองค์จะวางฝ่าบาทลงมาไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ หัวใจของกะหล่ำแทบจะหลุดออกมาจากคอแล้ว"
กู้หยวนไป๋หลุดหัวเราะทันใด "เจิ้น* เห็นว่าวันๆ หนึ่งหัวใจเจ้าหลุดออกมา 7-8 รอบ
เถียนฝูเซิงหัวเราะหึๆ จับสองเท้าของฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง จนอดที่จะถอนหายใจมิได้
เขาไม่ใช่ฮ่องเต้ที่จริงจังอะไรนัก หากแต่เป็นหนุ่มหมั้นผู้เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจจาก ศตวรรษที่ 21 ต่างหาก เพราะขณะที่กำลังเล่นกระโดดร่มในวินาทีที่เขาทะลุผ่านชั้นเมฆมานั้น พอลืมตาขึ้นอีกทีก็ดันตื่นมาในร่างนี้เสียแล้ว
ราชวงศ์นี้มีชื่อเรียกว่าต้าเหินซึ่งไม่มีในบันทึกทางประวัติศาสตร์ น่าจะเป็นโลกสมมติที่สร้างขึ้น ระดับ เทียบเท่ากับราชวงศ์ซ่งเหนือ
ร่างกายของกูหยวนป่ายนี้เป็นร่างที่ไม่สมบูรณ์โดยกำเนิดละอ่อนแอมากเกินไป การเป็นฮ่องเต้จึงไม่ค่อยดีนัก
ตอนที่กู้หยวนไป๋มาถึง ก็ปรากฏร่องรอยของระบอบขันทีเผด็จการแล้วโดยทั่วไปเมื่อเกิดระบอบขันทีเผด็จการมักจะหมายความว่าราชวงศ์นั้นได้กำเนิดมาตอนกลางหรือปลายแล้ว ขุนนางผู้มีอำนาจขยายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นขันทีเองก็ต้องการที่จะคุมทัพ กู้หยวนไป๋ใช้เวลา 3 ปีเต็มในการลากร่างอมโรคนี้ ล้มขุนนางผู้มีอำนาจและขันทีลงมาในคราวเดียว ชำระล้างราชวงศ์เก่าและฝ่ายในปรับสมดุลอำนาจทั้ง 3 ฝ่ายเป็นการชั่วคราว ฟื้นฟูอำนาจแห่งจักรพรรดิให้เป็นดั่งกาลก่อน
ในขณะที่เขาถูมือเตรียมต่อสู้และตั้งรับภารกิจครั้งใหญ่ ร่างกายก็ไม่อาจทนทานได้ ทั้งปลายฤดูหนาวมาถึงก็พัดพาสายลมอันหนาวเหน็บมาด้วย ช่วงไม่กี่วันที่กูหยวนไปป่วยหนัก เขาได้ยิน 1 หรือ 2 ชื่อที่คุ้นเคยอย่างยิ่ง
______________________________________________
*เจิ้น เป็นคำที่ฮ่องเต้ใช้เรียกแทนตัวเอง แปลว่า 'เรา'
โดยบังเอิญ ในที่สุดเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้ทะลุมาในโลกสมมุติแต่ทะลุมาในหนังสือ
ฮ่องเต้น้อยที่อยู่ในหนังสือมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปีก็ตาย จากนั้นจึงสละตำแหน่งให้ผู้สำเร็จราชการผู้โด่งดังซึ่งเป็นพระเอกของเรื่อง ส่วนนายเอกในหนังสือนั้นเป็นขุนนางมากความสามารถที่จะช่วยให้ผู้สำเร็จราชการปกป้องแผ่นดินมีชื่อเสียงดีงามสืบไปจากรุ่นสู่รุ่น
กู้หยวนไป๋เป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง และรู้ว่าหนังสือเล่มนี้ถูกดัดแปลงให้เป็นเรื่องราวของนิมิตรภาพลูกผู้ชายที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้การเมืองในวังหลวงบทเว็บดราม่า
หลังรู้ว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกไม่กี่ปี กู้หยวนไป๋ก็ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอยู่ช่วงหนึ่ง ความทะเยอทะยานก่อนหน้านี้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเพราะอย่างไรเสียมันก็สู้การรักษาชีวิตให้ดีมิได้
เขาโกหกตัวเองว่าตำแหน่งฮ่องเต้นี้ไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นของเขา ต่อให้ยามนี้เขาทำมากเพียงใดก็เป็นเพียงการปูทางให้กับฮ่องเต้ในอนาคตเท่านั้น แต่จะยอมแพ้ไปอย่างนี้ เขาไม่เต็มใจจริงๆ
ในช่วงที่เจ็บป่วยอยู่นั้นกูหยวนไปคิดไปมากมาย จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ หลายปีมานี้เขาดูแลตัวเองอย่างดี เพลิดเพลินกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตอย่างเต็มที่ ทำตัวเป็นคนซื้อซีอิ๊ว* ไปเรื่อย พร้อมสังเกตการสังคมมิตรภาพลูกผู้ชายของ 2 ตัวละครหลักในเนื้อเรื่อง
กู้หยวนไป๋ยังไม่เคยสังเกตสังคมมิตรภาพลูกผู้ชายมาก่อนเลย
"ฝ่าบาท เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ" เทียนฟู่เฉินว่าง 2 เท้าของกู้หยวนไป๋ลงอย่างเบามือเบาเท้า เพราะเกรงว่าจะรบกวนฮ่องเต้ที่กำลังจมอยู่ในความคิด ในที่สุดกูหยวนไปก็ยืนอยู่บนพื้น นางกำนันนำชุดลำลองที่อบควันจนหอมมาผลัดเปลี่ยนให้เขา
ยังไม่ทันจะเปลี่ยนชุดเสร็จดี ด้านหน้าก็มีขันทีมารายงาน "ฝ่าบาทเหอซินเอ๋อพร้อมเสนาบดีกรมอากรและบุรุษชายของเขา กำลังรออยู่นอกตำหนัก
______________________________________________
*ซื้อซีอิ๊ว เป็นคำสแลงใช้สื่อว่าผู้พูดไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีบทบาทสำคัญ
______________________________________________ พ่ะย่ะค่ะ"
"ให้พวกเขาเข้ามา"กู้หยวนไป๋เอ๋ย
ขันทีทั้ง 3 คนเข้ามา พวกเขาขอถวายความเคารพกู้หยวนไป๋ที่เพียงต้อนรับเรียบๆด้วยเสียงหนึ่ง"ลุกเถิด"
คุณชายจวนเสนาบดีกรมอากรยังไม่ได้สวมหมวก* ดูจะเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เกรงกลัวต่อฟ้าดิน ทั้งที่เมื่อเช้าเขาเพิ่งดูถูกผู้เป็นบิดากำชับไปสิบยี่สิบรอบว่าห้ามมองพระพักตร์ฝ่าบาทโดยตรงเด็ดขาด ทว่าว่ายิ่งห้ามกลับเหมือนยิ่งยุ เพราะบัดนี้เขายืนอยู่ตรงข้างหลังเหอชินเเละผู้บิดากำลังอาศัยมุมอับลอบช้อนตาขึ้นมอง
ผู้ครองแผ่นดินเช่นกู้หยวนไป๋ กล่าวได้ว่าเป็นบุคคลที่ถูกตามใจจนเปราะบางที่สุด และได้รับการเลี้ยงดูจากทั้งแคว้น
ขณะที่คุณชายน้อยเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นนางกำนัลกำลังพาดผมดำขลับของฮ่องเต้ ไปด้านหลังอย่างระมัดระวัง วันนี้ห้องเต้เพิ่งหายจากอาการประชวรตั้งใจสวมฉลองพระองค์สีแดงฉาดเพื่อเฉลิมฉลอง ใบหน้าหยกนั้นสะท้อนสีแดงระเรื่อ
คุณชายน้อยก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีก
"นี่คือคุณชายใหญ่ของใต้เท้าทังรึ"
น้ำเสียงของกู้หยวนไป๋อ่อนโยนจนใต้เท้าถังรู้สึกปราบปลื้มใจยิ่ง ก่อนคล่อมตัวเอ่ย"คราวก่อนฝ่าบาทตรัสกระหม่อมว่าคนหนุ่มในวังมีน้อย บุรุษของกระหม่อมคุณสมบัติปานกลาง นิสัยโง่เขา เพราะว่าดีที่ยังเยาว์วัย ปกติแล้วน่าปวดเศียรเวียนกล้ายิ่งนัก หากฝ่าบาทไม่รังเกียจกระหม่อมจะให้เขาเข้าวังบ่อยๆ เพื่อติดสอยห้อยตามและคลายเหงาให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"
กู้หยวนไป๋อยากถอนหายใจอีกแล้ว
เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งทำเรื่องใหญ่สำเร็จไป นั่นก็คือการบอกใบ้ให้
______________________________________________ ชายจีนที่อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ในสมัยโบราณจะต้องผ่านพิธีสวมหมวก เพื่อแสดงถึงการบรรลุนิติภาวะเป็นผู้ใหญ่
ขุนนางใหญ่เหล่านี้ส่งบุรุษหลานในตระกูลตนมายังวังหลวง ร่างกายของเขาอ่อนแอ ไร้สนมชายาและบุรุษชายสตรี การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงเพื่อใช้พวกเขาเป็นเชือกผูกมัดข้าราชบริพารเท่านั้น แต่ยังแสดงเพื่อความโปรดปรานเลือกที่รักมั่งที่ชัง แบ่งแยกกลุ่มขุนนางและบัณฑิตออกจากกัน ส่วนเหตุผลข้อที่ 3 ก็เพื่อดูว่าจะมีคนเก่งอนาคตสดใสที่ปลูกฝังความจงรักภักดีและอยู่รับใช้ตนหรือไม่
เพราะว่าตอนนี้เขาไม่มีแก่ใจแล้ว
"เข้ามานี่ให้เจิ้นได้เห็นหน้า" กู้ยวนไป๋กวักมือเรียกคุณชายน้อย" ใต้เท้าทังไม่ต้องถ่อมตัวไป ท่านมีชื่อเสียงในด้านการอบรมสั่งสอน เจิ้นเองก็เคยได้ยิน" คุณชายน้อยกั้นลมหายใจเดินไปหาฮ่องเต้ที่ด้านหน้า ส่วนแผ่นหลังของใต้เท้าถังเองก็เปียกเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น เพราะหลังจากที่ฮ่องเต้ชำระสะสางราชสำนักในคราวเดียวแล้ว เขาก็มักจะรู้สึกตึงเครียดเสมอเมื่อเผชิญหน้ากับพระองค์ อำนาจในราชสำนักของฮ่องเต้เพิ่มพูนขึ้น เขาจึงกังวลว่าบุรุษชายที่ทำกิริยาไร้มารยาทต่อหน้าพระองค์ โชคดีที่วันนี้ฮ่องเต้น่าจะอารมณ์ดี ทั้งยังเอ่ยถามด้วยความเป็นมิตรยิ่งคุณชายน้อยตอบทุกคำถาม อาการตะกุกตะกักในตอนแรกก็ผ่อนคลายลงกู้หยวนไป๋ต้องการจะยกถ้วยขึ้นดื่มชา ทว่าจู่ๆมือของเขาก็สั่นเทาอย่างไร้เรี่ยวแรง ถ้วยชาล่วงลงคือส่งเสียงดังแสบแก้วหู กู้หยวนไปมองไปยังเศษถ้วยชาบนพื้น ก็รู้สึกถึงเพียงไฟโกรธที่เข้าสู่จมหัวใจ เขาระคายคอและเริ่มไอ คุณชายน้อยสะดุ้งโหยง ก้าวขึ้นไปหาห้องใต้ตามสัญชาตญาณ นิ้วมือเขาขาวๆของฮ่องเต้ลูบๆ หน้าอก คิ้วขมวดแน่น ทั้งตกใจทั้งโมโห "ฝ่าบาท" คุณชายน้อยที่บังอาจเอื้อมมือฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยความกังวล "พระองค์ไม่เป็นอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ"
เศษถ้วยชาถูกเก็บออกไปส่วนกู้หยวนไป๋ก็หยุดไอแล้ว และยิ้มแย้มออกมาครั้งหนึ่ง "เจิ้นไม่เป็นไร"
ถือชินอ๋องที่นั่งเงียบมาตั้งแต่เข้าตำหนักหัวเราะเยาะเย้ยพร้อมเสียงเอ่ยเย็นเยียบ ยามที่เสด็จพ่อยกแผ่นดินให้ฝ่าบาทในตอนนั้น พระองค์ยังมิได้อ่อนแอเช่นทุกวันนี้เลย" กู้หยวนไป๋ถอนใจ ก่อนเอ่ย "เหอชินอ๋องกล่าวถูกต้องแล้ว"
กูหยวนไปปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว เข้าลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกตำหนั แหงนหน้ามองท้องฟ้า" อากาศวันนี้ไม่เลวจริงๆ"
"พระว่าร่างกายของฝ่าบาทดีขึ้นมากแล้ว อากาศย่อมแจ่มใส" เสนาบดีกรมอากรเอ้ยเสริมทันที "หลายวันที่ผ่านมาฝ่าบาทประชวร ราษฎรในเมืองหลวงหน้านิ่วคิ้วขมวด อยู่บ้านอธิษฐานให้ฝ่าบาททุกวัน ฝ่าบาทปกครองแผ่นดินด้วยความเป็นธรรม หัวใจราชกฏเบิกบาน แม้แต่สวรรค์ก็ยังห่วงแหน"
ฮ่องเต้หัวเราะ เสนาบดีกรมอากรเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปากอย่างไม่ลดละ "2 วันนี้อากาศน่าจะแจ่มใส ฝนในฤดูใบไม้ผลิมีค่าดั่งน้ำมันเมื่อไม่กี่วันก่อนมีฝนตกปรอยๆ ดอกไม้ใบหญ้าแถบชานเมืองก็บานสะพรั่งแล้ว บุตรชายของกระหม่อมกล่าวว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะมีการแข่งขันชู่จวี* ด้วยพะยะค่ะ"
"เอ๋?" กู้หยวนไป๋สนใจเป็นอย่างมาก"แข่งชู่จวีหรือ"
เรื่องที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันโปรดปรานชู่จวีนั้นคนทั่วหน้าต่างรู้ดี ใบหน้าของคุณชายน้อยแดงเรื่อ เขาคำนับก่อนเอ่ยด้วยความตื่นเต้น "พรุ่งนี้เป็นงานแข่งชูวี่ที่จัดขึ้นโดยบรรดาศิษย์ในสำนักศึกษา มีกลุ่มศิษย์ทั้งหมด 4 กลุ่มใช้เวลาการแข่งขัน 1 ชั่วยาม** ครึ่งพ่ะย่ะค่ะ" กู้หยวนไป๋เอ่ย "พูดไปพูดมาเจิ้นรู้สึกสนใจขึ้นมาเสียแล้ว พรุ่งนี้สำนักศึกษาของเจ้าจะจัดการแข่งขันชูจุ้ยขึ้นที่ใดยามใด เจิ้นอยากไปร่วมความครึกครื้นด้วย" คุณชายน้อยรับคำด้วยเสียงสั่นคลื่น "พ่ะย่ะค่ะพ่ะย่ะค่ะ"
สายตาเฉียบคมของเขียนฟูถึงสังเกตเห็นความอ่อนล้าปรากฏขึ้นบนหว่างคิ้วของฮ่องเต้ จึงรีบก้าวขึ้นหน้าเชิญให้เสนาบดีกรมอากรและบุตรชายออกไป ในช่วงเวลานี้เหอชินอ๋องที่ยืนใบหน้าเขียวคล้ำอยู่ด้านข้างเหมือนตอไม้ข้างทางจ้องมองกู้หยวนไป๋เขม็งแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไปพร้อมกัน
______________________________________________*ชู่จวี หรือการเล่นลูกหนัง เป็นการละเล่นหรือกีฬาชนิดหนึ่งของจีนโบราณ มีลักษณะคล้ายกับฟุตบอลในยุคปัจจุบัน
**ชั่วยาม เป็นหน่วยนับเวลาของจีนในสมัยโบราณเท่ากับ 2 ชั่วโมง
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!