เจ้าหญิงปีศาจ
ตอน คำปฏิญาณ
รอบๆปราสาทมีเสียงไฟลุกโหม ควันขาวลอยขึ้นฟ้า ค่ำคืนสว่างไสวด้วยไฟสงคราม ชาวบ้านหนีตาย ทหารชั่วบุกเข้าปราสาทพระราชวัง ทหารดียืนถือดาบป้องกันปราสาทสูง
ทุกคนสวมชุดเกราะอัศวินสีเงินทั้งสองฝ่าย
เคร้ง! ๆ ๆ เสียงหอกเสียงดาบภายนอกท้องพระโรงกระทบกันสนั่นหวั่นไหว จากอัศวินทั้งสองฝั่ง ฝ่ายจงรักภักดีอีกฝ่ายปฏิวัติชิงบัลลังก์
การประทะทำให้อัศวินป้องกันปราสาทล้มตายไปจำนวนมาก
ในห้องพระโรงสีทอง บัลลังก์กลับว่างเปล่า มองไปรอบๆเห็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่
เบื้องหน้ามีศพของราชาและราชินีนอนกองอยู่บนพื้น ทั้งคู่ถูกขุนนางชั่ววางยาพิษจนขาดใจตายไปต่อหน้าเจ้าหญิงวัย9ขวบเศษ
ฮือ! ๆ ๆ
ดวงตาสีเขียวมรกตอิ่มชุ่มไปด้วยน้ำตา หยาดน้ำใสไหลเป็นเส้นสายพาดอาบแก้มน้อยลงมาเป็นทางยาว
หยดลงบนใบหน้าท่านพ่อและท่านแม่
ติ๋ง! ๆ
ซื่ด! ฮื่มมม! เสียงสูดหายใจรุนแรงอยู่เบื้องหลังเจ้าหญิงตัวน้อย
ครึ่ด! เสียงดาบยาวโง้งถูกชักออกมาจากกลางหลังของอัศวินชุดเกราะสีทองอร่าม
ใบดาบยาวใหญ่น่ากลัววางพาดลงบนบ่าเจ้าหญิงตัวน้อย สีเงินวาววับสะท้อนกับแสงเทียนยามราตรีกลายเป็นสีทอง
เคร้งงง! หมวกทองถูกถอดโยนลงพื้น มันกลิ้งไปอย่างไร้ค่าบนพรมสีแดง
ปรากฏใบหน้าคมคายของบุรุษวัยยี่สิบปี ร่างกายของเค้าล่ำใหญ่และถูกปกคลุมด้วยเกราะทองจนถึงคอ
"พวกเค้าตายไปแล้ว ได้โปรดรับข้าเป็นอัศวินของท่านเถิดเจ้าหญิง มอบหมายงานให้ข้า ให้ข้าอุทิศชีวิตเพื่อภารกิจ" เสียงทุ้มต่ำดังกังวาล
ฮือ! ๆ ๆ เด็กสาวตัวน้อยยังคุกเข่าร้องไห้กระซิก ๆ ดั่งกับว่าเธอยังเล็กเกินไป
"มิเรียเรส พวกเราต้านไม่ไหวแล้ว" เสียงอัศวินข้างนอกดังเข้ามา ฉับพลันก็ตามด้วยเสียงร้องโหยหวน เหมือนทั้งหมดนั้นขาดใจตาย
เคร้ง! ๆ ๆ เสียงอัศวินฝ่ายปฏิวัติวิ่งกรูเข้ามาถึงหน้าท้องพระโรง
ร่างสูงใหญ่สั่นเทา ใบหน้าหล่อเหลาเรียวขาวขมวดตึง สองมือจับดาบใหญ่ยักษ์ไว้มั่น ซึ่ดดด! ๆ เสียงลมหายใจรุนแรง ลมร้อนพวยพ่นลงบนหัวเด็กสาว
ฟู่ววว! ผมสีทองปลิวไหว
ตูม! ๆ ๆ เสียงหอกดาบฟันประตูบานใหญ่เหมือนมันจะพังทลายลงมาในไม่ช้า
"อนาสตาเซีย ได้โปรดรับข้าเป็นอัศวินของเจ้า" เสียงตะโกนก้อง ดังลั่นจากยอดปราสาทไปทั่วเมือง
"ฮือ! ๆ รับ ข้ารับแล้ว" เสียงเล็กแหลมดังขึ้น หลังจากเด็กสาวปาดน้ำตาแล้วถอดเสื้อคลุมวางปิดหน้าศพบิดาและมารดา
มิเรียเรสอุ้มเจ้าหญิงตัวน้อยไปนั่งอยู่บนบัลลังก์สีทองที่ตั้งตระหง่าน เค้าย่างกรายมายืนจังก้าอยู่หลังประตูอย่างตื่นเต้นระทึกขวัญ
ชุดเกราะทองส่องแสงระยิบระยับยามเค้าเคลื่อนไหวร่างกายอันสูงใหญ่ คิ้วดกเข้มขมวดตึง ดวงตาสีน้ำตาลเปล่งประกายมุ่งมั่นสุดใจ
ทว่าขณะเดียวกันแขนและขาที่ล่ำใหญ่ก็สั่นเทา ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงยิ่งกว่าเสียงฟ้าคำราม
สิ่งที่อัศวินหนุ่มกำลังเป็นอยู่คือความกลัวหรือหาญกล้า แบ่งแยกไม่ถูกเลย
หรือแท้จริงแล้วความกล้าไม่ได้เกิดจากการไม่กลัว หากแต่มันเกิดจากการกล้าทำสิ่งที่ถูกต้องถึงแม้จะเกรงกลัว
โครมมมม! ประตูบานใหญ่ถูกพังลงมาตรงใบหน้าเรียวขาว เหล่าอัศวินเกราะเงินวิ่งกรูเข้ามาทันที นับสิบ หรือนับร้อยไม่อาจนับได้
ฉับ! ๆ ๆ หัวของทหารร้ายถูกมิเรียเรสตัดขาดทีเดียวสามคนด้วยดาบใบใหญ่ยักษ์ของเขา
"เพื่ออนาสตาเซีย" เสียงดังก้อง อัศวินทองวาดดาบรอบตัวและกระโดดฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง
ดาบเฉือนทะลุเกราะศัตรู ศพแล้วศพเล่า ดั่งเค้ามีพละกำลังมากกว่าทั้งหมดตรงหน้ารวมกันเสียอีก
จากภาพที่เห็นดูจะเกินจริงไปนักเมื่อคนๆเดียวฆ่าคนนับสิบๆได้อย่างง่ายดาย
แท้จริงแล้วไม่แปลกเลยที่หนุ่มเลือดร้อนจะเก่งกาจขนาดนี้ ในเมื่อเค้าคือยอดฝีมือที่ก้าวขึ้นมาเป็นอัศวินทองของพระราชาด้วยวัยเพียงยี่สิบ นับว่าตะกายขึ้นจุดสูงสุดด้วยฝีมือล้วนๆ
ฉับ! เลือดสาดกระเซ็นเต็มท้องพระโรง ขณะที่เจ้าหญิงตัวน้อยนั่งตัวสั่นใบหน้าอันหล่อเหลาของอัศวินก็เลอะโลหิตเช่นกัน
ฝีมือของเค้าทำให้ทหารปลายแถวล้มตายไปหลายสิบ (ฝีมือของอัศวินทองผู้พิทักษ์พระราชา)
เหล่าอัศวินอีกหลายนายเดินเข้ามา เเต่แล้วก็ล้มตายไปตามๆกัน อัศวินวัยหนุ่มมุ่งมั่นฆ่าฟันด้วยดวงตาที่แข็งกร้าว ยิ่งฆ่าก็บ้าเลือด สภาพของเค้าไม่ต่างอะไรกับกระทิงป่าวัยหนุ่ม
ทหารถอยออก อัศวินทองเข้ามาล้อมมิเรียเรสเอาไว้ พวกเค้าทั้งหมดคือพวกที่กลับใจร่วมมือกับขุนนางชั่วก่อการปฏิวัตินั่นเอง
"มิเรียเรส ส่งนางมา พวกข้าไม่ได้ต้องการชีวิตเจ้า แค่นาง" เสียงอัศวินทองสูงวัยเปล่งต่อหน้า
ดาบหลายอันชี้มาที่ใบหน้าหล่อ อัศวินหลายๆคนต่างเป็นเหมือนพี่เหมือนน้องของมิเรียเรส บางคนเป็นอาจารย์ที่สอนเพลงหอกเพลงดาบให้เค้าด้วยซ้ำ
หนุ่มรูปงามแสยะยิ้มทั้งใบหน้าที่เลอะเลือด
"หิ! ไอ้พวกเลวอย่างพวกแกไม่สมควรเป็นอัศวินด้วยซ้ำ"
"ข้าไม่ให้พวกแกฆ่าเจ้าหญิงหรอก แน่จริงก็ผ่านข้าไปให้ได้สิ" น้ำเสียงเย่อหยิ่งจองหอง
เคร้ง! ๆ ๆ ดาบนับสิบๆรุมฟันลงมา ดาบใหญ่ของมิเรียเรสรับเอาไว้ทั้งหมดจนตัวของเค้าทรุดลงไปคุกเข่า สองมือยันดาบไว้บนหัว
"มิเรียเรส ไม่" เจ้าหญิงตัวน้อยตะโกนบอก เธอส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง ราวกับจะส่งสัญญาณว่ายอมตายแต่โดยดี
"อย่าดูถูกข้าเจ้าหญิง" อัศวินหนุ่มไฟแรงตะโกนตอบ ดั่งเป็นเรื่องเล่นๆ เรื่องที่เค้ากำลังจะตาย
ตู้มมมม! ๆ ๆ
ผิดคาด! กระทิงหนุ่มเตะกวาดขาอัศวินทองที่ล้อมกาย ร่างพวกมันล้มลงไปนอนโครมคราม
ฉับบบบ! ดาบใหญ่ยักษ์ที่สูงเท่าหัวคนฟันผ่าร่างอัศวินชั่วขาดเป็นสองท่อน ดวงตาถลน ไส้ไหล เลือดนองท่วม หลายๆนายตายในสภาพเดียวกัน
"มาสิท่านอาจารย์ ท่านสอนดาบข้าใยไม่สอนให้ตัวเองเป็นคนดี" มิเรียเรสกวักมือเรียกอัศวินเฒ่าหลายนายอย่างอวดดี
"ฆ่าไอ้เด็กถือดีนี่เสีย" หัวหน้าอัศวินทองสั่ง ทุกๆคนที่เหลือกรูเข้ามาพร้อมๆกันในบัดดล
ตุบ! ๆ ๆ มิเรียเรสวิ่งถอยหลัง ชุดเกราะทองจวนจะชนหัวเข่าเด็กสาวที่นั่งบนบัลลังก์ เกิดอะไรกัน เค้ากลัวอย่างนั้นหรือ?
ครื่ดดด! มือใหญ่ชักหอกที่ยาวเท่าคนสองคนออกจากมือรูปปั้น มันไม่ใช่หอกที่ใช้รบฟัน แต่เป็นหอกจากมือรูปปั้นอัศวินยักษ์
วื่ดดด! โครมมม! ๆ ๆ การเหวี่ยงกวาดเพียงคราเดียวทำให้คมหอกฟันร่างหลายคนเหวอะหวะ บ้างล้มตายในทันที
ย๊ากกก! อัศวินหนุ่มกระโจนขึ้นสูง เจ้าหญิงน้อยเงยหน้าขึ้นตาม เธออ้าปากค้าง
เคร้ง! ดาบใหญ่เท่าคนฟันลงตรงๆ มันผ่าหมวกทองแบะออก เจ้าของร่างลงไปนอนดิ้นนอนงอในสภาพหัวแบะ
"หิ! ๆ เวรกรรมทำงานเร็วไปนะ" เสียงหนุ่มหล่อเย้ยหยันพวกทหารชั่วอย่างอวดดี
อัศวินทองเริ่มถอยหนีมิเรียเรส พวกมันซุบซิบกันก่อนจะแยกย้ายหายไป
หนุ่มใหญ่เดินกลับมายืนตรงหน้าร่างเล็กขาวจ้ำม่ำของเจ้าหญิงวัย9ขวบ เค้าลูบหัวเธอเบาๆ ผมสีทองเลอะเลือดจากมือกลายเป็นผมสีแดงฉาน
"ทำไม ทำไมทุกๆคนถึงอยากฆ่าเรามิเรียเรส เราผิดอะไร" เสียงเล็กแหลมดังแว่วพร้อมกับใบหน้ากลมขาวที่เงยขึ้น
ดวงตาสีเขียวกลมแป๋วทำให้ไฟบ้าคลั่งของกระทิงหนุ่มดับลงจนเค้าได้สติ
"ท่านกับท่านพ่อท่านแม่ไม่ผิดหรอก พวกมันต่างหากที่โหยหาอำนาจ" เสียงทุ้มต่ำดังกังวาล อัศวินทองคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กสาวตัวเล็ก
"แล้วเราต้องทำยังไง มิเรียเรส บอกข้าที" เสียงเล็กเบา ใบหน้าขาวละห้อย ดวงตาดูไร้ความหวัง
"ขะ ข้าก็ไม่รู้ ข้าต้องปกป้องนาย ข้าเป็นอัศวิน ข้ารู้แค่นั้น" มิเรียเรสตอบ
โครม! ๆ ๆ เสียงรองเท้าเหล็กวิ่งเข้ามาตามทางเดินวนขึ้นปราสาทสู่ท้องพระโรง ครืน! ๆ ๆ เสียงไฟลุกโหมไหม้ปราสาท ควันลอยเข้ามาถึงท้องพระโรงชั้นบนสุด
"เราหนีไป แล้วเราค่อยคิดกันว่าจะทำยังไงดี ดีไหม" เจ้าหญิงน้อยสลัดความกลัวแล้วรวบรวมสติปัญญาพูดออกมา
"อื่ม ท่านขี่บ่าข้า" อัศวินรูปงามเอ่ยแล้วยกร่างเล็กขาวขึ้นมานั่งบนบ่าข้างขวาที่กว้างใหญ่ของเค้า
กรุบ! ๆ ๆ เสียงชุดเกราะสีทองที่หุ้มตั้งแต่เท้าถึงลำคอ เหลือใบหน้าอันหล่อเหลาไว้มองรอบๆ
เค้าถือดาบใหญ่เท่าคนด้วยมือซ้าย ลากปลายดาบไปกับพื้น มือขวารวบขาเจ้าหญิงวัยเด็กให้นั่งบนบ่าข้างขวา
"มิเรียเรส" เจ้าหญิงนั่งมองไปข้างหน้า เธอคอยเป็นตาและชี้นิ้วบอกเมื่อมีศัตรูเข้าใกล้
ฉับ! ๆ โครมมมม! อัศวินทองฟันทุกคน ทุกชีวิตที่มุ่งเข้ามา ขณะเดียวกันก็แบกเจ้าหญิงเดินวนลงจากบันใดปราสาทสูง
หากไร้ควันไฟที่ช่วยพรางตัวทั้งคู่คงโดนรุมฆ่าไปตั้งแต่ในปราสาท
จวบจนรุ่งเช้าที่เดินโซเซออกจากเมือง ดาบยาวหล่นหายไปจากมือ ร่างใหญ่กำยำอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น
"มิเรียเรส ไหวไหม" เสียงเด็กสาวตัวน้อยดังกล่อมสติที่หลับไหล
"สบายมากเจ้าหญิง"
"ท่านอยากจะไปไหน ในโลกนี้บอกข้ามาเลย" หนุ่มรูปงามยิ้มมุมปาก เดินฝ่าทุ่งข้าวสาลีไปอย่างไร้จุดหมาย
"ไปตรงโน้น ตรงนู๊น ตรงนั้นด้วย" เจ้าหญิงวัย9ขวบชี้นิ้วไปตามดอกไม้
ดอกแล้วดอกเล่าก้มเด็ด ดอกแล้วดอกเล่าอัศวินทองยื่นให้เด็กสาวที่นั่งบนบ่า
ฮิ! ๆ สวยจัง! อนาสตาเซียสูดดมดอกไม้แล้วหัวเราะชอบใจ ราวกับของเหล่านี้ทำให้เธอลืมความโศกเศร้าได้ชั่วคราว
หิ! ๆ อัศวินทองหัวเราะตามเบาๆ เค้าไม่รู้ตัวหรือว่าโง่เขลาถึงได้ทำตามคำสั่งของเด็กคนเดียว
ร่างที่ไร้กำลังแบกเจ้าหญิงเดินผ่านเขาลูกแล้วลูกเล่า จากพุ่มดอกไม้หนึ่งถึงอีกพุ่มหนึ่ง ช่างไร้จุดหมาย
ชีวิตเหมือนไร้หนทาง ลมหายใจมีไปก็ไร้ค่า ภารกิจเดียวคือรับคำสั่งจากเด็กสาวตัวเล็กๆบนบ่าข้างขวา
อัศวินทองผู้นี้กล้าหาญหรือโง่เขลา
ล้ำเลิศหรือไร้สติปัญญา
เค้าจงรักภักดีหรือบ้าบิ่น
ไม่มีทางรู้เลย
ไม่มีใครรู้เลย
เจ้าหญิงปีศาจ
ตอน สิบปีต่อมา
อัศวินทองผู้ไร้ดาบได้กลายเป็นหนุ่มใหญ่วัย30ปี เจ้าหญิงตัวน้อยกลับกลายเป็นหญิงงามวัย19ที่สวยสง่าผิดจากสาวชาวบ้าน
สิบปี สิบปีเต็มๆที่มิเรียเรสพาเจ้าหญิงอนาสตาเซียร่อนเร่ไปทั่ว เค้าสอนหนังสือให้เธอและอ่านตำราวิชาการโบราณให้ฟังทุกค่ำคืนแทนการเล่านิทาน
เจ้าหญิงได้เห็นเมืองต่างๆและวิถีชีวิตของชาวบ้านชาวเมืองทุกแว่นแคว้นแดนดิน
ผู้คนต่างอดอยากระส่ำระสายด้วยการปกครองของขุนนางชั่วที่แย่งอำนาจไปจากพระราชบิดาของเธอ
ทหารชั่วรีดภาษีจากชาวบ้านมากขึ้น ข้าวสารและอาหารแห้งต่างถูกรีดเค้นจากทุกบ้านให้ส่งส่วยไปยังเมืองหลวง
มิเรียเรสเที่ยวพาอนาสตาเซียไปทุกๆเมืองเพื่อให้เธออ่านตำราและศึกษาศาสตร์ต่างๆจนวิชาการแก่กล้า อาวุธเดียวของเจ้าหญิงคือสมอง เธอฉลาดล้ำเลิศกว่าใครๆทั้งหมด
ณ.เมืองท่าริมทะเลสาบ
เจ้าหญิงรูปร่างผอมเพรียวกำลังขี่หลังหนุ่มใหญ่เดินออกจากป่ามาสู่ท่าเรือเล็กๆ
"ข้าหนักไหมมิเรียเรส" เสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากข้างๆหู แก้มนวลนิ่มแนบบดลำคอบุรุษใหญ่พาลให้เค้าเสียวเกร็ง คางเล็กๆตั้งอยู่บนบ่าใหญ่ ดวงตาสองคู่มองไปข้างหน้าพร้อมๆกัน
"เบามากๆเลยสตาร์เซีย" มิเรียเรสตั้งชื่อใหม่ให้เจ้าหญิง เพื่อความปลอดภัยของเธอ
"เบาจริงๆเหรอ ข้าโตขึ้นเยอะแล้วนะ ฮิ ๆ" สาวน้อยสอดแขนคล้องคอและเอาขาหนีบเอวหนุ่มกำยำล่ำบึ๊กไว้แน่น
มือใหญ่ๆข้างขวาของเค้าช้อนตูดงอนนุ่มของเธอไว้และประคองอยู่อย่างนั้น ราวกับว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ที่สาวน้อยใกล้ชิดคือหลังของบุรุษรูปงามผู้นี้เอง หาได้ใช่พื้นดินไม่
"ทำไมต้องขี่หลังข้าทุกๆทีที่เข้าเมือง ไม่อายคนอื่นหรือห๊ะ" หนุ่มใหญ่หันมาบ่นเสียงดุ
"ก็อยู่บนหลังของเจ้าข้ารู้สึกปลอดภัยที่สุดเลย ขี่หลังแค่นี้เองไม่ได้หรือ" สาวน้อยตอบด้วยน้ำเสียงง้องอน
ฟู่วส์! หนุ่มใหญ่ถอนหายใจและไม่พูดต่อ เค้านึกถึงวันที่พาสตาร์เซียนั่งบนบ่าหนีออกมาจากวังหลวง จึงนึกได้ว่าคงเป็นแผลในใจของสาวน้อย เธอคงหวาดกลัวจนไม่กล้าห่างจากตัวเค้าเลย แม้นาทีเดียว
ฟุ่บ! มือใหญ่ข้างซ้ายยกขึ้นมาลูบบนหัว ขยุมผมสีน้ำตาลเบาๆ "ไม่ต้องกลัวอะไร ข้าจะดูแลเจ้าเอง เจ้าหญิง"
อุ้ย! เจ้าหญิงสะดุ้งเบาๆ "ความรู้สึกนี้มันอะไรกันนะ ทำไมมันอบอุ่นดีจัง" เสียงแว่วในหัว
พอเดินออกจากแนวป่าก็มาเจอบ้านเรือนไม้ มีร้านค้าและคอกม้า มีโรงตีดาบและตลาดขายผักผลไม้ ผู้คนเมืองนี้ยิ้มแย้มดูมีความสุขเพราะห่างไกลจากเมืองหลวงที่มีทหารชั่วคอยรังแก
"หูว! อยากกินแอปเปิลเขียวจังเลย ไม่ได้กินมานานมาก" สตาร์เซียชี้นิ้วพาดบ่ามิเรียเรสไปข้างหน้า
"เหอะ ๆ เงินทองเราไม่ค่อยจะมีแล้วนะ ต้อวเก็บไว้ซื้อตำราไม่ใช่เหรอ" อัศวินหนุ่มในชุดหนังบ่น
"ขอกินซักลูกเถอะน่ะ ที่จริงไม่ต้องซื้อตำราก็ได้ ข้าอ่านแปบเดียวก็จำได้หมดทั้งเล่ม" สาวน้อยเถียงไม่หยุด
เอา! ๆ ๆ หนุ่มใหญ่บ่นก่อนจะพาสาวน้อยขี่หลังเดินเข้าตลาด ผู้คนต่างหันมามองทั้งคู่อย่างแปลกใจเมื่อขี่หลังกอดคอกันไม่ปล่อย
อันที่จริงมิเรียเรสพาสตาร์เซียเดินผ่านป่ามานานมาก ไกลจนเธอเมื่อยขาและเดินเองไม่ไหว
หนุ่มใหญ่ซื้อแอปเปิลเขียวลูกใหญ่ที่สุดแล้วยื่นมาข้างหลัง สาวน้อยอ้าปากกัด กร้วม! ๆ
กรุบ! ๆ ๆ ฮิ! ๆ เธอเคี้ยวกินและเอามือเล็กๆจับแอปเปิลป้อนเข้าปากหนุ่มใหญ่ สลับกันกินคนละคำ จนหมด
พอหาตำราไม่เจอก็พากันมาขึ้นเรือใบลำเล็กๆเพื่อจะข้ามแม่น้ำไปยังอีกเมืองข้างหน้า เพียงก้าวเท้าเหยีบขึ้นมาบนเรือก็เจอกับกลุ่มชายฉกรรจ์สี่คนถือดาบวิ่งมาล้อมไว้ จะถอยก็ไม่ได้เมื่อเรือแล่นออกจากฝั่งเสียแล้ว
"หยุด ส่งของมีค่ามาให้หมด" เสียงโจรร้ายขู่ มีดดาบสี่อันชี้มาตรงใบหน้าหล่อๆของอัศวินหนุ่ม
"เอาไป" เจ้าหญิงดึงหนังสือเล่มเล็กเล่มใหญ่จากกระเป๋าหลังโยนลงพื้น โครม! ๆ
"ห้า! ๆ ๆ คิดว่าหนังสือนี่คือของมีค่าเหรอยัยโง่ พวกข้าต้องการเงินหรือทองเท่านั้น" โจรร้ายอีกคนเอ่ยขึ้น พวกมันที่เหลือหัวเราะเยาะเสียงดัง
"เอ๋า ก็ตำรานี่แหละที่มีค่าที่สุด ข้าไม่มีเงินทองจะให้หรอกนะ" เจ้าหญิงเอ่ยขณะที่ยังขี่หลังมิเรียเรส
"งั้นแก ไอ้ตัวใหญ่ แกส่งยัยนั่นมาแล้วข้าจะไว้ชีวิตแก" หัวหน้าโจรตัวดำปี๋ง้างดาบจ่อลำคอมิเรียเรส
"พวกนี้สมควรตายรึยัง บอกข้ามาทีสิสตาร์เซีย" หนุ่มใหญ่สบถเสียงดุ เจ้าหญิงยังสะดุ้ง
"ความจนทำให้พวกเค้าเลือกที่จะปล้น ไม่ถึงตายควรไว้ชีวิต" เสียงเเจ้วๆดังอยู่บนบ่าขวาข้างๆหู
อุว๊ะ ฮ่า! ๆ ๆ ๆ สี่โจรร้ายหัวเราะอย่างเย้ยหยัน
พอพวกโจรหยุดเจ้าหญิงก็พูดต่อ "แต่ปล้นแล้วก็ฆ่าคน ข่มเหงชำเราผู้หญิง อันนี้สมควรตาย"
"เหร๋อ! แล้วตายยังไง" โจรตัวเล็กยื่นหน้าแลบลิ้นก่อนจะถาม
เจ้าหญิงเอาแขนพาดบ่าอัศวินแล้วชี้นิ้วไปข้างหน้า ปากเอ่ยพร่ำทำมืออธิบาย
"เจ้าตัวดำ เจ้าจะตายด้วยดาบของตัวเอง เจ้าตัวใหญ่โดนตัดคอกระเด็น หัวน่าจะหล่นอยู่ตรงนั้น" เจ้าหญิงชี้นิ้วไปมา
"ไอ้ตัวผอม เอิ่ม จะแทงดีไหมล่ะ คงจะเลือดหมดตัวค่อยตายช้าๆน่ะนะ"
ฮ่า! ๆ ๆ ๆ สี่โจรร้ายหัวเราะร่วน ถุย! พวกมันถุยน้ำลายลงพื้นเรือแล้วกรูเข้ามา
"ฆ่ามันแล้วข่มขืนยัยนี่" หัวหน้าโจรสั่งแล้วง้างดาบฟันมาตรงหน้ามิเรียเรส
หมับ! เค้ายกมือซ้ายจับปลายคมดาบอย่างว่องไว
กล้ามแขนใหญ่เบ่งตึง เส้นเลือดเส้นเอ็นปูดขึ้น พละกำลังมหาศาลถูกส่งไปยังปลายลำแขนและมือใหญ่
ขวับ! มิเรียเรสพลิกปลายดาบแล้วกระชากกลับมาหาตัว โจรร้ายเซถลา ปึ๊ก! ด้ามดาบกระแทกลำคอมันเอง
ฟ้าววว! ดาบใหญ่โยนขึ้นสูง หมุนขวับ ๆ แล้วหล่นกลับลงมาในมืออัศวินหนุ่ม
ฉับบบ! อ๊าคคค! ตวัดครั้งเดียวคมดาบเฉือนหน้าอกโจรเนื้อหนังขาดกระจุย
หมุนตัวหนึ่งครั้งแล้วฟันกวาด หัวอีกคนหล่นลงพื้น กลิ้งตุบ ๆ ไปยังตำแหน่งที่เจ้าหญิงเคยบอก
ย๊ากกกก! สองคนที่เหลือกระโจนเข้ามาพร้อมๆกัน ซ้ายขวา
ฉึก! มิเรียเรสก้มหลบได้หวุดหวิด คมดาบมันตัดผมยาวสลวยของเจ้าหญิงปลิวร่วงหนึ่งหย่อม
ฉึกกก! อัศวินหนุ่มแทงดาบทะลุท้องคนแรก มันล้มลงไปนอนตาเหลือกชักดิ้นชักงอ
วืด! ๆ ๆ คนสุดท้ายไล่ฟันไม่ยั้ง มิเรียเรสถอยหลบได้อย่างง่ายดาย เค้าว่องไวมากทั้งๆที่เจ้าหญิงยังขี่หลังอยู่
นี่ขนาดใช้เพียงมือซ้ายข้างเดียวและดูเหมือนยังไม่เอาจริง นึกไม่ออกเลยว่าถ้าหนุ่มคนนี้โกรธและใช้สองมือจะมีใครต่อกรเค้าได้บ้าง
มือซ้ายจับดาบ มือขวาประคองตูดงอน ใบหน้าหล่อโยกหลบไปมา ใบหน้าเล็กสวยตั้งอยู่บนบ่าขวา
ตูมมมม! ยกเท้าถีบทีเดียว โจรร้ายลอยละลิ่วปลิวลงน้ำ มันว่ายๆจมๆผลุบๆโผล่ๆด้วยหนักชุดเกราะของตัวเอง
"ไปบอกกับพวกแกว่าข้ามาแล้ว ต่อไปนี้แผ่นดินจะร่มเย็น ถ้าใครไม่กลับใจก็รอรับความตายได้เลย" เจ้าหญิงชี้นิ้วตะโกนก้อง
"แผ่นดินจะต้องสงบสุข ชาวบ้านจะต้องมีกิน ข้าพร้อมแล้วที่จะคืนบัลลังก์" เด็กสาวตะโกนลั่น ผู้คนต่างวิ่งมายืนริมฝั่งรุมมองมายังเรือนร่างเล็กขาวบนเรือใบ
"แล้ว แล้วเจ้าคือใคร" โจรที่ว่ายน้ำตะโกนถาม
ตุบ! สาวน้อยโดดลงจากหลังอัศวิน เอาสองมือป้องปากตะโกนขึ้นบนฟ้า "ข้า ชื่อสตาร์เซีย เอ๊ย อนาสตาเซีย"
เฮ้อ! หนุ่มใหญ่ส่ายหน้า พลางก้มลงไปค้นเงินจากกระเป๋าของโจรที่นอนตายจมกองเลือด
เจ้าหญิงปีศาจ
ตอน กู้เมืองคืนด้วยกิ่งไม้อันเดียว
หัวเรือกระทบฝั่ง สาวน้อยปลุกอัศวินหนุ่มตื่นขึ้น
ทั้งคู่เดินอ้อมเมืองใหญ่ตัดเข้าป่าเพื่ออำพรางตัวจากทหารชั่ว เนื่องด้วยพวกมันคอยมาลาดตระเวนและเก็บส่วยเข้าเมืองหลวงอยู่เป็นประจำ
"เหย อยากเจอม้าดีๆซักตัวจังเลย ข้าเดินทั้งวันจนปวดขาหมดแล้วนะ" เจ้าหญิงบ่นพร่ำ
ตุบ! ๆ ๆ เธอวื่งเซงหนุ่มใหญ่มาอยู่ข้างหน้าเค้า หันหลังกลับ เดินถอยหลัง ใบหน้าสวยเงยขึ้นมองหนุ่มตัวสูง ปากพร่ำบ่นไม่หยุดไม่หย่อน
"เอาไหมล่ะ ข้าจะซื้อม้าใหญ่ๆให้ซักตัว" อัศวินหนุ่มบ่นด้วยความรำคาณ
"เอ ไม่เอาดีกว่า ข้าสงสารมันที่ต้องโดนขี่หลัง" เจ้าหญิงตอบ
"เหอะ ๆ แล้วไม่สงสารข้าเลยหรือ ขี่หลังข้าอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน" มิเรียเรสบ่น
"ไม่หรอก เจ้าเป็นชายชาตรีที่แข็งแกร่ง ชายรูปงามตามแบบฉบับพ่อพันธุ์ที่สาวๆต่างโหยหา" สาวน้อยตอบอย่างไร้เดียงสา
"ปากดีไปเรื่อย" หนุ่มใหญ่หน้าแดง แกล้งบ่นกลบความเขินอาย
"จริงนะ ถ้าไม่ติดว่าต้องชิงบัลลังก์เพื่อปกครองให้ชาวบ้านเป็นสุขข้าอาจพาเจ้าหนีไปไกลๆแล้วมีครอบครัวด้วยกัน" สาวน้อยเอ่ยขณะมองใบหน้าคมคายรูดลงมาถึงเป้าตุงของชายตรงหน้า
"งั้นถ้าไม่ติดว่าต้องกอบกู้แผ่นดินข้าเลือกใครไม่ได้เลยหรือ ข้าไม่มีสิทธิ์เลือกครอบครัวเองหรือ" หนุ่มใหญ่พูดลองใจสาวน้อย
"ไม่ได้ เจ้าประกาศแล้วว่าจะรับใช้ข้า เจ้าเป็นของข้าทั้งตัว จะรักใครไม่ได้ นอกจากข้าจะอนุญาติ ฮริ! ๆ " เจ้าหญิงหัวเราะแล้ววิ่งไปเด็ดดอกไม้ข้างหน้า
เธอสานมงกุฎดอกไม้ใส่ไว้บนหัวแล้วเดินร้องเพลงผ่านทุ่งหญ้าข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่า
โดยรอบมีฝูงแกะ ฝูงลา ต้นหญ้าเขียวชอุ่มและทุ่งดอกไม้สลับกันไปจนถึงเมืองใหม่
เมืองเล็กๆตรงหน้าเป็นชนพื้นเมืองนอกเขตปกครองของวังหลวง มีผู้คนแต่งชุดขนสัตว์และกำลังร้องห่มร้องไห้
เสียงลูกเด็กเล็กแดงโหวกเหวก เสียงคนร้องโอดโอยเหมือนกำลังทรมานอย่างแสนสาหัส
"มิเรียเรสมาดู" เจ้าหญิงวิ่งปรี่จะเข้าไปยังเมืองเล็กที่มีไฟลุกท่วมบ้านหลายหลัง
"อย่าไปสตาร์เซีย" หนุ่มใหญ่คว้าแขนเล็กเรียว ดึงร่างเพรียวบางถลากลับมากอดไว้แนบอก
"ทำไม มีคนเจ็บ ข้าต้องไปช่วยรักษาด้วยสมุนไพร" สาวน้อยเอ่ยและก้าวเท้า ทว่ารู้ตัวอีกทีก็ก้าวไม่ออกด้วยโดนยกลอยจากพื้นในสภาพกอดไว้
"ดูนั่น ทหารในวังมาปล้นฆ่าชาวบ้าน มันคงคิดขยายเมืองเลยต้องปราบชนเผ่าเหล่านี้ออกไป"
เจ้าหญิงน้ำตาปริอาบแก้มเมื่อเห็นทหารม้าหลายนายกำลังควบม้าไล่ฟันชาวบ้านที่หนีตาย
อำนาจทำให้คนเข่นฆ่ากันได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ทำไมนะ ทำไม! ความคิดเเว่วดังในหัว
"เราช่วยอะไรพวกเค้าไม่ได้เลยหรือ มิเรียเรส" เจ้าหญิงเอ่ยทั้งน้ำตา
หนุ่มใหญ่เงียบงัน มือข้างขวาที่ลูบหัวเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่าต้องปล่อยให้คนตายต่อหน้าต่อตา
"ไม่ ข้าจะช่วยพวกเค้า พวกชนเผ่าก็เหมือนชาวบ้าน ต่อให้ไม่ได้ปกครองด้วยวังหลวง" เจ้าหญิงบ่นและเอาสองมือแกะแขนท่อนใหญ่ๆที่รวบเอวของเธอ
อึ๊บ! ๆ ดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออก ท่อนแขนใหญ่โตที่ยกร่างของเธอ
"จะช่วยยังไง ไหนบอกข้าก่อน ถ้าเข้าไปตายข้าไม่ปล่อยนะ" อัศวินกระซิบข้างหู ดาบของเค้ายังไม่มีซักเล่มเดียว
"ขอข้าคิดแปบนึงสิ" สาวน้อยตะคอกแล้วหลับตา นึกถึงตำราแขนงต่างๆที่เคยพร่ำเรียน ทุกศาสตร์ทุกแขนงเกิดภาพในหัวเป็นฉากๆ
"ทำนายฝนฟ้า" เจ้าหญิงเอ่ยขึ้นแล้วนับนิ้วมือราวกับว่ากำลังคำนวณอะไรบางอย่าง
"ข้ารู้แล้ว พรุ่งนี้จะมีพายุฝน ลมพายุใหญ่กำลังจะมา" เด็กสาวเอ่ยขึ้นพลางเบิกดวงตาสีเขียวมรกตกว้าง
"อืม แต่ตอนนี้ตอนเย็น รอเช้าชาวบ้านก็คงตายหมดแล้ว" อัศวินค่อยวางร่างเพรียวบางอรชรลงยืน
"เอางี้ ตัดกิ่งไม้กิ่งนั้นให้ข้าที แกะสลักด้วย กิ่งใหญ่ๆนั่นน่ะ ทำเป็นไม้เท้าหัวกะโหลกที่น่ากลัวๆ" สาวน้อยสั่งการ อัศวินหนุ่มใช้มีดพกเล่มเล็กสับไม้ทันที
เจ้าหญิงเอามีดทำครัวกรีดข้อแขนตัวเอง เธอเอาเลือดทาที่ชุดแต่งกายและปาดเลือดไว้ตรงสองแก้ม ถึงแม้จะสวยแต่ดูแล้วน่ากลัวราวกับแม่มดสาว
"ตามมา" สาวน้อยวิ่งฝ่าดงหอกดงดาบเข้าเมืองไปดื้อๆ หนุ่มใหญ่วิ่งตามไปเพื่อคอยรับมือกับคนที่จะเข้ามาฟันร่างของเธอ
ร่างใหญ่กำยำพลิ้วไหวดั่งสายลม มีดสั้นเล่มเดียวกรีดแทงทหารชั่วลงไปตายอย่างง่ายดาย
ตุ๊บ! ๆ สาวน้อยกระโดดขึ้นไปยืนบนหลังคากระท่อมไม้หลังนึง
โอม! ๆ เธอชูไม้เท้าหัวกะโหลกโบกไปมาแล้วทำทีเป็นร่ายรำพร่ำคาถาไปมั่วๆ ตาเหล่มองลูกธนูไฟที่พุ่งเข้ามาอย่างเสียวใจ
"ปกป้องนาง แม่มดดำมาช่วยพวกเราแล้ว" หัวหน้าชนเผ่าชี้มาที่เจ้าหญิง
เฮ! ๆ ๆ ชาวบ้านชาวเมืองที่หนีตายวิ่งกลับเข้ามาในเมืองเล็ก ทุกคนดูฮึกเหิมขึ้นมาทันตา ผิดกับคนเดิมที่ร้องครวญหนีตายในตอนแรก
"มิเรียเรส ช่วยด้วย" เจ้าหญิงแม่มดในชุดเลอะเลือดชี้ไปที่ข้างหน้าตัวเอง
ฟุ่บ! ๆ ๆ ลูกธนูไฟนับร้อยปลิวออกจากคันศรทหารม้าไกลๆ ดวงไฟนับร้อยๆลูกแหวกอากาศตรงมา หมายจะปักพรุนร่างเด็กสาววัยสิบเก้าปี
ย๊ากกก! อัศวินหนุ่มดึงแผ่นไม้กลมออกจากโต๊ะแล้วกระโจนขึ้นมายืนขวางหน้าแม่มดน้อย
ปั่ก! ๆ ๆ ลูกธนูปักไม้กระดานที่เค้าถือบังไว้ ทั้งคู่รอดตายหวุดหวิด
"น้ำมัน ๆ ผงถ่าน ขี้ม้าแห้ง กำมะถัน" สาวน้อยชี้นิ้วสั่งชาวบ้านที่ยืนข้างล่าง ทุกคนรื้อค้นของมากองไว้
"พันๆ ยัดๆรวมๆกันแล้วโยนมาให้ข้า" เจ้าหญิงสั่งการชาวบ้านหลายสิบคน
เธอคว้าระเบิดดินแล้วจุดชนวนด้วยไฟจากลูกธนูที่ไหม้ไฟ
ฟ้าววว! มือน้อยๆขว้างลูกดินปลิวไปข้างหน้าสุดแรงเกิด
ตูมมมม! ดวงไฟลูกใหญ่ลอยขึ้นฟ้า เสียงประทุดังระทึกกึกก้องจนแสบแก้วหู
"ปีศาจ" ทหารชั่วตาเหลือกตาถลน ทุกคนรอบๆก็สะดุ้งกลัวเด็กสาว ไม่เคยมีใครเห็นอะไรแบบนี้เลย ลูกไฟเสียงดังมันเผาผลาญทหารม้าตายไปหลายนาย ศพชักงออยู่ในกองเพลิง
หนี! ๆ ๆ หัวหน้าทหารหลวงสั่งลูกสมุนนับน้อยควบม้าหนีหายไปในความมืด
"แม่พระมาโปรด ขอบคุณท่านแม่ ขอบคุณขอบคุณ" ชาวบ้านคุกเข่าเอาหัวเขกพื้นดินอย่างเคารพบูชาเด็กสาว
"ข้าจะเซ่นไหว้ท่านด้วยชีวิตของข้าเอง ขอท่านจงรับไว้" หัวหน้าเผ่าทำท่าจะเอามีดกรีดคอตัวเอง
"ไม่ต้องๆ ข้าขอแค่อาหารอร่อยๆกับไวน์แดงเท่านั้นเอง พวกเจ้าจำไว้นะว่าอย่าฆ่าใครเพื่อบูชาข้า แม่มดดำน่ะ" เจ้าหญิงเอ่ยบอก
มิเรียเรสยังทึ่งในความฉลาดเฉลียวของเจ้าหญิงไม่หาย เค้าลงมานั่งกินข้าวกินปลากับเธอโดยมีชาวบ้านคุกเข่านั่งล้อมรอบ
"เราไม่ต้องทำปราการป้องกันเมืองหรือสตาร์เซีย" หนุ่มใหญ่มองสาวน้อยที่ถือน่องไก่สองอัน สองไม้สองมือ
"เอ้า กินไป พรุ่งนี้ข้าจะเสกพายุไล่มันไปเอง" สาวน้อยยัดน่องไก่ย่างหอมๆใส่ปากแดงๆ
อุ๊บ! อัศวินหนุ่มตกใจ
อึก! ๆ ๆ เออะ! เจ้าหญิงยกไวน์ชดพร่วดแล้วเรอเสียงดัง
เฮ! ฮ่า! ๆ ๆ ชาวบ้านโห่ร้องดีใจที่ทำให้แม่มดสาวอิ่มหนำสำราญ พวกเค้าดูภาคภูมิใจในอาหารของตัวเอง
มิเรียเรสคุมชาวบ้านซ่อมกระท่อมและขุดหลุมหลบภัยตามคำสั่งเจ้าหญิง เด็กๆช่วยกันดับไฟและเจ้าหญิงก็ทำสมุนไพรรักษาแผลคนเจ็บหลายๆคนจนดีขึ้น
จากเย็นย่ำไปจนดึกดื่นทุกชีวิตจึงได้เอนกายนอน
รุ่งเช้า ทหารม้านับพันเรียงหน้ามาตั้งแถวอยู่หน้าเมืองไกลๆ พวกมันมาแบบอาวุธครบมือ ดูแล้วเหมือนจะกวาดทุกชีวิตในเมืองให้ราบคาบ ทว่าชาวบ้านก็หาได้หวั่นกลัว ต่างก็ถือจอบถือเสียมมายืนเรียงแถวปกป้องบ้านหลังน้อยของตัวเอง
"ทำไมท้องฟ้าใสล่ะ ไหนว่าพายุจะมา" อัศวินหนุ่มก้มกระซิบหูเจ้าหญิงตัวน้อยที่กำลังแหวกแถวชาวบ้านมายืนจังก้าท้าตาย
"ก่อนจะเกิดพายุมันก็สดใสแบบนี้แหละ ข้าคงคำนวณฝนฟ้าอากาศไม่ผิดหรอกมั้งนะ" เจ้าหญิงลูบไม้เท้าที่สูงเท่าหัวตัวเองและเอ่ยตอบไปด้วย
ครั้งแรกที่อัศวินหนุ่มส่อแววตาหวาดกลัวออกมา เค้ากลัวตาย กลัวชาวบ้านตาย หรือกลัวเจ้าหญิงตายไม่อาจทราบได้
ต่อให้สิบอัศวินทองก็ไม่อาจทานทัพทหารม้าพันนายตรงหน้าได้เป็นแน่แท้ ไฉนชาวบ้านถึงตาถมึงทึงอย่างไร้กลัว เมื่อมีแม่มดอยู่ข้างแล้วพวกเค้าอาจหาญเกินคน
โอมมะลึกกึ๊กกึ๋ย! ๆ ๆ เจ้าหญิงชูไม้เท้าหัวกะโหลกขึ้นฟ้าแล้วท่องคาถาเสียงดังมั่วๆ
คึก! ๆ ๆ มิเรียเรสแทบกลั้นขำไม่อยู่
ฮ่า! ๆ ๆ ทหารม้านับพันตรงหน้าไกลๆหัวเราะเยาะเย้ย เสียงพวกมันรวมกันดังเหมือนฟ้าคำราม กลบเสียงใสแจ๋วของเจ้าหญิง
"ข้าจะให้โอกาสเจ้าพวกชั่วช้า สักพักถ้าไม่ถอยไปข้าจะเสกลมพายุหมุนมาหอบพวกเจ้าไปนรกให้หมด" สาวน้อยตะโกนลั่น
ฮ่า! ๆ ๆ ฮา! ๆ ๆ พวกมันหัวเราะเกรียวกราวพลางควบม้าเดินเข้ามาช้าๆแบบแถวหน้ากระดาน
"เอาไง เอายังสตาร์เซีย" หนุ่มใหญ่ที่ยืนข้างกายกุมมือน้อยๆไว้มั่น เค้าสองจิตสองใจว่าจะอุ้มเธอหนีแล้วปล่อยชาวบ้านตามยถากรรมดีไหม
อึ๋ย! แม่มดน้อยเงยมองฟ้าแล้วทำตาละห้อย ชาวบ้านหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
"เออ ก็ได้ งั้นข้าให้เวลาอีกแป๊บนึง เผื่อพวกแกจะสำนึกได้" เจ้าหญิงเอ่ยแล้วเม้มกัดริมฝีปากตัวเอง ตาเหล่มองขึ้นฟ้า แกล้งท่องบ่นคาถาไปเรื่อยๆ
"หนีเถอะ อย่าตายแบบโง่ๆเลยเจ้าหญิง" หนุ่มใหญ่ก้มกระซิบใบหูสาวน้อย แขนเค้ารวบเอวเธอแน่น พร้อมอุ้มหนีทุกเวลา
"อย่าเพิ่งสิ ข้าได้กลิ่นดินหอมๆแล้ว" เจ้าหญิงยืนหยัดสู้แม้จะขาสั่นจนก้าวไม่ออก
"ฆ่ามัน ฆ่าผู้ชาย จับเด็กและผู้หญิงเป็นทาส" หัวหน้าทหารชั่วสั่ง ทหารม้าพันนายควบม้าดาหน้าเข้ามาฝุ่นตลบ
เสียงเกือกม้ากระแทกพื้นดังสนั่น แผ่นดินสะเทือนยวบยาบชวนให้ขวัญหนีดีฝ่อ
ตุบ! ๆ ๆ ชาวบ้านบางคนหนีถอย บางคนยืนหลับตารอรับความตายด้วยรู้ว่าไม่อาจหนีไปไหนทัน
เปรี๊ยงงงง! จู่ๆสายฟ้าก็ฟาดลงมาบนพื้นดิน ซ่า! ๆ ๆ สายฝนโปรยปรายลงมาทั้งที่ไร้เมฆหมอก
"ฆ่ามันให้หมดดด" ทหารม้ากรูเข้ามาใกล้ขึ้น อีกชั่วอึดใจก็จะถึงเหล่าฝูงชนหน้าหมู่บ้าน
ครืน! ๆ ๆ พายุหมุนลูกใหญ่ไกลมาแต่หลังเขา มันหมุนวนรุนแรง ดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปในพายุหมุน ใจกลางมีสายฟัาแลบแปล๊บปล๊าบ ทั้งควันทั้งไฟลุกไหม้ขณะเดียวกัน
อ๊าก! ๆ โอ๊ยยยย! ทหารม้าโดนพายุหมุนพิโรธกวาดรูดหายไปในวังวนอากาศ พวกมันหายไปทีเดียวครึ่งกองทัพ ที่เหลือควบม้าถอยหนี
"ปีศาจ ยัยนั่นมันเป็นปีศาจ โอ๊ย! อ๊าก! ทหารชั่วร้องโหวกเหวราวกับถูกเสกพายุใส่
"มุดดิน ๆ อย่าเข้าบ้าน ๆ " เจ้าหญิงโยนไม้เท้าแล้วโกยอ้าวก่อนใคร ทุกคนแยกกันลงหลุมหลบภัยใกล้ๆตัว ซึ่งทุกหลุมลึกท่วมหัวคนและมีแผ่นไม้ปิดอยู่ข้างบนอย่างมิดชิด
ครืน! ๆ เปรี๊ยง! ๆ ๆ พายุหมุนกวาดชีวิตทหารชั่วที่ขวางทางดับสูญสิ้น มันคือเฮอร์ริเคนลูกใหญ่ที่ร้อยๆปีจะมีหนนึง และเจ้าหญิงทำนายไม่ผิดเพี้ยนไปจากตำรา
แฮ่ก! ๆ เจ้าหญิงนั่งบนตักอัศวินร่างใหญ่ที่โอบร่างเธอจมหายไปในอกกว้าง เนื้อตัวสั่นเทาจนเค้าต้องสวมกอดเธอแน่น
"เจ้าเก่งจังสตาร์เซีย เอ๊ยเจ้าหญิง" หนุ่มใหญ่ลูบหัวเด็กสาวแล้วเอาคางวางตั้งไว้บนหัวของเธอ
"แล้วอะไรแข็งๆมันดันตูดข้าเนี่ย เจ็บนะ อร๊าย! " เจ้าหญิงบ่น
"ของที่ท่านชอบจับไง มันไม่โดนจับมานานเลยแข็งกระมัง" หนุ่มใหญ่กระซิบข้างหู
อุ่ย! เจ้าหญิงตัวแข็งเมื่อโดนริมฝีปากร้อนแดงรูดใบหู ลมปากร้อนผ่าวกระแทกเข้ารูหูจนสติสตังปลิวกระเจิงไปไหนไม่รู้
กร่อด! ๆ สาวน้อยขบกัดฟันขณะนั่งบดตูดงอนๆกับแท่งร้อนๆข้างใต้ หนุบหนับ! ๆ
"โอ๊ย! อย่า อุ๊ย! เจ็บ" มิเรียเรสหน้าหงิกหน้างอเมื่อสาวน้อยส่ายสะโพกไปมา
เธอบดตัวลงตักของเค้าแรงๆหวังจะแก้แค้นที่ทำให้สมองตื้อ รู้สึกตัวลอยหวิวๆ เสมือนร่างกายไร้น้ำหนักใด
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!