นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาที่อาจกระทบต่อจิตใจ
ชีวิตคือ อะไร ฉันไม่รู้ อดีต อนาคตอันใกล้ฉันไม่เคยสนใจ สิ่งที่ฉันสนใจมีแค่วันพรุ่งนี้จะเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง จะได้รับความสุข หรือความทุกข์ จำหน้าคนก็ไม่ได้ ไม่มีเพื่อนที่สนิท ไม่ปฏิเสธใคร ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง
นี่คือเรื่องราวของฉันที่อยากให้ทุกคนรับรู้ ฉันชื่อดวงใจ และนี่เป็นเรื่องราวในอดีต ตอนนี้ฉันเรียนจบแล้ว แต่รู้สึกว่าสิ่งที่จะต้องทำต่อจากนี้น่ารำคาญกว่าตอนเรียนเสียอีก มาเริ่มกันเถอะ
ตอนเด็กๆฉันอยู่กับพ่อ และแม่ที่เมืองหลวงมีความสุขมาก ฉันได้ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าบ่อยๆ ได้ไปโรงเรียน ได้ทุกสิ่งที่อยากได้ พ่อ และแม่ไม่เคยพูดคำหยาบกับฉัน ไม่ดุด่าต่อว่า และไม่ตีฉัน ฉันรู้สึกโชคดีมากๆ
พออายุได้5-6 ปี พ่อกับแม่อยากให้ฉันมาอยู่ต่างจังหวัดกับญาติ โดยถามความเห็นของฉันก่อน ฉันเห็นด้วย เพราะฉันเห็นพ่อกับแม่ต้องเหนื่อยกับการทำงาน ไหนจะต้องมาดูแลฉัน ต้องมีเวลาไปส่งฉันที่โรงเรียน ไปรับฉันที่โรงเรียน ฝากฉันไว้กับพี่เลี้ยงแล้วค่อยกลับไปทำงานต่อ ฉันเลยตัดสินใจมาอยู่ต่างจังหวัด ฉันก็เลยได้มาอยู่กับยาย แต่หลังจากนี้ฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองเจ็บปวดมากเพราะพ่อกับแม่หย่ากัน ฉันไม่เข้าใจถึงเหตุผลนั้นเลย รู้สึกว่าตัวเองเป็นใครก็ไม่รู้ รู้สึกว่าไม่มีที่ไป แต่ฉันเป็นเด็กจะทำอะไรได้
เวลาผ่านไปความหนักหน่วงก็เริ่มเบาลง พ่อและแม่ยังคงรับผิดชอบชีวิตฉันอยู่ ฉันอยู่กับยายสองคนแม่มาหาฉันทุกเทศกาล พ่อมาหาฉันทุกสิ้นเดือนและรับฉันไปบ้านปู่กับย่า
“พ่อไม่มาไม่เห็นหน้าเลยนะหนู”
ฉันไม่ได้ตอบโต้กลับไปทำเพียงเดินหนีเข้าบ้านไปฉันในตอนนั้นเป็นคนไม่ค่อยพูดและไม่ค่อยยิ้ม ฉันรู้สึกสับสน
ถึงเวลาที่พ่อต้องกลับพ่อมาส่งฉันที่บ้านยาย ฉันเสียใจที่ได้เจอพ่อแค่ไม่กี่วันใช้เวลาทำใจก็สองถึงสามวันถึงกลับมาเป็นปกติ
ฉันต้องไปโรงเรียนยายปลุกฉันตอนหกโมงเช้าให้มาเตรียมตัว อาบน้ำ ล้างน้ำ ทานข้าว นั่งดูทีวียามเช้ารอรถรับส่งมารับ ฉันไปโรงเรียนทุกวันไม่เคยขาด ในหนึ่งปีฉันป่วยเพียงครั้งเดียวจึงไม่มีความจำเป็นที่จะหยุดเรียน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่มีความสุขเลย ฉันไม่มีเพื่อนฉันไม่สนิทกับใคร ตลอดการเรียนชั้นอนุบาล
ยินดีที่ได้พบค่ะนักอ่านทุกท่าน
คิดว่าดวงใจจะได้พบเจอกับอนาคตแบบไหนคะ
:ตโมนุท
ขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง ฉันยังคงเรียนที่โรงเรียนเดิม ยังรู้สึกว่างเปล่า และยังคงไม่มีเพื่อน
แต่ว่าไม่นาน ฉันก็เริ่มรู้สึกถึงการมีตัวตน เพราะฉันได้สนิทกับคุณครู ถึงทุกคนจะได้สนิทกับครูเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็รู้สึกดีมาก และทุกๆสิ่งก็เริ่มดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ประถมศึกษาปีที่สอง
ฉันเริ่มมองโลกนี้สดใสขึ้น และเริ่มรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของตัวเองมากขึ้น พอมีเพื่อนคนหนึ่งย้ายโรงเรียนเข้ามา เธอเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างพอๆกับฉัน ตอนที่เธอเข้ามาครั้งแรกเธอค่อนข้างขี้อาย
“สวัสดีค่ะ ชื่อใบตองค่ะ ย้ายมาจากกรุงเทพค่ะ”
หลังเธอแนะนำตัวก็เกิดเสียงเจี๊ยวจ๊าวขึ้นจากความตื่นเต้นของเพื่อนในห้อง ที่ได้เพื่อนร่วมห้องเพิ่ม
เพราะมีคนเข้ามาเพิ่มครูจึงให้ผู้ชายไปช่วยกันเอาโต๊ะเรียนมาเพิ่มไว้ก่อนหน้านี้แล้วหนึ่งวัน โต๊ะเรียนของเธอจึงอยู่ข้างฉันเพราะโต๊ะของฉันอยู่สุดท้ายของแถว พอเธอมานั่งทุกครั้งที่สบตากันฉันก็แค่ยิ้มให้ และเธอก็ยิ้มตอบแต่เราก็ไม่ได้พูดคุยกัน จนผ่านไปสามวันฉันทนไม่ได้จึงเป็นฝ่ายเริ่มชวนคุยก่อน
“เอ่อ…ใบตอง พักเที่ยงไปที่ไหนหรอ”
“ไปสหกรณ์ แล้วก็นั่งที่โต๊ะหินอ่อนหน้าสหกรณ์หนะ”
เธอตอบกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มดีใจ ฉันก็โล่งอกที่เธอตอบ เพราะฉันเข้าใจว่าการต้องอยู่ลำพังที่โรงเรียนแล้วถูกมองอย่างเห็นใจ มันอึดอัดแค่ไหนฉันจึงไม่มองเธอเลย แต่เธอก็ไม่ใช่ฝ่ายที่เริ่มชวนคุยก่อนจึงเป็นฉันที่ต้องเริ่ม เพราะกลัวว่าเธอจะรู้สึกแบบนั้นฉันไม่สบายใจ
“มาอยู่กับเราไหม เรายังไม่สนิทกับใครเหมือนกัน มาอยู่ด้วยกันเถอะ”
ดวงตาของเธอเปล่งประกายก่อนจะตอบ
“อื้ม!”
หลังจากนั้นเราก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจู่ๆก็กลายเป็นว่าเกิดเรื่องขึ้นหลายๆเรื่อง จนทำให้ผู้หญิงทั้งห้องสนิทกัน และอยู่ด้วยกันซะงั้น เพราะโรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนขนาดเล็กสมากชิกในห้องมีแค่สิบกว่าคน แต่ว่าที่ผ่านมาทำไมฉันยังไม่สนิทกับพวกเขานะ แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาสนิทกันหละ ฉันก็จำไม่ได้ แต่สิ่งที่ฉันจำได้คือความรู้สึก ฉันมีความสุขมากกว่าที่ผ่านมาหละ
#ตโมนุท
ตอนช่วงขึ้นเทอมสองของชั้น ประถมศกษาปีที่ 2 คุณครูแนะนำให้ ลงแข่งศิลปะหัตถกรรม ฉันตกลง
เพราะในตอนนั้นฉันไม่กล้าปฏิเสธใครเลย แต่เพราะได้แข่งคู่กับใบตองฉันจึงชอบมาก เป็นการแข็งประติด นำของที่อยู่ตามธรรมชาติมาประติดลงไปบนแผ่นไม้ให้เป็นรูปร่างนูนขึ้นมา อย่างถั่ว ใบไม้ ก้อนหิน เยื้อไม้บางๆที่นำมาย้อมสี
หลังเรียนเสร็จเราก็จะมาซ้อมกันที่หน้าอาคารห้องสมุด ตรงนั้นมีโต๊ะหินอ่อนและบ่อปลาที่เป็นน้ำตกจำลองขนาดกว้างแต่ไม่ลึก
ที่ฉันรู้ว่าไม่ลึกเพราะน้ำใสมาก บรรยากาศตรงนั้นร่มรื่นเย็นสบาย ซ้อมไปก็เพลิดเพลินไปด้วย
หลังจากเลิกเรียนก็ช่วยกันเก็บของใส่กล่องแล้วเข้าแถวสวดมนต์ก่อนกลับบ้าน
"ใกล้แข่งแล้วซ้อมตั้งแต่เช้าเลยเนาะ"
ครูที่ส่งฉันกับใบตองลงแข่งขอครูประจำชั้นว่าขอยืมตัวฉันกับใบตองมาซ้อม ครูประจำชั้นก็อนุญาต เพราะเขาก็ต้องการซ้อมการแข่งของตัวเองเหมือนกัน
ช่วงนี้นักเรียนไม่ค่อยได้เรียน พากันซ้อมกันหมด คงเพราะนักเรียนน้อยทุกๆคนมีการแข่งที่ตัวเองสามารถทำได้
"ดวงใจคิดว่าเราจะชนะโรงเรียนอื่นได้มั้ย"
เพื่อนถามด้วยความตื่นเต้น
"ไม่รู้สิเราไม่เคยเห็นการซ้อมของโรงเรียนอื่นนี่นา เค้าไม่รู้หรอก"
"อยากรู้จังว่าพวกเค้าทำรูปอะไร หนรือทำเหมือนกันหมดนะ"
ครูมองฉันสองคนคุยกัน
"ครูลืมบอกเลยเนาะทุกโรงเรียนทำเหมือนกันหมด แล้วถ้าชนะครูจะเลี้ยงไก่ทอดผู้พัน"
"ไก่ทอดผู้พันหรอคะ"
"อืมก็ไม่ได้กินนานแล้วนะ"
ฉันกับใบตองตองตอบแล้วยิ้มๆให้ครูโดยไม่ได้แสดงอาการมาก เพราะฉันสองคนเคยอยู่กรุงเทพนะ ได้กินออกบ่อย
"ทั้งสองคนเคยอยู่กรุงเทพสินะ ครูก็เคยเพราะเรียนมหาวิทยาลัยที่นั้น"
"ค่ะ/ค่ะ"
"รู้สึกว่าชีวิตวุ่นวายไหม ทำไมได้มาอยู่ที่นี่"
"วุ่นวายมากค่ะเพราะหนูอยู่กับพ่อสองคน แม่หนูอยู่ที่ลาวค่ะ มาอยู่นี่เพราะย่าไม่ค่อยสบายพ่อเลยจะกลับมาอยู่ที่นี่หางานทำที่นี่ค่ะ"
ใบตองตอบกลับไป
"อ่อ แล้วดวงใจหละ"
"ไม่ค่อยวุ่นวายหละมั้งคะ จำไม่ค่อยได้แล้วค่ะ พ่อกับแม่เตรียมให้ทุกอย่างค่ะ ที่มาอยู่ที่นี่เพราะบ้านยายอยู่นี่ค่ะ"
ฉันตอบไปโดยไม่ได้บอกว่าหลังจากมาอยู่ที่นี่แล้วพ่อกับแม่ของฉันก็หย่ากัน ก็ครูถามแค่ว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ นี่นา
ถึงวันแข่งแล้วฉันกับใบตองนั่งรถรับส่งมาถึงโรงเรียนก็ไปช่วยครูถือของที่จะใช้แข่งขันขึ้นรถ เรานั่งรถของครูมาที่สนามแข่ง
โรงเรียนที่จัดการแข่งเป็นโรงเรียนขนาดกลาง ใหญ่กว่าโรงเรียนฉันเพราะมีอาคารหลายอาคาร เราแข่งกันที่ห้องของอาคารสามชั้นสอง
ฉันค่อนข้างรู้สึกว่าตัวเองน่าจะประหม่าเพราะคนเยอะมาก กรรมการคุมการแข่งจัดแจงให้เรามานั่งที่โต๊ะที่มีชื่อแปะอยู่
บวรวรรณ ภักดี
ดั่งดวงใจ คงยั่งยืน
ฉันมองที่ชื่อของตัวเองอยู่อย่างนั้น รู้สึกแปลกดีนี่คือชื่อของฉันหรอไม่ต้องหาความหมายให้ยุ่งยาก แต่ว่าจริงๆแล้วตัวฉันเหมาะสมกับชื่อนี้ไหมนะ
ฉันหลุดจากภวังค์เมื่อกรรมการคุมการแข่งขันเริ่มอธิบายถึงกฎการแข่งขัน
การแข่งจบลงแล้วเรารอฟังการประกาศผลจากครู พอเห็นครูเดินกลับมาใจของฉันมันเต้นตึกตัก นี่คือความรู้สึกตื่นเต้นสินะ
"ผลการแข่งออกแล้วจ้า"
"ได้ที่เท่าไหร่คะครู"
ฉันรอฟังเงียบๆ
"ได้ที่สี่ ถือว่าทำได้ดีนะ"
"แต่ว่าเราไม่ชนะนะคะครู"
ใบตองพูดเสียงหงอย จนฉันนึกขึ้นได้ว่าเธอขี้อายคงเป็นแบบนี้กับคนที่สนิทสินะ
"ฮึๆ ไปขึ้นรถเดียวครูเลี้ยงไก่ทอดผู้พันจะได้ทีเท่าไรก็ช่างพวกเธอเก่งแล้วหล่ะนะ ปีหน้าเอาใหม่นะ"
"ค่ะ/ค่ะ ขอบคุณค่ะ"
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!