ดอกเหมยเบ่งบานท่ามกลางฤดูหนาวที่มาเยือน กลีบมนสีขาวโดยรอบมีเกสรสีเหลืองอ่อนกระจายอยู่ตรงใจกลางดูแล้วงามตา หากแต่มองให้ดีกลับมีหยดสีแดงแซมกระเซ็นอยู่โดยทั่ว ความบริสุทธิ์สดชื่นสวยงาม ถูกบดบังไปด้วยความหวาดผวาและกลิ่นไอสังหาร ขับเน้นให้ความเย็นที่มาจากฤดูกาลอยู่แล้ว ยิ่งทวีคูณความเย็นยะเยือกขึ้นไปอีก
ดาบหนึ่งฟาดฟันบั่นศีรษะศัตรูโดยไร้ซึ่งความลังเลคนแล้วคนเล่า ส่งผลให้โลหิตสีแดงฉาน สาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ใบหน้าราวเทพบุตร เย็นชาเฉยเมยต่อทุกสิ่งบนโลก ดวงตาดำสนิทไร้ระลอกคลื่นใดๆ มองร่างไร้วิญญาณในชุดเกราะที่บัดนี้กระจัดกระจายเป็นวงกว้างไร้ทิศทาง ริมฝีปากบางพลันยิ้มเหยียดราวมัจจุราชที่คร่าชีวิตผู้คนให้ตกตายไปอย่างง่ายดาย
มือหนาล้วงเข้าไปในสาบเสื้อสีดำขลับทั้งชุด หยิบผ้าแพรผืนเล็กสลักอักษรเจียงขึ้นมา แล้วเช็ดใบหน้าและดาบที่เปื้อนเลือดออกอย่างอ้อยอิ่ง ด้วยรัศมีอันน่าหวาดหวั่นราวร่างจุติเทพปีศาจ ดวงตาที่ล้อมกรอบไปด้วยแพขน เบนสายตามองผู้ติดตามอีกสามนายจึงเอ่ยสั่ง
“ส่งตัวแทนไปเมืองหลวง ปีนี้ข้าต้องการหลานสาวสายตรงเสนาบดีหลิว เป็นเครื่องบรรณาการ”
ความโกลาหลเกิดขึ้นไปทั่วทุกแห่งในเมืองหลวงแคว้นโจว เนื่องด้วยพญามัจจุราชตนนั้น ประกาศก้องต่อราชวงศ์ ต้องการให้ส่งมอบหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของเสนาบดีหลิว ในฐานะเครื่องบรรณาการไปยังพรรคมาร ที่ขนาดราชวงศ์ปกครองแคว้นยังไม่กล้าต่อกร ทุกสิ่งในแคว้นแห่งนี้ล้วนอยู่ในมือปีศาจตนนั้น ไม่อาจแสดงการต่อต้านอย่างโจ่งแจ้ง ไม่มีผู้ใดในดินแดนไม่รู้
เครื่องบรรณาการที่หมายถึงไม่ต่างอะไรกับ...ตัวประกัน
ท้องพระโรงในพระราชวังยามนี้แน่นขนัดไปด้วยขุนนางน้อยใหญ่มากหน้าหลายตา การโต้เถียงเกิดขึ้นยาวนานกว่าสามชั่วยาม[1]มาแล้วก็ยังหาข้อสรุปมิได้
หลิวต้าหมิงเสนาบดีเฒ่าผู้กุมอำนาจเป็นรองเพียงฮ่องเต้ แหงนมองพระพักตร์โอรสสวรรค์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเบื้องหน้า พระหัตถ์ในยามปกติจะวางทาบบนที่พักแขน บัดนี้ยกขึ้นกุมขมับอย่างคิดไม่ตก ด้วยความดื้อดึงของเสนาบดีผู้นี้ ถึงฮ่องเต้จะโน้มน้าวด้วยสิ่งของมีค่ามากมายอย่างไร ก็ไม่ยินยอมส่งหลานสาวอย่างหลิวหนิงฮวาออกไปตกระกำลำบาก
หลิวหนิงฮวา คือยอดสตรีอันดับหนึ่งที่ถูกวางตัวให้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท ความงามเป็นที่โจษจัน กิริยามารยาทหรือก็เพียบพร้อม ศาสตร์ทั้งสี่ล้วนแตกฉาน นางนับว่าเป็นที่หนึ่งอย่างแท้จริงโดยไม่มีใครเทียบได้ หากส่งไป ณ ที่แห่งนั้น ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป
ทุกคนหวนนึกถึงฤดูหนาวปีนั้นราวสิบปีก่อน ความโกลาหลเกิดขึ้นจากน้ำมือคนที่คิดว่าตกตายไปนานแล้วอย่าง เจียงจวิ้นเหยียน ซึ่งเป็นบุตรชายคนเดียวของประมุขสำนักปีกเมฆาที่เลื่องชื่อ แม้เป็นสำนักเล็กๆ กลับอุดมไปด้วยยอดฝีมือและทรัพยากรมากมายที่ทั่วทั้งแคว้นอยากครอบครองแต่ไม่มีโอกาส เนื่องด้วยสำนักปีกเมฆาแห่งนี้แม้อยู่ระหว่างแคว้นโจวกับแคว้นหาน ก็ปกครองตนเองสั่งสมความแข็งแกร่งมาหลายชั่วอายุคน โดยไม่ขึ้นตรงกับแคว้นใด
ความโลภและความเกรงกลัวในอำนาจที่เพิ่มมากขึ้น นำโดยเสาหลักที่กุมอำนาจคานกันอยู่อย่างสำนักราชวงศ์และสำนักดารายุทธ์ จึงบุกทำลายปราการแกร่งอย่างสำนักปีกเมฆาลง คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายรวมทั้งประมุข ภรรยา และบุตรชายที่ขณะนั้นอายุราวเก้าถึงสิบปีเพียงเท่านั้น
วันคืนเป็นไปอย่างสงบโดยไม่มีใครคาดคิด สำนักปีกเมฆาถูกก่อตั้งอีกครั้งในนามใหม่คือพรรคมาร ซึ่งเป็นเวลาแปดปีต่อมา ในส่วนของประมุขคนใหม่นั้น คือเด็กชายที่สมควรตายไปแล้ว เขานำทัพยึดคืนสำนักและกวาดล้างกองกำลังแคว้นโจวให้อยู่ภายใต้อาณัติ หากขัดขืนก็ลงมือคร่าชีวิตโดยปราศจากความเมตตาในทันที
เมืองหลวงระส่ำระสายอย่างใหญ่หลวง ด้วยพละกำลังสู้รบของกองทัพของฝ่ายตรงข้าม แม้จะมีจำนวนไม่มากเท่ากองกำลังทหารของแคว้นโจว แต่ความแข็งแกร่งไม่อาจเทียบติดแม้ปลายฝุ่น ราชวงศ์ไร้หนทางสู้รบ สำนักเล็กที่ต่อกรล้วนถูกกวาดล้างจนสิ้น ความหวาดกลัวกัดกินจิตใจผู้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจนถึงขีดสุด
ในยามนั้นมัจจุราชตนนั้นเยื้องย่างเข้ามาในพระราชวัง ตามทางเดินเต็มไปด้วยหยาดโลหิตและร่างไร้วิญญาณของผู้กีดขวาง ยื่นข้อเสนอทางเลือกสองทางให้คือ หนึ่ง ยอมอยู่ใต้อาณัติแต่โดยดีห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการขัดใจ หรือสอง หากไม่ยินยอม เมืองหลวงแห่งนี้และสำนักอื่นๆ ในแคว้นจะต้องพังพินาศลง
โดยไม่ต้องคิด โอรสสวรรค์ย่อมต้องฝืนยอมจำนนเลือกข้อแรก พร้อมกับต้องยอมรับข้อเสนออีกประการคือทุกต้นปีพรรคมารจะส่งตัวแทนมาแจ้งความประสงค์ ว่าทางราชวงศ์แคว้นโจวต้องมอบเครื่องบรรณาการเป็นอะไรบ้างในแต่ละปี
ฤดูหนาวในปีนั้นจึงจบลงด้วยเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนชะตาแคว้นไปตลอดกาล...
กลับมาปัจจุบันการถกเถียงยังดำเนินไปไม่มีทีท่าว่าจะจบลง ท้องพระโรงยามนี้ร้อนระอุไปด้วยเปลวเพลิงแห่งอารมณ์ ฮ่องเต้แห่งแคว้น ไหนเลยจะรู้สึกทุกข์ยากกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ เสนาบดีหลิวยังยืนกรานไม่ยินยอม พระองค์จึงสรุปการประชุมวันนั้นโดยการจะร่างราชโองการบังคับถึงที่สุด หาไม่แล้ว คงถึงคราวที่ราชวงศ์คงกลายเป็นที่รองรับโทสะจากเจียงจวิ้นเหยียนอีกครั้งเป็นแน่ ฉะนั้นการประชุมครั้งใหญ่ในวันนี้จึงจบด้วยความขุ่นมัว
เสนาบดีหลิว เดินออกจากท้องพระโรงด้วยใบหน้าโกรธกริ้วปนขมขื่น เขามีหลานสาวคนเดียวซึ่งเป็นบุตรของบุตรชายที่เขาวางไว้ให้เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป ส่วนหลานสาวก็หมายมาดให้แต่งเข้าวังองค์รัชทายาท เบื้องหน้าในอนาคตจึงได้เป็นฮองเฮาแห่งแคว้นฐานะสูงส่ง วาดฝันถึงอำนาจในมือที่กำลังจะหลุดจมหายก็พาลให้หัวเสียยิ่ง
รถม้าหรูหราสลักอักษรสกุลหลิวรอบด้านทั้งสี่ ดึงความสนใจให้ผู้คนเป็นอย่างดี ล้อบดเบียดไปตามพื้นถนนไม่นานจึงจอดเทียบกำแพงสูงตระหง่าน ที่ด้านหน้าเป็นประตูไม้ราคาแพงทรงสง่าสมชื่อตระกูลที่มีชื่อเสียงและความมั่งคั่ง เมื่อเท้าก้าวลงจากรถม้าเหยียบผืนธรณีจึงมองเห็นผู้มาต้อนรับด้านหน้าประตู เขาเดินนำครอบครัวเข้าไปด้านในห้องหนังสือของจวน เพื่อพูดคุยอย่างเป็นส่วนตัว
“ท่านปู่ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ใบหน้างดงามของหลานสาวคนโปรดแสดงสีหน้าเป็นกังวล แววตาฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำจากการกลั้นไม่ให้ไหลลงมายิ่งขับเน้นให้ดูน่าทะนุถนอมยิ่งขึ้นไปอีก มือเรียวบอบบางสั่นเทาถูกกุมด้วยมือของมารดาที่ยืนข้างกัน
หลิวหนิงฮวารอคำตอบจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นปู่อย่างใจจดใจจ่อ ได้รับเพียงเสียงทอดถอนหายใจพร้อมทั้งส่ายหน้าเพียงเล็กน้อย จึงรับรู้ได้ทันทีว่าไม่เป็นผล น้ำตาที่กลั้นไว้พลันทลายลงมาอย่างไม่ขาดสาย ร่างกายบอบบางอ้อนแอ้นทรุดลงบนพื้นไม้เย็นเฉียบ จนบิดาและมารดาต้องกอดปลอบด้วยความสงสารจับใจ “ไม่นะท่านปู่ ข้าไม่ไป ข้าไม่ไปได้หรือไม่ ท่านส่งหลานสาวสายรองไปก็ได้นี่ พวกนางล้วนแต่ต่ำต้อยไร้ประโยชน์ ท่านกล้าส่งข้าที่เป็นหน้าเป็นตาของตระกูลไปหรือ หากว่าท่านไม่มีข้า จะมีใครในตระกูลเหมาะสมกับการเป็นชายารัชทายาทกัน” หลิวหนิงฮวาสะอึกสะอื้นอย่างหนัก นางพูดสิ่งที่คิดจนหมดและไม่มีทางยอมอย่างแน่นอน จนเสนาบดีต้องปลอบใจว่าเขาย่อมต้องหาทางรอดให้นางจนถึงที่สุด
ความหวาดกลัวกำลังกัดกินหัวใจ หลิวหนิงฮวาวาดฝันอนาคตไว้สูงส่ง นางพยายามมาทั้งชีวิตเพื่ออะไร หากต้องกลายเป็นเพียงเครื่องบรรณาการให้ชายโฉดชั่ว ที่ขึ้นชื่อว่าอำมหิตโหดเหี้ยมไร้ความปรานีผู้นั้น ก่อนหน้านี้สักห้าปีก็เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เพียงแต่เครื่องบรรณาการที่ประมุขมารผู้นั้นต้องการเป็นถึงองค์หญิง ฮ่องเต้ยังต้องจำใจยินยอม ส่วนนางนั้นนับว่าเป็นอะไรได้
จนถึงยามนี้ไม่มีใครรู้ว่าองค์หญิงนางนั้นเป็นเช่นไร มีชีวิตขื่นขมเพียงใดไม่อาจทราบ ข่าวที่ตัวแทนฝ่ายนั้นแจ้งมาทุกปีคือ องค์หญิงจะยังมีชีวิตอยู่หากแคว้นโจวไม่คิดต่อต้าน เท่านี้ก็บ่งบอกได้แล้ว ว่าชีวิตต่อไปต้องแขวนอยู่บนเส้นด้าย เป็นตัวประกันที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดๆ
ยามดึกคืนนั้นบรรยากาศค่อนข้างเย็นจัด ในขณะที่ผู้คนหลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา กลับมีเงาร่างสีดำไหววูบราวสายลมเคลื่อนตัวเข้ามาภายในห้องนอนของเสนาบดีหลิวอย่างเงียบเชียบ หากเป็นคนทั่วไปมิอาจจับการเคลื่อนไหวได้โดยง่าย ทิ้งไว้เพียงกระดาษหนึ่งแผ่นที่วางไว้บนโต๊ะน้ำชาในห้อง
ล่วงเข้าต้นยามเหม่า[2] เสียงเรียกดังหาพ่อบ้านจากเจ้าของจวนสกุลหลิว นำพาให้ผู้คนแตกตื่น มองเห็นเจ้านายของตนถือกระดาษหนึ่งแผ่นในมือกำแน่น พ่อบ้านกุลีกุจอมาพบเสนาบดีหลิวอย่างเร่งรีบ จึงได้คำสั่ง “ไปเตรียมรถม้าและสิ่งอำนวยความสะดวกขณะเดินทางเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการเดินทางไปหมู่บ้านอู้หยวน” พ่อบ้านทำตามคำสั่งตระเตรียมสิ่งของสำหรับการเดินทางราวสองวันเศษ เนื่องด้วยหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงไปทางใต้ จึงต้องใช้เวลาเดินทางเสียหน่อย
รถม้าจวนสกุลหลิวออกเดินทางช่วงสายของวัน ออกจากเมืองหลวงมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ปลายทางคือหมู่บ้านอู้หยวนที่ซึ่งไร้ความเจริญ ขบวนเดินทางมีเพียงรถม้าสองคัน ผู้ร่วมเดินทางมีเพียงพ่อบ้านเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เสนาบดีเฒ่าต้องเร่งรีบไปต่างเมืองเช่นนี้คือกระดาษในมือที่เขียนตัวอักษรง่ายๆ สองพยางค์คือ ชุนลี่ เขาลืมเสียสนิทว่าเขามีบุตรสาวนางนี้อยู่
หลิวชุนลี่ คือบุตรสาวของเขากับอนุภรรยาในจวน ยามคลอดชุนลี่ อนุนางนั้นก็สิ้นใจด้วยอาการป่วยที่มีมานาน หลิวต้าหมิงไม่ค่อยให้ความสนใจในตัวของบุตรสาวนางนี้นัก รู้ตัวอีกทีก็สร้างความอับอายให้แก่วงศ์ตระกูลด้วยการตั้งครรภ์โดยไร้สามี เขาอดรนทนรอจนนางคลอดทารกเพศหญิงออกมา ก็ยังไร้วี่แววของคนรักที่นางอ้างถึงว่าจะมาตบแต่งเป็นภรรยา เสียงวิพากวิจารณ์จากเหล่าขุนนางกระทั่งชาวบ้านถาโถมเข้าใส่สกุลหลิวไม่เว้นแต่ละวัน ราวเผือกมันที่ร้อนมือจึงทำให้หลิวต้าหมิงตัดสินใจลบชื่อหลิวชุนลี่ออกจากทะเบียนราษฎร์ และขับไล่ออกจากตระกูลให้ไปอยู่บ้านเดิมของมารดา คิดว่าอย่างไรเสีย นางก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขาอยู่แล้ว นึกไม่ถึงว่ามาวันนี้เขากลับสามารถมองเห็นประโยชน์นั้นชัดเจนยิ่ง
หากจำไม่ผิดชุนลี่นางคลอดบุตรสาว นับดูตั้งแต่ยามที่เขาขับไล่นางออกมาแล้วน่าจะราวๆ สิบหกปีได้ หลิวหนิงฮวาหลานรักของเขาเปรียบดั่งไข่มุกงดงามบนฝ่ามือไม่อาจปล่อยให้ไปเผชิญชะตากรรมอันเลวร้าย แต่หากเป็นหลานสาวที่ไม่มีประโยชน์นางนี้เล่า เสนาบดีหลิววางแผนเอาไว้ในใจนึกถึงวิธีที่จะทำให้บุตรสาวและหลานสาวที่เขาไม่เคยเห็นหน้าเข้ามาอยู่ในครอบครัวสกุลหลิวอีกครั้ง ในฐานะชั่วคราว…
[1] ชั่วยาม คือหน่วยของเวลา 1ชั่วยาม เท่ากับ 2ชั่วโมง
[2] ยามเหม่า คือช่วงเวลา 05.00 – 06.59 น.
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!