ณ สนามบินนานาชาติปักกิ่ง
เสียงแจ้งเตือนจากมือถือ ทำให้จางอี้ชิงที่ยืนรอน้องชายลูกพี่ลูกน้องของเขาที่กำลังเดินทางกลับมาจากต่างประเทศต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอย่างเสียไม่ได้
เป็นการเป็นงาน (12)
08:34 น.
โชไมค์กี้: @จางอี้ชิง เฮียอยู่ไหน มีเอกสารมาให้เซ็น
จางอี้ชิงลืมไปเลยว่าเขาออกมาข้างนอกโดยที่ไม่ได้บอกคนในหน่วยก่อนว่าจะออกไปไหน เขาพิมพ์ตอบกลับเพื่อนร่วมงานทันที
จางอี้ชิง: อยู่สนามบิน สำคัญมากไหม?
โชไมค์กี้: งบประมาณ
จางอี้ชิง: เอาวางไว้ที่โต๊ะเลยเดี๋ยวจะกลับไปเซ็นให้
บิลลี่: เฮียยยยยย ไปทำไมสนามบิน? ขากลับแวะซื้อเสี่ยวหลงเปามาให้หน่อย
เควิน: กินอีกแล้วเหรอ?
จางชิงระบายยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปอย่างเห็นด้วย
จางอี้ชิง: นั่นสิเฮียว่าเรากินเยอะไปแล้วบิล
บิลลี่: @หวังบรูคลิน @ลิษา มันแย่งหนูกิน!!!
หวังบรูคลิน: แค่ชิมไม่ได้แย่ง
ลิษา: คำว่าเพื่อนอะบิล
บิลลี่: สะกดยังไงเหรอ
เควิน: เอืพ่น
โซเฟีย: เอื่พน
ลู่จิน: พเอนื่
จางอี้ชิงหลุดหัวเราะออกมากับความโบ๊ะบ๊ะระหว่างเพื่อน ๆ และน้อง ๆ ของเขา โดยเฉพาะเพื่อนของเขาอย่างลู่จิน ที่เขาเองก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเล่นตามพวกน้อง ๆ ไปด้วย
เป็นการเป็นงาน (12)
จางอี้ชิง: มึงก็เล่นกับพวกมันนะลู่จิน
ลู่จิน: ขำ ๆ
โซเฟีย: @นิโคลิน คนนี้ก็หายไป เจ๊หนูมาเอาผล
และอีกคนที่คนในกลุ่มแชตถามหาก็เป็นเขาเองที่ลากอีกฝ่ายออกมาด้วย นิโคลิน สาวสวยหุ่นนางแบบเจ้าหน้าที่พิษวิทยา ที่ตอนนี้กำลังยืนมองหาลูกพี่ลูกน้องของเขาที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอว่าเมื่อไหร่จะเดินออกมาจากประตูทางออกเสียที
เป็นการเป็นงาน (12)
จางอี้ชิง: นิคมากับเฮีย
เอริค: นั่นแน่~ไปเดทกันเหรอ~
จางอี้ชิงถอนหายใจอย่างเอือมระอา เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิดจริง ๆ ว่าถ้าบอกว่านิโคลินอยู่กับเขาคนพวกนั้นต้องเอ่ยแซวอย่างแน่นอน ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเขากับนิโคลินไม่ได้มีอะไรกันมากเกินกว่าพี่น้องเลย แต่ไม่ว่าจะบอกกี่ครั้งคนพวกนั้นก็ไม่เคยจะฟังกันเลย
เป็นการเป็นงาน (12)
โซเฟีย: อ้าว แล้วผลหนูอะ
จางอี้ชิงเงยหน้าจากโทรศัพท์มองไปที่นิโคลินแล้วเอ่ยถามเธอขึ้น “นิค โซเฟียถามหาผลแลป”
นิโคลินตอบกลับ “อยู่บนโต๊ะอะ บอกว่าเข้าไปเอาได้เลยเฮีย” นิโคลินชี้ไปทางประตูผู้โดยสายขาออก “นั่นไงมาแล้ว”
ชายหนุ่มสูงโปร่งสวมแว่นตาสีดำ เสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังสีดำตัดขาวกำลังเดินมาทางพวกเขา
จางอี้ชิงจึงรีบกดตอบข้อความในกลุ่มทันที เพราะว่าคนที่เขารอมาถึงแล้ว
เป็นการเป็นงาน (12)
จางอี้ชิง: นิคบอกอยู่บนโต๊ะหยิบไปได้เลย
โซเฟีย: okkkkk
จางอี้ชิงเก็บโทรศัพท์มือถือเข้าใส่กระเป๋าก่อนจะสวมกอดลูกพี่ลูกน้องของเขาด้วยความคิดถึง
“ในที่สุดก็ได้กลับบ้านแล้วฌอน” จางอี้ชิงลูบหลังเซียวฌอนเบาเบาด้วยความคิดถึง
“อืม กลับมาได้แล้ว” เซียวฌอนสวมกอดผู้เป็นพี่เป็นแน่นขึ้น ทั้งสองคนกอดกันนานจนนิโคลินที่ยืนอยู่ด้านข้างอดที่จะแขวะออกมาไม่ได้
“ไม่ทราบว่าคุณเพื่อนเห็นดิฉันไม่คะ เห็นไหมเอ่ยว่ามีดิฉันยืนอยู่ตรงนี้ด้วย” นิโคลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกวน ๆ
เซียวฌอนผละออกจากอ้อมกอดของจางอี้ชิง ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวที่สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกางเกงสแล็คสีดำยืนกอดอกมองมาที่เขาอยู่ ก่อนจะสวมกอดเธอเช่นเดียวกัน “คิดถึงกูเหรอ?”
นิโคลินกอดตอบ “ใครคิดถึงมึงกัน”
“เหรอ งั้นใครกันนะที่รู้ว่ากูจะกลับจีนแม่งกรี๊ดไปสามบ้านสี่บ้าน” เซียวฌอนเอ่ยแซะ เขาไม่เคยได้มาเที่ยวหานิโคลินเลยมีแต่หญิงสาวกับพี่ชายของเขาเท่านั้นที่บินไปหาเขาบ่อย ๆ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาหาทั้งสองคน
นิโคลินผละออกจากการกอด ก่อนจะเบะปากใส่เซียวฌอน เรื่องที่เขากรี๊ดเพราะดีใจที่ในที่สุดเซียวฌอนก็ได้กลับบ้านคงเป็นจางอี้ชิงแน่นอนที่เอาเรื่องไปบอก นิโคลินมองไปที่จางอี้ชิงตาเขียวปั๊ด จางอี้ชิงไหวไหล่อย่างไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร
“ตอนนั้นกูเห็นแมลงสาบเหอะเลยกรี๊ดออกมา ไม่ได้กรี๊ดดีใจที่มึงจะมา” นิโคลินโกหก เซียวฌอนส่ายหัวให้กับความปากแข็งของเพื่อนสนิท
“จ้า~ กรี๊ดเพราะแมลงสาบอะนะ” เซียวฌอนพูดแบบจีบปากจีบคอ คนที่สมัยเรียนทำวิจัยเกี่ยวกับเมแทบอลิซึมของแมลงสาบ กินนอนอยู่กับแมลงสาบเป็นสิบ ๆ ตัว จะมากรี๊ดเพราะกลัวแมลงสาบ มันเป็นคำโกหกที่ไม่น่าเชื่อเลยแม้แต่น้อย
นิโคลินตีแขนเซียวฌอนเบา ๆ เซียวฌอนลูบแขนของตัวเองเพราะความเจ็บ ผู้หญิงอะไรแรงเยอะจริง ๆ ตีเบา ๆ แต่เขารู้สึกเหมือนแขนแทบหัก
“เฮีย นิคไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวตามไปที่รถ” เมื่อเห็นว่าจางอี้ชิงพยักหน้าเป็นการคำตอบเรียบร้อยแล้วนิโคลินก็เดินออกไปทันที เธอยืนรอเซียวฌอนนานมากกว่าอีกฝ่ายจะออกมา ความจริงเธอจะไปเข้าห้องน้ำก่อนก็ได้ แต่เธอเลือกที่จะรอให้เซียวฌอนออกมาก่อน
“ไปนั่งรอที่โซฟาตรงนั้นก็แล้วกันครับแล้วค่อยไปที่รถ” เซียวฌอนชี้ไปที่โซฟาที่ตั้งอยู่ห่างจากที่เข้ายืนอยู่ประมาณ 50 เมตร จางอี้ชิงพยักหน้าก่อนจะเดินตามเซียวฌอนไป
เซียวฌอนนั่งลงที่โซฟาก่อนที่จะเอ่ยบอกจางอี้ชิงว่า “เฮียตอบข้อความก่อนเถอะเห็นส่งมาเยอะมากเลย คงเป็นเรื่องด่วน” เขาได้ยินเสียงแจ้งเตือนมาจากกระเป๋ากางเกงของจางอี้ชิงไม่หยุดเลย
จางอี้ชิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูก่อนจะตอบเซียวฌอนไปว่า “กลุ่มที่ทำงานน่ะ”
“อ๋อ” เซียวฌอนพยักหน้าเข้าใจ “ตอบพวกเขาเลยผมขอโทรศัพท์หาโนเอลก่อน” พูดจบเซียวฌอนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาเพื่อนสนิทของเขาอีกประเทศหนึ่ง ส่วนจางอี้ชิงก็กดเข้ากลุ่มไปตอบข้อความที่คนในกลุ่ม ‘เป็นการเป็นงาน’ ส่งมาเกือบร้อยข้อความได้
“เอ่อเฮีย ผมอยากกินเสี่ยวหลงเปาอะ แวะไปกินก่อนได้ไหม?” เซียวฌอนถามขึ้นระหว่างเพื่อนของเขารับสาย
“ได้สิ” จางอี้ชิงตอบกลับ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกลับโนเอลเพื่อนของเซียวฌอนรับสายพอดี เซียวฌอนจึงหันไปสนใจคนปลายสายแทน ส่วนจางอี้ชิงก็ส่วนใจคนโทรศัพท์เช่นกัน
เป็นการเป็นงาน (12)
บิลลี่: @จางอี้ชิง เสี่ยวหลงเปา~
จางอี้ชิง: ได้ น้องเฮียก็อยากกินเหมือนกันเฮียว่าจะพาแวะอยู่
โชไมค์กี้: น้อง? น้องไหน?
ลิษา: เฮียไปกับเจ๊ไม่ใช่รึไง มีใครไปด้วยอีกเหรอ?
เอริค: แล้วไปสนามบินทำไม
จางอี้ชิง: มารับน้อง
พิมพ์จบจางอี้ชิงก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเซียวฌอนส่งเข้าไปในกลุ่ม
เป็นการเป็นงาน (12)
โซเฟีย: ไม่เห็นหน้าอะแต่ดูจากรูปแล้ว สูง ยาว ขาว แน่นอน
โจวโคลิน: image content [เอาที่มึงสบายใจ (มีมรูปหวังบรูคลิน) ]
หวังบรูคลิน: @โจวโคลิน [รูปนิ้วกลาง]
ลิษา: น้องเฮียดูเศร้า ๆ นะ
บิลลี่: นี่ก็ว่าจะพิมพ์เลย
จางอี้ชิง: มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ
โชไมค์กี้: เรื่องอะไรเฮีย
หวังบรูคลิน: ไมค์ เสือกนะมึงอะ
โชไมค์กี้: ก็กูอยากรู้!
จางอี้ชิง: ไม่เป็นไร เฮียบอกได้
บิลลี่: ปูเสื่อรอฟังเงียบ ๆ
จางอี้ชิง: โดนไล่ออกน่ะและก็ลาออกเอง
โซเฟีย: งงนะเอาจริง
โจวโคลิน: งงจริง
จางอี้ชิง: ฌอนมันไปขัดผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ฝั่งนั้นเข้า เขาเลยไล่มันออกแต่มันไม่ยอมออกพร้อมกับยื่นหลักฐานสรุปไม่โดนไล่ออก แต่สุดท้ายก็ลาออกเพราะไม่อยากทำงานกับคนพวกนั้น
ลู่จิน: ก็ดีแล้วหนิ แล้วเศร้าทำไมวะหรือหางานทำไม่ได้ จากที่มึงเล่าดูทรงแล้วคงเป็นคนเก่งอยู่นะ
เอริค: นั่นสิ
จางอี้ชิง: อีกเรื่องคือมันโดนนอกใจน่ะ จะเศร้าก็ไม่แปลก
โซเฟีย: ใครกันมันกล้ามาหักอกสุดหล่อของเฟีย พี่ฌอนขาาาาา
ลิษา: เฟียเบาได้เบา
โชไมค์กี้: หนีรักมาว่างั้น
จางอี้ชิง: ประมาณนั้นแหละมั้ง กูก็ไม่รู้เหมือนกันบอกแค่ว่าจะกลับมาจีนให้ไปรับด้วย
จางอี้ชิงรู้แค่ว่าลูกพี่ลูกน้องของเขามีเรื่องกับทางเจ้าหน้าที่ฝั่งนั้นเข้า ส่วนเรื่องอกหักจะว่าเซียวฌอนเศร้าก็เศร้า จะว่าไม่เศร้าก็ไม่เศร้า เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสาเหตุที่เซียวฌอนเศร้ามาจากโดนนอกใจจริง ๆ รึเปล่า เพราะอีกฝ่ายไม่ได้บอกอะไรเขาเลย และเขาก็ไม่คิดจะถามด้วยเพราะถ้าเซียวฌอนอยากบอกอะไร เซียวฌอนก็จะบอกเขาเอง
เป็นการเป็นงาน (12)
เอริค: ว่าแต่น้องมึงทำงานอะไรวะ
จางอี้ชิง: นิติเวช
ลู่จิน: ชวนน้องมึงมาทำงานกับเราดิวะกูอยากได้นิติเวชเพิ่มอยู่ นับวันงานยิ่งเยอะ
เอริค: จริง เหนื่อยวะ
โชไมค์กี้: อยากนอนอยู่เฉย ๆ แล้วมีเงินใช้ ไม่ต้องมาวิ่งจับคนร้าย มาเก็บหลักฐานพวกนี้
หวังบรูคลิน: ลาออกสิ
โจวโคลิน: ลาออกแล้วจะเอาอะไรกิน!
โชไมค์กี้: พวกกูไม่ได้มีคุณหนูเวนดี้เหมือนมึงนะบรูค
ลิษา: โอ๊ยยยย อย่าพูดถึงชะนีนางนี้!!!!
บิลลี่: รับไม่ได้อย่างแรง กินอะไรไม่ลงแล้ว
จางอี้ชิง: งั้นพี่ไม่ซื้อแล้วนะ
บิลลี่: ไม่ได้!
จางอี้ชิง: [ส่งสติกเกอร์หน้าเอือม]
เควิน: @หวังบรูคลิน แฟนมึงไปไหนเห็นปกติต้องมาส่งข้าวส่งน้ำแล้ว
โซเฟีย: พูดซะพี่บรูคเหมือนโจรเลย
เอริค: ดูรูปโปรมันด้วยเฟีย
เอริค: พี่นึกว่ากูกำลังคุยกับคนร้ายอยู่
อีกด้านหนึ่งหวังบรูคลินที่อยู่ในห้องทำงานของตัวเองก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อเห็นข้อความคำถามจากคนในกลุ่มแชตที่ถามถึงแฟนสาวของเขา
เป็นการเป็นงาน (12)
หวังบรูคลิน: [ส่งสติกเกอร์นิ้วกลาง]
หวังบรูคลิน: @เควิน อย่าถามได้ได้ไหมพี่ผมไม่อยากเจอ
ลิษา: ถ้ามาแว้ด ๆ ในนี้อีกกูจับโยนออกไปแน่
จางอี้ชิง: @หวังบรูคลิน ทะเลาะกัน?
หวังบรูคลินถอนหายใจออกด้วยความเหนื่อย คำถามที่จางอี้ชิงถามเขาจะตอบว่าทะเลาะก็ได้แต่จะบอกว่าไม่ได้ทะเลาะก็ได้เพราะมันคือเรื่องเดิม ๆ ที่เฉิงเวนดี้แฟนสาวของเขาชอบเอามาพูดอยู่แล้ว
เป็นการเป็นงาน (12)
หวังบรูคลิน: ครับ เรื่องเดิมเดิม
เควิน: แฟนมึงเขาเป็นห่วงมึงไงไม่อยากให้ทำอะไรเสี่ยง ๆ
โชไมค์กี้: แต่เวนดี้ทำเกินไปนะพี่
โจวโคลิน: ล่าสุดคือเขียนจดหมายลาออกแล้วเอาไปส่งให้หัวหน้าเองเลยอะ
ลิษา: นังนี่มันร้ายค่ะ
หวังบรูคลิน: ตอนแรกเวนดี้ก็นะ
โจวโคลิน: แต่หลัง ๆ มาแย่ใช่ไหม
หวังบรูคลิน: อืม
บิลลี่: เลิกไหมจะได้จบ ๆ ไปเลย
ลิษา: เอ่อจริง
โชไมค์กี้: ถ้ามันง่ายขนาดนั้นไอ้บรูคคงเลิกไปแล้วล่ะคงไม่ต้องทนอยู่แบบนี้
ลู่จิน: น้องเขาไม่ยอมเลิก?
โจวโคลิน: @หวังบรูคลิน ไอ้นี่ไม่กล้าบอกเลิกเองมากกว่า
ความจริงมันก็เหมือนที่โจวโคลินเพื่อนของเขาบอกคนในกลุ่ม เขาไม่กล้าบอกเลิกเองมากกว่าทั้งที่ในใจของเขาอยากจะเลิกมากแค่ไหนก็ตาม เพราะตัวเขาเองยังไม่สามารถเลิกกับอีกฝ่ายได้
เป็นการเป็นงาน (12)
หวังบรูคลิน: เอาจริงมีก็เหมือนไม่มี กูเบื่อนะที่ต้องมาทะเลาะกันเรื่องเดิม ๆ ทำไมถึงชอบบังคับให้กูลาออก กูชอบทำงานไม่ได้ชอบอยู่เฉย ๆ เขาบอกว่าจะเลี้ยงกูเองมันได้เหรอวะ
เอริค: ได้ทีแล้วบ่นใหญ่
ลิษา: กูก็บอกให้เลิกกันซะ
หวังบรูคลิน: กูกลัวเขาเสียใจ
จางอี้ชิง: @หวังบรูคลิน ยังรักเขาอยู่เหรอ
ยังรักอยู่อย่างงั้นเหรอ?
ความรู้สึกของเขาที่ให้เฉิงเวนดี้เรียกว่าความรักอย่างงั้นเหรอ?
หวังบรูคลิน: คงงั้นมั้งครับ
เควิน: มึงแค่ผูกผันไอ้บรูค
เควิน: มึงไม่ได้รักเขาแล้ว
หวังบรูคลิน: อาจจะเป็นแบบที่พี่ว่า
รัก? ผูกผัน? มันคือความรู้สึกของเขาจริง ๆ น่ะเหรอ หวังบรูคลินนั่งคิดอยากตลก
ในอีกด้านหนึ่งจางอี้ชิงเห็นว่านิโคลินที่กลับมากจากการเข้าห้องน้ำกำลังเดินทางเขาก็ตัดสินใจพิมพ์ข้อความส่งเข้าไปในกลุ่มอีกครั้ง เพราะหลังจากนี้เขาจะไม่จับโทรศัพท์อีกแล้ว
เป็นการเป็นงาน (12)
จางอี้ชิง: เฮียจะกลับแล้วมีใครจะเอาอะไรอีกไหม?
โจวโคลิน: @บิลลี่ มึงอะตัวดี
บิลลี่: @โจวโคลิน [ส่งมีมตบหน้า] @จางอี้ชิง ไม่เอาเฮียรีบกลับมาก็พอ
เอริค: ตามเป็นเมียเลยนะ
บิลลี่: เฮีย @เอริค ยังอยากมีมือไว้จับกล้องอยู่ไหม?
จางอี้ชิง: ฆ่าได้เลยเฮียอนุญาต
ลู่จิน: เดี๋ยวกูเตรียมห้องชันสูตรไว้รอจะได้ช่วยปกปิดสาเหตุการตายให้
เอริค: ไอ้พวกเลว!!!!
โชไมค์กี้: 5555
จางอี้ชิงหัวเราะให้โทรศัพท์ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงตัวเอง แล้วหันไปมองลูกพี่ลูกน้องของตน
“ถ่ายรูปผมส่งให้ม้าเหรอ?” เซียวฌอนถามขึ้นอย่างสงสัย เขาเห็นลูกพี่ลูกน้องของเขายกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเขาจากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ยิก ๆ
จางอี้ชิงส่ายหน้า “ไม่ใช่ ถ่ายส่งให้คนให้กลุ่มที่ทำงานน่ะ”
“อ๋อ” เซียวฌอนพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ไปรถกันเถอะ จะได้พักผ่อนกัน” จางอี้ชิงเอ่ยจบก็ช่วยลากกระเป๋าให้เซียวฌอน ส่วนเซียวฌอนเองก็เต็มใจที่จะได้รับความช่วยเหลือนั้นเพราะเขาขี้เกียจถือกระเป๋าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
บนรถของจางอี้ชิง
“เอาไปตราของมึง” เมื่อรถเคลื่อนตัวออกไปได้สักพัก นิโคลินเพื่อนสาวที่สนิทของเซียวฌอนก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นตราประจำตำแหน่งให้เซียวฌอน
“ใจร้ายกันฉิบหาย” เซียวฌอนตัดพ้อ แทนที่ปล่อยให้เขาได้พักสักอาทิตย์สองอาทิตย์ค่อยมอบตราให้เขาแต่นี่มอบให้ทันทีที่ถึงประเทศ บอกตามตรงว่าเขารู้สึกว่าเป็นลางที่ไม่ดีเอามาก ๆ “บังคับกันแบบนี้ได้ไงอะ ขอพักหน่อยไม่ได้รึไง”
นิโคลินเห็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานเบะปากเมื่อโดนขัดใจ เธอก็กลอกตามองบนทันที “ไม่ต้องเบะกูไม่สงสาร”
จางอี้ชิงเอ่ยสนับสนุนความคิดของนิโคลินทันที “คิดว่าเฮียจะปล่อยคนเก่งแบบฌอนไปเหรอ ไหน ๆ ก็ว่างงานแล้วก็มาทำงานกับเฮียดีกว่า”
“แต่ผมเพิ่งถึงจีน และยังไม่ทันออกจากเขตสนามบินเลย เฮียจะมาจับผมเซ็นสัญญาแบบนี้ไม่ได้” เซียวฌอนหยิบเอกสารที่แนบมาด้วยขึ้นมาถืออย่างหงุดหงิด
“ถ้าเฮียว่าได้มันก็คือได้ฌอน” จางอี้ชิงตอบกลับ เซียวฌอนกอดอกพ่นลมหายใจออกมาราวกับเด็กที่โดนขัดใจ แต่เขาดันเป็นผู้ใหญ่ที่โดนขัดใจต่างหาก
“เอาหน่ามึง สวัสดิการดี เงินดี งานดี” นิโคลินพยายามเอ่ยปลอบใจเซียวฌอน
เซียวฌอนร้องหึในลำคอก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “แล้วคนล่ะ มึงก็รู้กูทำงานไม่เหมือนคนอื่น แน่ใจว่าคนที่นี่จะทนกูได้”
สวัสดิการดี เงินดี งานดี แล้วไง?
ถ้าเพื่อนร่วมทำงานไม่ได้เรื่องเขาก็ไม่มีทางทำงานที่นั่นแน่ ๆ
“ทนความหวังบรูคลินได้ ความเซียวฌอนแค่นี้สบายมาก” จางอี้ชิงนึกถึงเพื่อนร่วมทำงานอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่าหวังบรูคลิน
เขารู้ว่าเซียวฌอนเป็นคนจริงจังกับการทำงานมากขนาดไหน เพื่อนร่วมงานหลายคนมักจะไม่พอใจเซียวฌอนอยู่บ่อย ๆ ในที่ทำงานเก่า แต่ที่นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นกังวลเลย เพราะก็มีหนึ่งคนที่นิสัยคล้ายเซียวฌอน และเพื่อนร่วมทำงานก็ทำงานกันจนชินไปหมดแล้ว มีเซียวฌอนเพิ่มเข้ามาก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรมากมายแน่นอน
“มึงสบายใจได้ มีคนที่เรื่องเยอะพอ ๆ กับมึงเหมือนกัน พวกกูยังทำงานร่วมได้เลย” นิโคลินเอ่ยเสริมคำพูดของจางอี้ชิงเพื่อยืนยัน
“ขอพักหนึ่งอาทิตย์แล้วจะไปทำงาน” เซียวฌอนยื่นข้อเสนอที่เขาต้องการด้วยท่าทางนิ่ง ๆ
“เยี่ยม!” นิโคลินเอ่ยออกมาด้วยความดีใจ ถึงไม่ได้ทำงานตอนนี้ แต่เพื่อนของเธอก็ตกลงที่จะทำงานด้วย ให้พักหนึ่งอาทิตย์ก็ดีเพราะเซียวฌอนเพิ่งเดินทางมาถึงและอาจไม่คุ้นเคยกับที่นี่มากเท่าไหร่ อยากน้อยก็มีเวลาให้เซียวฌอนได้ปรับตารางเวลาชีวิตของตัวบ้าง
จางอี้ชิงเองก็พอใจกับคำตอบของเซียวฌอนเหมือนกัน “ต้องแบบนี้สิน้องเฮีย” จางอี้ชิงยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี
เซียวฌอนเชิดหน้าขึ้นก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขี้เกียจอยู่เฉย ๆ หรอกนะ”
“จ้า~” นิโคลินลากเสียงยาวประชดเซียวฌอน ถึงต่อให้อยู่เฉย ๆ ก็จริง แต่เพื่อนของเธอไม่มีทางอยู่เฉย ๆ แน่นอน เพราะเซียวฌอนเป็นพวกที่อยู่เฉย ๆ ไม่ได้
ติ๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
เซียวฌอนถามขึ้นเมื่อเขาได้ยินเหมือนเสียงแจ้งเตือนอะไรบางอย่าง “เสียงอะไรอะ?” แต่ก็ไม่มีใครตอบคำถามของเซียวฌอนเลยแม้แต่คนเดียว
นิโคลินรีบเปิดแท็ปเล็ตอีกเครื่องที่มีการแจ้งเตือนขึ้นมาดูทันทีอย่างรีบร้อน “เฮียเครื่องบินตกที่แม่น้ำเฉาไป๋ อยู่ห่างจากที่นี่ 91 กิโล” นิโคลินมองตาของจางอี้ชิง
จางอี้ชิงรับรู้ได้ทันทีว่านิโคลินต้องการอะไรผ่านสายตาที่ส่งมา “โอเค บอกพวกนั้นว่าเจอกันที่นั่นเลย” พูดจบจางอี้ชิงก็เบี่ยงตัวรถไปที่ถนนอีกสายหนึ่งทันที
นิโคลิน “ค่ะ”
จางอี้ชิง “คงไม่ได้พักแล้วนะฌอน”
เซียวฌอนอยากจะปล่อยโฮร้องไห้ออกมาดัง ๆ เสียเหลือเกิน “ยังไม่ทันถึงที่พักก็มีคดีแล้วเหรอเนี่ย~” เซียวฌอนขยุ้มผมตัวเองพร้อมกับทำท่าราวกับจะร้องไห้อย่างหนักหน่วง “ชีวิตไอ้ฌอนให้มันได้แบบนี้สิวะ”
สังหรณ์ใจเอาไว้แบบไหน ก็เกิดเรื่องขึ้นแบบนั้นจริง ๆ
“ถือสะว่าอุ่นเครื่องมึง” นิโคลินไม่รู้ว่าจะปลอบเซียวฌอนยังไงแล้ว
“แต่ก็ให้กูพักหน่อยก็ดีไหมมึง! น้องฌอนเศร้าครับ”
สถานที่เกิดเหตุ
“เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเครื่องบินเจ็ตของสายการบินเป่ยฮวา B483 บินจากปักกิ่งไปเซี่ยงไฮ้ เกิดเหตุตกลงที่แม่น้ำเฉาไป๋เวลาเก้าโมงสามสิบสี่ตามเวลาที่หลุดจากเรดาร์ มีผู้โดยสาร 12 คน แอร์โฮสเตท 2 คน และนักบินอีก 2 คน รวม 16 คนครับ ตอนนี้ยังไม่พบผู้รอดชีวิตครับ” เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นประจำเทศบาลนครเทียนลู่จินกล่าวรายงานกับเจ้าหน้าที่หน่วยสืบสวนพิเศษและเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน
“กระจายกำลังค้นหาเพิ่มขึ้นอีกภายในรัศมีห้ากิโลเมตร” จางอี้ชิงกล่าว
“รับทราบครับ” เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคนนั้นกล่าวรับทราบแล้วก็เดินออกไปส่งต่อคำสั่งทันที
สถานที่เกิดเหตุเต็มไปด้วยควันไฟ เศษซากของเครื่องบินกระจายอยู่เต็มไปหมดทั้งบนบกและในน้ำ เจ้าหน้าที่ไม่ต่ำกว่าห้าสิบคนต่างพากันเก็บรวบรวมชิ้นส่วนเหล่านั้น
ตึ้ง!
เสียงปิดประตูรถดังขึ้น หวังบรูคลินเดินลงมาจากรถคันนั้นพร้อมกับลู่จินหัวหน้าหน่วยนิติเวช เควินเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการวางเพลิงและการระเบิด และลิษาเจ้าหน้าที่วิศวกรนิติเวช
พื้นที่ถูกปิดกั้นทั้งหมดเพื่อควบคุมสถานที่เกิดเหตุ ทั้งสี่ชูตราประจำตำแหน่งให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่เฝ้าพื้นที่ดูก่อนจะเดินเข้าไปภายใน
“มากันแล้วเหรอ?” นิโคลินเจ้าหน้าที่พิษวิทยาเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นบรรดาเหล่าคนรู้เดินเข้ามา
“ครับ สถานการณ์เป็นยังไงบ้างครับ?” หวังบรูคลินถามขึ้น
“เจ้าหน้าที่กำลังกระจายตัวตามคนรอดชีวิตและชิ้นส่วนของผู้เสียชีวิต” นิโคลินตอบกลับ
“มีผู้เสียชีวิตกี่คน?” ลู่จินถามขึ้น
นิโคลิน “ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัดค่ะ”
ลู่จิน “พาพี่ไปที่เต็นท์หน่อย”
“ค่ะ” นิโคลินตอบรับก่อนจะพาลู่จินเดินออกไป
“แยกย้ายกันไปทำงานเถอะ” เควินพูดขึ้น
“รับทราบครับผม” ลิษาตอบกลับ ทั้งสามจึงแยกตัวไปทำงานของใครของมัน
“อ้าว มาแล้วเหรอบรูค?” จางอี้ชิงทักขึ้นเมื่อหันไปมองคนที่ตบไหล่ตัวเอง
“ครับ เฮียมาถึงนานรึยัง”
“ก่อนหน้าเรามาไม่นานหรอก”
“ตรงมาจากสนามบินเลยสินะครับ”
“ใช่ คดีใหญ่เลยงานนี้” อี้ชิงหลุดหัวเราะออกมา
“ครับ เครื่องบินสายการบินใหญ่ตกไม่พอ คนที่นั่งข้างในนั้นเป็น ส.ส. ที่มีชื่อเสียงและสำคัญกับประเทศทั้งหมด ไม่แปลกหรอกครับที่จะถูกเป็นที่จับตามอง” หวังบรูคลินเองก็หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยเช่นเดียวกัน
“เจอคนรอดชีวิตสองคนครับ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นตะโกนดังขึ้น หวังบรูคลินและจางอี้ชิงก็รีบวิ่งไปทันที
เจ้าหน้าที่ตัวพาร่างขอชายวัยกลางคนอายุราว 35-40 ปี และหญิงสาวที่รอดมานั้นดูคราว ๆ คาดว่าอายุประมาณ 25-30 ปี ทั้งสองหายใจโรยรินและดูเหมือนมีจะสำลักน้ำเข้าไปด้วยเช่นกัน เจ้าหน้าที่จึงรีบทำ CPR1 ด่วน
“คุณครับ! คุณ! ได้ยินผมไหม!?” ลู่จินพยายามเรียกผู้รอดชีวิต เมื่อเห็นว่าผู้บาดเจ็บมีอาการตอบสนองต่อเสียงเรียก แม้ผู้บาดเจ็บจะไม่ได้โต้ตอบก็ตาม
“รีบพาคนไข้ไปส่งโรงพยาบาล กำชับหมออย่าลืมให้ยาปฏิชีวนะ เก็บตัวอย่างน้ำบริเวณที่เจอไปด้วย” ลู่จินกล่าวอย่างเร่งรีบ
“ครับ” เจ้าหน้าที่ยกตัวคนบาดเจ็บขึ้นเปลสนามทันที
“เดี๋ยวครับ” หวังบรูคลินเอ่ยขึ้นก่อนใช้มือเปิดเสื้อของทั้งสองคนขึ้น
“หึ! ส่งเจ้าหน้าที่ไปควบคุมตัวด้วย ให้เฝ้าไว้ยี่สิบสี่ชั่วโมงจนกว่าจะฟื้น แล้วฟื้นเมื่อให้รีบแจ้งผมทันที” หวังบรูคลินเอ่ยขึ้นก่อนจะดึงเสื้อลง
“ครับ” เจ้าหน้าที่ตอบรับก่อนจะรีบนำร่างคนรอดชีวิตไปส่งโรงพยาบาลตามคำสั่ง
“ไม่มีรอยเข็มขัดนิรภัยทั้งสองคนแบบนี้คงไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่านะ” จางอี้ชิงกล่าวขึ้น
“ก็อาจจะใช่ก็ได้นะครับ ดูทรงแล้วผู้หญิงแซ่บใช่ได้ ความหงี่มันไม่เข้าใครออกใคร เวลาไหน สถานที่ไหน ถ้าหงี่ก็ได้หมดแหละ” จางอี้ชิงและลู่จินหัวเราะให้กับคำพูดของรุ่นน้อง ด้วยความที่หวังบรูคลินพูดเล่น ๆ แต่ด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย มันดูจริงจังขัดกับคำพูดเสียจริง
แม้จะว่าถึงที่เกิดเหตุแล้วก็ตาม แต่เซียวฌอนก็ไม่ยอมลงจากรถเลยแม้แต่น้อย เขานั่งดูการทำงานของเจ้าหน้าที่เงียบ ๆ
เหตุที่เขาไม่ยอมลงไปเพราะเขาเหนื่อยจากการเดินทางสหรัฐกับจีนใช่ว่าการเดินทางโดยเครื่องบินจะใช้เวลาน้อยเสียที่ไหนกัน ที่พักก็ยังไม่ไป ก้าวขาออกจากสนามบินแทนที่จะได้ไปกินข้าวกลับต้องมาทำงานเลย ข้าวเที่ยงที่เซียวฌอนหวังว่าจะเป็นเสี่ยวหลงเปาร้อน ๆ มลายหายไปทันที
จะให้เขาลงไปทำงานเหรอ?
ถ้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องของเขาก็อย่าหวังเลยว่าเขาจะลงไปทำงาน เขาเลยขอนั่งอยู่เฉย ๆ บนรถนี่แหละ
“นานจัง หิวนะเนี่ย รู้งี้สั่งอะไรกินบนเครื่องก่อนถึงก็ดี” เซียวฌอนได้บ่นให้กับความหิวของตัว
“ลงไปช่วยเฮียอี้ดีไหมวะฌอนจะได้เสร็จเร็ว ๆ ไปกินข้าว ไม่เอา ไม่ลง เพิ่งถึงเองนะ จะทำงานแล้วเหรอ” เซียวฌอนกำลังตีกับความคิดของตัวเองไปมา เขาควรเลือกอะไรดี แต่สุดท้ายเซียวฌอนก็ยอมลงจากรถเพื่อไปช่วยทันที และไม่ลืมหยิบตราประจำที่ได้มาด้วยความไม่เต็มใจ เพราะเกิดจากการบังคับของพี่ชายและหนึ่งเพื่อนสาวที่สนิท
“เพราะว่าหิวหรอกนะ” เซียวฌอนพูดกับตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุ
ณ เต็นท์นิติเวช
ลู่จินกำลังวางร่างของผู้เสียชีวิตลงบนเตียง รอบตัวมีชิ้นส่วนที่ถูกตัดขาดไม่รู้ว่าของใครเป็นของใครวางอยู่ด้วย
“รอยเข็มขัด รอยไหม้ที่ผิวด้านนอก รอยแผล อืม ลักษณะเหมือนถูกเจอะ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 9.3 มิลลิเมตร” ลู่จินทำการพลิกร่างผู้เสียชีวิต
“ทะลุด้านหลัง” จางอี้ชิงพูดขึ้น “ลิษา”
ลิษาวางเศษเครื่องบินลงก่อนจะเดินมาหาจางอี้ชิงตามเสียงเรียกของอีกฝ่าย
ลิษามองไปที่รอยถูกเจาะบริเวณหน้าอกของนักบินคนนั้น “ดูจากขนาดไม่ลำกล้อง จุด 38 ก็ 9 มม. ถ้ายิงก็น่าจะยิงจากระยะไกล ดูแล้วไม่มีคราบน้ำมันรอบ ๆ ปากแผล”
“ก่อการร้ายอย่างงั้นเหรอ?” ลู่จินกล่าวขึ้น
“อาจจะใช่และไม่ใช่” จางอี้ชิงตอบกลับ
“ผมดูคร่าว ๆ แล้วน่าจะไม่ได้วางระเบิด ไม่มีคราบน้ำมัน ไม่มีหลุม ไม่มีเศษโลหะชิ้นเล็ก ๆ ไม่มีความร้อนที่ปล่อยออกมา น่าจะเป็นการตกเฉย ๆ” เควินพูดขึ้น
“ถ้าก่อการร้ายจริงจะยิงนักบินทำไม ในเมื่อยิง ส.ส. ให้ตายก็พอ หรือว่าเพื่ออำพรางคดีอย่างงั้นเหรอ? แล้วใครยิงวะ โอ๊ยเครียด” ลิษาบ่นออกมาด้วยความหงุดหงิด
“เรื่องเกิดขึ้นบนฟ้า แต่ผลสรุปอยู่บนดิน ไม่ชอบอะไรแบบนี้ที่สุดเลย” เควินก็บ่นออกมาเช่นเดียวกัน
เครื่องบินตกเกิดได้หลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นการก่อการร้าย สภาพอากาศ ความชำนาญของนักบิน ตัวเครื่องยนต์ของเครื่องบิน และอีกหลาย ๆ ปัจจัยที่ส่งผล
พื้นที่เกิดเหตุที่ถูกจำกัดให้อยู่บนฟ้า แม้จะทราบจำนวนคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุแน่นอน แต่เหตุการณ์บนเครื่องบินนั้นล่ะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ จะมีใครสามารถเล่าเหตุการณ์ได้บ้าง คนที่รอดชีวิตเมื่อไหร่จะหายพอดีจะสามารถให้การได้ แต่จะให้หาจากคนตาย คำให้การจากคนตายก็ใช่ว่าจะหาง่ายไปอีก
ในอีกด้านหนึ่ง
“เอ๊ะ” เซียวฌอนที่ตัดสินใจลงรถมาเดินสำรวจรอบรอบก่อนจะสะดุดตากับอะไรเข้าสักอย่าง ที่เหมือนจะเป็นแขนของคนเลย เซียวฌอนเลยตัดสินใจเดินเข้าไปดู
เซียวฌอนก็เป็นคนแบบนี้แหละคิดอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่นคิด สังเกตอะไรในสิ่งที่คนอื่นไม่สังเกต อย่างเช่นบริเวณตรงนี้ที่เจ้าหน้าที่ไม่มาตรวจหรือมาตรวจแล้วแต่ไม่เจออะไร
“มานอนอะไรอยู่ตรงนี้ คนอื่นเขาอยู่อีกที่ มาแยกอยู่คนเดียวแบบนี้ได้ไง” เซียวฌอนได้แต่บ่นก่อนจะกดโทรศัพท์ขึ้นเพื่อโทรหาจางอี้ชิงลูกพี่ลูกน้องของเขาว่าเจอผู้เสียชีวิตบริเวณป่าที่ห่างออกจากที่เกิดเหตุประมาณสามกิโลเมตร คิดแล้วก็ตลกตัวเอง เดินมาได้ยังไงสามกิโล ทั้งที่หิวขนาดนั้น
“หยุด! แล้วยังมือขึ้น” เสียงตะโกนดังขึ้นมาด้านหลังฌอน พร้อมกับเสียงดังแกร๊ก
อ่า...ยกปืนขึ้นขู่กันสินะ เซียวฌอนคิดในใจ เรื่องเอาแต่ใจตัวเองของเซียวฌอนไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้วมีเหรอที่เขาจะทำตามที่ชายที่กำลังยกปืนจ่อเขา เซียวฌอนไม่ได้สนใจกดโทรศัพท์โทรออกทันที
“ฮัลโหลเฮีย-” ยังไม่ทันจะเซียวฌอนจะพูดจบโทรศัพท์ของฌอนก็ถูกแย่งไปเสียแล้ว
“คิดจะโทรเรียกพวกรึไง คุณเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่” เซียวฌอนเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อถูกขัดจังหวะ เซียวฌอนให้ไปมองอย่างคาดโทษ
“คุณนั่นแหละเป็นใครเข้ามาที่นี่ได้ยังไง มีปืนด้วย เป็นคนร้ายใช่ไหม?” เซียวฌอนไม่ได้กลัวปืนที่เจอมาทางหน้าผากของเขาแม้แต่น้อย สองดวงตาจ้องกันอย่างไม่วางตา
“ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณ”
หยิ่ง! เซียวฌอนคิดในใจ
“แต่ผมจำเป็นต้องบอกคุณ การจับปืนใกล้คนร้ายขนาดนี้ มันเป็นความคิดที่โง่มาก” เซียวฌอนยกยิ้มให้ก่อนจะหุบยิ้ม ก่อนจะใช้มือฟาดไปที่ข้อพับแขนของหวังบรูคลิน
หวังบรูคลินลดระดับปืนลงเพราะความเจ็บ เซียวฌอนกำลังจะเข้าไปเตะเอาปืนออก แต่ก็ดันสะดุดเถาวัลย์ ทำให้เซเหมือนจะล้ม แต่โชคดีที่หวังบรูคลินเข้ามารับได้ทัน
“คิดจะทำลายหลักฐานรึไง” หวังบรูคลินกล่าวออกมาด้วยความโมโห ถ้าหากว่าคนในอ้อมกอดของเขาล้มลงไปแน่นอนว่าหลักฐานเสียหายแน่
“ปล่อยผมนะ! อ๊ะ!” เซียวฌอนสะบัดออกจากวงแขนของหวังบรูคลินก่อนจะเดินออกไปแต่ก็ต้องชะงักเอาไว้ ให้ตายสิไอ้บ้านี่มันแบบมาใส่กุญแจมือเขาตอนไหนกัน!
“คิดจะหนีเหรอ”
“ผมไม่ใช่คนร้าย! ผมเป็นเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐาน!” แม้เซียวฌอนจะไม่อยากบอกเท่าไหร่ แต่เขาก็ต้องจำใจยอมบอก เพราะไอ้คนตรงหน้าของเขาโบ้ยความผิดหาว่าเขาเป็นคนร้ายอยู่นั่นแหละ
“คิดว่าผมเชื่อรึไง ผมไม่เคยเห็นหน้าคุณ คุณไม่ใช่เจ้าหน้าที่” หวังบรูคลินกล่าวเสียงเข้ม
“ผมเป็นเจ้าหน้าที่ที่มาใหม่”
“เท่าที่ผมทราบกองพิสูจน์หลักฐานไม่ได้เปิดรับสมัครเจ้าหน้าที่หรือเพิ่มเจ้าหน้าที่คนใหม่”
เอ่อ! ก็กูไม่ได้สมัครไงไอ้โง่ กูโดนบังคับให้เซ็นไอ้เหี้ย! เซียวฌอนล่ะอยากจะตะโกนใส่หน้าเจ้าหน้าที่คนนี้เป็นอย่างมาก
CPR (Cardiopulmonary Resuscitation) คือ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่เพื่อช่วยผู้ที่หยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้นกลับมามีชีพจรดั้งเดิม
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!