ในพื้นที่สีขาวแห่งหนึ่ง
'ฉันตายแล้วนิแล้วที่นี่ที่ใหน คงเป็นสวรรค์สินะ 'ฉันคิดในใจ
"ที่นี่ไม่ใช่สวรรค์หรอกแต่เป็นห้วงมิติของสองโลกน่ะ"ชายหนุ่มแต่งชุดจีนได้ตอบ
"แล้วคุณเป็นใคร รู้ได้ไงว่าผมคิดอะไรอยู่"ผมถามผู้ชายตรงหน้า
"ข้ามีนานว่าฉีหรง เป็นเทพของมิติแห่งนี้แล้วเป็นผู้ดูแลโลกทั้งสอง" เทพตรงหน้ากล่าว
"ผมตายแล้วไม่ใช่หรอแล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ท่านรู้หรือไม่" ผมถามท่านเทพ
"เจ้าตายแล้วแต่ยังไม่หมดอายุขัย เจ้าเลยมาอยู่ในที่แห่งนี้ ที่นี่คือห้วงมิติแห่งความว่างเปล่า มีไว้ให้วิญญาณที่ยังไม่หมดอายุขัยมาอยู่รอเวลาไปเกิด"เทพฉีหรงตอบ
"แล้วผมต้องอยู่ในที่แห่งนี่อีกนานมั้ยครับ กว่าจะได้ไปเกิดครับ"
"เจ้านั้นมีทางเลือกอยู่สองทางคือหนึ่งรออยู่ในนี้ไปจนกว่าจะหมดอายุขัย สองไปเกิดใหม่ในร่างที่เศษวิญญาณเกี่ยวพันกันอยู่"
"แล้วถ้าผมไปเกิดใหม่แล้วเจ้าของร่างเขาจะไปอยู่ใหนครับ"
"เจ้าของร่างนั้นหมดอายุขัยแล้วกำลังจะไปเกิดใหม่ "
"ผมถามได้ไหมครับ ทำไมเจ้าของร่างนั้นถึงตาย แล้วผมจะไปเกิดใหม่โลกใหม่เป็นยังไงครับ"
"โลกที่เจ้าจะไปเกิดใหม่เป็นโลกที่เจ้าชอบอ่านยังไงล่ะ โลกนั้นจะมีทั้งเทพเซียนสัตว์อสูรของวิเศษและเผ่าปีศาจเหมือนดั่งในนิยายที่เจ้าชอบอ่านยังไงล่ะถูกใจหรือไม่"เมื่อได้ยินเช่นนั้นทำให้ โอม ที่นั่งอยู่ที่พื้นนั้นตกใจเป็นอย่างมากเพราะโลกที่ท่านเทพบอกนั้น เป็นโลกที่ตนอยากอยู่มาก
"แล้วถ้าผมไม่ไปเกิดใหม่ที่ร่างนั้น ผมจะต้องอยู่ที่นี่ไปนานเท่าไหร่ครับ"
"เจ้าต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะหมดสิ้นอายุขัย และชดใช้เวรกรรมของเจ้าในชาติที่แล้วจนหมด จากที่ข้าดูแล้วเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่เป็นอย่างต่ำ 6,000 ปีเจ้าจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวในที่แห่งนี้ตั้ง 6,000 ปีได้หรือไม่เล่า ถ้าได้ข้าจะไม่ต้องให้เจ้าไปเกิดใหม่ในร่างนั้นและทำให้ร่างนั้นสลายไป"
"ถ้าเช่นนั้นผมขอถามได้หรือไม่ว่าร่างที่ผมจะไปอยู่นั้นเป็นยังไง"
"ร่างที่เจ้าจะไปอยู่นั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงถึงระดับเทพจักรพรรดิแล้วและการที่เขาตายนั้นเขาโดน ทันฑ์สวรรค์นับพันสายฟาดใส่ลงที่เขาจนเขาบรรลุเป็นเทพแล้วแต่ไม่สามารถทนอาการบาดเจ็บได้จนทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกตบะแตกจนตาย
และการที่เขาไม่สามารถทนทันฑ์สวรรค์ได้เพราะวิญญาณของเขาไม่สมบูรณ์จึงทำให้รับทันฑ์สวรรค์ไม่ไหวการที่เจ้าได้เข้ามาในร่างเขาก็เหมือนกับมาสานความต้องการของเขาให้สมบูรณ์และเป็นการชดเชยจากข้าที่ต้องทำให้เขาต้องตาย"
"หมายความว่ายังไงที่บอกว่าท่านทำให้เขาต้องตาย"โอมได้ถามท่านเทพ
"เพราะตอนที่จะทำให้เขาเกิดข้าได้ทำผิดพลาดทำให้วิญญาณเขาแตกออกมาเสี่ยงนึงไปเกิดอีกโลกหนึ่งซึ่งเป็นเจ้ายังไงล่ะ เลยทำให้วิญญาณเขาไม่สมบูรณ์ จนรับทันฑ์สวรรค์ไม่ไหว ข้าก็เลยนำวิญญาณของเจ้าที่ตายแล้วจากโลกฝั่งนั้นมาหลอมรวมกับกายของเขาในโลกนี้เพื่อเป็นการชดเชยความผิดพลาดในครั้งนั้น"
"ถ้าเช่นนั้นผมตกลงที่จะไปเกิดใหม่ในร่างนั้นครับ แต่ผมขออะไรท่านเทพสักอย่างได้หรือไม่"
"เจ้าอยากจะขออะไรล่ะถ้าข้าให้ได้ข้าก็จะให้"
''ถ้าเช่นนั้นผมอยากจะขอให้มีความทรงจำของร่างเก่าทั้งหมดครับ และขอให้สามารถใช้พลังทั้งหมดที่เขามีได้ครับ ขอแค่นี้คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งครับ"
"ได้ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้เจ้าสมปรารถนาทุกคำขอและข้าจะขอชดเชยด้วยห้วงมิติที่มีพลังปรานสูงและผลไม้วิเศษดอกไม้วิเศษแม่น้ำวิเศษและอากาศที่พิเศษและมอบอาวุธเทพประจำตัวให้คือไม้เท้ามหาธาตุเป็นของชดเชยให้"ท่านเทพกล่าวอย่างใจดีด้วยรอยยิ้ม
"ขอบคุณขอรับขอบคุณท่านเทพมากขอรับ"
"ไม่เป็นไรเจ้าจงไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและข้าจะเฝ้ามองเจ้าจากข้างบน ไปเถอะได้เวลาที่เจ้าจะต้องไปเกิดใหม่แล้ว"เมื่อพูดจบท่านเทพสะบัดมือ 1 ทีก็เกิดห้วงมิติสีขาวขึ้นมาด้านหลังแล้วดูดคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าเข้าไปในห้องมิตินั้นแล้วหายไปจากมิติสีขาวแห่งนี้
"ขอให้เจ้ามีความสุขเด็กน้อยของข้า"
เมื่อท่านเทพกล่าวจบทุกสิ่งทุกอย่างก็เลือนหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เป็นยังไงบ้างครับนิยายเรื่องแรกของผมถ้ามีอะไรผิดพลาดสามารถบอกผมได้ทุกเมื่อนะครับขอบคุณครับ
ยังไงก็ฝากกดไลค์คอมเม้นได้ตลอดนะครับ ผมยินดีรับฟังเสมอครับ
เมื่อป๋ายเฉียนเจินตื่นขึ้น ร่างบางก็เริ่มสำรวจร่างกายตัวเองอย่างช้าๆ
"ทำมั้ยมันเจ็บขนาดนี้ ขนาดผ่านมาตั้งหลายวันแล้วแท้ๆ แผลยังไม่หายเลย ผมนี้ก็ยาวจังเลยตัดทิ้งได้มั้ยเนี่ย"ร่างบางกล่าวอย่างหงุดหงิด เมื่อพูดจบร่างบางก็ค่อยๆลุกขึ้นเดินออกจากถ้ำที่ใช้อยู่ตอนเลื่อนระดับ ไปยังกระท่อมที่อยู่ติดกับแม่น้ำ เพื่อที่จะอาบน้ำที่ตอนนี้ที่ตัวมีแต่คราบของเสียสีดำ ที่ถูกขับออกจากการเลื่อนจากมนุษย์ไปเป็นเทพ เมื่อถึงเเม่น้ำร่างบางก็เริ่มปลดเสื้อผ้าออก แล้วก้าวลงน้ำทันที่
''อืม น้ำเย็นดีชื่นใจจัง แล้วเราจะเริ่มจากอะไรก่อนดีละ เริ่มจากสำรวจร่างกายก่อนแล้วกัน โห!!ขาวมากคนอะไรขาวขนาดนี้วะเนี่ย ผมนี่ก็อีกขาวและยังจะยาวอีกตัดทิ้งได้มั้ยเนี่ย"
เมื่ออาบน้ำไปได้พักนึงร่างบางก็ขึ้นจากน้ำแล้วเดินไปที่กระท่อมเพื่อหาเสื้อผ้าชุดใหม่ใส่ และเมื่อร่างบางสวมเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จเขาก็ได้เดินไปส่องกระจกทองเหลืองดูใบหน้าตนเอง
" เชี้ย...สวยมาก ผู้ชายอะไรสวยขนาดนี้ ถ้าเป็นในโลกก่อน หน้าตาขนาดนี้นี่เป็นดาราดังได้เลยนะเนี่ย สวยขนาดนี้นี่อยู่แต่บนภูเขาน่าเสียดายจริงๆ เอาล่ะอาบน้ำแต่งตัวใหม่เสร็จแล้วก็ได้เวลาที่จะดูความทรงจำของร่างนี้ได้แล้ว"เมื่อกล่าวจบร่างบางก็ได้เรียกไม้เท้าวิเศษที่ท่านเทพให้มาวางที่หัวแล้วเอ่ยขึ้นว่า"ขอดูอดีตที่ผ่านมา"เมื่อกล่าวจบร่างบางก็ล้มลงบนเตียงด้วยมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงแล้วสลบไป
ในหวงแห่งความฝันนั้นร่างบางปรากฏตัวที่จวนๆหนึ่งภาพที่ร่างบางเห็นเป็นจวนขนาดใหญ่และได้มีกลุ่มคนกลุ่มนึงประกอบไปด้วยพ่อแม่ลูกและมีข้ารับใช้อีกจำนวนหนึ่งนั่งอยู่ที่ศาลาริมน้ำ
"ท่านพ่อเมื่อเรากินข้าวเสร็จเขาจะไปที่ใดกันรึขอรับ"
"พ่อจะพาลูกไปซื้อโอสถปลุกพลังยังไงละลูกจะได้รู้ว่าลูกของแม่ทัพอย่างเจ้าจะมีพลังอะไร"
"สองคนพ่อลูกนี่อย่ามัวแต่คุยกันมากรีบกินรีบไปเถอะแม่ตื่นเต้นไม่ไหวแล้ว"
เมื่อผู้เป็นมารดากล่าวเสร็จทั้งคู่ก็เร่งกินข้าวจนหมดโดยเร็วและก็ได้พากันขี่รถม้าออกจากจวนไปร้านขายโอสถเฟิ่งหวงทันที
"โอ๊ะ ท่านท่านแม่ทัพหลี่ เชิญท่านแม่ทัพเข้าด้านในเลยขอรับ ไม่ทราบว่าที่ท่านแม่ทัพมาท่านต้องการสิ่งใดขอรับ"เถ้าแก่ร้านโอสถเอยถามท่านแม่ทัพ
"ข้าต้องการโอสถปลุกจิตวิญญาณ บุตรชายข้าอายุครบ 10 หนาวแล้วข้า จะได้รู้สักทีว่าบุตรชายคนโตของข้าเขาจะมีจิตวิญญาณอะไร"ท่านแม่ทัพได้เอ่ยบอกแก่เถ้าแก่ของร้านโอสถ
"ถ้าเช่นนั้นท่านแม่ทัพโปรดรอสักครู่ข้าจะให้เด็กๆรีบไปเอามาให้ "เมื่อกล่าวจบเถ้าแก่ก็รีบเดินเข้าไปในส่วนกลางของร้านแล้วให้เด็กๆไปเอาโอสถปลุกพลังมา
"นี่ขอรับท่านนะครับโอสถปลุกจิตวิญญาณราคา 10 เหรียญเงินขอรับท่านแม่ทัพ"
"เอาไป10 เหรียญเงินของเจ้า''เมื่อกล่าวจบท่านแม่ทัพก็ได้เอาเงินออกมาจ่าย
"ขอบคุณขอรับท่านแม่ทัพผู้น้อยแซ่เฮาขออวยพรให้คุณชายน้อยมีจิตวิญญาณที่ทรงพลังขอรับ"
"ขอบใจเจ้ามากสำหรับคำอวยพรยังไงซะข้าจะต้องมาใช้งานร้านโอสถของเจ้าอีกแน่นอนเพราะข้ามีลูกหลายคน"
"ขอบคุณขอรับท่านแม่ทัพที่ไว้ใจร้านขายโอสถเฟิ่งหวง ของผู้น้อยขอรับ"
"ถ้าเช่นนั้นข้ากลับก่อนแล้วกัน" เมื่อกล่าวจบท่านแม่ทัพได้พาบุตรและภรรยาขึ้นรถม้ากับจวน
เมื่อท่านแม่ทัพกลับมาถึงจวน ก็ได้เร่งเดินไปยังโถงบรรพบุรุษ แล้วนำโอสถปลุกจิตวิญญาณไปวางไว้ที่แท่นกลางโถงพิธีทันที
"พ่อบ้านเกาเจ้าจงไปแจ้งแก่ ฮูหยินรอง และอนุทั้งสองพร้อมบุตรของพวกนางทั้งหมดของข้าให้มาที่นี่ในยามอู่ (11.00 - 12.59)บอกแก่พวกนางว่าบุตรชายคนโตของข้าจะปลุกจิตวิญญาณในวันนี้''
"ขอรับท่านแม่ทัพ"เมื่อได้รับคำสั่งเสร็จท่านพ่อบ้านก็เดินออกไปบอกคนใช้ข้างนอกให้ไปบอกแก่ฮูหยินรองและอนุทั้งหมดพร้อมบุตรของพวกนางให้มาที่โถงบรรพบุรุษ
เมื่อสั่งพ่อบ้านเสร็จท่านแม่ทัพก็ได้เดินออกจากโถงบรรพบุรุษไปยังเรือนนอนของตนเองเพื่อที่จะเตรียมตัวเตรียมของมารับขวัญบุตรชายของตน เมื่อท่านแม่ทัพเดินออกไปได้ไม่นานด้านหลังรูปปั้นบรรพบุรุษได้มีสตรีนางหนึ่งเดินออกมา
"ข้าขอโทษเจ้าด้วย หลี่เฉียนเจิน แต่เพื่อความอยู่รอดของข้าและบุตรของข้า เจ้าจะต้องกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ ถ้าเป็นเช่นนั้นบุตรของข้าจึงจะสามารถ ขึ้นเป็นประมุขตระกูลหลี่คนต่อไปได้ ข้าจะได้มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย" เมื่อกล่าวจบนางก็ได้เปลี่ยนโอสถในแท่นพิธีจากโอสถปลุกจิตวิญญาณกลายเป็นเพียงยาเม็ดธรรมดา เมื่อเปลี่ยนเสร็จนางก็เร่งเดินไปยังเรือนนอนของตนเองและ ได้ทำยาปลุกจิตวิญญาณหล่น ขณะเร่งเดินอนุ 3ที่ผ่านมาเห็นก็ได้มาเก็บโอสถนั้นเดินกลับไปยังเรือนนอนของตน
เมื่อถึงยามอู่( 11.00 -12.59)
แม่ทัพลี่พร้อมฮูหยินเอกฮูหยินรองอนุทั้งสองและบุตรของคนทั้งหมด ก็ได้มายืนอยู่ที่กลางโถงบรรพบุรุษ
"เสี่ยวเจินน้อยของพ่อ เจ้าจงเดินไปที่แท่นพิธีพร้อมหยดเลือดของเจ้าลงไป 1 หยดในโอสถปลุกจิตวิญญาณของเจ้า และจงหยิบโอสถปลุกจิตวิญญาณนั้นกลืนลงไป"
"ขอรับท่านพ่อ" เมื่อกล่าวจบเด็กน้อยก็ได้เดินไปยังแท่นพิธีพร้อมเอานิ้วจิ้มที่เข็มตรงแท่นแล้วหยดเลือด 1 หยดลงไปในโอสถทันทีเมื่อหยดลงไปเสร็จเด็กน้อยผู้นั้นก็หยิบโอสถขึ้นมากินทันที
"ท่านพี่ท่านว่าลูกจะปลุกจิตวิญญาณได้อะไร"ฮูหยินเอกเคยถามสามีตน
"ข้าว่าต้องเป็นอะไรที่ทรงพลังอย่างมากเพราะบิดาของเขานี้นมีจิตวิญญาณเป็น วีรบุรุษแห่งสงคราม ส่วนมารดาของเขานั้นมีจิตวิญญาณเป็น วีรสตรีแห่งสงคราม ยังไงบุตรของเราต้องทรงพลังไม่แพ้กัน"
เด็กน้อยร่างบางกลืนโอสถปลุกจิตวิญญาณไปได้ประมาณ 1 เค่อก็ไม่มีสิ่งใดปรากฏออกมาเลยเมื่อเห็นเช่นนั้นบิดามารดาก็มีอาการโกรธจัดเป็นอย่างมาก
"อะไรกัน!!! นี่อย่าบอกนะว่าลูกของข้าเป็นคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ เป็นถึงลูกแม่ทัพแต่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณช่างน่าเสื่อมเสียวงตระกูลจริง" บิดาตะโกนออกมาอย่างโกรธจัด แล้วจ้องไปยังลูกของตนที่อยู่ตรงกลางแท่นพิธี
"ท..ท่านพ่อ "เด็กน้อยเอ่ยออกมาด้วยความหวาดกลัว
"ไม่!!! เจ้าไม่ใช่ลูกของข้า ข้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แต่ลูกของข้ากับไร้ประโยชน์เช่นนี้ไม่ต้องมาเรียกว่าพ่อ!!!!"
"ท...ท่านแม่ "เด็กน้อยหันไปเรียกมารดาของตนด้วยแววตาแห่งความหวาดกลัว
"เจ้า!!อย่าได้เรียกข้าว่าแม่ ข้าเป็นถึงรองแม่ทัพใหญ่ แต่ให้กำเนิดลูกไร้ซึ่งพลังเช่นเจ้าช่างน่าขายน่าจริง"มารดากล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็นจ้องมองไปที่เด็กน้อยตรงหน้าด้วยแววตาแห่งความโกรธและผิดหวัง
"พ่อบ้าน!!เอาไอ้เด็กนี่ไปโยนทิ้งไว้หลังจวนอย่าให้มันได้เข้าจวน และไปนำบันทึกรายชื่อตระกูลมาลบชื่อมันออกจากตระกูลห้ามให้มันใช่แซ่หลี่"แม่ทัพได้หันไปตะโกนบอกพ่อบ้าน เมื่อพ่อบ้านได้ยินเช่นนั้นก็เร่งนำบันทึกรายชื่อประจำตระกูลมาทำลายชื่อของบุตรชายคนโตทิ้งพร้อมทำลายป้ายประจำตัวทิ้ง
" ฮึก ๆท่านพ่อท่านแม่ข้าทำผิดอันใดทำไมท่านต้องทำเช่นนี้กับข้า"เด็กน้อยกล่าวถามบิดามารดาตนพร้อมทั้งร้องไห้ไปด้วย และได้เดินเข้าไปกอดขาบิดาของตน
เพี้ย!!! เสียงตบดังไปทั่วโถงบรรพบุรุษ
"เจ้า!!อยากได้มาจับตัวข้า และไม่ต้องเรียกข้าว่าพ่อข้าไม่มีลูกไร้ประโยชน์เช่นเจ้า" เด็กน้อยล้มลงพร้อมร้องไห้อย่างหนักมองไปที่บิดาตนอย่างเสียใจแล้วหันไปหาท่านแม่ของตน
"เจ้าอย่าได้มาเข้าใกล้ข้า ข้าไม่มีลูกเช่นเจ้าจงไปซะก่อนที่เขาจะสังหารเจ้าทิ้ง พ่อบ้านลากตัวมันออกไป"มารดาของเด็กน้อยมองเด็กน้อยด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก เต็มไปด้วยความเยือกเย็นไร้ซึ่งความรักความเอ็นดูเหมือนแต่ก่อน เมื่อเด็กน้อยเห็นดังนั้นเด็กน้อยจึงร้องไห้อย่างหนักพร้อมถูกพ่อบ้านลากออกไปเด็กน้อยมองทุกคนด้วยสายตาไม่เข้าใจว่าตนทำอันใดผิดทำไมตนถึงต้องเจอแบบนี้เมื่อเดินทางมาเรื่อยๆเด็กน้อยจึงถามกับพ่อบ้าน
"ท่านพ่อบ้านเกาท่านตอบข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดบิดามารดาข้าทำเช่นนี้กับข้า"เด็กน้อยถามพ่อบ้านเกาด้วยแววตาที่ไม่เข้าใจ
"บ่าวก็ไม่อาจทราบความคิดของท่านแม่ทัพและฮูหยินได้ขอรับ"พ่อบ้านกล่าวอย่างสงสารเด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรกลับต้องมาประสบพบเจอเรื่องราวที่หนักขนาดนี้ และเขาก็ได้วิ่งไปเรื่อยๆโดยอุ้มเด็กน้อยจนมาถึงแม่น้ำแห่งนึงเขาจึงหยุดแล้ววางเด็กน้อยลง
"ข้าขอพาท่านมาอยู่ที่แห่งนี้แล้วกันขอรับที่แห่งนี้ห่างไกลจากจวนพอสมควรท่านจะไม่ถูกคนที่จวนตามมารังแกได้ "เมื่อกล่าวจบเขาได้หยิบของวิเศษสิ่งนึงออกมานั่นก็คือ เรือนไผ่หยก เขาก็ได้วางมันลงที่พื้นพร้อมใส่พลังเข้าไปจนมันขยายเป็นเรือนขนาดเล็กตั้งอยู่ริมแม่น้ำ
"บ่าวนั้นไม่มีสิ่งใดจะช่วยเหลือท่านได้บ่าวก็ขอมอบเรือนไผ่หยกเรือนนี้ให้ท่าน เรือนไผ่หยกเรือนนี้นั้นมีพลังป้องกันที่สมบูรณ์ขอแค่ท่านอยู่ภายในเรือนปลอดภัย บ่าวนั้นขอมอบเงินเก็บที่มีให้กับท่านถึงแม้มันจะเล็กน้อยแต่ก็ซื้อของประทังชีวิตได้ "เมื่อกล่าวจบเขาได้หยิบถุงเงินที่มีเงินอยู่ 100 เหรียญเงินให้กับเด็กน้อยตรงหน้า ที่ตอนนี้นั่งอยู่ที่พื้นสะอื้นเบาๆ
"เดี๋ยวบ่าวจะใช้จิตวิญญาณของบ่าวแบ่งเศษวิญญาณไว้ในตุ๊กตาไม้ เพื่อที่จะให้ตุ๊กตาไม้นั้นสอนการเลี้ยงชีพให้กับท่านอย่างเช่น การก่อไฟการล่าสัตว์ การหาผักและสมุนไพรมากิน บ่าวคงช่วยเหลือท่านได้เพียงเท่านี้ ท่านจงตั้งใจศึกษาจากตุ๊กตาไม้นี้ให้ดี เพราะพลังของบ่าวนั้นสามารถอยู่ได้เพียง 7 วันเท่านั้น และท่านห้ามลงจากเขานี้อย่างน้อย 1 ปีเพื่อที่จะให้ท่านแม่ทัพตายใจแล้วคิดว่าท่านตายไปแล้ว "เมื่อกล่าวจบเขาได้นำตุ๊กตาไม้มาวางตรงหน้าพร้อมใช้ทักษะแบ่งวิญญาณเข้าไปในตุ๊กตา ทันใดนั้นตุ๊กตาไม้ตัวนั้นก็เปล่งแสงแล้วขยายใหญ่จนเท่าท่านพ่อบ้าน
"บ่าวคงต้องไปแล้วขอให้ท่านจงรักษาตัวให้ดีบ่าวขอลา" พ่อบ้านโค้งคำนับแล้วหันหลังพุ่งกับจวนทันทีโดยไม่หันกลับมามอง ผ่านไปสักพักเด็กน้อยก็หยุดร้องไห้แล้วลุกขึ้นเดินไปล้างหน้าที่แม่น้ำแล้วเดินกลับมาหายังตุ๊กตาไม้ตรงหน้า
"ท่านตุ๊กตาไม้ท่านมีสิ่งใดจะสอนข้าโปรดสอนมาได้เลย"เด็กน้อยเอ่ยบอกตุ๊กตาไม้ด้วยเสียงเศร้า ตุ๊กตาไม้นั้นเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงเดินเข้าไปในเรือนไผ่หยกพร้อมหยิบหินอัคคีออกมา 4 ก้อนแล้วสอนเด็กน้อยจุดไฟเป็นอันดับแรก
เป็นยังไงบ้างครับมีอะไรก็สามารถติชมบอกกันได้ทุกเมื่อนะครับ คอมเมนต์ มาได้เลยครับผมอ่านทุกคอมเมนต์ ยังไงก็ขอฝากด้วยนะครับขอบคุณครับ
ทางด้านจวนแม่ทัพเมื่อเรื่องราวจบต่างคนต่างเดินกับเรือนนอนของตัวเองด้วยสีหน้าและแววตาที่ต่างกัน
"ลูกแม่ แม่ได้กำจัดเสี้ยนหนามที่ขวางทางลูกออกให้แล้ว นับแต่นี้ไปลูกจงเข้าไปหา พ่อของเจ้าให้มากๆให้พ่อเจ้าเอ็นดูเจ้า เจ้าจะได้เป็นประมุขตระกูลคนต่อไป"ฮูหยินรองเอ่ยบอกกับลูกด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสุข
"ท่านแม่ทำเช่นนี้ท่านไม่กลัวท่านพ่อจะจับได้รึ "
"พ่อของเจ้าไม่มีทางรู้หรอกเรื่องนี้มีแค่เราสองคนแม่ลูกที่รู้ถึง แม้พ่อเจ้ารู้มันก็สายไปแล้ว"
"แต่ท่านแม่"เด็กน้อยกล่าวอย่างกังวลใจ
"เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ไปหรอก เจ้าเตรียมตัวเพื่อที่จะปลุกจิตวิญญาณเถอะอีก 3 เดือนก็ถึงเวลาของเจ้าแล้ว"
"ขอรับท่านแม่ "เมื่อกล่าวจบ 2 คนแม่ลูกก็ได้เดินจูงมือกันไปยังเรือนเรือนท่านแม่ทัพเพื่อที่จะให้ลูกไปอ้อนบิดา เมื่อสองคนแม่ลูกเดินผ่านไปได้ไม่นานก็ได้ปรากฏตัวเงาสายนึง เงานั้นก็คืออนุ3 เมื่ออนุ 3 ได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกผิดในใจที่ตนนั้นไม่เอะใจเรื่องยาที่หล่นจากฮูหยินรอง เมื่ออนุ 3 คิดได้ดังนั้นจึงเดินทางไปที่เรือน หลี่เฉียนเจิน พร้อมทั้งเก็บของบางส่วนของ หลี่เฉียนเจิน ใส่ไว้ในกำไรมิติของตนและก็ได้เดินไปหา พ่อบ้านเกาเพื่อที่จะถามที่อยู่ของหลี่เฉียนเจิน
"พ่อบ้านเกาพอจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าท่านพาคุณชายใหญ่ไปไว้ที่ไหน" อนุ 3 เอ่ยถามพ่อบ้านทันทีเมื่อพบ
" เออ...อนุ 3 ขอรับ "พ่อบ้านได้กล่าวออกมาด้วยความอึดอัด
"เจ้าไม่ต้องห่วงข้าไม่คิดร้ายต่อคุณชายใหญ่หรอก ข้าได้รู้ความจริงบางอย่างข้ารู้สึกผิดจึงอยากเดินทางไปหาเขา เพื่อมอบของบางอย่างให้เขาเท่านั้น ท่านพอจะบอกเขาไปหรือไม่" อนุ 3 กล่าวอย่างจริงใจต่อพ่อบ้าน
"ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะบอกท่านขอรับอนุ 3เมื่อท่านเดินไปที่หลังจวนบ่าว จะให้ลูกไฟนำทางท่านไปหาคุณชายใหญ่ขอรับ "เมื่อกล่าวจบพ่อบ้านก็ได้เรียกลูกไฟขนาดเล็กแล้วปาไปยังหลังจวน
"ขอบใจเจ้ามาก"เมื่อกล่าวจบอนุ 3 ก็เร่งเดินทางไปยังหลังจวนทันที เมื่อมาถึงหลังจวนอนุ 3 ก็ได้ใช้จิตวิญญาณของนางทันทีจิตวิญญาณของนางมีชื่อว่า มิติสวรรค์ นางสามารถเปิดมิติไปที่ใดก็ได้ที่นางสามารถมองเห็น หรือที่ที่นางเคยไปมาแล้ว แต่ระยะทางที่จะเปิดมิติได้นั้นต้องไม่เกิน 100 ลี่(1ลี่\=500เมตร)ถึงจะสามารถเปิดได้ เมื่อนางตามลูกไฟมาเรื่อยๆก็ได้มาปรากฏอยู่ที่ริมแม่น้ำแห่งนึง เมื่อนางมองไปนางได้เห็นหุ่นไม้ 1 ตัวกับเด็กน้อยลี่เฉียนเจิน เมื่อเห็นดังนั้นนางจึงพุ่งไปหาเด็กน้อยทันที
"เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" อนุ 3 กล่าวกับเด็กน้อย ตรงหน้า
"ข้าไม่เป็นอะไรขอรับอนุ 3 "เด็กน้อยได้กล่าวกับผู้หญิงตรงหน้า เมื่ออนุ 3 ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิด
"ข้าขอโทษเจ้าด้วยที่ไม่สามารถช่วยอันใดเจ้าได้" อนุ 3 เอ่ยขอโทษอย่างจริงใจ
"ท่านจะขอโทษข้าทำไมท่านไม่ได้ทำอะไรผิดขอรับ" เด็กน้อยเอ่ยบอกแก่อนุ 3
''ไม่ข้าผิด ก่อนที่เจ้าจะเริ่มปลุกจิตวิญญาณนั้นข้าได้เห็น ฮูหยินรองเร่งเดินออกมาจากโถงบรรพบุรุษ แล้วทำยาเม็ดเม็ดนึงตกข้าจึงเก็บมาโดยไม่เอะใจ ถ้าตอนนั้นข้าเอะใจใจสักนิดนึงเจ้าก็คงไม่ถูกขับออกจากตระกูลเช่นนี้"อนุ 3กล่าว อย่างเสียใจ
"ไม่เป็นไรขอรับถึงยังไงมันก็สายไปแล้วข้าไม่คิดอันใดแล้วขอรับ"เด็กน้อยกล่าวด้วยใบหน้าที่ฝืนยิ้ม เมื่ออนุ3เห็นดังนั้นนางก็ยิ่งเศร้าใจ
"ข้าได้เอาของใช้ของที่คาดว่าน่าจะจำเป็นต่อเจ้าเอามาให้ มีเสื้อผ้าอาภรณ์ มีเครื่องประดับ มีข้าว มีแป้งและเนื้ออื่นๆอีกหลายอย่าง และข้าได้นำยาปลุกจิตวิญญาณที่แท้จริงมาให้แก่เจ้า และก็ตำราฝึกเดินลมปราณพร้อมตำราวิชาอีกหลายอย่างมาให้เจ้าถือว่าเป็นการชดเชยความผิดของข้า"เมื่อกล่าวจบอนุ 3 และยื่นกำไรมิติให้เด็กน้อยตรงหน้า
"อนุ 3 นี่มันจะไม่มากไปหน่อยรึขอรับ" เด็กน้อยกล่าวอย่างเกรงใจ
"ไม่นี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่เจ้าต้องเสียไปทั้งชีวิต" อนุ 3 บอกอย่างจริงใจ
"เช่นนั้นข้าขอขอบคุณอนุ3 ท่านช่างดีกับข้านัก"
"งั้นข้ากลับก่อนก็แล้วกันออกมานานแล้วเดี๋ยวท่านแม่ทัพจะสงสัย "เมื่อกล่าวจบอนุ 3 ก็เร้นกายหายไปทันที เด็กน้อยก้มมองกำไรมิติที่มือแล้วได้เรียกเอายาปลุกจิตวิญญาณขึ้นมาแล้วหยดเลือดลงไปในโอสถปลุกจิต เสร็จแล้วก็ได้กลืนโอสถปลุกจิตทันที แล้วนั่งสมาธิรวบรวมพลังไปที่จุดตันเถียน ตามตำราที่เคยศึกษามาทันที่อึกเด็กน้อย กระอักเลือดออกมาทำ 'มั้ยมันทรมารขนาดนี้' หลี่เฉียนเจินคิดในใจ เมื่อผ่านมาราวๆหนึ่งเค่อ เด็กน้อยก็ทำสำเร็จ ตอนนี้ในจิตของหลี่เฉียนเจินใด้มีอัญมณีสีรุ้งปากดขึ้นหนึ่งดวง เมื่อเดินเข้าไปใกล้อัญมณี มันก็แตกออกแล้วรวมเป็นร่างคนขึ้นมา เมื่อแสงหายไปจึงได้เห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งเป็นผู้ชายที่มีผมยาวสีรุ้งถึงกลางหลัง อาภรณ์สีรุ้งงดงาม ดวงตาสีรุ้งที่สดใส
"เจ้าเป็นจิตวิญญาณของข้าใช้หรือไม่" หลี่เฉียนเจินเอ่ยถาม
"ใช่ขอรับ นายท่าน" จิตวิญญาณเอ่ยตอบ
"แล้วพลังของเจ้ามีอะไรบ้าง" หลี่เฉียนเจินเอ่ยถาม
"ความสามารถของข้า มีนามว่าจักพรรดิแห่งธาตุ ขอรับ "จิตวิญญาณเอ่ยตอบ
"ถ้าเช่นนั้นข้าสามารถใช้ได้ทุกธาตุเลยหรอ"ลี่เฉียนเจินถามอย่างสงสัย
"ขอรับ แต่ตอนนี้ใช้ได้แค่ 4 ธาตุหลักคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ขอรับ เมื่อพลังของท่านเลื่อนระดับ ท่านก็สามารถใช้ ธาตุอื่นเพิ่มได้ขอรับ"เมื่อเด็กน้อยได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเขาใจ
"แล้วเจ้ามีชื่อหรือไม่ "
"ไม่มี ขอรับชื่อของข้านั้นท่านต้องมาเป็นผู้ตั้งให้''
"อืม ..ถ้าเช่นเอาเป็น เยียนซู่ ก็แล้วกันเจ้าชอบหรือไม่" หลี่เฉียนเจินถาม
"ชอบมากเลยขอรับ" จิตธาตุเอ่ยตอบพร้อมกับรอยยิ้มอันสดใส
"ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว"ร่างบางยิ้มแล้วเอ่ยตอบ
"ข้าคงต้องขอตัวออกไปก่อน "เด็กน้อยเอ่ยข่าวกับจิตวิญญาณตรงหน้า
"ขอรับนายท่าน ขอให้นายท่านจงเร่งเลื่อนระดับเพื่อที่ให้ท่านแข็งแกร่งจะได้ไม่มีคนรังแกท่านได้ ''จิตวิญญาณเอ่ยบอกนายตน เด็กน้อยพยักหน้ารับรู้แล้วออกไปจากจิตของตน
เด็กน้อยค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นแล้วเริ่มไปสำรวจตำรา ที่อนุ 3 ได้ทิ้งไว้ให้
มีตำราฝึกลมปราณพื้นฐาน ตำราสมุนไพรเคล็ดวิชาดัชนี และวิชาเคลื่อนที่อย่างละเล่ม
"ตอนนี้ข้ามีระดับลมปราณอยู่ที่ระดับก่อกำเนิดขั้นที่1 ข้าคงต้องฝึกวิชาลมปราณพื้นฐานก่อน" เมื่อกล่าวจบเด็กน้อยก็เริ่มฝึกตามตำราทันที โดยเริ่มจากรวบรวมพลังไปยังจุดตันเถียนและกระจายไปรอบร่างกาย ทะลวงจุดลมปราณทีละจุด เมื่อเวลาผ่านไปได้ 2 ชั่วยาม(1ชั่วยาม\=2ชัวโมง) เด็กน้อยได้ทะลวงจุดลมปราณเริ่มต้นทั้ง 5 จุดใหญ่สำเร็จใน 1 จุดใหญ่ประกอบด้วย 12 จุดเล็ก เมื่อทะลวงสำเร็จเด็กน้อยก็ลืมตาตื่นขึ้นด้วยใบหน้าที่สดใส และลุกขึ้นเดินตรงไปที่แม่น้ำเพื่อล้างตัว เมื่อล้างตัวเสร็จเด็กน้อยก็ได้เดินเข้าไปยังเรือนไผ่หยกเพื่อทำอะไรกิน เมื่อกินเสร็จเด็กน้อยก็ได้มานั่งดูดซับลมปราณที่โขดหินข้างแม่น้ำทั้งคืน
"ในที่สุดระดับข้าก็เลื่อนแล้ว จากลมระดับ ก่อกำเนิดขั้น 1เป็นขั้น 2 เช่นนั้นการฝึกจากตำราลมปราณพื้นฐานก็สำเร็จ งั้นถ้าฝึกวิชาเคลื่อนที่ต่อเลยแล้วกัน" เมื่อกล่าวจบเด็กน้อยก็ได้หยิบตำราวิชาเคลื่อนที่ออกมา แล้วเริ่มศึกษาทันทีวิชาลมปราณเคลื่อนที่นี้ มีชื่อว่า 'ท่าเท้าวายุ' ความสามารถของเคล็ดวิชานี้คือเมื่อฝึกสำเร็จจะสามารถเคลื่อนไหวได้ราวภูตผีเคลื่อนที่ไปมาไร้ร่องรอย แต่การจะฝึกสำเร็จนั้นยาก ขั้นแรกต้องเริ่มจากการถ่วงน้ำหนักที่ขาข้างละ 4 จิน แล้วเพิ่มไปเรื่อยๆจนถึงข้างละ 20 จิน แล้ววิ่งวันละ 10 ลี้จนกว่าจะไม่รู้สึกถึงความหนักที่เพิ่มขึ้นมา และหลังจากนั้นก็ให้ฝึกกระโดดพร้อมทั้งถ่วงน้ำหนักที่ขาข้างละ 4 จิน วันละ 100 ครั้งและเพิ่มไปจนถึงข้างละ 20 จิน พร้อมทั้งให้ปีนต้นไม้และหน้าผาพร้อมทั้งถ่วงน้ำหนักทั้ง 2 ข้างเช่นเดิมอีกวันละ 100 ครั้งเช่นกัน เมื่อฝึกครบทั้งหมด ให้ใส่ลมปราณแล้วฝึกไปซ้ำๆจนมั่นใจว่าตัวเองสำเร็จแล้ว ความสามารถของวิชานี้อยู่ที่ผู้ฝึกว่าฝึกชำนาญขนาดไหน
เมื่อเด็กน้อยอ่านเคล็ดวิชาทั้งหมดเสร็จจึงเริ่มฝึกทันที
เวลาผ่านไปได้ 6 เดือน เด็กน้อยที่มานะฝึกจนสำเร็จบัดนี้เคลื่อนไหวไปทั่วป่าราวกับนกบิน ในเวลา 6 เดือนที่ผ่านมานั้นเด็กน้อยได้ฝึกเคล็ดวิชาเคลื่อนที่ในช่วงกลางวันและในช่วงกลางคืนเก็บน้อยได้ฝึกลมปราณพร้อมศึกษาตำราสมุนไพรจนแตกฉานทั้งหมด
"ในที่สุดข้าก็ฝึกสำเร็จ ตอนนี้ระดับของข้าอยู่ที่หลอมรวมขั้นที่ 1 แล้ว "เด็กน้อยได้กล่าวอย่างดีใจ
"งั้นต่อไปก็ฝึกวิชาดัชนี เอาล่ะมาดูซิว่าจะยากแค่ไหน "เมื่อพูดจบเด็กน้อยได้หยิบหยกวิชาดัชนีออกมา แล้วถ่ายเทลงไปในหยกวิชานั้นทันที เมื่อถ่ายเทลมปราณเข้าไปเด็กน้อยต้องตกตะลึงเมื่อรู้ว่าหยกวิชาในมือตนนั้นเป็นวิชาระดับสวรรค์
"โห วิชาระดับสวรรค์เลยงั้นรึ ท่านอนุ 3 ท่านช่างใจดีกับข้านัก" เมื่อกล่าวจบเด็กน้อยได้ยิ้มออกมาอย่างดีใจ แล้วเริ่มศึกษาวิชาในหยกทันที 'วิชานี้มีชื่อว่าดัชนีดีดอากาศ' ความสามารถของมันคือใช้ลมปราณรวบรวมอากาศแล้วดีดออกไป วิชานี้เป็นวิชาไร้รูปไร้เสียง คนที่โดนเข้าไปเหมือนโดนอากาศกระแทกด้วยความเร็วสูง เมื่อฝึกจนสำเร็จพลังของมันจะสามารถเจาะทะลวงได้ทุกสรรพสิ่ง การจะฝึกวิชานี้นั้นผู้ฝึกต้องรวบรวมสมาธิแล้วรีดลมปราณไปที่ฝ่ามือใช้ลมปราณรวบรวมอากาศที่ฝ่ามือแล้วดีดออกไปแต่การจะสำเร็จได้นั้นเป็นอะไรที่ยากมาก ก่อนจะฝึกวิชานี้ นั้นผู้ฝึกต้องฝึกสมาธิจนมีระดับสูงก่อนถึงจะมีโอกาสฝึกสำเร็จได้ง่าย เมื่อเด็กน้อยได้อ่านดังนั้นจึงไม่รอช้าเร่งฝึกทันที โดยการรวบรวมลมปราณไว้ที่ฝ่ามือ แล้วบีบอัดอากาศให้เป็นเหมือนเข็มแล้วดีดออกไปเมื่อออกจากฝ่ามือ เข็มอากาศนั้นก็สลายไปทันทำให้เห็นว่าการจะฝึกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เด็กน้อยไม่ละความพยายามที่จะฝึก ในยามกลางวันก็ฝึกวิชาดัชนีทั้งวัน ในส่วนกลางคืนก็ดูดซับลมปราณทั้งคืน ฝึกแบบนี้ จนล่วงเลยผ่านไปอีก 6 เดือนเด็กน้อยจึงฝึกสำเร็จ โดยพื้นที่รอบเรือนไผ่หยกนั้น เต็มไปด้วยร่องรอยของการฝึกดัชนีดีดอากาศนี้ ทั้งโขดหินริมแม่น้ำทั้งต้นไม้ล้วนแล้วแต่มีร่องรอยของการฝึกดัชนีนี้
"เย้ ในที่สุดข้าก็สำเร็จ อีกทั้งตอนนี้ระดับพลังของข้านั้นได้ เลื่อนระดับจากหลอมรวมขั้น 1 มาเป็นปลุกจิต ขั้นที่ 1 แล้ว "เด็กน้อยกล่าวอย่างดีใจ แต่เมื่อนึกบางสิ่งออก รอยยิ้มของเด็กน้อยก็หายไป เมื่อคิดได้ว่าวันนี้เป็นวันครบรอบ 11 หนาวตนทำให้นึกหวนถึงวันเวลาที่ผ่านมา
"นี่มันก็ผ่านมาปีนึงแล้วสินะท่านพ่อท่านแม่จะคิดถึงข้าหรือไม่ "เด็กน้อยกล่าวอย่างเศร้าใจ เมื่อนั่งเศร้าได้สักพัก เด็กน้อยจึงเลิกคิดเรื่องนี้แล้วเดินไปอาบน้ำที่แม่น้ำ แล้วกลับมาคิดว่าจะทำเช่นไรต่อดี ตำราและวิชาทั้งหมดที่อนุ 3 และทิ้งไว้ให้ตนก็ฝึกสำเร็จหมดแล้ว
"ถ้าเช่นนั้นข้าก็หาเก็บสมุนไพรลงไปขายที่หมู่บ้านดีกว่า "เมื่อกล่าวจบเด็กน้อยก็พุ่งตรงเข้าไปในป่าทันทีเมื่อผ่านมาได้สักพัก เด็กน้อยก็หยุดอยู่ ณ ที่หนึ่งที่มีสมุนไพรขึ้นอยู่มากมาย เด็กน้อยได้เดินไปที่สมุนไพรต้นนึง
"นี่มันดอกน้ำค้าง 9 ยอดนี่นา วันนี้ข้าโชคดีจริงได้เจอสมุนไพรหายาก อย่างนี้ต้องขายได้หลายเหรียญแน่นอน "เมื่อเด็กน้อยกล่าวจบก็เริ่มขุดทันที และขุดสมุนไพรอีก 2-3 อย่างก็ได้เดินทางกลับไปยังที่พักของตนเพื่อเตรียมตัวลงเขาครั้งแรกในรอบ 1 ปี เมื่อเตรียมของครบเด็กน้อยก็เดินตามทางที่พ่อบ้านเคยบอกเอาไว้ว่าเดินไปตามทางนี้จะถึงหมู่บ้านที่อยู่ตีนเขา เมื่อลงมาถึงหมู่บ้านเด็กน้อยจึงได้เดินไปถามชาวบ้านว่า
"ท่านน้าท่านพอจะบอกเขาได้หรือไม่ว่าร้านขายยาอยู่ที่ใด" เด็กน้อยกล่าวอย่างสุภาพกับหญิงคนหนึ่งที่เดินผ่าน
"เด็กน้อยเจ้าจะไปทำอันใดที่ร้านขายยารึ" หญิงสาวคนดังกล่าวถาม
"ข้าจะไปขายสมุนไพรขอรับ "เด็กน้อยกล่าวตอบ
"แล้วพ่อแม่ไปไหนเล่า เหตุใดจึงเดินอยู่ผู้เดียว" หญิงสาวถามอย่างใคร่รู้
"ข้าไม่มีพ่อแม่ขอรับ"เด็กน้อยเอ่ยตอบอย่างไม่เต็มเสียง
"ข้าขอโทษเจ้าด้วยข้าไม่น่าถามอะไรที่ไร้มารยาทเช่นนี้เลย "หญิงสาวเอ่ยบอกอย่างรู้สึกผิด
"เจ้าจะไปที่ร้านขายยาใช่หรือไม่เดินตรงไปเรื่อยๆถึงแยกให้เลี้ยวขวาแล้วเจ้าจะเจอร้านขายยาอยู่ตรงหัวมุมเลย "
"ขอบคุณขอรับท่านน้า "
"ไม่เป็นไร "เมื่อกล่าวจบหญิงสาวก็เดินออกไปทันที เมื่อหญิงสาวเดินจากไปเด็กน้อยก็เดินไปตามที่หญิงสาวบอกทันที จนมาเจอกับร้านที่มีชื่อว่า เรือนโอสถเป็นร้านขายยา ร้านเดียวในหมู่บ้านเมื่อเห็นดังนั้นเด็กน้อยจึงเดินเข้าไปในร้านทันที
"เถ้าแก่อยู่หรือไม่ขอรับ"เด็กน้อยเอ่ยถามเมื่อเข้าไปถึง
"อยู่รอสักครู่ข้ากำลังออกไป เจ้ามาทำอะไรหรือเด็กน้อย"
"ข้าเอาสมุนไพรมาขายขอรับเถ้าแก่"
"สมุนไพรอะไรหรือเอาออกมาให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่"
"ได้ขอรับ" เมื่อกล่าวจบเด็กน้อยก็หยิบสมุนไพรในตะกร้าที่ตนถือมาให้เถ้าแก่ดู
"นี่ขอรับเถ้าแก่"
"โอ๊ะ นี่มันดอกน้ำค้าง 9 ยอดนี่ และนี่ก็ว่านลิ้นงู นี่ก็ว่านน้ำค้างหยกนี่นา เจ้าไปหามาจากที่ใดรึสมุนไพรหายากเหล่านี้" เถ้าแก่เอ่ยถามอย่างใคร่รู้
"ข้าเจอมันในตอนที่ข้ากำลังเดินลงจากยอดเขาขอรับ " เมื่อเถ้าแก่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าแม้อยากจะถามว่าขึ้นไปทำอะไรเป็นยอดเขาแต่ก็ไม่กล้า
"เช่นนั้นดอกน้ำค้าง 9 ยอดนี้ ข้าาจะซื้อเจ้าในราคา 50 เหรียญเงิน ส่วนส่วนว่านลิ้นงูกับว่านน้ำค้างหยกนั้นข้าจะซื้อเจ้าในราคาต้นละ 10 เหรียญเงินก็ตกลงหรือไม่ "เถ้าแก่เอ่ยถาม
"ขายขอรับเถ้าแก่ เถ้าแก่ขอรับไม่ทราบว่าสิ่งนี้ขายได้หรือไม่" เมื่อกล่าวจบเด็กน้อยหยิบเห็ดลักษณะประหลาดออกมาจากตะกร้า แล้ววางบนโต๊ะให้เถ้าแก่ดู
"น...นี่มัน" เถ้าแก่มองเห็ดบนโต๊ะด้วยอาการตกตะลึงและตกใจ
"เจ้าไปได้เห็ดดอกนี้มาจากที่ใดกัน" เถ้าแก่เอ่ยถามเด็กชายตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
"ข้าเจอมันอยู่ที่ข้างๆดอกน้ำค้าง 9 ยอดขอรับมันขึ้นอยู่ตรงขอนไม้ขอนนึงข้าเห็นหน้าตามันประหลาดดีจึงเก็บมาด้วย"
"เจ้ารู้หรือไม่ว่าเห็ดนี้คืออะไร เห็ดที่อยู่ตรงหน้าเจ้านั้นมันชื่อว่าเห็ด หมื่นพิษ เป็นสมุนไพรพิษหายาก เมื่อมีมันอยู่คนผู้นั้นจะไม่สามารถตายเพราะพิษ ได้และมันยังสามารถปรุงยาถอนพิษได้เกือบทุกชนิด" เถ้าแก่เลยกับเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
"เจ้าจะขายข้าหรือไม่" เถ้าแก่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่มีความหวัง เด็กน้อยเห็นอย่างนั้นก็เอ่ยถาม
"ท่านจะซื้อในราคากี่บาทหรือขอรับ"
"ข้าจะซื้อเจ้าในราคา 10 เหรียญทองเจ้าจะขายหรือไม่" เมื่อเถ้าแก่เอ่ยจบเด็กน้อยก็ตกตะลึงในราคาของมัน
"ขายขอรับเถ้าแก่" เมื่อเด็กน้อยพูดจบเถ้าแก่ก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจพร้อมวิ่งเข้าหลังร้านนำเงินมามอบให้แก่เด็กน้อย
"อันนี้เงินของเจ้า 10 เหรียญทองกับ 70 เหรียญเงินนับก่อน ว่าครบหรือไม่ "เถ้าแก่พูดจบก็มอบถุงเงินให้กับเด็กน้อยตรงหน้า
"ครบขอรับเถ้าแก่ขอบคุณขอรับ" เมื่อเด็กน้อยพูดจบก็เดินออกจากร้านขายยาทันที เมื่อออกมาได้พักนึงเด็กน้อยก็ได้เดินไปที่ตลาด
"นี่ๆเจ้าได้ยินหรือไม่เรื่องที่บุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่กับฮูหยินเอกนั้น ตายตอนปลุกพลังเมื่อปีที่ผ่านมา" แม่ค้าขายเนื้อเอ่ยถามแม่ค้าขายปลา
"ทำไมจะไม่ได้ยินเล่า ข่าวนั้นดังจะตายเห็นเขาว่าเกิดความผิดพลาดตอนปลุกพลัง จึงทำให้ไม่สามารถควบคุมพลังได้พลังจึงย้อนเข้าตัวตายช่างน่าสงสารนักเพิ่งเกิดมาได้ไม่ทันไรก็ตายเสียแล้วน่าสงสารท่านแม่ทัพจริงๆ"แม่ค้าขายปลา ตอบ เมื่อเด็กน้อยได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักแล้วหันตัวพุ่งตรงกับไปยังที่พักของตนพร้อมน้ำตาที่อาบไหลเต็มใบหน้า
"ฮึก ๆ ๆ เหตุใดท่านพ่อท่านแม่ถึงใจร้ายเยี่ยงนี้" เด็กน้อยร้องไห้อย่างไม่เข้าใจ เด็กน้อยร้องไห้ไปสักพักจึงหยุดร้องไห้แล้วตัดสินใจว่า
"ในเมื่อท่านพ่อท่านแม่ ทิ้งข้าเช่นนี้ข้าก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกท่าน "เมื่อกล่าวจบเด็กน้อยก็ปาดน้ำตาแล้วเร่งดูดซับลมปราณรอบกายอย่างต่อเนื่องไม่หยุดพัก
"นี่ท่านปล่อยข้านะนี่มันกลางป่าจะทำอะไรเกรงใจเจ้าป่าเจ้าเขาซะบ้าง "บุรุษรูปงามเอ่ยบอกแกบุรุษอีกคนนึง
"จะเกรงใจไปทำไมถ้าใครกล้ามีเรื่องก็เรียกออกมาสั่งสอนก็สิ้นเรื่อง "บุรุษร่างสูงเอ่ยตอบบุรุษรูปงาม
"บ้าอำนาจไร้ยางอายซะจริง "บุรุษรูปงามเอ๋ยตอบ
"เอ๊ะ ท่านนั่นเด็กน้อยที่ไหนน่ะมันนั่งดูดซับลมปราณ กลางป่ากลางเขาเช่นนี้"
"ข้าก็ไม่รู้เช่นกันถ้าเช่นนั้นลองไปถามกันดีหรือไม่" เมื่อกล่าวจบ บุรุษทั้งสองก็แปลงกายเป็นนักพรตเดินเข้าไปหาเด็กน้อยทันที
ก็จบไปแล้วนะครับ อ่านแล้วเป็นยังไงก็ คอมเม้น บอกกันได้ทุกอย่างเลยนะครับ
ผมขอย้อนอดีตอีกสักตอนนึงนะครับไปตอนที่ 4 ผมก็จะกลับไปสู่ปัจจุบันแล้วครับ
ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!