NovelToon NovelToon

ฉันเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา

1 ที่นี่มันที่ไหนกันเนี่ย!

"น้องรอง น้องรองทำเช่นไรดี"

ชายตัวสูงโปร่งร่างบางผิวหนังแทบติดกระดูก บนร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำยิ่งผิวขาวซีดมันยิ่งเด่นชัดอย่างน่าอนาถ มองดูน้องสาวที่สลบไสลตัวร้อนผ่าวแก้มทั้งสองแดงก่ำด้วยความกังวน

ท่านพ่อท่านแม่ก็ออกไปทำไร่แต่เช้ามืด ส่วนข้าก็อยู่บ้านคอยช่วยเหลือท่านย่าทำงานบ้านและดูแลน้องๆ เมื่อสองวันก่อนด้วยความหิวของน้องเล็กน้องรองจึงแอบไปเอาหมั่นโถวในห้องครัวมาให้น้องเล็กหนึ่งอัน พอท่านย่าจับได้พวกเราก็โดนท่านย่าทุบตีอย่างหนักดีที่ตอนนั้นน้องเล็กออกไปเล่นกับเพื่อนเลยปลอดภัย แต่น้องรองน้องสาวเพียงคนเดียวของข้านางกับสาหัสถึงกับไข้ขึ้นสูงมาตั้งแต่วันนั้นจากการลงโทษที่ไม่เป็นธรรมของท่านยาย

"อย่ามัวแต่ยืดยาดอืดอาด ข้าใช้เจ้าไปให้อาหารหมูในคอกและเป็ดไก่ แต่เจ้ามานั่งพักผ่อนเฉื่อยชาอะไรอยู่ที่นี่!!"

นางหลี่ไช่หัวผู้เป็นย่าเห็นว่าหลานชายหายไปนานจึงเดินมาดูเห็นประตูห้องที่สามแง้มอยู่ นางจึงตรงดิ่งมาดูและได้เห็นหลานชายแอบมาอู้งานจึงตะคอกใส่อย่างหมดความอดทน

"หน้อยหน่ะ แกริอาจกล้าไม่ฟังคำสั่งของข้างั้นรึ!"

นางหลี่ไช่หัวง้างมือเตรียมจะตบสั่งสอนแต่หลานชายตัวดีกับอ้างว่าน้องสาวของเขาไข้ขึ้นสูงมากกว่าเมื่อวาน อยากให้ท่านย่าอนุญาตให้ไปเชิญท่านหมอเฉินมาดูอาการน้องของตน มีรึนางหลี่ไช่หัวผู้ขี่เหนียวจะยอมควักสักอีแปะเพื่อคนงานข้าทาสอย่างพวกเขา

"แกกล้าดียังถึงมาขอให้ข้าอนุญาตให้เจ้าไปเชิญท่านหมอมารักษาน้องขี้โรคของเจ้า วันๆเอาแต่กินกับกินงานการไม่รู้จักทำ กินเสร็จแล้วไปเที่ยวเล่นแทนที่จะรู้จักหน้าที่แล้วนี่ข้าต้องฉีกเนื้อเฉือนหนังตัวเองมาช่วยพวกแกด้วยหรือไง"

พูดจบนางก็สะบัดหน้าหนีและไม่ลืมที่จะตะโกนบอกให้ชายสามรีบๆไปทำงานเสียไม่เช่นนั้นจะถูกนางทุบตีอีกครา

"น้องรอง เจ้านอนพักไปนะ ประเดี๋ยวพี่สามของเจ้าทำงานเสร็จจะรีบมาเช็ดตัวให้เจ้าอีกที"

ชายสามบิดน้ำออกจากผ้าหมาดๆแล้ววางบนหน้าผากของผู้เป็นน้องสาว แล้วลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมปิดประตูเบาๆเพื่อให้นางได้พักผ่อน ถึงแม้นางจะไม่ฝื้นมาหนึ่งวันแล้วก็ตามเขาคอยหยอดน้ำข้าวต้มให้นางเพื่อหวังว่านางจะกลับมาแข็งแรงโดยไว

แอดดด\~ 

เมื่อเสียงฝีเท้าเงียบลงหลี่หลิวสาวน้อยวัยหกปีค่อยๆลืมตาขึ้นด้วยความยากลำบาก

"เมื่อกี้นี่มันอะไรกัน ความทรงจำที่หน้ากลัวนี่กำลังไหลทะลักเข้ามาในหัวของฉันอย่างบ้าคลั่ง ปวดหัวจังหรือไมเกรนฉันจะขึ้นอีกหรือป่าวเนี่ย"

เสี่ยวเหมยที่ลืมตาตื่นเต็มที่แล้วเลียวซ้ายมองขวาพบว่าที่ที่ตนอยู่ ณ ตอนนี้เหมือนภาพความทรงจำที่ได้รับมาก็ยิ่งตกใจ มือเล็กๆเสื้อผ้าโบราณที่เก่าและมีรอยปะอยู่หลายแห่งมันดูโทรมมากแต่ก็สะอาดในระดับหนึ่ง พื้นห้องเป็นปูนสากๆ มีเสือหมอนสำหรับห้าคนในห้องแคบๆที่ไม่มีแม้แต่หน้าต่างเสี่ยวเหมยกุมขมับทันที

"ฉันมาอยู่ที่ไหนกันเนี่ย อุ๊ย!!!"

เสี่ยวเหมยอุทานเมื่อพยายามจะลุกขึ้นนั่ง ปรากฎว่าความทรงจำอันเลวร้ายจากการถูกทุบตีทำให้เธอเข้าใจได้ทันที เด็กนี่ตายเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหวส่วนฉันก็ไม่รู้ว่านอนหลับไปอีท่าไหนถึงได้มาโผล่อยู่ที่นี่ได้

เสี่ยวเหมยพยายามรวบรวมความทรงจำของเด็กน้อยคนนี้ กลายเป็นว่าเด็กคนนี้พึ่งอายุหกปีชื่อหลี่หลิวเธอมีพี่ชายหนึ่งคนชื่อชายสามแต่ชื่อที่เพื่อนๆเรียกกันคือหลี่จงอายุได้เก้าปี และยังมีน้องเล็กชื่อหลี่เฉินอายุสี่ปี พ่อมีชื่อว่าหลี่หงแม่มีชื่อว่าหวังลู่ ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่มีฐานะปานกลางไปทางขาดแคลน ส่วนผู้นำคือปู่หลี่หวนเป็นสามีของนางหลี่ไช่หัว ท่านปู่และท่านย่ามีบุตรด้วยกันสามคน ลุงหลี่โจวคือพี่คนโตแต่งงานมีครอบครัวและมีลูกชายหนึ่งคนอายุสามปีโดยประมาณ ลุงหลี่มักใหญ่ใฝ่สูงจึงอ่านหนังสือเพื่อหวังเข้าเป็นข้าราชการแต่จนป่านนี้ยังสอบไม่ผ่านสักครั้ง แต่ด้วยการสนับสนุนจากท่านปู่และท่านย่าจึงทำให้ลุงโจวได้อ่านหนังสืออย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องงานไร่งานสวนจึงตกเป็นของท่านพ่อของเจ้าของร่างนี้ หลี่หงทำงานอย่างยากลำบากกับภรรยาเพื่อแบ่งเบาภาระท่านปู่ท่านย่าแต่กับโดนใช้งานเยี่ยงข้าทาส ทำงานเต็มที่แต่อาหารกับไม่เพียงพอ ทำให้ครอบครัวสองของหลี่หงดูเหมือนพวกขาดสารอาหาร และสุดท้ายหลี่เทียนบุตรชายคนเล็กแต่งงานมีครอบครัวและย้ายออกไปอยู่กับภรรยาและบุตรอีกสองคนชายหญิงได้รับมรดกจากท่านปู่ไปไม่น้อย เพราะเป็นลูกที่ท่านปู่ให้ความรักมากที่สุดก็ว่าได้ หลี่เทียนแยกตัวออกไปก็ทำไร่แล้วนำไปขายไม่ต่างจากบ้านท่านปู่นัก ทว่าดูโดยรวมแล้วทางนั้นสถานการณ์ดีกว่าทางนี้มากโข

"จิ๊ๆๆ ร้ายกาจๆ ท่านย่าผู้นี้เอาเปรียบครอบครัวข้าใช้งานเหมือนช้างม้าแต่ไม่แม้นจะให้อิ่มท้อง"

เสี่ยวเหมยจับต้นชนปลายตามความทรงจำที่น้อยนิดแล้วถึงกับหัวเสีย ยุคนี่ช่างบ้าบออะไรแบบนี้แถมผู้นำครอบครัวอย่างท่านปู่ก็ปิดหูปิดตาไม่สนใจอะไรนอกจากการอ่านหนังสือ นี่คงเป็นแบบอย่างและแรงผลักดันทำให้ท่านลุงใหญ่อยากเป็นข้าราชการอย่างแน่นอน แต่ท่านลุงใหญ่ก็ปาเข้าสามสิบกว่าปีแล้วน่าจะปล่อยวางได้แล้วนะแถมดูจากความทรงจำลุงใหญ่ไม่เคยแม้แต่จะสอบผ่านเลยด้วยซ้ำ 

"ข้าต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย ไม่เช่นนั้นล่ะก็คนคงคิดว่าข้าถูกผีเข้าจนนำข้าไปเผาไฟเป็นแน่"

เสี่ยวเหมยในร่างหลี่หลิวรู้สึกกระหายน้ำจึงลุกขึ้นเทน้ำในเยือกมาดื่มอย่างช้าๆด้วยความรู้พื้นฐานในการดูแลคนป่วยทำในนางค่อยปรับสภาพร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ร่างกายนี้ไม่ได้ขยับเขยื้อนมาพักใหญ่จึงค่อนข้างจะชาแขนขาอยู่บ้าง หลี่หลิวกำมือเข้าออกช้าๆเพื่อกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียน อาการปวดหัววิงเวียนค่อยๆลดลงเลื่อยๆ แต่ร่างนี้ขาดสารอาหารมากเกินไปแล้วผอมจนเหลือแต่กระดูกก็ว่าได้ผิวขาวซีดของเด็กน้อยมีรอยฟกช้ำดำเขียวอยู่หลายจุด นี่ไม่ใช่การสั่งสอนทั่วไปเสียแล้วนี่มันเป็นการฆาตกรรมทางอ้อมชัดๆ

"ไม่แม้นแต่จะพาไปหาหมอ ยายังไม่ให้กินอีกท่านย่าหลี่ไช่หัวผู้นี้คิดจะตัดเสบียงให้ลดลงหรือยังไง"

หลี่หลิวนำร่างอันเบาะบางเหมือนคนขี้โรคนอนลงที่นอนเดิมเพื่อฟื้นฟูร่างกายสักหน่อย ถึงจะออกไปข้างนอกคงมิวายถูกท่านย่าดุด่าว่าเสแสร้งแกล้งทำเป็นสำออยถึงจะหิวมากแต่การดื่มน้ำบ่อยๆก็ช่วยได้ในระดับนึง ตอนนั้นฉันพยายามจะลดน้ำหนักก็ใช้วิธีนี้แหละดื่มน้ำให้มากๆก็จะกินได้น้อยลงและอิ่มท้อง

"ข้าต้องมาอยู่ที่แบบนี้จริงๆหรือ"

หลี่หลิวบ่นเบาๆก่อนจะปิดตาลงด้วยความเหลือเชื่อ เคยอ่านนิยายมาก็มากไม่คิดมาก่อนว่ามันจะกลายเป็นเรื่องจริงนี่หรือว่าพวกนักเขียนที่เขียนๆกันได้ข้ามภพมาแล้วเอาไปเขียนเป็นนิยายกันนะ หลี่หลิวคิดไปมาจนเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว

"พี่มาแล้ว"

ชายสามหรือหลี่จงที่เสร็จจากการให้อาหารสัตว์เลี้ยงก็เดินเข้ามาในห้อง หลังจากล้างไม้ล้างมือก็เอาผ้าที่หล่นอยู่ข้างๆน้องสาวลงกระมังน้ำใช้มือวัดไข้น้องรองอย่างห่วงใยก่อนจะวางผ้าบิดหมาดลงที่หน้าผากนาง

"หลี่หลิวไข้เจ้าลดแล้วดีจริงๆท่านพ่อกับท่านแม่กลับมาท่านต้องดีใจแน่ๆ"

ชายสามยิ้มหน้าบานคืนก่อนเขานอนไม่หลับได้ยินเสียงท่านแม่นอนสะอื้นเบาๆทำให้ในใจของเขาอยู่ไม่สุข ถ้าเป็นไปได้ข้าที่เป็นท่านพี่อยากช่วยน้องรองให้มากกว่านี้ แต่เมื่อท่านย่าสั่งข้าทำได้แค่ปกป้องน้องรองเล็กน้อยเท่านั้น หากได้กินอิ่มท้องสักหน่อยน้องเล็กคงไม่งอแง น้องรองก็คงไม่ต้องทำเช่นนั้นทำไมท่านย่าถึงใจร้ายแต่กับครอบครัวสองของเรานักนะ คิดแล้วชายสามก็จุกที่อกไม่สามารถพูดออกมาได้

"อืม.."

หลี่หลิวรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองจึงค่อยๆลืมตาขึ้นเห็นเด็กหนุ่มผอมโซนั่งยิ้มแข่งอยู่ข้างๆทำให้หลี่หลิวตกอกตกใจไม่น้อย

"ทะ ท่านพี่"

"ไม่ต้องลุกๆ เจ้าพักอีกหน่อยเจ้าหิวไหมนี่ใกล้เที่ยงแล้วข้าจะไปเอาน้ำโจ๊กที่ท่านแม่ทำตอนเช้ามาให้เจ้ากิน"

ชายสามเห็นใบหน้าซีดเซียวของน้องเล็กจึงถามด้วยความห่วงใย

"เจ้าค่ะข้าเริ่มหิวแล้ว แต่ว่าท่านย่าจะไม่โกรธหรือเจ้าคะถ้ารู้ว่าท่านไปเอาโจ๊กที่ทำไว้ให้ลุงใหญ่มากิน"

"เจ้าอย่าห่วงเลย ข้าเอามาแค่น้ำโจ๊กเท่านั้นมิได้เอาข้าวมาท่านย่ามิเคืองดอก"

ชายสามยิ้มกริ่มแล้วลุกไปห้องครัวตักน้ำโจ๊กที่เอาแต่น้ำมาให้น้องรองได้ดื่ม น้ำในหม้อโจ๊กนี่มันจะพออิ่มได้อย่างไรกันหลี่หลิวมองน้ำสีขุ่นที่รับมาจากท่านพี่ที่ยิ้มไม่หุบแล้วดื่มรับรสชาติที่จืดชืดอย่างจนใจ ขนาดเกลือในบ้านท่านย่ายังไม่ให้ใส่มากด้วยกลัวจะเปลืองเงินทอง ถ้าประหยัดขนาดนี้ต้องมีเงินเก็บมากโขเลยแน่ๆว่าแต่ท่านย่าเขาไม่คิดจะเอามาจุนเจือครอบครัวสักหน่อยเลยหรือ

"อร่อยใช่ไหม"

ชายสามมองหน้าน้องรองที่ซดน้ำโจ๊กจนหมดอย่างพอใจ

"เจ้าค่ะ"

หลี่หลิวยกน้ำที่ท่านพี่จงให้แล้วดื่มตามน้ำต้มโจ๊กไปเพื่อล้างปาก น้ำโจ๊กอะไรน้ำต้มข้าวซ่ะมากกว่าไร้รสชาติแถมยังไม่อิ่มท้องแม้แต่นิดแบบนี้ฉันจะเอาชีวิตน้อยๆนี้ให้รอดได้ยังกัน

"ท่านพี่ข้าอยากไปเดินเก็บผักป่า ท่านช่วยพาข้าไปได้ไหมเจ้าคะ"

หลี่หลิวจำได้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ไกลจากเชิงเขานักมีหลายครอบครัวที่นอกจากทำไร่แล้วก็ยังล่าสัตว์ป่าด้วย ถึงแม้นานครั้งจะจับสัตว์ได้ก็ตามแต่มันก็คุ้มค่าที่มีเนื้อให้ได้กิน

"เจ้าพึ่งฟื้นตัว รอไว้พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปหลังจากให้อาหารสัตว์เรียบร้อยแล้วดีหรือไม่"

ชายสามใช้มือเรียวบางลูบหัวน้องสาวด้วยความห่วงใยพร้อมกับส่งรอยยิ้มอบอุ่นใจให้นาง

"ท่านพี่ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ข้านอนมามากแล้ว ท่านพาข้าไปเถอะนะ น๊าาาท่านพี่.."

หลี่หลิวจับมือพี่ชายที่ลูบหัวตนมาจับไว้แล้วแกว่งไปมาเป็นการอ้อนวอน ฉันลงทุนอ้อนขนาดนี้ดูซิเขายังจะทนได้ไหม ในความทรงจำพี่ชายคนนี้รักน้องสาวมากและตามใจนางอยู่บ่อยครั้งเสี่ยวเหมยจึงใช้โอกาสนี้ออดอ้อนพี่ชาย 

น้ำแช่ข้าวมันไม่อิ่มท้องเลยสักนิดต้องไปหาอะไรบนเขาดูอย่างน้อยพวกผักป่าผลไม้อาจช่วยได้บ้าง แต่ร่างกายนี้ก็พิลึกอยู่ๆพลังวังชากลับเต็มเปี่ยมอาการวิงเวียนชาตามตัวหลังจากพักไปครู่นึงก็มลายหายไปเหมือนมันไม่เคยเป็นเสียอย่างงั้น แต่นับเป็นเรื่องดีที่ฉันจะได้ออกไปดูโลกที่ล้าหลังและสำรวจพื้นที่สักหน่อย

"ก็ได้ๆ แต่ข้าต้องไปบอกท่านย่าเสียก่อน"

"งั้นท่านก็รีบหน่อย ข้าจะเตรียมตัวรอ"

"ตกลง ตามใจเจ้า"

หลังจากชายสามลุกขึ้นเดินมาหน้าประตูก็หันไปมองน้องสาวด้วยความห่วงใย นางพึ่งหายไข้ข้าจะพานางไปดีหรือไม่นะ แต่ด้วยนิสัยของนางหากข้าไม่พาไปนางอาจแอบออกไปเองมิสู้ข้าไปด้วยจะดีเสียกว่า ปัญหาคือท่านย่าจะยอมหรือไม่นี่สิ ใช่ข้าต้องอ้างว่าไปหาผักป่าหากบอกพาน้องไปเที่ยวเล่นล่ะก็มิวายโดนดุด่าแถมถูกใช้ไปผ่าฟืนอีกตามเคยทั้งที่ไม้ฟืนที่เก็บมาและผ่าไว้ก็มากโขพอแล้ว

"ท่านย่าขอรับ ตอนนี้น้องรองตื่นแล้ว"

"ข้าก็บอกแล้วว่านางเด็กนั้นมันไม่เป็นไรๆพวกเจ้านั่นแหละที่เป็นกระต่ายตื่นตูม"

เมื่อนางหลี่ไช่หัวได้ยินเช่นนั้นก็เอ็ดไปทีนึง

"คือว่าข้าอยากพาน้องไปเก็บผักป่าขอรับ บ้านเราไม่ได้ไปเก็บนานแล้วท่านว่า.."

"ก็ไปสิ ไปหามาเยอะๆล่ะ ถ้าได้มาเยอะจะได้เอาไปขายข้าจะได้มีเงินเก็บไว้ซื้อข้าวปลาไว้ให้พวกเจ้ากิน รีบไปซ่ะสิเดี๋ยวจะมืดค่ำเอาเสียก่อน"

ไม่ทันที่ชายสามจะเอ่ยปากขอท่านย่าหลี่ก็อนุญาตแถมบอกให้เก็บมาเยอะๆ หลี่จงจึงกล่าวขอบคุณและไปตระเตรียมตระกร้าพายหลังกับมีดพร้าแล้วเดินมาเรียกหลี่หลิวทะว่าไม่พบจึงเดินไปหน้าบ้านเห็นนางใส่รองเท้ารอเรียบร้อยจึงเดินไปหา

"ท่านพี่ มาเร็วๆดูสิข้าเตรียมตัวเสร็จแล้ว"

หลี่หลิวที่อายุสามสิบแล้วต้องมาเรียกเด็กน้อยว่าท่านพี่มันกระดากปากไม่น้อย แต่ด้วยร่างกายนี้เป็นน้องสาวของเขาและเราก็มาอยู่แทนดังนั้นจึงต้องหัดเรียกให้ชินเข้าไว้

"เจ้าจะเอามีดสั้นและเสียมขุดมันไปด้วยทำไมกัน"

ชายสามเดินมาถึงหน้าบ้านเห็นนางตระเตรียมมีดและเสียมเพื่อจะนำไปด้วยจึงถามอย่างสงสัย ปกติแล้วเราไปเก็บผักหนามไม่จำเป็นต้องมีมีดหรือเสียมด้วยซ้ำ แต่ที่เขาพกมีดพร้าไปด้วยเพื่อตัดผ่าทางที่อาจมีบ้างที่มีกิ่งหนามขวางทางจึงต้องนำมีดพร้าขนาดกลางไปด้วยก็เท่านั้น หลี่หลิวไม่ตอบอะไรแล้วดึงมือพี่ชายของเจ้าของร่างและเร่งเร้าให้เค้าใส่รองเท้าส่วนตนเอามีดสั้นที่มีปอกมีดเหน็บข้างเอวแล้วมือขวาถือตรงกลางเสียมเดินนำหน้าชายสามไปก่อนอย่างเอาแต่ใจ

"ช้าหน่อยๆ รอข้าก่อน"

ชายสามเห็นเช่นนั้นจึงรีบนั่งลงวางตระกร้าสวมใส่รองเท้าเสร็จก็รุดหน้าไปหาน้องสาวพร้อมตระกร้าสานไม้ไผ่ที่มีมีดพร้าอยู่ด้วยไปอย่างไว

"เจ้าจะรีบไปใย ดูเถิดพี่ลืมแม้แต่กระบอกน้ำแล้วเห็นไหม" 

ชายสามที่เร่งรีบตามน้องรองมาทว่ากับลืมสิ่งที่จำเป็นไปเสียแล้ว หากเป็นเช่นนี้น้องคงต้องกระหายน้ำเอามากๆเป็นแน่

"ไม่เห็นจะเป็นไร เราก็แค่ไปตัดไม้ไผ่ป่าริมลำธารก็ได้แล้ว"

เด็กน้อยวัยหกขวบพูดเป็นต่อยหอยเดินนำทางไปจนถึงลำธารตีนเขาแล้วบอกให้พี่ชายตัวผอมตัดไม้ไผ่ทำกระบอกน้ำ คาดไม่ถึงเลยว่าพี่ชายร่างบางของเจ้าของร่างนี้จะแข็งแรงไม่น้อยไม่นานก็ได้กระบอกมาสองอัน จากนั้นจึงพักดื่มน้ำริมลำธารแล้วเติมน้ำใส่กระบอกหาใบไม้ม้วนๆแล้วยัดปิดเป็นผาจนพร้อม หลี่หลิวใช้มือน้อยๆนั่งยองๆช้อนน้ำขึ้นมาดื่มอย่างอารมณ์ดีนานแค่ไหนแล้วไม่ได้อยู่กับธรรมชาติแบบนี้ ในเมืองใหญ่ผู้คนวุ่นวายมากหน้าหลายตาร้อยพ่อพันแม่ต่างจิตต่างใจแข่งแย่งชิงดีปัญหารุมเร้า ใครจะไปคิดว่าการได้หนีจากเมืองวุ่นวายมันจะสะบายใจแบบนี้กันไม่ต้องรีบเร่งแข่งขัน ไม่มีหัวหน้าค่อยบ่นนี่แหละสวรรค์ชัดๆ

"ไปกันเถอะ นี่ก็กินเวลามานานมากแล้ว"

"อื้มไปสิ"

"ตามข้ามา เดินระวังๆด้วยเข้าใจหรือไม่"

"เจ้าค่า"

"ระวังพวกกับดักของนายพรานด้วยนะ หากพลาดพลั้งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต"

"ข้ารู้ๆ"

ชายสามที่เดินนำได้แต่คอยบอกน้องรองอย่างห่วงใย ถึงเขาจะเคยพาน้องรองขึ้นเขามาสามสี่ครั้งแต่ความปลอดภัยต้องมาก่อน เหมือนที่ท่านพ่อของเขาเคยพาเขามาและเตือนเขาอยู่บ่อยครั้งจนเขาชำนานแล้วจึงปล่อยให้ขึ้นเขาเองได้

"ท่านรอข้าก่อน"

ด้วยสภาพอากาศเป็นใจพื้นบนเขาค่อนข้างชุ่มชื่นตามทางเดินถูกเปิดจนคล้ายถนนสายหนึ่งหลี่หลิวเดินตามพี่ชายและคอยสอดส่องจนเจอกับกลุ่มเห็ดโคนเข้าจึงบอกให้พี่ชายหยุดรอ ส่วนนางวิ่งออกไปข้างทางที่มีต้นไม้พุ่มไม้เล็กๆอยู่เต็มไปหมดด้วยความตื่นเต้น

"เจ้าอย่าเดินมั่วซั่วแบบนั้นเดี๋ยวเจอกับดักเข้าจะได้รับบาดเจ็บนะ"

ชายสามเห็นน้องรองวิ่งหน้าตาตื่นจึงต้องรีบพูดห้ามปรามและก็ต้องตามนางไป เห็นน้องรองนั่งย่อตัวลงและเอามีดสั้นออกมาค่อยๆงัดดอกเห็ดที่ทั้งจูมและบานอย่างพอใจ

"น้องรองเจ้าทำอะไร"

"ท่านไม่เห็นหรือข้าเก็บเห็ดไงเล่า"

หลี่หลิวชูเห็ดที่ตนเก็บด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

"เห็ดอะไรกันกินแล้วจะตายไหม ข้าได้ข่าวมาว่ามีคนเก็บเห็ดไปกินแล้วตายจากนั้นก็ไม่กล้ามีใครเก็บเห็ดพวกนี้ไปกินอีกเลย จะมีก็แค่เห็ดหูหนูดำเท่านั้นแหละที่คนนิยมกินกันเพราะมันปลอดภัยและทำซุปอร่อยมาก"

"พวกเขาไม่รู้มากกว่าว่าอันไหนกินได้หรือมีพิษ"

หลี่หลิวงัดดอกเห็นด้วยมีดสั้นทีล่ะดอกและอธิบายให้พี่ชายตัวน้อยฟังไปด้วย เมื่อเห็นน้องสาวมั่นใจเพื่อไม่ให้เสียกำลังใจเขาจึงมานั่งลงช่วยน้องเก็บแถมยังหาใบไม้ใหญ่มารองก่อนจะวางเห็ดใส่แล้วทำเป็นมัดๆได้สามมัดใหญ่ 

นี่มันอาหารป่ามื้อใหญ่ข้าต้องอิ่มท้องแล้วล่ะ เย็นนี้หากเป็นตามที่ชายสามบอกล่ะก็ท่านย่าท่านปู่รวมทั้งลุงใหญ่คงไม่กล้ากินเมนูนี้อย่างแน่นอนหลี่หลิวยิ้มอย่างพอใจ

2 แกงเห็ดโคลน

"ท่านพี่มีอะไรอีกไหมที่ชาวบ้านไม่นิยมเก็บกินกัน"

หลี่หลิวมองเห็นทางเอาตัวรอดขึ้นมาในทันที นี่มันทองในดินชัดๆพวกเขาไม่รู้สินะว่าเห็ดโคนพวกนี้ทั้งดอกใหญ่ขาอวบดอกตูมๆพวกนี้ราคามันแสนแพงแค่ไหน นี่มันของหายากเลยนะ

"ได้สิ ไว้ข้าเจอจะค่อยๆบอกเจ้านะ ดื่มน้ำสักหน่อยไหม"

เมื่อเอาเห็ดใส่ตระกร้าที่ว่างเปล่าก็ดูชื่นใจขึ้นมาไม่น้อย เดินมาครึ่งชั่วโมงก็เจอของดีเข้าแล้วจะว่ายังไงดีล่ะ ต้องขอขอบคุณชาวบ้านที่ไม่ยอมกินกันอย่างสุดซึ้งหลี่หลิวถูกใจสิ่งนี้เป็นอย่างมากจนเดินไปยิ้มไปเลยทีเดียวแม้แต่น้ำนางยังไม่หิวแม้แต่น้อย

"ทางข้างหน้ามีต้นไม้ข้างทางขนาดใหญ่ ตอนเดินเจ้าต้องระวังเหยียบหนามมันด้วยนะ"

"ได้ๆข้าจะระวัง"

"เหตุใดเจ้ายังไม่หุบยิ้มอีกเล่า"

"ข้าดีใจมากๆนี่เจ้าคะ"

"ต้องขนาดนั้นเลยงั้นรึ มันก็แค่เห็ดที่ถูกทิ้งก็เท่านั้น"

"เอาไว้ข้าทำแกงเห็ดให้ท่านได้กินก่อน แล้วท่านจะขอบคุณข้าที่เก็บมันกลับไปด้วย"

"ได้ๆ"

ชายสามตอบรับไปแต่ในใจยังกังวนว่าถ้ากินแล้วเป็นอะไรขึ้นมาจะทำเช่นไร แต่ก็ไม่กล้าดูถูกน้ำใจของน้องสาวตัวน้อยที่พึ่งหายไข้จึงได้แต่เอ่อออตามนางไป

"เดินระวังด้วยทางข้างหน้านี้ก็เป็นป่าหนามแล้ว ข้าจะเก็บยอดผักหนามด้านบนส่วนเจ้าเก็บด้านล่างช่วยกันเก็บจะได้เสร็จเร็วๆ"

"ท่านพี่... ข้าว่า... ข้าคงไปเก็บผักหนามกับท่านไม่ได้แล้วล่ะเจ้าค่ะ"

"ทำไมล่ะ ข้างหน้านี่ก็ถึงแล้ว หรือเจ้ากลัวลูกหนามพวกนี้ที่หล่นตามพื้น พี่สามารถอุ้มเจ้าไปได้นะ"

ชายสามมองดูเด็กน้อยที่เหงื่อผุดบนหน้าผากอย่างเอ็นดู แถมบนหัวยังมีผมที่มัดเป็นหัวหอมกลมๆสองข้างมีเศษใบไม้ติดอยู่เขาจึงหยิบออกให้นางอย่างเบามือ

"ไม่ใช่ๆ ข้าจะเก็บเกาลัดพวกนี้แถมมันเยอะมากขนาดนี้คงไปช่วยท่านเก็บผักไม่ได้แล้ว"

"ว่าไงนะ เจ้าเรียกมันว่าเกาลัดงั้นรึ?"

"อื้ม ก็ใช่ไง"

"ลูกหนามเนี่ยนะ เจ้าจะเอามันไปทะกะไรได้ เม็ดดำๆที่อยู่ข้างในก็กินไม่ได้แถมหนามมันทั้งคมทั้งแข็ง มันจะตำมือเจ้าเอานะ"

"เห้อออ เอาเป็นว่าข้าจะเก็บมันกลับไปด้วยก็แล้วกัน ท่านไปเก็บผักหนามของท่านเถอะตอนเดินมาข้าเห็ดรอยเท้าคนคาดว่าผักท่านคงเหลือน้อยแล้วล่ะ"

"ใช่ๆข้าก็ว่าเห็นรอยเท้ายังใหม่อยู่ งั้นข้าไปเก็บผักก่อนเจ้ารอข้าอยู่นี่นะหากเบื่อก็เดินไปป่าด้านหน้าแล้วเรียกหาท่านพี่อย่างข้าได้เลย"

ชายสามทีเดินทีวิ่งไปด้านหน้าทั้งยังคอยหลบลูกหนามอย่างจริงจัง หลี่หลิวที่เห็นพี่ของเจ้าของร่างเดินไปแล้วจึงเริ่มเก็บเกี่ยวเกาลัด เธอใช้เท้าน้อยๆของเด็กวัยหกปีเหยียบและคลี่เปลือกเกาลัดออกจากนั้นเอาเม็ดมันออกมาทีล่ะเม็ดโดยใช้มีดค่อยๆแงะออก และทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนชายสามกลับมานางก็ยังคงทำอยู่เช่นนั้น ตอนนี้หลี่หลิวรวบรวมเม็ดเกาลัดได้ประมาณหนึ่งกิโลแล้วด้วยร่างกายวัยเด็กแบบนี้จึงทำอะไรได้ไม่สะดวกนัก มือเท้าก็แสนจะเบาะบางทำแรงนิดหน่อยก็ได้รับแผลมาเสียแล้ว

"มาให้พี่ช่วยเจ้าเถอะไม่เช่นนั้นบ่ายนี้คงไม่ได้กลับบ้าน เจ้าจะเก็บมากเพียงใดล่ะ"

ชายสามเข้าใจว่าน้องสาวตนคงอยากได้เม็ดพวกนี้ไปเล่นจึงอาสาจะเก็บช่วยและเห็นวิธีที่นางเก็บแล้วมันก็ไม่ได้ยากนักจึงช่วยนางเก็บจนได้มากถึงสองสามโลเลยทีเดียว

"เจ้าพอได้หรือยัง นี่มันก็มากแล้วนะหากเจ้าจะเอาไปเป็นหมากไว้เล่นมันคงเกินพอแล้ว"

"ท่านเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ข้าจะเอามันไปกินต่างล่ะ"

"ในหัวเล็กๆของเจ้าคิดอะไรอยู่กัน หรือเจ้ายังไม่ฟื้นไข้จึงเบลออยู่ใช่หรือไม่"

ชายสามได้ฟังเช่นนั้นจึงโยกหัวน้องรองเบาๆ เพื่อหยอกล้อกับนาง

"มันกินได้จริงๆนะพี่สาม"

"ได้ๆ กินได้ก็กินได้"

"หึ! นี่ท่านไม่เชื่อข้ารึ"

"ข้าต้องเชื่อเจ้าอยู่แล้วไม่เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเก็บมันทำไมกัน"

"ก็ได้ๆ ถ้าเจ้าอยากได้อีกข้าค่อยพาเจ้ามาเก็บอีกคราดีหรือไม่ ตอนนี้ต้องกลับบ้านแล้วข้าหิวใส้กิ่วเนี่ย"

เมื่อชายสามเห็นว่าน้องสาวตัวน้อยของตนจะงอแงจึงตัดบท ทำตัวให้อ่อนแอซึ่งจริงๆแล้วก็จริงดั่งเขาว่านั่นแหละเขาหิวจนท้องร้องจริงๆ หลี่หลิวพึ่งนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายตัวน้อยของร่างนี้ยังไม่ได้กินข้าวจริง จึงต้องวางมือจากการเก็บเกาลัดหาใบไม้ใหญ่ห่อแล้วเอาเถาวัลย์มัดแล้วนำไปใส่ตระกร้า

"นี่ท่านเก็บได้มากเลยทีเดียว ข้าคิดว่าคนอื่นเก็บไปก่อนท่านเสียแล้ว"

หลี่หลิวมองไปที่ตระกร้าที่มีผักหนามอยู่เกินครึ่งด้านบนมีห่อเห็ดโคนวางอยู่ ดีที่พี่ชายตัวน้อยไม่เอามันไว้ด้านล่างไม่เช่นนั้นคงโดนผักทับจนเสียรูปไปแล้ว ชายสามช่วยน้องเก็บลูกหนามจนเสร็จแล้วใส่ตระกร้าพักดื่มน้ำท่า จากนั้นพากันลงเขาด้วยความเหนื่อยล้าระหว่างทางเสียงเจือแจ้วที่เคยมีค่อยๆเงียบลงเหลือเพียงเสียงเท้าและเสียงเหนื่อยหอบตามทางเดิน ก่อนหน้านี้ชายสามบอกกับน้องสาวว่าโชคดีที่คนขึ้นเขามาเป็นนายพรานเขาจึงไม่สนใจในการเก็บผักป่านักทำให้ชายสามได้ผักป่ามาเยอะมาก นี่เป็นเรื่องที่ดีท่านย่าจะไม่ดุด่าเมื่อพวกเขากลับไปแถมเย็นนี้จะได้กินผัดผักป่าอีกด้วย 

ผักหนามเป็นผักกินยอดอ่อนชนิดหนึ่ง ทว่าต้นและกิ่งก้านของมันเต็มไปด้วยหนามแต่เป็นผักที่อร่อยทำได้หลายเมนูที่ทุกคนนิยมเอาไปผัดกินกัน

"เอาล่ะใกล้ถึงบ้านแล้ว เจ้าเอาของของเจ้าออกมาถือเอง แล้วเอาไปเก็บในครัวเล็กของเรา อย่าให้ท่านย่าเห็นมิเช่นนั้นจะโดยดุได้"

"ได้ข้าจะเอาไปเก็บที่ครัวเล็กข้างหลังบ้านของเรา ข้าจะอ้อมไปด้านหลังบ้านไม่ผ่านประตู"

หลี่หลิวพอเข้าใจว่าครัวใหญ่นั้นเอาไว้ใช้ทำอาหารให้ท่านย่าและลุงโจว ส่วนครัวเล็กนั้นใช้เฉพาะครอบครัวสามของนางซึ่งครัวเล็กอยู่หลังบ้านห่างจากตัวบ้านเล็กน้อย

"นี่แหละที่ฉันต้องการ"

หลี่หลิวแอบเอาของมาเก็บในครัวเล็ก โชคดีที่ท่านย่าไม่อยู่ออกไปทำธุระกับท่านปู่และครอบครัวลุงใหญ่ หลี่หลิวจึงรีบก่อไฟและแกงเห็ดที่ล้างสะอาดแล้วให้เรียบร้อย นี่ก็ปาเข้าไปบ่ายสามแล้วนางรีบต้มเกาลัดจนเสร็จแล้วตากเกาลัดให้เสด็จน้ำก่อนจะเก็บเกาลัดที่หอมหวานเข้าบ้านไปพร้อมกับมีดสั้น และออกมาเอาหม้อแกงเห็ดเข้าไปเก็บที่ห้องนอนขนาดเล็กนั่น

"ท่านแม่ๆ ทำไมท่านย่าแบ่งผัดผักมาให้เราน้อยจังขอรับ ข้าได้ยินว่าพี่ใหญ่เก็บมาได้เยอะมากเลยนะขอรับ"

หลี่เฉินน้องเล็กที่อาบน้ำล้างมือรวมทั้งท่านพ่อท่านแม่ที่มานั่งเตรียมกินน้ำต้มโจ๊กกับผัดผักที่แสนน้อยนิดไม่รู้ว่าควรตอบลูกชายเช่นไร ถึงจะรู้ว่าท่านย่าลำเอียงรักครอบครัวนั้นมากกว่าแต่บุตรตนก็ลงทุนลงแรงไปหามาได้แต่กับได้กินเพียงน้อยนิด แต่หลี่หงทำได้แค่อดทนและซื่อสัตย์ต่อท่านแม่เท่านั้น

"นี่เจ้าอยากอิ่มท้องหรือเปล่าล่ะ"

หลี่หลิวได้โอกาสจึงรีบลุกพรวดพราดยกหม้อที่แอบมุมห้องออกมาแล้วตักแกงเห็ดใส่ถ้วยใหญ่มาวางตรงกลางแถมมีเกาลัดอีกจำนวนนึงที่แกะแล้วมาวางไว้ด้วย

"ท่านพี่นี่มันเห็ดนี่ขอรับ กินได้ด้วยรึ"

"ได้สิข้ากินไปก่อนหน้านี้ตั้งแต่บ่ายแล้ว ข้าก็ยังสบายดีอยู่"

ว่าแล้วหลี่หลิวก็ตักเห็ดอวบอ้วนใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆอย่างอารมณ์ดี ชายสามเห็นเช่นนั้นก็จุกอก เพราะตนก็เป็นคนช่วยน้องรองเก็บมาแล้วน้องรองก็ยังกินต่อหน้าต่อตาท่านพ่อท่านแม่อีก

"กินเถอะ เห็ดนี้ข้าเคยเห็นลุงเหยียนเก็บไปหลายคาเขาบอกมันกินได้"

ท่านพ่อหยิบช้อนขึ้นมาแล้วตักกิน ลุงเหยียนบอกเห็ดนี้อร่อยมากและปลอดภัย คนที่เก็บไปกินแล้วตายอาจเป็นเพราะเขาเก็บเห็ดชนิดอื่นไปแต่เห็ดนี้กินได้ 

"ข้ากินด้วย"

น้องเล็กตักเห็ดอวบๆอ้วนๆใส่ปากแล้วชมไม่หยุดว่าอร่อยส่วนท่านพ่อก็ตักแล้วตักอีก ท่านแม่และข้ามองหน้ากันก่อนจะลงมือตักกิน

"อร่อย นี่มันอร่อยมาก"

ชายสามอุทานออกมาแล้วหันไปมองหน้าน้องรอง คิดถึงคำของนางที่พูดไว้ แล้วท่านจะขอบคุณข้าที่เก็บมันกลับมา ทั้งห้าคนพ่อแม่ลูกวันนี้ได้กินอย่างอิ่มท้องแบบที่ไม่เคยกินมาก่อน รวมทั้งเกาลัดที่ต้องใช้มีดตัดผ่าครึ่งถึงจะกินมันได้แต่เนื้อข้างในมันหวานหอมคุ้มค่าที่ลงแรงในการแกะมันถึงจะแกะยากไปบ้างก็ตาม

"ท่านพี่ พรุ่งนี้เราไปเก็บเห็ดกันดีไหมและไปเก็บลูกหนามมาไว้เยอะๆเลย ทีนี้เราก็จะอิ่มท้องแล้ว"

น้องเล็กหลี่เฉินมีความกระตือรือร้นขึ้นมาและอยากไปเก็บอาหารมาไว้เยอะๆ หลี่จงพี่คนโตมองหน้าท่านพ่อ ท่านพ่อพยักหน้าทำให้น้องเล็กร้องชัยโยเสียงดังจนท่านย่าตระโกนเอ็ดมา หลี่หลิวจึงบอกน้องเล็กว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใครไม่เช่นนั้นจะมีคนอีกมากไปแย่งลูกหนามของเจ้า หากเป็นเช่นนั้นเจ้าต้องอดอาหารอร่อยไปอีกนาน หลี่เฉินรีบเอามือปิดปากส่ายหน้าไปมาพร้อมบอกว่าข้าจะไม่บอกใครอีกเลย ทั้งห้าก็พากันเข้านอนหลังจากเก็บถ้วยชามเสร็จแล้ว ทุกคนนอนหลับกันหมดเทียนที่จุดไว้ค่อยๆดับลงทีล่ะห้อง เสียงหายใจสม่ำเสมอแสดงว่าเริ่มหลับนอนกันแล้ว

"ท่านพ่อ.."

หลี่หลิวเอ่ยเบาๆท่ามกลางความมืด

"เจ้านอนไม่หลับหรือ"

"ข้าอยากมีบ้านที่มีแต่เราพ่อลูก"

หลี่หลิวใช้ลูกอ้อนกอดแขนผู้เป็นพ่อของเจ้าของร่าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเธอถึงได้รู้สึกผูกพันรักใคร่ครอบครัวเจ้าของร่างขนาดนี้ แต่ที่รู้คือตอนนี้เธอเป็นลูกของเขาผู้ชายที่นอนเอามือหนุนท้ายทอยคนนี้คือพ่อของฉัน

"ถ้าออกจากบ้านใหญ่ไป เราต้องเริ่มใหม่กันหมดเลยนะ"

"ไม่เป็นไรหรอกท่านพ่อ ขอแค่มีพวกเราอยู่ด้วยกันก็เพียงพอแล้วข้าไม่อยากอดมื้อกินมื้ออีกแล้วท่านพ่อ.."

หลี่หลิวแหงนมองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างรอคอยคำตอบ อันที่จริงเขามีความคิดหลายครั้งที่จะพาครอบครัวย้ายออกแต่กลัวว่าการเริ่มต้นใหม่จะทำให้ครอบครัวต้องลำบากกว่าเดิม จึงต้องพักพิงอยู่กับครอบครัวใหญ่เช่นนี้ พอลูกสาวเพียงคนเดียวถึงกับเอ่ยปากมาในใจเขาก็กระวนกระวายไม่น้อย นี่เราปล่อยให้ลูกอดอยากขนาดนั้นเลยรึ ข้าเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ

"ได้ พ่อรับปากเจ้า"

"งั้นพรุ่งนี้เราไปบอกท่านปู่กันนะเจ้าคะ"

"ได้ เจ้านอนได้แล้ว"

"เจ้าค่ะ"

หลี่หงเอามือลูบหลังบุตรสาวเบาๆ ในใจคิดว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ท่านพ่อจะเห็นด้วยหรือไม่ หากเราไปแล้วท่านพ่อท่านแม่จะอยู่อย่างไร ใครจะหุงหาอาหารให้ท่าน ใครจะทำงานไร่ให้ท่าน เมื่อเห็นบุตรสาวหลับแล้วเขาก็ต้องเอามือก่ายหน้าผาก ภรรยาที่เห็นเช่นนั้นได้แต่ส่งยิ้มให้บางๆ เขาหันไปเห็นสายตาที่อ่อนโอนของหวังลู่ภรรยาของเขา ใบหน้าที่ซีดเซียวลงทุกวันของนางทำให้เขาได้คิดใคร่ครวญ นางทนทุกข์ร่วมสุขมามากมายครอบครัวอื่นภรรยาอยู่บ้านทำงานเรียบง่าย แต่นางต้องทำงานหนักหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ใบหน้างามตอนนี้หมองคล้ำไม่นวลผ่องเหมือนก่อนเก่าอีกแล้ว ข้าเป็นสามีและพ่อที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ

เอ้กอี้เอ้ก\~

เสียงไก่ขันตอนเช้ามืดเป็นนาฬิกาปลุกที่ดี หวั่งลู่ตื่นขึ้นพบว่าลูกสาวตัวน้อยก็ตื่นตามนางเช่นกัน หวังลู่จึงพาบุตรสาวไปล้างหน้าล้างตาจากนั้นให้นางนั่งตั่งอยู่ข้างๆเตาไฟครัวเล็ก ส่วนตนรีบก่อไฟหุงหาอาหารที่ครัวใหญ่เสร็จแล้วค่อยไปทำครัวเล็กที่นางเอาแกงเห็ดของบุตรสาวมาอุ่นจนได้ที่แล้วจึงยกหม้อออกจากเตา

"วันนี้เราจะได้ย้ายออกใช่ไหมเจ้าคะ"

หลี่หลิวมองดูนางหวังแม่ของเจ้าของร่างเดิมที่กำลังทำกับข้าวจนเสร็จจึงเอ่ยปากถามขึ้น เพราะรู้ว่าเมื่อคืนตอนที่นางถามแม่ของเจ้าของร่างก็ยังนอนไม่หลับเช่นกัน หวังลู่เหน็บผมทัดหูให้บุตรสาวสาวอย่างเอ็นดูนางก็อยากทำแบบนั้นเช่นกันจะได้ไม่ต้องให้ลูกๆทนอดอยากเช่นนี้ นางมีบุตรสาวและบุตรชายท่านย่าก็ยังไม่พอใจทำอะไก็ขวางหูขวางตาท่านย่าไปเสียทุกสิ่งอย่าง หากย้ายออกไปถึงให้นางใช้ชีวิตในป่าเขาอาจจะดีกว่านี้ก็เป็นได้ ห่วงก็แต่ลูกๆยังเล็กพวกเขาจะทนร้อนทนหนาวได้หรือยิ่งคิดนางยิ่งท้อใจ

"ท่านไม่ต้องกังวน ข้าหน่ะแข็งแกร่งกว่าที่ท่านคิด หากหลุดพ้นออกจากที่นี่ไปได้ข้าจะมีชีวิตที่สุขสะบายกว่านี้แน่นอน"

หลี่หลิวเห็นสีหน้ากังวนของมารดาจึงเข้าใจว่านางคงห่วงความเป็นอยู่หากย้ายออกไปก็ต้องกระทบหลายอย่าง ทั้งที่อยู่อาศัยอาหารการกินคนเป็นแม่ต้องแบกรับสิ่งพวกนี้ไว้ ข้าคงทำได้แค่ให้กำลังนางเท่านั้น

"เจ้าไม่กลัวว่าออกไปแล้วจะลำบากรึ"

"ข้าไม่กลัวความลำบาก ข้ากลัวข้าจะอดตายเสียมากกว่า"

หลี่จงที่ตื่นขึ้นมาแล้วได้ยินสองแม่ลูกคุยกันใจเขาเจ็บปวดเหลือเกิน เขาจึงหันตัวเดินเข้าบ้านไป ก่อนหน้าเห็นท่านแม่ตื่นแล้วท่านพ่อคงตื่นแล้วเช่นกันเขาจึงบากหน้าเข้าไปปรึกษาท่านพ่ออย่างจริงจัง

"เจ้าแน่ใจรึ"

"ขอรับ"

หลี่จงนั่งคุกเข่าต่อหน้าพ่อที่นั่งก้าวอี้แล้วจิบชายามแต่เช้ามืด เขาบอกไปแล้วว่าอยากย้ายออก แต่ท่านพ่อดูนิ่งและสงบมากจนเขาคาดเดาไม่ได้เลยว่าท่านจะยินยอมหรือไม่

"ในเมื่อเจ้ามั่นใจแล้วก็รีบพาครอบครัวเจ้าไปเสีย"

ชายวัยกลางคนลุกขึ้นและเดินไปหยิบของบางอย่างที่ซุกซ่อนไว้ในกล่องหนังสือมาใส่มือเขา หลี่จงถึงกับตกใจท่านพ่อมอบเงินให้ข้างั้นรึนี่มันห้าตำลึงเงินเชียวนะ

1 ก้วน \= 1,000 อีแปะ

1 ตำลึงเงิน \= 1 ก้วน

1 ตำลึงทอง \= 10 ตำลึงเงิน

"ท่านพ่อ..."

"รีบไปเสีย ส่วนนี่คือโฉนดที่ดินมันมีขนาด3ไร่กับอีก2งาน ที่ตรงนั้นมีคนเช่าอยู่ให้เจ้าถือโฉนดที่เป็นชื่อเจ้าไปยืนยันกับเขาว่าเจ้าเป็นเจ้าของที่คนใหม่ ที่นั่นอยู่ห่างไกลจากที่นี่พอควรใช้เวลาในการเดินทางสิบห้านาทีถึงจักถึงที่นั่น ข้าแอบเก็บเล็กผสมน้อยไว้จนได้ที่แปลงนี้มาที่นั่นมีกระท่อมอยู่หลังหนึ่งมันเพียงพอต่อครอบครัวจองเจ้า"

"ไปรีบ ไปก่อนที่ยายเฒ่านั่นจะมา ข้าจะบอกนางเองรีบไปเสีย"

"ท่านพ่อดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ"

หลี่หงคุกเข่าคำนับผู้เป็นบิดา เขาคิดมาโดยตลอดว่าท่านพ่อนั้นรักและเอ็นดูครอบครัวพี่ใหญ่มากกว่าครอบครัวตน แท้จริงแล้วท่านกับเตรียมการไว้ล่วงหน้าให้เขาซะดิบดีทั้งที่ดินเงินตราและที่พักอาศัย หลี่หงโขกหัวลงพื้นด้วยความละอายใจที่คิดกับท่านพ่อเช่นนั้นได้แต่หวังว่าท่านพ่อจะอภัยในความคิดแง่ลบของตน

"เจ้าตัดสินใจแล้วก็อย่าชักช้า ไปได้แล้ว"

ชายวัยกลางคนเห็นบุตรคนกลางน้ำตาคลอจึงรีบพยุงให้ลุกและเร่งรีบให้เขาไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพราะตอนนี้นางหลี่ไช่หัวออกไปดูบ้านข้างๆที่มีหมูคลอดลูกอยู่ หากนางกลับมาบางทีพวกเขาคงไม่ได้ไปแล้ว

"ข้าจะกลับมาทดแทนคุณท่านพ่อท่านแม่อย่างแน่นอนขอรับ"

"พูดมากเสียจริง รู้แล้วๆไปได้แล้ว"

ชายวัยกลางคนโบกมือไล่เขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เจ้าลูกคนนี้จิตใจดีเกินไปชอบช่วยเหลือคนอื่นแถมยังทำอะไรเกินตัวจนตนเองและครอบครัวลำบาก หาได้ใช้ยากเงินสักอีแปะยังไม่เคยคิดเก็บไว้ หากข้าไม่ตระเตรียมไว้เมื่อหลายปีก่อนเขาคงต้องทนทุกข์อีกนานยังดีที่เขายังรู้ตัวว่าต้องเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีแบบไหนถึงจะนำพาครอบครัวให้สุขสบาย

"เฮ้อออ เจ้าคิดได้ก็ดีแล้ว"

ชายวัยกลางคนนั่งจิบชาพรางอ่านหนังสือใต้แสงเทียนทว่าใจจิตใจกับล่องลอย กว่าเขาจะคิดได้ใช้เวลานานมากก็ยังดีที่คิดจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นภายนอกบ้านหลังนี้ แต่มันคงจะลำบากในช่วงแรกๆข้าหวังว่าเขาจะผ่านมันไปได้ล่ะนะ

"หวังลู่!! เจ้ารีบไปเก็บข้าวของเราจะไปกันตอนนี้ท่านพ่ออนุญาตแล้วเราต้องรีบไปก่อนที่ท่านย่าจะกลับมาพบ"

"จริงหรือเจ้าคะงั้นข้าจะไปปลุกพี่ใหญ่ให้ช่วยเก็บของ"

"ท่านพ่อ แล้วเราจะไปที่ไหนกันหรือเจ้าคะ"

"อย่าพึ่งถามมากความและเบาเสียงลงหน่อยเดี๋ยวคนในบ้านจะตื่น"

หลี่จงเห็นบุตรสาวดีใจออกนอกหน้าจึงเอ็ดไปเล็กน้อยและบอกให้นางเบาเสียงลง จากนั้นทั้งหลี่จง หวังลู่และหลี่หงต่างรีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้ในห้องไปใส่รถลากที่ท่านพ่อบอกว่าถึงมันจะพังแต่เขาส่งมันไปซ่อมแล้วจนเต็มรถ ให้หลี่หลิวคอยดูแลหลี่เฉินที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ลาวบนรถลาก ไม่นานพวกเขาก็ย้ายออกไปแบบเงียบๆหลี่หวนมองทอดออกไปเห็นครอบครัวสองหันมาโค้งคำนับให้เขาก่อนที่จะออกเดินทางไปจึงได้แต่อวยพรให้พวกเขาไปดีมีสุข

3 บ้านใหม่

พระอาทิตย์เริ่มส่งแสงนางหลี่กลับจากบ้านข้างๆมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเพราะเพื่อนบ้านบอกจะยกหมูให้นางหนึ่งตัวจนนางยิ้มไม่หุบ หลี่หวนเห็นเช่นนั้นใจก็ไม่เป็นสุขนัก หากนางรู้ว่าครอบครัวสองย้ายออกไปแล้วนางคงบ่นสามวันเจ็ดวันที่ขาดคนคอยช่วยงานในบ้านและไร่นาไป

"ภรรยาตัวดีของเจ้าสองทำกับข้าวกับปลาเสร็จหรือยังตะวันเริ่มขึ้นแล้วนะทำไมวันนี้ถึงดูเงียบจัง"

เมื่อกับถึงบ้านนางหลี่ไช่หัวก็บ่นให้สะใภ้รองไม่ขาดคำตาเฒ่าหลี่หวนได้แต่แอบส่ายหน้าเบาๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรมาก

"ไม่อยู่แล้ว"

"อะไรคือไม่อยู่แล้ว พวกเขาออกไปทำไร่แต่ไม่ยอมทำกับข้าวกับปลาไว้ให้ข้างั้นหรือ ดีเลยไว้กลับมาข้าจะต้องสั่งสอนนางเสียหน่อยแล้ว"

กล้าดีอย่างไรถึงกับทิ้งหน้าที่ที่ควรทำก่อนเป็นอันดับแรกไปเช่นนี้ วันนี้ข้าต้องหาคนมาทำครัวแทนเสียแล้วใช่แล้วสะใภ้ใหญ่ก็ทำได้นิ ถึงรสมือของนางจะไม่ดีเท่าเมียเจ้าสองแต่ก็ถือว่ายังกินได้ เรื่องอะไรข้าต้องไปทำกับข้าวกับปลาพวกนี้ด้วยตนเองเล่า

"พวกเขาย้ายออกไปแล้ว"

"ท่านว่ากะไรนะ!!! ย้ายออกไปแล้วงั้นหรือ!"

"ใช่ ย้ายออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้ว"

"พวกมันกล้าดีอย่างไรถึงได้ไปไม่ลา มาไม่ไหว้เช่นนี้ หน๊อยยย!!! นี่ข้าเลี้ยงดูเสียข้าวปลาไปตั้งมากคิดจะไปก็ไปเช่นนี้มันยังเห็นหัวขาวหัวหงอกอย่างข้าอยู่หรือไม่"

"เจ้าสามมาขอข้าแล้ว ข้าก็รับปากไปแล้วเจ้าหยุดพูดเถอะ มีอะไรก็ไปทำเสีย"

หลี่หวนที่อ่านหนังสืออยู่แสร้งทำหน้าเข้มขึง เหล่ตามองภรรยาที่บ่นไม่หยุดจึงบอกให้นางไปทำหน้าที่ที่สมควรทำ หลี่ไช่หัวได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งโมโหโกธาเดินออกจากห้องนอนไปแล้วปลุกสะใภ้ใหญ่ให้ลุกทำงานบ้าน

ตึง ตึง ตึง 

"ท่านแม่ นี่ยังเช้าอยู่เลยนะเจ้าคะ"

หลี่เหลียนที่ตกใจเพราะเสียงเคาะประตูต้องลุกขึ้นมาเปิดพร้อมขยี้ตาอย่างงัวเงีย

"เช้ากะไรกัน!! ตะวันขึ้นโด่งแล้วรีบไปล้างหน้าทำครัวเสีย"

เจ้าใหญ่นี่ได้ภรรยาดีมีสินสมรสมากสุด ตอนแต่งเข้ามานางก็หอบทรัพย์สินมามากพอควรแต่ตอนนี้นางเป็นสะใภ้ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในบ้านของข้าแล้ว เช่นนั้นงานบ้าบงานช่องคงต้องตกเป็นของนาง

"ทำครัวหรือเจ้าคะ"

หลี่เหลียนถึงกับอุทานออกมา เรื่องงานบ้านงานเรือนต้องเป็นหน้าที่ของสะใภ้สองมิใช่หรือมิใช่ว่าท่านแม่เลอะเลือนไปแล้วหรือกะไร

"ก็ใช่น่ะสิ หรือจะให้คนแก่ๆอย่างข้าเข้าครัวทำให้พวกเจ้ากินหรือยังไง"

นางหลี่ที่อารมณ์ไม่ดีมาก่อนหน้าถึงกับตะคอกเสียงดังจนหลี่โจวตื่นขึ้นมาพร้อมกับบุตรชาย

"ท่านแม่ เอะอะกะไรแต่เช้ารึขอรับ"

"เช้าหรือเจ้าไม่แหกตาดูหน่อยหรือ ตะวันแยงตาแล้วเมียเจ้ายังไม่รีบไปทำครัวอีก"

"ทำครัวหรือขอรับ"

หลี่โจวที่ได้ยินเช่นนั้นก็งงงวยเพราะนั่นเป็นหน้าที่ของสะใภ้สองที่ทำเป็นประจำอยู่ทุกวัน แล้วเหตุใดท่านแม่ถึงได้มาบอกให้ภรรยาข้าไปทำเช่นนี้ด้วย

"นั่นมิใช่หน้าที่ของภรรยาน้องรองทำหรือขอรับ เหตุใดยังต้องให้ภรรยาข้าไปทำอีกเล่า มันจะไม่ขวางทางการทำงานของสะใภ้รองหรือขอรับ ภรรยาข้ายิ่งค่อยข้างทำงานได้ล่าช้าอยู่ด้วย"

หลี่โจวลุกขึ้นจากที่นอนในห้องใหญ่ที่เป็นสองรองจากห้องของท่านพ่อกล่าวอย่างสงสัย ภรรยาข้าไม่ชินกับงานครัวทำงานได้ชักช้าไม่ทันใจจึงถูกภรรยาน้องรองไล่ออกจากครัวครั้งนึง จากนั้นมานางก็ทำงานครัวเพียงลำพัง

"คนไม่อยู่แล้ว ทีนี้เจ้าจะไปทำได้หรือยัง"

"ไม่อยู่แล้วหรือ?"

หลี่โจวคิ้วขมวดด้วยความมึนงง หรือสะใภ้สองไปทำงานไร่กับน้องรองแต่เช้ามืดแล้วลืมทำงานครัวคงจักเป็นเช่นนั้น

"พวกเจ้าสองย้ายออกไปแล้ว จะเหลือก็แต่พวกเจ้าหรือพวกเจ้าจะให้แม่ชราหัวหงอกทำให้คนหัวดำกินหรือกะไร"

หลี่ไซ่หัวพูดจบก็เดินหน้ามุ่ยออกจากบ้านไปพร้อมยังตะโกนบอกให้สะใภ้ใหญ่ทำครัวเสร็จแล้วให้ไปให้อาหารสัตว์ด้วยส่วนตัวนางต้องเดินจ้ำเอาๆ ไปทางบ้านนางหวังเพื่อจ้างวานให้พวกเขาไปทำงานไร่นาให้ นางต้องกรีดเลือดเฉือนเนื้อตนเองออกมาใช้จ่ายมีหรือที่นางจะต้องเก็บความปวดใจไว้เพียงลำพัง หากได้ระบายมันนางถึงจะสบายใจขึ้นมาบ้าง

"ท่านพี่ ครอบครัวสองย้ายออกไปแล้ว ต่อไปงานทุกอย่างต้องเป็นข้าทำใช่หรือไม่"

ภรรยาของหลี่โจวโอดครวญ นางไม่ได้ทำงานหนักมานานแล้วนางอยู่สบายกินอิ่มมานานแต่มาบัดนี้งานทั้งหมดต้องตกมาที่นาง แล้วแบบนี้ชีวิตอันเรียบง่ายของนางจะต้องวุ่นวายอีกเพียงใด

"เจ้ารีบไปเข้าครัวทำงานบ้านเถิด อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นสะใภ้จักให้ท่านแม่ทำก็กะไรอยู่ อีกไม่นานพอข้าสอบได้เจ้าก็จะสบายแล้วอดทนหน่อยนะเมียข้า"

หลี่โจวให้กำลังใจภรรยาจนนางเข้าใจและยอมทำงานบ้านแต่โดยดี พอครอบครัวสองไม่อยู่งานทั้งหมดคงตกมาที่ภรรยาข้า แต่ข้าก็ต้องอ่านหนังสือมิอาจไปช่วยนางได้ เรื่องงานไร่งานสวนก็ยิ่งแล้วกันไปใหญ่ ท่านแม่คงมิให้ข้าไปจัดการหรอกกระมังเพราะท่านคาดหวังไว้กับข้าสูงมาก ท่านคงไปจ้างวานให้คนอื่นมาทำแทนเป็นแน่

"หืมมม เกิดอะไรขึ้น ทำไมข้าถึงมาอยู่บนรถลากเช่นนี้ล่ะท่านพี่"

หลี่เฉินตื่นขึ้นเพราะรถลากเจอหลุมขรุขระระหว่างทางทำให้เขาตื่นขึ้นมาและพบว่าตนอยู่บนรถลากที่ท่านพ่อและพี่ชายสามกำลังเข็นไปข้างหน้าเรื่อยๆ และยิ่งกว่านั้นเส้นทางที่ไปกับไม่คุ้นตาเลย

"น้องเล็กเราจะมีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่"

หลี่หลิวเห็นน้องชายตื่นมาขยี้ตารัวๆด้วยความสงสัยนางจึงตอบไปว่าจะไปอยู่บ้านใหม่

"เรามีบ้านเป็นของตัวเองด้วยหรือขอรับ"

"ใช่สิ"

หลี่หงบอกบุตรชายที่พึ่งตื่นด้วยรอยยิ้มจางๆ ถึงบนใบหน้าจะมีเหงื่อไหลลินออกมาเพราะผ่านการเข็นรถลากมานานมากแล้วจึงเกิดความเหนื่อยล้า

"ท่านพ่อเรากำลังจะไปบ้านใหม่หรือขอรับ"

"มันก็ไม่เชิงว่าเป็นบ้านใหม่หรอก แต่เป็นกระท่อมหน่ะ"

"กระท่อมหรือขอรับ"

หลี่จงพี่ใหญ่มองหน้าท่านพ่ออย่างสงสัยที่แท้เราจะต้องไปอยู่กระท่อม ข้าก็ว่าแล้วเชียวท่านพ่อจะเอาอีแปะจากที่ไหนสร้างบ้านได้เล่า เงินแม้แต่สตางค์แดงเดียวท่านพ่อก็ยกให้ท่านย่าไปเสียหมด

"มันอาจจะลำบากบากหน่อยพ่อเชื่อว่าพวกเจ้าจะปรับตัวได้ในไม่ช้า"

หลี่หงหันไปมองบุตรชายที่ช่วยเข็นรถลากและภรรยาที่เดินข้างกายด้วยรอยยิ้มเอาใจใส่ การเริ่มใหม่อาจจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์แต่ข้าเชื่อว่ามันจะต้องดีกว่าเดิมในสักวัน ขอบคุณท่านพ่อที่เมตตาและยกที่แปลงนี้ให้ข้าได้ลืมตาอ้าปาก

"ท่านพ่อไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าอยู่ที่ไหนก็ได้ขอแค่ได้กินอิ่มท้องเป็นพอ"

หลี่หลิวตอบด้วยใบหน้ายิ้มล่ะลื่นชวนครอบครัวคุยอย่างสนุกสนาน ตลอดทางจะมีเสียงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข เมื่อไปถึงกระท่อมปลายนาทุกคนถึงกับอ้าปากค้างนี่มันไม่ใช่กระท่อมแล้วเรียกว่าบ้านเลยก็ว่าได้ ถึงจะหลังไม่ใหญ่นักแต่ครอบครัวสองสามารถอยู่ได้อย่างสบายเลยล่ะ กระท่อมที่สร้างจากไม้หลังคามุงด้วยไม้ไผ่และหญ้าคาและยังมีชายคายื่นออกมาทำเป็นครัวขนาดใหญ่ มีโต๊ะไม้ไผ่สามารถนั่งทานอาหารได้พอดีกับห้าคน ลานบ้านค่อยข้างกว้างถึงจะมีหญ้าขึ้นดูลกลุงลังแต่ถ้าทำดีๆนี่แหละบ้านอันแสนสงบ

"ท่านพ่อ ไหนท่านบอกว่ากระท่อมไงขอรับ ดูข้างในนี้สิมีสองห้องนอนและมีห้องโถงอีกด้วย ห้องนึงกว้างพอๆกับห้องนอนเราเลยหรือบางทีมันอาจจะกว้างกว่าเสียด้วยซ้ำ"

หลี่เฉินลงจากรถลากก่อนใครและวิ่งสำรวจบ้านอย่างตื่นเต้นพร้อมอธิบายภายในบ้านให้ท่านพ่อที่ยังไปไม่ถึงได้ฟัง

"ท่านพี่"

หวังลู่มองหน้าสามีอย่างปิติยินดี ท่านพ่อได้มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ครอบครัวของเราแล้วทีแรกคิดว่าการได้มาอยู่กระท่อมโทรมๆคงไม่แย่นัก ทว่าท่านพ่อกับทำกระท่อมที่เป็นบ้านหนึ่งหลังไว้ให้เราท่านช่างเมตตาพวกเรามากมายจริงๆ

"มาเก็บของกันก่อนเถอะ"

หลี่หงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะบอกให้บุตรชายคนโตมาช่วยตนและภรรยาขนของลงจากรถลากสี่ล้อขนาดใหญ่ที่มีของใช้เสื้อผ้าที่นอนหมอนมุ้งรวมทั้งถ้วยชามลามกอนที่เอามาจากครัวเล็กทั้งหมด สักพักก็มีคู่สามีภรรยามาที่กระท่อม จึงได้บอกกล่าวเรื่องราวเมื่อคู่สามีภรรยาที่เช่าอยู่ทราบเรื่องจึงบอกลาครอบครัวสองและไปทำไร่ในที่ของตนข้างๆกับแปลงของหลี่หงไม่ไกลนัก

"ท่านแม่ข้าหิวแล้ว"

หลี่เฉินที่วิ่งเล่นไปทั่วในแปลงมันสองแปลงเล็กๆกับหลี่หลิวพากันเดินกับมาพร้อมกับหอบหัวมันหวานมาเต็มทั้งสองมือแล้วยิ้มตาหยี่อย่างภูมิใจ

"ท่านแม่เราย่างมันหวานกันนะเจ้าคะ"

หลี่หลิวพาน้องชายนำมันไปล้างที่ลำธารที่เป็นคลองเล็กๆไหลผ่านข้างทางแล้วพากันก่อกองไฟเผามันจนใบหน้ามอมแมม เมื่อพี่ชายคนโตเห็นเข้าก็หัวเราะชอบใจแล้วบอกท่านพ่อท่านแม่ดูผลงานการเผามันที่หน้าดำเต็มไปด้วยขี้เถ้า ทุกคนมีความสุขและทานมันหวานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

"ท่านพ่อข้าอยากปลูกผักเลี้ยงปลาเจ้าค่ะ ด้านหน้ากระท่อมมีพื้นที่ว่างอยู่มากข้าเอาเมล็ดผักติดมือมาด้วย ข้างๆบ้านมีบ่อน้ำแสดงว่าดินที่นี่อุ้มน้ำเราขุดบ่อเลี้ยงปลาไว้กินได้ด้วยนะเจ้าคะ"

หลี่หงเห็นความกระตือรือร้นจากบุตรสาวจึงตอบตกลง แต่ก่อนอื่นต้องไปหาไม้ไผ่มาทำรั้วบ้านก่อนถึงที่นี่ดูจะปลอดภัยแต่การมีรั้วบ้านนั้นจะทำให้สบายใจมากกว่า

"ท่านพ่อท่านจะไปตีนเขาตัดไม้ไผ่หรือเจ้าคะ ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่ข้าจะไปเก็บเกาลัดมาเก็บไว้เป็นกินเป็นของว่างเจ้าค่ะ"

หลี่หลิวยิ้มแก้มปริเมื่อท่านพ่ออนุญาตให้ไปด้วย ถึงเจ้าเล็กอยากไปด้วยทว่าได้หลี่หลิวทักท้วงไว้

"หากเจ้าก็มาด้วยแล้วท่านแม่จะอยู่กับใคร มีแต่เจ้าแล้วที่เป็นชายชาตรีคอยดูแลท่านแม่ได้"

เมื่อได้ยินเช่นนั้นด้วยความเป็นลูกผู้ชายเขาจึงยื่นอกรับหน้าที่คอยปกป้องผู้เป็นมารดา เมื่อหลี่หลิวหลี่จงถึงตีนเขาก็พากันไปดื่มน้ำที่ลำธาร ส่วนบิดาไปตัดต้นไผ่ หลี่หลิวและหลี่จงจึงพากันขึ้นเชิงเขาไปเก็บเกาลัดเมื่อได้มามากกว่าห้าโลจึงพากับกลับลงมา หลี่จงช่วยหลี่หงตัดไม้ไผ่จนล้นรถลากจากนั้นใช้เถาวัลย์มัดให้แน่นเพื่อไม่ให้มันล่วงระหว่างทาง ส่วนหลี่หลิวที่พกเสียมมาด้วยเดินออกมาจากป่าไผ่มาเรียกท่านพ่อไปช่วยเก็บหน่อไม้ที่นางหาไว้จำนวนนึง

"นี่เจ้าจะเอาไผ่ไปปลูกหรือแต่แบบนี้มันปลูกไม่ขึ้นหรอกนะ"

หลี่หงมองบุตรสาวอย่างสงสัยนางใช้เวลาที่ข้าและหลี่จงตัดไม้ไผ่มาหาต้นอ่อนของไผ่มาพอควร แต่ก็ใช่ว่าจะมีน้อยเพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีใครเอาต้นไผ่เล็กนี่กัน ต้องใช้ใช่ลำใหญ่แข็งแรงเพื่อที่จะเอาไปทำรั้วหรือสานเป็นตระกร้าส่วนต้นอ่อนก็ปล่อยให้มันได้เติบโต

"ฮ่าๆๆ ท่านพ่อนี่ก็ตลกนะเจ้าคะ มันจักปลูกได้เช่นไรรากมันก็ไม่มีเสียด้วยซ้ำ"

หลี่หลิวหัวเราะในมุกตลกของหลี่หงจนท้องแข็ง ทำไมข้าต้องเส้นตื้นด้วยนะมุกไม่ฮาแต่ขำกลิ้งถึงได้เพียงนี้

"แล้วเจ้าจะเอาไปทำอันใดเล่า"

พี่ใหญ่ที่เห็นน้องร้องหัวเราะจนเหนื่อยหอบ จึงถามขึ้นพร้อมเอามือลูบหลังให้น้องรองใจเย็นลงหน่อย ตั้งแต่ที่นางหายป่วยก็ชอบหยิบจับสิงแปลกๆมาเสมอ สิ่งที่ทุกคนมองข้ามกันนางก็เอามาทำอาหารแถมมันยังกินได้และอร่อยด้วย ไม่ว่าน้องรองจะทำอันใดข้าผู้เป็นพี่คงทำได้แค่สนับสนุนเจ้าต่อไป

"ได้ๆ ข้าจะบอกให้นะ นี่หน่ะคือหน่อไม้ของดีๆ"

"ต้นอ่อนของไผ่เจ้าเรียกว่ากะไร หน่อไม้งั้นหรือ"

หลี่หงผู้เป็นพ่อฟังที่บุตรสาวพูดออกมาแล้วก็เกิดความสงสัย มีใครเคยบอกนางเข่นนั้นงั้นรึ แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามันเป็นของดีอะไรเลยนักหรอกนะ

"โถ่ ท่านพ่อ นี่เป็นสุดยอดอาหารเช่นกันก่อนหน้านี้มันยังไม่โผล่พ้นดินข้าก็เลยไม่ทันสังเกตเห็น แต่ตอนนี้มันโผล่ออกมามากข้าเลยต้องมาเก็บเกี่ยวมัน พวกท่านช่วยข้าเก็บมันหน่อยข้าพึ่งได้แค่เจ็ดแปดหน่อเอง"

หลี่หงมองหน้าหลี่จงบุตรชายแล้วจึงพยักหน้าหากนางว่ากินได้คงกินได้จริง ก่อนหน้านี้บุตรสาวยังเก็บลูกหนามไปมากมายและเอามาให้ครอบครัวได้กิน ของที่คนอื่นมองไม่เห็นค่าใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ บางทีมันก็อาจกินได้จริงๆก็เป็นได้

"นี่ก็มากมายแล้วนะทั้งเห็ดโคนสามกลุ่มที่เจอตอนหาหน่อไม้ของเจ้า อีกทั้งหน่อไม้มากกว่าสามสิบหน่อ เรากลับกันเถอะหากนานกว่านี้ท่านแม่ของเจ้าจะเป็นกังวล"

เมื่อมองดูเวลาพระอาทิตย์ก็ขึ้นเหนือศีรษะเสียแล้วหลี่หงจึงถามบุตรสาวว่ามันเพียงแล้วหรือยัง หากกลับไปช้าก็กลัวเมียจะเป็นห่วงเอาได้

"ยังหรอกเจ้าค่ะ ดูนี่สิเจ้าคะข้าได้ไส้เดือนมาด้วย"

ใส้เดือนที่นางขุดได้มาดิ้นทุรนทุรายเพราะถูกสับด้วยเสียม นางขุดพวกมันมาทำไมกันหลี่หงมองไม่ออกเลยว่าบุตรสาวต้องการทำอะไรกันแน่

"ท่านพ่อตัดไม้ไผ่ลำเล็กนี่ให้ข้าสักสองอันหน่อยเจ้าค่ะ"

หลี่หลิวเขย่าแขนผู้เป็นพ่อเบาๆแล้วบอกให้ผู้เป็นพ่อทำเบ็ดตกปลาตามที่นางบอก เมื่อได้ไม้ไผ่ยาวสองเมตรมาสองอันที่ขนาดเท่านิ้วนางก็เอาเข็มที่นำมาจากบ้านท่านย่าสองอันออกมาแล้วร้อยด้วยด้ายเย็บผ้าที่ยาวหนึ่งเมตรครึ่งที่ทับกันสองเส้นเพราะกลัวดายจะเปาะเกินไป จากนั้นงอเข็มให้โค้งสุดท้ายใส่ใส้เดือนติดกับเข็มทั้งสองอันเป็นอันมัดกับไม้ไผ่ก็เสร็จสิ้น จากนั้นย่อนใส้เดือนที่ดิ้นไปมาลงในน้ำ ฝูงปลาน้อยใหญ่เห็นของกินที่ชอบก็แย่งกันงับหลี่หลิวบอกพี่ใหญ่และท่านพ่อคอยจังหว่ะให้ปลากินเหยื่อแล้วรีบดึงคันเบ็ดขึ้นโดยเร็ว สองพ่อลูกเมื่อเห็นว่าทำเช่นนี้ก็ได้ปลาแล้วจึงสนุกกับการตกปลาอยู่พักใหญ่จนได้ปลามาสิบกว่าตัวจึงได้พากันร้อยปลาโดยใช้เถาวัลย์ร้อยตรงเงือกปลาทะลุออกทางปากทำเป็นสองพวงมัดรวมกันแล้วไว้วางบนรถลาก ได้ทั้งปลาเห็ดหน่อไม้และเกาลัดเจ้าเล็กที่กินจุได้อิ่มท้องสมใจอย่างแน่นอน หลี่หงมองบุตรสาวที่ฉลาดเฉลียวรู้จักคิดประดิษฐ์สร้างสันสิ่งแปลกใหม่ให้เขาได้เปิดหูเปิดตาอย่างประหลาดใจ ลูกสาวข้าเก่งกาจขนาดนี้ตั้งแต่ยังเล็กภายภาคหน้าต้องได้ดิบได้ดีเป็นแน่ พ่อคนนี้จะสนับสนุนเจ้าเอง หลี่หงยิ้มแก้มแทบปริจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ และเอ่ยชมบุตรสาวและบุตรชายไม่ขาดปากในขณะที่ลากรถลาก โดยมีเด็กสาวเดินตามพรางเล่นเด็ดดอกไม้ดอกหญ้าทำมุงกุฎไปตามทาง

"นี่ก็เลยเที่ยงวันมาแล้วเหตุใดพวกพี่ๆของเจ้ากับพ่อของเจ้ายังไม่กลับมาอีกเล่า"

หวังลู่ที่ยังไม่เปลี่ยนนามสกุลตามสามีเอ่ยปากขึ้นอย่างร้อนรน ได้ข่าวว่าบนเขามีสัตว์น้อยใหญ่อยู่มากมายคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ ยิ่งคิดนางยิ่งหวั่นวิตก

"นั่นไงๆ ท่านแม่ใช่รถลากท่านพ่อหรือไม่ มีไม้ไผ่เต็มรถเลยขอรับ"

"ไหนดูซิ ใช่แล้วๆนั่นคือท่านพ่อและพี่ๆของเจ้า ปลอดภัยก็ดีแล้ว ปลอดภัยก็ดี"

เมื่อเห็นสามพ่อลูกกลับมาอย่างปลอดภัยนางก็โล่งอกคลายกังวน

"ท่านพ่อ!! ทางนี้ขอรับ ทางนี้"

หลี่เฉินที่ช่วยท่านแม่ถางหญ้าที่รกและหนาทึบออกจนโล่งกว้างโบกมือกระโดดไปมาเหมืนลิงค้าง

"ดูน้องเล็กเจ้าสิดีใจอย่างกับรู้ว่าจะได้กินของอร่อยฮ่าๆๆ"

หลี่หงภูมิใจที่สามารถทำให้ครอบครัวได้อิ่มท้อง พวกเด็กๆจะไม่ต้องทนหิวอีกต่อไป พอคิดถึงอาหารการกินพรุ่งนี้ต้องไปซื้อข้าวสารของใช้มาเพิ่มเสียแล้ว ตอนออกมาจากบ้านใหญ่ข้าวสักเม็ดเขาก็มิกล้าที่จะนำติดไม้ติดมือมาด้วย ได้นำมาแค่ของในครัวเล็กที่ท่านพ่อยกให้เท่านั้น

"ท่านพ่อให้ข้าช่วยทำอาหารนะเจ้าคะ ข้าทำอร่อยนะฮิฮิ"

คราก่อนข้าโชว์ฝีมือไปหวังว่าท่านพ่อจะให้ข้าได้ทำมัน เพราะดูท่าแล้วท่านแม่คงทำเมนูที่ข้าอยากกินไม่เป็นอย่างแน่นอน

"ได้ๆ พ่อรู้แล้วเจ้าทำออกมาได้ดีทีเดียว"

หลี่จงหัวเราะเสียงดัง แน่นอนว่าอาหารที่น้องสาวของเขาทำนั้นถูกปากถูกใจเขาเป็นอย่างมากอร่อยกว่าท่านแม่ทำเสียอีก ดีจริงๆที่รสมือของน้องสาววัยหกขวบอร่อยได้เพียงนี้

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!