ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด ในยามนี้ไม่มีแม้กระทั่งเสียงของสัตว์อสูรตัวใดเลย คล้ายว่าพวกมันเกรงกลัวว่าเสียงของพวกมันจะไปรบกวนบางสิ่งบางอย่างที่เข้า
ขณะเดียวกัน ณ กลางป่าร้อยอสูรได้มีร่างของเด็กหญิงผู้หนึ่งนอนหลับไหลอยู่ โดยรอบกายของนางนั้นปรากฏสัตว์เทพในตำนานทั้งสี่ล้อมรอบ คล้ายจะคอยป้องกันอันตรายให้เด็กหญิงผู้นี้
แล้วสัตว์เทพคือสิ่งใด สัตว์เทพคือสิ่งที่มีตัวตนสูงส่งเหนือสัตว์อสูรทั้งปวง แม้ว่าจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสามโลก แต่ตัวตนของพวกมันนั้น เป็นสิ่งที่หน้าเกรงขามและยังเป็นตัวตนที่สูงส่งเป็นอย่างมาก
สัตว์เทพทั้งสี่ประกอบด้วย มังกรฟ้า เสือขาว หงส์แดง และเต่าดำ ตัวตนที่ไม่ปรากฏให้เห็นในโลกมนุษย์มานับหมื่นๆ ปี และเหตุผลของการปรากฏตัวของพวกมันในครั้งนี้คงหนีไม่พ้นร่างเล็กที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงกลางนี้อย่างแน่นอน
'การกลับมาครั้งนี้ของท่าน จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป'
เสียงของมังกรฟ้าเอ่ยขึ้น พร้อมมองไปยังร่างของผู้เป็นนาย ที่บัดนี้รอเพียงให้ผู้เป็นนายตื่นจากการหลับไหลเท่านั้น
"ฮึก! เจ็บปวดเหลือเกิน! "
ไป๋เฟิ่งเซียนลืมตาตื่นขึ้น ร่างของนางเจ็บปวดรวดร้าวคล้ายกับว่าร่างเล็กนี้จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
'นี่ข้าตายไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงยังเจ็บเช่นนี้'
เฟิ่งเซียนที่ตอนแรกสงสัยว่าเหตุใดตนถึงเจ็บปวดมากมายขนาดนี้ ทั้งที่นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้นางถูกคนที่นางเชื่อใจและถูกนักฆ่าขององค์กรเดียวกันหักหลังและสังหารไปแล้วไม่ใช่หรือ ไม่สินางตายไปแล้ว สิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดคงเป็นสัตว์เทพทั้งสี่ที่อยู่ตรงหน้านาง
"นายหญิง ยินดีต้อนรับกลับมาขอรับ/เจ้าค่ะ"
เสียงของสัตว์เทพทั้งสี่ดังขึ้น พร้อมกับศีรษะของพวกมันที่โค้งทำความเคารพนาง ท่าทีที่แสดงออกมาด้วยความเคารพ ประกอบกับคำเรียกขานที่ไม่คุ้นชินทำให้นางเกิดความสงสัย
"ฮึก!! ปวดหัว!"
เฟิ่งเซียนที่ในตอนนี้กำลังสับสนมึนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า ก็เกิดอาการปวดหัวขึ้นมา ความทรงจำของร่างเล็กนี้ได้ถูกส่งมาถึงนาง
ร่างเล็กนี้มีนามว่า ไป๋เฟิ่งเซียน เหมือนกับชื่อของนางในโลกก่อน เป็นบุตรคนที่สี่ของเสนาบดีฝ่ายซ้าย โดยเฟิ่งเซียนนั้นเกิดจากฮูหยินใหญ่ ผู้ที่ไม่เป็นที่รักใคร่ของของสามี
ฮูหยินผู้นี้เมื่อท้องเฟิ่งเซียน ร่างกายก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ จนในวันคลอดนั้นแม้ว่าตัวของเฟิ่งเซียนจะคลอดออกมาอย่างปลอดภัย แต่มารดานั้นได้ลาโลกไปในเวลาต่อมา
ด้วยที่ไม่ได้รับความโปรดปราน ตัวของเฟิ่งเซียนนั้นก็ไม่เคยได้รับความรักความเอ็นดูจากผู้เป็นบิดาเลยสักครั้ง ต่างจากบุตรของฮูหยินรองสตรีที่บิดารัก บุตรของนางทุกคนต่างได้รับความรักและสิ่งที่ดีที่สุดจากบิดาเสมอมา
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้มาตลอดสิบปี จนถึงวัยที่ต้องไปทดสอบพลังปราณ
ปรากฏว่าเฟิ่งเซียนไม่มีพลังใดๆ เลย จากที่ไม่เป็นที่รักใคร่อยู่แล้ว ทุกสิ่งอย่างยิ่งเลวร้ายกว่าเดิมมาก
ทำให้ชีวิตยากลำบากขึ้นไปอีก ผู้คนต่างกร่นด่าว่านางว่าเป็นเพียงขยะไร้ค่าของตระกูล ไม่มีประโยชน์ใดๆ ที่ท่านเสนาบดียังเลี้ยงดูอยู่ก็ถือว่าเป็นบุญคุณมากแล้ว
ข้ารับใช้ที่แม้เมื่อก่อนจะไม่ได้ทำดีกับนาง ในวันนี้กลับกลายเป็นว่ายิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ต่างนำนางไปนินทาต่อว่า อาหารที่เคยได้รับนั้นแม้ว่าจะน้อยอยู่แล้ว ก็แทบจะเหลือเพียงผักต้มกับน้ำซุปจืดๆ เท่านั้น
แต่ที่เลวร้ายที่สุดคงเป็นการที่นางถูกคนในจวนลอบทำร้าย และวางยาพิษหวังจะสังหารนาง เพื่อกำจัดให้พ้นๆ ไป ก่อนจะนำนางมาโยนทิ้งที่ป่าร้อยอสูรแห่งนี้ ใครจะคิดว่าร่างของเฟิ่งเซียนจะมีเฟิ่งเซียนอีกคนเข้ามาอยู่เเทนหลังจากที่เจ้าของร่างเดิมจากไปได้ไม่นาน
เฟิ่งเซียนที่รับรู้เรื่องราวทุกอย่างแล้วจึ่งตั้งสติก่อนจะค่อยๆ หันไปมองสัตว์เทพทั้งสี่ในยามนี้นางเข้าใจเหตุการณ์ของแม่หนูน้อยผู้นี้แล้ว แต่ในความทรงจำไม่เคยมีตัวตนทั้งสี่นี้อยู่เลย
"พวกเจ้าเป็นใครกัน แล้วที่เรียกข้าว่านายหญิงมันหมายความว่าอย่างไร"
เฟิ่งเซียนที่เดิมเป็นนักฆ่าอยู่แล้ว ย่อมรับรู้ได้ทันทีว่าตัวตนปริศนาทั้งสี่นี้ไม่ได้กลิ่นอายสังหารออกมา ย่อมไม่ได้หวังเอาชีวิตนางแน่
"พวกเราเป็นสัตว์เทพในพันธะสัญญาของท่านเจ้าค่ะ" เสียงของหงส์แดงเอ่ยขึ้น
"เป็นไปได้อย่างไร ร่างของเฟิ่งเซียนไม่มีแม้แต่พลังปราณ จะมีพวกเจ้าเป็นสัตว์ในพันธะได้อย่างไร"
เฟิ่งเซียนที่ตอนนี้ได้แต่ฉงนอยู่ในใจ ตัวของเฟิ่งเซียนนั้นไม่มีพลังปราณ แล้วในความทรงจำก็ไม่เคยมีสัตว์เทพทั้งสี่ปรากฏอยู่
"นายหญิง พวกเรานั้นเป็นสัตว์เทพในพันธะของท่านจริง แต่เพียงไม่ใช่ชาติภพนี้ขอรับ นายหญิงพวกเรารอท่านมานานเหลือเกิน"
เสียงของเสือขาวขานตอบผู้เป็นนาย น้ำเสียงที่แสดงถึงความโศกเศร้าปนความดีใจได้แสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง พวกตนนั้นรอคอยการกลับมาของผู้เป็นนายมานับหมื่นๆ ปี ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
เฟิ่งเซียนที่พอจะจับต้นชนปลายถูกบ้างแล้ว ก็พอจะเข้าใจในเรื่องราวคร่าวๆ
พวกเขาคงเคยทำพันธะกับนางชาติใดชาติหนึ่ง ถึงตอนแรกจะไม่อยากเชื่อ แต่การที่นางกลับมาเกิดใหม่ในร่างนี้ได้ นี่ก็เป็นเหมือนครื่องยืนยันได้แล้ว
"นายหญิงท่านเพิ่งจะฟื้น ร่างกายยังมีแต่บาดแผล ท่านพักเสียหน่อยเถิด รอเมื่อร่างกายแข็งแรงดีพวกเราจะอธิบายเกี่ยวกับโลกใบนี้ให้ท่านฟัง"
เฟิ่งเซียนก้มมองถ้วยโอสถที่มาจากที่ใดไม่อาจรู้ได้ขึ้นมากินตามที่สัตว์เทพบอกทันที หลังจากกินได้ไม่นานร่างกายของนางเริ่มดีขึ้น แผลที่เคยเจ็บปวดเริ่มทุเลาลงไป ก่อนที่นางจะหลับไหลไปอีกครั้งโดยมีสัตว์เทพทั้งสี่คอยเฝ้าดูแลอยู่
************
เฟิ่งเซียนตื่นขึ้นมาหลังจากที่หลับไปถึงสามวัน แต่เมื่อนางลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งที่ปรากฏต่อหน้านั้น ก็ทำให้นางนิ่งค้างไปในทันที
'ที่นี่ที่ไหนกัน เหตุใดถึงงดงามเพียงนี้'
เฟิ่งเซียนที่มั่นใจแล้วแน่ๆ ว่าตนยังไม่ได้ตาย แต่สถานที่ที่งดงามราวกับสวรรค์สร้างคือสิ่งใดกันแน่ ขณะที่สับสนมึนงงอยู่นั้นร่างของสัตว์เทพทั้งสี่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้านาง
"นายหญิงสถานที่นี้คือภายในมิติของท่านขอรับ"
เต่าดำที่รับรู้ถึงความสงสัยของผู้เป็นนายจึงเอ่ยขึ้น
"มิติ? มันคือสิ่งใดกัน?"
เฟิ่งเซียนที่ในภพชาติก่อนไม่เคยพบเจอสิ่งที่เรียกว่ามิติมาก่อน แม้แต่เฟิ่งเซียนเจ้าของร่างนี้เองก็ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งๆ นี้เลย
"มิตินั้นเปลี่ยนเสมือนโลกขนาดเล็กใบหนึ่ง และมิติแห่งนี้ เป็นสิ่งที่นายหญิงเป็นผู้สร้างขึ้นมา และติดตามนายหญิงไปทุกภพทุกชาติ เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดแย่งชิงมันไปได้
ภายในมิติแห่งนี้มีสิ่งล้ำค่ามากมาย ทั้งเงินทอง อาวุธศักดิ์สิทธิ์ แก่นวิญญาณอสูรชั้นสูง หยกธาตุต่างๆ รวมถึงสมุนไพร ที่มีอายุหลายพันหลายหมื่นปี น้ำอำมฤตที่เป็นสิ่งจำเป็นในการปรุงโอสถเองก็มีอยู่มากมาก
ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนแต่เป็นของนายหญิงทั้งสิ้น เพียงแต่ตอนนี้หลายสิ่งอย่างในมิติยังไม่อาจปรากฏขึ้น เนื่องด้วยพลังของนายหญิงในตอนนี้ที่ยังไม่ตื่นเต็มที่ พื้นที่ของมันเลยปรากฏขึ้นมาเพียงสี่ในสิบส่วนเท่านั้นขอรับ"
เฟิ่งเซียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ สิ่งที่เต่าดำอธิบายนางเข้าใจทุกสิ่ง รวมถึงสาเหตุที่ในชาติก่อนมันไม่ปรากฏขึ้น นั่นอาจจะเป็นเพราะ ณ โลกแห่งนั้นนางไม่มีพลังลมปราณที่เป็นสิ่งสำคัญในการเปิดใช้มิติก็เป็นได้
แต่มีอีกสิ่งที่นางยังคงข้องใจอยู่นั่นคือ เหตุใดนางที่เดิมทีไม่มีพลังลมปราณเลยนั้น ถึงสามารถสัมผัสได้ถึง พลังปราณบริสุทธิ์
เต่าดำที่คล้ายเข้าใจความคิดของนายจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
"นายหญิง สิ่งที่ท่านสงสัยคงเป็นพลังในตัวท่านกระมัง เดิมทีร่างของคุณหนูไป๋ผู้นี้ต้องพิษอยู่ขอรับ แต่โอสถที่พวกเราในท่านดื่มนั้นมีส่วนผสมเลือดของพวกเราทั้งสี่ที่เป็นสัตว์เทพอยู่
กอปรกับพลังของนายหญิงที่ตื่นขึ้นมา จึงสามารถขับพิษและกลับมาฝึกลมปราณได้อีกครั้งขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยขออธิบายเรื่องพลังธาตุเลยแล้วกัน
พลังธาตุในโลกนี้ประกอบด้วย ธาตุสามัญและธาตุหายากขอรับ
ธาตุสามัญประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ
ธาตุหายากได้แก่ น้ำแข็ง สายฟ้า ไม้ ไฟโลกันต์
ทั้งนี้ยังมีธาตุพิเศษที่ไม่ปรากฏมานับหมื่นๆ ปี คือ แสง ความมืด และมิติ
ผู้ฝึกลมปราณแบ่งออกเป็นสองสาย
ได้แก่ ผู้ฝึกวรยุทธ์ และผู้ปรุงโอสถ แต่เดิมยังมีผู้ใช้มิติด้วยอีกสาย
แต่สาบสูญไปนานหลายหมื่นปีจนชนรุ่นหลังลืมเลือนการมีอยู่ไปแล้ว"
"แล้วข้าเล่า มีธาตุใดบ้าง"
"เรียนนายหญิงท่านมีธาตุ ดิน ลม น้ำแข็ง ไม้ ไฟโลกันต์ รวมถึงธาตุพิเศษอย่าง แสง และ มิติ ขอรับ "
เฟิ่งเซียนนึกตกตะลึงในใจ นางถึงกับมีเจ็ดธาตุเลยหรือ เหตุใดจึงมากมายเพียงนี้
"เหตุใดกัน เหตุใดถึงมีมากเพียงนี้"
หงส์แดงที่เงียบมานานจึงเอ่ยขึ้น
"เพราะนายหญิงไม่ใช่เพียงคนธรรมดาอย่างไรเล่าเจ้าคะ ยังมีเรื่องที่เราไม่สามารถบอกนายหญิงได้ เมื่อถึงเวลานายหญิงจะเข้าใจทุกอย่างเองเจ้าค่ะ"
เฟิ่งเซียนพยักหน้า ถึงนางจะมีข้อข้องใจอยู่บ้างแต่นางยังมีเวลาศึกษาอีกนาน ค่อยๆ เรียนรู้ไปก็ไม่สาย
" ที่นี่ตำราให้ศึกษาหรือไม่ ข้าต้องการแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด"
เฟิ่งเซียนนั้นเมื่อมาอยู่ในร่างนี้สิ่งที่ควรทำก็มีมากมาย รวมถึงการแก้แค้นผู้ที่สังหารอดีตเจ้าของร่าง
ในโลกที่ความแข็งแกร่งคือความถูกต้องพลังเป็นสิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดนี้ หากอ่อนแอย่อมถูกรังแก หากแข็งแกร่งย่อมปกป้องผู้ที่รักได้
"นายหญิงอย่าห่วงเลยเจ้าค่ะ ที่นี่มีทุกอย่างที่ท่านต้องการ หากไม่เข้าใจสิ่งใดพวกข้าย่อมสามารถอธิบายแก่ท่านได้ ส่วนสถานที่ฝึกนั้นเราย่อมฝึกกันในมิตินี้ ที่มีปราณหนาแน่น เพื่อที่จะให้ท่านก้าวหน้าเร็วยิ่งขึ้น เราจะฝึกกันในมิติจนนายหญิงอายุครบสิบสี่หนาวเจ้าค่ะ"
เฟิ่งเซียนพยักหน้า นางเข้าใจทุกอย่าง และมีความมุ่งมั่นอย่างมากในการฝึก นางจะแก้แค้นทุกคนที่เคยทำร้ายเฟิ่งเซียนคนก่อนไว้ นางจะมิยอมให้ผู้ใดมาใช้อำนาจข่มแหงนางเช่นกัน ไม่ว่าผู้ใด!!
*********
เฟิ่งเซียนกำลังนั่งศึกษาข้อมูลของโลกนี้อยู่ก็ได้ทราบว่า โลกแห่งนี้ประกอบด้วยแคว้นทั้งหมดห้าแคว้นมีการจัดลำดับความแข็งแกร่งขึ้นทุกๆ ห้าปี โดยที่ปีล่าสุดที่มีการประลองไปคือเมื่อปีที่ผ่านมา
แคว้นที่ได้ลำดับหนึ่งคือ แคว้นจ้าว แคว้นฉิน แคว้นหาน แคว้นฉี และแคว้นเว่ย ตามลำดับ แต่ละแคว้นตั้งชื่อตามราชวงค์ที่ปกครองแคว้นนั้นๆ
และแคว้นที่นางอาศัยอยู่ก็คือ แคว้นฉี แคว้นที่อยู่ลำดับที่สี่ แคว้นของนางไม่ใช่ว่าจะมีเพียงผู้ที่อ่อนแอ แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแคว้นอื่นที่มีอัจริยะมากกว่า ย่อมไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้
หลังจากที่นางได้ศึกษาข้อมูลของโลกนี้มาหลายวัน นางก็ตระหนักได้ว่า ในโลกของผู้ฝึกลมปราณแห่งนี้มีคนเก่งมากมาย ทั้งคนดีและคนชั่ว มีพรรคธรรมมะ และพรรคมาร หากอยากเเข็งแกร่งขึ้น ลำพังตัวนางคงสู้กับคนทั้งโลกไม่ได้
สัตว์เทพเองก็เป็นตัวตนศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถออกมาช่วยนางตลอดได้ นางจึงคิดว่าในเมื่อโลกนี้มีพรรคมากมาย ก็คงไม่แปลกอันใดหากนางจะก่อตั้งสำนักเพื่อเป็นกำลังของตนขึ้นมา
'แต่ใจคนนั้นยากแท้ยั่งถึง นางจะหาคนที่สามารถเชื่อใจมากมายเช่นนั้นได้จากที่ใดกัน'
เฟิ่งเซียนคิดว่าหากนางนำเรื่องนี้ไปปรึกษาสัตว์เทพทั้งสี่ อาจมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจของนางเป็นแน่ เฟิ่งเซียนเดินออกจากกระท่อมที่ดูจากภายนอกแล้วอาจจะดูเล็กมาก แต่แท้จริงแล้วด้านในนั้นกลับใหญ่โตเปรียบได้กับจวนหลังใหญ่เลยทีเดียว
"ข้ามีเรื่องจะปรึษาพวกเจ้า เดิมทีก่อนหน้าคิดว่าอายุครบสิบสี่หนาวค่อยลงมือก็คงไม่สาย แต่จากที่ข้าศึกษาจากตำราของโลกนี้นั้น หากเราลงมือก่อนย่อมเป็นผลดีแก่เราในภายหน้า"
"เรื่องอันใดหรือขอรับ"
"ข้าอยากจัดตั้งสำนักของตนขึ้น ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะอายุเพียงสิบหนาว และมีพวกเจ้าปกป้อง แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ ในโลกใบนี้มีผู้แข็งแกร่งมากมานัก หากเรามีกองกำลังที่สามารถต่อกรกับโลกนี้ได้เร็วขึ้นคงเป็นสิ่งที่ดี" สัตว์เทพทั้งสี่พยักหน้า
"จริงอย่างที่นายหญิงว่า พวกข้าน้อยคงดีใจกับการกลับมาของนายหญิงมากเกินไป เห็นทีพวกเราคงต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนการบางส่วนแล้ว" เสือขาวเสนอขึ้นมา
"ตัวข้าในตอนนี้อายุเพียงสิบหนาว จะทำสิ่งใดคงลำบาก หากได้พวกเจ้าช่วยย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่พวกเจ้าเป็นสัตว์เทพหากผู้ใดเห็นเข้าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่"
เฟิ่งเซียนหนักใจกับเรื่องนี้ที่สุด ถึงแม้ในเวลาอันใกล้ตนจะแข็งแกร่งขึ้นมาได้บ้าง แต่หากจัดการทุกอย่างเพียงคนเดียวย่อมเกินขีดความสามารถของนางในตอนนี้อยู่มาก
"นายหญิง พวกเราสัตว์เทพนั้นไม่เหมือนกับสัตว์อสูรทั่วไป พวกเราสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ขอรับ"
มังกรฟ้าเชิ่ดหน้าอย่างภูมิใจ พวกตนนั้นเป็นถึงสัตว์เทพ จะธรรมดาสามัญได้อย่างไร
"จริงหรือ เช่นนี้ก็ดีในเวลาที่ข้าเก็บตัวฝึกฝนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องสำนักที่เราจะตั้งขึ้นมา"
หลังจากที่เฟิ่งเซียนกล่าว สัตว์เทพทั้งสี่ก็แปลงกายเป็นมนุษย์ต่อหน้านางทันที
โดยมังกรฟ้านั้น เมื่อแปลงกายเป็นมนุษย์รูปร่างหน้าตาคล้ายบัญฑิตรูปโฉมสง่างาม สวมอาภรณ์สีฟ้าคราม แผ่กลิ่นอายอบอุ่นชวนมอง
หงส์แดงนั้น รูปโฉมงดงามเย้ายวน สวมอาภรณ์สีแดงเพลิงหรูหรา กอรปกับรูปหน้าที่งดงามปานจะล่มเมืองของนาง คงไม่มีบุรุษใดมองผ่านโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองแน่
ต่อมาเป็นเสือขาว ที่พอแปลงกายเป็นมนุษย์ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ใบหน้าที่หล่อเหลา คล้ายองค์ชายแห่งแคว้นก็ไม่ปาน อาภรณ์ที่สวมใส่เป็นสีขาวบริสุทธิ์งดงาม สูงส่ง เมื่อมองแล้วจิตใจบริสุทธิ์คล้ายว่าถูกชำระจิตใจเสียอย่างนั้น
สุดท้ายคือเต่าดำ ท่าทางองอาจยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม กอรปกับอาภรณ์สีดำตัดเงินที่สวม ยิ่งดูหน้าเกรงขามกลิ่นอายที่แผ่ออกมา คล้ายกลิ่นอายของชายชาตินักรบ ความแข่งแกร่งและดุดันนี้แม้แต่แม้ทัพแห่งแคว้นก็ไม่อาจเทียบได้
เฟิ่งเซียนพยักหน้าด้วยความพอใจ ตัวตนที่ดูแค่ภายนอกก็รู้ว่าย่อมไม่ธรรมดา
"เช่นนั้นข้าอยากให้พวกเจ้าช่วยข้าคัดเลือกคนของเราเสียหน่อย ตัวข้าในตอนนี้คงทำได้แค่เพียงต้องเริ่มฝึกฝนเท่านั้น ที่เหลือฝากพวกเจ้าด้วย ส่วนที่สถานที่จัดตั้งข้าเห็นว่าเราจะตั้งขึ้นที่นี่ ในเขตชั้นในของป่าร้อยอสูรแห่งนี้"
"นายหญิงไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ด้วยพลังของพวกข้าการสร้างสำนักขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องยาก นายหญิงไม่ต้องเป็นห่วง"
เฟิ่งเซียนพยักหน้าก่อนจะเดินกลับเข้าไปในกระท่อมเพื่อเข้าไปศึกษาสิ่งต่างๆ ต่อไป
เป็นเวลาเดียวกับที่สัตว์เทพทั้งสี่ออกไปจัดการสิ่งที่ผู้เป็นนายมอบหมาย
หลังจากเข้ามาในกระท่อมแล้วเฟิ่งเซียนได้หยิบตำราต่างๆ ออกมาอ่านเพื่อทำความเข้าใจในธาตุนั้นๆ นางตระหนักดีว่าเมื่อมีธาตุมาก การฝึกย่อมหนักหนากว่าคนธรรมดามากนัก เฟิ่งเซียนเริ่มจากการศึกษาระดับของพลังปราณก่อนเป็นอันดับแรก
พลังปราณนั้นมีทั้งสิ้น เก้าระดับ
นั้นประกอบด้วย ระดับ ก่อเกิด
ระดับ หลอมรวม
ระดับ ผู้ฝึกตน
ระดับ นักรบ
ระดับ แม่ทัพ
ระดับ กษัตริย์
ระดับ ราชันย์
ระดับ เซียน
และ ระดับ ตำนาน
แต่ละขั้นแบ่งเป็น3ขั้นย่อยคือ ชั้นต้น ชั้นกลาง ชั้นปลาย
ส่วนผู้ปรุงโอสถนั้นแบ่งได้ดังนี้
ระดับ นักปรุงโอสถขั้นก่อเกิด
ระดับ นักปรุงโอสถขั้นหลอมรวม
ระดับ นักปรุงโอสถขั้นพื้นฐาน
ระดับ นักปรุงโอสถขั้นกลาง
ระดับ นักปรุงโอสถขั้นสูง
ระดับ นักปรุงโอสถขั้นปรมาจารย์
ระดับ นักปรุงโอสถขั้นเซียน
และ ระดับ นักปรุงโอสถขั้นตำนาน
คุณภาพของโอสถนั้นขึ้นอยู่กับขั้นของผู้ปรุงเช่น
โอสถขั้นพื้นฐานผู้ที่สามารถปรุงได้คือผู้ที่มีระดับพื้นฐาน หรือมากกว่านั้นขึ้นไป
แต่ผู้ที่มีขั้นต่ำกว่าจะไม่สามารถปรุงโอสถที่มีระดับสูงกว่าตนได้ ความบริสุทธิ์ของโอสถจะขึ้นอยู่คุณภาพของสมุนไพรและความสามารถในการปรุงของผู้ปรุง และที่สำคัญที่สุด
ผู้ที่จะสามารถเป็นผู้ปรุงโอสถได้นั้นจำเป็นต้องมีคือ ธาตุไม้และไฟ และพลังจิตที่แข่งแกร่ง ในแต่ละครั้งที่เริ่มปรุงโอสถผู้ปรุงจะสูญเสียพลังรวมถึงพลังจิตไปมาก เพราะเหตุนี้ผู้ปรุงโอสถถึงมีน้อยนัก และยังเป็นตัวตนที่ได้รับความนับถืออย่างมากเลยทีเดียว
เฟิ่งเซียนที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็เข้าใจ ว่าเหตุใดโลกนี้ถึงยึดติดกับผู้แข็งแกร่งนัก ผู้แข็งแกร่งย่อมได้รับการนับถือ ผู้ที่อ่อนแอก็เป็นได้แค่มดตัวน้อยที่รอวันโดนกำจัดทิ้งเพียงแค่นั้น
หลังจากศึกษาระดับต่างๆ แล้ว เฟิ่งเซียนจึงเริ่มศึกษาการใช้พลังธาตุต่างๆ ในทันที
********
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!