Arthor : Banix
LTs : FrosZBit
Ilus : Gooble
ดาบที่ 1 : คามาโดะ ฮารุโตะ (1)
หลายคนมักจะสงสัยว่าการเกิดใหม่มันเป็นอย่างไง ในฐานะคนที่เคยเดินบนเส้นทางนี้
ผมสามารถบอกคุณได้อย่างเต็มอกว่ามันไม่ได้วิเศษเท่ากับสิ่งที่คุณคิดสักเท่าไร
อยู่ดีๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในต่างโลก พร้อมกับชีวิตใหม่ ฉันจำไม่ได้ว่าชาติที่แล้วผมเป็นอย่างไร แต่ผมก็ไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่
ยังไงก็เถอะ ผมไม่ใช่คนที่รับรู้อารมณ์ได้มากไร ความสุข ความทุกข์ ความเกียจชัง ความรัก อะไรก็แล่วแต่ ผมรู้สึกได้ แต่ไม่ถึงขนาดที่คนส่วนใหญ่จะรู้สึกได้ ผมรู้ว่าผมไม่ปกติ และผมก็ไม่อยากถูกมองว่าแปลกแยกด้วย ดังนั้นผมจึงปกปิดข้อเท็จจริงนี้ของผมเป็นอย่างดี โดยแสร้งทำเป็นเหมือนคนอื่นๆ
ชีวิตใหม่ของผมคงเรียกว่าชีวิตที่ดีไม่ได้ซ่ะทีเดียว ผมอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นยุคศักดินา …หรืออย่างน้อยก็คิดว่าใช่ หรืออะไรทำนองนั้นเพราะผมไม่เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ครอบครัวของผมเป็นคนเผาถ่าน. อาชีพของครอบครัวเราคือการผลิตถ่านและจำหน่ายมาหลายชั่วอายุคน ถึงจะไม่ใช่หนทางทำมาหากินที่ดีที่สุดแต่เป็นชีวิตที่สุจริต เราไม่ได้มีรายได้มาก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เราอิ่มและอบอุ่น.
ผมคิดว่าผมมีความสุขกับชีวิตที่สองของผมแล้ว ผมมีพ่อแม่ที่รักคู่หนึ่ง แม้แต่สำหรับใครบางคนอยางผมที่บกพร่องทางอารมณ์ ถึงจะช้าแต่ชัวร์ ผมคิดว่าอารมณ์อันเยือกเย็นที่ติดตามมาในโลกนี้นั้นละลายลง และเริ่มรู้สึกเหมือนคนทั่วไปแล้ว
ผมรู้สึกได้ ผมสามารถยิ้มอย่างจริงใจบนใบหน้าได้ช้าๆ เมื่อเวลาผ่านไป ผมไม่จำเป็นต้องซ่อนอีกต่อไป ผมเริ่มที่จะยอมรับผู้ใหญ่สองคนที่นำผมมาสู่โลกนี้ในฐานะพ่อแม่ที่แท้จริงของผม
คามาโดะ ฮารุโตะ นั่นชื่อของผม ปัจจุบันผมเป็นลูกคนโตและคนเดียวในครอบครัว ด้วยเหตุผลบางอย่างของเรา ชื่อสกุลนั้นมันคุ้นเคยมาก เหมือนแค่จำได้แต่ลองนึกดูก็จำไม่ได้ว่าทำไมเป็นเช่นนั้น พยายามที่จะจำได้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้ เหมือนกับมีอาการคันที่พยายามที่จะเกาแต่ก็ทำไม่ได้ ถว่าเช่นเดียวกับอาการคันอื่นๆ เมื่อเวลาผ่านไปก็จะลืมไปเอง
ตอนที่แม่ของผมได้ตั้งท้องน้องชายของผม ทั้นใดนั้นก็จำได้ว่าชื่อ คามาโดะ มีความหมายที่แท้จริงว่าอย่างไร
"ถ้าเรามีลูก เราจะตั้งชื่อเขาว่าทันจิโร่! เป็นพี่ชายที่ดีล่ะ เข้าใจไหม"
ทันจิโร่ —คามาโดะ ทันจิโร่
นักล่าอสูร
ผมกรีดร้อง ด้วยความเจ็บปวดเฉียบพลันที่เต้นตุ๊บๆ ในหัวณ.ขณะนั้น เกินกว่าที่ผมจะทนไหว ราวกับเขือนกันน้ำในจิตใจของผมได้เปิดออก ความทรงจำที่ผมคิดว่าลืมไปแล้วเริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้งในจิตใจของโดยที่ไม่สามารถควบคุมมันได้
—และผมก็ได้สลบไป…
พ่อแม่ของผมกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาอยากให้หมอตรวจผม แต่ผมก็รีบห้ามพวกเขาโดยบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว พวกเขายอมไม่เชื่อ แต่สุดท้ายก็ยอมเมื่อพวกเขาเห็นว่าผมไม่เป็นไร
แต่ความจริงนั้นจะไม่เป็นไรได้ยังไง
ถูกต้องแล้วที่ผมเกลียดอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ผมอยู่ที่นี่ และเล่นตลกกับผมอย่างโหดร้าย เมื่อผมเริ่มมีความรู้สึกอีกครั้ง เมื่อผมยอมรับว่านี้เป็นครอบครัวใหม่ของผมอย่างแท้จริงและพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ ผมต้องแบกรับภาระที่ล่วงรู้ ถึงยังจะจำซีรีส์ทั้งหมดได้ไม่ครบถ้วน แต่ฉันจำประเด็นสำคัญและเหตุการณ์ทั้งหมดได้ อีกไม่กี่ปีพ่อก็จะตาย อีกไม่กี่ปี มุซัน ก็จะมาถึง
ทุกคนยกเว้นทันจิโร่และเนซึโกะที่ยังไม่เกิดจะต้องตาย
ผมไม่เคยรู้สึกหมดหนทางไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่อยากให้พวกเขาตาย แต่ทำไงได้?
เรากำลังพูดถึง มุซัน ไม่มีมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่สามารถฆ่าเขาคนเดียวได้
ควรทำอย่างไรดี? จะทำอย่างไง
—แต่ในไม่ช้าคำตอบของผมก็มาถึง ยังมีสิ่งที่ผมทำได้
ในฐานะลูกชายคนโตของครอบครัว ผมจำเป็นต้องเรียนรู้การร่ายรำระบำของเทพแห่งไฟ ซึ่งเป็นบางสิ่งที่ส่งต่อจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูกควบคู่ไปกับต่างหูฮานาฟุดะ ผมเคยเห็นพ่อใช้เจ้านี้เต้นรำตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดินจนถึงพระอาทิตย์ขึ้นทุกปี ผมไม่รู้ว่าทำไมมันถึงไม่สะดุดใจจนกระทั่งค้นพบว่าตัวเองนั้นเกิดที่ไหน
ในตอนนี้ ผมเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของ "ระบำเเห่งเทพไฟ, ปราณตะวัน" ในโลกนี้ผมอายุมากกว่าทันจิโร่สี่ปี ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเข้ามาอยู่ในครอบครัวคามาโดะและทำไมถึงลงเอยด้วยการเป็นลูกชายคนโต แต่เพียงคิดว่าผมเป็นคนโตที่สุดและสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทำให้ผมอาจจะรู้สึกถึงอารมณ์ที่แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน…
ผมอยากจะปกป้องพวกเขาจริงๆ ทันจิโร่ เนซึโกะ และพี่น้องที่ยังไม่เกิดของผม ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้เพียงแค่มองท้องแม่ที่กำลังตั้งท้อง แต่ก็รู้สึกอย่างนั้น
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงอารมณ์ที่รุนแรงในอกของผม บวมจนแทบจะกัดกินฉันไปทั้งตัวและทำให้ฉันลืมว่าตัวตนที่แท้จริงของผมคืออะไร เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกโล่งใจ
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจ
ผมจะปกป้องครอบครัวนี้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ผมอาจล้มเหลว มูซันอาจจะยังมาฆ่าทุกคนที่ผมรัก ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน แต่ผมจะพยายาม…
และผมก็อายุสี่ขวบ ในตอนที่ทันจิโร่ตัวน้อยมาถึงโลกนี้ ผมขอร้องให้พ่อสอนระบำเทพแห่งไฟให้ โดยบอกว่ามันดูสวยจริงๆ และก็อยากจะเรียนรู้วิธีการเต้นรำกับเขาสักวันหนึ่ง
เป็นครั้งแรกที่ผมพูดโกหกป่นความจริง จริงอยู่ที่ใจส่วนหนึ่งอยากเต้นรำในพิธีกรรมทุกปี การมองดูทันจิโร่ที่หลับใหลในอ้อมแขนของฉันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกนี้ในใจ
ผมอยากจะปกป้องเขา
ทันจิโร่ ตัวเอกของเรื่องแต่งหรือไม่ผมไม่สนใจ พี่น้องในอนาคตของผม จะเป็นตัวละครรองจากนิยายหรือไม่ ผมไม่สนใจ ในที่สุดผมก็มีเป้าหมายในชีวิตที่อยากจะไขว่คว้า
ผมต้องการให้ครอบครัวของฉันมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าผมจะต้องเจอกับอะไร พวกเขาอาจจะเป็นตัวละครในอีกชีวิตหนึ่ง แต่ตอนนี้ พวกเขาคือครอบครัวของผม ห้องหยุดไม่ให้มูซันแตะต้องพวกเขาเด็ดขาด
ด้วยความคิดเหล่านี้ผมจึงเริ่มเรียนรู้การร่ายรำของเทพแห่งไฟจากพ่อเมื่ออายุสี่ขวบ เขาดูภูมิใจในตัวผมเมื่อผมบอกว่าอยากเรียนเต้นจากเขาและส่วนหนึ่งของผมก็ไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง
ดังนั้นผมจึงได้เรียนรู้วิธีการเริงระบำนั้น….
Arthor : Banix
LTs : FrosZBit
Ilus : Gooble
ดาบที่ 2: คามาโดะ ฮารุโตะ (2)
ผมเริ่มร่ายรำ ระบำแห่งเทพไฟ
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมไม่มีใครเชี่ยวชาญปราณตะวัน มันไม่ง่ายเลย แค่เคลื่อนไหวก็แทบหยุดหายใจแล้ว ผมนึกไม่ออกเลยว่าพ่อจะเต้นรำตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดินจนถึงพระอาทิตย์ขึ้นทุกปีได้อย่างไงโดยไม่รู้สึกอะไรนอกจากความเหนื่อยล้าเล็กน้อย
ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มรู้ว่า ระบำแห่งเทพไฟ นั้นจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆ หน้อยๆ
มุมที่คุณวางเท้า ทุกๆ ลมหายใจที่คุณหายใจเข้าและออก ระยะเวลาหายใจเข้าและออกสั้นเพียงใด ความสูงหรือต่ำที่คุณยกแขนขึ้น ความแรงที่คุณวางลงในแขน
มีตัวแปรมากมายที่จำเป็นต้องทำให้ถูกต้อง เพื่อที่จะเชี่ยวชาญ ระบำเทพแห่งไฟ ได้อย่างแท้จริง ขาดรายละเอียดเพียงนิดเดียวก็ไม่สามารถทำให้สมบูรณ์ได้
แต่ผมต้องทำ นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมอาจช่วยปกป้องครอบครัวจากอันตรายที่ผมมั่นใจว่าจะมาถึงสักวันหนึ่ง และตอนนี้ ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วด้วย โชคดีอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นคือผมกลับหลงใหล ระบำแห่งเทพไฟ ขึ้นมามากจริงๆ ในเวลาว่างที่ผมมีก็ฝึกฝนระบำแห่งเทพไฟตลอดเวลา จนถึงขั้นที่พ่อแม่ล้อผมว่าหมกมุ่นกับมันเกินไป จริงอยู่ ผมมีความหลงใหลและแรงจูงใจในการเรียนรู้ระบำแห่งเทพไฟ แต่โชคดีที่ความหลงใหลนั้นไม่ใช่แค่ชั่วคราว แต่เป็นความหลงใหลอย่างแท้จริง
ดังนั้นผมจึงเต้นต่อไป เนะซึโกได้เกิดมาแล้ว ผทก็ยังคงเต้นต่อไป ในช่วงหลายปีที่ผ่านไป ทาเคโอะ ฮานาโกะ ชิเกรุ และ โรคุตะ พวกเขาเกิดมาในครอบครัวเดียวกัน และการได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของพวกเขาทำให้ผมยืนยันสิ่งที่ผมคิดอีกครั้ง
เพื่อพวกเขา ผมต้องเต้นต่อไป
เพื่อพวกเขา ผมจะเต้นต่อไป
คุณพ่อป่วยได้ไม่นานหลังจากที่คุณแม่ตั้งครรภ์โรคุตะ ผมโตพอที่จะช่วยงานเลยช่วยงาน เช่น ผ่าฟืน เข้าเมืองไปขายถ่าน และซื้อของให้ครอบครัว ผมทำเท่าที่ทำได้โดยไม่ให้พ่อแม่ช่วย
ผมรู้ว่าสิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้น ผมรู้ว่าไม่มีทางหยุดสิ่งนี้ไม่ให้เกิดขึ้น แต่การได้เห็นมันเกิดขึ้นด้วยสองตาของผมเองนั้นก็ยังคงทิ้งรสขมไว้ในปาก
สักวันหนึ่งพ่อจะต้องตาย ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่และเร็วแค่ไหน แต่เขาจะตาย หลังจากช่วงเวลาที่แสนยากลำบากนั้น มุซัน ก็จะมาและครอบครัวของผมทั้งหมดจะตายและผมก็ไม่รู้ว่าจะหยุดมันอย่างไง…
ปีใหม่เวียนมาอีกครั้ง ครั้งนี้ผมขอพ่อ ให้ผมร่ายรำ ระบำเทพแห่งไฟ กับเขา เพราะผมไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เต้นแบบนี้อีกหรือไม่ พ่อของผมทำเพียงแค่ลูบหัวด้วยความรักพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
ยามเย็นนั้น เราสองคนเต้นรำทั้งสิบสองรูปแบบของ ระบำเทพแห่งไฟ ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น โดยมีแม่และพี่น้องของฉันคอยดู คืนนั้นเราร่ายรำกันไม่หยุดจนกว่าตะวันจะขึ้นอีกครั้ง ในคืนนั้น ในที่สุดผมก็เชี่ยวชาญการร่ายรำ ระบำเทพแห่งไฟ
หลังจากโรคุตะเกิดได้ไม่นาน จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของผมก็มาถึง มันเป็นวันธรรมดาอีกวันหนึ่ง ผมสับฟืน ลงไปที่เมืองเพื่อขายมัน และซื้อสิ่งที่จำเป็นสำหรับครอบครัว วันนั้นใช้เวลานานเล็กน้อยเพราะผมตัดสินใจช่วยคุณยายแบกตะกร้าที่ดูหนักอึ้งที่เธอกำลังยกลำบาก เมื่อก่อนผมไม่เคยใส่ใจเลยสักนิด แต่การอาศัยอยู่กับครอบครัวคามาโดะ ต้องเปลี่ยนผมแน่ๆ ผมรู้แล้วว่าทันจิโร่ไปเอาความใจดีนั้นมาจากไหน พ่อเราก็คล้ายทันจิโระอยู่แค่เงียบกว่ามาก แม่ยังบอกอีกว่าฉันเหมือนพ่อมาก เงียบขรึม ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ แต่ก็เป็นผู้ชายที่ทุกคนรักใคร่
ผมคิดว่าแม่ยกย่องผมมากเกินไป แต่ผมไม่อยากพูดอะไรกระทบจิตใจแม่ จึงตอบรับคำพูดของเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส รอยยิ้มที่ไม่เสแสร้งโดยสิ้นเชิง
การช่วยเหลือคุณยายนั้นใช้เวลาไม่นานนัก แต่ก็ยังใช้เวลานานพอสมควร นานพอที่พระอาทิตย์จะตกดิน คุณยายเสนอให้ผมอยู่กับเธอในคืนหนึ่งและเพื่อนบ้านของเธอต่างก็ให้ข้อเสนอแบบเดียวกัน เพราะเป็นห่วงจริงๆ เกี่ยวกับอันตรายที่แฝงตัวอยู่ในป่าหลังจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า พวกเขาเชื่อในการมีอยู่ของอสูร ครึ่งหนึ่งของประชากรในเมืองเชื่อและอีกครึ่งหนึ่งปฏิเสธการมีอยู่ของมันและปัดมันออกไปราวกับภาพลวงตาในนิทาน ผมปฏิเสธข้อเสนอนี้เพราะว่าผมสามารถปีนภูเขาได้ในเวลาไม่นาน การควบคุมระบำแห่งเทพไฟได้สร้างความมหัศจรรย์ให้กับร่างกายของผม ผมสามารถวิ่งได้เร็วขึ้น กระโดดสูงขึ้น ทำสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ได้อย่างง่ายดาย หลายปีแห่งการพยายามหนักของผมไม่เสียเปล่า
ถึงกระนั้น ผมก็ไม่คิดว่าจะเอาชนะมูซันได้ สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้คือรั้งไว้ให้นานพอที่ครอบครัวของผมจะหนีไปได้ ถ้าทำได้ ผมจะให้พวกเขาย้ายออกจากบ้านบนภูเขาลูกนั้น เพื่อที่มูซันจะไม่มีวันพบพวกเขา แต่นั่นมันคงเป็นไปไม่ได้ ตรงนั้นเป็นบ้านและที่ดินบรรพบุรุษของเราที่ครอบครัวคามาโดะเคยอาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคน ไม่มีทางที่คนในครอบครัวฉันจะย้ายออกจากที่นั่น คนในยุคนี้ล้วนมีความเชื่ออย่างหนักแน่นในการปกป้องสิ่งที่บรรพบุรุษได้ทิ้งไว้ให้ตนและครอบครัวของผมก็ไม่ต่างกัน
ดังนั้น ทางเลือกเดียวที่ผมมีคือใช้ ระบำเทพแห่งไฟ เพื่อปกป้องครอบครัวของผม หากต้องเจอเรื่องแบบนั้น สิ่งที่ผมต้องทำคือยื้อ มุซัน ไว้ให้นานพอที่ครอบครัวของผมจะหนีไปได้
ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นโชคร้ายหรือโชคดี แต่จุดเปลี่ยนจบลงที่การเผชิญหน้าครั้งแรกของผมกับอสูรจริงๆ ในคืนนั้น
ผมเพิ่งเดินทางกลับบ้านได้ครึ่งทาง ลัดเลาะผ่านป่าไปอย่างง่ายดาย ขณะที่วิ่งและกระโดดผ่านป่าไปอย่างสบายๆ ก็ได้พบกับอสูร คำพูดไม่สามารถอธิบายได้อย่างเต็มปากว่ามันพิลึกเพียงใด หลายครั้งที่ผมจินตนาการว่าปีศาจตัวจริงจะมีหน้าตาเป็นอย่างไง ตอนแรกผมคิดว่ารูปร่างหน้าตาของพวกเขาอาจจะทำให้รู้สึกขยะแขยงอย่างแรง
แต่น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกอะไรเลย
อสูรนั้นกำลังน้ำลายไหลอย่างควบคุมไม่ได้ขณะที่มันค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาผม ด้วยเหตุผลบางอย่างผมไม่รู้ว่าทำไม ผมถึงสงบแบบนั้น มือของผมค่อยๆ เอื้อมไปหาขวานที่ฉันพกติดตัวไว้เสมอเพื่อป้องกันตัวทุกครั้งที่ออกจากบ้าน และถือมันไว้ข้างหน้า ตลอดหลายปีที่ฝึกฝน ก็เพื่อปกป้องครอบครัวจากอสูร และตอนนี้ อสูรตัวนี้อาจหาทางมาที่บ้านของเราได้ ผมปล่อยให้มันเกิดขึ้นแบบนั้นไม่ได้ ผมแน่ใจว่าตามหลักการแล้ว ไม่มีอสูรตนไหนกล้าบุกมาที่บ้านของเราจนกว่ามูซานจะมา แต่ผมจะไม่เดิมพันชีวิตครอบครัวของผมด้วยความคิดครึ่งๆ กลางๆ แบบนั้น
"เข้ามาเลย เจ้าอสูร ผมจะฆ่าแกเอง!"
Arthor : Banix
LTs : FrosZBit
Ilus : Gooble
ดาบที่ 3: คามาโดะ ฮารุโตะ (3)
อสูรกระโจนเข้าใส่ แต่ผมก็เห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน ทุกท่วงท่า ทุกลมหายใจ ทุกรายละเอียด ไม่อาจรอดพ้นสายตาผมไปได้ ดูเหมือนว่าอสูรจะเคลื่อนไหวช้ามาก ช้ามากจนน่าหัวเราะ แม้แต่โรคุตะที่เป็นทารกอยู่ ยังคลานได้เร็วกว่า
“เอ็นบุ! (えんぶ \= ร่ายรำ) ”
สิ่งเแรกที่ผมทำคือใช้ท่าแรกของ ระบำเทพแห่งไฟ ด้วยการสบันเพียงครั้งเดียว ผมก็ตัดหัวอสูรออก ผมหันไปรอบ ๆ เพียงเพื่อที่จะเห็นอสูรเอาหัวของมันกลับเข้าที่อย่างลนลาน
อา… ใช่แล้ว มีเพียงดาบนิชิรินเท่านั้นที่สามารถฆ่าปีศาจได้ อาวุธธรรมดาทำอะไรไม่ได้หรอก
“เฮกิอะ โนะ เทน! (碧羅の天 \= ฟ้าใสสีคราม) ”
ผมใช้ท่าอื่นต่อ ผมจะร่ายรำต่อไปจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น ถ้ามันหมายถึงการปกป้องครอบครัวของผมให้ปลอดภัย หรืออย่างน้อยนั่นคือความคิดในใจของผม ถว่าก็มีคนอื่นเข้าร่วมการต่อสู้
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับนักล่าอสูร เขาคือ เสาหลักเพลิง เรนโกคุ ชินจูโร
ในชีวิตของเขาในฐานะนักล่าอสูร เร็งโกคุ ชินจูโร ไม่เคยเห็นใครเหมือนหนุ่มน้อยคนนั้นมาก่อน
เขาคงไม่ได้แก่กว่าเคียวจูโรมาก เท่าที่เขารู้ เคียวจูโรอาจจะแก่กว่าด้วยซ่ำ ถึงกระนั้น หนุ่มน้อยก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อยเมื่อเขายืนประจัญหน้ากับอสูรร้าย ใบหน้าของเด็กหนุ่มมีความสงบและเยือกเย็นอย่างสมบูรณ์แบบแม้ในยามที่ต้องเผชิญกับความตาย สิ่งที่เขาทำคือค่อยๆ ยืนนิ่งในขณะที่ถือขวานไว้ข้างหน้า
ชินจูโรเห็นเด็กหนุ่มและอสูรที่เขาตามหาหลายวันจากที่ที่เขาอยู่ แต่ว่าเขาอยู่ไกลเกินไป และแม้ว่าเขาจะวิ่งไปที่นั่นเร็วแค่ไหน เขาก็สงสัยว่าเขาจะไปถึงตัวก่อนที่ปีศาจจะจัดการเขาไหม ถว่านั่นไม่ได้หยุดเขาจากการพยายามไปหาเด็กหนุ่มให้เร็วที่สุด เขาคือเสาหลักเพลิง หน้าที่ของเขาคือสังหารอสูรและช่วยชีวิตผู้คน
เขาคิดว่าความหวังทั้งหมดสูญสิ้นไปเมื่ออสูรร้ายกระโดดเขาหาเด็กหนุ่ม และก่อนที่ชินจูโรจะทันได้กระพริบตา เด็กหนุ่มก็ตัดหัวอสูร
ชินจูโร่แทบจะไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มได้เลย
แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับการที่อสูรนั้นรอดชีวิตจากบาดแผลที่ร้ายแรงอย่างการตัดหัว เด็กหนุ่มก็ดูไม่แปลกใจ หรือไม่ก็ปกปิดไว้อย่างดี เด็กหนุ่มเพียงแค่ทำท่าทางอื่นและชินจูโร ตอนนี้เขาใกล้พอที่จะสังหารอสูรแล้ว
ปราณเพลิง กระบวนท่าที่1 เปลวเพลิง ณ เส้นขอบฟ้า
ขวานของเด็กหนุ่มไม่ได้ทำมาจากแร่เหล็กสีชาด ไม่เหมือนดาบนิจิริน ของเขา ไม่มีทางที่เด็กคนนี้จะฆ่าปีศาจได้ไม่ว่าเขาจะมีความสามารถเพียงใด ด้วยอุปกรณ์นั้นคงทำอะไรอสูรไม่ได้ แต่ดาบนิจิริน ของเขานั้นต่างออกไป ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว อสูรก็จะมลายสิ้นไป
ชินจูโร่หันไปหาเด็กหนุ่ม เขาอยากรู้อย่างมากเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเพิ่งทำไป แต่ความปลอดภัยของเด็กหนุ่มต้องมาก่อน
"เธอเป็นอะไรไหม? "
“ผมสบายดี ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้”
เด็กหนุ่มโค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนจะยืดตัวตรง เขาเห็นความกลัวและความอยากรู้อยากเห็นที่ซ่อนเร้นชัดเจนในดวงตาของเด็กหนุ่ม ขณะที่เด็กหนุ่มกวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ภายใต้สถานการณ์ปกติ ชินจูโรคงจะยอมรับคำขอบคุณและเดินหน้าต่อไป แต่นี่ไม่ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น เขาจึงย่อตัวลงมาที่ระดับของเด็กชายแล้วถาม
“เจ้าหนู? เธอเพิ่งใช้อะไรไป? เธอต่อสู้กับอสูรนั่นยังไง?”
ชินจูโรเฝ้าดูเด็กหนุมอย่างใกล้ชิดเพื่อฟังรายละเอียดต่างๆ ที่อาจให้คำใบ้หรือคำตอบสำหรับคำถามของเขา
การแสดงออกทางสีหน้าและภาษากายของเด็กชายไม่ได้โกหกแต่อย่างใด สิ่งเดียวที่เขาทำคือการกระพริบตาสองครั้ง และพูดออกมาว่า
“อ่ะ นั่นเป็นอสูรจริงๆ ด้วยสิน่ะ…”
"ใช่แล้ว."
ชินจูโร่ตอบอย่างช้าๆ เมื่ออยู่ใกล้ตัวเด็กหนุ่มมากๆ เขาได้ยินเสียงลมหายใจของเด็กหนุ่ม เขากำลังใช้รูปแบบลมหายใจ ซึ่งเขาไม่เคยพบมาก่อนอย่างแน่นอน
เด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะ เขาสามารถเห็นได้ว่าเด็กคนนี้รับมือกับตัวเองอย่างไง เขาเป็นนักดาบที่กำเนิดโดยธรรมชาติ เขาเป็นคนที่สามารถเป็นเสาหลักได้อย่างง่ายดาย เด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะที่สามารถพบได้เพียงครั้งเดียวในหนึ่งศตวรรษหรืออาจแม้แต่ครั้งเดียวในรอบสหัสวรรษ
จากนั้นเขาก็ถามเด็กหนุ่มอีกครั้ง
"ฉันคือ นักล่าอสูร หน้าที่ของฉันคือสังหารอสูร สิ่งที่เธอทำเมื่อกี้ เธอทำมันได้อย่างไง"
"ผมร่ายรำ"
"ร่ายรำ? "
"ใช่ ร่ายรำ" เด็กหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาจ้องมองเขาราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ลึกๆ หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ในที่สุดเขาก็เปิดปากอีกครั้ง
“ผมจะเป็น นักล่าอสูร แบบคุณได้ยังไง”
“นั่นคือการตัดสินใจของเธอเหรอ?”
"ครับ" ผมตอบด้วยความเคารพในขณะที่ฉันนั่งต่อหน้าพ่อแม่ของผม
"ผมอยากเป็น นักล่าอสูร"
ผมครุ่นคิดอยู่นานและหนักใจเกี่ยวกับเรื่องนี้หลังจากที่ได้พบกับชินจูโร ถ้าผมไม่สามารถให้ครอบครัวของย้ายออกจากบ้านของเราได้ งั้นผมจะย้ายเอง ผมจะปกป้องพวกเขาด้วยการสังหารอสูรอย่างแข็งขัน และหวังว่าสิ่งนี้จะทำให้เกิด ปรากฏการณ์ปีกผีเสื้อ (Butterfly effect) ขนาดใหญ่พอที่จะทำให้ มุซัน ไม่เข้าใกล้พวกเขา มันเป็นการกระทำที่สิ้นหวังและโง่เขลา แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมมีในตอนนี้คือการเปลี่ยนแปลงเส้นทางที่โชคชะตากำหนดให้เราต้องเดินต่อไป
หน่วยพิฆาตอสูร เป็นองค์กรลับที่ไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาล ภายใต้สถานการณ์ปกติ ไม่มีทางที่เด็กผู้ชายที่อาศัยอยู่ในภูเขาจะสามารถติดต่อกับ นักลาอสูร หรือรู้ฐานปฏิบัติการของพวกเขาได้ แต่ผมได้พบเจอกับ เร็นฏกคุ ชินจิโร่ เห็นได้ชัดว่าเขาสนใจที่จะพาผมเข้าหน่อยและอาจรับผมเป็นศิษย์ของเขาด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้
ดังนั้นผมจึงถามว่าผมจะเป็น นักล่าอสูร เหมือนเขาได้ไหม เขาก็ตอบว่าได้ ผมบอกให้เขารอในเมืองเพราะผมต้องแจ้งให้ครอบครัวทราบเกี่ยวกับการตัดสินใจนี้ และผมต้องการทำด้วยตัวเองเพียงลำพัง เขาตกลงด้วยเกียรติ แต่บอกผมว่า เขาจะอยู่ถึงแค่พรุ่งนี้เที่ยง เพราะมีที่ที่ต้องไปสังหารอสูรต่อ
มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ผมจำทุกอย่างในต้นฉบับไม่ได้ แต่จำได้ว่าผู้ชายคนนี้จำต่างหูฮานาฟุดะที่พ่อสวมได้ และเขาเกลียดผู้ใช้ปราณตะวันด้วยความหลงใหลอันแรงกล้า ดังนั้น ถ้าเขาไม่เจอพ่อและครอบครัวของผมคงจะดีที่สุด
“ผมได้พูดคุยกับนักล่าอสูร เพื่อตอบแทนที่ผมเข้าร่วมกับพวกเขา ผมจะได้รับค่าตอบแทนรายเดือน ซึ่งมันก็สามารถช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินที่ครอบครัวของเรากำลังเผชิญอยู่ได้ แถมสุขภาพของพ่อก็แย่ลง ไม่มียาที่ไหนราคาถูกด้วย แต่ด้วยเงินที่คุณเรนโกคุสัญญากับผมว่าหากผมเข้าร่วมหน่วยพิฆาตอสูร เราก็สามารถจ่ายค่ายาได้อย่างง่ายดาย พ่อ,แม่และพี่น้องของผมทุกคนจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ผมสัญญาว่าผมจะกลับไปเยี่ยมบ่อยเท่าที่จะทำได้"
"แต่ฮารุโตะ! ลูกอายุแค่สิบสามเองน่ะ!"
แม่ของผมเครียดอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่สบายใจเกี่ยวกับความคิดของผม ที่ลูกของเธอที่ต้องเผชิญสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่กระหายเลือดและดุร้าย
“แม่ไม่อนุญาต-”
“ผมตัดสินใจแล้วแม่ ผมจะจากไปในวันพรุ่งนี้โดยมีหรือไม่มีคำจากลาของพ่อและแม่ก็ตาม”
ผมพูดอย่างเด็ดเดี่ยว ผมรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องทำเช่นนี้เหมือน แต่นี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่ผมมีแล้ว ผมอาจรู้วิธีใช้ปราณตะวันผ่านการเรียน ระบำเทพแห่งไฟ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะรู้วิธีใช้ดาบ
หน่วยพิฆาตอสูร สามารถสอนสิ่งที่พ่อของฉันไม่สามารถสอนผมได้ นอกจากนี้ โอกาสแบบนี้จะไม่มาซ้ำสอง ด้วยเหตุนั้ โอกาสที่ผมจะปกป้องครอบครัวได้ก็จะเพิ่มขึ้นมาก แถมเงินเดือนที่ชินจูโรสัญญากับผมก็เป็นประโยชน์มากเหมือนกัน
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!