NovelToon NovelToon

ทำไมนางเอกหลักถึงมาอยู่กับผมได้ละ

บทนำ

เรียกผมว่า ‘A’ ก็แล้วกัน ผมนั้นเป็นตัวประกอบ

ใช่แล้วละ ผมคือตัวประกอบ อธิบายให้ชัดผมคือองค์ประกอบเล็ก ๆ ในเรื่องราวของผู้อื่น หรือจะเรียกคนพวกนั้นว่า ‘ตัวเอก’ ก็ได้ ผมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวของพวกเขา เป็นตัวประกอบที่อยู่ในฉากเพื่อทำให้รัศมี บารมี หรือ สะท้อนความโดดเด่นของตัวเอกให้ออกมาเด่นชัดมากยิ่งขึ้นนั่นคือหน้าที่ของพวกคนแบบผม

ผมนั้นได้ทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่สิ พูดให้ถูกก็คือผมใช้เวลาร่วมสิบห้าปีในการทำงานเป็นตัวประกอบร่วมกับตัวประกอบคนอื่น ๆ ตั้งแต่เด็กจนขึ้นม.ปลายหน้าที่ของผมและตัวประกอบคนอื่นก็ยังคงเป็นเช่นนี้เหมือนเดิม

แต่ทว่าในอยู่มาวันหนึ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อผมนั้นได้รับการตื่นรู้เข้า ผมรับรู้ได้ถึงตัวตนที่มีพลังอำนาจมหาศาลที่กำลังจับจ้องคนทั้งโลกอยู่ อีกทั้งเจ้าตัวตนเหล่านั้นไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่งแต่กลับมีเป็นล้าน พวกมันจับจ้องพวกเราราวกับกำลังรับชมชีวิตของพวกเรา ไม่สิ พูดให้ถูกเจ้าตัวตนพวกนี้กำลังจับตาดูเหล่าตัวเอกเสียมากกว่า

อย่างเช่นเจ้าหมอนั่น ตัวเอกที่ถูกจับตาดูมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา หมอนั่นชื่อซากาจิ เรียวยะ เจ้าหมอนี่เป็นตัวเอกแนวฮาเร็ม คอมเมดี้ รอมคอม ต่อสู้ และแฟนตาซี ซึ่งตอนนี้เจ้าหมอนี่กำลังถูกเหล่าสาว ๆ ในฮาเร็มของตัวเองผลัดกันหว่านเสน่ห์

เอ่อ ถึงมันจะคันปากไปหน่อยที่ผมพูดแบบนั้น หากให้เข้าใจความหมายโดยตรงในสิ่งที่ผมเรียกว่าหว่านเสน่ห์ นั่นก็คือ ‘อ่อย’ นั่นแหละ

พวกเธอในตอนนี้กำลังอ่อยเจ้าเรียวยะอย่างสุดความสามารถของตัวเองชนิดที่ไม่เกรงใจฟ้าดินเลยทีเดียว

และวันนี้ ผมก็ยังคงแอบพวกเขาอยู่ที่มุมห้องเช่นเดิม

“ นี่ นี่ เรียวยะโอนี่จัง? เย็นนี้พวกเราซื้อชุดว่ายน้ำกันนะ ”

เด็กสาวผู้มีเส้นผมสีดำสนิทที่ไว้ผมทรงทวิลเทล นั่งอยู่บนตักของซากาจิที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ได้กล่าวออกมาด้วยท่าทีออดอ้อน เธอคนนั้นคือน้องสาวฝาแฝดของผม เป็นน้องสาวแท้ ๆ ที่มาจากสายเลือดเดียวกัน ไม่ใช่น้องสาวต่างสายเลือดแต่อย่างใด ทว่าถึงจะบอกว่ามาจากสายเลือดเดียวกัน สุดท้ายแล้วหน้าตาของพวกเรากลับต่างกันมากจนน่าแปลกใจ

เธอมีชื่อว่า โคบายาชิ นานะ ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเรียกผมว่า ‘โอนี่จัง’

ทำไมผมถึงพูดอย่างนั้นเหรอ? นับตั้งแต่ที่เจ้าเรียวยะปรากฏตัวออกมาเธอก็ไม่เคยเรียกผมว่าโอนี่จังอีกเลย เรียกได้เลยว่าหลงเจ้าหมอนั่นอย่างสมบูรณ์ ตอนที่เธอพยายามเรียกความสนใจกับเจ้าซากาจิอย่างหนักนั้น มันทำให้ผมเจ็บปวดใจมาก

เมื่อก่อนที่เธอจะพบกับซากาจิ เธอนั้นเป็นคนที่รัก ไม่สิ เรียกว่าติดผมแจเชียวละ....แต่ช่วงนี้นั้น แม้แต่บทสนทนาอย่างอรุณสวัสดิ์ไม่เคยหลุดออกจากปากของเธอเลย นั่นทำให้ผมเหงามากเลยละ

“ โอ่ย ๆ นานะนี่มันยังไม่ถึงหน้าร้อนเลยนะ ซื้อชุดตอนนี้มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ? ”

“ เอ๋ ไม่ได้เหรอ? อยากให้เรียวยะโอนี่จังเห็นชุดว่ายน้ำแท้ ๆ ”

“ เป็นงั้นไป เอาละก็ได้ฉันก็อยากเห็นเธอในชุดว่ายน้ำเหมือนกัน ”

ซากาจิกล่าวออกมาพร้อมกับลูบหัวน้องสาวของผมอย่างเอ็นดู ส่วนนานะนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เอาจริงเหรอ? แบบนี้มันถูกแล้วเหรอนานะพี่ชายตัวจริงของเธออยู่ตรงนี้เชียวนะ ผมเผลอกำหมัดจนแน่นพร้อมกับกันฟันอย่างอดทน ก่อนที่จะผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมกับเหม่อมองไปทางกระดานอย่างช่วยไม่ได้ นี่คือชะตากรรมที่ตัวประกอบอย่างผมจะต้องเจอสินะ

ผมมองไปยังกลุ่มของซากาจิที่กำลังพูดคุยกันเสียงดังโดยไม่ใส่ใจคนรอบข้างแม้แต่นิดเดียว เพราะว่านี่อยู่ในช่วงเวลาพัก จึงทำให้พวกเขาสามารถจู๋จี๋กันได้ตามใจ นั่นจึงทำให้ผู้คนในห้องต่างแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเล็กน้อย แต่ละคนก็ต่างมีเหตุผลที่แสดงแบบนั้นออกมาละนะ

พวกผู้ชายก็จะอิจฉาซากาจิที่ถูกรายล้อมด้วยหญิงสาว พวกผู้หญิงก็แสดงท่าทีแบบนี้ก็เพราะริษยาในความไร้สามารถของตัวเอง

จริงสินะ ผมยังไม่ได้อธิบายเค้าโครงพื้นฐานของโรงเรียนแห่งนี้เลยสินะ โรงเรียนที่ผมอยู่ในตอนนี้มีชื่อว่า โรงเรียนสหนานาชาติ ยารุกะ

โรงเรียนแห่งนี้จัดเป็นโรงเรียนที่โด่งดังหนึ่งในสิบของโลกที่ช่วยในการพัฒนาเหล่า ‘ฮันเตอร์’ ตัวน้อย ให้กลายเป็นฮันเตอร์ผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตเพื่อต่อกรกับเหล่ามอนเตอร์ภายในประตูมิติที่เรียกว่า ‘เกท’ ซึ่งว่ากันว่าคนที่จะเข้าเรียนที่นี่ได้นั้นต้องรวย หรือ มีศักยภาพที่มากพอจะขอทุนการศึกษาเพื่อเรียนอยู่ที่นี่

การจะศึกษาที่นี่ได้นั้นมันต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของโรงเรียนแต่ละแห่ง และเงื่อนไขแต่ละข้อก็ไม่ได้กินหมูขนาดนั้น ซึ่งตัวของนานะนั้นเป็นอย่างหลังก็คือ เธอนั้นมีศักยภาพที่มากพอจะขอทุนการศึกษา

ต่างกับผมที่ต้องจ่ายค่าเทมอที่แสนแพงเพราะไม่มีอะไรดีสักอย่างเดียว

แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนแม้จะเป็นโรงเรียนสำหรับฮันเตอร์ แต่ที่นี่ก็รับนักเรียนปกติเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังดูแลอย่างมีมนุษยธรรมสุด ๆ นั่นจึงทำให้ปัญหาการกลั่นแกล้งคนธรรมดาแบบตัวประกอบอย่างผมนั้นไม่เคยเกิดขึ้นที่นี่แม้แต่ครั้งเดียว

ทว่าในความจริงแล้วนั้นการที่ผมได้มาอยู่ห้องเดียวกับซากาจิและฮาเร็มของเขา มันไม่ต่างจากการกลั่นแกล้งตัวประกอบเลยแม้แต่น้อย

“ นี่อลิซเธอจะไปด้วยมั้ย? ”

เสียงของซากาจิดังเข้าสู่โสตประสาทของผมอีกครั้ง แต่คราวนี้น้ำเสียงของเขานั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกรักใคร่จนแม้แต่สัมผัสได้ น้ำเสียงของเขานั้นนุ่มนวลและแสดงความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง มันเป็นน้ำเสียงที่เขาจะแสดงกับอลิซ หรือ คุณอลิเซีย ฟอนเบริน

สาวหนึ่งในฮาเร็มของเจ้าซากาจินั่นเอง

อลิเซียที่ก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา เงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียกของซากาจิ แต่ทว่าสายตาของเธอนั้นแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าเธอคนนี้จะเป็นคนจากตระกูลดังของอังกฤษ เธอเป็นผู้หญิงที่มีเส้นผมผมสีขาวราวกับกับหิมะ นัยน์ตาสีแดงสดราวกับทับทิมถูกเจียระไนอย่างประณีต

ร่างกายที่บอบบาง จะว่าอย่างไรดีละ...หากให้เปรียบเทียบก็เหมือนร่างกายของเธอนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากกระเบื้องก็ไม่ปาน นั่นจึงทำให้ผมบอกว่าร่างของเธอบอบบางอย่างไรละ แต่ว่าเธอคนนี้เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเจ้าซากาจิละนะ สมกับเป็นตัวเอกฮาเร็มจริง ๆ

“ ...ไม่ละ ”

คุณอลิซกล่าวออกมาพร้อมกับฟุบตัวลงไปนอนอีกครั้ง แล้วก็แผ่บรรยากาศที่บอกว่าไม่ต้องชวนฉันไปกับนายก็ได้ออกมา ให้อธิบายยังไงดีละ? คงประมาณเธอคนนี้งอนเจ้าซากาจิละมั้ง แต่ก็สมกับเป็นนางเอกหลักดีละนะ

“ เอ๋ คุณอลิซไม่ไปสินะ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไปในฐานะของแฟนเรียวยะคุงได้สินะ ”

สาวแกลที่หนีบแขนของเจ้าซากาจิได้กล่าวออกมา เธอคนนั้นคือเพื่อนสนิทของผม ฮานากะ มิโกะ เมื่อก่อนเธอคนนี้นั้นเป็นเด็กสาวที่เรียบร้อยมากแต่พอเจอกับเจ้าซากาจิเข้า ก็ทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนตัวตนจนพลิกผันแบบสุด ๆ เนื่องจากเธอรู้ว่าตัวของซากาจินั้นชอบผู้หญิงที่มีสีสัน เธอจึงทำการเปลี่ยนตัวเองจนกลายเป็นเช่นตอนนี้

“ เดี๋ยวสิ พวกเธอแบบนั้นมันทำให้เรียวยะลำบากนะ แบบนี้ฉันจะตามไปคุมพวกเธอด้วยอีกแรงจะได้ไม่ทำอะไรแพลงออกมา เนอะเรียวยะคุง ”

หญิงสาวผมสีดำที่ไว้ทรงผมโพนี่เทลได้กล่าวออกมาพร้อมกับจ้องไปที่ซากาจิอย่างจริงจัง เธอคนนี้คือคนที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กและคนที่ผมเคยชอบ โทโกวะ จิเซะ เธอคือนักดาบอัจฉริยะที่โด่งดังของประเทศนี้ แต่ด้วยสถานะของผมกับเธอต่างกันมาก ทำให้ผมไม่ได้สารภาพรักกับเธอออกไป แต่อย่างน้อย ๆ ผมก็เคยลองเดทกับเธอแล้วละนะ ซึ่งผลที่ได้ก็ออกมาค่อนข้างดี

จนทำให้โทโกวะสัญญาว่าจะคบกับผมตอนม.ปลาย แต่สุดท้ายเพราะเจ้าซากาจิเหมือนเดิม เธอก็ลือกที่จะลืมคำสัญญานั้นไป ซึ่งในตอนนั้นนั่นแหละทำให้ผมตื่นรู้ขึ้นมา ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะอะไร เป็นตัวตนแบบไหน มีไว้เพื่ออะไร

นี่แหละคือตัวผม A คุงผู้เป็นตัวประกอบให้ตัวเอกฮาเร็มได้เหยียบย่ำจนเจ็บช้ำใจ

‘ บ้าชะมัด...เจ็บใจเป็นบ้า ’

‘ อยากมีแฟนที่เข้าใจตัวผมจังเลยนะ ’

นั่นคือสิ่งที่ผมคิด

แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นใครจะมาลงเอยกับตัวประกอบเช่นผมกันละ

.

.

.

จบบทนำแล้วจ้า ลองแต่งแนวนี้ครั้งแรกไม่รู้จะสื่อออกมาได้ดีรึเปล่า แต่ขอให้ติดตามกันด้วยนะ

นางเอกหลักจริง ๆ แล้วเป็นพวก...ต่างหาก

เพียงแค่หลับตา เวลาก็ล่วงเลยมาถึงตอนเย็น

ในขณะที่ผมกำลังเดินกลับไปยังห้องเรียนของตัวเองเพื่อไปเอาของที่ลืมเอาไว้ หัวของผมตอนนี้ก็กำลังคิดถึงเรื่องราวของพวกนานะที่กำลังไปเดทกับซากาจิอย่างช่วยได้

‘ ยัยพวกนั้นจะเป็นอะไรมั้ยนะ...ห่วงไปก็เปล่าประโยชน์ยังไงซะ พวกเธอก็เป็นถึงคนที่มีศักยภาพละนะ ’

แม้ในใจผมจะคิดอย่างนั้น แต่ผมรู้ตัวดีว่าผมนั้นกำลังเบี่ยงประเด็นของตัวเองให้หันเหไปทางอื่น ผมนั้นกำลังเบี่ยงเบนความชิงชังที่มีต่อซากาจิให้เปลี่ยนกลายเป็นอารมณ์อย่างอื่นไป

แต่ยังไงซะดูเหมือนจะไม่ได้ผลเพราะ ผมยังคงจินตานาการภาพของนานะ จิเซะ และมิโกะที่วิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อสรรหาชุดว่ายน้ำมาแข่งประชันกัน เนื่องจากต้องการให้เจ้าซากาจินั้นดูชุดว่ายน้ำที่พวกเธอเลือกสรรมา

นั่นคือความจริง ความจริงที่ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลง เป็นความจริงที่น่าปวดใจสำหรับผมเชียวละ

ผมมองนาฬิกาดิจิตอลที่ติดอยู่สุดทางเดินของโถงอย่างเฉื่อยชา เวลาปัจจุบันคือ 18.30 น. หากเป็นเวลาปกติมันเป็นเวลาที่โรงเรียนใกล้ล็อคประตูทางเข้า อีกทั้งก็ยังเป็นเวลาที่ทุกคนควรที่จะกลับบ้านแล้วเช่นกัน

แต่ทว่าทำไมผมถึงยังอยู่ตรงนี้นะหรือ? อย่างที่บอกไปเพราะผมลืมของไว้ในห้องเรียน ดังนั้น การกลับมานำของที่ลืมไว้ก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ทว่าด้วยความที่วันนี้เป็นวันพุธซึ่งตามนโยบายของโรงเรียนแล้วนั้น วันนี้สามารถประตูโรงเรียนจะปิดช้ากว่ากำหนดเนื่องจากพวกสมาชิกชมรมต่าง ๆ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน แม้จะเด่นไปหน่อยแต่ด้วยฐานะตัวประกอบนั้น ทำให้ผมจัดตั้งชมรมของตัวเองขึ้นมาอย่าง่ายดาย

เดิมทีชมรมควรมีอาจารย์ที่ปรึกษาและสมาชิกสี่คนขึ้นไปถึงจะจัดตั้งได้ แต่ทว่าด้วยความพิเศษของฐานะตัวประกอบทำให้ข้อยกเว้นเรื่องนั้นหายไป ไม่ใช่ว่าผมบังคับด้วยตำแหน่งหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ เพียงแต่ฐานะของผมมันจืดจางเกินไปจนทำให้ไม่มีใครสนใจชมรมนี้เลย หนำซ้ำพวกเขากลับอนุมัติเงินทุนให้แก่ชมรมของผมอย่างง่ายดาย

นั่นจึงทำให้ผมมีสาถนะทางการเงินมากพอจะจ่ายค่าเทมอที่นี่ละนะ แม้จะฟังดูเหมือนการทุจริตหน่อย ๆ ก็เถอะ

“ ...เสียงร้องไห้เหรอ? ”

มือของผมที่จับอยู่ที่ประตูเลื่อนของห้องเรียนหยุดชะงัก แม้ผมจะไม่เชื่อเรื่องผีสางแต่ก็ไม่ได้ลบหลู่แต่อย่างใด ทว่าคิดในอีกแง่หนึ่งอาจจะมีใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัวก็ได้ จึงเลือกที่จะร้องไห้ในห้องเรียนอยู่คนเดียว แต่กระนั้นการจะเข้าไปตรง ๆ มันก็ออกจะเสียมารยาทไปหน่อย

ทว่าแล้วผมจะไปแคร์อะไรละ ก็ในเมื่อเป็นตัวประกอบที่จืดจาง การจะโดนเลียดจากใครสักคน โดยเฉพาะผู้หยิงมันก็ไม่แปลกหรอก มันก็เหมือนกับที่น้องสาว เพื่อนสนิท และเพื่อนสมัยเด็กทิ้งผมไปดื้อ ๆ นั่นแหละ ดังนั้น การถูกผู้หญิงที่ไม่แม้แต่จะพุดคุย หรือ รู้จักกันมาก่อนเกลียดขี้หน้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ครืน เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างของผมที่เดินเข้าไปด้านในของห้อง ผมจึงเริ่มส่งเสียงออกไป

“ ขออนุญาตครับ...อลิเซียซัง ”

น้ำเสียงของผมนั้นขาดห้วงไปชั่วขณะ เมื่อได้เห็นร่างของนางเอกหลักที่ยืนอยู่ใกล้หน้าต่างพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมาจากดวงตาที่แฝงประกายความเศร้าหมองของเธอ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่ทว่าพวกเราต่างฝ่ายต่างมองกัน จนในที่สุดสติของพวกเราก็กลับมาอีกครั้ง

อลิเซียซังที่รู้สึกตัวจึงใช้แขนเสียของตัวเองเช็ดคราบน้ำตา และน้ำมูกของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่าสภาพของเธอนั้นยิ่งเช็ดยิ่งเลอะเทอะ นั่นจึงทำให้ผมก้าวไปหาเธอพร้อมกับมอบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้แก่เธอ

“ คือว่า ถ้าไม่รังเกียจใช้ผ้าเช็ดหน้าของผมได้นะครับ ”

“ ขอบคุณ ”

เธอกล่าวออกมาด้วยท่าทีเขินอายจนขัดกับท่าทีที่เธอแสดงให้เห็นในห้องอยู่เป็นประจำ...ว่ายังไงดีละอลิเซียวังในตอนนี้น่ารักและดูสวยกว่าที่ตอนปกติเสียอีก

เพี๊ยะ เสียงฝ่ามือของที่กระทบกับแก้มของตัวเองอย่างจังทำให้อลิเซียซังตกใจจนสะดุ้งโหยง ก่อนที่จะหันมามองผมด้วยความสงสัย

“ เป็นอะไรรึเปล่าคะ? ”

กลิ่นหอมจาง ๆ ถูกลมพัดโชยเข้าหาผม เส้นผมของเอปลิวสไวไปตามลมแต่ทว่าเธอกลับใช้มือรวบมันเอาไว้ได้อย่างพอดิบพอดี หนำซ้ำแสงสีทองจากพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าทำให้เส้นผมสีขาวของเธอราวกับถูกเปลี่ยนสี มันสะท้อนแสงเหล่านั้นออกมาจนขับเน้นแสดงของอลิเซียซังออกมาได้อย่างน่าประหลาด

“ สวยจัง อุ๊บ- ”

“ ขอโทษครับ!! ”

ผมรีบกล่าวขอโทษเธอทันที ในชั่วขณะหนึ่งผมดันลืมไปว่าเธอคือเพื่อนสมัยเด็กของซากาจิ ดังนั้น จึงทำให้ผมพูดความในใจออกมา แม้จะน่าแปลกที่เธอพูดมากกว่าหนึ่งคำแต่ทว่านั่นก็ไม่ได้เกี่ยวกับผม ผมนั้นไม่ควรมายุ่งกับเธอตั้งแต่แรก สิ่งเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้ก็คือหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นมา

“ เดี๋ยวสิ...ว้าย!! ”

ทันใดนั้นเองเสียงร้องของอลิเซียก็ได้ดังขึ้น นั่นจึงทำให้ผมหันกลับไปมองเธออีกครั้ง ภาพที่ผมเห็นก็คือภาพของเธอที่กำลังล้มลงหัวฟาดเข้ากับโต๊ะในบริเวณนั้น นั่นจึงทำให้ผมกัดฟันพุ่งตัวเข้าไปรับเธอ ไม่สิ ดึงตัวเธอให้พ้นออกจากโต๊ะตัวนั้น แต่โชคร้ายที่ผมกลับเป็นฝ่ายที่เสียหลักจนทำให้ตัวเองล้มฝาดโต๊ะแทนเธอเสียอย่างนั้น

โครมมม เสียงโต๊ะกระจัดกระจายได้ดังขึ้น โดยมีตัวผมที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด

ภาพเบื้องหน้าของผมถูกชโลมไปด้วยสีแดง อีกทั้งผมยังสัมผัสได้ถึงของเหลวบางอย่างที่ไหลออกมาจากหากคิ้วของผม ภาพทุกอย่างค่อย ๆ พร่ามัวลงพร้อมกับสติของผมที่ค่อย ๆ หายไป

นั่นจึงทำให้ผมได้แต่คิดอยู่ในใจว่า

‘ เฮงซวย ’

ก่อนที่ผมจะสลบอย่างไม่เนื้อรู้เนื้อตัวแต่อย่างใด

“ ที่ไหนละเนี่ย? ”

ผมกล่าวออกมาพร้อมกับสัมผัสไปที่หัวของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากอาการมึนงงที่เกิดขึ้น

ผมใชเวลาเพียงชั่วครู่ในการปรับสายตาของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง จนในที่สุดผมก็สามารถสรุปได้ว่าผมได้มาอยู่ในโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ ฟี้ ฟี้ ”

เสียงกรนน้อย ๆ ได้ดังขึ้น นั่นจึงทำให้ผมหันไปทางที่มาของเสียงจนกระทั่งได้พบเข้ากับเธอคนนั้น นางเอกหลักของเรื่องราวนี้อลิเซีย ฟอนเบรินนั่นเอง แต่ว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ...

“ จับแน่นราวกับตังเมเลยนะ ”

ผมกล่าวออกมาพร้อมกับพยายามชักมือของตัวเองที่ถูกเธอจับเอาไว้จนแน่น แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใด ซึ่งอันที่จริงน่าจะเป็นเพราะผมเสียมากกว่าที่พยายามขยับมือของตัวเอง จนเผอิญปลุกคุณอลิเซียให้ตื่นขึ้นมา

“ อา รูณ สา วัส ”

น้ำเสียงที่งัวเงียของเธอถูกกล่าวออกมา แต่ด้วยความที่ว่าตัวเธอยังไม่ได้สติเต็มร้อยมากนัก นั่นจึงทำให้อลิเซียซังขึ้นมาบนเตียงของผม(ในโรงพยาบาล)พร้อมกับมุดตัวเข้ามาในผ้าห่มของผมทันที

เดี๋ยวสิแบบนี้มันอันตรายนะ ต้องรีบปลุกต้องรับปลุกเธอเดี๋ยวนี้เลย

“ อลิเซียซัง อลิเซียซัง ตื่นเถอะครับที่นี่โรงพยาบาลนะครับ ”

ผมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนแต่กระนั้นคุณอลิเซียก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลยแม้แต่น้อย

“ ขออีกห้านาที ”

ยังต่ออีกเหรอ? นี่เจ้าหล่อนเป็นคนแบบไหนกันเนี่ย ทำไมภาพลักษณ์ที่แสนเย็นชามันค่อย ๆ หายไปจากใจของผมละเนี่ย

ก็เธอนะ...ผมคิดว่าเธอเป็นคนที่เย็นชาอยู่ตลอดแท้ ๆ แต่ทว่าดูเหมือนผมจะคิดผิดไป

“ ขนมปัง ง่ำ ”

อึก ความจริงแล้วนั้นอลิเซีย ฟอนเบรินเป็น...

พวกขี้เซาสุด ๆ แถมยังกัดเจ็บอีกต่างหาก!!!

นางเอกกับพลังทุนนิยม

“ ขอโทษค่ะ ”

 

     ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่คับขัน ไม่สิ เรียกสถานการณ์หายนะเลยจะดีกว่าเพราะ ตอนนี้ตัวประกอบอย่างผมกำลังได้รับคำขอโทษที่ไม่สมควรจะได้รับจากนางเอกหลักเสียแล้ว อีกทั้งด้วยการเล่นนอกบทของคุณเธอจึงทำให้ตอนนี้เหล่า ‘ผู้ชม’ หันเหความสนใจมาที่พวกเรามากขึ้น แม้จะไม่ได้เยอะแต่มันก็พอที่จะเปลี่ยนชีวิตตัวประกอบอย่างผมอยู่ดี

 

     สงสัยสินะว่าสิ่งที่ผมเรียกว่า ‘ผู้ชม’ คืออะไร?

 

     อย่างที่ผมได้เคยบอกไปว่า หลังจากการตื่นรู้ผมก็สามารถสัมผัสได้ถึงเหล่าผู้เฝ้ามองเรื่องราว และได้รู้หน้าที่แท้จริงของตัวเอง ซึ่งผู้ชมก็คือผู้เฝ้ามองเรื่องราวนั่นแหละ เจ้าพวกนี้ผมไม่แน่ใจว่าจะระบุให้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหนกันแน่ เนื่องจากว่าตัวตนของพวกมันไม่เป็นที่รับรู้จากบุคคลทั่วไป อีกทั้งยังทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ

 

      นั่นจึงทำให้พวกมันถือเป็นสิ่งลึกลับและสิ่งที่ต้องระวังสำหรับผม เชื่อเถอะพวกคุณไม่อยากรู้แน่ว่า หากเปิดเผยว่าผมเป็นผู้ตื่นรู้จะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันน่าสยดสยองมากเชียวละ

 

      แต่นั่นไม่สำคัญเพราะ ตอนนี้ผมต้องหาวิธีการที่จะทำให้คุณนางเอกหลักตรงหน้าผมกลับเข้าสู่เส้นทางเดิมให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป

 

“ ไม่เป็นไรครับ ถึงจะเจ็บไปหน่อยแต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี แบบนี้ผมจะอวดให้เพื่อน ๆ ฟังได้ด้วย ”

 

“ ประสบการณ์ที่ดี? อวดเพื่อน? ไม่ใช่ว่า A คุงไม่มีเพื่อนเหรอค่ะ ”

 

     เฮือก โคตรเจ็บคุณนางเอกหลักกล่าวออกมาได้หน้าตาเฉยเลยนะครับ ให้ตายสิทำไมนางเอกที่เย็นชาถึงพูดขวานผ่าซากแบบนี้กันเนี่ย

 

“ อ๊ะ ขอโทษค่ะ ฉันลืมไปว่า A คุงเป็นพวกโลกส่วนตัวสูง อีกทั้งยังเฉื่อยชาและเหม่อลอยอีกต่างหาก...ไม่สิ นายนะเป็นคนที่โดดเดี่ยวมากเลยสินะ มันอาจจะเป็นแบบนั้นเนื่องจากอดีตของนายเอง แต่รู้อะไรมั้ยฉันเองก็ไม่มีเพื่อนเหมือนกัน เพราะเข้าสังคมไม่เก่ง เพราะถูกกดดันจากคนรอบข้าง จึงกลายเป็นว่าฉันทำตัวเย็นชาใส่พวกเขาเสียอย่างนั้น ตลอดเวลานะฉันอยากขอโทษพวกเขามาโดยตลอด แต่เพราะว่ามีเรียวยะคุงอยู่ใกล้ ๆ จึงทำให้ฉันไม่กล้าพูดออกไป ฉันนี่ไม่ได้เรื่องเลยสินะ ขอโทษค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่กัดหน้าท้องของคุณเพราะคิดว่าเป็นขนมปัง ขอโทษที่ถือวิสาสะขึ้นเตียงคนป่วยแบบคุณ ขอโทษจริง ๆ นะคะ ”

 

“ พูดยาวไปแล้วเว้ย!! ไหงเปลี่ยนเป็นคนละคนแบบนี้กันฟะ คุณอลิเซีย คุณอลิเซีย ฟอนเบรินตัวจริงอยู่ไหน คายออกมา คายออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ”

 

      ผมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงวิตกกังวลพ่วงด้วยความประหม่าที่ได้เห็นด้านที่ไม่เคยเห็นของเธอมาก่อน ไม่สิ ยัยนี่กำลังหลุดคาร์แรคเตอร์ของตัวเองไปไกลแล้ว นั่นจึงทำให้ผมต้องเรียกตัวตนจริง ๆ ของเธอกลับมา ไม่อย่างนั้นทั้งผมและเธอจะต้องซวยกันหมดแน่

 

      เห็นไม่นั่น เจ้าผู้ชมคนหนึ่งกำลังแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาแล้ว มันจะยิงลำแสงแล้วนะนั่น

 

      ในขณะที่อลิเซียซังยังคงพูดไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทางฝั่งของผมนั้นกำลังเห็นเคียวมันจจุราชที่กำลังง้างใกล้หัวของอลิเซียเรื่อย ๆ แต่ทว่าในตอนนั้นเองน้ำเสียงของอลิเซียซังก็เปลี่ยนไป

 

“ รู้อะไรมั้ย A คุง? ฉันนะชอบเรียวยะคุงมาโดยตลอด แต่ทว่าไม่เคยมีโอกาสได้พูดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุก ๆ ครั้งที่ฉันจะพูดกับเขาเหมือนอะไรบางอย่างมาฉุดรั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง อุบัติเหตุ หรืออะไรก็ตามที่จะขัดขวางการพูดคุยของฉันกับเขาได้...นี่ A คุงฉันจะพูดคุยกับเรียวยะได้รึเปล่า? ”

 

       น้ำเสียงของเธอนตอนนี้แสดงออกให้เห็นถึงความท้อแท้และหมดหวัง อันที่จริงผมก็อยากอธิบายเรื่องนี้ให้เธอฟังอยู่เหมือนกันแต่ว่า ถ้าผมทำอย่างนั้นเรื่องแย่ ๆ จะต้องเกิดขึ้นกับเธออย่างแน่นอน

 

“ มันยังไม่ถึงเวลามั้งครับ? ”

 

“ ไม่ถึงเวลาเหรอ? ”

 

“ ใช่ครับ บางทีมันก็มีไม่ใช่รึไงครับ เวลาเราลงมือทำแต่กลับไม่เกิดผลในทันที มันจะต้องใช้เวลาอยู่สักพักกว่าผลพวงที่ได้จะสุกงอม ถ้าให้เทียบแล้วตัวของคุณนะเป็นพวกที่ทำมากกว่าพูด ดังนั้น ผมคิดว่าคุณควรจะแสดงให้เขาเห็นด้านของคุณมาก ๆ เข้าไว้จนถึงเวลานั้นมาถึง...ผมคิดว่าเขาจะรับรู้ความสึกของคุณได้อย่างแน่นอน ”

 

      โกหก ผมโกหกเธอ โกหกนางเอกหลักของเรื่องราวนี้

 

      ถึงแม้ผมจะบอกไปว่าให้แสดงด้านดี ๆ ของเธอออกมาให้ซากาจิเห็น แต่ในความเป็นจริงแล้วการทำแบบนั้นไปก็แทบจะเปล่าประโยชน์อยู่ดีเพราะ เจ้านั่นเป็นพระเอกฮาเร็มที่หัวทึบ โดยเฉพาะกับความรู้สึกของผู้หญิงหมอนั่นจะหัวทึบเป็นพิเศษ ดังนั้น การจะรับรู้ถึงความรู้สึกของเหล่านางเอกนะเป็นไปไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

 

     เจ้าหมอนั่นจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีตัวกระตุ้นทำให้ระลึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่นางเอกหลักได้ทิ้งไว้ในใจของหมอนั่นจนในที่สุดมันก็ระเบิดออกมา แล้วกลายเป็นฉากจบเล่มหนึ่งของนิยายนั่นเอง

 

      แต่นั่นแหละถึงจะเป็นความจริง ผมก็ไม่อยากให้เธอมารับรู้อะไรแบบนี้หรอกนะ สู้ให้เธอพยายามต่อไปจนกว่าเวลาที่เหมาะสมจะมาถึงจะดีกว่าแม้ไม่รู้จะใช้เวลานานแค่ไหนก็เถอะ

 

“ อย่างงั้นเหรอ? แล้วต้องทำอะไรบ้างละ? ”

 

“ อย่างที่บอกเพราะคุณพูดกับคนอื่นไม่ค่อยเก่งถึงจะพูดกับผมมากเกินไปก็เถอะ คุณควรแสดงผ่านความการกระทำมากกว่าคำพูด ”

 

    นั่นถึงจะเหมาะกับนิสัยของนางเอกที่เย็นชาละนะ พวกตัวเอกแนวนี้มักจะแสดงออกผ่านการกระทำเสมอ ให้เธอทำแบบนี้น่าจะดีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

“ เช่นอะไรเหรอคะ? ”

 

“ ทำอาหาร ทำข้าวกล่อง ทำช็อกโกแลต ชวนหมอนั่นเดท พาไปเที่ยว หรือไม่ก็ไปซื้อชุดว่ายน้ำด้วยกัน อะไรประมาณนี้ครับ ”

 

      ผมกล่าวออกมาแต่ทว่าสายตาเจ้ากรรมดันไปเห็นว่า อลิเซียซังแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยออกมา นี่คงไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดใช่มั้ย?

 

      ขอละ ขอร้องเถอะ อย่าให้เป็นแบบที่ผมคิดเลย

 

“ ทำอาหารเป็นใช่มั้ยครับ? ”

 

“ ไม่ค่ะ ”

 

“ แล้วชวนเดทละถึงจะพูดไม่เก่ง...ก็น่าจะชวนได้อยู่นะครับ ”

 

“ ไม่ไหวค่ะ ”

 

     อา จบสิ้นแล้ว ชีวิตของคุณนางเอกหลักจบสิ้นแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ถึงจะจบเล่มหนึ่งไปแล้วคุณเธอก็ยังไม่มีทักษะมัดใจติดตัวเลยไม่ใช่รึไง? มีหวังนางเอกคนอื่นได้เข้าตำแหน่งก่อนแหง ๆ แต่ด้วยฐานะของผมคงช่วยอะไรไม่ได้แล้วละนะ

 

     ยังไงซะตัวประกอบก้คือตัวประกอบอยู่วันยันค่ำ ต่อให้อยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็คือตัวประกอบอยู่ดีนั่นแหละ เอาเป็นว่าหลังจากนี้ก็คงได้แต่ปล่อยเธอฝึกฝนทักษะของตัวเองไปก็แล้วกัน ยังไงซะบ้านเธอก็รวยพอที่จะจ้างเชฟดัง ๆ อยู่แล้วละนะ

 

“ เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดฉันทำไม่ไหวแน่นอนค่ะ ”

 

     ไฮหยาจิตตกไปแล้ว ดูเหมือนผมจะคิดนายไปหน่อยละนะ เอาเถอะปลอบคุณนางเอกหลักเสียหน่อยก็คงไม่มีผลกระทบอะไรหรอกมั้ง

“ อย่าเศร้าสิครับ ผมเชื่อว่าคุณจะต้อง- ”

 

“ ฉันทำไม่ไหวแน่นอนค่ะ แต่ว่า...ถ้าเกิดว่า A คุงช่วยละก็ฉันคิดว่ามันต้องสำเร็จแน่นอนค่ะ!!! ”

 

“ ห่ะ!! ”

 

     นี่หล่อนพูดเรื่องอะไรของหล่อนกันฟะ ตูข้าเป็นตัวปรกอบนะโว้ย ไม่มีทางช่วยนางเอกหลักอย่างคุณเธอได้อยู่แล้ว!!

 

“ เลิกเถอะครับยังไงซะผมก็- ”

 

      ทันใดนั้นอลิเซียซังก็ชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้วแล้วกล่าวขึ้นมา

 

“ สามล้านค่ะ ฉันขอให้คุณช่วยด้วยเงินทั้งหมดนี้ ”

 

      ไม่อะ ไม่ไหวต่อให้มีสักสิบล้านก็ไม่เอา ผมไม่ได้เป็นพวกที่ซื้อได้ด้วยเงินหรอกนะ แล้วดูเหมือนอลิเซียจะเดาสีหน้าของผมออกเธอก็พุดขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ สามร้อยล้านค่ะ ฉันจะจ่ายให้คุณ เพียงแค่คอยช่วยเหลือฉันตามที่ฉันขอคุณก็จะได้มันไปค่ะ ”

 

“ คุณคิดว่าผมเห็นแก่เงินหรือยังไงกันครับ ”

 

“ แต่ว่าค่าเงินไม่ใช่เยน แต่เป็นเครดิตนะคะ ”

 

“ โอเคตกลงครับ ”

 

“ ยินดีเช่นกันที่ได้ทำธุรกิจกันนะคะ ”

 

     พวกเราทั้งสองส่งยิ้มเป็นมิตรให้แก่กันและกันพร้อมกับพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะเซ็นสัญญากันอย่างสมบูรณ์

 

     ให้ตายสิทุนนิยมนี่มันน่ากลัวจริง ๆ

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!