NovelToon NovelToon

แผนการทดลองชีวิต Mary Time!!

ฉันคือฉัน

แมรี่รู้สึกตัวขึ้นมาในบ้านของหล่อนท่ามกลางกองระเกะระกะในกองข้าวของมากมายที่ใช้ในพิธีศพเมื่อไม่นานมานี้ สายตาที่เหม่อลอยดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปที่รูปถ่ายที่แขวนไว้อยู่มุมห้อง

ภาพถ่ายครอบครัวตามที่เธอเข้าใจในรูปคงจะเป็นสามีและลูกชายตัวน้อยน่าจะเป็นความทรงจำแสนอบอุ่นหัวใจ บรรยากาศในรูปท่ามกลางฟ้าสดใส

แต่เธอไม่อาจมองเห็นใบหน้าของคนสำคัญทั้งสองได้

สมองของเธอราวกับต้องการปิดการรับรู้ข้อมูลนี้ไว้ ไม่แน่ใจว่าทำไมหรืออาจเพื่อปกป้องจิตใจของหญิงสาวผู้สูญเสียคนนั้น

งานศพที่พึ่งผ่านมานั้นความจริงแล้วคืองานศพของลูกชายและสามีของเธอ

มันเจ็บปวดเกินไปรึเปล่าที่จะจดจำมัน นั้นอาจเป็นสาเหตุที่เธอนั้นลืมเลือน แต่มันก็ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียว

เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง

แมรี่รู้ว่าเธอเป็นใครแต่เธอไม่สามารถจำอดีตวัยเด็ก พ่อแม่ หรือความรักของเธอและสามี

เธอรู้ว่าเธอคือแมรี่แค่นั้นเอง

แมรี่ลุกขึ้นไปจัดการตัวเอง อาบน้ำแต่งตัว โดยปล่อยให้สิ่งของรกรุงรังไว้แบบนั้น

เธอใส่สูท เชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวสีดำ สูทสีดำตัวนึง และ ผูกเนคไทสีแดง

หญิงสาวจำได้ว่าเคยได้รับจดหมายจากซิสเตอร์จากโบสถ์ในหมู่บ้าน

สถานะโลกในปัจจุบันอยู่ในภาวะสงคราม ในปี 2050+ หลังจากสงครามนิวเคลียร์

โลกก็กลายเป็นที่เหี่ยวแห้ง ไร้ชีวิตชีวา รกร้าง ถึงมีเมืองที่ล้ำสมัย แต่นั้นมีน้อยนิดจนนับนิ้วได้

ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์นั้นหาได้ยาก ผู้ยากจนมากมาย

แมรี่อยู่ในเมืองที่ไม่มีในแผนที่ด้วยซ้ำ ตอนนี้แผนที่โลกไม่เหมือนเดิมอีกแล้วรัฐบาลต่างๆล่มสลาย ระบบรัฐชาติพินาศลง ทุกที่อยู่ในสถานะรัฐล้มเหลว มีแค่กลุ่มอำนาจต่างๆที่ปกครองตนเอง ผู้คนกลายพันธุ์ ไม่อาจเรียกที่ใดๆว่าสงบสุข

นั้นอาจจะไม่แปลกถ้าคนในหมู่บ้านเล็กๆนี้หายไปทั้งหมู่บ้านอย่างไร้ร่องรอย

“มันว่ายังไงนะ…อ่า..ใช่”

มือเรียวพลิกหน้ากระดาษสีหม่นไปมา

สถานี 42 ⅙ จาก 0 ไปที่นั้น เจอกันที่กลางเมืองที่1717

หมู่บ้านเล็กๆที่มีไม่ถึงสิบหลังคาเรือน ผ่านโบสถ์ที่ในขณะเดียวกันเป็นโรงเรียนประจำหมู่บ้าน

สองขาของผู้อาศัยคนสุดท้ายของที่นี้ก้าวออกไปข้างหน้ามุ่งไปยังสถานีรถไฟซึ่งอยู่ไกลออกไป

ท้องฟ้าเปลี่ยนจากมืดครึ้มกลายเป็นฟ้าวันใหม่เสียงรถไฟแล่นไปตามรางด้วยความเร็วคงที่ แมรี่เป็นคนเดียวที่อยู่ในรถไฟทั้งขบวน รถไฟอัตโนมัติ ที่ภายนอกเหมือนรถไฟเก่าๆในสมัยร้อยกว่าปีที่แล้วสีสนิมขึ้นตามผนังรถ และตะไคร้น้ำสีเขียวกับดอกไม้สีม่วงที่ไต่ตามภายนอก

แมรี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำอะไร แต่เธอคิดว่าลองไปตามจดหมายน่าจะดีรึเปล่า ?

อะไรกันที่เธอตามหา คงเป็นความทรงจำที่มีกับคนสำคัญ

“ข้าวมีแค่นี้ ปลาแห้ง ไส้กรอก ผลไม้แห้ง น้ำดื่มสองขวด พอซะที่ไหนกัน”

แมรี่ตรวจของในกระเป๋าหวังว่าจะมีอาหารเพิ่มในนี้ซะก็ดี ว่าไหม?

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงไม่นานนัก รถไฟก็เทียบที่สถานีอันรกร้าง ปกติไม่มีใครเขาขึ้นรถไฟกันหรอก เป็นเป้านิ่งให้ฆ่าชัดๆ

ภาวะสงคราม การก่อร้ายลุกลามไปทั่วพื้นที่ แมรี่เดินไปในเมืองที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังของตัวอาคารต่างๆ บรรยากาศการสีเทาท่ามกลางแดดจ้านั้นดูน่าหดหู่ ผู้คนผอมแห้งเด็กๆไร้แววร่าเริง กลิ่นดินโคลนตามตรอกถนน

ตุบ!! โอ้ย!

เด็กชายวิ่งเข้าชนแมรี่อย่างจังก่อนวิ่งออกไปไม่รอช้า

“อะ!! กระเป๋า เอากระเป๋าคืนมานะ เด็กเวรนี่!!!”

พอรู้ตัวเธอก็รีบตามเด็กคนนั้นไป จากตรอกหนึ่งยังตรอกนึงสุดท้ายก็ลับสายตาหายไปในกลีบเมฆ

“เฮ้อ”

แมรี่ถอนหายใจ มองรอบตัวก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ไหนไม่รู้ ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรเลย แถมยังเหนื่อยและหิวน้ำจนคอแห้งผาก

“พี่สาว พี่สาว ช่วยหนูด้วย”

เด็กสาวตัวเล็กแคระแกร็น วิ่งมาด้วยความเร็วเฉื่อยๆ

จะให้ช่วยอะไรเล่าตัวเองยังออกไม่รอดเลย ขอร้องเถอะ

“พี่ค่ะ พี่ค่ะ หนูหนู”

เธอวิ่งปรี่มากอดที่ขา น้ำตานองหน้า

“อะไร ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ช่วยอะไรไม่ได้หรอ เห็นไหม? ฉันดูเหมือนคนใจดีรึไง?”

“หนูทำหาย ทำหาย ..

“รู้ได้ไง นี้ก็ทำหายเหมือนกัน กระเป๋านะ กระเป๋า โดนกระชากกระเป๋ามา หายเหมือนกันช่วยหาไม่ได้หรอกนะ”

แมรี่พูดแทรก เด็กสาวชะงักเล็กน้อยแต่เธอก็ไม่ยอมแพ้

“กล่องยาของคุณแม่หนูยาโรคประจำตัว…”

“ก็ได้ แถวไหนล่ะ?”

ด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ตัวเธอบิดตัวยืดเส้นยืดสาย

เด็กสาวเดินนำออกไปจากตรอก แมรี่เดินตามไปดูท่าทางไม่รีบร้อน แต่ในใจกลับร้อนสุดๆ

“ยาเป็นกล่องแบบไหนหรอ อ๊ะ … ก็ว่าแปลกๆ โดนเข้าซะแล้ว ….

มีปืนลูกโม่ จ่ออยู่ที่ขมับซ้ายของแมรี่ เด็กสาวยืนมองอยู่ห่างๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นฝีมือใคร

ปล้น? ค้ามนุษย์? ฆาตกรรม? ทั้งที่เป็นภาวะสงครามแท้ๆ ก็ควรระวังให้มากกว่านี้ซักหน่อย

“อยู่นิ่งๆ ค่อยๆหันมา "

แมรี่ทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย

แต่เหมือนพอจะมีโชคสำหรับเธออยู่บ้าง

“ยืนยันตัวตนช่วยทาเจ้านี้ที่มือซ้ายหน่อย”

ทหารชายในชุดลายพรางล้วงหยิบขวด อะลูมิเนียมขนาดเล็กมาจากกระเป๋ากางเกงท่ามกลางแดดร้อนๆมันสะท้อนแสงเล็กน้อย

อะไร สารอะไรก็ไม่รู้จะให้มาทาที่ตัวอันตรายเป็นบ้าในสายตาเธอ

ฟิ้ว!!!

เธอโยนขวดอะลูมิเนียม มันสะท้อนแสงจ้าเขาไปในดวงตาของทหารคนนั้น

แมรี่ใช้จังหวะนั้นเองพุ่งตัวไปชนตัวเขาอย่างเต็มแรงมุ่งยังผนังใกล้ๆ

ปัง!

ปืนลั่นออกมาด้วยความตกใจบวกกับพยายามจะยิงตัวเป้าหมายอย่างเธอมกระสุนเฉียดไหล่แมรี่ไปเล็กน้อย

ฉีก!!

โชคช่วยที่มีเหล็กแหลม โผล่มาจากกำแพงของตึกผุพัง เหล็กแทงนั้นเสียบทะลุคอของออกมาหลายนิ้ว ร่างหยุดนิ่งไม่ไหวติง เป็นไปอย่างที่แมรี่ตั้งใจ

เธอเดินไปเก็บปืนลูกโม่ที่หล่นที่พื้นเช็คจำนวนกระสุน ก่อนเล็งไปที่เด็กสาวที่กำลังจะหนีไปอย่างร้อนรน

“ฉันไม่สนหรอนะว่าเป็นเด็กหรือคนแก่ ฉันยิงแน่ บอกมาว่าทำไมถึงมีคนคิดจะจับฉัน?”

ว่าด้วยเรื่องหลอกลวง

“เธอนะหูหนวกรึไงห๊ะ? “

แมรี่ยักคิ้ว สีหน้าเอือมระอา

ปัง!!! ว้าย!!!!

แมรี่เธอยิงเข้าไปที่ผนังใกล้ๆเด็กสาวเรียกเสียงโว้ยวายเธอออกมา

สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว

“หนูไม่รู้ รู้แค่ว่าคนที่ตามหาพี่เป็นคนของกองกำลังป้องกันตนเองค่ะ!!”

หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อยในหัวประมวลผลจากข้อมูลที่ได้รับ

ถ้าเป็นเรื่องอย่างทางการของกองกำลังป้องกันตัวเองล่ะก็คงไม่มาคนเดียวกับปืนลูกโม่ใส่ชุดลายพรางที่เด่นสะดุดตาขนาดนั้นมาอยู่ในที่ไม่ควรอยู่เป็นปกติวิสัยหรอก

คงเป็นเรื่องส่วนตัวล่ะสินะ

“คนอย่างเธอเชื่อได้รึเปล่า ไหนบอกสิกระเป๋าทีสะพายอยู่มีอะไร?”

“ข้าวกล่อง น้ำ เงินนิดหน่อย มีด ไม้ขีด จดหมายสามฉบับค่ะ”

เด็กสาวตอบอย่างฉับไว

“ชื่อล่ะ?”

“เอสเธอร์ค่ะ”

“ฉันแมรี่ ทีนี้เอาของออกจากกระเป๋าให้หมดวางไว้ที่พื้นแล้วก็สไลด์มีดเล่มนั้นมาให้ฉัน”

เอสเธอร์ทำตามอย่างว่าง่าย

แมรี่หล่อนมองของที่เด็กสาวเอาของออกมาจากกระเป๋าสะพายทีล่ะชิ้นพบว่ามีตรงตามที่พูดแต่เธอก็ยังทำสัญญาณมือให้เด็กสาวคว่ำกระเป๋าและเขย่ามันหลายครั้งเผื่อมีสิ่งใดซ่อนอยู่

แมรี่เก็บมีดที่เอสเธอร์สไลด์มาให้เหน็บไว้ที่เอว

“ทำไมเธอถึงร่วมมือกับทหารคนนั้น?”

เอสเธอร์ที่นั่งชูมือสองข้างเหนือหัวตกใจสะดุ้งเสียงของหญิงสาว

“เขาจะบอกรหัสลับที่ถ้าเอาไปพูดกับคนของกองกำลังล่ะก็จะได้น้ำอาหารและของที่ต้องการ”

แมรี่ถอนหายใจเหน็บปืนไว้คนล่ะฝั่งกับมีด

“ฉันเอาจริงนะ อย่าทำตัวตะหลบหลังฉันล่ะ”

ทั้งที่มีศพคนยืนโดนเหล็กเสียบคอตายแท้ๆ แมรี่นั่งยองๆข้างเอสเธอร์ที่กำลังยืนอยู่พลางใช้ช้อนตักข้าวผัดกับลูกชิ้นทอดในข้าวกล่องของเอสเธอร์กินอย่างสบายใจ

ข้าวกล่องกล่องแรกในรอบหนึ่งวันของฉัน

เอสเธอร์ทำได้แค่คิดพลางดูแมรี่กินอย่างเอร็ดอร่อย มองหญิงสาวอิ่มจากข้าวกล่องและดื่มน้ำของเธอจนหมดขวด

ช่วยไม่ได้ล่ะนะฉันหลอกพี่สาวคนนี้มาฆ่า ไม่โดนยิงก็ดีขนาดไหนแล้ว

จะว่าไปแล้วพี่สาวคนนี้ใจดีใช่ย่อยเลยนะ

“อะคือ .. พี่พอจะช่วยอะไรหนูได้ไหมค่ะ ถึงจะดูหน้าไม่อาย แต่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ”

แมรี่หันขวับมามองทางเด็กสาว

“คิดจะหลอกไปฆ่าทีไหนอีกล่ะ?”

“ไม่ใช่แบบนั้น…

“แต่เธอพึ่งทำไปไม่ใช่รึไง?”

“จะพาไปเอากระเป๋าพี่คืน และก็ถ้าได้ของมาล่ะก็จะแบ่งให้พี่60%เลยค่ะ!!”

หญิงสาวชักเริ่มสนใจข้อเสนอ ข้อมูลเข้าหูเข้าหัวอย่างแจ่มแจ้ง

“แหละของที่ว่าคืออะไรล่ะ ?”

“อาหาร น้ำดื่ม ของจำเป็น แล้วก็เงินค่ะ”

“เธอรู้ใช่ไหมถ้าตุกติกโดนยิงแน่ เอ้านำไปสิ”

แมรี่เหยียดตัวยืนขึ้นเต็มความสูง ตบไหล่เด็กสาวที่ยืนอยู่เป็นสัญญาณในเก็บของและนำหญิงสาวไป

เอสเธอร์เดินนำเธอมายังบ้านผุพังหลังหนึ่ง เข้าไปข้างใน และ ออกมาพร้อมกระเป๋าสะพายสีดำของแมรี่ ยื่นให้กับเธอ

"วางแผนกันดีนิ ให้อีกคนกระซากกระเป๋าหลอกให้ฉันวิ่งตาม"

เอสเธอร์เกาหัว แกรกๆ

แมรี่เช็คของในกระเป๋าอยากละเอียดถี่ถ้วนพบว่าไม่มีอะไรหายไปจากกระเป๋า ทุกอย่างสภาพดีเหมือนเดิมของมัน

"อะใช่ เธอพอรู้จัก แลนด์มาร์คของเมืองนี้ไหมว่าอยู่ไหน กลางเมือง1717 น่ะ"

เอสเธอร์ใช้เวลาครุ่นคิดนิดหน่อยก่อนตอบคำถาม

"ก็ไกลใช้ได้เลยนะคะ แต่ทางเดียวกับที่จะไปเอาของพอดี ว่าแต่นี้ก็เย็นแล้ว พักที่นี่ก่อนดีไหมคะ "

หญิงสาวคู่สนทนาหรี่ตามองต่ำ

"จะหลอกฉันไปฆ่าหั่นศพรึไง "

"ไม่ทำอย่างนั้นหรอกค่ะ สำนึกผิดแล้วค่ะ พี่จะยิงหนูนี่น่า หนูไม่อยากตายซะหน่อย"

แมรี่พยักหน้า

เดี๋ยวนี้ฉันเชื่อคนง่ายเหมือนกันนะเนี่ยแต่เมื่อยตัวสุดเลยนี่หว่าอยากอาบน้ำแล้วด้วยสิ

"ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ เชิญเลยค่ะ"

แมรี่ไม่เคยให้ปืนและมีดห่างตัวแม้ตอนอาบน้ำ เธอจัดการตัวเองเสร็จก็มานั่งในห้องที่มีเพียงห้องเดียวของบ้านดูค่อนข้างแคบ เอสเธอร์เลือกจะไม่ใช่ไฟฟ้า เด็กสาวหยิบเทียนขึ้นมาจุดเทียนสองสามเล่ม

"นี่ค่ะ เข็มกับด้าย มีสีดำพอดีเลย"

แมรี่รับเข็มและด้ายจากมือเล็กๆ หญิงสาวหยิบสูทของเธอออกมา ลงมือซ่อมแซมมันให้ดีเท่าที่จะสามารถ

"อยู่คนเดียวหรอ ?"

เอสเธอร์พยักหน้า

"นานแล้วน่ะค่ะ ไม่มีแม่ค่ะ พ่อหายไปตอนที่เกิดการจราจลในเมือง "

แมรี่ลอบมองเด็กสาว เห็นแววตาที่ดูหม่นลงชั่วขณะ

"เก่งนิ "

"ขอบคุณค่ะ ไม่ได้คุยกับใครตัวต่อตัวเรื่องแบบนี้นานแล้วนะเนี่ย "

"ท่าทางอยากระบายไม่ใช่รึไง ดูจากภายนอก เธอน่าจะ 12-13 นะ"

เอสเธอร์นั่งกอดเข่า สายตามองไปข้างหน้าดูเลื่อนลอย

"12 ค่ะ จะ12 พรุ่งนี้ จะว่าอยากระบายก็ใช่อยู่ แต่ไม่มีคนฟังนี้แหละปัญหา"

"ก็ฟังอยู่นี่ไง"

เอสเธอร์หันขวับมามองหญิงสาวที่กำลังเย็บผ้าอย่างขมักเขม้น รังสีความอบอุ่นและอ่อนโยนแผ่ไปในบรรยากาศรอบๆตัวแมรี่ อาจเป็นเพราะหญิงสาวเคยเป็นแม่คนจึงแสดงความเห็นใจออกมา

"หลังจากนั้น ก็พยายามมาโดยตลอด ทำงานแลกอาหารเล็กน้อย ทำเรื่องไม่ดีไปมากมาย ขโมยของ หลอกลวงคนอื่น แต่วันนึงก็ได้รับจดหมายมาฉบับนึงที่สถานีรถไฟ"

"อืม"

หญิงสาวส่งเสียงในลำคอ บ่งบอกว่ากำลังฟังที่เด็กสาวพูดอยู่

"ใจความว่า มีเด็กคนอื่นๆ ที่จะหนีไปหมู่บ้านทางใต้ มันไกลมากพอที่จะไปเริ่มชีวิตใหม่ ที่ฟาร์มและสวนผักเล็กๆ พวกเราส่งจดหมายหลายฉบับ แลกกันโดยผ่านการซ่อนไว้ในรถไฟ"

เอสเธอร์ดวงตาเปล่งประกาย เธออมยิ้มออกมานิดหน่อย

"พวกเราต้องการเงินจำนวนนึงกับเสบียง พวกเราตกลงจะไปรับเพื่อนๆ คนอื่นๆอีกสามสถานี ก่อนที่จะมุ่งไปที่นั้น"

เด็กสาวหยิบ อูคูเลเล่ ออกมาจากข้างๆตัว ก่อนที่ดีดไล่โน๊ตที่ล่ะตัว

"พวกเราเขียนเพลงด้วยกันด้วย อยากฟังไหมค่ะ?"

แมรี่พยักหน้ารับ

"แน่นอน"

"คลื่นน้ำพัดผ่าน ความฝันแสนไกล ไขว้คว้ารึไม่ ฝักไฝ่ค่อยหา …."

เสียงอูคูเลเล่ใสก้อง เล่นออกมาด้วยความหวังของเด็กน้อยที่ล้นปรี่ พาผ่านค่ำคืนหนาวเหน็บนี้ไปด้วยความอบอุ่น

เรื่องไม่คาดคิด

พวกเขาออกเดินทางตอนสายๆหลังจัดการตัวเองเรียบร้อย

ระหว่างทางพูดคุยจิปาถะมากมาย

ทำให้เอสเธอร์รู้ว่าหญิงสาวคนนี้นุ่มนวลเหมือนมาชเมลโล่แต่ก็แปลกประหลาดเหมือนน้ำมะเขือเทศยี่ห้อดัง

พอตะวันขึ้นกลางฟ้าบอกเวลาใกล้บ่าย เอสเธอร์ก็ขอพัก แมรี่เลยมีเวลาปลีกตัวออกไป

หญิงสาวนำผ้าพื้นสีเขียวหม่นขนาดปานกลาง ไปเจรจาพูดคุยกับร้านขายของชำใกล้ๆ

"เอาน่ายาย ยายก็รู้ผ้าสวยลายปักทออย่างดี แบบนี้ช่วงนี้หายากแค่ไหน ฉันเอามาแลกของกับยาย ถือว่ายายมีโชคแล้วนะเนี่ย เสื้อผ้ายายดูหมองไม่เหมาะกับหน้าสวยๆ ของยายเลยนะ"

คุณยายเจ้าของร้านขายของชำ นิ่วหน้าเล็กน้อย

"โอ้ย ไปๆถือว่าฉันทำบุญ จะรับไว้ก็ได้อยากได้อะไรก็ไปหยิบเอา แล้วฉันจะดูว่ามันสมควรกับผ้าพื้นนี้ไหม"

"ตาแหลมมากยาย!!"

ร้านขายของชำเล็กๆรายการสินค้ามีน้อยชิ้น แต่ก็มีสิ่งที่หญิงสาวตามหา

"เค้กเล็กๆชิ้นนี้กับยาพาราแล้วก็เทียน ถือว่าแพงเกินไปนะ แต่ชั่งเถอะ"

หลังจากตกลงกันเรียบร้อย แมรี่ก็มาในตรอกที่เอสเธอร์รออยู่ สำหรับเค้กเล็กๆที่มีแต่ครีม แลกกับผ้าธรรมดาผืนนึงก็ถือว่าคุ้มค่า

หญิงสาวใช้ไฟเช็คในกระเป๋ามาจุดเทียนพร้อมเดินไปทางเด็กสาวที่รออยู่

"เค้ก นั้น เค้กนิ !!"

เอสเธอร์ตาเป็นประกายปานลูกแก้วใส มีรอยยิ้มประทับอยู่บนใบหน้า

"แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู เอ้าเป่าเทียนสิ "

แมรี่ยื่นเค้กไปตรงหน้าเด็กสาวที่น้ำตาล้นออกมานองหน้า

เด็กสาวกุมมือหลับตาอธิษฐานก่อนจะเป่าเทียนเล่มเล็กจนดับ

"พี่ไปหาเค้กจากไหนกันต้องแพงแน่ๆเลย "

"ใช้โชคช่วยน่ะ เอ้านี้ช้อนกินซะสิ วันเกิดเธอนี่น่า"

"ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณมากค่ะ"

เด็กสาวรับช้อนพลาสติกไปก่อนตักเค้กเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

…..

"ใกล้ถึงแล้วค่ะ ตอนนั้นนัดกันตรงนี้ "

เอสเธอร์ชี้ไปยังจุดหนึ่งของกระดาษแผ่นเล็กที่ถืออยู่เน้นให้เพื่อนร่วมทางได้เห็นรายเอียด

"ก็ดี ว่าแต่ทหารที่ตายคนนั้นเรื่องจะแดงมาหาเธอเมื่อไหร่ คิดจะเอาไงต่อ?"

"ก็บอกว่าพี่ฆ่า พี่ก็รีบหนีไปก่อนล่ะกัน"

แมรี่เลิกหันไปมองเด็กสาว สายตาจ้องมองไปข้างหน้าแทน

"ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ "

เดินไปเกือบสิบนาทีต่อจากนั้น เอสเธอร์ก็พาแมรี่มาที่โบสถ์ร้างแห่งหนึ่งหลังคาพังทลายลงปรากฏให้เห็นท้องฟ้าครึ้มมัว ในมุมอับข้างหน้าโบสถ์บริเวณเวทีและบัลลังก์ มีชายท่าทางอิดโรย สูบบุหรี่ดูไม่สนใจรอบข้างนัก

เอสเธอร์ปรี่ตรงไปที่เขาโดยที่มีแมรี่เดินตามอยากข้าๆ

เด็กสาวหยิบตราประทับอะไรสักอย่างดูไม่คุ้นตามาจากกระเป๋า แมรี่ไม่ได้ใส่ใจฟังเท่าไหร่ว่าทั้งสองคุยอะไรกัน

เธอมองเด็กสาวเจรจาอยู่สักพัก

ปัง!!

ทันใดนั้นเองไม่อาจคาดคิดชายผอมก๊องหยิบปืนพก เก้ามม มาจากกระเป๋าเสื้อ ยิงไปที่หัวของเอสเธอร์ กระสุนเจาะทะลุไปอีกฝั่ง

ร่างเล็กทรุดนอนหงายลง เลือดไหลปริ่มพื้น ดวงตาไร้แววมองมาที่หญิงสาวด้วยความหวังที่ครั้งค้างจากบทสนทนาเมื่อครู่

"ห๊ะ..ห๊ะ?

หญิงสาวตัวแข็งทื่อสมองประมวลผลไม่ทัน

ปัง!!

เสียงกระสุนดังขึ้นมาอีกนัด

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!