NovelToon NovelToon

ตกหลุมรักระดับหนึ่ง

บทที่ 1 อคติที่หนึ่ง

            ห้องเช่ารายเดือนคือแหล่งพักอาศัยยอดนิยมสำหรับคนพลัดถิ่นแต่อาจไม่ใช่สำหรับหอพักนี้

เครือวัลย์เป็นเจ้าของตึกสูงห้าชั้นแต่ละชั้นมีห้องเช่าสิบห้อง นอกจากนี้แล้วเธอยังเปิดร้านสะดวกซื้อขนาดเล็กเชื่อมต่อกับเคาน์เตอร์ต้อนรับไว้สำหรับบริการลูกค้าเป็นรายได้เสริมโดยตั้งใจยกมรดกตกทอดรุ่นสู่รุ่นนี้ให้ลูกชายซึ่งมีบุคลิกหน้าตาไม่เข้ากับงานบริการเอาเสียเลย

ดวงตาผ่านร้อนหนาวมาห้าสิบห้าปีของผู้เป็นแม่หลุบมองคนกำลังขะมักเขม้นกับการนั่งซ่อมท่ออ่างล้างมืออย่างพิจารณา

            อนัญมีรูปร่างสูงใหญ่ทั้งหน้าตาดุดันคล้ายพ่อ

เขารับมรดกเส้นผมจากพ่อแม่ซึ่งมีผมหยักศกมาอย่างเข้มข้นร่างกายจึงแสดงออกให้เขามีเส้นผมหยิกหย็องราวถูกดัดด้วยเครื่องดัดผมไฟฟ้า

ทั้งเจ้าตัวยังชอบปล่อยปละไม่มัดรวบ ผมยุ่งเหยิงรวมกับไรหนวดเหนือริมฝีปากช่วยเสริมให้ลูกชายดูโหดร้ายกว่าคนพ่อหลายขุม

ตอนสามียังมีชีวิตอยู่เธอไม่เคยคิดเรื่องนี้กระทั่งเขาตายแล้วลูกชายเข้ามาช่วยดูแลกิจการ

บางเวลาเธอแอบเห็นลูกค้ามองอนัญด้วยสายตาหวาดระแวง

            “เฮ้อ!” เครือวัลย์กระแทกลมหายใจพลางส่ายหน้าให้กับผลงานของตัวเองกับสามี

            “ถอนหายใจเป็นคนแก่” อนัญเงยหน้าจากกระป๋องกาวยาท่อ

            “เหนื่อยใจ” คนเป็นแม่ตอบพลางส่ายหัว พอเจ้าตัวเงยหน้ารัศมีโหดร้ายยิ่งเปล่งประกาย

            “เครียดอะไรอีกล่ะ”

            “ไม่แน่ใจว่านี่ลูกเจ้าของหอหรือว่าขอทาน...เอ๊ะหรือแกจะเป็นโจรป่า

ลุงยามยังแต่งตัวดีกว่าเป็นร้อยเท่า” พยักพเยิดมองไปด้านนอกซึ่งมีพนักงานรักษาความปลอดภัยจากบริษัทเดินวนเวียน

            “โห...อยู่ดีๆ

มาด่ากันได้” ตั้งแต่พ่อเสียเขาก็โดนแม่บ่นเรื่องนี้เรื่อยมาจนชินแต่ก็อยากต่อปากต่อคำ

            “เรื่องจริงทั้งนั้น” เครือวัลย์ละจากเคาน์เตอร์ต้อนรับเดินมายังจุดที่ลูกชายนั่งอยู่

เธอใช้นิ้วหนีบเส้นผมหยิกหย็องขึ้นเป็นการแสดงหลักฐาน “เมื่อไรจะเลิกปล่อยเนื้อปล่อยตัว

ผมฟูหัวยุ่งแถมยังใส่เสื้อขาดๆ อย่างกับคนเสียสติ”

            “มันเป็นสไตล์” คนอยู่ในชุดเสื้อกับกางเกงตัวเก่าตอบหน้าตายไม่ได้สำนึกเลยว่าเครื่องแต่งกายแบบนี้ส่งเสริมให้ตัวเองดูซอมซ่อไร้ราศีลูกชายเจ้าของหอมากเพียงไร

            “เดี๋ยวคนเขาก็กลัวจนไม่มีใครมาเช่าห้องหรอก”

            “เขาไม่ได้กลัวแม่เสียหน่อย” ปกติเครือวัลย์จะเป็นคนต้อนรับลูกค้าส่วนเขารับผิดชอบงานช่างแต่บางครั้งก็ช่วยทำความสะอาด

กิจกรรมเบื้องหลังไม่จำเป็นต้องอาศัยหน้าตา

            “อีกหน่อยก็ต้องมาดูแทน”

            “แค่มาช่วยซ่อมของเฉยๆ

ไม่ได้อยากฮุบสมบัติ”

            “แม่มีแกคนเดียว

ไม่ยกให้แกแล้วจะยกให้ใคร”

            “ตอนนี้ให้แม่ช่วยดูไปก่อน” อนัญรู้ความจริงข้อนี้ดีและรู้ด้วยว่าแม่รักหอพักแห่งนี้มากเพียงไร

นี่เป็นเหตุผลให้พอเรียนจบเขาก็กลับมาอยู่บ้าน

คนเป็นลูกเรียนรู้กิจการภายในหอพักจากแม่แต่ไม่มาวุ่นวายมากนักเพราะมีผักหลายแปลงให้ดูแล

            “ใครจะไปกล้าปล่อยคนหัวรุงรังรับแขก

ลูกค้าได้หนีเตลิดหมดน่ะสิ”

            “วันนี้รีบก็เลยยังไม่ได้อาบน้ำ” อนัญยังสวมชุดนอนทั้งที่ตอนนี้ใกล้เที่ยงเต็มที

ช่วยไม่ได้ที่ชายหนุ่มชอบสวมใส่เสื้อผ้าตัวเก่าเข้านอนเพราะมันบางเบาช่วยให้หลับสบาย

ตอนเครือวัลย์โทรหาเขากำลังง่วนอยู่กับการผสมสารน้ำสำหรับเลี้ยงผักไฮโดรโปรนิกส์รอบใหม่

แม้ไม่ใช่งานกลางแดดจ้าแต่ก็เรียกเหงื่อ เขาตั้งใจว่าเสร็จจากงานผักแล้วค่อยชำระล้างร่างกายแต่น้ำเสียงตื่นตกใจเรื่องท่อน้ำรั่วของแม่ก็ทำให้เขาต้องละทิ้งกิจวัตรประจำวันของตัวเองรีบหิ้วกล่องเครื่องมือช่างมานั่งโดนแม่ค่อนขอดตรงนี้

            “ถึงว่าเหม็นเปรี้ยว”

            “ได้ทีด่าใหญ่” คนเหม็นเปรี้ยวทำจมูกฟุดฟิดพิสูจน์กลิ่นตรงซอกรักแร้ของตัวเองแต่ไม่พบกลิ่นตุกระนั้นอนัญก็ตั้งใจไว้แล้วว่าเสร็จจากงานซ่อมท่อตนคงได้อาบน้ำ

            ปิ๊งป่อง...เสียงกริ่งหยุดการสนทนาของทั้งคู่ให้เหลือบมองไปตรงประตูทางเข้าซึ่งเป็นกระจกใส

หากไม่มีคีย์การ์ดของหอพักคนที่อยู่ด้านนอกจะไม่สามารถเปิดเข้ามาได้

หนึ่งคนเพ่งมองเพื่อพิจารณาผู้มาเยือนส่วนอีกคนกำลังทำตาหวานเชื่อมหัวใจเต้นผิดจังหวะ

                “อ้าว! แม่หนูคนนั้น” เครือวัลย์จำหน้าลูกค้าตัวเองได้แล้ว

                “ใคร...” ดวงตาคมดุไหวระริกยังคงจดจ้องร่างบอบบางที่ยืนชะเง้อชะแง้อยู่อีกฝั่งของประตู

                “เขาชื่อกาวางเป็นลูกค้าเรา” หญิงสาวคนนี้โทรมานัดแนะและสำรวจห้องกับเธอ

กาวางวางมัดจำกับเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้วโดยเธอจะมอบพวงกุญแจและคีย์การ์ดในวันแรกที่ลูกค้าย้ายเข้าพักซึ่งก็คือวันนี้

                “กาวางเหรอ...” ชื่อช่างสะดุดหูแต่ก็ชวนให้อยากรู้ความหมาย

แม่บอกว่าเป็นลูกค้าแสดงว่าเธอต้องอยู่ที่หอพักแห่งนี้ เช่าอยู่ห้องไหนกันนะ...อยู่คนเดียวหรือมีใคร...

                “หนึ่ง...” คนเป็นแม่รู้สึกผิดสังเกตกับอาการตาเยิ้มหยดย้อยของลูกชายจึงลองสะกิด

ชื่อเล่นเรียกติดปากนี้มาจากช่วงวัยทารกเด็กชายอนัญชอบตื่นมาแหกปากเวลาหนึ่งนาฬิกาเป๊ะ “หนึ่ง...หนึ่ง”

                “...” ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง

                “หนึ่งเอ๊ะ!

...หรือว่า...ตายล่ะ” เครือวัลย์เข้าใจว่าอาการตาลอยสติหลุดของอนัญเป็นผลข้างเคียงจากการที่อีกฝ่ายสูดดมกาวยาท่อประปาเป็นเวลานาน

ลูกชายคนเดียวของเธอกำลังเมากาว!

                “หนึ่ง...หนึ่งๆๆๆ” สะกิดย้ำๆ แต่อีกฝ่ายยังเหม่อลอยเหมือนเดิม

เครือวัลย์ร้อนใจจำต้องละเลยลูกค้าไปก่อน

เธอตัดสินใจว่าหากสะกิดครั้งนี้แล้วอนัญยังไม่ไหวติงคงต้องโทรเรียกรถฉุกเฉิน “หนึ่ง! ไอ้หนึ่ง!”

                ป๊าบ!

เสียงเรียกดังก้องมาพร้อมฝ่ามืออรหันต์ดึงคนสติล่องลอยกลับสู่ห้วงปัจจุบัน

                “โอ๊ะ! โถ่แม่!

ตบมาได้” คนโดนตบกะโหลกเสยผมหยิกยุ่งแก้เก้อ “อยู่ใกล้แค่นี้ไม่เห็นต้องเสียงดัง”

                “ว่าได้เรอะ

คนตะโกนจนคอจะแตกอยู่แล้วแต่แกก็ทำเฉย นึกว่าเมากาวจนฟั่นเฟือนไปแล้ว”

                “เมาเมิวอะไรเล่า” คนฟั่นเฟือนโบกมือปัด เขาชินกับงานช่างมาแปดปีไม่มีทางเป็นดังคำกล่าวหา

ชายหนุ่มละสายตาจากการมองใครบางคนขณะเดียวกันก็ซุกซ่อนประกายบางอย่างในดวงตาเอาไว้แล้วลุกขึ้นเตรียมเสนอหัวฟูหน้ายุ่งออกไปนอกเคาน์เตอร์

                “นั่นแกจะไปไหน” คนเป็นแม่ร้องทัก

                “เปิดประตูให้เขา” พยักพเยิดไปทางประตู

                “เดี๋ยวแม่ทำเอง” ผลักลูกชายให้เบี่ยงหลบแล้วพาตัวเองออกมาจากคอกเคาน์เตอร์

กาวางยังไม่เคยเจอกับอนัญ

เครือวัลย์ห่วงว่ารูปลักษณ์ซอมซ่อของลูกชายจะทำให้ลูกค้าสาวตกใจกลัวจนหนีเตลิด

                “อืม” พยักหน้าขณะก้าวเท้าตามอย่างแข็งขัน

                “แล้วนี่จะไปไหนอีก” เครือวัลย์หยุดเดินและเหลือบมองอนัญอย่างนึกสงสัย ไม่บ่อยนักที่จะเห็นลูกชายกุลีกุจอต้อนรับลูกค้าเช่นนี้

                “ขอตามไปด้วย” เขาอยากเห็นหน้าลูกค้าคนนี้ใกล้อีกนิด

                “เออๆ” แม้รู้สึกผิดปกติแต่คนเป็นแม่ก็ไม่ได้ห้ามปรามให้มากความยืดเยื้อ

                เจ้าของหอพักแนะนำให้ลูกค้าสาวรู้จักกับลูกชายซึ่งถูกวางให้อยู่ในตำแหน่งผู้ช่วย

หลังจากมอบพวงกุญแจคีย์การ์ดแล้วเครือวัลย์ก็ช่วยหยิบจับของเล็กๆ น้อยๆ

สักพักก็แยกไปคุยโทรศัพท์ปล่อยให้อนัญเดินไปกลับระหว่างรถรับจ้างขนย้ายกับห้องพักของกาวาง

โชคดีที่ไม่ต้องใช้ลิฟต์เคลื่อนย้ายหลายต่อให้วุ่นวาย

ห้องของเธออยู่ชั้นล่างเยื้องกับร้านสะดวกซื้อ

                การขนของเข้าห้องดำเนินมาจนเสร็จสิ้น

ตอนนี้อนัญและกาวางกำลังยืนอยู่ตรงหน้าห้องของหญิงสาว

                “ขอบคุณมากนะคะ

ไม่ค่อยได้ช่วยคุณเท่าไรเลย” กาวางออกตัวขณะเดียวกันก็ทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง

เธอเพิ่งรู้ว่าเครือวัลย์มีลูกชายเป็นผู้ช่วย แม้อนัญมีท่าทีต้อนรับขับสู้ทั้งยังใจดีช่วยขนของแต่เธอกลับไม่สนิทใจกับเขาเท่าเครือวัลย์

อาจเป็นเพราะรูปลักษณ์สะดุดตาของอีกฝ่ายและนี่คือการเจอกันครั้งแรก

กระนั้นเธอก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะพยายามไม่มีปัญหาให้ต้องรบกวนขอความช่วยเหลือจากเขา

                “กวาง” คนทำหน้าที่ราวกับเป็นพนักงานบริษัทขนย้ายเสียเองไม่ค่อยใส่ใจกับคำขอบคุณของเธอเท่าไรนัก

เขารู้สึกตงิดกับชื่อของเธอมากกว่า

ดวงตาคมกริบลอบมองกิริยาของคู่สนทนาอย่างพิจารณา

                “คะ?” เจ้าของดวงตากลมโตฉายแววฉงนกึ่งไม่แน่ใจ

คำที่เขาเปล่งออกมานั้นเกี่ยวข้องกับเธอหรือเปล่า

                “ชื่อกวางหรือกาวางกันแน่” อนัญลองเดาชื่อเล่นกับชื่อจริงของอีกฝ่าย

                “ชื่อกาวางค่ะไม่ใช่กวางไม่เกี่ยวข้องกันเลย

คนละความหมายกันด้วย เพื่อนบางคนที่ไม่ค่อยสนิทก็ชอบเรียกแบบนั้น” เจ้าของชื่อแก้ไขความเข้าใจผิดน้ำเสียงแข็งขัน

เธอภูมิใจในชื่อนี้เพราะเป็นชื่อที่แม่ตั้งให้แต่มีคนมากมายชอบรวบคำจนผิดเพี้ยน

อนัญคือหนึ่งในนั้น ดวงตากลมหวานวาววับแอบตวัดมองอีกฝ่ายคล้ายเคืองขุ่น

                “แล้วถ้าสนิทกันเรียกแบบไหน” อนัญไม่ทันได้เห็นสายตาหาเรื่อง กาวางไม่ได้ก้มหน้างุด

เธอกำลังมองตรงแต่ความแตกต่างทางสรีระทำให้เจ้าของร่างสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรเห็นเพียงศีรษะทุยสวยในทรงผมบ๊อบหน้าม้าของผู้หญิงที่เตี้ยกว่ากันนับฟุต

                “ก้อ...ก็เรียก” แม้มองอีกฝ่ายด้วยหางตาแต่สัมผัสได้ถึงกระแสบางอย่างจากดวงตาคู่คมจนรู้สึกอุ่นที่แก้ม

ระบบความคิดของเธอรวนไปวูบหนึ่ง

แต่เมื่อคิดได้ว่าคนมองอาจไม่ตั้งใจและไม่คิดอะไรเธอเองก็ไม่ควรปล่อยความรู้สึกเลอะเทอะนี้มาทำให้สมองปั่นป่วน

                “เรียกกาวางนี่แหละค่ะแต่คุณไม่ต้องซีเรียสนะจะเรียกแบบไหนก็ได้” เธอคงไม่ได้ยินเขาเรียกชื่อผิดเพี้ยนบ่อยนักหรอก

ต่างคนก็คงต่างใช้ชีวิตตามทางของตัวเอง

                “กาวาง” เสียงทุ้มชัดถ้อยชัดคำ

                “คะ?” แหงนมองคนที่เรียกชื่อแล้วเงียบอย่างนึกฉงน เธออยากรู้ว่าเขาต้องการอะไรทำไมเรียกแล้วนิ่งไป

                “เรียกกาวางไงจะได้หันมาคุยกัน

ถ้าเรียกอย่างอื่นเดี๋ยวไม่หัน” เขาอยากเป็นคนสนิท

                “...” คนฟังเลิกคิ้วสูงกับเหตุผลไร้สาระ

กาวางคิดว่าตัวเองกำลังถูกลูกชายเจ้าของหอพักกวนประสาท

                “อยู่คนเดียวเหรอ” แม่เป็นคนจัดการเรื่องสัญญาเช่า เขาไม่ได้อยู่ตอนที่ทั้งคู่เจรจากัน

                “เอ่อ...” เธอมีคำตอบอยู่แล้วแต่ลังเลว่าควรพูดออกมาดีหรือไม่

สำหรับผู้หญิงการป่าวประกาศว่าตัวเองพักอาศัยอยู่คนเดียวย่อมไม่ปลอดภัย

แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นลูกชายเจ้าของหอพักแต่ก็ยังถือว่าเป็นคนแปลกหน้าห่างไกลจากคำว่าสนิทใจ “ตอนนี้อยู่คนเดียวค่ะแต่บางวันก็อาจจะมีคนมาค้างด้วย

ฉันบอกป้าไว้แล้วนะคะ”

                “...” อนัญสะอึกไปวูบหนึ่ง

ดวงตาคู่คมมีแววอยากรู้อยากเห็นเจือรอยหมองหม่น

                “คุณ...คุณคะ…คุณ” เขานิ่งไปนานให้เธอต้องเรียกอยู่หลายทีแต่ก็ยังเฉย

จากเรียกในเสียงระดับปกติจึงเปลี่ยนเป็นตะโกน “คุณอนัญ!”

                “ฮะ!

เอ้อ...มีอะไรเหรอ” ไหล่พึ่งผายไหวเล็กน้อยขณะพยายามกลบเกลื่อนพิรุธ

เขาอาจคิดมากไปเอง

แม้อยากได้ความแน่ใจแต่ชายหนุ่มก็ไม่กล้าละลาบละล้วงมากไปกว่านี้

                “ฉันเห็นคุณนิ่งไปนึกว่าเป็นอะไร” ลูกตากลมโตกลิ้งขึ้นลงสำรวจความผิดปกติจากร่างสูงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแบบรวดเร็ว

                “ไม่มีอะไรหรอก” โบกมือแก้เก้อ

                “ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปจัดของก่อนนะคะ” กาวางรู้สึกว่าตัวเองยืนคุยกับอนัญนานเกินไปแล้ว

                “อืม...” เขาไม่รู้จะชวนเธอคุยเรื่องอะไรจึงจำต้องพยักหน้ามองส่งฉับพลันก็นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาจึงยื่นมือไปขวางทางประตู

                “อะไรคะ!” คนกำลังปิดประตูทับนิ้วอีกฝ่ายทำเสียงตื่นเต้น

เธอมองคนทะเล่อทะล่าด้วยสายตาตำหนิแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เดือดร้อนกับท่าทีขุ่นข้องของเธอเลยสักนิด

                “เมื่อกี้ที่เรียกอนัญมันทางการไปเรียกแค่หนึ่งก็พอ”

                “ค่ะ” รับปากแล้วปิดประตูทันที

                “...” คนชื่อหนึ่งขมวดคิ้วกับกิริยาของกาวางที่ตอบรับแบบขอไปทีราวกับการสนทนากันคือเรื่องเปล่าประโยชน์

เขาคงวุ่นวายกับเธอมากไป

หากมีโอกาสอนัญก็อยากพิสูจน์ว่ากาวางใส่ใจกับคำขอของเขาหรือแค่รับปากส่ง

                ชายหนุ่มยืนมองบานประตูห้องที่ปิดสนิทสลับกับร้านสะดวกซื้ออย่างใช้ความคิด

                ห้องของกาวางอยู่ห่างจากเคาน์เตอร์เพียงหนึ่งช่วงทางเดิน

                คนที่แต่ไหนแต่ไรเห็นการปลูกผักกางมุ้งดีกว่านั่งขายของและต้อนรับลูกค้าหยุดมองเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์อย่างพิจารณา...

                ท่าทางชวนสงสัยของอนัญทำให้กาวางไม่แน่ใจว่าตนเลือกที่พักอาศัยถูกต้อง

คนเป็นลูกมีกิริยาและรูปลักษณ์แตกต่างจากคนเป็นแม่ลิบลับ แม้มีความเป็นกันเองเหมือนกันแต่เครือวัลย์ไม่เคยถามถึงเรื่องส่วนตัวต่างจากอนัญที่ละลาบละล้วง

เขาอาจแค่ชวนคุยแต่มันเชิงลึกเกินไปสำหรับเธอ

ทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกก็มาถามว่าอยู่กับใคร

ใช้ได้ที่ไหน...แต่เห็นแก่ความดีที่เขาช่วยยกของเธอจะไม่เก็บมาเป็นอารมณ์กระนั้นก็ตั้งใจไว้แล้วว่าต้องใช้ชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท

                หญิงสาวสลัดความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับผู้ชายชื่อหนึ่งออกไปจากหัว

ภายในห้องพักแห่งนี้มีกิจกรรมมากมายให้เธอทำ

แม้ตัวคนเดียวแต่กาวางก็เป็นผู้หญิงจึงมีข้าวของกระจุกกระจิกตามประสาให้ต้องจัดการ

                กาวางเคยมีพ่อแม่

ภาพในหัวตั้งแต่จำความได้คือมักเห็นพ่อใช้ควานรุนแรงกับแม่เสมอไม่ว่าจะยามสร่างหรือเมามาย

แม่มีชีวิตไม่ต่างจากกระสอบทราย

บางครั้งเด็กหญิงตัวน้อยก็โดนลูกหลงให้คนเป็นแม่ที่สะบักสะบอมต้องรีบอุ้มไปซ่อนในที่ปลอดภัย

บางทีแม่รู้ตัวว่าจะถูกซ้อมก็รีบพาเธอไปหลบในห้องแต่พ่อก็ตามมาทุบประตูให้สำนึกถึงอารมณ์เดือดดาล

                เวลาผ่านไปหลายปีจากเด็กหญิงกลายเป็นเด็กสาว

ภาพความรุนแรงในครอบครัวแบบเดิมยังคงฉายซ้ำ

หูคุ้นเคยแต่ความรู้สึกของคนเป็นลูกไม่เคยชินชา

กระทั่งความอดทนของแม่มาถึงขีดสุดเตรียมหอบลูกหนีแต่เรื่องรู้ถึงหูพ่อให้เกิดความโมโห

เธออยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่สามารถช่วยอะไรแม่ได้เลย

พอเข้าไปขวางก็โดนทำร้ายร่างกายไม่แตกต่างกัน

รอยแผลเป็นยาวหนึ่งนิ้วบริเวณลูกผมคือเครื่องเตือนความจำ

                วันนั้นคนเป็นพ่อกระชากกาวางออกจากอ้อมกอดแม่

เธอถูกพ่อเหวี่ยงอย่างแรงจนร่างกายถลาไม่อาจควบคุมพาศีรษะไปโขรกกับเหลี่ยมโต๊ะแล้วสลบ

เหตุการณ์หลังจากนั้นคือพ่อทุบตีแม่จนฝ่ายถูกกระทำเลือดตกช้ำในตาย  ฆาตกรถูกคุมขังทิ้งเด็กสาวอายุสิบเจ็ดให้ต้องใช้ชีวิตลำพัง

                แม้เจ็บปวดแต่คนเป็นลูกไม่อาจละทิ้งความทรงจำทั้งไม่รู้ว่าจะมีที่ไหนให้ความปลอดภัยเท่าถิ่นตน

หลังจบมัธยมกาวางเลือกเรียนต่อในมหาวิทยาลัยประจำจังหวัดโดยใช้เวลาว่างระหว่างเรียนทำงานพาร์ทไทม์เพื่อให้สมองไม่หวนคิดถึงภาพความรุนแรง

ตลอดห้าปีที่ผ่านมากาวางจึงยังอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาหลังเดิมด้วยเงินประกันชีวิตของแม่

กระทั่งเรียนจบจึงมีโอกาสได้พาตัวเองออกมาจากกรอบ

                กาวางได้งานเป็นผู้จัดการร้านฝึกหัดเมื่อฝึกประสบการณ์การแล้วทางบริษัทก็ให้กาวางมาประจำที่ร้านซึ่งมีสาขาอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองของจังหวัดที่ได้ฉายาว่าเป็นประตูสู่ภาคเหนือ

สาวเหนือจึงปล่อยบ้านให้คนเช่าและย้ายตัวเองจากจุดเหนือสุดของประเทศสู่พื้นที่ภาคกลางด้วยบริการรถรับจ้างขนย้ายสิ่งของ

เธอยังไม่มีเงินเก็บมากพอสำหรับซื้อรถยนต์แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าหากหน้าที่การงานมั่นคงเพียงพอก็ต้องหายานพาหนะคู่ใจสักคัน

                หอพักของเครือวัลย์อยู่ใกล้ที่ทำงานของกาวาง

ตัวอาคารห่างจากหน้าห้างสรรพสินค้าราวหนึ่งกิโลเมตรเมตรหากเดินเท้าจะผ่านหนึ่งปากซอยและข้ามสะพานลอยซึ่งมีระยะทางเท่าถนนสี่เลนใหญ่ใช้เวลาเดินทางประมาณสิบนาที

                นอกจากทำเลดีเหมาะสำหรับพนักงานที่ไม่มียานพาหนะส่วนตัวบางครั้งต้องเข้ากะเช้าหรือเลิกงานดึกแล้ว

ราคายังเหมาะสมสำหรับชีวิตมนุษย์เงินเดือน สำคัญที่สุดคือมีเหล็กดัดกั้นแน่นตั้งแต่ช่องลมในห้องน้ำและหน้าต่างไปจนถึงระเบียงห้องซึ่งมีเหล็กปักลึกเข้าไปในเนื้อปูนตั้งแต่ราวระเบียงสูงจรดเพดานให้ความรู้สึกคล้ายถูกขังแต่ก็มั่นใจว่างัดแงะไม่ง่าย

ถ้าเกิดเหตุร้ายก็จะมีกล้องวงจรปิดหลายตัวทั้งมุมเปิดและมุมอับคอยเป็นพยาน

สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คนพลัดถิ่นรู้สึกว่าชายคาตึกสูงห้าชั้นหลังนี้ปลอดภัยต่อร่างกายและทรัพย์สินในระดับหนึ่ง...เว้นเสียแต่ว่าเหตุร้ายจะเกิดจากคนข้างใน...

                ทั้งที่ไม่อยากสนใจแต่ส่วนสำนึกก็ดันผุดภาพร่างสูงหน้าดุหัวฟูหยิกหย็องไม่เข้าท่าและน่าสงสัย

หากเครือวัลย์ไม่แนะนำว่าอนัญเป็นใครเธอคงจัดให้เขาเป็นบุคคลไม่น่าเข้าใกล้แห่งปี

ความจริงเธอก็อยากรู้ว่าแม่ลูกเขาคุยกันบ้างไหม

เครือวัลย์ได้เตือนเรื่องรูปลักษณ์ของลูกชายบ้างหรือเปล่า...

                เอ๊ะ!

หรือจะเป็นตัวเธอที่อคติ

คนเผลอคิดไม่ดีสะอึกไปวูบหนึ่ง...แล้วนี่มันเรื่องอะไรที่เธอต้องไปคิดถึงไม่ใช่สิ!

คิดเลอะเทอะถึงอนัญด้วย

                แม้รู้ดีว่าไม่สามารถตัดสินคนจากภายนอกทั้งชายหนุ่มยังช่วยขนย้ายข้าวของมากมายจนเสร็จกระนั้นกาวางก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับอนัญมากเกินความจำเป็น

ชายหนุ่มอาจเป็นคนดีคนหนึ่งที่เธอสามารถเป็นเพื่อนได้และทุกคนบนโลกใบนี้ไม่ได้ใจร้ายแต่เธอก็ยังไม่อยากเอาใจไปผูกไว้กับใคร

โดยเฉพาะผู้ชายแปลกหน้าพูดจาขัดหูท่าทางชวนรำคาญลูกตาแบบนั้น!

บทที่ 2 สุมทุมพุ่มไม้

ร้านอาหารสาขาที่กาวางประจำอยู่นั้นมีผู้จัดการทั้งหมดสองคนหมุนเวียนกันทำหน้าที่

กาวางเริ่มงานด้วยกะเช้าเป็นระยะเวลาสองสัปดาห์

แม้เวลาเลิกงานคือบ่ายสามแต่ผู้จัดการคนใหม่ก็ตั้งใจอยู่เรียนรู้งานของกะบ่ายไปจนถึงเวลาปิดร้าน

กาวางใช้เวลาสองสัปดาห์ในการเรียนรู้กิจกรรมทั้งหมดในร้านทั้งของตัวเองและพนักงานตำแหน่งอื่น

การลากยาวโดยไม่พักหยุดตามตารางทำให้ร่างกายและสมองอ่อนล้าพอสมควรแต่ก็ถือว่าคุ้ม

กาวางมั่นใจว่าตัวเองสามารถบริหารจัดการร้านตามลำพังได้อย่างราบรื่นในระดับหนึ่ง

            วันหยุดแรกของผู้จัดการสาวเริ่มต้นด้วยการนำผ้าหมักหมมไปซักยังเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญซึ่งทางหอพักมีไว้บริการ

คนตัวเล็กแต่โลภมากแบกตะกร้าผ้าเค็มใบโตมาตั้งไว้หน้าห้องก่อนจะหอบหิ้วขวดพลาสติกเปล่าขนาดบรรจุหกลิตรจำนวนสี่ใบออกมาจากห้องพัก

ใกล้กับจุดบริการซักล้างมีตู้กดน้ำแบบหยอดเหรียญไว้บริการด้วยหิ้วไปทีเดียวแบบนี้ก็ช่วยลดจำนวนการเดินวนเวียน

            “วันนี้หยุดเหรอ” อนัญเดินออกมาจากคอกเคาน์เตอร์

เขามักเห็นกาวางอยู่ในชุดยูนิฟอร์มร้านอาหารแต่วันนี้ร่างเล็กบางสวมเสื้อคอกลมกางเกงผ้ายืดส่งให้หญิงสาวดูบอบบางกว่าเคยเมื่อรวมกับทรงผมบ๊อบหน้าม้าแล้วมองผิวเผินกาวางคล้ายเด็กสาวอายุสิบแปดมากกว่าผู้หญิงอายุยี่สิบสาม

เขารู้ข้อมูลเบื้องต้นนี้จากเอกสารที่แม่เก็บไว้

            “ค่ะ” กาวางพยักหน้าเชิงทักทายคู่สนทนาขณะใช้นิ้วเกี่ยวหูหิ้วขวดน้ำสี่ขวดไว้กับมือทั้งสองข้าง

ไม่ว่าเวลาไหนเธอมักพบอนัญนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์เสมอบางครั้งก็กล่าวทักทายแต่ส่วนมากจะรีบเดินและทำเป็นไม่มองแต่คราวนี้คงเลี่ยงยาก

ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกาวางก็ไม่เคยเห็นชายหนุ่มสวมใส่เสื้อผ้าโกโรโกโสอีกเลย

สงสัยวันนั้นคงเกิดเหตุสุดวิสัย

ทุกวันนี้อนัญมักสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นคู่กับกางเกงผ้าหนาขาสั้น

เป็นเครื่องแต่งกายลำลองที่สะอาดและสุภาพกว่าเสื้อยืดย้วยมีรูขาด

ผมหยิกถูกมัดรวบไว้จึงไม่ฟูฟ่องยุ่งเหยิงแต่ก็ไม่ค่อยถูกจริตคนมองอย่างเธออยู่ดี...

            เจ้าของตะกร้าผ้าตีหน้ายุ่ง

เธอเริ่มไม่แน่ใจในพละกำลังของตัวเองว่าจะหอบของทั้งหมดนี้ไปยังจุดซักล้างได้ในคราวเดียว

            “เดี๋ยวช่วย” คนแรงเยอะโน้มตัวลงฉวยตะกร้าหวายมีน้ำหนักมาอุ้มไว้

            “ไม่เป็นไรค่ะ

ฉันทำเองได้” รั้งขอบตะกร้าไว้ในเชิงห้ามปราม

ผ้าเค็มมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เธออายและไม่อยากให้ใครต้องมาวุ่นวายกับของส่วนตัว

            “ของเต็มสองมือจะเอาตรงไหนมาถืออีก” พยักพเยิดไปยังขวดเปล่าสี่ใบของเธอ

            “วางไว้ตรงนี้แหละเดี๋ยวฉันกลับมายกเอง” ใบหน้าอ่อนหวานยุ่งเหยิงหนักหน่วงเมื่อรั้งแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย

            “เถอะน่า” อนัญไม่ใส่ใจต่อแรงขัดขืนเท่ามดไต่ สองแขนแข็งแรงกอดตะกร้าไว้แล้วออกเดิน

            “แต่...จึ!” คนไม่ได้ดั่งใจจุปากอย่างไม่สบอารมณ์กระนั้นก็ไม่ได้โวยวายเสียงดัง

เธอเกรงใจคนอื่นทั้งกลัวว่าจะมีคนมาเห็นแล้วเอาไปพูดในทางเสียหาย ถ้ามัวทุ่มเถียงคงอีกนานกว่าจะได้ผึ่งผ้าสำคัญคือเธอยังไม่อยากย้ายหอแบบกะทันหันแต่หากกิจการงานเข้าที่ก็ไม่แน่

            เจ้าของตะกร้าเดินตามติดผู้ชายถือวิสาสะมาจนถึงจุดซักล้าง

วันนี้ไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ซ้ำยังเป็นเวลาทำงานตามปกติของมนุษย์เงินเดือนที่ได้หยุดตามปฏิทินทำให้ลานซักล้างปลอดคน

            “ขอบคุณค่ะ

วางไว้ตรงนี้ก็พอเดี๋ยวฉันจัดการเอง” กาวางกังวลว่าดวงตาคู่คมจะมองเห็นเครื่องแต่งกายชิ้นเล็กชิ้นน้อยน่าขัดเขิน

            “อืม...” อนัญไม่ได้วุ่นวายกับผ้าทำเพียงวางตะกร้าแล้วเลี่ยงไป

            กาวางไม่ได้มองตามเพราะมีเสื้อผ้าหลายชิ้นให้ต้องจัดการ

มันคงไม่ดีเท่าไรหากคนนอกมารู้เห็นตอนเธอกำลังหยิบชุดชั้นชั้นในใส่ถังซักผ้า

แม้ผ้าชิ้นน้อยจะถูกบรรจุอยู่ในถุงซักก็ตาม

หลังจัดการให้ผ้าทั้งหมดอยู่ในถังซักแล้วจึงเทผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่มจากนั้นก็ปิดผ้า

มือน้อยควานหาเหรียญจากกระเป๋ากางเกง

            แก๊งๆๆ

กึก...แก๊งกึก...แก๊งกึก...มีเหรียญหนึ่งผิดปกติลองหยอดหลายทีแต่เครื่องก็คายออกมา

            กาวางหยิบเหรียญสิบเจ้าปัญหาจากช่องคายเหรียญขึ้นมามองอย่างพิจารณา

เธอเตรียมเหรียญมาพอดีและแน่ใจว่าในห้องไม่มีเหรียญเหลือสำหรับหยอดเครื่องคงต้องขอแลกกับเจ้าของหอ

วูบหนึ่งนึกลังเลเพราะไม่ค่อยอยากสนทนากับอนัญ

            แก๊ง...เสียงโลหะกระทบกันปลุกหญิงสาวจากภวังค์

ตอนนี้ตรงหน้าจอเครื่องซักผ้าแสดงผลว่ากำลังเดินเครื่องตามโปรแกรม

            “...” เหรียญสุดท้ายยังอยู่ในมือเธอ

            “เหรียญคงเบาไป” เสียงทุ้มคุ้นหูดังอยู่เหนือศีรษะคนตัวเล็ก

            “อุ๊ย!” ร่างบางสะอึกเล็กน้อย

คนที่เธอคิดว่าไปแล้วแท้จริงยังอยู่ใกล้จนรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของร่างกาย

            อนัญยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของกาวางนั่นเอง

ทั้งคนตัวใหญ่ยังวางมือสองข้างกับเครื่องซักผ้า มองผิวเผินคล้ายกับว่าเขายืนกอดเธอ

คนถูกขังให้อยู่ระหว่างเครื่องซักผ้ากับเรือนกายใหญ่โตของมนุษย์ผู้ชายหน้าร้อนจนหูอื้อตาลาย

ไออุ่นจากปลายจมูกโด่งเป่ารดเส้นผมของเธอเรื่อยๆ บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้ในระยะอันตราย “ทำอะไรของคุณ!”

            “ฮะ! เอ้อ...” คนยืนสูดกลิ่นหอมอ่อนเข้าปอดมานานหลายนาทีพลันสะดุด

เขาละมือจากตัวถังซักผ้ามาไขว้หลังไว้แต่ยังยืนอยู่ที่เดิม “โทษทีเมื่อกี้เผลอ”

            “เอ้อ...นึกว่าคุณไปแล้วเสียอีก” คนเพิ่งหาลิ้นตัวเองเจอพูดออกไปอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้ดีกว่านี้แต่ที่แน่ๆ

คือไม่อยากให้อีกฝ่ายจับได้ว่าหัวใจของเธอกำลังเต้นผิดปกติ

กระนั้นอนัญก็ควรได้รับการลงโทษสำหรับกิริยาไม่เข้าท่า

ฉับพลันเท้าเล็กในรองเท้าแตะยกขึ้นจากพื้นแล้วเหยียบลงตรงหลังเท้าของคนที่สวมรองเท้าแตะเช่นกัน

ออกแรงกดส้นเท้าทั้งถองศอกใส่หน้าท้องแข็งปึ๋งแล้วโดดหนีไปยืนห่างจากผู้ถูกกระทำ

            “โอ๊ย...ซี๊ดดดด!” ใบหน้าคร้ามคมบิดเบ้เล็กน้อยแต่ส่งเสียงเกินจริง

แรงบดเท่าปุยนุ่นไม่ทำให้หลังเท้าของเขาอักเสบแต่ก็อาจมีรอยช้ำหลายวัน...ตรงหน้าท้องก็ด้วย

เธอฝากรักเขาด้วยส้นเท้ากับศอกแหลม

            “โอ๊ะ!

โทษทีเผลอเหมือนกันค่ะ” มุมปากจิ้มลิ้มยกยิ้มเยอะเย้ยเมื่อเห็นคนตัวสูงตัวงอแต่พอเขาเงยหน้าขึ้นก็ตีหน้าซื่อตาใสพลางชี้โบ้ชี้เบ้ “ฉันจะกดน้ำแต่คุณมาขวาง”

            “...” เขาไม่เชื่อเธอเลยสักนิดแต่ก็ไม่กล้าเอาเรื่อง

กาวางคงอยากเอาคืนที่เขาเกือบได้กอดเธอ ช่างเป็นผู้หญิงซาดิสซ์แต่เขากลับชอบ

เจ็บตัวนิดหน่อยยังดีเสียกว่าให้เธอเมินเฉยไม่รู้สึกรู้สา

            “คุณคงไม่โกรธ

ขอบคุณนะคะเดี๋ยวจะหาเหรียญมาใช้คืน” หอบแกลลอนเปล่าไปยืนหน้าเครื่องกดน้ำอัตโนมัติแต่ยังไม่เริ่มทำอะไร

            “ไม่ต้องคืนหรอก

ผมให้เลย” เขาไม่เดือดร้อนกับเงินแค่นี้

            “ฉันไม่ได้ขอ” ปรับเสียงให้เข้มขึ้นหนึ่งระดับ

            “จะว่าผมเสือกเหรอ”

            “ฉันไม่ได้พูดนะคะ” เธอเลิกคิ้วสูงก่อนจะโบกมือหว็อย “คุณมีอะไรก็ไปทำเถอะค่ะอย่ามาเสียเวลากับฉันเลย”

            “ไล่จัง”

            “ฉันไม่ได้พูดนะคะ” เธอยังทำหน้าซื่อตาใสใส่คนพูดเองเออเอง

            “เผื่อเครื่องไม่กินเหรียญอีก” พยายามหาข้ออ้าง

ในกระเป๋ากางเกงของเขามีเหรียญหลากหลายค่าเงินรวมกันราวสามสิบบาท

            “อันนี้มีหลายตัวเลือกคงไม่มีปัญหาหรอกค่ะ”

            “เอาเฮอะ” ชายหนุ่มจำต้องถอยห่าง หากเข้าหาเธอแบบไม่เข้าท่าอาจทำอีกฝ่ายกลัว

เตรียมจะหันหลังให้แต่ก็นึกระแวงว่ากาวางจะยังอยากคุยกับเขาครั้งต่อไปหรือเปล่า “ถ้าเมื่อกี้ทำให้อึดอัดก็ขอโทษแล้วกัน”

            “ช่างเถอะค่ะ

ฉันจะลืมแล้ว” กาวางโบกมือใส่เขาอีกครั้ง

แม้ไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงเรื่องใดแต่ก็ไม่อยากเท้าความ

            “ลืมเหรอ...” ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เธอหมายถึงเรื่องอะไรหรือหมายถึงลืมเขา!

            “คุณหนึ่ง” เห็นว่าอีกฝ่ายยังยืนเฉยจึงเรียกหยั่งเชิงแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจนต้องเรียกซ้ำด้วยเสียงดังกว่าเดิม “คุณหนึ่ง!”

            “ฮะ!...อะไร” ร่างใหญ่ไหวเล็กน้อย

            “ฉันขอทำธุระตรงนี้คนเดียว” เน้นหนักในช่วงท้ายทั้งทำหน้าจริงจัง

การมีอนัญยืนจ้องแบบนี้ทำให้เธอเสียสมาธิ

            “เออๆ ไปแล้วก็ได้” ทั้งที่อยากทำความดีแต่ดูเหมือนตอนนี้เขาจะทำให้เธอหงุดหงิดมากกว่า

            หลังจากมีเรื่องกันตรงลานซักล้างกาวางก็ไม่เห็นอนัญอีกเลยตลอดทั้งวัน

แม่ลูกคงผลัดเวรกันเพราะทุกครั้งที่เปิดประตูเข้าออกห้องเธอจะพบเครือวัลย์นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์เสมอ

คนเพิ่งมีวันหยุดแรกใช้เวลาครึ่งวันสำหรับการเก็บกวาดห้องพักและซักผ้า

ตอนผึ่งผ้าไว้กับราวตรงระเบียงกาวางสังเกตเห็นอนัญเดินออกมาจากแปลงผักกางมุ้งที่เรียงรายอยู่ภายในรั้วบ้านสองชั้นซึ่งตั้งอยู่หลังหอพัก

เธอรู้แล้วว่าเขาไปไหนแต่เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นตัวเองจึงเร่งมือพาดผ้าและปิดประตูเชื่อมระเบียงกันคนนอกมองเข้ามา

            กาวางมั่นใจว่าไม่ได้เกลียดหรือกลัวอนัญแต่ก็ไม่อยากพาตัวเข้าไปใกล้

ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ผลักดันให้เธอหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขาทุกกรณี

สำเร็จบ้างแต่ล้มเหลวมากกว่าก็เขาเล่นนั่งเฝ้าเคาน์เตอร์เช้ายันดึก

เธอจึงต้องพูดคุยตอบโต้ตามมารยาททุกครั้งที่โดนทักทาย

นึกสงสัยว่าคนอะไรไม่หลับไม่นอนเพิ่งรู้ตอนนี้ว่าคู่แม่ลูกผลัดเวรกัน

วันมะรืนเธอจะเริ่มงานกะบ่ายคงเห็นหน้าเขาน้อยลง

            “...” คนคิดมากทำคิ้วขมวดรู้สึกวูบไหวตรงหัวใจอย่างไรพิกล

            ใจหายอย่างนั้นเหรอ...บ้าบอ!

ต้องดีใจสิที่ไม่ต้องเห็นคนทำหน้าตาชวนหงุดหงิดแต่เช้า

            ขณะกาวางกำลังหน้านิ่วกับความรู้สึกแปลกพิกลเพื่อนของเธอก็โทรศัพท์มาถามสารทุกข์สุขดิบ

วนิดาเป็นเพื่อนร่วมสถาบันและเข้าทำงานบริษัทเดียวกันแต่ประจำอยู่ต่างสาขา

ดูเหมือนเพื่อนก็อยู่ในช่วงปรับตัวเหมือนกัน

การได้ปรับทุกข์เรื่องงานกับเพื่อนดึงความสนใจหญิงสาวออกจากลูกชายเจ้าของหอได้บ้าง

หลังวางสายจากเพื่อนแล้วกาวางจึงทานมื้อเช้าควบเที่ยงระหว่างนั้นก็เปิดโทรทัศน์ไปด้วย

แม้ชินกับการอยู่ลำพังแต่กาวางก็ไม่ได้ชอบให้ห้องเงียบชวนวังเวง

ความเหงาอาจกัดกินจิตใจให้เธอจมจ่อมกับเรื่องไม่ควรคิด

            หลังจากทานข้าวเสร็จกาวางก็กลับมานั่งดูโทรทัศน์ต่ออย่างไม่รู้จะทำอะไร

เวลาผ่านไปจากนั่งก็เปลี่ยนเป็นนอน สิ่งบันเทิงหน้าจอแก้วเริ่มไม่น่าสนใจ

พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน

ไม่รู้จะฝืนไปทำไมหรือเพื่ออะไรคนง่วงงุนตัดสินใจปิดโทรทัศน์และหลับใหล

            กาวางรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าเป็นเวลาเย็นย่ำ

ลมพัดกระทบเครื่องแขวนเกิดเสียงกรุ๊งกริ๊งต่อเนื่องจากด้านนอกทำให้คนงัวเงียต้องลุกจากเตียงเพื่อออกไปดูบรรยากาศ

ดวงตากลมหวานมองผ่านเหล็กดัดเห็นท้องฟ้าไร้เค้าฝนแต่ก็เปลี่ยนสีบอกว่าอีกไม่นานจะมืดมัว

ตรงจุดที่เธอยืนอยู่นี้มีสายลมโชยเอื่อยเป็นระยะปลอดโปร่งกว่าข้างในห้อง

            เสื้อผ้าที่เคยกระจายเต็มราวตอนนี้ลู่ไปรวมกันอยู่ฝั่งท้ายลม

เธอลองจับเพื่อเช็คความชื้น

ผ้าทุกผืนแห้งสนิทแล้วแต่อาจเพราะลมพัดแรงจนพากางเกงชั้นในตัวหนึ่งไปเกี่ยวกับเงี่ยงเหล็กดัด

คนตัวเล็กเขย่งปลายเท้าและออกแรงรั้งให้สิ่งที่ติดขัดซึ่งอยู่เหนือศีรษะหลุดออกจากเครื่องพันธนาการ

ในที่สุดความพยายามก็สำฤทธิ์ผลร้าย

กางเกงชั้นในลายการ์ตูนตัวนั้นกระเด็นหลุดออกด้านนอกตกไปยังอีกฝั่งของระเบียง

            “ตายล่ะ!” คนเป็นเจ้าของหลุบมองผ้าชิ้นน้อยซึ่งแผ่คลุมอยู่บนพุ่มไม้ประดับอย่างกลัดกลุ้ม

ระยะห่างเกินเอื้อมแบบนั้นคงต้องหาเครื่องมือต่อแขน

            ขณะกาวางกำลังหันรีหันขวางหาไม้เขี่ยสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกางเกงชั้นในตัวน้อยลอยได้แต่เรื่องน่าสะพรึงยิ่งกว่าคือนั่นไม่ใช่ยอดไม้แต่เป็นผมคน “ซวยแล้ว...”

            อนัญกำลังนั่งถอนวัชพืชก็มีบางอย่างตกใส่หัวขณะเดียวกันก็แว่วเสียงโวยวาย

แม้ไม่ดังโหวกเหวกแต่ก็เพียงพอให้คนหูดีรู้ว่าเป็นเสียงใคร

เจ้าของร่างสูงลุกจากพื้นหญ้าไปพร้อมกับดึงของออกจากศีรษะของตน

            “โอ้ว...” ดวงตาคมดุเบิกโตเมื่อพบว่าผ้าผืนน้อยในมือคือกางเกงชั้นในสตรีพิมพ์ลายการ์ตูน

            “ตายๆๆๆ ทำไงดี” กาวางอับอายจนแทบสิ้นสติ ของใช้สุดแสนลึกลับของเธออยู่ในมือของคนที่ไม่ควรได้เห็นมันมากที่สุดในโลก

เธอควรจะแสดงความเป็นเจ้าของหรือทิ้งไว้ให้เป็นกางเกงชั้นในปริศนา

            “กาวาง” อนัญเดินมาหยุดยืนข้างระเบียงที่มีใครบางคนกำลังยืนหน้าแดงแจ๋

            “คุณหนึ่ง!” เรียกชื่อของเขาออกไปอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ดวงตากลมหวานฉายแววตระหนกพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากแก้อาการตกประหม่า

ใจหนึ่งก็อับอายขายหน้าจนอยากละทิ้งของใช้ส่วนตัวแต่ก็นึกหวงขึ้นมา

เธอไม่แน่ใจว่าคนที่เก็บไปจะทำอะไรกับมัน

            “กางเกงในเด็กที่ไหนหล่นใส่หัว” ลวดลายการ์ตูนเต็มผืนผ้าทั้งขนาดเล็กกระจิ๋วหลิวทำให้อนัญเข้าใจว่านี่ต้องเป็นกางเกงชั้นในเด็กประถม

            คำพูดของคนที่มีกางเกงชั้นในอยู่ในมือทำให้เจ้าของตัวจริงสะอึกไปวูบหนึ่ง

กาวางไม่แน่ใจว่าเธอควรรู้สึกขายหน้ากับความซุ่มซ่ามหรืออับอายเรื่องรสนิยมการเลือกใช้ชุดชั้นในไม่สมวัยก่อนดี

ช่วยไม่ได้ที่ขนาดตัวของเธอเข้าได้กับเด็กโตซึ่งมีลวดลายผ้าน่าตื่นเต้นมากกว่ากางเกงชั้นในสตรี

            “เดี๋ยวฉันเอาไปคืนให้คะ” ในเมื่อเขายังไม่รู้ว่าเป็นของใครจึงขันอาสา

            “รู้เหรอว่าใครแต่ว่าหอเราไม่มีเด็กนะ” ผู้เช่าหอพักมีแต่หนุ่มสาวพลัดถิ่นวัยทำงาน “ช่างเถอะเดี๋ยวเปิดกล้องดูไม่กวนหรอก”

            “ฉันเอาไปคืนให้เอง” เจ้าของตัวจริงย้ำแต่ยังไม่กล้าพอที่จะแสดงตัว

            “ได้ยังไงเล่าเป็นคนเช่าก็อยู่เฉยๆ

ไปเถอะยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่” แก้มสาวขาวใสไม่ควรเป็นสีแดงจัดขนาดนั้น

            “ใครไม่สบาย” คนโดนกล่าวหาทำหน้าฉงน

            “กาวางไง” เขาชี้นิ้วไปที่เธอ

            “คุณไปรู้เรื่องนี้มาจากไหนกันคะ

ฉันแข็งแรงดี” ยืนยันหนักแน่น

ดวงตาของเธอยังไม่ละไปจากผ้าชิ้นน้อยในมือใหญ่

            “แล้วทำไมหน้าแดง”

            “เอ่อ...” จะให้บอกไปตรงๆ ได้อย่างไรว่าคนกำลังเขิน

            “ไม่สบายจริงๆ

ด้วยต้องหาหมอหรือเปล่า” อาการกระอึกกระอักของเธอทำให้อนัญเข้าใจไปในแง่ร้าย

            “ฉันไม่ไปหาใครทั้งนั้นแหละ

เอากางเกงมาให้ฉันเถอะ” ยื่นมืออกไปนอกเหล็กดัด

            “ไปพักเฮอะไม่กวนแล้ว” เขาเพียงแต่แวะมาทักทายไม่มีประสงค์จะใช้งานเธอเลยสักนิด

คนมีของอยู่ในมือไม่สนใจอาการดิ้นรนของอีกฝ่าย

            “นั่นคุณจะไปไหนเอากางเกงคืนมานะ” คนโผงออกไปเพราะอับจนหนทางทำหน้าลำบากมากกว่าเคย หอพักนี้มีกล้องวงจรปิดหลายตัวถึงเธอจะทำเมินเฉยหรือปล่อยผ่านแต่สุดท้ายแล้วอนัญคงรู้อยู่ดีว่าเธอเป็นเจ้าของ

            “หาเจ้าของน่ะสิเอ๊ะ!

เดี๋ยวนะนี่ของกาวางเหรอ” ดวงตาคมดุเบิกกว้างมองของในมือสลับกับใบหน้าเครียดจัดของหญิงสาวราวกับเหลือเชื่อ

            “ก็ใช่น่ะสิ” คนหน้าแดงลามปามไปถึงกกหูกระดิกมือระรัว

เธออับอายจนอยากจะกัดลิ้นกลั้นใจตายแต่ก็กลัวจะมีคนมาทำวิตถารกับสิ่งห่อหุ้มตรงนั้นของตัวเองจึงแสร้งตีหน้าหงิกงอกระดกนิ้วยิกๆ

กลบเกลื่อนความขายหน้า “เอามาเร็วๆ”

            “อ้าว...” เขามีเวลาอึ้งเพียงวูบเดียวก็ต้องรีบยัดผ้าชิ้นน้อยใส่มือเจ้าของอย่างรวดเร็วราวกับว่านั่นเป็นของร้อน

กาวางตัวเล็กผอมบางจะใส่กางเกงในตัวเล็กกระจิ๋วหลิวแบบนั้นก็ไม่เห็นแปลก

แม้จะคิดแบบนั้นแต่ขนาดกางเกงไซซ์เด็กน้อยของหญิงสาวทำให้คนตัวใหญ่ถึงกับคิดหนัก

            “ฉันได้ของแล้วคุณจะไปไหนก็ไปเถอะค่ะ...อ้อ!

อย่าลืมล้างมือด้วยนะ” เตรียมหันหลังกลับเข้าห้องแต่ยังนึกห่วง

            “ล้างมือเหรอ” คนโดนสั่งให้ล้างมือทำหน้าฉงน

กาวางคงเห็นมือของเขาขมุกขมัวแต่งานของเขายังไม่เสร็จ “เดี๋ยวถอนหญ้าก่อนแล้วค่อยล้างก็ได้”

            สิ่งที่ชายหนุ่มบอกนั้นทำให้กาวางไม่อาจปล่อยผ่าน

เธอสูดอากาศเข้าปอดลึกพยายามข่มกลั้นและพูดตอบโต้เขาอย่างใจเย็น “ต้องรีบล้าง

เดี๋ยวนี้เลยยิ่งดีค่ะ”

            “ทำไมต้องรีบ” คิ้วเข้มขมวดปม

            “เมื่อกี้คุณมาจับกางเกงของฉันก็ต้องล้างสิ” เธอคร้านจะอ้อมค้อม จะใช้ข้ออ้างเรื่องเชื้อโรคก็ไม่ได้เพราะอนัญยังมีเรื่องให้มือเปื้อนเปรอะ

            “แต่มันซักแล้วไม่ใช่เหรอ” เขาไม่ได้กลิ่นไม่พึงประสงค์จากผ้าชิ้นน้อยเลยสักนิด “โทษทีนะมือมันเปื้อน กางเกงในก็เลยเปื้อนไปด้วย ให้เอาไปซักให้มั๊ย”

            “ไม่ต้อง!” หน้าตาหงิกงอทั้งน้ำเสียงสะบัดอย่างไม่อาจเก็บอาการ

            “โกรธเหรอ” คนโดนแหวใส่เหวอไปวูบหนึ่ง

            “แล้วคุณจะพูดถึงให้ได้อะไรขึ้นมากันเล่า”

            “ก็แค่อยากให้รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจจะจับ” เขายังไม่อยากเป็นไอ้บ้าโรคจิตในสายตาเธอ

            “รู้อยู่แล้วค่ะ” เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้มาจากความซุ่มซ่ามของเธอเองล้วนๆ

แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อยากให้มีคนมาจดจำ “ฉันจะลืมแล้ว”

            “ลืมอะไรอีก!” ดูเหมือนวันนี้เธอจะขยันเป็นคนขี้ลืมเสียจริง

            “ลืมเรื่องนี้น่ะสิ

คุณก็ต้องลืมด้วยแล้วก็อย่าลืมล้างมือ ห้ามดมมือจนกว่าจะได้ล้างมือนะ”

            “เปื้อนขี้ดินแบบนี้ใครจะไปดมลง” ตีหน้าซื่อแต่แววตาไหวระริก

            “นั่นแหละค่ะ

อย่าลืมล้างมือนะ” ถึงเขาจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังไม่ไว้ใจจึงย้ำอีกครั้งก่อนตัดบทสนทนา “ไปล่ะ”

            “กินข้าวยัง” รีบถามก่อนเธอหันหลังใส่

อีกไม่กี่นาทีจะได้เวลาอาหารเย็นของบ้านสุขสรรเสริญ

ผู้ร่วมโต๊ะมีกันแค่สองคนแม่ลูก

            “ยังไม่ได้กินเอ่อ...แต่ซื้อมาแล้ว

ไปก่อนนะคะ” วันนี้เธอไม่อยากออกไปไหนอีกจึงซื้อข้าวกล่องมาเตรียมไว้ตั้งแต่ช่วงสาย

            “อือๆ” เขาไม่ได้หวังว่าเธอจะเปิดโอกาสให้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วจึงพยักหน้างึกงักยอมรับความจริงกระนั้นก็คิดไว้แล้วว่าต้องมีครั้งต่อไป

ดวงตาคู่คมเปี่ยมความหวังมองส่งร่างเล็ก หลังบานประตูปิดสนิทชายหนุ่มก็หลุบมองฝ่ามือขะมุกขะมอมของตัวเองอย่างอารมณ์ดี

เขายังไม่มีความคิดล้างมือในเวลาอันใกล้นี้แน่นอน

            อนัญเดินย้อนกลับทางเดิมระหว่างนั้นก็นึกอยากพิสูจน์บางอย่าง

ดวงตาคมกล้าฉายแววเจ้าเล่ห์เหลือบซ้ายมองขวาไม่เห็นใครจึงยกมือขึ้นมาโปะจมูก

            ฟืดดดดด!

สูดลมหายใจเข้าปอดลึกทั้งพึมพำหน้าระรื่น

            “เฮือก...ชื่นจาย”

บทที่ 3 ถือโอกาส

            ตั้งแต่ทำงานมากาวางไม่เคยมีปัญหากับลูกค้าเลยสักรายจนกระทั่งอนัญเดินเข้ามาในร้าน

ช่วงบ่ายลูกค้าเริ่มซาเป็นเวลาเปลี่ยนกะ ผู้จัดการร้านกะเช้ากำลังเก็บสัมภาระเตรียมตัวกลับบ้าน

พนักงานเสิร์ฟกะเช้าทยอยออกจากร้านส่วนที่สวนเข้ามาเป็นกะเย็น

คนเดินออกมีมากกว่าคนเข้าทำให้คนเป็นหัวหน้ากะบ่ายต้องไปช่วยรับออเดอร์

โต๊ะของอนัญเป็นโต๊ะเดียวที่ยังไม่ได้รับความสนใจจากพนักงานเสิร์ฟ ถึงไม่ค่อยสบอารมณ์ที่ต้องพบเจอกับอนัญในสถานการณ์แบบนี้แต่กาวางก็ยินดีทิ้งอคติส่วนตัวเพื่องาน

            “สวัสดีค่ะ

คุณลูกค้ารับรายการไหนดีคะช่วงนี้เรามีโปรโมชั่นพิเศษ...” ร่ายยาวตามแบบฉบับที่ได้ตกลงร่วมกันกับเพื่อนร่วมงาน

หากคนไม่พอกาวางก็ต้องกลายเป็นบริกรจำเป็นไปก่อนโดยมีข้อแม้ว่าคนเป็นลูกน้องปฏิบัติได้ดีเพียงใดคนเป็นหัวหน้าก็ต้องกระทำให้ดีทัดเทียมหรือดีกว่า

กาวางจงใจเรียกอนัญว่า ‘คุณลูกค้า’ ย้ำถึงสถานะระหว่างกันเพื่อให้อีกฝ่ายได้สำนึกว่านี่เป็นเวลางานของเธอ

            “รับออเดอร์เองเลยเหรอ” อนัญรับเมนูเล่มโตมาถือไว้แต่ยังไม่เปิด เขาไม่ได้ตั้งใจมากินแค่อยากมาเจอ

แม้บ้านจะอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าแต่อนัญก็ไม่ค่อยได้เดินเข้ามาในนี้บ่อยนัก

เขาต้องอยู่เฝ้าหอพักและดูแลแปลงผักกางมุ้งแต่วันนี้มีเรื่องให้ต้องมาทำธุระที่ห้างสรรพสินค้าจึงลองแวะเข้ามาในร้านที่มีตราสัญลักษณ์แบบเดียวกับที่จำได้ว่าประทับอยู่บนอกเสื้อเชิ้ตของกาวาง

            “คนไม่ค่อยพอน่ะค่ะ”

            “อย่างนี้ก็เหนื่อยแย่สิ”

            “ไม่เท่าไรหรอกค่ะ

คนอื่นเขาก็ทำกันได้ไม่เห็นเป็นอะไร” คนหลุดอาการสะดุดกับคำพูดของตัวเองไปวูบหนึ่งก่อนจะสูดลมเข้าปอดเรียกสมาธิ

ปากที่เผลอหุบบึ้งเปลี่ยนเป็นอมยิ้มขณะพาบทสนทนาวกกลับมาที่รายการอาหาร “คุณลูกค้าสั่งเมนูไหนคะ”

            “กาวางว่าอันไหนดี”

            “...” คนเตรียมรับออเดอร์ขมวดคิ้วเหลือบมองคู่สนทนาอย่างพิจารณา

กาวางคิดว่าตัวเองกำลังถูกกวนประสาท

            “เมื่อกี้ได้ยินไม่ค่อยชัด

ขอทวนอีกทีได้ไหม อะไรจัดโปรโมชั่นมั่งนะ” คนร้อนตัวรีบออกตัวเมื่อสำนึกถึงสายตากล่าวหาของผู้จัดการสาว

เขาก็แค่อยากชวนเธอคุยแต่ดูเหมือนจะไม่เหมาะ

แม้จะคิดแบบนั้นแต่ชายหนุ่มก็นั่งฟังเธอร่ายชื่ออาหารอย่างตั้งใจโดยตอบแทนความเหนื่อยยากของคุณผู้จัดการด้วยการตกลงซื้ออาหารเซ็ทใหญ่สองเซ็ท

หนึ่งเซ็ทนั่งกินในร้านส่วนอีกเซ็ทให้ห่อกลับบ้าน

            หลังจากรับออเดอร์เสร็จกาวางก็ให้เด็กเสิร์ฟเข้ามาบริการอนัญแทนส่วนตัวเองก็เข้าไปดูความเรียบร้อยในครัว

กาวางยืนชะเง้อชะแง้อยู่หลังแผงกั้นโซนครัวร้านเพื่อสอดส่องการทำงานของพนักงานหน้าร้าน

เธอต้องการหลบหน้าอนัญแต่ก็ไม่อาจละเลยหน้าที่ คนทำตัวมีพิรุธรับรู้ได้ถึงสายตาเพ่งจ้องของลูกน้อง

มีครั้งหนึ่งกาวางเหลือบเห็นพ่อครัวกำลังอมยิ้มมาทางเธอแต่ทำเป็นไม่เห็นแก้เก้อ

เธอให้คำตอบกับพฤติกรรมพิลึกพิลั่นของตัวเองว่าทำไปเพราะไม่อยากเห็นคนไม่เข้าท่าอยู่ในสายตา

แม้ระหว่างการหลบหน้าจะต้องคอยเหลือบแลเขาเพื่อประเมินสถานการณ์ตลอดเวลาก็ตาม

            กาวางหลบหลีกได้ไม่นานก็ต้องออกมาหน้าร้านเธอพบว่าอนัญก็ไม่อยู่แล้ว

ระหว่างพนักงานกำลังเก็บภาชนะบนโต๊ะที่เคยเป็นของเขาก็มีลูกค้าคนอื่นเข้ามานั่ง

หญิงสาวเผลอสบตากับลูกค้าชายคนนั้นโดยบังเอิญจึงพยักหน้าและอมยิ้มมุมปากในเชิงต้อนรับแต่ไม่ได้เข้าไปวุ่นวาย

            หากไม่นับการมาของอนัญก็นับว่าวันนี้เป็นวันทำงานอันแสนราบเรียบ

เป็นวันที่ดีวันหนึ่งสำหรับกาวาง

ซึ่งมีไม่บ่อยนักสำหรับคนเพิ่งทำงานในตำแหน่งผู้จัดการร้าน

ตามตารางแบ่งงานผู้จัดการกะบ่ายจะต้องออกจากร้านเป็นคนสุดท้าย หลังตรวจสอบความเรียบร้อยจนถี่ถ้วนกาวางจึงปิดล็อกกุญแจประตู

ทดลองดึงสามครั้งเพื่อทดสอบความแน่นหนาจากนั้นก็เดินไหลตามพนักงานคนอื่นซึ่งเลิกงานในเวลาเดียวกัน

            เมื่อพ้นประตูทางออกสำหรับพนักงานกาวางก็แยกตัวออกจากคนกลุ่มใหญ่ที่ต้องอาศัยยานพาหนะกลับบ้าน

ระหว่างเดินเท้าก็เหลือบมองถนนหลักสี่เลนส์ใหญ่อย่างพิจารณา

เวลาห้าทุ่มกว่าแต่ยังมีรถเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสัญจรไม่ขาด

เธอยังไม่อยากเอาลำไส้ไปแขวนบนสายไฟฟ้าแรงสูงจึงเลือกใช้สะพานลอยซึ่งประดับประดาแผ่นไม้เต็มสองฟากฝั่ง

            ผู้หญิงตัวคนเดียวหายใจปนหอบขณะก้าวพาตัวเองผ่านเส้นทางมืดสลัวของสะพาน

แผ่นไม้ทึบขัดขวางการมองเห็นจากบุคคลภายนอกชวนให้นึกถึงซอยเปลี่ยว

หากมีคนคิดทำร้ายกับเธอตรงนี้คงไม่มีใครเห็น ความกลัวทำให้กาวางเร่งเดิน

ทั้งที่แน่ใจว่าทั้งสะพานมีเพียงตัวเองแต่ดันได้ยินเสียงการเดินของใครอีกคน

เธอไม่ได้หันหลังมองเสียงน่าสงสัยทำเพียงเหลือบมองด้วยหางตา

            แสงสลัวทำให้กาวางเห็นไม่ชัดว่าคนที่เดินอยู่ด้านหลังห่างกันสองเมตรมีหน้าตาอย่างไรแต่ก็แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย

เธอไม่รู้ว่าเขามีเหตุให้ต้องมาใช้สะพานในช่วงเวลาเดียวกันหรือจงใจสะกดรอยตามจึงเดินให้เร็วขึ้นก้าวเท้าให้ยาวมากกว่าเคย

เดินแกมวิ่งลงบันไดแล้วจึงแวะเข้าร้านสะดวกซื้อโดยแอบอยู่หลังชั้นวางสินค้าเพื่อสังเกตการณ์

ชายคนนั้นเดินผ่านหน้าร้านไปเลยไม่ได้แวะเข้ามา

เธอรู้สึกคับคล้ายคับคราเสี้ยวหน้าของผู้ชายคนนั้นแต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน

            กาวางไม่ได้ออกจากร้านสะดวกซื้อทันที

เธอเลือกซื้อของใช้จำเป็นที่ร้านของเครือวัลย์ไม่มีขายไปจ่ายเงินตรงเคาน์เตอร์

ก่อนออกจากร้านก็เหลือบซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นไปแล้วซึ่งเขาก็ไปแล้วจริงๆ

แม้เธอจะรู้สึกโล่งใจในระดับหนึ่งแต่ก็รีบเดินให้เร็วขึ้นกว่าทุกวัน

พอไปถึงหน้าประตูหอพักก็มีคนมาเปิดประตูให้เหมือนอย่างเคย

            “กลับดึกจัง

งานเยอะเหรอ” วันนี้เป็นวันที่กาวางกลับหอดึกที่สุด

อนัญรู้ได้เพราะเป็นคนเปิดประตูให้เธอตลอด

ไม่ว่าเธอจะทำงานกะเช้าหรือกะบ่ายอย่างน้อยก็ต้องได้เห็นหน้ากันสองครั้งเป็นอย่างต่ำ

            “...” คนหอบยังไม่มีเวลาตอบ

เธอพยักหน้าให้อีกฝ่ายแทนคำขอบคุณ

บางทีกาวางก็นึกสงสัยว่าผู้เช่ารายอื่นได้รับการบริการแบบเดียวกันกับเธอหรือเปล่า

            “คงเหนื่อย

เอานี่ไปกินสิ” อนัญไม่ได้รอคอยคำตอบเขาเอี้ยวตัวหยิบของจากเคาน์เตอร์ส่งให้เธอ

            “อะไรคะ” กล่องอาหารสแตนเลสแบบมีฝาปิดทำให้กาวางมองไม่เห็นของข้างใน

            “สาคูไส้หมู แม่ทำ” เครือวัลย์ทำของว่างไปแจกเพื่อนแล้วแบ่งไว้ให้ลูกชายกินจานใหญ่

เขากินคนเดียวไม่หมดแน่จึงตักแบ่งใส่กล่องไว้ให้เธอกินด้วย

ทีแรกว่าจะใส่ถุงพลาสติกแต่เขากลัวขยะล้นโลกจึงเลือกใช้กล่องนี่แทน

            “...” กาวางมุ่นคิ้วยังไม่ยื่นมือออกไปรับของ

เธอไม่รู้สึกอยากอาหารเลยสักนิด ทั้งเหนื่อยและเครียด

แม้จะเข้าใจไปเองว่าถูกสะกดรอยตามแต่ก็รู้สึกระแวงไปหมด

            “กินเป็นไหมหรือว่าไม่ชอบ” สีหน้าคล้ายลำบากของเธอทำให้อนัญตีความหมายไปแบบนั้น

แม้จะอาศัยอยู่ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือแต่เขาอยู่ภาคเหนือตอนล่างค่อนจะเป็นภาคกลางอยู่แล้วจึงไม่แน่ใจว่าคนที่อยู่จังหวัดเหนือสุดของประเทศจะมีวิถีการกินแบบเดียวกัน

            “ขอบคุณค่ะ” อะไรบางอย่างผลักดันให้เธอยื่นมือไปคว้ากล่องสาคูเอาไว้ก่อน “เดี๋ยวฉันเอาไปเปลี่ยนใส่จานก่อนนะคะ คุณจะได้เอากล่องไปใช้” เธอไม่อยากมีอะไรค้างคากับเขา

            “กินเสร็จเมื่อไรค่อยเอามาคืนก็ได้

ที่บ้านมีกล่องให้ใช้เยอะแยะ” อนัญโบกมือหว็อย

เขาอยากให้เธอเก็บกล่องไว้ก่อน

            กาวางไม่ดึงดันกับความต้องการของอีกฝ่าย

เธอบอกขอบคุณเขาอีกครั้งแล้วเดินเลี่ยงเข้าห้อง

คนมีกล่องสาคูอยู่ในมือมองถังขยะอย่างช่างใจ แม้อนัญจะบอกว่าของว่างนี้เป็นฝีมือของเครือวัลย์แต่ก็เป็นของที่เธอรับมาจากเขา

คนที่เธอตั้งใจว่าจะไม่ขอเกี่ยวข้องมากเกินความจำเป็น

หากเห็นแก่กินก็เท่ากับกลืนน้ำลายตัวเองทั้งตอนนี้ก็ไม่นึกอยากอาหารเลยสักนิด

ร่างกายยังรู้สึกจุกตื้อตึงจากการเดินเร็วแกมวิ่ง

            กล่องสเเตนเลสมีฝาปิดมิดชิดแต่ก็มีกลิ่นน้ำมันกระเทียมเจียวเล็ดลอดออกมาให้กาวางได้กลิ่นหอมอ่อน

หากเปิดออกมากลิ่นน้ำมันกระเทียมเจียวคงอบอวลไปทั่วห้อง

คงไม่ใช่เรื่องง่ายหากจะเทลงถังขยะและเก็บล่างภาชนะรอคืนเจ้าของ

อย่างน้อยก็ต้องถ่ายสาคูไส้หมูลงถุงพลาสติกมัดปากให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงจะใส่ลงถัง

คิดถึงขั้นตอนยุ่งยากชักเริ่มท้อตัดสินใจเก็บกล่องไว้ในตู้เย็นก่อน

            วันนี้กาวางยังคงต้องทำงานกะบ่าย

แม้เมื่อวานจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดแต่ความระแวงทำให้หญิงสาวไม่กล้าใช้สะพานลอยคนเดียว

เธอยืนรออยู่แถวตีนบันไดหวังมีผู้หญิงสักคนเป็นเพื่อนร่วมทาง ถนนสายหลักสี่เลนใหญ่มีรถแล่นประปรายไม่คลาคล่ำเหมือนวันวาน

ดวงตากลมหวานเจือรอยกังวลเหลือบมองสะพานลอยทึบแสงสลับกับท้องถนนที่ตอนนี้ว่างเปล่าสุดสายตาไม่มีรถจึงออกวิ่งแบบลืมหายใจ

เธอพักหอบอากาศเข้าปอดครู่หนึ่งจึงออกเดินต่อด้วยความเร็วปกติ

            กาวางอยู่หน้าปากทางเข้าหอพักเครือวัลย์ซึ่งอยู่กลางซอย

เดินลึกเข้ามาได้สักพักก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินตามจึงเอี้ยวหน้ามอง

ผู้ชายสวมหมวกแก๊ปบดบังครึ่งหน้ากำลังย่ำเท้าตรงมาหาเธอเร็วขึ้น

แม้ไม่เห็นหน้าเต็มแต่กาวางคิดว่าเขาคือคนเดียวกับเมื่อวานซึ่งเธอยังไม่รู้ว่าเป็นใคร

ความรู้สึกหวาดกลัวรุ่มเร้าจิตใจให้สมองรวน

เธอคิดอะไรไม่ออกนอกจากเดินให้เร็วขึ้นโดยระวังไม่ให้เหมือนว่าตัวเองกำลังวิ่งเจอซอยเล็กก็เดินทะลุไปเรื่อยเพื่อให้แน่ใจว่าตนถูกตาม

เธอควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อจะต่อสายหาคนรู้จักแต่แบตเตอรี่อ่อนจัดไม่กี่วินาทีหน้าจอก็ดับวูบ

อารามหงุดหงิดนึกอยากปาทิ้งแต่ก็เสียดายจึงได้แต่กำไว้ในมือแน่นอย่างคับแค้นใจ

            ขณะกำลังตะโกนขอความช่วยเหลือกาวางก็พบว่าซอยนี้ไม่มีบ้านคนซ้ำยังเป็นป่ารกหญ้าขึ้นสูง

เหลียวหลังเห็นเงาคนร้ายกำลังเดินเร็วใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก็หันรีหันขวางหาทางหนี

โชคดีที่ยังมีอีกซอยให้เดินวกวน ซอยนี้อยู่ด้านหลังหอพักเครือวัลย์

เมื่อพ้นสายตาคนร้ายก็ออกวิ่ง

อีกประมาณห้าร้อยเมตรจะถึงซอยย่อยที่ทะลุไปด้านหน้าหอพักได้แต่คนร้ายที่เดินใกล้เข้ามาทำให้กาวางเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองจะถึงที่หมายอย่างปลอดภัย

ฉับพลันร่างสูงไว้ทรงผมคุ้นตาก็โผล่ออกมาจากประตูรั้วบ้าน

            “คุณหนึ่ง!” ยื่นมือไปจับแขนของเขาไว้ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีหาย

อุณหภูมิอุ่นจากผิวหนังบุรุษทำให้กาวางมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา

คนตรงหน้าคืออนัญตัวจริง ไม่มีครั้งไหนที่เธอรู้สึกดีใจที่ได้พบเขามากเท่านี้

            “อ้าว…มาไง” เขามองเธออย่างสนเท่ห์ อนัญเห็นว่าห้าทุ่มกว่าแล้วแต่กาวางยังไม่ถึงหอพักนึกสงสัยจึงตั้งใจจะเดินออกมาดูไม่คิดว่าจะเจอเธอตรงหน้าบ้านของตัวเอง

ดวงตาเปล่งประกายราวกับดีใจนักหนาของเธอและสัมผัสจากมือนุ่มนิ่มชุ่มเหงื่อทำเขาเคลิ้มไปวูบหนึ่ง

            “มีคนเดินตามมาค่ะ” คนที่หอบจนตัวโยนรีบบอกขณะพยักพเยิดไปยังเส้นทางเบื้องหลังของตัวเอง

            “ใคร!” คนกำลังล่องลอยพลันสะดุด

อารมณ์สุนทรียะปลิวหายไปจากใบหน้าคร้ามคมคงไว้เพียงความเหี้ยมโหด

ดวงตาวาวโรจน์มองหาบุคคลที่ถูกกล่าวถึงแต่กลับพบว่าตลอดเส้นทางสลัวไร้คน “ไม่เห็นมี...”

            “หายไปไหนแล้วล่ะ!” กาวางมองตามก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้น เธอเหวอไปวูบหนึ่ง “เมื่อกี้มีคนเดินตามมาจริงๆ นะ”

            “เปิดกล้องวงจรดูก็รู้

แน่ใจนะว่าเขาตั้งใจเดินตาม” บ้านสุขสรรเสริญติดกล้องวงจรปิดรอบทิศ

            “แน่ใจสิ!” เสียงแข็งทันควัน เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะ

            “ไม่ใช่อะไรหรอก

จะได้พาไปแจ้งความ” สีหน้าของกาวางดูเครียดและเป็นกังวลมากเสียจนอนัญไม่อาจเพิกเฉย

            “แจ้งความเหรอ” เธอลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย

            “ปล่อยไว้ไม่ได้นะ

อันตราย ไม่กลัวหรือไง”

            “กลัวสิ!” คนกลัวเหลือกตาค้อนคนที่บังอาจตั้งคำถามทั้งที่รู้ดี แม้ไม่มีกระจกส่องแต่กาวางก็รู้ได้ว่าหน้าตาของตัวเองต้องกำลังแสดงออกถึงความหวาดกลัวแบบสุดขีด

            “รู้จักหรือเปล่า” ดวงตาคมกล้าไหววูบให้กับผมหน้าม้าเปียกเหงื่อซึ่งแนบลู่กับหน้าผากโหนกนูนแบบไม่เป็นระเบียบ

มันทำให้กาวางดูเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยที่เพิ่งเลิกวิ่งเล่นไล่จับ

มือเปียกชุ่มที่ยังกำแขนของเขาไว้แน่นบอกให้รู้ว่าเธอคงใช้พลังไปเยอะมากแค่ไหนกว่าจะมาเจอกันตรงนี้

            “ไม่รู้จักหรอกค่ะ

เห็นหน้าไม่ชัดด้วย แต่คิดว่าเป็นผู้ชาย”

            “เดี๋ยวช่วยกันดูแล้วกัน” อนัญกังวลว่าคนร้ายอาจอยู่ไกลกว่าที่กล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพได้

เขากระตุกแขนในเชิงชักชวนให้เธอก้าวเดินพร้อมกัน

            “เอ้อ!” คนเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอจับแขนผู้ชายอยู่เป็นนานรีบปล่อยมือราวกับต้องของร้อน

            “ไม่จับต่อล่ะ

กำลังดี” เขายังยกแขนค้างไว้

            “คะ?” กาวางเงยหน้ามองคนตัวสูงเพื่อให้แน่ใจว่าได้ยินถูกต้อง

            “ไปกันเถอะ” ชายหนุ่มไหวไหล่พลางออกเดิน

อนัญพากาวางเดินทะลุประตูเชื่อมระหว่างบ้านกับหอพักซึ่งปกติจะมีเพียงเขากับแม่ใช้งานและเขายินดีให้กาวางได้ร่วมใช้ด้วย

            “ค่ะ” หญิงสาวไม่ทู่ซี้ให้เขาทวนซ้ำเพราะเท่านี้ตัวเองก็รู้สึกปวดแก้มอย่างไรพิกล

เธอคงตกใจและเหนื่อยจนประสาทหูเพี้ยน ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้

อนัญคงไม่มีอารมณ์มาหยอกล้อ...หยอกล้อเหรอ!

เธอกับเขาไม่ได้สนิทกันถึงขั้นจะใช้คำนี้ได้

ขณะกำลังทะเลาะกับตัวเองกาวางก็ชำเลืองมองร่างสูงที่เดินนำหน้าครึ่งก้าวเป็นระยะ

เวลานี้คนไม่ค่อยเข้าตาเริ่มหล่อขึ้นมานิดนึง

            เมื่อคืนอนัญขับรถพากาวางไปแจ้งความที่สถานีตำรวจด้วยหลักฐานเพียงอย่างเดียวคือภาพกล้องวงจรปิดจากบ้านสุขสรรเสริญ

ท่าทางของคนร้ายที่ปรากฏในภาพไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าอีกฝ่ายประสงค์ร้ายต่อกาวางต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมระหว่างนี้ก็ให้กาวางระวังตัว

ทางตำรวจจะเพิ่มรอบออกตรวจพื้นที่มากขึ้น ค่ำคืนยาวนานจบลงด้วยการบันทึกประจำวัน

คนทั้งสองกลับถึงหอพักเมื่อเวลาล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้วหลายชั่วโมง

            แม้ร่างกายอ่อนล้าแต่กาวางกลับข่มตาหลับยากกว่าเคย

ร่างบางสลับพลิกไปมาอย่างตรองไม่ตกระหว่างลาออกจากงานหรือย้ายที่อยู่ใหม่

บริษัทยังไม่เปิดรอบให้พนักงานทำเรื่องย้ายสาขา

ถ้าย้ายหอพักก็ไม่รู้ว่าจะปลอดภัยเนื่องจากคนร้ายยังลอยนวล

เธอควรทิ้งทุกอย่างหรือต่อสู้

หัวสมองอื้ออึงคิดวนเวียนยาวนานก็หาทางออกไม่เจอกระทั่งหลับใหลไปโดยไม่รู้ตัว...

            ติ๊ดๆๆๆๆ

เสียงนาฬิกาปลุกคนได้นอนไม่ถึงชั่วโมงให้ฝืนลุกจากเตียงอย่างอ่อนเพลีย

กาวางไม่อยากให้เรื่องส่วนตัวมาทำให้เพื่อนร่วมงานลำบากจึงไม่ลาหยุดหรือแลกเวร

วันนี้เธอก็ยังต้องเข้ากะบ่ายอีกเหมือนเคย

ตอนออกจากหอคงเดินเท้าคนเดียวเช่นทุกวันแต่ตอนออกกะเธอคิดไว้แล้วว่าจะจ้างให้คนในร้านที่พอจะไว้ใจได้ให้ขับรถมาส่งที่หน้าหอพัก

มีพนักงานเสิร์ฟหญิงหลายคนขี่มอเตอร์ไซค์มาทำงาน

            “จะไปแล้วเหรอ” เสียงทุ้มทักทายอย่างคุ้นเคย

            “ค่ะ” กาวางเพิ่งลงกลอนประตูเสร็จ เธอเห็นอนัญกุลีกุจออยู่หลังเคาน์เตอร์

            “ปะ!” เขาลุกจากเก้าอี้พลางยัดวัตถุมันวาวใส่กระเป๋ากางเกงขณะเดินออกจากช่องกั้นมายืนข้างเธอ

            “อะไรคะ” แหงนหน้ามองคนตัวสูงอย่างนึกฉงน

            “ไปทำงานไม่ใช่เหรอ

ผมจะไปส่ง” ตอนอยู่สถานีตำรวจเขาอยู่กับเธอตลอดการสอบสวน

            “ไปส่งเหรอ…” ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างงุนงง

            “อื้อ!” พยักหน้าหนักแน่น

อนัญคิดเรื่องนี้ได้ตั้งแต่เมื่อคืนแต่เห็นกาวางเพลียจัดจึงไม่ทันได้คุย “เดี๋ยวตอนดึกจะไปรอรับ”

            “รอรับด้วย!” ดวงตากลมโตที่เบิกกว้างอยู่แล้วเบิกกว้างมากขึ้น

อนัญใจดีกับเธอมากเกินไปแล้ว แวบแรกกาวางดีใจแต่ไม่นานก็นึกระแวง

เหตุใดผู้ชายคนนี้จึงมาคอยทำดีกับเธอ

เขาแค่สงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกหรือต้องการสิ่งตอบแทน

            “ตำรวจยังหาไอ้บ้านั่นไม่เจอ

เราก็ต้องระวังตัวไว้ก่อน”

            “...” คนฟังสะอึกไปวูบหนึ่ง

เขาใช้คำว่า ‘เรา’ ที่หมายถึงเธอกับเขา

หรือ ‘เรา’ ที่หมายถึงเธอคนเดียว

แม้ไม่อยากเข้าข้างตัวเองแต่เธอกลับรู้สึกอบอุ่นที่หัวใจอย่างประหลาด

ถ้ามีอนัญเป็นเพื่อนร่วมทางเธอก็ไม่ต้องรบกวนเพื่อนร่วมงาน

            ว่าแต่!

ผู้ชายหน้าดุหัวยุ่งคนนี้ไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหนกันนะ

ถึงจะรู้สึกปลอดภัยในระดับหนึ่งแต่ก็ยังไม่ถูกจริตกับรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายขึ้นมาตงิดๆ

            “ไม่เก็บค่าจ้างหรอก

ไปเถอะ อยากนั่งรถหรือว่าเดิน” บ้านของอนัญมีจักรยาน

มอเตอร์ไซค์ และรถกระบะ ทั้งหมดซื้อด้วยเงินสดไม่เคยผ่อนจ่าย

            “ใกล้แค่นี้เอง

เดินดีกว่าค่ะ” ความจริงเธออยากรบกวนเขาแค่ช่วงเลิกงานตอนดึกแต่ในเมื่อเขาเสนอมาแบบนี้ก็ไม่อยากปฏิเสธให้เสียน้ำใจ

            “เอาสิ” อนัญไม่ทักท้วง เขาออกเดินกาวางก็เดินด้วย

            ทั้งสองเดินเคียงกันไปตามเส้นทางดั้งเดิมด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคย

            หนึ่งคนตื่นเต้นดีใจ

            ส่วนอีกคนรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย

            “ส่งแค่นี้ก็พอค่ะ” กาวางหยุดเดินอนัญจึงต้องหยุดตาม

ทั้งสองยืนอยู่ตรงตีนบันไดสะพานลอยฝั่งห้างสรรพสินค้า

            “ให้ส่งแค่นี้!” เขาตั้งใจจะเดินกับเธอไปจนถึงหน้าร้านอาหาร

            “แค่นี้คุณหนึ่งก็เสียเวลาเยอะแล้ว”

            “ไม่ได้รีบไปไหน” เขาบอกเรื่องนี้กับแม่ไว้ตั้งแต่เช้าและฝากให้ยามบริษัทช่วยเป็นหูเป็นตาระหว่างที่เขาออกมาส่งเธอ

            “ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ

คุณหนึ่งส่งฉันแค่นี้พอ ขอบคุณมากนะคะ” ทำหน้าลำบาก

เธอต้องการมีเขาเป็นเพื่อนร่วมทางแต่ก็ไม่อยากรบกวนเวลาของเขามากเกินไป

            “เออๆ” ท่าทีกระอักกระอ่วนของของเธอทำให้เขาต้องพยักหน้าคล้ายจำนน “เดี๋ยวตอนมืดจะมารับ ห้ามเดินกลับคนเดียวนะ”

            “โอเคค่ะ” ฟังดูคล้ายคำสั่งแต่เธอยินดีทำตาม

            “แล้วจะโทรบอกว่ารออยู่ตรงไหน”

            “คุณหนึ่งมีเบอร์ของฉันแล้วเหรอ” หญิงสาวนึกแปลกใจ

            “มีแล้ว” เขาบันทึกหมายเลขของกาวางไว้ในเครื่องนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสโทรหา

            “มีได้ไง!”

            “เอามาจากในสัญญาเช่า”

            “อ๋อ...” ระดับลูกชายเจ้าของหอพ่วงตำแหน่งผู้ช่วยของเครือวัลย์คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะดูข้อมูลของเธอจากเอกสาร

อนัญคงมีหมายเลขโทรศัพท์ของผู้เช่าทุกคนบันทึกอยู่ในโทรศัพท์

            “ยิงไปแล้วนะ

อย่าลืมเมมชื่อ” ถือโอกาสนี้แจกเบอร์ตัวเองกับเธอ

หอพักเครือวัลย์มีการบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของผู้เช่าทุกคนไว้ที่สมาร์ตโฟนส่วนกลางเพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อโดยจะอัพเดตข้อมูลแบบสม่ำเสมอ

ส่วนเบอร์ที่เขาใช้โทรหากาวางเป็นเบอร์จากเครื่องส่วนตัว

            “ฮะ! เอ้อได้สิ” กาวางรู้สึกได้ถึงแรงสั่นจากเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าสะพายเฉียงของตัวเอง “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ แยกกันตรงนี้นะคะ”

            “อืม”

            เธอเห็นคนรับปากไม่ยอมขยับไปไหนจึงทักขึ้น “คุณหนึ่งไม่กลับหอเหรอ”

            “กลับสิ” ตอบหน้าตาย

            “แล้วทำไมไม่ไปเสียทีล่ะคะ” คิ้วเรียวสวยขมวดปม เธอมองเขาอย่างพิศวง

            “ให้กาวางเข้าห้างก่อน”

            “...” คนฟังเลิกคิ้วสูงพลางเม้มปาก

หัวใจดวงน้อยกระตุกเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง

ถ้าดวงตาคมปราบคู่นั้นกำลังทำให้เธอรู้สึกอุ่นที่แก้มอย่างไรพิกล

            “เดินไปส่งที่ร้านเลยดีกว่าจะได้รู้ว่าถึงที่ทำงานแบบปลอดภัย...ปะ” ตัดสินใจได้ก็เตรียมออกเดินทันที

            “ไม่ต้องค่ะ! ไม่ต้อง

คุณหนึ่งส่งแค่นี้ก็พอ ฉันไปจริงๆ แล้ว” โบกมือห้ามพลางก้าวเดินแกมวิ่ง

            “เจอกันตอนมืดนะ” ชายหนุ่มย้ำส่งท้ายซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้างึกงักจากนั้นจึงหันหลังให้

เขาไม่ได้ตามไปป่วนเธอเพียงแค่ยืนมองส่งจนร่างเล็กบางลับหายไปหลังประตูเลื่อนอัตโนมัติบานใหญ่

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!