ณ.วิหารเก่าที่มีชื่อว่า " สุรัตนาธา " เป็นสถานที่เก่าแก่และมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ที่มิควรย่างกายเข้าไป และเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนทั่วไปในอีกชื่อ " วิหารปีศาจนก " ใครที่เข้าไปแล้วจะไม่สามารถออกมาได้ และมีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าไป ล้วนแล้วต้องการสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด และมีพลังอำนาจมหาศาลที่สุดนั่นก็คือ " มณีสุธารา " แต่ก็ไม่เคยมีใครได้กลับออกมา เหตุผลง่ายๆ มณีสุธาราล้ำค่าเกินไปที่จะปล่อยไว้อยู่ในวิหารเพียงลำพัง จำเป็นต้องมีองครักษ์เพื่อปกป้องมณีสุธารา เพื่อมิให้คนชั่วได้ครอบครอง แต่....คนชั่วเหล่านั้นได้ศึกษาวิธีกำจัดศกุนีไว้แล้ว...
" แม่คะ "
เสียงเด็กหญิงตะโกนร้องเรียกผู้เป็นแม่ด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นพร้อมกับวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นพ่อและแม่ที่กำลังไหว้สักการะมณีสุธารา ผู้เป็นแม่ได้หันมาหาลูกสาวด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นของเธอพร้อมกับอ้าแขนสองข้างออกเพื่อให้เด็กหญิงตัวน้อยลูกสาวของเธอนั่งลงบนตัก
" มีอะไรลูก ทำไมดูตื่นเต้นจัง "
เด็กหญิงหัวเราะอย่างร่าเริ่งพร้อมกับลุกออกจากตักผู้เป็นแม่
" ดูนะคะ "
เด็กหญิงตัวน้อยยืนหลับตาตั้งสมาธิทำจิตใจให้แน่วแน่ ไม่นานสายลมพัดโชยมาอย่างอ่อนโยน รอบตัว เด็กคนนั้นมีออร่าสีขาวนวลพร้อมแสงระยิบระยับที่สง่างามมากๆ ด้านหลังเธอมีออร่าสีขาวนวลระยิบระยับก่อตัวเป็นรูปปีกนก เมื่อแสงออร่านั้นส่องแสงสว่างจ้าและจางหายไป ปรากฏให้เห็นปีกนกขนาดที่ใหญ่ที่สมดุลกับร่างกายของเธอ ขนนกของปีกนั้นมีสีขาวสง่างามแสนบริสุทธิ์ ผู้เป็นพ่อและแม่หันไปมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มและความรู้สึกที่ตื้นตันใจอย่างมาก
" ลูกเราโตขึ้นแล้ว "
ผู้เป็นพ่อพูดด้วยรอยยิ้มที่สุขใจมากกับการเติบโตของลูกสาวตัวน้อยพร้อมกับเอื้อมแขนไปโอบไหล่ภรรยาเขา ผู้เป็นแม่เอื้อมมือออกไปจับมือลูกสาวของเธอด้วยรอยยิ้มที่ตื้นตันใจ
" ลูกแม่ ลูกเก่งมาก "
และในเวลานี้พวกเขาทั้งคู่ได้รู้แล้วว่าในตอนนี้เธอพร้อมแล้ว ที่จะรับช่วงต่อจากพวกเขาเพื่อดูแลปกป้องมณีสุธารา และรู้ว่าเธอจะทำได้ และจะทำได้ดีกว่าพวกเขาเสียอีก ผู้เป็นลูกเข้าสวมกอดพ่อกับแม่ด้วยความรู้สึกที่ภาคภูมิใจในการพัฒนาการของตนเอง แต่ก็ดีใจกันได้ไม่นาน เมื่อผู้เป็นพ่อได้สัมผัสถึงคนจิตใจชั่วร้ายที่ต้องการมณีและกำลังจะเข้ามาในวิหารของพวกเขา
" เจ้าพาลูกไปซ่อนก่อน "
ผู้เป็นพ่อหันไปบอกผู้เป็นภรรยา เธอพยักหน้ารับรู้และรีบพาลูกของตนไปหลบซ่อนที่โขดหินใหญ่ที่อยู่อีกฝากของวิหารในทันที เด็กสาวตัวน้อยเดินเข้าไปหลบหลังโขดหินใหญ่อย่างรู้หน้าที่
" ลูกซ่อนตัวอยู่ที่นี่นะ แม่จะไปช่วยพ่อ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลูกห้ามออกไป ไม่ว่าอะไรก็ตาม "
ผู้เป็นแม่สั่งเด็กหญิง เธอพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนที่แม่ของเธอจะรีบเดินไปหาสามีของตน ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างรู้ใจ แล้วทั้งสองก็ได้กลายร่างเป็นศกุนีโดยที่ทั้งร่างกายของพวกเขานั้นเป็นร่างกายของนกยักษ์ที่ยืนสองขาและมีแขนทั้งสองข้างราวกับแขนมนุษย์พร้อมกรงเล็บที่ยาวและแหล่มคม ปีกสีขาวขนาดใหญ่ที่งอกออกมาจากทางด้านหลัง ซึ่งอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะประจันหน้ากับคนชั่ว แต่แล้วก็ไม่มีใครเดินเข้ามา
ทั้งคู่ตั้งใจมุ่งมั่นจ้องมองไปที่ทางเข้าของวิหาร แล้วจู่ๆก็มีคลื่นเสียงความถี่สูงดังเข้ามาจากทางเข้า ทำให้ทั้งคู่นั้นเกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนทำให้ทั้งคู่ทนไม่ไหวจนต้องกลายร่างกลับคืนสู่ร่างมนุษย์เช่นเดิม สองสามีภรรยาล้มลงนอนกับพื้นพร้อมกับจับศีรษะตนเองด้วยความทรมานและทำให้ทั้งคู่หมดแรง และก็มีใครบางคนเดินเข้ามาจากทางเข้าพร้อมกับที่ครอบหูกันคลื่นเสียงที่เปิดไว้
ผู้เป็นสามีพยายามลุกขึ้นเพื่อที่จะต่อสู้ แต่ไม่มีแรงมากพอ คนชั่วสองคนเดินเข้ามาพยุงสองสามีภรรยาขึ้น และคนชั่วอีกคนเดินมายืนตรงหน้าทั้งสองแล้วจับมือทั้งคู่ขึ้นมาและใช้มีดที่ทำจากตะกรุดที่ปลุกเสกแล้ว กรีดมือทั้งสองและนำถ้วยมาลองเลือดไว้ ทั้งสองสามีภรรยากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด คนชั่วคนที่กรีดมือทั้งคู่ก็ได้นำเลือดส่งให้กับคนชั่วอีกคนที่เป็นหัวหน้า เขาได้นำเลือดไปเทลงบนแท่นบูชาและเกิดแสงส่องประกายออกมาปรากฏให้เห็นมณีสุธาราที่วางไว้บนแท่นบูชาอย่างสง่างาม เขาหยิบขึ้นมาดูอย่างระวัง ดวงตาทุกคนเป็นประกายด้วยกิเลสตัณหา
" เราจะรวยกันแล้วพวกเรา "
คนชั่วทุกคนหัวเราะชอบใจกันเพราะในที่สุดแผนที่พวกเขาวางไว้มันได้ผลทุกอย่างดังที่ใจหวัง
" แล้วสองตัวนี่ล่ะ? เอายังไง? "
คนชั่วที่เป็นหัวหน้าหันมามองดูแล้วยิ้มที่มุมปาก
" ฆ่ามันซะ "
คนชั่วที่ถือมีดตะกรุดพยักหน้าแล้วหันมาพร้อมใช้มีดตะกรุตแทงเข้าที่ท้องทั้งสองคน สองสามีภรรยานั้นล้มลงนอนลงกับพื้น เหล่าคนชั่วนั้นก็พากันเดินออกไปพร้อมมณีสุธาราพร้อมกับพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสำราญใจ
เด็กหญิงตัวน้อยที่หลบซ่อนตัวที่โขดหินใหญ่เห็นว่าสถานะการณ์ปลอดภัยแล้วจึงวิ่งมาหาผู้เป็นพ่อและแม่ด้วยน้ำตาที่นองหน้า เธอจับมือพ่อกับแม่ไว้ในมือน้อยๆของเธอ ผู้เป็นแม่หันมาหาเธอ
" ลูกต้องนำมณีสุธารากลับมาให้ได้ อย่าให้คนชั่วได้ครอบครอง..มิอย่างนั้น..โลกจะต้องพังทลาย... "
และทั้งสองคนนั้นก็ได้สิ้นลมหายใจและกลายเป็นโขดหิน เด็กหญิงนั่งร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจอย่างมากกับการจากไปของพ่อแม่ผู้เป็นที่รักของเธอ
" พวกเจ้าทั้ง 6 คน ต้องได้รับกรรมในสิ่งที่ได้กระทำไว้ ข้าจะมิมีทางปล่อยให้พวกเจ้าลอยนวล ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทุกคน ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่ไหน ข้าจะตามหาจนเจอ! "
เด็กหญิงจากที่มีแววตาที่เศร้าโศกเปลี่ยนเป็นความแค้นใจ ดวงตาและปีกของเธอได้กลายเป็นสีแดงฉานอันน่ากลัวพร้อมกับความรู้สึกที่อยากจะแก้แค้นให้กับพ่อแม่ของตนเองที่ต้องตายด้วยน้ำมือคนชั่วที่ต้องการในสิ่งที่ไม่ควรเอื้อม....
25 ปีต่อมา...
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในประเทศไทย มีครอบครัวหนึ่งที่มีฐานะมั่นคงและร่ำรวย ได้กำลังจัดเตรียมงานแต่งงานที่กำลังเข้ามาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้า
“ นี่ชัย นายช่วยพักเรื่องงานก่อนได้ไหม มาช่วยดูเตรียมงานแต่งก่อน งานแต่งนายนะเห้ย อย่าทำเป็นไม่สนใจสิ “
“ คร้าบ พี่ชาย แต่ขอเวลานาทีหนึ่ง ตอบงานลูกค้าก่อนครับ “
เอกผู้เป็นพี่ชายยืนท้าวเอวข้างหนึ่งมองมาที่ชัย ผู้เป็นน้องชายที่กำลังนั่งอยู่หน้าจอโน๊ตบุ๊คที่ห้องทำงานของเขา เอกส่ายหัวพร้อมถอนหายใจยาว
“ นายไม่กลัวลลินน้อยใจเหรอชัย? “
เอกพูดพร้อมกับถือสมุดจดรายการของและเช็ครายการของต่างๆในสมุด
“ ไม่เป็นไรหรอกครับ ลลินเธอเข้าใจ “
ชัยพูดพลางกดแป้นพิมพ์ไปด้วยและเหมือนไม่สนใจกับสิ่งที่เอกพูดสักคำ เอกวางสมุดรายการของลงบนโต๊ะใกล้ๆ แล้วเดินมานั่งข้างๆชัย
“ ฉันรู้ว่านายไม่ได้รักลลิน แต่นายก็ไม่ควรละเลยเธอนะ “
ชัยกับลลินทั้งสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ การแต่งงานครั้งนี้เป็นความต้องการของผู้ใหญ่ที่อยากให้ทั้งสองครอบครับเป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงแม้ชัยจะไม่ได้รักเธอสักนิด แต่ที่เขายอมเพราะเห็นแก่หน้าพ่อแม่ของเขาที่เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เยาว์วัย เอกพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าเล็กน้อย ชัยหยุดพิมพ์แล้วนั่งนิ่งคิดทบทวนกับสิ่งที่พี่ชายตนพูดแล้วถอนหายใจยาว
“ ก็ได้ครับ ถ้าทำแล้วพ่อแม่และพี่มีความสุข ผมจะทำ “
เอกยิ้มกริ่มในทันทีพลางเอื้อมมือออกมาจับที่ไหล่ของชัยเบาๆ
“ ไม่ต้องทำเพื่อพี่ ทำเพื่อลลินก็พอ “
ชัยพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย เอกตบที่หัวไหล่ของชัยเบาๆด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะลุกออกไปพร้อมหยิบสมุดรายการของและออกจากห้องทำงานของชัยไป ชัยนั่งมองหน้าจอโน๊ตบุ๊คก่อนที่หันไปมองกรอบรูปที่ตั้งไว้ข้างๆกัน นั้นก็คือรูปของตนที่ถ่ายคู่กับลลิน เขาถอนหายใจเล็กน้อยพลางพับหน้าจอลงแล้วลุกจากโต๊ะทำงานเดินออกจากห้องไป
ณ วิหารสุรัตนาธา
สายลมพัดเหล่าใบไม้ปลิวลอยขึ้นไปบนอากาศ เหล่าต้นไม้น้อยใหญ่สไวไปกับสายลมที่พัดอย่างรุนแรงแทบที่จะโค่นล้มลงกับพื้น สายฟ้าฟาดลงพื้นพสุธาจึงทำให้เกิดประกายไฟลามเป็นไฟป่าอย่างรุนแรง ชาวบ้านระแวกนั้นรีบพากันหนีอพยบออกไปด้วยความหวั่นกลัว
“ ศกุนี ท่านยังคงโกรธเกรี้ยวคนชั่วที่ทำผิดต่อท่าน และมันถึงเวลาที่คนชั่วต้องรับกรรมแล้ว “
พระอาจารย์ท่านหนึ่งพูดขึ้นพร้อมหลับตานั่งสมาธานศิลของท่านต่อเช่นเดิม
ที่วิหารสุรัตนาธา มีนกต่างๆมากมายบินมาเกาะ ทั้งบนต้นไม้ใหญ่และบนพื้นวิหาร และมีหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดไทยห่มสไบสีแดงที่เปล่งประกายระยิบระยับอย่างสวยงามเมื่อกระทบกับแสงจันทร์ที่ส่องประกายเข้ามาในวิหาร เธอมีหน้าตาสะสวยงามอย่างมาก เธอยืนพนมมือไหว้แท่นบูชาและกราบลงบนแท่นถึงแม้จะไม่มีมณีแล้วก็ตาม เธอเดินออกมาหน้าวิหารพร้อมแหง่นหน้ามองพระจันทร์
เธอบำเพ็ญเพียรมาตลอด 25 ปีเพื่อเต็มเติมให้แก่พลังเธอให้แข็งแกร่ง เพื่อที่เธอจะได้แก้แค้นให้กับพ่อแม่ของเธอ และนำมณีสุธารากลับคืน และเธอได้ศึกษามนุษย์เป็นที่เรียบร้อย และถึงเวลาแล้วที่ทั้ง 6 คน ต้องรับกรรมที่ก่อไว้
ณ วิหารสุรัตนาธา
เด็กสาวตัวน้อยได้กำลังยืนดูรูปประติมากรรมข้างพนังของถ้ำในวิหารที่เธออาศัยอยู่ ผู้เป็นแม่เดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับรอยยิ้มพลางใช้มือทั้งสองข้างจับลงที่ไหล่ของเธอเบาๆ
" ดูอะไรอยู่ลูก "
" ลูกกำลังดูเหตุการณ์ในอดีตอยู่ค่ะ แต่ก็ยังไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ คุณแม่เล่าให้ลูกฟังได้ไหมคะ? "
" ได้สิ "
จากนั้นเธอเริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างให้ลูกสาวตัวน้อยของเธอได้ฟัง เรื่องราวของมณี ที่ได้มารวมตัวกัน จากมณีที่มี 6 เม็ด ประกอบไปด้วย มณีแห่งเวลา มณีแห่งสายลม มณีแห่งพื้นน้ำ มณีแห่งความสมดุลย์ มณีแห่งเปลวเพลิง และมณีแห่งสัพสัตว์ ได้ถูกศกุนีในบรรพบุรุษที่เรียกว่า ไวท์ฟินิกซ์ ใช้พลังหลอมรวมมณีทั้ง 6 เข้าด้วยกันจนกลายเป็นมณีสุธารา เพื่อสร้างความสมดุลย์ให้แก่โลกใบนี้ ถ้าขาดมณีเม็ดใดเม็ดหนึ่งไป โลกก็จะเสียความสมดุลย์ ดังนั้นจึงต้องมีองครักษ์รักษาความปลอดภัยของมณีไว้ เพื่อไม่ให้คนชั่ว หรือ พ่อหมดแม่มดด้านมืดได้ครอบครอง ถ้าไม่อย่างนั้นโลกอาจจึงกาลอวสานได้ และผู้ที่จะสร้างหรือทำลายและต้านทานพลังมณีสุธาราได้ จะต้องเป็นทายาทสายบริสุทธิ์ของไวท์ฟินิกซ์เท่านั้น
" โห้ สุดยอด แล้วแม่ล่ะคะ? ได้เป็นไวท์ฟินิกซ์หรือเปล่า? "
" เปล่าหรอกจ่ะ แม่เป็นเพียงศกุนีธรรมดา มิมีพลังวิเศษหรือเวทมนต์ใดๆ ผู้ที่จะมี คือทายาทสายเลือดโดยตรงเท่านั้น เหมือนพ่อของลูก "
" ถ้างั้นก็แสดงว่าลูกมีโอกาสได้เป็นน่ะสิคะ! "
" อาจเป็นไปได้นะลูก "
ผู้เป็นพ่อพูดพลางเดินเข้ามาหาทั้งสอง ลูกสาวตัวน้อยวิ่งเข้าหาผู้เป็นพ่อในทันที ผู้เป็นพ่ออุ้มลูกสาวตัวเล็กขึ้นมาไว้บนแขนของตัวเองพร้อมกับรอยยิ้ม
" แต่ต้องห้ามคิดชั่ว ห้ามคิดร้ายกับใคร ปล่อยวางทุกสรรพสิ่ง ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ในสิ่งที่ควร "
" ค่ะท่านพ่อ "
ผู้เป็นพ่อหอมแก้มลูกสาวของเขาด้วยรอยยิ้มพลางใช้แขนอีกข้างโอบไหล่ภรรยาของเขาเข้ามาใกล้ๆ....
.
.
.
.
.
ณ ร้านชุดแต่งงาน ( ปัจจุบัน )
ชัยเดินออกจากห้องลองชุดที่ทางร้านเสื้อผ้าได้จัดเตรียมไว้ให้และชุดที่ส่วมใส่ออกมาเป็นชุดแต่งงานชุดไทยดั้งเดิมที่เป็นสีชมพูสีสันสวยสดงดงาม เขาเดินมาที่กระจกเงาเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของชุด
" โห้ หล่อมากไอ้น้องชาย ฉันไม่คิดว่านายใส่ชุดนี้แล้วจะหล่อขนาดนี้ แต่เสียใจ พี่หล่อกว่า "
เอกพูดชมน้องชายตนพร้อมหัวเราะขณะที่นั่งอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ ชัยหัวเราะชอบใจพร้อมหันกลับมาหาด้วยรอยยิ้มขี้เล่น
" พี่ชายผมหล่อที่สุดอยู่แล้วครับ "
ทั้งคู่หัวเราะชอบใจกันใหญ่ราวกับว่าพวกเขายังเป็นเด็กยังไงยังงั้น
" เป็นไงบ้างคะ ชุดพอดีไหม? "
เจ้าของร้านชุดแต่งงานเดินมาถามชัยที่กำลังยืนดูตนเองในกระจกเงาของร้าน เขาหันไปมองในกระจกอีกครั้งเพื่อตรวจดูให้แน่ใจ
" พอดีครับ ชุดโอเคเลย "
" โอเคค่ะ "
ชัยเดินกลับไปที่ห้องลองชุดแล้วเปลี่ยนชุดเป็นชุดปกติของตนเอง ไม่นานเอกกับชัยก็ออกจากร้านและมุ่งหน้าไปที่ต่อไป เมื่อเอกกับชัยไปทำธุระเกี่ยวกับเรื่องงานแต่งงานตามที่ต่างๆเสร็จเรียบร้อยก็เดินทางกลับบ้าน และพอมาถึงก็พบกับลลินที่นั่งรออยู่ที่โซฟาห้องรับแขกพร้อมกับพ่อแม่ของเขา เมื่อเธอเห็นชัยที่พึ่งกลับมา เธอมีรอยยิ้มที่แสดงถึงความดีใจออกมาทันทีที่เจอเขา
" ทั้งคู่มานั่งนี่ก่อนสิ "
เอกพจน์ผู้เป็นพ่อเรียกทั้งสองคนที่พึ่งเดินทางกลับมาถึงในทันทีที่เห็นพวกเขา เอกกับชัยมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปและนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามลลิน ชัยมองเธอด้วยความสงสัยก่อนจะหันไปหาพ่อของเขา
" มีอะไรครับพ่อ แล้วลลิน.."
" แม่โทรให้เธอมาเองแหล่ะ แม่รู้ว่ารบกวนเธอ เพราะเธอก็ยุ่งกับการเตรียมงานเช่นกัน แต่พ่อกับแม่มีเรื่องจะคุยด้วย "
มณีรัตน์ผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆเอกพจน์บอกกับชัยลูกชายของเธอ เขาพยักหน้าอย่างรับรู้เล็กๆ
" พ่อกับแม่กำลังคิดว่า ใกล้จะงานแต่งลูกกับลลินแล้ว เราก็เลยอยากพาครอบครัวเราและครอบครัวลลินไปที่ที่หนึ่ง "
สองพี่น้องมองหน้ากันด้วยความสงสัยในคำพูดของเอกพจน์ทันที
" ที่ไหนครับพ่อ? "
เอกถามเอกพจน์ผู้เป็นพ่อทันทีด้วยความสงสัย
" เป็นสถาที่ที่ปู่ทวดของพ่อเคยอาศัยอยู่มาก่อน และถ้าลูกอยากรู้ พรุ่งนี้ก็เตรียมตัวให้พร้อมละกัน เราจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า "
สองพี่น้องนั่งยิ้มด้วยกันด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่กำลังจะได้ไปสถานที่ที่ปู่ทวดของพวกเขาเคยได้อาศัยอยู่
เช้ารุ่งขึ้น ทุกคนต่างก็จัดของขึ้นรถและออกเดินทาง เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง รถทุกคันได้แวะพักรถที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งและทุกคนต่างก็แยกย้ายไปทำธุระของตัวเองให้เรียร้อยก่อนที่จะออกเดินทางอีกครั้ง
ชัยที่เดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อพร้อมกับขนมนมเนยต่างๆเพื่อมาแบ่งปันให้กับทุกคน สายตาของเขาได้เห็นชายวัยชราคนหนึ่งนั่งอยู่กับพื้นทางเดินใกล้ๆพร้อมชามที่มีเหรียญบาทอยู่ในนั้น ชัยเห็นจึงนำเงินออกมาจำนวนหนึ่งพร้อมกับขนม น้ำแล้วข้าวและเดินเข้ามาหา เขานั่งลงย่องๆตรงหน้าชายชราคนนั้นพร้อมกับยื่นของให้กับชายชราคนนั้นด้วยรอยยิ้ม
" รับไว้นะครับ "
ชายชราคนนั้นมองของในมือเขาเล็กน้อยก่อนที่จะรับมาแล้วมองชัยราวกับพิจารณาอะไรสักอย่าง ชัยเกิดอาการสงสัยกับสายตาที่ชายชราคนนั้นที่ใช้มองมาที่เขา
" มีอะไรหรือเปล่าครับ? "
" การที่มาที่นี่เป็นการกลับมาหาอดีต สิ่งที่ทำไว้ในอดีต จะกลับย้อนคืนสนองของคนกระทำ งานแต่งครั้งนี้หากสำเร็จ ชีวิตเอ็งจะพบเจอแต่ความชิบหาย ความสูญเสีย ทุกอย่างจะร้อนเหมือนไฟ และความจริงทุกอย่างจะปรากฎหากเลือกคู่ได้ถูก คู่ของเอ็งจะคอยป้องกันภัยทุกอย่างที่เข้ามา คู่ของเอ็งจะคุ้มครองให้ปลอดภัย หากไม่สำเร็จ ชีวีจะดับสูญ "
เมื่อชัยได้ยินสิ่งที่ชายชราคนนั้นพูดออกมาแบบนั้นก็ทำให้เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหัวเราะออกมาเล็กน้อย
" ลุงก็พูดไปเรื่อยน่ะครับ เดี๋ยวผมไปก่อนล่ะกัน ต้องเดินทางต่ออีก "
ชัยพูดจบเขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป ชายชรามองตามชัยไปในระหว่างที่เขากำลังเดินกลับไปที่รถที่มีคนอื่นรออยู่ด้วยสายตาที่เวทนา
" สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นเพราะเวรกรรมแท้ๆ กระทำเขาไว้และเขากำลังมาเอาคืน และคนที่รับกรรม มักจะเป็นคนดี "
ชายชรานั่งพูดด้วยสายตาที่จ้องมองชัยที่กำลังเดินกลับไปที่รถด้วยความสงสารและความรู้สึกที่เศร้าใจ ชัยเดินมาถึงรถด้วยท่าทีที่ครุ่นคิดเพราะในขณะนี้ในหัวของเขาคิดถึงแต่เรื่องที่ชายชราคนนั้นได้บอกกล่าวกับเขาก่อนหน้า เอกพจน์ผู้เป็นพ่อสังเกตุเห็นท่าทีของชัยเปลี่ยนไปหลังจากพูดคุยกับชายชราคนนั้น เขาจึงเดินเข้ามาหาชัยที่รถที่กำลังยืนอยู่ที่ประตูรถ
" ไงลูก คุยกับใครมาน่ะ "
" อ๋อ คนไร้บ้านน่ะครับ เขาพูดไปเรื่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอกครับ "
ชัยยิ้มออกมาเพื่อกลบเกลื่อนก่อนจะเปิดประตูเข้ารถไป เอกพจน์หัวเราะเล็กๆแต่สายตาเขาก็ยังคงแสดงถึงความอยากรู้ในสิ่งที่ชายชราคนนั้นได้บอกกับชัยลูกชายของเขาก่อนจะเดินกลับไปที่รถแล้วเริ่มออกเดินทาง
เมื่อทุกคนเดินทางมาถึงคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่หรูหราพร้อมพื้นที่โดยรอบๆนั้นช่างกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเหลือเกิน ทุกคนต่างก็เดินเข้าไปด้านในของคฤหาสน์ ทุกคนต่างตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็น ด้านในคฤหาสน์ที่ใหญ่โตกว้างขวางพร้อมเครื่องตกแต่งที่หรูหราได้ตกแต่งไว้อย่างสวยงามอย่างมาก
" ไม่เคยเห็นพ่อเล่าให้ฟังเลยว่าเรามีคฤหาสน์หรูขนาดนี้ "
เอกหันไปถามเอกพจน์ด้วยท่าทางที่ตื่นตาตื่นใจกับคฤหาสน์ที่พวกเขากำลังอยู่ในตอนนี้พลางมองไปพื้นที่รอบๆของคฤหาสน์
" ทำไมต้องเล่าล่ะ พามาให้เห็นเลยดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่าพ่อโม้ "
สองพี่น้องหัวเราะชอบใจกันยกใหญ่กับคำพูดของพ่อของพวกเขา
" เอาล่ะทุกคน แยกย้ายกันไปเก็บของทำธุระส่วนตัว แล้วคืนนี้ทุ่มตรงมาเจอกันที่โถงใหญ่นะ "
มณีรัตน์บอกกับทุกคนและต่างก็แยกย้ายไปห้องของตัวเองที่แม่บ้านได้จัดเตรียมไว้ให้ล่วงหน้าก่อนที่พวกเขาทุกคนจะเดินทางมาถึง ชัยที่จัดเตรียมของตัวเองภายในห้องพักของเขาเรียบร้อยจึงคิดว่าจะไปเดินเล่นที่สวนหลังคฤหาสน์ ระหว่างทางเดินนั้นต้องผ่านห้องครัวชัยจึงแวะหาน้ำติดไม้ติดมือไปดื่มด้วย
ชัยเดินเข้าไปในห้องครัวพร้อมกับเปิดประตูตู้เย็นออก เมื่อเขาได้น้ำที่ต้องการจึงปิดประตูตู้เย็นและกำลังจะเดินออกไป สายตาของเขาได้เหลือบไปมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเธอกำลังจัดเตรียมอาหารสำหรับมือค่ำของคืนนี้อยู่ที่โต๊ะห่างออกไปเล็กน้อย
เมื่อสายตาเขาจับจ้องไปที่เธอทำให้เขายืนนิ่งไป ในขณะที่เขาจ้องมองไปที่เธอคนนั้นราวกับว่าตัวเองโดนมนต์สะกดทำให้เขาแทบจะไม่สามารถละสายตาจากเธอได้เลย ใจเขานั้นรู้สึกวูบวาบหวั่นไหวกับเธอตั้งแต่แรกเจอ ขณะที่เขากำลังยืนมองเธอนั้น เอกก็ได้เดินมาและสังเกตุเห็นท่าทีน้องชายตนเองแปลกไปเหมือนโดนแช่แข็ง
" ชัย...ชัย...ชัย! "
เอกตะโกนเรียกชัยดังขึ้นจนทำให้เขาสะดุ้งสุดตัวแล้วหันไปมองเอกที่ยืนมองตัวเองด้วยความงุนงง
" นายเป็นอะไร? ยืนนิ่งอย่างกะโดนแช่แข็งงั้นแหล่ะ "
" เปล่านิ แล้วพี่มาทำอะไร? หาของกินเหรอ? "
" เปล่าหรอก ฉันจะมาบอกนายว่าฉันจะออกไปข้างนอกแป็ปน่ะ จะไปหาอะไรมาทำกิจกรรมสนุกๆเล่นเลยมาบอกนายไว้ เผื่อพ่อแม่ถาม นายจะได้บอกท่านได้ ถ้าถามแล้วไม่มีใครรู้ โดนบ่นหูชาแน่ "
ชัยหัวเราะเล็กน้อยแล้วพยักหน้ารับรู้ เอกจึงเดินออกจากคฤหาสน์และขึ้นรถแล้วขับออกไป ชัยหันกลับไปที่เดิมที่ผู้หญิงคนนั้นอยู่แต่เธอก็หายไปแล้ว ชัยมองหาทั้งทางซ้ายและทางขวาแต่ก็ไม่เจอ เขายืนเกาหัวตัวเองและเดินออกไปที่สวนหลังคฤหาสน์
.
.
.
เอกที่ขับรถออกมาได้แวะร้านของชำพร้อมกับซื้อของต่างๆมามากมายเพื่อมาเล่นกิจกรรมคืนนี้ เอกนำของที่ซื้อมาไว้ที่ท้ายรถให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ในระหว่างขับรถมือถือของเอกดังขึ้น เขาชะเง้อมองดูหน้าจอมือถือเล็กๆเพื่อดูว่าเป็นสายเรียกเข้าของใคร
" แม่โทรมาทำไมนะ? "
เอกจึงหันไปพร้อมเอื้อมมือออกไปเพื่อหยิบมือถือที่วางไว้เบาะนั่งข้างๆ เมื่อเขาหันกลับมามองทางก็มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินถือกระเป๋าอยู่ด้านหน้ารถ เอกตกใจจึงรีบเหยียบเบรครถทันที เธอคนนั้นหันมาเห็น เธอร้องออกมาด้วยความตกใจแล้วล้มลงนอนกับพื้น ข้าวของของเธอหล่นกระจัดกระจายทั่วท้องถนน เมื่อเอกได้สติจึงรีบลงจากรถออกไปวิ่งไปหาผู้หญิงคนนั้นทันที
" คุณครับ! เป็นไรไหม!? เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ!? "
" ไม่เป็นไรค่ะ แค่ถลอกนิดหน่อยอ่ะ "
" มาครับ เดี๋ยวผมพาไปทำแผลที่โรงพยาบาล "
" ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไรจริงๆ และอีกอย่าง โรงพยาบาลก็อยู่ไกลมาก ต้องเข้าไปในตัวเมืองเลย "
" ถ้างั้น เดี๋ยวไปทำแผลที่บ้านผมดีกว่าครับ มาครับเดี๋ยวผมช่วยพยุงคุณขึ้น "
" ไม่เป็นไรคะ ไม่เป็นอะไรจริงๆ แค่นี่เล็กน้อยค่ะ "
เธอพูดพลางส่งรอยยิ้มให้กับเอก
" เถอะนะครับ ผมจะได้สบายใจ "
เธอมองเข้าไปในสายตาของเอกและรับรู้ถึงความรู้สึกผิดที่ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บ เธอมีสีหน้าที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเล็กๆ
" เอ่อม...ก็ได้ค่ะ "
เอกยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจที่เธอยอมไปกับเขา เขาพยุงเธอแล้วค่อยๆเดินไปที่รถและเปิดประตูให้เธอเข้าไปนั่ง เธอส่งรอยยิ้มขอบคุณให้เขา
" ขอบคุณค่ะ "
เอกพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มแล้วรีบไปเก็บของของเธอที่กระจายทั่วท้องถนนและขึ้นรถและขับออกไปมุ่งกลับไปที่คฤหาสน์ทันที
.
.
.
ชัยที่กำลังเดินเล่นอยู่สวนหลังคฤหาสน์พร้อมกับสูดอากาศที่บริสุทธิ์อย่างสบายใจพร้อมถือเครื่องดื่มพลางจิบทีละนิด เขามองไปที่ดอกไม้หลากสี ต้นไม้ นานาชนิดที่วางจัดเรียงตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
ขณะที่เขากำลังชื่นชมความสวยงามของสวนที่เป็นธรรมชาติมากอยู่นั้น เขาหันไปมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังยืนให้อาหารสัตว์ต่างๆ เช่น กระรอก นก พังพอน ดูเธอมีความสุขเอามากๆเมื่ออยู่กับสัตว์เหล่านั้น
ชัยยืนมองเธอและจำได้ว่าเธอคือคนที่เขาได้เจอเมื่อตอนอยู่ในห้องครัว เขามองเธอที่มีรอยยิ้มที่สดใสขณะที่กำลังให้อาหารสัตว์เหล่านั้นอย่างมีความสุขจนทำให้เขาเผลอยิ้มตามเธอไปด้วย เธอหันมาเห็นชัยที่กำลังยืนมองเธอด้วยรอยยิ้ม เธอมีท่าทีตกใจเล็กน้อยส่วนชัยเห็นเธอหันมามองเขาทำให้เขาก็สดุงเล็กน้อยแล้วทำทีเป็นเมินไม่สนใจเธอทันที
เธอจึงหันไปหาสัตว์เหล่านั้นแล้วก็เดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ ชัยเหล่ตามองตามเธอจนเธอเข้าไปจนมองไม่เห็น ชัยหันกลับมาพร้อมอมยิ้มเล็กๆแล้วจิบเครื่องดื่ม
.
.
.
เมื่อเอกกลับมาถึงคฤหาสน์ เขาลงจากรถและเดินไปเปิดประตูให้กับผู้หญิงคนนั้นที่เขาได้พากลับมาด้วยพร้อมกับเอื้อมแขนเข้าไปหาเธอเพื่อพยุงเธอออกมาอย่างช้าๆ เธอเดินลงมาพร้อมกับมองคฤหาสน์หลังโตด้วยอาการอึ้งในสิ่งที่เห็น
" นี่...บ้านคุณเหรอคะ?...แบบนี้เรียกว่าบ้านได้เหรอ!? "
" ถ้าเอาจริงๆก็ไม่ใช่บ้านผมหรอก ของพ่อแม่ผมน่ะ "
" มันสวยมากเลยค่ะ ฉันไม่เคยได้เห็นกับตาตัวเองจริงๆสักครั้ง เป็นบุญตาจริงๆ "
" คุณก็พูดเว่อร์เกินไปครับ "
ทั้งคู่หัวเราะเล็กน้อย
" เราเข้าไปกันเถอะครับ "
เธอพยักหน้าอย่างเข้าใจ เอกค่อยๆพยุงเธอเข้าไปในคฤหาสน์อย่างช้าๆ พอเมื่อเข้ามาแล้วมณีรัตน์ที่กำลังนั่งจัดเตรียมของกิจกรรมคืนนี้อยู่ที่โซฟารับแขกทางเข้าของคฤหาส์น เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นเอกกำลังพยุงผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาอย่างช้าๆเธอจึงลุกขึ้นรีบเดินมาหาเอกอย่างร้อนใจ
" เกิดอะไรขึ้นลูก!? ทำไมเธอมีรอยถลอกล่ะ!? "
" คือ พอดีผมขับรถไปชนเธอน่ะครับ ผมไม่ทันได้ดู ผมหันไปหยิบมือถือน่ะ "
" ลูกนิก็ เวลาขับรถดูทางสิ มือถืออย่าเล่น "
" ไม่ได้เล่นครับ ผมจะรับสายแม่น่ะแหล่ะ "
มณีรัตน์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะแห้งๆออกมา
" งั้นเดี๋ยวพาเธอไปทำแผลนะเอก แม่จะเตรียมของงานคืนนี้ "
" ได้ครับ "
เอกที่กำลังจะพาเธอไปทำแผลรอยถลอกบนร่างกายของเธอที่ห้องของเขาเอกพจน์เดินมาพอดี
" พาใครมาน่ะลูก "
เมื่อเธอได้เห็นเอกพจน์แววตาเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อยแล้วจางหายไป
ชัยเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์หลังจากเขาได้เดินเล่นอยู่ในสวนอยู่สักพัก เขาเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อจะนำขวดเครื่องดื่มที่ตนดื่มหมดแล้วไปเก็บใส่ลังในครัว ชัยหาลังใส่ขวดเท่าไหร่ก็ไม่เจอเขาจึงเดินหาทั่วห้องครัว
“ มีอะไรให้ช่วยเปล่าคะ? “
ชัยหันไปตามเสียงที่ถามออกมา เขาพบว่าผู้หญิงคนนั้นคนที่เขาคอยแอบมองอยู่เรื่อยๆเดินเข้ามาหาพร้อมกับใบหน้าที่สงสัยแต่ยังคงมีรอยยิ้มที่เป็นมิตรอยู่บนใบหน้า เมื่อเธอเดินเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ใจของเขาเต้นสั่นๆ เขามองใบหน้าที่สวยงามหน้าตาน่ารัก ดวงตาคมแบบหญิงไทยกับรอยยิ้มอันแสนเป็นมิตรและอบอุ่นของเธอ เมื่อมองแล้วเหมือนราวกับว่าตัวเองต้องมนต์สะกดอีกครั้ง ชัยยืนนิ่งขณะจ้องมองเธอพร้อมกับอมยิ้มเล็กๆ มันกลับทำให้เธอมีอาการงุนงงขึ้นกว่าเดิมกับท่าทางของเขา
“ เอ่อ...คุณคะ “
“ ค..ครับ “
“ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ? “
“ อ่อ เปล่าครับ ผมแค่จะหาลังใส่ขวดน่ะ ผมไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน “
“ อยู่ข้างๆอ่างล้างจานค่ะ เดี๋ยวฉันเอาไปใส่ให้นะคะ “
เธอค่อยๆหยิบขวดเปล่าจากมือของชัยอย่างเบาๆแล้วเดินนำขวดไปใส่ที่ลังขวดเปล่าที่อยู่ข้างๆอ่างล้างจาน ชัยมองตามเธอด้วยรอยยิ้ม
“ คุณเป็นแม่บ้านที่นี่หรอครับ? “
“ ก็ประมาณนั้นค่ะ ฉันพึ่งมาทำงานที่นี่ได้เดือนกว่าๆน่ะ แล้วคุณจะรับอะไรเพิ่มอีกไหมคะ? “
“ ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ “
“ ค่ะ ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ “
ชัยพยักหน้าเล็กๆขณะที่เขายังคงยิ้มอยู่ เธอจึงเดินออกไปจากห้องครัว ชัยที่ยืนอยู่ในห้องครัวเพียงลำพังเขาอมยิ้มเล็กๆที่แสดงถึงการมีความสุขอย่างมาก
.
.
.
เอกที่กำลังพยุงผู้หญิงคนที่เขาขับรถเกือบชน แววตาเธอนั้นมีแต่ความอาฆาตแค้นใจเมื่อเห็นเอกพจน์มายืนอยู่ตรงหน้าเธอ เธอจ้องมองอย่างไม่ละสายตาด้วยที่ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มเล็กน้อย แต่ในความรู้สึกขณะเดียวกันมันไม่ใช่อย่างนั้น เธออยากจะล้างแค้นซะตอนนี้ แต่ถ้าเธอทำลงไปเธอจะหาอีก 5 คนไม่ได้ ทำได้แค่แสร้งทำไหลตามน้ำไป
“ คือผมขับรถเกือบจะชนเธอครับ เลยทำให้เธอได้รับบาดเจ็บ ว่าจะพาเธอมาทำแผลน่ะครับ
“ ได้สิ ลูกทำผิดแล้วรับผิดชอบ นี่แหละลูกผู้ชาย “
“ ครับพ่อ “
“ แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ? “
เอกยืนนิ่งแล้วหันไปมองเธอเพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร
“ สุธาราค่ะ “
“ เป็นชื่อที่ไพเราะมากเลยนะเนี้ย “
“ พ่อกับแม่ตั้งชื่อตามมณีในตำนานของศกุนีที่ชื่อว่ามณีสุธารา “
“ แล้วพ่อแม่- “
“ พ่อแม่หนูท่านเสียไปตั้งแต่หนูยังเป็นเด็ก ด้วยน้ำมือคนชั่วที่โลภมากอยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง จนทำให้ชีวิตที่บริสุทธิต้องดับสิ้น “
เอกพจน์ยังไม่ทันพูดจบประโยคสุธาราก็พูดขึ้นในทันทีด้วยอารมณ์ที่โกรธเล็กน้อย เอกพจน์ยืนนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อได้เห็นอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยวของสุธาราที่แสดงออกมาเล็กๆเมื่อพูดถึงพ่อแม่ของเธอ
“ เดี๋ยวผมขอพาเธอไปทำแผลก่อนนะครับ “
เอกเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงรีบพูดขัดไว้แล้วพาสุธาราไปที่ห้องของตน เอกพจน์ยืนงุนงงเล็กๆกับท่าทีของเธอที่จู่ๆก็มีอารมณ์โกรธขึ้นมา เขาทำได้เพียงยักไหล่แล้วเดินไปหามณีรัตน์ที่กำลังจัดเตรียมสถานที่อยู่อีกฝากของคฤหาสน์
เอกพาสุธาราไปนั่งลงบนปลายเตียงนอนภายในห้องนอนของเขาก่อนที่จะเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่วางไว้ที่ชั้นวางของที่หน้ากระจกพร้อมยกเก้าอี้มานั่งข้างหน้าเธอ
“ ขอโทษนะครับ “
สุธารามีใบหน้าที่งุนงงที่จู่ๆเขาก็พูดขอโทษเธอทั้งที่เขายังไม่ได้ทำอะไรผิด เอกยื่นมือมาจับแขนเธอแล้วนำยาล้างแผลมาค่อยๆเช็ดที่แผลเธอและรอบๆแผลอย่างเบาๆและนุ่มนวล เธอนั่งดูแล้วเงยหน้าขึ้นมองเอกที่ตั้งใจทำแผลให้กับเธอ เธอมีแววตาซาบซึ้งเล็กน้อยกับการกระทำของเขาที่ทำให้เธอ
“ ผมขอโทษคุณด้วยนะครับ ที่พ่อผมถามคุณในเรื่องที่ทำให้คุณไม่สบายใจ “
“ ไม่เป็นไรค่ะ ท่านไม่รู้ ท่านไม่ผิด “
เอกเงยหน้าขึ้นมามองเธอเล็กน้อย เธอส่งรอยยิ้มให้แก่เขา เอกอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าลงทำแผลให้เธอจนเสร็จเรียบร้อย
“ เสร็จแล้วครับ “
“ ขอบคุณค่ะ “
เอกพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วลุกออกจากเก้าอี้พร้อมถือกล่องปฐมพยาบาลไปเพื่อที่จะเก็บไว้ที่เดิม
“ เอ่อ...ผมรู้ว่าไม่ควรถาม คุณจะไปไหนหรอครับ? มีกระเป๋าเสื้อผ้าด้วย “
สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นความเศร้าหมองลงทันทีที่เขาเอ่ยถามขึ้น เธอจึงเล่าให้เอกฟังเรื่องราวก่อนหน้าและทำให้เขาได้รู้ว่าเธอพึ่งตกงาน คนที่จ้างเธอเขาจ้างแค่ชั่วคราว และเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี บ้านที่เธออยู่อาศัยก็โดนธนาคารยืดไป ญาติพี่น้องเธอก็ไม่มี พ่อแม่ก็เสียไปตั้งแต่เด็กๆ เธอจึงคิดว่าจะเดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยตรงไหนก็นอนพักตรงนั้น เมื่อทันทีที่เอกได้ยินเขารีบเดินมาหาเธอทันทีพร้อมกับท่าทีที่รู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ
“ ว่าไงนะครับ!? “
เธอก้มหน้าลงและมีน้ำตาไหลออกมา เอกเห็นอย่างนั้นทำให้เขารู้สึกเศร้าใจและสงสารเธอเอามากๆ เขามีใบหน้าที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมีสีหน้าที่คิดอะไรขึ้นมาได้
“ ถ้างั้นเอาแบบนี้ไหม? คุณมาทำงานที่บ้านผม เป็นแม่บ้านให้กับผม ส่วนเรื่องที่พักเรื่องการกิน ผมจะดูแลเอง คุณไม่ต้องห่วงครับ “
“ แล้ว..พ่อแม่คุณ..ท่านไม่ว่าเหรอคะ? ที่คุณรับคนอื่นมาโดยพลการ.. “
“ ไม่หรอกครับ ท่านสองคนให้ผมกับน้องเป็นคนตัดสินใจเอง พวกท่าน...ไม่ค่อยบังคับเราสักเท่าไหร่..ก็บางเรื่องน่ะ “
เอกพูดด้วยรอยยิ้มพลางหัวเราะไปด้วย สุธารายกมือพนมมือไว้ขึ้นมาขอบคุณเอก เขารีบจับมือเธอทันที
“ คุณจะทำอะไรครับ? “
น้ำตาเธอไหลออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ขอบคุณ
“ ฉันอยากขอบคุณ ที่คุณให้การช่วยเหลือฉัน ฉันซาบซึ้งน้ำใจคุณจริงๆ “
“ ไม่เป็นไรครับ ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย “
เอกพูดด้วยรอยยิ้ม ทั้งคู่สบตากันครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะหลบสายตาและค่อยๆดึงมือตัวเองออกจากมือเอกทำให้เอกมีอาการเขินเล็กน้อย
“ จริงสิ คืนนี้เราจะจัดกิจกรรมกันน่ะครับ ผมต้องไปเตรียมงานก่อน ส่วนคุณก็เริ่มงานได้เลยนะครับ “
“ ได้ค่ะ “
ทั้งคู่ยิ้มให้กันและกันก่อนที่เอกจะเดินออกจากห้องไป สุธาราที่นั่งอยู่บนปลายเตียงนอนในห้องนอนของเขา เธอยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาตัวเองพร้อมกับรอยยิ้มที่ชอบใจในความใสซื่อของเอก
“ มันจะง่ายดายอะไรขนาดนี้ กับการที่เข้ามาในครอบครัวคนพวกนี้ ดูๆไปแล้วเจ้าก็ช่างเป็นคนโง่เขลายิ่งนัก แค่บีบน้ำตาก็ใจอ่อนซะแล้ว ไม่สมเป็นลูกของคนชั่วเลย “
เธอลุกขึ้นและมองตัวเองในกระจกด้านข้างของเธอ ใบหน้าที่เป็นความโศกเศร้ากลับกลายเป็นความดุดันหน้าเกรงขามขึ้นมา
“ เอกพจน์งั้นเหรอ ข้าจะจัดเตรียมหลุมฝังศพไว้ให้เจ้าและพวกของเจ้าอีก 5 คน “
ดวงตาเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากของเธอ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!