คริส โคลัมบัส ได้พาเหล่าผู้ตั้งถิ่นฐานจากโลกเก่าที่กำลังจะตายมายังดินแดนแห่งนี้
ดินแดนที่เพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากร, แผ่นดินอันสมบูรณ์ และความปลอดภัย
เขาได้ตั้งชื่อให้ดินแดนแห่งโลกใหม่ที่จะเป็นจุดกำเนิดของยุคใหม่อันรุ่งโรจน์ของพวกเรา
“อันเดอร์ริกา”
- Prologue\, History of Underrica
...
เอสเธอร์ตื่นนอนตามเพลงมาร์ชของประเทศที่ดังอย่างน่าหนวกหูดังที่เป็นทุกวันในตอนเช้า
ไม่ใช่ว่าเธออยากตื่นเช้าขนาดนี้ทุกวัน แต่เสียงเพลงแบบนี้น่าจะปลุกได้กระทั่งคนที่ขี้เซาและหลับลึกที่สุดในเมือง
“ไอ้เพลงเฮงซวย” เอสเธอร์ก่นด่าขณะพยายามเอาหมอนอุดหู แต่เธอรู้ดีว่าคงไม่สามารถหลับต่อได้แล้ว เพราะเพลงนี้จะเล่นต่อไปอีกห้ารอบ
ดังนั้นพอเพลงเริ่มเล่นรอบที่สามเธอก็ลุกจากเตียงและเดินไปยังห้องน้ำพร้อมกับคำสบถอีกเป็นชุด
เธอใช้เวลาอาบน้ำเพียงสามนาทีซึ่งถือว่าเร็วมากในมาตรฐานของประชากรส่วนใหญ่ในเมืองนี้ แต่นั่นคงเป็นเพราะปริมาณน้ำที่สภาเมืองอนุญาตให้ใช้เพียงสองถังต่อวัน ซึ่งเอสเธอร์ไม่เคยบ่นเรื่องนี้ เธออยากเอาเวลาไปใช้กับเรื่องอื่นๆ มากกว่า
ตอนที่เธอกำลังเช็ดผมอยู่นั่นเองที่เสียงทำนองใสคล้ายกระจกดังมาจากชั้นล่างและเธอก็รู้ว่าพ่อของเธอตื่นแล้ว
อาเธอร์ แอร์รินเป็นชายหนุ่มผมบลอนด์ตัดสั้น (สีเดียวกับเอสเธอร์) ในวัยสี่สิบปลายๆ เขาเป็นชายที่มีหน้าตาจริงจังแต่การใส่แว่นตากรอบกลมตลอดเวลาทำให้เขากลายเป็นคนหน้าตาใจดีแทน เขาเป็นนักวิชาการ, นักวิจัย และนักประวัติศาสตร์ (ตามที่เขาอ้างอยู่ตลอด) เอสเธอร์ค้านทุกครั้งว่าไม่มีใครเป็นทั้งหมดนั่นได้อย่างเชี่ยวชาญหรอก เธอคิดเสมอว่าพ่อของเธอเป็นคล้ายๆ กับนักสะสมของเก่าและพวกคลั่งไคล้ประวัติศาสตร์โบราณเท่านั้น
แต่แม้จะค้านอยู่ตลอด เธอเองก็ชื่นชมในสิ่งที่เขาทำเช่นกัน พ่อของเธอมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณมากกว่าทุกคนในเมืองนี้ และเธอก็พยายามตักตวงความรู้จากเขาอยู่เสมอ เพราะเรื่องของโลกเก่ามันช่างน่ามหัศจรรย์สำหรับเธอถ้าเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกสิ้นแสงที่พวกเธอใช้ชีวิตอยู่
“ไมเคิล แจ็คสันเหรอคะ?” เอสเธอร์ถามขณะไต่ลงบันไดที่เชื่อมระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสองของบ้าน
พ่อของเธอกำลังยืนอยู่ในครัวซึ่งเป็นแค่โซนแยกในห้องเดียวกับห้องนั่งเล่นซึ่งเป็นห้องเดียวในชั้นล่างของบ้าน เนื้อที่ระหว่างครัวกับห้องนั่งเล่นถูกคั่นด้วยโซฟาโบราณกับตู้หนังสือขนาดใหญ่ที่มีหนังสืออยู่อัดแน่น
“นี่มันบีโทเฟน และมันก็เป็นดนตรีคนละแนวกันเลยนะลูกรัก”
เอสเธอร์ยิ้ม เธอชอบกวนโมโหพ่อในตอนเช้ามากที่สุด
“หนูรู้น่า หนูแยกระหว่างเสียงกีตาร์กับไวโอลินออกนะ”
“นี่เขาเรียกว่าเปียโนต่างหาก” พ่อของเธอตอบขณะพลิกไข่ในกระทะ
“มันชื่อว่าโซนาตาแสงจันทร์”
เอสเธอร์เดินฝ่ากองหนังสือและโบราณวัตถุหลากหลายชิ้นที่ตั้งขวางทางอยู่ทั่วห้องราวกับเขาวงกตไปนั่งที่โต๊ะอาหารริมหน้าต่างระหว่างคิดว่าเธอคงต้องบังคับพ่อจัดห้องใหม่สักหน่อยแล้ว
“สำคัญด้วยเหรอคะว่ามันเรียกว่าอะไรในเมื่อเราไม่มีเปียโนสักตัวในอันเดอร์ริกา”
อาเธอร์เดินออกจากครัวมาวางจานสองใบลงบนโต๊ะ เขาหนีบกระดาษแผ่นหนามาด้วยสองแผ่น
“นั่นแหละคือความสำคัญ” เขาว่าพร้อมกับกางกระดาษแผ่นแรกลงบนโต๊ะ “พ่อคิดว่าพ่อร่างแบบแปลนเพื่อสร้างเปียโนตัวแรกในโลกสิ้นแสงได้สมบูรณ์แล้ว”
เอสเธอร์ไม่ชำเลืองมองด้วยซ้ำขณะตักไข่เข้าปาก
“เครื่องดนตรีคลาสสิคชิ้นแรกของโลกใหม่เลยนะ?” พ่อของเธอขมวดคิ้วเป็นเชิงถามเมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
“พ่อก็รู้ว่าประธานาธิบดีคนนี้ไม่อนุญาตให้สร้างของแบบนี้หรอก”
เอสเธอร์รู้ว่าเปียโนเป็นเครื่องดนตรีขนาดใหญ่และนั่นทำให้ต้องใช้ไม้จำนวนมากในการสร้าง น่าเสียดายที่ไม้เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในโลกใหม่ที่จำเป็นต้องเอาไปใช้สร้างบ้าน, เรือ และอุปกรณ์ดำรงชีพหลากหลาย ซึ่งประธานาธิบดีเป็นคนเดียวที่จะอนุมัติในการใช้มันเพื่อสร้างอะไรสักอย่าง และอะไรสักอย่างนั้นมันต้องทำได้มากกว่าการเล่นเสียงทำนองเพราะๆ ออกมา
“แล้วอีกใบนั่นคืออะไรล่ะคะ?” เธอใช้ส้อมชี้ใส่กระดาษอีกแผ่นที่ดูเหมือนจะเป็นซองจดหมายที่พ่อของเธอยังหนีบอยู่ใต้แขน
“นี่น่ะเหรอ?” พ่อของเธอดูเหมือนจะลืมเกี่ยวกับกระดาษแผ่นนั้นไปเสียสนิทเพราะเขาดูตกใจมากเมื่อเธอพูดถึงมันขึ้นมา “เรื่องงานน่ะ ไม่สำคัญอะไรหรอก”
เอสเธอร์ทำหน้าไม่เชื่อมากกว่าตอนที่เขากางแบบแปลนเครื่องดนตรีชนิดใหม่ในโลกซะอีก “พ่อมีคนที่จะติดต่อเกี่ยวกับเรื่องงานด้วยเหรอคะ?”
“นั่นหยาบคายมากเลยนะเอสเธอร์ พ่อไม่ใช่คนว่างงานซะหน่อย” พ่อใช้ส้อมชี้สวนใส่เธออย่างโกรธๆ
“แต่หนูนึกว่าพ่อทำงานที่พิพิธภัณฑ์อย่างเดียวนี่?” จริงๆ แล้วต้องบอกว่าพ่อเธอเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์แห่งเดียวของสหรัฐอันเดอร์ริกาเลยมากกว่า เพราะเขาเป็นพนักงานคนเดียวในสถานที่ที่ดูเหมือนจะเป็นที่เก็บของเก่าฝุ่นจับนั่น และถึงแม้พ่อของเธอจะคอยพูดเกี่ยวกับความสำคัญของมันอยู่ตลอดว่ามันเป็นที่ให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้เกี่ยวกับอดีต แต่นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครอื่นในเมืองอีกเลยที่จะเสียเวลาไปกับการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์นั่น
อาเธอร์ขมวดคิ้วราวกับลำบากใจที่จะตอบ “นั่นก็ใช่... แต่นี่เป็นเรื่องคำขอร้องให้ไปช่วยงานนอกอะไรทำนองนั้นน่ะ”
“งานประเภทไหนคะ?”
“เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านน่ะ เขาขอร้องให้พ่อไปให้ข้อมูลในการสำรวจนอกสถานที่”
เอสเธอร์กระแทกช้อนส้อมลงกับโต๊ะอย่างแรงจนทำให้พ่อของเธอสะดุ้ง
“งั้นพ่อก็จะได้ออกไปนอกเมืองงั้นเหรอ!? เมื่อไหร่กันคะ?” ไม่แน่ฉันอาจจะได้ไปด้วย เธอคิดอย่างลิงโลด การได้ออกจากอันเดอร์ดีซีถือเป็นเรื่องที่เธออยากทำทุกเมื่อหากมีโอกาส แถมเธออาจจะได้ช่วยงานโบราณคดีกับพ่อของเธอด้วย
“ที่ไหนคะ? อันเดอร์นิวยอร์ค? นิวไอโอวา? หรือเป็นที่ประเทศฝั่งตะวันออก?”
เอสเธอร์หยุดพูดเมื่อเห็นว่าพ่อของเธอมีสีหน้าลำบากใจแค่ไหน “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
อาเธอร์เอามือก่ายหน้าผาก ดูเหมือนว่าเขากำลังคิดหนักว่าจะบอกเรื่องนี้กับเธอดีหรือไม่ “พ่อคิดว่างานนี้ลูกคงไปกับพ่อไม่ได้”
เอสเธอร์ไม่โต้แย้งอะไรมากไปกว่าการขมวดคิ้ว “เหตุผลล่ะคะ?”
อาเธอร์ย้ายมือขวาจากที่หน้าผากมาเคาะกับโต๊ะเป็นจังหวะพร้อมกับเงยหน้ามองเพดาน
เขาเลียริมฝีปากก่อนจะเริ่ม “พ่อไม่แน่ใจว่าพ่อควรบอกลูกหรือเปล่านะ...”
เอสเธอร์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับคว้าจานของตัวเองที่กินหมดไปเพียงครึ่งเดียว พยายามปั้นหน้าให้ดูเหมือนไม่ใส่ใจเต็มที่ “อ้อ งั้นโอเคค่ะ”
“อ...โอเคงั้นเหรอ?” อาเธอร์ถึงกับอึ้ง นี่มันผิดปกติแล้ว นี่มันผิดวิสัยของเอสเธอร์จอมตื๊อเกินไป “ไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ?”
“ทำไมพ่อพูดเหมือนหนูเป็นไอ้ตัวแสบจอมตื๊อแบบนั้นล่ะคะ?” เอสเธอร์ถามขณะเดินผ่านพ่อของเธอไปทางครัว
“ก็ทีตอนพ่อต้องไปดูซากเรือที่อ่าวนิวเม็กซิโก ลูกยังตามตื๊ออยู่เป็นเดือนเลยนี่?” อาเธอร์เงียบไปกลางคันเมื่อได้ยินเสียงกระดาษเสียดสีกันดังมาจากในครัว และนั่นเป็นตอนที่เขาเห็นว่าซองจดหมายหายไปจากใต้แขนตัวเองแล้ว
“เอสเธอร์!!” อาเธอร์ตะโกนอย่างโกรธๆ ขณะลุกเดินไปที่ครัวแต่นั่นก็เพียงพอที่เอสเธอร์จะอ่านจดหมายฉบับนั้นจนจบแล้ว เธอเบิกตากว้างกับเนื้อหาในจดหมาย
“สำรวจใต้ทะเลงั้นเหรอคะ!?” เอสเธอร์อุทานอย่างไม่อยากเชื่อขณะที่พ่อของเธอคว้าจดหมายกลับไป “แถมเป็นคำขอร้องจากประธานาธิบดีเองเลยด้วย!?”
อาเธอร์เดาะลิ้นอย่างหัวเสียที่เสียเหลี่ยมให้กับลูกสาวอีกจนได้ “ใช่ พ่อเองก็ยังประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่คอร์นีเลียสตัดสินใจทำอะไรแบบนี้”
เป็นที่รู้กันว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมาประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอันเดอร์ริกา จอห์น คอร์นีเลียส มุ่งเน้นนโยบายไปที่การขยายเมืองด้วยการขุดอุโมงค์เพื่อเพิ่มพื้นที่อยู่อาศัยและเพื่อหาแหล่งทรัพยากรน้ำมันกับแร่เหล็ก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเพื่อแข่งขันกับสหภาพโซเวียตใหม่ แต่นั่นอาจเป็นเหตุผลหลักที่เขาไม่เคยอนุมัติโครงการอื่นใดนอกเหนือจากนี้ทั้งสิ้น ดังนั้นเอสเธอร์จึงประหลาดใจมากที่รู้ว่าประธานาธิบดีของเธอสั่งอนุมัติโครงการสำรวจที่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลอย่างการสำรวจใต้ทะเล
“เขาต้องการอะไรกันคะ? ใต้ทะเลไม่น่าจะมีอะไรที่ใช้ประโยชน์ได้ไม่ใช่เหรอ?”
พ่อเธอยักไหล่แทนการบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้ “คงเป็นแหล่งน้ำมัน ไม่ก็แหล่งแร่ใต้ทะเลล่ะมั้ง?”
เอสเธอร์เอานิ้วหัวแม่มือข้างขวามาแตะที่คางอันเป็นท่าที่เธอชอบทำเวลาใช้ความคิด “แต่แหล่งน้ำมันใต้ทะเลจำเป็นจะต้องใช้เหล็กจำนวนมากเพื่อเอามาสร้างแท่นขุดเจาะซึ่งแม้กระทั่งตอนนี้ประเทศเราก็มีเพียงแค่สองแท่นเท่านั้นในนิวอะแลสกา และการขุดแร่ใต้ทะเลก็จำเป็นต้องใช้คนสวมชุดดำน้ำ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ออกซิเจนและนั่นทำให้จำเป็นต้องมีฐานปฏิบัติการเหนือผิวน้ำ ซึ่งโดยรวมแล้วนั่นสิ้นเปลืองกว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันเสียอีก...”
“และนั่นหมายความว่า...” พ่อของเธอรับช่วงความคิดนั้นต่อ เอสเธอร์ยิ้มเพราะรู้ว่านั่นหมายความว่าพ่อของเธอหายโกรธเธอเรื่องจดหมายแล้ว
“ซากอารยธรรมโบราณ!!” สองพ่อลูกจบประโยคด้วยคำตอบที่ต่างคิดในหัวไว้พร้อมกัน
“หนูพนันเลยว่าต้องเป็นซากเรือดำน้ำยูเอสเอส โอไฮโอแน่ๆ!” เอสเธอร์พูดถึงตำนานเรือดำน้ำลำแรกที่พาชาวอันเดอร์ริกาทุกคนมายังดินแดนสิ้นแสงแห่งนี้
อาเธอร์ย่นหน้า เขาไม่เคยชอบความคิดที่ว่ายูเอสเอส โอไฮโอมีอยู่จริง “แต่พ่อคิดว่าน่าจะเป็นพวกฐานวิจัยเก่าใต้น้ำซะมากกว่า”
“โหพ่อ จินตนาการได้น่าเบื่อมากเลยอะ” เอสเธอร์ลองแหย่เมื่อเห็นว่าพ่อหายโกรธแล้วแต่ดูเหมือนว่าเธอจะตัดสินใจพลาดเมื่อพ่อของเธอกลับมาทำหน้าบูดใส่เธออีกครั้ง
“ไม่ต้องมาตีซี้เลยนะเอสเธอร์ ยังไงพ่อก็พาลูกไปไม่ได้ แค่เนื้อหาในจดหมายนั่นก็เป็นความลับมากพอแล้ว อีกอย่างนี่เป็นโครงการของรัฐบาล ไม่ใช่การจ้างงานนอกสถานที่และไม่ใช่การไปเที่ยวเล่นด้วย เข้าใจใช่ไหม?”
เอสเธอร์พยายามตีหน้าเศร้าเพื่อเรียกคะแนนสงสาร “อย่างน้อยถามเผื่อให้หนูหน่อยไม่ได้เหรอคะ? ยังไงซะโครงการสำรวจใต้ทะเลก็จำเป็นต้องใช้เรือลำใหญ่อยู่แล้ว หนูแน่ใจว่าพวกเขาต้องมีที่เหลือให้ผู้ช่วยนักโบราณคดีประจำเมืองอยู่แล้วแหละ” เธอรู้ว่าพ่อของเธอชอบให้เรียกว่านักโบราณคดี ดังนั้นเธอจึงไม่ลืมที่จะหยอดมันลงไปในประโยคด้วย
“เอาเป็นว่าพ่อจะลองถามดูให้ก็แล้วกัน” อาเธอร์ว่าพลางถอนหายใจอย่างยอมแพ้
เอสเธอร์ยิ้มหวานขณะเดินเข้าไปกอดพ่อ “หนูรักพ่อที่สุดเลยค่ะ!”
“แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ” อาเธอร์ว่าพลางกลอกตา “ตอนนี้ก็รีบไปโรงเรียนได้แล้ว เดี๋ยวจะสายเอานะ”
เอสเธอร์ผละจากพ่อก่อนจะเดินไปคว้ากระเป๋าบนที่แขวนข้างประตู
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยังไงหนูก็ที่หนึ่งของชั้นทุกปีนะ” เธอไม่ได้คุยโว ความรู้ที่เธอซึมซับจากพ่อและการรักในการอ่านหนังสืออยู่เสมอทำให้เธอฉลาดกว่าเด็กคนอื่นในชั้นเรียน
และนั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่วันนี้เธอจะโดดเรียน
เพราะวันนี้เอสเธอร์มีที่ที่จำเป็นต้องไปแล้ว
อันเดอร์ดีซีตั้งอยู่ในเวิ้งถ้ำขนาดมหึมาที่มีขนาดประมาณ 2,000 ตารางกิโลเมตร และมีจำนวนประชากรในปัจจุบันอยู่ที่ราวๆ 5,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นคนที่อพยพมาจากเมืองอื่นๆ ในสหรัฐอันเดอร์ริกาซะมากกว่า
นอกจากจะเป็นเวิ้งถ้ำที่มีขนาดใหญ่ เพดานของถ้ำยังสูงมาก ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องติดโคมไฟเห็ดเรืองแสงจำนวนมหาศาลบนหินงอกหินย้อยที่ผุดขึ้นมาจากผนังถ้ำ แต่นั่นให้ความสว่างได้ไม่มากพอ พวกเขาจึงต้องติดโคมไฟกล ทั้งที่ใช้พลังงานจากถ่านหินและคบเพลิงที่จำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมหาศาลในการเปลี่ยนเชื้อไฟและคอยจุดไฟในทุกๆ เช้า แต่มันก็เป็นงานที่ประธานาธิบดีจำเป็นต้องอนุมัติทุนมาให้โดยเฉพาะ ด้วยเหตุผลที่ว่าเมืองหลวงของสหรัฐอันเดอร์ริกาอันยิ่งใหญ่ไม่ควรจะต้องตกอยู่ในความมืดสลัวเหมือนเมืองชายขอบอื่นๆ
บ้านและอาคารส่วนใหญ่ทำจากไม้มาก่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมอย่างง่ายๆ และตั้งซ้อนกันระเกะระกะ บ้านแต่ละหลังเชื่อมต่อกันด้วยสะพานไม้บ้างหรือถนนหินปูนธรรมชาติ ขณะที่บ้านที่ตั้งซ้อนบนชั้นสองหรือสามขึ้นไปใช้สะพานแขวนเชื่อมต่อระหว่างกัน มันจึงเป็นเมืองที่ไร้ซึ่งความเป็นระเบียบในการวางผังเมืองอย่างสิ้นเชิง
ยกเว้นก็แต่ตรงศูนย์กลางของเมือง ซึ่งเป็นที่ที่หินงอกขนาดมหึมาแทงงอกขึ้นมาจากพื้น มันถูกแกะสลักเป็นรูปห้าเหลี่ยมสมมาตรและเจาะทะลุด้านในให้กลายเป็นอาคารศูนย์กลางของรัฐบาลสหรัฐฯรวมถึงเป็นที่อยู่ของประธานาธิบดี บ้านและอาคารส่วนใหญ่ที่อยู่โดยรอบตั้งล้อมหินงอกก้อนนี้อย่างเป็นระเบียบ
มันมีชื่อว่าเพนตากอน หัวใจการปกครองสำคัญของสหรัฐอันเดอร์ริกา และเอสเธอร์กำลังเดินตรงไปที่นั่น
ในจดหมายของพ่อไม่มีรายละเอียดการเดินทางบอกเอาไว้นอกจากเรื่องที่บอกว่ามันจะเป็นการสำรวจใต้ทะเล นอกนั้นบนกระดาษมีเพียงจุดนัดพบสำหรับการบรรยายภารกิจรวมถึงจุดหมายการสำรวจ และสถานที่นัดพบนั่นก็คืออาคารห้าเหลี่ยมใจกลางเมืองนั่นเอง
พ่อของเธอไม่เคยถูกประธานาธิบดีเรียกเข้าไปคุยด้วยมาก่อน อย่าว่าแต่เหยียบเท้าเข้าไปในอาคารนั้นเลย ว่ากันว่ามันเป็นสถานที่ที่มีการรักษาความปลอดภัยดีที่สุดในโลกสิ้นแสง นั่นทำให้เอสเธอร์จำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่าภารกิจสำรวจของพ่อเธอมันคืออะไรกันแน่
เอสเธอร์เดินฝ่าคนจำนวนมหาศาลที่เดินสวนกันไปในย่านการค้า สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงที่ขายของต่างๆ ทั้งปลาสด, ผักและเห็ด ไปจนถึงพวกกระสุนและอุปกรณ์เดินเรือแปลกๆ
‘ถ้าจะเข้าไปในนั้น ฉันจำเป็นต้องมีแผนการ’ เอสเธอร์คิดกับตัวเองขณะเร่งฝีเท้าผ่านเหล่าพ่อค้าจอมตื๊อที่พยายามยัดเยียดปลาแองเกลอร์ที่โคมไฟยังกระพริบติดอยู่มาให้
เธอเปลี่ยนเส้นทางกะทันหันเมื่อเห็นว่าถนนเบื้องหน้าเต็มไปด้วยรถม้าที่แทบไม่ขยับอันหมายความว่าการจราจรบนถนนในตอนเช้านั้นหนาแน่นมาก ดังนั้นเอสเธอร์จึงปีนบันไดเชือกของอาคารข้างๆ ขณะที่ตัดสินใจใช้กระเช้าโดยสารที่มีสถานีอยู่ใกล้ๆ พอดี
เธอตัดสินใจเลือกไปลงที่สถานีอาร์ลิงตันที่อยู่ใกล้ๆ ส่วนหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ แต่จริงๆ แล้วเธอมีของที่จำเป็นกับการใช้เข้าไปในเพนตากอนอยู่ที่นั่น
เธอปีนลงจากกระเช้าและหย่อนเหรียญเซนต์ลงตู้ตามราคาตั๋วก่อนจะปีนลงจากสถานีกระเช้ามาสู่ลานกว้างหน้าพิพิธภัณฑ์อาร์ลิงตัน ที่ทำงานของพ่อเธอ รอบๆ พิพิธภัณฑ์เป็นทุ่งหญ้ามอสส์อันเป็นส่วนหนึ่งของสวนสาธารณะที่ล้อมรอบพิพิธภัณฑ์และในเวลาเช้าเช่นนี้มันก็แทบจะร้างคน
‘ยังกับว่าปกติจะมีใครมาที่นี่น่ะ’ เอสเธอร์ส่ายหัวขณะไขกุญแจเข้าไปข้างในตึกไม้ที่ส่วนหนึ่งตั้งพิงอยู่กับหินงอกขนาดใหญ่
เสียงฝีเท้าของเอสเธอร์ดังก้องสะท้อนหินอ่อนขณะที่เธอเดินเข้าไปยังห้องโถงต้อนรับ สิ่งแรกที่ต้อนรับเธอคือรูปสลักจากหินงอกของคริส โคลัมบัส ประธานาธิบดีคนแรกและผู้ก่อตั้งสหรัฐอันเดอร์ริกาแห่งนี้
ตำนานเล่าว่าโคลัมบัสเดินทางมาพร้อมกับผู้ตั้งถิ่นฐานกลุ่มแรก ในเรือดำน้ำยูเอสเอสโอไฮโอ ซึ่งเป็นเรือลำเดียวที่รอดมาจากสงครามที่ทำให้อันเดอร์ริกาเก่าล่มสลาย แต่รายละเอียดส่วนนี้ไม่เคยถูกกล่าวอย่างแน่ชัด บ้างก็ว่าโคลัมบัสหนีมาจากสงคราม บ้างก็ว่าเขามาจากประเทศอื่นอย่างสหภาพโซเวียตเก่า
ส่วนที่ลึกลับที่สุดของตำนานนี้ก็คือไม่มีใครเคยค้นพบเรือยูเอสเอสโอไฮโอที่โคลัมบัสใช้โดยสารมายังอันเดอร์ริกา หลายๆ คนคิดว่ามันเสียหายอย่างหนักตอนมาถึงโลกใหม่จึงถูกจมไปหลังเสร็จสิ้นหน้าที่ แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครเคยค้นพบซากของมัน
“ฉันจะหาเรือของคุณให้เจอ” เอสเธอร์กล่าวกับรูปสลัก เสียงของเธอดังสะท้อนห้องโถงเพดานสูงนั้นจนมันฟังดูทรงพลังกว่าที่เป็น เธอมักจินตนาการว่ามันเหมือนเสียงพูดปลุกใจของนักสำรวจก่อนการเดินทางครั้งสำคัญ
และท่ามกลางเสียงก้องนั้นเอง ที่เอสเธอร์ได้ยินอีกเสียงดังขึ้นจากข้างหลังเธอ
“เธออยากเป็นนักสำรวจงั้นเหรอ?” เสียงนั้นราบเรียบและแหบห้าว เอสเธอร์หันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงผู้ยืนอยู่หน้าธรณีประตูพิพิธภัณฑ์ด้วยความตกใจ
เจ้าของเสียงนั้นเป็นชายหนุ่มในวัยยี่สิบปลายๆ เขามีใบหน้าคมเข้มกับดวงตาและผมหยักศกสีเทาหม่น เขาสวมเสื้อกั๊กสีดำกับกางเกงยีนส์ขาดๆ ที่คอของเขาพันผ้าพันคอสีแดงเหมือนเลือด
เอสเธอร์ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว อะไรบางอย่างในแววตาของชายคนนี้ทำให้เธอรู้สึกขนลุก
“คุณเป็นใครกัน? นี่ยังไม่ถึงเวลาเปิดพิพิธภัณฑ์นะ”
ชายคนนั้นมองมาที่เธออย่างนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไรเหมือนกับกำลังประเมินเธออยู่ และนั่นทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอย่างหาสาเหตุไม่ได้
“ฮอลแลนด์” คือสิ่งที่เขาพูดออกมาหลังจากหลายวินาทีอันน่าอึดอัดนั้น
“ห...หา?”
“ฉันชื่อฮอลแลนด์ อยากขอชมพิพิธภัณฑ์สักหน่อยน่ะ” เขาเบนสายตาไปมองรูปปั้นโคลัมบัส
เอสเธอร์ไม่ได้ตกใจเรื่องที่มีลูกค้าคนแรกในรอบปีเพียงอย่างเดียว แต่เธอยังรู้สึกกลัวชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่รู้สาเหตุ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะสายตาที่เหมือนคนตายของเขา
“พิพิธภัณฑ์ยังไม่เปิด ขอโทษด้วยนะคะ ฉันคงต้องขอให้คุณกลับมาใหม่ตอนเก้าโมง” เอสเธอร์พยายามตัดบทให้เร็วที่สุดขณะหันหลังให้ชายแปลกหน้าและเดินไปยังห้องพักพนักงาน
“นี่เรื่องสำคัญนะ มันจำเป็นสำหรับการเดินทางของฉัน และฉันไม่มีเวลาเตรียมตัวมากไปกว่าตอนนี้แล้ว” คำพูดราบเรียบนี้ทำให้เอสเธอร์ชะงักกลางคันและหันกลับมาเผชิญหน้ากับชายแปลกหน้าอีกครั้ง
“คุณเป็นนักสำรวจงั้นเหรอ?”
ชายที่ชื่อฮอลแลนด์ยักไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร “เป็นแค่อดีตทหารเรือน่ะ แต่ตอนนี้เรียกว่าเป็นนักเดินทางคงจะเหมาะกว่า”
เอสเธอร์เคยเจอคนแบบนี้มาบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นแถวท่าเรือ เมื่อเรือเดินทางไกลที่ขนสินค้ามาจากไซปันหรือเมืองจีนมาเทียบท่า เธอมักจะไปที่ท่าเรือกับพ่อ คอยมองหาวัตถุโบราณมีค่าที่จะซื้อเข้าพิพิธภัณฑ์ และระหว่างที่พ่อของเธอเจรจาเรื่องราคาอยู่ เธอก็มักจะมองหากะลาสีเรือหรือนักเดินทางช่างพูดที่พร้อมจะเล่าเรื่องราวการเดินทางของพวกเขาให้ฟัง แต่ส่วนใหญ่เรื่องราวที่พวกคนช่างพูดพวกนั้นเล่ามักเป็นเรื่องแต่งเกินจริงที่ใกล้เคียงกับนิทานเสียมากกว่า
เธอค้นพบว่าการถามเรื่องแบบนี้กับนักเดินทางที่ดูไม่อยากเล่าเรื่องให้ฟังจะได้เรื่องราวที่น่าสนใจกว่าโดยเฉพาะนักเดินทางที่มีแววตาว่างเปล่าราวกับว่าได้เห็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดมาแล้ว
และเรื่องราวที่เธอได้ฟังส่วนใหญ่ก็มักน่ากลัวไม่แพ้กัน ทั้งเรื่องของสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ใต้ทะเล เรือรบไร้คนที่ยังคงแล่นต่อไปได้เอง หรือเรื่องธรรมดาๆ อย่างการขาดอาหารบนเรือดำน้ำจนลูกเรือเริ่มกินกันเอง
และชายที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะเป็นนักเดินทางประเภทหลัง
เอสเธอร์เริ่มชั่งใจระหว่างการเข้าไปในเพนตากอนกับการพาชายแปลกหน้าคนนี้ทัวร์และถามเรื่องการเดินทางของเขาว่าแบบไหนจะคุ้มกว่ากัน
‘แต่ยังเหลือเวลาก่อนที่พ่อจะมาที่นี่อีกตั้งสองชั่วโมง และกว่าเขาจะไปเพนตากอนก็ตอนเที่ยง’ การตื่นนอนเร็วของเอสเธอร์ทำให้เธอมีเวลาว่างมากกว่าที่คิด และนั่นก็ช่วยให้เธอตัดสินใจได้
“ก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันเป็นแค่ผู้ช่วยนักโบราณคดีที่ดูแลที่นี่ ดังนั้นบางข้อมูลที่ฉันพูดออกมาระหว่างทัวร์อาจผิดพลาด ก็ต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยล่ะ”
ฮอลแลนด์ยักไหล่อีกครั้ง คราวนี้เอสเธอร์เริ่มคิดว่าอาการเรียบเฉยของเขาคล้ายๆ กับอาการเบื่อหน่ายมากกว่า
“งั้นตามมาทางนี้เลย” เอสเธอร์เริ่มออกเดินนำผู้มาเยือนเข้าไปยังส่วนจัดแสดงที่เป็นส่วนที่ถูกเจาะเข้าไปในหินงอกขนาดใหญ่ด้านหลังห้องโถงซึ่งเป็นอาคารไม้ที่ถูกต่อเติมออกมา เอสเธอร์เปิดประตูห้องแรกซึ่งมีป้ายทองเหลืองพร้อมตัวอักษรแกะสลักอย่างสวยงามว่า ‘โลกสิ้นแสง’
“เราจะเริ่มจากเรื่องพื้นฐานที่สุดของส่วนจัดแสดงกัน แต่ถ้าคุณอยากข้ามไปก็ได้นะ?” เอสเธอร์เปิดประตูเข้าห้องนั้นเมื่อฮอลแลนด์ไม่ตอบอะไร
ด้านในเป็นห้องสี่เหลี่ยมธรรมดา ผนังรอบห้องเต็มไปด้วยแผนที่ภูมิประเทศของโลกสิ้นแสงทั้งหมด ตรงกลางห้องเป็นโต๊ะตัวยาวที่มีโมเดลแสดงตำแหน่งเมืองและอาณาเขตของประเทศต่างๆ
“อย่างที่คุณน่าจะรู้อยู่แล้ว โลกสิ้นแสงเป็นโครงข่ายของถ้ำขนาดมหึมาที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ปัจจุบันเรายังไม่ทราบอาณาเขตสิ้นสุดของอุโมงค์เหล่านี้รวมถึงความลึกเช่นกัน เรารู้แค่ว่าอะแลสกาคือเมืองที่อยู่ตะวันตกสุดขอบแผนที่ และหมู่เกาะไซปันคือประเทศที่สุดขอบทางตะวันออก” เอสเธอร์ชี้ไปยังหมุดสองตัวที่ใช้แทนสองประเทศ
“ส่วนทางเหนือสุดคือสหภาพโซเวียตใหม่ และใต้สุดก็นิวแอฟริกา นี่ยังไม่นับประเทศและเมืองเล็กเมืองน้อยอีกจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่บนแผนที่ด้วยนะ บอกตามตรงว่าแผนที่ทั้งหมดที่เรามียังไม่สมบูรณ์และยังมีพื้นที่ว่างเปล่าซึ่งรอการเติมเต็มจากนักสำรวจอย่างคุณอยู่อีกเป็นจำนวนมากเลยล่ะ”
ตลอดเวลาที่เอสเธอร์อธิบายแผนที่ฮอลแลนด์แค่มองไปยังแผ่นผ้าใบบนโต๊ะเท่านั้น
“แผนที่มันมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะคุณฮอลแลนด์?”
ฮอลแลนด์เงยหน้าขึ้นมามองเอสเธอร์เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เข้าห้องมา สีหน้าของเขายังคงดูเหมือนคนที่รู้สึกเบื่อหน่ายเหมือนเดิมขณะที่เขาเอ่ยถาม “นี่เป็นแผนที่ของรัฐบาลงั้นเหรอ?”
เอสเธอร์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หมอนี่จะอยากรู้ไปเพื่ออะไรกัน “เปล่า ฉันเริ่มทำแผนที่นี้ตอนอายุ 14 ไล่ถามข้อมูลจากนักเดินทางที่มาจอดเทียบท่าที่นี่เอาน่ะ”
ฮอลแลนด์ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจซึ่งเป็นสีหน้าแรกที่เขาทำตั้งแต่เข้าพิพิธภัณฑ์มา
“เธอรู้ได้ยังไงว่าจักรวรรดิแอซเทคอยู่ทางใต้ของอียิปต์?” เขาว่าพลางชี้ไปที่หมุดสีฟ้าตัวหนึ่งบนโต๊ะ
“นักเดินทางส่วนใหญ่บอกว่านิวไคโรเป็นเมืองหลวงเมืองเดียวที่อยู่ใต้สุดของโลกสิ้นแสง ซึ่งความจริงมันก็เป็นแบบนั้นเพราะจักรวรรดิแอซเทคไม่มีเมืองหลวง และจากการบอกเล่าของหน่วยสำรวจแอฟริการอบล่าสุด พวกเขาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าแอซเทคเริ่มตั้งอาณานิคมใหม่ทางใต้ของนิวไคโร ดังนั้นฉันเลยเปลี่ยนแผนที่ใหม่จากของเดิมของรัฐบาล”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าไซปันมี 7 หมู่เกาะ”
“นักเดินทางส่วนใหญ่มักพูดไม่ตรงกัน แต่ส่วนใหญ่มักบอกว่ามันมีประมาณ 5-8 หมู่เกาะ ดังนั้นฉันเลยประมาณการจากขนาดของหมู่เกาะที่มีอยู่แล้วกับขนาดของโถงถ้ำรายรอบเอา ดังนั้นมันอาจไม่ตรงก็ได้ ฉันมั่นใจแค่ 60-70 เปอร์เซ็นต์”
“แล้วนิวเชอร์โนบิลนี่ล่ะ?”
“ฉันตั้งชื่อให้มันเอง นักเดินทางชาวรัสเซียหลายคนพูดถึงแหล่งขุดเจาะแร่ชนิดใหม่ที่ทำให้สหภาพโซเวียตใหม่ต้องไปก็ตั้งเมืองอย่างลับๆ เพื่อสร้างแท่นขุดเจาะที่นั่น แต่นักเดินทางที่เคยนั่งเรือผ่านก็พูดถึงแสงไฟจากบริเวณที่ไม่น่าจะมีเมืองอยู่เหมือนกัน ดังนั้นมันจึงมีความน่าเชื่อถือพอสมควร”
หลังจากนั้นฮอลแลนด์ยังคงถามคำถามอีกยาวเหยียดเกี่ยวกับเมืองและอาณาเขตต่างๆ บนแผนที่ซึ่งทำให้เอสเธอร์เริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมา
“มีอะไรสงสัยอีกไหมคะ?” เอสเธอร์ถามขึ้นอย่างเหลืออดเมื่อผ่านไปราวๆ สิบคำถาม
ฮอลแลนด์ทำท่าเหมือนอยากจะถามต่อแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
“ไม่มีแล้วล่ะ พาฉันไปส่วนถัดไปเถอะ”
ทั้งสองคนจึงเดินออกจากห้องนั้นไปยังส่วนต่อไปของพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นส่วนของเทคโนโลยีแห่งโลกสิ้นแสง
“ส่วนนี้เป็นส่วนที่ใช้ทุนจำนวนมหาศาลจากการที่เราต้องซื้อชิ้นส่วนต่างๆ มาจากพ่อค้า แต่บางอย่างรัฐบาลก็บริจาคมาให้เรา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นซากที่พังแล้วของอาวุธ ไม่ก็ชิ้นส่วนเรือดำน้ำปลดระวางแล้ว” เอสเธอร์กล่าวขณะเปิดประตูไปสู่ห้องโถงขนาดใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยอุปกรณ์เครื่องกลต่างๆ มากมายที่วางอยู่บนแท่นจัดแสดงที่มีป้ายระบุชื่ออยู่ด้านล่าง
“นี่คือตอร์ปิโดมาร์ค 7 ซึ่งเป็นตอร์ปิโดมาตรฐานของกองทัพสหรัฐฯ แต่ถึงจะพูดแบบนั้น เราก็มีมันอยู่ไม่ถึงร้อยลูกด้วยซ้ำในปัจจุบัน” นั่นเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้า เช่นเดียวกับเรือดำน้ำส่วนใหญ่ในโลกสิ้นแสง เทคโนโลยีเหล่านี้ยังไม่สามารถผลิตเองได้ในปัจจุบัน ทั้งเรือดำน้ำและอาวุธส่วนใหญ่คือมรดกที่ผู้อพยพมายังดินแดนแห่งนี้หลงเหลือไว้ให้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามูลค่าของมันนั้นสูงขนาดไหน ในดินแดนแห่งโถงถ้ำที่เต็มไปด้วยน้ำแห่งนี้
“จำนวนนั่นเธอก็เดาเอางั้นเหรอ?”
“เรือดำน้ำมาตรฐานที่เรามี สามารถจุตอร์ปิโดได้ราวๆ 25-30 ลูกต่อลำ และตอนที่โคลัมบัสมาถึงอันเดอร์ริกา เขามีเรือดำน้ำมาด้วย 5 ลำ กับอีก 4 ลำ ที่ตามมาสมทบทีหลัง ดังนั้นฉันเลยเดาเอาจากความจุกระสุนของเรือดำน้ำ 9 ลำ บวกลบอีกนิดหน่อยกับขนาดห้องขนส่ง แล้วก็หักลบกับเรือที่ถูกจมไปในสงครามสองครั้งกับโซเวียต ว่าง่ายๆ ก็คือแค่กะเอาน่ะ” เรือดำน้ำเป็นเรื่องที่เอสเธอร์หมกมุ่นมากที่สุดอยู่แล้ว เธอถึงขั้นจำชื่อเรือทั้งหมดที่ว่ากันว่ายูเอสเอสโอไฮโอเคยจมได้ด้วยซ้ำ
“ส่วนนี่” เอสเธอร์เดินนำฮอลแลนด์มายังแบบจำลองไม้ของเรือรบลำใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง
“นี่คือเรือประจัญบานลำสุดท้ายของโลกสิ้นแสง ยามาโตะ ปัจจุบันอยู่ที่หมู่เกาะไซปัน ว่ากันว่ามันเป็นเรือที่มาจากโลกเก่าซึ่งมีเพียงสองลำเท่านั้นที่มาถึงที่นี่และเป็นเพียงลำเดียวที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน เรือลำนี้เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ไซปันยังสามารถต้านทานการรุกรานจากโซเวียตอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ปืนใหญ่บนเรือลำนี้สามารถจมเรือพิฆาตและเรือรบหุ้มเกราะได้ในการยิงชุดเดียวหากโดนตรงๆ แถมเกราะของมันยังหนาจนปืนใหญ่ทั่วไปไม่สามารถเจาะเข้าได้ มันคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ไซปันเป็นมหาอำนาจของคาบทะเลตะวันออก” เอสเธอร์หยุดพูดเมื่อเห็นสีหน้าของฮอลแลนด์
มันเป็นสีหน้าของคนที่อาจจะกำลังโกรธจัดแต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่าเขากำลังเศร้าโศกกับอะไรบางอย่าง
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
ฮอลแลนด์หันกลับมาเหมือนเพิ่งได้ยินเสียงเธอเป็นครั้งแรก
“ไม่มีอะไรหรอก ไปต่อกันเถอะ”
...
เอสเธอร์พาฮอลแลนด์ชมส่วนจัดแสดงเกี่ยวกับเทคโนโลยี, วัฒนธรรมของแต่ละประเทศ และสัตว์น้ำใต้ทะเลลึก (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงภาพวาดร่างด้วยดินสอฝีมือเอสเธอร์เอง) ระหว่างนั้นเขาถามคำถามเกี่ยวกับทุกอย่างที่เอสเธอร์พาชมอย่างละหนึ่งคำถาม
เขาถามวิธีประกอบตอร์ปิโดสังเคราะห์หลังจากเอสเธอร์พาชมแบบจำลองที่เธอทำเอง ถามเกี่ยวกับส่วนประกอบของเครื่องยนต์ของเตาปฏิกรณ์เรือดำน้ำ ถามเกี่ยวกับรูปแบบการล่าเหยื่อเป็นฝูงของวาฬเพชฌฆาต ถามเกี่ยวกับรูปแบบการใช้ชีวิตรอดในอะแลสกาของชาวอินูอิต
แม้ตอนแรกเอสเธอร์จะรู้สึกรำคาญกับการถามคำถามที่บ่อยจนเกินเหตุแบบนี้ แต่นานๆ ไปเธอกลับพบว่ามันรู้สึกดีที่ได้แสดงความรู้ที่ตนสั่งสมมากับผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์คนแรกในรอบหลายปีคนนี้ มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับเป็นนักโบราณคดีจริงๆ และรู้สึกดีที่พบว่ายังมีคนที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับอดีตและเรื่องราวมากมายที่มากับการเรียนรู้มัน ซึ่งแตกต่างกับทุกคนที่เธอรู้จักในอันเดอร์ดีซีที่แค่ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันและพยายามเอาตัวรอดไปวันๆ
“ขอบคุณมากนะคะที่มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของเรา” เอสเธอร์บอกฮอลแลนด์หลังจากที่ทั้งสองกลับมาอยู่หน้ารูปปั้นของโคลัมบัสที่โถงทางเข้าอีกครั้ง
“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ ฉันได้ความรู้ใหม่ๆ มาเยอะเลย” ฮอลแลนด์ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยดูเบื่อโลกเหมือนกับตอนที่เขาเข้ามา ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปที่ทางออก
“หวังว่ามันจะมีประโยชน์กับการเดินทางของคุณนะ”
ฮอลแลนด์ไม่ตอบอะไรจนกระทั่งเดินไปถึงทางออกก่อนจะพูดโดยไม่หันกลับมา “มันมีประโยชน์มหาศาลเลยล่ะ”
เอสเธอร์ยืนมองจนกระทั่งประตูพิพิธภัณฑ์ปิดลงไล่หลังฮอลแลนด์ก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ
“พ่อต้องประหลาดใจแน่”
ขณะที่คิดเรื่องนั้นเธอก็หันไปมองนาฬิกา
และพบว่ามันเป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว
“ตายล่ะ”
เธอรีบวิ่งเข้าไปในห้องพนักงานและรื้อค้นลิ้นชักของพ่อเธอ ก่อนจะหยิบบัตรประจำตัวพนักงานและภาพถ่ายขนาดเล็กออกมา
“ขอให้ทันทีเถอะ” เอสเธอร์ยัดของทั้งหมดใส่กระเป๋านักเรียนและรีบวิ่งออกจากพิพิธภัณฑ์
เพนตากอนคือศูนย์กลางของอันเดอร์ดีซี ไม่ใช่แค่เพราะมันตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของเมืองแต่เป็นเพราะเมืองทั้งเมืองถูกวางผังการก่อสร้างขึ้นรอบๆ อาคารห้าเหลี่ยมหลังนี้ แต่ถึงแม้จะเป็นศูนย์กลาง แต่มันก็เป็นบริเวณที่มีคนสัญจรผ่านน้อยมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าบริเวณโดยรอบเป็นอาคารของรัฐบาล ซึ่งเป็นที่ทำงานของกระทรวงต่างๆ ทั้งฝ่ายก่อสร้าง, ฝ่ายสำรวจ, กรมการทูต และกระทรวงความมั่นคงซึ่งกินพื้นที่มากที่สุด อาคารเหล่านี้กินพื้นที่มหาศาลจนทำให้เพนตากอนอยู่ห่างจากเขตอาศัยของประชาชน ซึ่งหนึ่งในสาเหตุของการออกแบบเช่นนี้อาจเป็นเพราะต้องการกันคนนอกออกจากคนใน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการรักษาความปลอดภัยและป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลรวมทั้งการแทรกซึมจากสายลับโซเวียตไปในตัว
การที่เส้นทางมายังเพนตากอนไม่ใช่เส้นทางสัญจรหลัก ทำให้เอสเธอร์ไม่เสียเวลาในการรอคิวขึ้นกระเช้า และทำให้เธอมาถึงด้านหน้าอาคารห้าเหลี่ยมโดยใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงจากพิพิธภัณฑ์
“ดูเหมือนว่าจะยังทันอยู่นะ” เอสเธอร์รำพึงกับตัวเองขณะยืนอยู่หน้าประตูรั้วทางเข้าเพนตากอน
ปัญหาต่อไปของเธอคือการหาทางผ่านจุดรักษาความปลอดภัยเพื่อเข้าไปข้างใน ซึ่งเธอเตรียมแผนมาเพื่อรับมือเรื่องนั้นแล้ว แม้เธอไม่มั่นใจว่ามันจะสำเร็จก็ตามที แต่สำหรับเธอแล้ว ความเสี่ยงแค่นี้มันคุ้มที่จะลอง
เอสเธอร์กระแอมเพื่อทำคอให้โล่ง และก้าวเดินตรงไปยังป้อมยามด้านหน้ารั้วเหล็กของเพนตากอน พยายามทำตัวให้ดูมีความมั่นใจที่สุดเท่าที่จะทำได้
ที่ป้อมมีทหารสองนายใส่ชุดพรางสีเขียวถือปืนกลมาตรฐานกองทัพนั่งสูบบุหรี่อยู่ ทั้งสองยืนขึ้นเมื่อเห็นเอสเธอร์เดินเข้าไปใกล้
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยแม่หนู” หนึ่งในนั้นกางมือออกแสดงสัญญาณให้เธอหยุด
“ฉันจำเป็นต้องเข้าไปข้างใน นี่เป็นเรื่องด่วนนะคะ” เอสเธอร์พยายามพูดให้ลื่นไหลและเร่งรีบที่สุดเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องด่วน
“เหรอ เธอมีธุระอะไรที่เพนตากอนกันล่ะ? ฉันจำไม่เห็นได้เลยว่าวันนี้เราเปิดให้เด็กมาทัศนศึกษา” ยามอีกคนพูดพร้อมรอยยิ้ม
เอสเธอร์ขมวดคิ้ว เธอเกลียดจริงๆ เวลาคนอื่นมองว่าเธอเป็นแค่เด็กอมมือ แม้ว่าเธอจะยังเด็กจริงๆ ก็ตาม
“ฉันเป็นผู้ช่วยของอาเธอร์ แอร์ริน นักวิชาการที่เข้าร่วมการประชุมลับสุดยอดที่นี่ ซึ่งฉันไม่คิดว่าคนระดับพวกคุณสมควรที่จะรู้รายละเอียด แต่ลองถามหัวหน้าพวกคุณดูนะ ว่าเรื่องการประชุมกับชื่ออาเธอร์ แอร์รินมีความหมายอะไรกับพวกเขาหรือเปล่า” เอสเธอร์ชูบัตรประจำตัวพิพิธภัณฑ์ของพ่อให้ยามดู ซึ่งนั่นเป็นการใช้ไพ่ต่อรองใบแรกในมือ ข้อมูลที่พูดไปเป็นความจริง และถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ถูกเชิญมา แต่การยืนยันข้อมูลนี้ก็น่าจะทำให้เธอมีความน่าเชื่อถือเพียงพอ
ทหารยามทั้งสองมองหน้ากันเองอย่างไม่แน่ใจ
“อาเธอร์ แอร์ริน มาถึงที่นี่เมื่อชั่วโมงก่อนนี่เอง แต่เขาไม่เห็นพูดถึงผู้ช่วยของเขาเลยนะ?”
เอสเธอร์สบถในใจ ถ้าเธอไม่มัวเสียเวลาพาฮอลแลนด์เดินชมพิพิธภัณฑ์อยู่ เธอก็คงจะมาถึงที่นี่ก่อนพ่อของเธอไปแล้ว
“คุณอาเธอร์ลืมข้อมูลสำคัญสำหรับการประชุม และมันเป็นหน้าที่ของผู้ช่วยอย่างฉันที่จะต้องนำมันมามอบให้กับเขาถึงมือด้วยตัวเอง” เอสเธอร์พยายามปรับบทให้เข้ากับสถานการณ์อย่างระมัดระวังเพื่อให้เรื่องมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด
“งั้นก็เอาข้อมูลพวกนั้นมา เราจะเอาไปมอบให้กับเขาเอง” ทหารยามคนแรกยังคงดึงดันอยู่ นั่นทำให้เธอเอสเธอร์เกือบถอดใจอยู่แล้ว แต่เธออยากลองใช้ไพ่ไม้ตายก่อน
“ข้อมูลพวกนี้เป็นความลับสุดยอดซึ่งจำเป็นต้องใช้รายงานกับประธานาธิบดีเท่านั้น ซึ่งฉันได้รับคำสั่งมาว่าห้ามให้ข้อมูลเหล่านี้รั่วไหลเด็ดขาด คุณจะเดินไปส่งฉันเพื่อยืนยันเรื่องนี้ด้วยก็ได้ แต่ถ้ายังยืนยันที่จะไม่ให้ฉันเข้าไปด้วยอยู่อีก ท่านประธานาธิบดีคงอยากรู้เหตุผลที่พวกนายทำให้ข้อมูลสำคัญนี่ไปไม่ถึงมือท่านแน่ๆ” เอสเธอร์สำทับพร้อมข่มขู่ ซึ่งนั่นเป็นแค่การบลัฟล้วนๆ เธอไม่มีข้อมูลสำคัญอะไรที่ว่านั่นทั้งนั้น และถ้าจะพูดตรงๆ เธอยังไม่ได้วางแผนหลังจากผ่านขั้นนี้ไปด้วยซ้ำ
“งั้นรออยู่ตรงนี้ก่อน” เพียงแต่มันได้ผล ทหารยามคนหนึ่งเดินกลับไปใช้วิทยุเพื่อติดต่อเข้าไปด้านใน หลังจากผ่านไปสามนาทีเขาก็เดินกลับมาและเปิดประตูรั้วให้เอสเธอร์ พลางชี้ปืนเป็นเชิงบอกให้เธอเดินนำเข้าไป
เอสเธอร์พยายามเก็บอาการดีใจไว้อย่างเต็มความสามารถขณะเดินนำทหารยามคนนั้นตรงไปยังทางเข้าของหินงอกสีขาวขนาดยักษ์ที่มีชื่อว่าเพนตากอน
เมื่อผ่านประตูไม้ขนาดใหญ่แกะสลักสวยงามเป็นรูปธงชาติอันเดอร์ริกาเข้ามา ก็เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งมีรูปปั้นโคลัมบัสตั้งอยู่ตรงกลาง สองข้างทางแยกออกไปเป็นทางเดินยาวไปยังรอบๆ ตึก ขณะที่ด้านในสุดของห้องโถงมีประตูไม้เรียงอยู่หลายบาน และที่สุดมุมห้องแต่ละด้านมีบันไดวนที่พาไปยังระเบียงชั้นบน แต่ละด้านของระเบียงมีเสาหินอ่อนแกะสลักเป็นลวดลายที่เอสเธอร์ไม่รู้จัก
เอสเธอร์แหงนหน้ามองเพดานและพบว่าเพดานเองก็ถูกแกะสลักเป็นแผนที่ประเทศที่มีความละเอียดสูงมาก
“ตามมาทางนี้” ทหารยามขัดจังหวะความตะลึงของเอสเธอร์ขณะที่เขาพาเธอเดินลึกเข้าไปด้านในห้องโถงและเปิดประตูไม้บานซ้ายสุด
เอสเธอร์พบว่าตัวเองอยู่ในโถงทางเดินยาวสีขาวที่มีโคมไฟคอยให้แสงสว่างไปตลอดข้างทาง ทางเดินนี้มีขนาดยาวมาก จนเธอแทบมองไม่เห็นประตูที่สุดทางเดินอีกด้าน
ทั้งสองฝั่งของทางเดินมีประตูติดอยู่ตลอดทาง และบางครั้งทางเดินก็แยกออกไปเป็นทางแยก ซึ่งมีหน้าตาไม่ต่างจากทางเดินที่เธอกำลังเดินอยู่แม้แต่น้อย
เอสเธอร์เดินผ่านประตูจำนวนมากตามหลังทหารยาม เธอพยายามอ่านชื่อบนประตู ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งของเจ้าของห้อง หรือเป็นชื่อและหน้าที่ของห้องนั้นๆ ซึ่งมีทั้งห้องวิทยุ ห้องเก็บของ คลังเสบียง ห้องประชุมหมายเลข7 หรือ 24 หรือ 12 เธอนับไม่ได้แล้วว่าเดินผ่านห้องประชุมมากี่ห้อง และหลังจากเลี้ยวผ่านทางเดินที่หน้าตาเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนเป็นครั้งที่ห้า เธอก็มั่นใจว่าเธอไม่มีทางกลับออกไปได้เองโดยไม่หลงอย่างแน่นอน
บางครั้งทั้งสองจะเดินสวนกับเข้าเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในเพนตากอน แต่คนเหล่านั้นมักจะเดินสวนไปอย่างเร่งรีบและแทบไม่ใส่ใจเอสเธอร์กับทหารยามแม้แต่นิดเดียว
เอสเธอร์เคยนึกภาพข้างในเพนตากอนไว้หลายแบบ แต่ไม่ใช่เขาวงกตของทางเดินและประตูแบบนี้เลย เธอนึกสงสัยว่าคนเหล่านี้ทำงานที่นี่โดยไม่หลงได้ยังไง
หลังจากเลี้ยวรอบที่แปด ทั้งสองก็มาถึงบันไดที่นำไปยังโถงทางเดินชั้นบนซึ่งมีหน้าตาเหมือนกับชั้นล่างไม่มีผิด
เอสเธอร์เลิกสนใจป้ายบนประตู รวมถึงแผนผังหรือคนรอบข้าง อันที่จริงเธอเริ่มจะนับแกะในหัวฆ่าเวลาขณะเดินอยู่แล้วในตอนที่ทหารยามหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่งซึ่งไม่ต่างจากบานอื่น
‘ห้องประชุม 0’ ป้ายบนประตูเขียนไว้เช่นนั้น
เอสเธอร์กลืนน้ำลายขณะทหารยามเปิดประตูและผายมือให้เธอเข้าไปข้างใน
ห้องประชุมหมายเลขศูนย์เป็นห้องสี่เหลี่ยมธรรมดาขนาดใหญ่เป็นสามเท่าของพื้นที่ชั้นล่างของบ้านเอสเธอร์ บริเวณในห้องเกือบทั้งหมดถูกใช้งานโดยโต๊ะไม้ยาวรูปตัวยูที่ล้อมรอบแท่นตรงกลางห้อง ด้านหลังของแท่นมีกระดานขนาดใหญ่ที่มีแผนผังคร่าวๆ ของอันเดอร์ริกาแขวนอยู่ มีคนราวๆ ยี่สิบคนนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ และเอสเธอร์พบว่าคนที่กำลังยืนพูดอย่างดุเดือดอยู่บนแท่นตรงกลางห้องคือพ่อของเธอ
“ผมบอกท่านแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่ความลึกระดับนั้นไม่มีทางที่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ปลาสักตัวก็ไม่มีทางอาศัยอยู่ได้หรอก” พ่อของเธอพยายามอธิบายอย่างเหลืออด
“แต่มันเป็นไปแล้วอาเธอร์ นั่นเป็นสาเหตุที่เรามาอยู่กันตรงนี้ เพื่อหาคำตอบ” เอสเธอร์หันไปมองผู้พูดซึ่งนั่งตรงกลางของโต๊ะและพบว่าเขาคือประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐอันเดอร์ริกา จอห์น คอร์นีเลียส
“ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าอะไรเป็นสาเหตุให้คุณคิดแบบนั้นคอร์นีเลียส เพราะมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยที่...” พ่อของเธอชะงักไปกลางคันเมื่อสังเกตเห็นเอสเธอร์เป็นครั้งแรก และนั่นทำให้ทุกคนในห้องประชุมหันมามองเธอโดยพร้อมเพรียงกัน
“แหะๆ สวัสดีค่ะพ่อ...” เอสเธอร์นึกอย่างอื่นที่จะพูดไม่ออกแล้วจริงๆ
“ลูกมาทำอะไรที่นี่กัน?” อาเธอร์ดูงุนงงเมื่อเห็นลูกของตนเองในห้องประชุมลับสุดยอดของเพนตากอน
“เด็กนี่ใครกันน่ะ?” จอห์น คอร์นีเลียสขมวดคิ้วด้วยความสงสัยขณะกล่าวถามพ่อของเธอ
“เด็กคนนี้บอกว่าเธอเป็นผู้ช่วยของคุณอาเธอร์ แอร์รินและเธอมีข้อมูลลับสุดยอดที่ต้องนำมามอบให้คุณครับ” ทหารยามกล่าวแทนเอสเธอร์ซึ่งยืนเกาหัวอย่างขัดเขินที่กลายเป็นเป้าความสนใจของคนทั้งห้องประชุม
“เธอเป็นผู้ช่วยที่พิพิธภัณฑ์ของผม เธอเป็นลูกของผมเอง แต่ข้อมูลลับสุดยอดนี่มันอะไร... เดี๋ยวก่อน นี่เป็นแผนของลูกสินะ!” ความสงสัยของอาเธอร์กลายเป็นความโกรธเมื่อพบความจริงว่าความดื้อรั้นของเอสเธอร์อยู่เบื้องหลังการปรากฏตัวที่นี่ของเธอ
“ก็พ่อไม่ยอมให้หนูไปด้วยนี่นา! ทั้งๆ ที่หนูช่วยพ่อในการสำรวจได้ทุกครั้งแท้ๆ!”
“นี่มันไม่เหมือนการสำรวจครั้งก่อนๆ นะ! แล้วนี่มันใช่เวลามาคุยกันเรื่องนี้ซะที่ไหนกัน!” อาเธอร์พูดอย่างเหลืออดก่อนจะหันไปหาประธานาธิบดี
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ ลูกของผมแกค่อนข้างดื้อรั้น และชอบออกไปสำรวจนอกสถานที่กับผมตลอด แต่ผมไม่คิดว่าครั้งนี้แกจะทำขนาดนี้”
จอห์น คอร์นีเลียสโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ผมชอบเธอนะ จิตวิญญาณนักผจญภัยเต็มเปี่ยม แทบหาไม่ได้จากเด็กวัยเดียวกันคนอื่นๆ ในเมืองเลย แต่พ่อของเธอพูดถูกนะ การสำรวจครั้งนี้อันตรายเกินกว่าจะให้เด็กแบบเธอเข้าร่วมด้วยได้ หวังว่าเธอจะเข้าใจนะ” เขากล่าวกับเอสเธอร์อย่างอ่อนโยน
“แต่ว่า หนูสามารถเป็นประโยชน์ให้กับการสำรวจครั้งนี้ได้นะคะ! ความรู้ของหนูมีพอๆ กับพ่อ และหนูมั่นใจว่าสามารถรับความลำบากของการเดินทางได้แน่นอน!” เอสเธอร์พยายามโน้มน้าวด้วยเหตุผล และมันก็เป็นเรื่องจริงที่เธอน่าจะเป็นนักวิชาการที่เก่งเป็นอันดับสองของเมืองรองจากพ่อของเธอ
“เลิกดื้อรั้นเถอะน่า เด็กผู้หญิงแบบเธอควรไปตั้งใจเรียนหนังสือมากกว่านะ การเดินทางครั้งนี้ไม่มีที่ให้กับเธอหรอก ฟังที่พ่อของเธอพูดแล้วกลับบ้านไปซะ เราเสียเวลากันมามากพอแล้ว” ชายตัวใหญ่บึกบึนที่ตัดผมสั้นเกรียนอันเป็นสิ่งที่บอกว่าเขาเป็นทหารผู้นั่งอยู่ข้างประธานาธิบดีกล่าวด้วยความต้องการตัดบทและกลับไปประชุมกันต่อ
“ไม่เอาน่าเฮคเตอร์ ไม่เห็นต้องพูดกับเด็กแบบนั้นเลย” จอห์นหันไปตำหนิใส่ชายที่นั่งข้างเขา
“เลิกทำตัวเหยาะแหยะเถอะคอร์นีเลียส คุณก็น่าจะเข้าใจนะว่าการเดินทางนี้มันสำคัญและอันตรายแค่ไหน และมันไม่มีที่สำหรับเด็กหรอก” ชายที่ชื่อเฮคเตอร์ตอบคอร์นีเลียสโดยไม่แม้แต่จะหันมามองเอสเธอร์
“แต่ว่า...” เอสเธอร์พยายามจะหาเหตุผลมาสู้กลับ แต่เฮคเตอร์ทำเพียงแค่โบกมือไล่และสั่งทหารยาม
“พาตัวเธอออกไป เธอทำประโยชน์ให้กับเราในการเดินทางนี้ไม่ได้หรอก”
เอสเธอร์ก้มหน้าด้วยความผิดหวังขณะที่ทหารยามยึดไหล่เธอให้หมุนตัวเดินกลับไปที่ประตู
ตอนนั้นเองที่เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งพูดขึ้น
“แต่ผมคิดว่าเธอจะเป็นคนสำคัญของเราในการเดินทางครั้งนี้นะครับ”
ทุกคนในห้องหันไปมองเจ้าของเสียงรวมทั้งเอสเธอร์ผู้ซึ่งคุ้นหูกับเสียงอันเบื่อโลกแบบนั้นมากที่สุด
“คุณหมายความว่าไงกัปตันฮอลแลนด์?” เฮคเตอร์กล่าวถามชายผมเทาผู้ซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ
และชายคนนั้นหน้าตาเหมือนกับนักเดินทางผู้พันผ้าคอสีแดงเลือดที่เอสเธอร์พาเดินชมพิพิธภัณฑ์ไม่มีผิด
“ผมเชื่อว่าเธอมีความสามารถในฐานะนักวิชาการ, นักโบราณคดีและนักภูมิศาสตร์มากพอที่จะเป็นผู้ช่วยให้กับคุณอาเธอร์ของเราในการเดินทางครั้งนี้” เขายังพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อโลกเหมือนที่พิพิธภัณฑ์ไม่เปลี่ยนและนั่นดูจะทำให้คนรอบข้างหงุดหงิด โดยเฉพาะเฮคเตอร์
“คุณพูดเหมือนรู้จักกันงั้นแหละ เธอเป็นแค่เด็กเองนะ!” เฮคเตอร์โต้ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มที่
“ผมไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของเธอก่อนจะมาที่นี่ คุณผู้บัญชาการเฮคเตอร์ ผมต้องบอกว่าเธอรู้ตำแหน่งเมืองเกือบทั้งหมดในโลกสิ้นแสงอย่างถูกต้อง เธอรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเกือบทุกอารยธรรมที่เรารู้จัก เธอรู้แม้แต่ระบบการทำงานของเครื่องยนต์กลไกเรือดำนำ้รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่กองทัพของคุณใช้ เธอประกอบแบบจำลองตอร์ปิโดสังเคราะห์ที่คุณใช้ได้ถูกต้องด้วยซ้ำ และผมไม่คิดว่าแม้แต่คุณจะรู้เรื่องประวัติการจมเรือในสงครามได้เท่าเธอด้วยซ้ำนะ”
เฮคเตอร์และเอสเธอร์หน้าแดงพอกัน แต่คนหนึ่งเพราะกำลังโกรธจัดที่ถูกหยาม ในขณะที่อีกคนกำลังเขินที่ถูกชมให้คนทั้งห้องประชุมฟังเป็นชุด
“คุณคิดจะพาเด็กขึ้นเรือไปด้วยหรือยังไงกันฮอลแลนด์!? นั่นมันไร้สติชัดๆ!”
ฮอลแลนด์แทบไม่เปลี่ยนสีหน้า
“คุณเป็นผู้บัญชาการกำลังพลประจำเรือ ส่วนผมเป็นกัปตันของเรือดำน้ำที่พวกคุณจะใช้ ดังนั้นผมมีสิทธิ์เลือกลูกเรือของผมนะ” เขาหันมาหาเอสเธอร์เป็นครั้งแรกหลังพูดจบ
“ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดเป็นการตัดสินใจของเธอเพียงผู้เดียว ว่ารับความเสี่ยงและอันตรายรวมทั้งความลำบากที่จะเกิดในการเดินทางไหวหรือไม่ แต่ผมยืนยันที่จะให้เธอฟังรายละเอียดของภารกิจครั้งนี้ก่อนตัดสินใจ”
ทั้งห้องเงียบกริบหลังฮอลแลนด์พูดจบ อาเธอร์มีสีหน้างุนงงไม่อยากเชื่อ จอห์น คอร์นีเลียสมองมาที่เอสเธอร์อย่างทึ่งๆ ส่วนเฮคเตอร์ทำเพียงแค่มองฮอลแลนด์อย่างอาฆาต
ส่วนเอสเธอร์นั้นดีใจมากที่มีคนเห็นความสามารถของเธอโดยไม่มองเธอเป็นแค่เด็ก ที่สำคัญกว่านั้น คือให้โอกาสเธอตัดสินใจในการเข้าร่วมการสำรวจลับสุดยอดของประเทศ
“เป้าหมายการสำรวจคืออะไรงั้นเหรอคะ?” เอสเธอร์ถามสิ่งที่สงสัยอยู่ที่สุดออกไป
จอห์น คอร์นีเลียสมีสีหน้าราวกับกำลังชั่งใจว่าจะบอกเธอดีหรือไม่
“สิ่งที่ฉันจะพูดคือความลับสุดยอดที่ไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้ เราจะให้โซเวียตได้ข้อมูลนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด เธอเข้าใจใช่ไหม?” เขาถามเธอ
เอสเธอร์พยักหน้าหนักแน่น
“คุณจะบอกเธอจริงๆ งั้นเหรอ?” เฮคเตอร์ถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“ถ้าเธอตัดสินใจไม่เข้าร่วมหลังฟังรายละเอียดภารกิจ เราจะส่งทหารไปคอยจับตาดูเธอจนกว่าการสำรวจจะเสร็จสิ้น เธอโอเคไหม?” ประธานาธิบดีถามยืนยัน และเอสเธอร์พยักหน้าหนักแน่นอีกครั้ง ขณะที่พ่อของเธอเอามือกุมหัวพร้อมกับสีหน้ายอมแพ้
“งั้นเรากลับมาคุยกันต่อได้ ภารกิจของเราคือการสำรวจใต้ทะเลลึก เธอรู้จักอะบิสดีแค่ไหน?” ฮอลแลนด์หันมาถามเอสเธอร์
“มันคือระดับความลึกที่ลึกเกิน 5,000 เมตร” เอสเธอร์ตอบราวกับท่องจำมา
ฮอลแลนด์พยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะพูดต่อ
“เราเชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ที่อะบิส และมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีมนุษย์อยู่ที่นั่น”
เอสเธอร์ตะลึงกับข้อมูลที่ได้รับ “แต่นั่นมัน...”
“เป็นไปไม่ได้ เธอพูดเหมือนกับพ่อของเธอเลย” ประธานาธิบดีจบประโยคให้เอสเธอร์ก่อนหันไปขยิบตาให้อาเธอร์
“ก็เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้จริงๆ น่ะสิครับ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแสงหรืออากาศเลย ที่ความลึกระดับนั้นวาฬยังอยู่ยากเลย ถ้ามีมนุษย์อยู่ที่ความลึกระดับนั้น ก็จะโดนบีบจนเละจากความดันของน้ำหนักของน้ำ” ดูเหมือนว่านี่จะเป็นประเด็นที่พ่อของเธอโต้เถียงอยู่ตอนที่เอสเธอร์เข้ามาขัดจังหวะพอดี
“คุณลองฟังสิ่งที่ผมจะบอกให้จบดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจเรื่องนั้น” จอห์น คอร์นีเลียสตอบเสียงเรียบก่อนจะเล่าต่อ เมื่อเห็นว่าทุกคนในห้องเงียบกันหมดแล้ว
“ที่นิวอะแลสกาได้มีการเริ่มขุดเจาะลึกลงไปใต้แผ่นน้ำแข็งเพื่อหาแหล่งน้ำมันใหม่ตามคำสั่งของผม พวกเขาขุดลงไปจากระดับพื้นดินสามพันเมตรโดยไม่พบอะไร ก่อนที่จะลองขุดลึกลงไปอีก...”
คอร์นีเลียสเว้นจังหวะ เอามือสองข้างวางประสานไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเล่าต่อ
“ตอนที่ขุดไปถึงระดับความลึกห้าพันเมตรจากพื้นผิว เครื่องขุดเจาะของพวกเขาก็ทำงานผิดปกติ มันเจาะไม่โดนน้ำแข็งอีกต่อไป ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเครื่องขุดเสียจึงลองดึงเครื่องขุดขึ้นมาตรวจสอบและพบว่ามันทำงานเป็นปกติ ตอนนั้นพวกเขาจึงคิดว่า พวกเขาขุดไปเจอโพรงขนาดใหญ่ที่ระดับความลึกห้าพันเมตร ดังนั้นพวกเขาจึงลองส่งเครื่องสแกนโซนาร์ลงไป และพบว่ามันไม่ใช่โพรง แต่เป็นจุดสิ้นสุดของแผ่นน้ำแข็ง และข้างล่างนั่นคือทะเลที่อยู่ใต้แผ่นน้ำแข็ง ตอนนั้นพวกเขาคิดว่ามันอยู่ใกล้กับพื้นถ้ำเหมือนกับจุดอื่นๆ ที่พวกเขาขุดกัน เลยส่งเรือดำน้ำขนาดเล็กควบคุมด้วยรีโมตกับกล้องลงไปเพื่อตรวจดูว่าพื้นถ้ำอยู่ลึกลงไปอีกแค่ไหน... แต่พวกเขาไม่เจอมัน ไม่เจอพื้นถ้ำเลยไม่ว่าจะดำลงไปลึกแค่ไหน จนกระทั่งเมื่อดำลงไปถึงความลึก 6,000 เมตรจากพื้นผิว ซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่เรือดำน้ำนั่นจะไปได้ พวกเขาก็พบกับบางสิ่ง”
ทุกคนในห้องเงียบสนิท เอสเธอร์รู้สึกถึงอารมณ์แปลกๆ ผสมปนเปในตัวเอง ทั้งความอยากรู้ ความสงสัย และอารมณ์หนึ่งซึ่งซึมซาบขึ้นมาจากส่วนที่ลึกที่สุด ความกลัว กลัวในบางอย่างที่ไม่รู้จักและอธิบายไม่ได้ เธอเชื่อว่าทุกคนในห้องต่างรู้สึกเหมือนกันขณะกำลังฟังเรื่องราวการค้นพบแสนลึกลับนี้
กลัวในบางสิ่งบางอย่าง...
“กล้องของพวกเขาพบอะไรงั้นเหรอครับ?” อาเธอร์ถามอย่างอดรนทนไม่ไหว
จอห์น คอร์นีเลียสกระแอมอย่างอึดอัด ก่อนจะเล่าต่อ
“กล้องของพวกเขาไม่เจออะไรหรอก ไม่มีอะไรทั้งนั้นที่ความลึกระดับนั้นนอกจากความมืด”
“แล้วถ้างั้น?” ประธานาธิบดียกมือตัดบทความสงสัยของพ่อเธอราวกับจะบอกว่าให้ฟังให้จบก่อน
“พอดีว่ากล้องของเรือลำนั้นมีระบบบันทึกเสียงด้วย ตอนที่พวกเขานำมันขึ้นมาตรวจสอบก็นึกว่าเป็นเสียงที่ดังมาจากในเมือง แต่พอฟังดีๆ แล้วพวกเขาก็พบว่ามันเป็นเสียงที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ประธานาธิบดีหยิบกล่องสี่เหลี่ยมเล็กพอๆ กับกระดาษหนึ่งหน้าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาถือและหยิบบางอย่างที่อยู่ภายในออกมาก่อนจะหย่อนมันลงใส่เครื่องมือขนาดใหญ่ที่มีปากกรวยอยู่ด้านบน ซึ่งเอสเธอร์รู้ว่ามันคือเครื่องเล่นเทปจากการอ่านหนังสือแนะนำเทคโนโลยีจากโลกเก่า
“นี่คือเสียงนั้น” ประธานาธิบดีพูดพร้อมกับกดปุ่มเล่น
เสียงดังกริ๊กดังขึ้น พร้อมกับเสียงขูดขีด และเสียงที่เหมือนชอล์กขูดกระดาน หลังจากนั้นก็เงียบ แต่เอสเธอร์รู้ได้ว่าเป็นเสียงจากเรือดำน้ำเพราะมีเสียงฟองอากาศแตกตัวดังแทรกมาเป็นระยะ
ไม่มีเสียงใดในห้องนอกจากเสียงจากเครื่องนั้นเป็นเวลาราวห้านาที แต่เอสเธอร์รู้สึกเหมือนเป็นชั่วโมง มันเป็นห้านาทีแห่งการรอคอยที่ยาวนานและลุ้นที่สุดของเธอ
“พวกเขาเจออะไรกันแน่?” เธอพูดเสียงเบาจนมีแต่ตัวเองที่ได้ยิน
และราวกับจะตอบคำถามนั้น เธอก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ไม่ใช่เสียงน้ำและฟองอากาศ
บางอย่าง ที่ไม่มีวันที่จะไปอยู่ที่ความลึกระดับนั้นได้
เอสเธอร์รู้สึกราวกับอุณหภูมิห้องลดลงไปหลายองศา ตอนที่เธอหันไปมองพ่อของเธอ เอสเธอร์ก็รู้ได้ว่าตนเองก็คงกำลังทำสีหน้าแบบเดียวกับพ่อของเธออยู่
ไม่ใช่สีหน้าของความดีใจ
ไม่ใช่แม้แต่สีหน้าของความตกใจในการค้นพบ
มันเป็นสีหน้าของความหวาดกลัว
เพราะเอสเธอร์มั่นใจว่าเธอเคยได้ยินเสียงที่กำลังดังออกมาจากเครื่องเล่นตอนนี้มาก่อนแล้ว
จะพูดให้ชัดแล้ว เธอเพิ่งฟังเสียงนี้ไปเมื่อตอนเช้านี่เอง
เสียงของเครื่องดนตรีที่ไม่มีในโลกสิ้นแสงนี้อีกแล้ว
แต่มันกำลังดังมาจากจุดที่ลึกที่สุดที่มนุษย์เคยรู้จัก
เสียงเปียโนซึ่งกำลังเล่นเพลงโซนาตาแสงจันทร์
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!