NovelToon NovelToon

เหนือปราณเหนือมานา

ตอนที่ 1 ผู้ฝึกตน

ผู้คนในโลกนี้ ในวัยห้าขวบปีจะไดเรับเลือกอาชีพที่ตนจะเป็นในอนาคต อาชีพที่แต่ละคนได้รับมานั้นจะแตกต่างกันไป แต่บางคนอาจจะได้อาชีพที่เหมือนหรือคล้ายกัน

แต่ทั้งนี้ ตัวชี้วัดว่าแต่ละคนจะได้อาชีพอะไรก็จะเกี่ยวข้องกับพ่อแม่หรือบรรพบุรุษของพวกเขาด้วย

ยกตัวอย่างเช่น พ่อคือช่างตีเหล็ก แม่คือผู้จดจำ ลูกที่ออกมาก็อาจจะได้อาชีพช่างตีเหล็ก แต่ก็จะมีพรสวรรค์ด้านการคิดรอบคอบละเอียดลออ หรือบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นปรมาจารย์แห่งดาบ ลูกหลานที่เกิดออกมาก็มีโอกาสที่จะได้รับอาชีพจอมดาบหรือปรมาจารย์แห่งดาบด้วยเช่นกัน

และในรอบห้าปีนี้ ที่หมู่บ้านไทรันได้มีการเลือกอาชีพให้เด็กๆเกิดขึ้น หนึ่งในเด็กพวกนั้นมีเด็กหนุ่มที่แสนจะธรรมดาผู้หนึ่งอยู่ นามของเด็กหนุ่มคนนี้คือได้นัส พ่อของเขามีอาชีพเป็นช่างแกะสลักไม้ และอาชีพของแม่เขาคือจอมพลัง

คิดไปแล้วก็แปลกประหลาดนัก จนถึงตอนนี้ไดนัสก็ยังคิดว่าพ่อและแม่ของเขาเข้ากันได้ยังไง ทั้งๆที่อาชีพนั้นแตกต่างกันสุดขั้วเลย

หมู่บ้านไทรัน บ้านของได้นัส

สำหรับช่วงเช้าของวันนี้ เรียกได้ว่าเป็นวันที่หมู่บ้านคึกคักมากที่สุดที่ในรอบห้าปี และในบ้านแห่งหนึ่งนั้น ครอบครัวที่มีสามคนพ่อแม่ลูกก็กำลังคึกคักและตื่นเต้นกับสถานการณ์ตอนนี้เช่นกัน

ผู้เป็นบิดามองไปที่บุตรของตน และกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า"ไดนัส วันนี้ลูกจะได้รับเลือกอาชีพแล้ว รู้มั้ยว่าพ่ออยากให้ลูกได้อาชีพอะไร อาชีพที่พ่ออยากให้ลูกได้รับก็คือช่างตีเหล็กที่เก่งฉกาจแบบพ่ออย่างไรล่ะ"

เด็กหนุ่มไดนัสได้ยินแบบนั้นก็โวยวายออกมาทันที"โถ่พ่อ~~ช่างตีเหล็กมันน่าเบื่อ ตลอดทั้งวันก็เอาแต่นั่งตีเหล็ก หลอมเครื่องมือ แถมยังต้องอยู่หน้าเตาไฟร้อนๆนั่นอีกด้วย แบบนั้นไม่เอา ไม่เอาเด็ดขาด!"

พ่อกับแม่ของได้นัสกระพริบตาปริบๆ พวกเขาหันหน้ามามองกันและกัน จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะลั่นออกมาทันที

"ฮ่าฮ่าฮ่า! ลูกพ่อการจะเป็นช่างตีเหล็กมันออกจะสบายมากเลยนะ อีกอย่างลูกก็ไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้กับสัตว์อสูรพวกนั้นให้ลำบากชีวิตอีกด้วย แถมในตอนที่อาณาจักรเกิดสงครามขึ้น ช่างตีเหล็กเนี่ยแหละคือหนึ่งในแรงงานสำคัญที่จะทำให้พวกทหารได้มีอาวุธใช้ในการทำศึกประหยัดประหารกัน"ดีกัสพ่อของไดนัสกล่าวออกมาพลางชำเลืองมองไปยังภรรยาของตน จากนั้นจึงวกกลับมายิ้มร่าให้กับลูกชายของตน

ลีน่าครั้นเห็นว่าสามีของตนชำเชืองมาที่ตัวเอง นางก็กล่าวเสริมคำพูดของดีกัสทันที

"ใช่แล้วล่ะได้นัส การได้เป็นช่างตีเหล็กมันสบายกว่าการได้เป็นอาชีพพวกช่วยเหลือคนจำนวนมากในทีเดียวหรือแต่ละวันก็ทำแค่ภารกิจที่ถูกร้องขอมาเสียอีกนะ อีกอย่างพอลูกได้อาชีพเป็นช่างตีเหล็กก็อาจจะเป็นช่างตีเหล็กที่มีพละกำลังไร้ขีดจำกัด เนื่องจากได้รับพรจากอาชีพของแม่ส่วนหนึ่งก็ได้นะ"ลีน่ากล่าวพลางยิ้มแย้ม ราวกับบุปผาบานสะพรั่งที่เลิศล้ำประดุจบุปผาแห่งเทพธิดา

ไดนัสเผยสีหน้าเหยเกทันที จากนั้นจึงเดินออกจากบ้าน เขาไม่ได้พูดอะไร ส่วนทางดีกัสและลีน่านั้นก็คิดว่าลูกชายของตนโกรธพวกตนเข้าให้แล้ว

เด็กหนุ่มเดินออกจากบ้านไป ทิศทางที่มุ่งห้าไปก็คือจุตรัสของหมู่บ้าน เพราะที่แห่งนี้จะใช้ในการให้เหล่าเยาวชนตัวน้อยทั้งหลายถูกเหล่าเทพธิดา,พระเจ้า,เทพแท้จริง,จอมมาร,จ้าวปีศาจ,ราชันอสูร,และตัวตนอันยิ่งใหญ่อีกมากมายประทานอาชีพให้ยังไงล่ะ

ส่วนพ่อกับแม่ของเด็กหนุ่มไดนัสนั้นก็เดินตามมาอย่างติดตรึงราวกับปลิงดูดเลือดที่เงียบงัน

หลังจากเดินมาใกล้กับจตุรัสของหมู่บ้านแล้ว ที่แห่งนี้นั้นคึกคักอักโข เด็กหนุ่มสาวตัวน้อยต่างอยู่ในสภาวะอารมณ์ตื่นเต้นถึงขีดสุด เพราะวันนี้พวกเขาก็จะได้รับพรที่เรียกว่า'อาชีพ'แล้ว

ทุกคนในโลกใบนี้ต่างต้องมีอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์อะไรก็ตาม ส่วนผู้ประทานพรนั้นก็คือตัวตนอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขานับถือ ตัวอย่างคือ ถ้าเป็นเผ่ามนุษย์ตัวตนอันยิ่งใหญ่นั้นก็คือเหล่าทวยเทพและเทพธิดาอันสูงส่ง เผ่าของสัตว์อสูรก็เป็นราชันอสูร เผ่ามารก็จะเป็นจอมมาร เผ่าปีศาจก็เป็นจ้าวปีศาจซึ่งเป็นประมุขของเหล่าปีศาจทั้งหลาย

จริงๆแล้วในโลกใบนี้ไม่อาจมีใครรู้ได้ว่า เผ่าพันธุ์ที่ดำรงอยู่มีเท่าไหร่กันแน่ แต่พวกเขาก็ไม่สนใจเพราะแค่ความขัดแย้งในเผ่าพันธุ์ของตนก็มากพอที่จะไม่สนใจสิ่งอื่นแล้ว

ที่ตรงกลางของจตุรัสนั้น ปรากฏเป็นกลุ่มทหารสวมเกราะเบาและหนัก ตรงหน้าสุดเป็นนักบวชชายวัยกลางคนผู้มีหน้าตายิ้มแย้มผู้หนึ่งยืนอยู่ ณ ตรงนั้น

แต่ก่อนที่ไดนัสจะเข้าไปขอให้นักบวชหน้าตาใจดีนำพรของทวยเทพมาเลือกอาชีพให้เขา ก็ได้มีเด็กสาวที่หน้าตาอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาวิ่งเข้ามาหาซะก่อน

"ไดนัสสสส! รอข้าก่อนสิ เจ้าจะเลือกอาชีพก่อนสุภาพสตรีแบบข้าไม่ได้นะ! นี่ได้นัสฟังอยู่ไหม!?"เสียงของเด็กสาวผู้นั้นตกกระทบลงบนหูของไดนัส เด็กหนุ่มรีบหันหน้าไปตามต้นเสียง และสิ่งที่เขาพบก็คือเพื่อนเล่นของเขา...เห็นนี่

เฟนนี่นั้นสนิทกันกับไดนัสมานานแล้ว ทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่สามปีที่แล้ว ถึงแม้จะแค่สามปี แต่มิตรภาพสำหรับเด็กนั้นช่างก่อตัวเร็วเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นใช้เวลาไม่นานทั้งก็สนิทกันจนตัวติดกันในสองสัปดาห์แรกที่รู้จักกันเลยก็ว่าได้

"เฟนนี่? ฮ่าฮ่าฮ่า! สุภาพสตรีอย่างงั้นหรือ? ตอนนี้อายุของเจ้าเพิ่งจะห้าขวบ แล้วจะเทียบกับสตรีที่เติบโตแล้วอย่างแม่ของข้าได้อย่างไร อีกอย่างนะเฟนนี่เจ้าน่ะเพิ่งจะห้าขวบ ห้า-ขวบ"ไดนัสทักทายกลับ แต่ก็เป็นเชิงหยอกล้อ ในขณะที่พูดหยอกล้อนั้นมุมปากของเด็กหนุ่มก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

ได้ยินโยคเชิงหยอกล้อว่าตนอายุแค่ห้าปีแบบนั้น เห็นนี่ก็ทำแก้มตุ่ยแล้วโต้กลับทันที"หึ! อย่างนายน่ะได้นัส อายุแค่ห้าปีเหมือนกันแท้ๆ แต่กลับทำโตเหมือนพวกผู้ใหญ่น่ารำคาญเสียได้ หึ!"

เด็กหนุ่มส่ายหน้าที่ได้ยินอย่างนั้น เขาไม่หยอกล้ออีกต่อไป หันหน้าไปทางนีกบวช จากนั้นจึงกล่าวว่า"เอาละเฟนนี่ เลิกเล่นได้แล้ว วันนี้คือวันที่พวกเราจะได้เลือกอาชีพนะ ซึ่งในความคิดของข้าเจ้าควรจะได้รับพรขององค์เทพก่อน"

"จริงรึ? ฮ่าฮ่า! ขอบคุณสำหรับมารยาทนะไดนัส"เฟนนี่ตอบกลับไป สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนจากหน้าบุ้ยเป็นยิ้มร่าทันที หลังจากที่ตอบไดนัสกลับไปเฟนนี่ก็ไม่รอช้า วิ่งห้อเข้าไปหานักบวชทันที

นักบวชผู้นั้นครั้นเห็นเด็กสาวห้าขวบปีวิ่งเร็วเข้ามา เขาก็รู้ว่าหน้าที่ของตนได้เริ่มแล้ว ยิ่มเล็กน้อยและทักทายว่า"เอาละเด็กสาวตัวน้อย ถ้าปรารถนาจะรับพรจากองค์เทพ ก็จงไปสุ่มที่ลูกแก้วมรกตสีฟ้านั่นเลย วิธีคือเอามือทั้งสองข้างไปแตะที่ลูกแก้วนั่น จากนั้นก็ให้พูดคำว่า"สเตตัส"นะ และมันก็จะบอกเองว่าเจ้าได้รับพรเป็นอาชีพอะไร"

เฟนนี่ฟังคำอธิบายของนักบวชผู้นั้นพลางผงกศีรษะตาม เมื่อฟังจบแล้วเด็กสาวก็เดินไปทางลูกแก้วมรกตสีฟ้าที่อยู่ข้างนักบวชคนนั้น แล้วเอามือทั้งสองข้างแตะลงไป

วิ้งงง!

แสงวาบผ่านลูกแก้วไป เฟนนี่รู้แล้วว่ากระบวนการให้พรเสร็จสิ้นแล้ว จึงถอยออกมาแล้วพูดว่า"สเตตัส"ด้วยความตื่นเต้นและคาดหวังเปี่ยมล้น

ชื่อ:เฟนนี่

อายุ:5 ปี

สายเลือด:มนุษย์ปกติ

อาชีพ:ผู้กล้า

สกิลติดตัว:กล้าหาญไร้วันเกรง,ร่าเริงดุจบุปผาสะพรั่ง

ทักษะ:ยังไม่ได้เรียน

เฟนนี่ตาโตทันทีที่ได้เห็นอาชีพของตน เด็กสาวหันไปมองนักบวชแล้วตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น

"ผู้กล้าละ! ข้าได้รับพรอาชีพเป็นผู้กล้าเจ้าค่ะท่าน นักบวช!"

ผู้คนที่อยู่แถวนั้นถึงกับตะลึง นักบวชวัยกลางคนเองก็เริ่มมือสั่นทันทีที่ได้อาชีพของเด็กสาว

"ไหนเด็กน้อย มาให้ตรวจสอบหน่อยสิ"

นักบวชก้าวเดินไปหาเฟนนี่ซึ่งอยู่ห่างไปแค่เล็กน้อยเท่านั้น แล้วนำมือข้าวขวาที่เริ่มมีแสงสีทองส่องสว่างออกมาไปแตะที่หัวของเฟนนี่ เด็กยินยอมให้นักบวชผู้นั้นนำมือมาแตะที่หัวของตนพร้อมกับทำหน้าตายิ้มแย้ม

ผ่านไม่กี่วินาที นักบวชผู้นั้นก็ชักมือกลับมาพร้อมกับลมหายใจที่ถี่กระชั้น

"เรื่องจริง เด็กสาวคนนี้คือผู้กล้า นางได้รับพรให้เป็นผู้กล้า ฮ่าฮ่าฮ่า! มนุษยชาติมีความหวังที่จะต่อกรกับพวกเผ่าปีศาจแล้ว!!"

ทหารที่มากับพวกนักบวชนั้นอดทนไม่ไหวแล้วตั้งแต่ที่ได้ยินว่าเด็กสาวตัวน้อยตรงหน้าได้รับพรเป็นอาชีพผู้กล้า จากนั้นพอได้ฟังนักบวชวัยกลางคนยืนยันว่านางได้รับพรเป็นอาชีพผู้กล้าที่แท้จริง ก็รีบพากันกรูเข้ามามุงดูทันที

เห็นเหล่าทหารสวมเกราะหนักวิ่งเข้ามารุมล้อมตนแบบนี้ เด็กสาวก็ส่งเสียงกรี๊ดและถอยหลังออกไปด้วยความตกใจทันที

นักบวชวัยกลางคนฉงนไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะเสียงดังแล้วเดินเข้าหาเฟนนี่พร้อมกับทำท่าทางให้เหล่าทหารหาญถอยออกไป หันหน้ามาทางเฟนนี่แล้วจากนั้นก็กล่าวปลอมใจด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม"ไม่ต้องกลัวหรอกหนูน้อย ทหารหาญพวกนี้ก็แค่ตื่นเต้นที่ได้ยินว่าเจ้าได้รับพรเป็นอาชีพผู้กล้าก็แค่นั้น อีกอย่างที่ข้าอยากจะบอกเจ้าก็คือว่า เจ้าน่ะมีโชคอย่างมากที่ได้รับพรเป็นอาชีพผู้กล้ามา ส่วนเหตุผลนั้นก็คือว่าผู้กล้านั้นจะปรากฏตัวออกมาแค่หลายพันปีหรือหลายหมื่นปีต่อหนึ่งคนเท่านั้น"

นักบวชวัยกลางคนพูดปลอบใจ และกล่าวเรื่องที่สำคัญอย่างมากสำหรับอาชีพผู้กล้า เพราะผู้กล้านั้นแท้จริงแล้วใครผู้ใดคนไหนก็บอกว่าจะเป็น ก็จะเป็นได้หรือ?

ดังนั้นสำหรับอาชีพผู้กล้าในตอนนี้นั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องการอย่างมาก สาเหตุมันก็เนื่องมากจากว่า การรุกรานของเผ่าปีศาจ เผ่ามาร และสัตว์อสูร

ทำมันเริ่มทำสงครามกับมนุษย์อย่างรุนแรงตั้งแต่สิบหกปีที่แล้ว ส่วนเพราะอะไรนั้น ก็ไม่ใครสามารถบอกได้ แต่ที่แน่ใจในตอนนี้ก็คือว่า ได้มีอาณาจักรประมาณสามถึงสี่แห่งได้ล่มสลายไปแล้ว ราชวงศ์ที่ปกครองอาณาจักรที่กลายเป็นหน้าประวัติศาสตร์พวกนี้นั้น ก็เกิดการสูญที่แสนสาหัสขึ้น บางราชวงศ์ถึงกับถูกล้างบางจนเหี้ยน บางราชวงศ์ก็ยังเหลือผู้สืบเชื้อสายไว้ให้ดำรงค์อยู่

แต่แน่ใจในตอนนี้เลยก็คือว่า พวกเขาได้กลายเป็นพวกเร่ร่อนไปแล้ว หรืออาจจะขึ้นเขาเข้าป่าไปเพื่อออกห่างจากความเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

เฟนนี่ตาเป็นประกายยิ่งกว่าเดิม นางหันหน้ามาทางไดนัส แล้วฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา จากนั้นจึงเดินผ่านไดนัสไป

ไดนัสหันหน้ามองนางที่เดินไปอยู่ใกล้กับนักบวชด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมาแล้วเดินไปที่ลูกแก้วมอบพรทันที เขายื่นมือออดไปแตะมัน จากนั้นแสงก็สว่างวาบขึ้นมา.....

ชื่อ:ไดนัส(เยาหวังเล่อ)

อายุ:5 ปี

สายเลือด:จักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์(ยังไม่ตื่น)

อาชีพ:ผู้ฝึกตน

ไอเทมผูกมัด:ไม่มี

สกิลติดตัว:ใจเย็นดั่งเหมันต์เลือดเย็นดั่งปีศาจ

ช่องเก็บของ:ไม่มีวัตถุที่เก็บไว้

ด่านฝึกตน:ขอบเขตปราณเริ่มต้นขั้นที่ 1

เคล็ดวิชาที่ได้เรียนรู้:ยังไม่ได้เรียน

ทันใดนั้นไดนัสพลันรู้สึกว่าเลือดลมกำลังเดือดพล่าน ภาพตรงหน้าบิดเบี้ยว จิตและวิญญาณราวกับผ่านเหตุการณ์มากมาย ต่อจากนั้นเขาจึงรู้สึกได้อีกว่าพละกำลังของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นมา

สองถึงสามเท่า!

'ติ๊ง!...สายเลือด:จักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์ได้รับการปลุกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ตามสัญชาตญาณ เด็กหนุ่มก็ทำการเปิดระบบขึ้นมาทันที ซึ่งมันก็มีบางสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม

ชื่อ:ไดนัส(เยาหวังเล่อ)

อายุ:5 ปี

สายเลือด:จักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์(ปลุกแล้ว)

อาชีพ:ผู้ฝึกตน

ไอเทมผูกมัด:ไม่มี

สกิลติดตัว:ใจเย็นดั่งเหมันต์เลือดเย็นดั่งปีศาจ

ช่องเก็บของ:ไม่มีวัตถุที่เก็บไว้

ด่านฝึกตน:ขอบเขตปราณเริ่มต้นขั้นที่ 1

เคล็ดวิชาที่ได้เรียนรู้:ยังไม่ได้เรียน

นัยน์ตารวมศูนย์จ้องเขม็งไปทางชื่อ สายเลือด ทั้งยังอาชีพและด่านฝึกตนนั่นอีก เด็กก็พึมพำออกมาเบาๆ"เยาหวังเล่อ...จักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์...ผู้ฝึกตน...และด่านฝึกตน? มันคืออะไรกัน?"

ตอนที่ 2 ของตกทอดจากบรรพบุรุษ

นักบวชวัยกลางคนเดินเข้ามาหาไดนัส เพราะเขารู้ว่าไดนัสนั้นได้รับพรเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเด็กที่จะต้องมารับพรนั้นตามปกติแล้วก็จะต้องใช้เวลาประมาณสิบวินาที

เมื่อเดินมาจนกระทั่งห่างจากเด็กหนุ่มไปสองเมตร เขากล่าวขึ้นมาด้วยเสียงราบเรียบ"ได้อาชีพอะไรล่ะเจ้าหนู"

ไดนัสที่เริ่มฟื้คืนจิตใจนจากปริศนา'นั้น'แล้ว ก็หันหน้ากลับมาแล้วด้วยเสียงใสว่า"ข้าได้ฮาชีพ[ผู้ฝึกตน]ขอรับ"

อุ๊ปส์!

เด็กห้าขวบที่ต่อแถมกันเจ็ดแปดคนพลันหลุดขำทันที หนึ่งในนั้นโพล่งออกมาว่า"เจ้าได้อาชีพ'ผู้ฝึกตน'? ฮ่าฮ่าฮ่า ฝึกตนเรอะ!? ข้าเพิ่งจะเคยได้ยินอาชีพที่น่าหัวเราะขนาดนี้มาก่อนเลย ฮ่าฮ่า! เจ้าจะ'ฝึกตน'จนเก่งกาจอย่างงั้นเรอะ มีใครบ้างล่ะที่ไม่ฝึกตนเพื่อความแข็งแกร่งหรือเพื่อฝีมือกันบ้าง?"

เมื่อมีหนึ่ง สองสามสี่ก็ต้องตามา

"ใช่เลย! ทุกคนก็ฝึกตนเพื่อพัฒนาฝีมือกันทั้งนั้นแหละ แต่เจ้ากลับได้อาชีพผู้ฝึกตนเนี่ยนะ? ข้าอยากรู้จริงๆเลยว่าเจ้าจะพัฒนาตนเองยังไงกันแน่"

"ฮ่าฮ่าฮ่า กล่าวได้ดีสหาย ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าหมอนั่นจะทำยังไงเพื่อพัฒนาฝีมือกันแน่ หรือว่าอาชีพผู้ฝึกตนของหมอนั่นจะเพิ่มความเร็วในการพัฒนาอย่างงั้นรึ? ข้าว่าเป็นไม่ได้แน่"

เด็กหนุ่มได้ยินแบบนั้นหน้าของเขาก็เริ่มเผยความเย็นชาออกมาทันที แต่ทว่าก็สามารถกลับไปเป็นหน้าตาเรียบเฉยดังเดิมได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนเหตุที่เด็กห้าขวบสามารถเก็บอาการได้ดีแบบนั้นน่ะหรือ? ก็เพราะสกิลติดตัวที่ชื่อว่า[ใจเย็นดั่งเหมันต์เลือดเย็นดั่งปีศาจ]อย่างไรล่ะ

นักบวชวัยกลางคนไม่พูดอะไร เขาเดินไปหาพ่อและแม่ของเฟนนี่แทน แต่ตอนที่นักบวชหันหลังไปนั้นไดนํากลับสังเกตได้ว่า แววตานั้นมีความเหยียดหยันเจืออยู่เล็กน้อย

ณ เวลานั้นจิตใจของเด็กหนุ่มก็เริ่มเย็นชาขึ้นมาทันที!

เขาไม่สนใจคำกล่าวเย้ยหยันของเด็กวัยเดียวกัน แล้วจากนั้นออกมาจากลูกแก้วรับพร แล้วตรงดิ่งเข้าไปหาพ่อและแม่ทันที

พ่อและแม่ของเด็กหนุ่มก็เริ่มกังวล เพราะลูกของพวกเขายังเด็ก ซึ่งเด็กปกติมาเจอแบบนี้คงต้องจิตตกไปหลายวันแน่นอน แต่ความคิดนี้ก็หายไปทันทีเมื่อไดนัสมาหยุดอยู่ข้างหน้าพวกเขาทั้งสอง ทั้งสองสัมผัสได้จากแววตาลูกของพวกตนทันทีว่า"ไร้ระลอกคลื่นผันผวน"แม้แต่น้อย

จากกังวลก็กลายเป็นโล่งอก ผู้เป็นพ่อก็กล่าวขึ้น"เอาอย่างนี้ไหมลูกพ่อ ต่อจากนี้ลูกมาเรียนเรื่องของช่างตีเหล็กจากพ่อเถอะ แล้วเราก็จะได้รู้กันว่าอาชีพผู้ฝึกตนของลูกนั้นเป็นอย่างไร"

ได้ยินแบบนี้แม่ของได้นัสก็ไม่น่อยหน้าเช่นกัน นางโพล่งออกมาทันทีที่ดีกัสกล่าวจบ"เหอะ! เขาจะไปเรียนเรื่องการตีเหล็กอะไรจากคุณได้ล่ะ อายุก็เพิ่งจะห้าขวบเอง รอจนเขาโตกว่านี้สักสามสี่ปีไม่ได้หรือ?"จากนั้นจึงหันหน้ามามองบุตรของตน"ลูกมากเรียนกับแม่ดีกว่า แม่มีอาชีพเป็นถึงจอมพลัง เพราะงั้นเรื่องการป้องกันตัวและศักยภาพทางร่างกายของลูกต้องดีอย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็ค่อยไปเรียนเรื่องของช่างตีเหล็กกับพ่อเป็นไง?"

ไดนัสส่ายหน้าทันที"ท่านพ่อ ท่านแม่ ตอนนี้ข้าขออยู่อย่างเงียบๆสักสองถึงสามวันได้หรือไม่?"

ทั้งสองไม่คิดว่าบุตรของพวกตนจะตอบมาแบบนี้ พวกเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนในคำพูดนั้น แต่ก็อดเป็นกังวลไม่ได้ ใครจะไปรู้ละว่าบุตรของพวกตนอาจกำลังจิตตกก็เป็นได้ หลังจากทั้งสองไตร่ตรองแล้ว ก็หันหน้ามามองกันแล้วตอบไปว่า"ได้"

คำสั้นๆหนึ่งคำ แต่หารู้ไม่ว่านั่นถือเป็นหนึ่งในก้าวที่สำคัญที่สุดของไดนัส!

ตั้งแต่ตอนที่ไดนัสก้าวออกมาจากลูกแก้วรับพร ตอนนั้นระบบของเขาก็เกิดบางอย่างขึ้น และมันพึ่งจะเสร็จตอนที่พ่อแม่อนุญาตเขาเอง

"ติ๊ง!...ระบบส่งเรื่องพื้นฐานให้กับคุณเสร็จสิ้น"

ใตอนนั้นเอง ความรู้เกี่ยวกับการฝึก การบ่มเพาะและ ฯลฯ ก็ปรากฏขึ้นมาในสมองของเด็กหนุ่ม เขาได้รู้ว่าไม่เพียงต้องฝึกร่างกายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังต้องกิน'โอสถ' 'สมุนไพร' เดินลมปราณใก้ครบวงจร ดูดซับน้ำวิเศษและรับสบทอดมรดกของผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย

ตอนนี้พ่อและแม่ของไดนัสนั้นหันมามองหน้ากัน เหมือนกับรู้ใจกันอยู่ จากนั้นจึงพยักหน้าพร้อมเพรียง แล้วนำไดนัสกลับบ้านไป

หลังมาถึงบ้านแล้ว สิ่งแรกที่ไดนัสทำก็คือสูดหายใจเข้าลึกๆ เด็กชายรู้สึกถึงอากาศที่สดชื่น แล้วจากนั้นจึงมองหาต้นไม้ พอหาได้แล้วจึงเดินไปนั่งใต้ต้นไม้ที่เลือกทันที

เขานั่งในท่าขัดสมาธิ มือซ้ายทับมือขวาจากนั้นจึงเริ่มทำตามข้อมูลพื้นฐานที่ระบบให้มานั่นก็คือการเดินลมปราณให้ครบวงจร

ส่วนบุพการีทั้งสองของไดนัสนั้น ตอนนี้ได้เดินเข้าบ้านไปแล้ว ราวกับไม่แม้แต่จะแปลกใจที่ลูกของพวกตนไปนั่งเข้าฌานณใต้ต้นไม้แบบนั้น

เวลาใหลผ่านไปอย่างรวดเร็วปานกระพริบตา

ห้านาที

สิบนาที

สามสิบนาที

หนึ่งชั่วโมง

สามชั่วโมง

ห้าชั่วโมง

หลังจากผ่านมาห้าชั่วโมงก็เข้าสู่ยามบ่ายแล้ว ไดนัสลืมตาขึ้นมา ห้าชั่วโมงที่ผ่านมานี้เขาสามารถโคจรลมปราณตามเส้นชีพจรได้สิบรอบ นับได้หนึ่งครั้งต่อสามสิบนาที และเขายังรู้สึกได้อีกว่า ด้วยวิธีนี้ทำใก้เขาเหลืออีกเก้าสิบในร้อยส่วนก็จะสามารถทะลวงไปยังอีกขั้นได้แล้ว ในความคิดของเด็กหนุ่ม [ขอบเขตปราณเริ่มต้น]ต้องมีมากกว่าขั้นที่ 1 อย่างแน่นอน

เหตุผลในตอนแรกที่เขาสูดหายใจหลังจากมาถึงบ้านนั้น ก็เพราะเพื่อวัดความเข้มข้นของมานานในที่แห่งนี้ และหลังจากที่เขาไปนั่งเข้าฌาณห้าชั่วโมง เขาได้ดูดซับมานาเข้ามา แต่ที่แปลกก็คือว่าหลังจากที่ดูดซับเข้ามาในเส้นชีพจนแล้ว มันกลับเปลี่ยนเป็นลมปราณทันที ในความคิดของเขานั้นมันต้องเป็นเพราะว่าอาชีพผู้ฝึกตนของเขาแน่นอน ส่วนหนึ่งนั้นอาจจะเป็นเพราะพรสวรรค์ตามธรรมชาติก็ได้

หลังจากย่อยความคิดแล้ว ไดนัสก็เดินกลับเข้าไปในบ้านของตนทันที เมื่อเข้ามาแล้ว สิ่งแรกที่สัมผัสได้ก็คือ.....กลิ่นของอาหารที่ชวนให้น่าหลงไหลยิ่งกว่าเงินห้าพันเหรียญ

ไม่รอช้าเด็กหนุ่มรีบเดินไปทางห้องครัวทันที เดินมาถึงแล้ว ภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็คือมารดาที่กำลังทำ'แกงฮังเล' ส่วนบิดานั้นก็กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะ ในมือถือดาบสั้นเล่มหนึ่งไว้ ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังวิเคราะห์หาข้อตำหนิของมันอยู่

ในตอนที่ไดนัสเดินมาถึงประตูของห้องครัว พ่อและแม่ของเขาก็สังเกตเห็นแล้ว เป็นพ่อที่เรียกให้เขามานั่งรอกินข้าว

*****

หลังจากกินข้าวเสร็จสัพแล้ว พ่อของไดนัสก็พูดขึ้นทันที พร้อมกับถือถุงสีน้ำตาลที่ดูเก่าแก่ออกมาวางบนโต๊ะไปด้วย"ไดนัส สิ่งที่พ่อจะกล่าวต่อไปนี้จงตั้งใจฟังให้ดี"เมื่อเห็นลูกของตนพยักหน้าแล้วก็ว่าต่อทันที"เมื่อนานมาแล้ว บรรพบุรุษของพวกเราได้มอบถุงที่เลอค่านี้ไว้ให้ ท่านได้บอกว่ามีแต่อาชีพผู้ฝึกตนหรือผู้คนจากโลกแห่งการบ่มเพาะเท่านั้นที่สามารถเปิดมันออกมาได้ และที่ผ่านมาตระกูลของเราได้ค้นหาลูกหลานที่ได้รับพรเป็นอาชีพผู้ฝึกตน ทว่าชะตาช่างเล่นตลกนัก มีแค่ท่านบรรพบุรุษเท่านั้นที่เป็น'ผู้ฝึกตน' แต่กลับลูกหลานนั้นไม่ปรากฏออกมาเลย"

เล่ามาถึงตรงนี้พ่อของเด็กหนุ่มก็เงียบไป เขามองไปที่ดวงตาลุ่มลึกของลูกชาย เมื่อก่อนนั้นดวงตานี้มักจะเปล่งประกายสดใสเสมอ แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนไร้ก้นบึ้งดั่งมหาสมุทรลึกล้านลี้ก็มิปาน ดีกันถอยหายใจออกมาแล้วเล่าต่อ"ถุงสีน้ำตาลนี้ชื่อว่าพหุเซียน มันสามารถบรรจุแม้กระทั่งครึ่งนึงของโลกแห่งการบ่มเพาะลงไปได้ โลกแห่งการบ่มเพาะนั้นแตกต่างจากโลกแห่งเวทมนตร์และดาบที่พวกเราอาศัยอยู่ในตอนนี้มาก ในที่แห่งนั้นมีเผ่าพันธุ์แปลกประหลาดมากมาย เรียกได้ว่าแปลกกว่าในโลกของพวกเราเป็นไหนๆ และยังมีพวกกฏเกณฑ์การอยู่รอด สถานที่รวมกลุ่มกัน รวมไปถึงชื่อและแซ่ของพวกเขาด้วย"

พูดออกไปมาก แน่นอนว่าคอย่อมแห้งเป็นธรรมดา ดังนั้นดีกัสจึงหยิบแก้วที่มีน้ำขึ้นมาแล้วดื่มลงไปสองสามอึกให้ชุ่มคอแล้วเล่าต่อ"ในโลกแห่งการบ่มเพาะนั้น กฏเหล็กก็คือปลาใหญ่กินปลาเล็ก ชนะเป็นจ้าว แพ้เป็นโจร พวกเขาไม่มีสิ่งที่เรียกว่ากิลด์ แต่กลับมีนิกาย สำนัก และนอกจากนี้การแบ่งระดับความแข็งต่างก็เข้มงวดด้วย ส่วนเรื่องของชื่อนั้น พวกเขาจะใช้แซ่นำหน้าตามด้วยชื่อ ตัวอย่างเลยก็คือท่านบรรพบุรุษของเราที่มีแซ่เยานามว่าเจวี๋ยเทียน!"

เฮ้อ....

ถอนหายใจยาวเหยียดแล้วกล่าวปิดท้าย

"ท่านบรรพบุรุษของพวกเราได้กล่าวไว้แค่นี้ ท่านบอกว่าถ้าอยากจะรู้มากกว่านั้นก็จงหาทายาทที่มีอาชีพเป็นผู้ฝึกตนมาเปิดถุงพหุเซียนนี้ซะ"กล่าวจบดีกัสก็ดันถุงสีน้ำตาลที่แลดูเก่าแก่ไปข้างหน้าบุตรของตน จากนั้นจึงเดินออกห้องครัวไปพร้อมกับภรรยา เหตุผลก็คือ ให้เวลาไดนัสในการย่อยข้อมูลที่ตนพึ่งจะเล่าไป

ถุงพหุเซียนที่มีความสามารถในการบรรจุสิ่งของได้มากมาย

กฏเกณฑ์ของโลกที่แตกต่างกัน

และ...

บรรพบุรุษเยาเจวี๋ยเทียนผู้ลึกลับ!

เด็กหนุ่มนั่งหลับตาย่อยข้อมูลอยู่นาน สุดท้านจึงลืมตาขึ้นมา แล้วมองไปที่ถุงสีน้ำตาลที่ไม่มีอันใดต่างไปจากถุงที่ถูกทอขึ้นมาด้วยหนังสัตว์ธรรมดาเลย ในตอนที่ระบบส่งข้อมูลพื้นฐานให้ เด็กก็ได้รับรู้วิธีในการเปิดถุงเก็บของของผู้ฝึกตนเช่นกัน

ในตอนแรกเขาไม่รู้ว่าจะหาถุงเก็บของอันมีมิติเป็นเอกเทศที่ไหนมาเปิดดี แต่ตอนนี้เขากลับได้มันมาแล้ว แถมยังเป็นถุงเก็บของอันวิเศษที่บรรพบุรุษได้ตกทอดมาด้วย

กำถุงมาใกล้ตัว แล้วส่งพลังลมปราณเข้าไปเพื่อเปิดมันขึ้นมา

วูมมมมมมม!

ทันใดนั้นภาพที่ไดนัสได้เห็นตรงหน้าก็เปลี่ยนไป มันไม่ใช่ในห้องครัว แต่เป็นโลกอันเป็นเอกเทศใบหนึ่ง

เขาหันหน้ามองดูรอบด้าน สิ่งที่พบนั้นมีหยกสีขาวใสหลายชิ้น ซึ่งมันได้สลักตัวอักษรไว้เพื่อให้ง่ายแก่การจำแนก อย่างเช่นมีชิ้นหนึ่งที่สลักไว้ว่า[วิชาดัชนีดาราทมิฬ]

ในหยกหลายสิบชิ้นพวกนี้ มีหนึ่งชิ้นที่แตกต่างออกไปจากชิ้นอื่น เพราะว่ามันมีสีทองที่เปล่งรัศมีเรืองรองของผู้ยิ่งใหญ่ออกมา!

ตอนที่ 3 เสี้ยววิญญาณที่ทิ้งไว้

หยกสีทองเปล่งประกายเรืองรอง ในหมู่หยกนับร้อยชิ้นในมิติเอกเทศนี้ เรียกว่าสดุดตาเป็นอย่างยิ่ง ยาวกับความหวังในความมืดมิดชั่วนิรันดร์

ร่างวิญญาณของไดนัสพุ่งเข้าไปหาหยกชิ้นนั้นทันที เพราะเขารู้ว่าอะไรที่เปล่งประกายยิ่งกว่าในหมู่เดียวกัน มันต้องเป็นของล้ำค่าแน่นอน

ร่างมาหยุดอยู่ข้างหน้าหยกชิ้นนั้น มือหนึ่งเอื้อมไปคว้ามาไว้ในกำมือ จากนั้นเด็กหนุ่มจึงส่งพลังชมปราณอันน้อยนิดออกตนเขาไปในหยกสีทองทันที

หยกเปล่งแสงสว่างวาบออกมา พอแสงเริ่มจางลงจึงได้เห็นเป็นวิญญาณรูปร่างมนุษย์ชายชราดวงหนึ่งที่'ลอย'อยู่เหนือหยกชิ้นนั้น มันหลับตาราวกับจมลงสู่ความคิดหรืออย่างอื่น

ตอนนั้นเอง วิญญาณปริศนาก็ลืมตาขึ้นมา พร้อมกับกล่าวว่า"ลูกหลานของข้า ในที่สุดเจ้าก็ได้อาชีพเป็นผู้ฝึกตนเสียที ส่วนข้าในตอนนี้นั้นเป็นเพียงเสี้ยวจิตวิญญาณหนึ่งในพันของร่างต้นเท่านั้น"เหลือบดูปฏิกิริยาของทายาทตนเอง เมื่อเห็นแววตาที่ตื่นตระหนกของอีกฝ่ายชายชราก็ยังกล่าวต่อ"ลูกหลานของข้าเอ๋ย จงฟังข้าให้ดี เมื่อครั้งกระโน้นในตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าได้ทิ้งถุงพหุเซียนไว้ให้กับลูกหลานของข้า ข้าได้บอกกับพวกเขาไว้ว่ามีเพียงแค่ทายาทที่เป็นผู้ฝึกตนหรือมีอาชีพผู้ฝึกตนเท่านั้นจึงจะเปิดมันออกมาได้ และในที่สุดทายาทผู้มีอาชีพผู้ฝึกตนก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว นั่นก็คือเจ้า"

ตอนนี้ดวงตาของไดนัสเผยควาตกตะลึงออกไปอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ตอนนี้ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าตนลงไปคุกเข่าตอนไหน ที่เขาตกตะลึงนั้นก็เพราะว่าวิญญาณของหน้าตนนี้เป็นวิญญาณของบรรพบุรุษตน อีกเหตุผลก็คือ.....วิญญาณนี่ก็คือผีดีดีนี่เองน่ะสิ! แต่ก็ช่างเถอะ

ไม่เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มได้เอ่ยปาก เยาเจวี๋ยเทียนก็กล่าวต่อทันที"ในตอนที่เจ้าได้รับอาชีพผู้ฝึกตนมา เจ้าก็คงจะได้เห็นระดับบ่มเพาะของตนเองแล้ว นั่นก็คือตอนนี้เจ้าอยู่ในขอบเขตปราณเริ่มต้นขั้นที่หนึ่ง ซึ่งถ้าเทียบกันตามขีดขั้นพลังแล้วถือว่าต่ำที่สุด ถ้าอย่างงั้นข้าก็จะบอกเจ้าไปเลยแล้วกันว่าตอนนี้เจ้าควรจะรู้ว่าขอบเขตไหนสูงหรือต่ำก่อน"

"ตอนนี้เจ้าก็คงจะรู้แล้วว่าขอบเขตปราณเริ่มต้นขั้นที่หนึ่งนั้นเป็นระดับบ่มเพาะที่ต่ำที่สุด แต่เจ้าก็คงจะไม่รู้ว่ามันมีกี่ขั้นกันแน่? สำหรับขั้นย่อยของมันนั้นมีทั้งหมดเก้าขั้น เรียงกันหนึ่งถึงเก้า เอาล่ะสำหรับขอบเขตปราณเริ่มต้นก็จบแค่นี้"

เยาเจวี๋ยเทียนมองไปที่ลูกหลานของตนซึ่งยังคุกเข่าอยู่ข้างหน้าอยู่ เขาเอ่ยเสียงเรียบออกมา"ยืนขึ้น" เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยืนขึ้น และดูเหมือนว่าจะย่อยข้อมูลเสร็จแล้ว เขาก็กล่าวต่อทันที"สำหรับขอบเขตที่สูงกว่าขอบเขตปราณเริ่มต้นนั้นมี ขอบเขตแก่นแท้ปราณ ระดับย่อยก็คือแก่นชีพทั้งเจ็ดระดับ ต่อจากนั้นจะเป็นขอบเขตปราณวิญญาณ มีสามสวรรค์เป็นขั้นรองก็คือขั้นปราณแท้จริง,ขั้นวิญญาณแม้จริงและแท้จริงไร้ที่ติ ส่วนระดับย่อยนั้นแบ่งออกจากต่ำไปสูงคือ ระดับต่ำ กลาง สูง สูงสุด"องค์บรรพบุรุษหยุดเล่าไปครู่หนึ่งเพื่อให้ไดนัสได้ย่อยข้อมูลอีกครั้ง

ผ่านไปสักพัก เมื่อเห็นว่าไดนัสย่อยข้อมูลเสร็จแล้วก็กล่าวต่อทันที"ต่อจากขอบเขตวิญญาณก็คือขอบเขตกำเนิดแก่นแท้ ขอบเขตนี้จะแปลกแยกจากขอบเขตอื่น เนื่องจากว่ามันมีขั้นรองเป็นขอบเขตกำเนิดแก่นแท้ระดับต่ำ และขอบเขตกำเนิดแก่นแท้ระดับสูง ในระดับต่ำนั้นจะเรียกง่ายๆกันว่าราชา ส่วนระดับสูงคือมหาราช ระดับย่อยของขอบเขตนี้ก็คือช่วงต่ำ ช่วงกลาง ช่วงสูง ช่วงปลาย ระดับที่สูงขึ้นไปกว่าขอบเขตกำเนิดแก่นแท้ก็คือ ขอบเขตปราณศักดิ์สิทธิ์ ขั้นรองของมันก็คือยอดปรมาจารย์และมหาปรมาจารย์เหตุผลที่เรียกกันแบบนี้ก็เพราะว่า ขอบเขตนี้เป็นจุดสูงสุดของมนุษย์ก่อนจะเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและเทพ ด้วยเหตุนี้ปรมาจารย์ก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่มนุษย์ธรรมดายังไงละ"

"ตอนนี้เหลืออีกสองขอบเขตที่เจ้าควรจะนั่นก็คือนั่นก็คือขอบเขตเทวะแท้จริงและขอบเขตสู่เทวราชฟ้า ส่วนขอบเขตที่เหลือนั้น ในตอนนี้เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้ถึงมัน"เสี้ยววิญญาณบรรพบุรุษกล่าวจบคำ ไดนัสก็ร้องถามขึ้นมาทันที

"ท่านบรรพบุรุษขอรับ แล้วสายเลือดจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์มันคือสิ่งใดกัน? ใช่สายเลือดที่สืบทอดกันมาตามตระกูล'เยา'หรือไม่ขอรับ อีกอย่างคือทำไมชื่อของข้าถึงมีสองชื่อ ชื่อแรกของข้าคือไดนัสอีกชื่อก็คือเยาหวังเล่อ ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ขอรับท่านบรรพบุรุษ"

เสี้ยววิญญาณของเยาเจวี๋ยเทียนยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวตอบว่า"ใช่แล้วสายเลือดจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์นั้นสืบทอดกันมาในตระกูลเยารุ่นสู่รุ่น พวกเราจะวัดความเข้มข้นของสายเลือดโดยการฝึกเคล็ดวิชา[กายาราพนาสูร] วิชานี้ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของตระกูลเยานั้น มันมีทั้งหมดสิบห้าขั้น วิชานี้เจ้าไม่ต้องไปฝึกฝนอะไรมาก เพราะว่ามันจะเลื่อนระดับตามระดับบ่มเพาะของเจ้าอยู่แล้ว ตัวอย่างก็คือเจ้าในตอนนี้อยู่แค่ขอบเขตปราณเริ่ทต้นเท่านั้น กายาราพนาสูรที่เจ้าฝึกก็จะเป็นแค่ขั้นหนึ่ง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เจ้าเลื่อนไปยังอีกขอบเขตได้แล้ว มันก็จะเลื่อนระดับเป็นขั้นที่สองตามไปด้วย ซึ่งไม่มีเคล็ดวิชาไหนที่เยี่ยมยอดเท่าวิชานี้อีกแล้ว อีกอย่างก็คือมันเป็นเคล็ดวิชาสำหรับคนที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์อย่างพวกเราจระกูลเยาอย่างไรล่ะ!"

"ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมเจ้าถึงมีอีกชื่อว่าเยาหวังเล่อนั้น มันก็เป็นเพราะว่าเจ้าเป็นคนของตระกูล มีสายเลือดของจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์ อีกสาเหตุสำคัญก็คือเจ้าเป็น[ผู้ฝึกตน]อย่างไรล่ะ!"

คำถามของเด็กหนุ่มได้รับการไขข้อสงสัยทันที แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แล้วโพล่งถามออกไปทันที"แล้วพวกบรรพชนของข้าละขอรับ อย่างท่านทวดหรือท่านปู่ของข้าพวกเขาไม่ได้มีอาชีพเป็นผู้ฝึกตนหรือเป็นผู้ฝึกตนโดยตรง ดังนั้นแล้วพวกเขาสามารถใช้แซ่เยาหรือไม่ขอรับ"ได้ยินคำถามนี้เข้าไป เยาเจวี๋ยเทียนก็อดที่จะรู้สึกชื่นชมทายาทตรงหน้าของตนคนนี้ไม่ได้ มันฉลาดอย่างแท้จริงที่ถามคำถามนี้ออกมา เพราะเด็กในวัยเดียวกันที่อายุห้าขวบก็คงไม่สามารถที่จะคิดคำถามแบบขึ้นมาได้

จากนั้นจึงตอบออกไปด้วยเสียงราบเรียบ"ลูกหลานของข้าที่ไม่ได้มีอาชีพเป็นผู้ตนอย่างนั้นหรือ? จริงๆแล้วพวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้แซ่เยาแม้แต่น้อย เนื่องจากว่าพวกเขาไม่มีใครที่สามารถบ่มเพาะพลังได้เลย แต่ถ้าหากว่าพวกเขามีความสามารถมากพอ การจะให้แซ่เยาแก่ลูกหลานที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนนั้นก็สามารถเป็นไปได้เช่นกัน"

ไดนัสทำหน้าละห้อยทันที เพราะว่าทวดและปู่ของเขาทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งเป็นแค่นักดาบธรรมดา และอีกคนก็ยังคงเป็นแค่พ่อครัวอัจฉริยะเท่านั้น เหตุผลแค่นี้คงจะไม่สามารถทำให้ทวดและปู่ของเด็กหนุ่มได้ใช้แซ่เยาอย่างแน่นอน

แต่ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็พลันปรากฏเข้ามาอยู่ในหัวของเด็กหนุ่ม เขาชั่งใจอยู่นานสองนานกว่าจะถามออกไปได้"เอ่อ...ท่านบรรพบุรุษขอรับ แล้วถ้าหากว่าพวกเขาสามารถปลุกสายเลือดจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์ได้ล่ะขอรับ และถ้าว่าพวกเขากลายเป็นคนที่มีความอัจฉริยะสูงขึ้นมาแล้วพัฒนาตนเองอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ พวกเขา....สามารถที่จะใช้แซ่เยาได้ไหมขอรับ"

เสี้ยววิญญาณบรรพบุรุษนิ่งคิดเล็กน้อย จากนั้นตอบว่า"ที่เจ้าว่ามา ถ้าพวกเขามีความสามารถ การจะให้แซ่เยาไปก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่มีข้อกำหนดว่าต้องเป็นอาชีพที่มีประโยชน์เท่านั้น ตัวอย่างก็คือนักดาบ นักเวทย์ ปราชญ์ ผู้กล้า ช่างตีเหล็ก ผู้เชี่ยวในการตั้งค่ายกลเวทย์กับดัก ฯลฯ"จ้องมองไปทางเด็กหนุ่มที่ตอนนี้ตาเปล่งประกายออกมาแล้ว จากนั้นว่าต่อ"แต่การจะปลุกสายเลือดของผู้ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนนั้น ก็ยากมากสำหรับเจ้าในตอนนี้ ถ้าจะให้ข้าลองคิดดูล่ะก็.....คงจะต้องใช้กายการาพนาสูรที่ฝึกจนถึงขั้นแปดและมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตปราณศักดิ์สิทธิ์แล้วมากระตุ้นกระมัง"

ถึงได้นัสจะได้ยินเงื่อนไขที่อาจจะเป็นไปไม่ได้ในการปลุกสายเลือดจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์เลยตอนนี้ แต่ถึงอย่างนั้นแววตากลับหามีความลังเลหรือเผยความลำบากใจออกมาไม่

เด็กหนุ่มถามออกไปอีกครั้ง"ท่านบรรพบุรุษ แล้วทำไมเสี้ยววิญญาณหนึ่งในพันของท่านถึงมาอยู่ในโลกแห่งเวทมนตร์และดาบแห่งนี้ได้? หรืออาจจะเป็นเพราะสาเหตุบางอย่างที่ท่านต้องมาในที่แห่งนี้"

เยาเจวี๋ยเทียนจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของไดนัส ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า"เจ้าในตอนนี้ ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรับรู้ถึงเรื่องนั้น จริงๆแล้วที่ข้าต้องมาสร้างทายาทในโลกแห่งนี้มันก็มีเหตุและผลเช่นกัน แต่เจ้าในตอนนี้รับรู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ หนำซ้ำถ้ารู้ไปอาจจะเป็นอันตรายต่อตัวเจ้าเองก็ได้"

เห็นบรรพบุรุษปฏิเสธเสียงแข็งเช่นนี้ เด็กหนุ่มก็ไม่ซักไซ้เรื่องเมื่อครั้งเยาเจวี๋ยเทียนยังมีชีวิตอยู่อีก แต่เปลี่ยนเป็นถามเรื่องอื่นแทน

"ท่านบรรพบุรุษ แล้วข้าจะสามารถฝึกกายาราพนาสูรได้อย่างไรขอรับ"

เยาเจวี๋ยเทียนหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นจึงโบกมือแล้วหนึ่งในแผ่นหยกนับร้อยก็ลอยออกมา ได้มาแล้วก็ยื่นให้กับเด็กหนุ่มทันที"นี่คือวิชากายาราพนาสูร ตามชื่อของมัน มันเป็นวิชาสำหรับเอาไว้ฝึกร่างกายของคนที่ฝึกให้แข็งแกร่ง ยืดหยุ่น และอดทนขึ้น ถึงแม้ในตอนนี้เจ้าจะฝึกได้ถึงแค่ขั้นที่หนึ่งของมันเท่านั้น แต่อนุภาพของมันเจ้าก็ไม่อาจจะมองข้ามไปได้เช่นกัน เพราะถึงจะเป็นแค่ขั้นที่หนึ่ง แต่อาวุธมีคมในระนาบของขอบเขตปราณเริ่มต้นขั้นที่หนึ่งถึงเก้าก็ไม่อาจจะทำร้ายเจ้าได้แม้แต่น้อย เรียกง่ายๆก็คือ ร่างกายของเจ้าจะไร้เทียมทานในขอบเขตบ่มเพาะเดียวกัน"

"ส่วนข้อมูลความเป็นมาของวิชานี้นั้น เล่าไปครึ่งสันก็คงจะไม่มีวันจบเป็นแน่ ดังนั้นข้าจะสรุปให้เจ้าฟังคงจะดีกว่า"เกริ่นเสร็จแล้วก็เริ่มเล่าต่อเมื่อนานมาแล้วหลายปีจนมิอาจนับได้ บรรพบุรุษท่านไดเถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับสายเลือดจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์ สายเลือดนี้มิมีวันที่สวรรค์ที่จะให้มาแน่นอน แต่ท่านบรรพบุรุษได้สันนิษฐานไว้ว่าคงจะเป็นธรรมชาติที่ประทานสายเลือดนี้มาให้ ถ้าเจ้าจะถามว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวยังไงกับวิชากายาราพนาสูร ข้าคงต้องตอบอย่างชันเจนตรงนี้ว่ามันเกี่ยวข้องเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าวิชานี้ต้องมีสายเลือดของจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์เท่านั้นที่จะฝึกได้ แม้แต่คนที่มีสายเลือดเข้มข้นน้อยที่สุดก็สามารถที่จะเรียนรู้มันได้เช่นกัน วิธีการก็คือใช้สายเลือดจักรพรรดิอสูรฯเป็นตัวกลางในการฝึก"

"ทั้งนี้ท่านบรรพบุรุษได้กล่าวไว้ว่า ถึงมันจะเป็นวิชาสายเลือด แต่วิชานี้มันไม่ได้'ติดตัว'มากับท่านบรรพบุรุษในตอนที่ท่านถือกำเนิดขึ้นมาเลย"

"หลังจากที่ท่านได้สร้างวิชานี้โดยใช้สายเลือดจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์หยดลงไปบนตัววิชาเพื่อเชื่อมต่อกับสายเลือดนี้ชั่วนิรันดร์แล้ว ท่านก็ยังสร้างอีกหนึ่งวิชาที่ควบคู่ไปกับวิชานี้ด้วย นั่นก็คือ[บทบรรเลงแห่งจักรพรรดิอสูร]"

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!