INTRO…CHANGE YOU ความในใจของนักเขียน
ณ. ปารีส ประเทศฝรั่งเศส
งานมหกรรมหนังสือระดับโลก
‘ดิฉันเชื่อว่านักอ่านทุกท่าน
จะต้องมีนิยายในดวงใจกันอย่างน้อยคนละ 1 เรื่อง
แม้แต่ตัวผู้ประพันธ์ผลงานเองก็ตามที ไม่อาจเลี่ยงได้ในสัจธรรมข้อนี้
ก่อนที่คุณจะเริ่มเขียนได้
คุณต้องผ่านการอ่านมาก่อนอย่างโชกโชน
และโดยส่วนใหญ่ของคนที่เริ่มผันตัวมาเป็นผู้ผลิตผลงาน
แทนการเป็นผู้บริโภคอย่างเดียวนั้น หลักๆ
เลยคือพบเจอเนื้อเรื่องที่ไม่เป็นไปดั่งใจ
เราไม่สามารถแก้ไขผลงานของคนอื่นได้
แต่...เราสามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ด้วยมือของเราเอง
คุณสามารถรังสรรค์ผลงานของตนขึ้นมา
ด้วยมือเล็กๆ ทั้งสองข้างของคุณ กับอีก 1 สมองที่ต้องใช้ในการจินตนาการขั้นสูงสุด
ไหนจะคิดพล็อต กำหนดคาแรกเตอร์ตัวละคร วางโครงเรื่องอย่างละเอียด
ผูกปมให้ซับซ้อนน่าติดตาม
มีเท่านี้ใช่ว่าจะเขียนมันออกมาได้จนจบ
คุณยังต้องมีความมานะพยายาม มีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัยในตัวเองอย่างมาก
และไหนจะต้องต่อสู้กับสภาวะอารมณ์ที่แปรปรวนของตัวเองอีก
เชื่อว่านักเขียนทุกคนต้องเจอกับเหตุการณ์นี้...สมองตัน
เมื่อคลอดผลงานที่กว่าจะเคี่ยวเข็ญจนจบได้ออกมาแล้ว
ต้องมาลุ้นอีกว่าผลงานของคุณจะดังเป็นผลุแตก หรือจะแป่กเหมือนเป่าสาก
ไม่มีใครรู้จุดจบถ้าเรายังเดินไปไม่ถึง
และการเขียนนิยายจบ
ไม่ได้การันตีว่าคุณจะประสบความสำเร็จ
หรือสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดของอาชีพนักเขียนได้ในเรื่องแรกทันที
นอกเสียจากว่าคุณจะพกดวงมาเต็มปริบ
หรือมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เรียกง่ายๆ ว่าปลดล็อกสกิลมือทองคำ
ตั้งแต่ตอนที่ออกมาจากท้องแม่นั่นแหละ
คุณยังคงต้องฝึกฝีมือ เก็บเกี่ยวประสบการณ์
น้อมรับเสียงสะท้อนจากนักอ่าน และนำมาประยุกต์ใช้กับผลงานเรื่องต่อๆ ไป
การวางพล็อตจะต้องน่าสนใจ หากแนวเรื่องซ้ำซาก
คุณต้องมีวิธีการถ่ายทอดออกมา ให้คนอ่านมองเห็นถึงความแตกต่างของนิยายเรา
ไม่ว่าจะเป็นภาษาที่ใช้บรรยาย มุกต่างๆ
ที่สอดแทรกระหว่างการดำเนินเรื่อง เล่าความรู้สึกของตัวละครนั้นๆ ได้อย่างเห็นภาพ
จนคนที่นั่งอ่านตัวหนังสือที่คุณเขียนหรือพิมพ์มันขึ้นมา
ดำดิ่งไปกับความรู้สึกที่เราบรรยาย
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยใช่ไหมคะ
กว่าจะมีผลงานแต่ละเรื่องออกมา ให้ท่านนักอ่านได้รื่นรมย์กัน
ส่วนเป้าหมายสูงสุดของนักเขียนนั้น มันก็คือ ‘เงิน’ นั่นแหละค่ะ ไม่ต่างจากอาชีพอื่นๆ หรอก ทุกคนต้องกินต้องใช้ และเงินคือปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต
แต่ก่อนที่เราจะได้รับเงิน
เราจะต้องได้รับความชื่นชอบเสียก่อน
การที่เราสามารถทำให้คนอ่านอินไปกับเรื่องราวของเราได้
และเมื่อไหร่ที่เขารู้สึกชื่นชอบผลงานของเราแล้ว เงินจะตามมาทีหลังเองค่ะ
วันนี้อิมก็ขอจบการกล่าวเปิดงานไว้เพียงเท่านี้
ขอให้ทุกท่านเลือกสรรหนังสือที่ชื่นชอบ ของนักเขียนในดวงใจกันตามสบายเลยนะคะ
ขอบคุณค่ะ’
แปะ แปะ แปะ
เสียงปรบมือดังกระหึ่มลั่นฮอลล์
พร้อมเสียงโห่ร้องชื่นชมในคำกล่าวสุนทรพจน์ เปิดงานมหกรรมหนังสือระดับโลก
ที่มาจัดแสดง ณ ประเทศฝรั่งเศส
ซึ่งฉันต้องถ่อสังขารบินไกลจากประเทศไทยมาถึงที่นี่
ในฐานะนักเขียนซึ่งเป็นดาวรุ่งที่สุดอยู่ในขณะนี้
และได้รับคำเชิญจากผู้จัดงานโดยตรง ทำให้ฉันที่ค่อนข้างรักสงบและไม่ค่อยชอบเดินทาง
ปฏิเสธคำร้องขอนี้ไม่ได้
เอาตรงๆ นะ เหตุผลหลักๆ เลยคือตัวเลขที่แสดงในข้อความแจ้งเตือนเงินเข้า
มันบีบบังคับให้ฉันต้องมา
“ตายแล้วน้องอิม พูดได้ดีมากเลยค่า
พี่เอกกี้รู้สึกจับใจมาก”
พี่เอกที่ชอบเรียกตัวเองว่าเอกกี้
แต่ฉันชอบเรียกเขาว่าพี่อักลี่ (UGLY) หนุ่มออกสาววัย 30 ต้นๆ ที่ บก. ฉันลงทุนจ้างมาในราคาค่าตัวซึ่งแพงหูดับ
ให้มาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของฉัน เดินเข้ามาขนาบข้างพร้อมทั้งอวยกันยกใหญ่
หลังจากที่เท้าฉันก้าวลงจากเวที
ความจริงชีวิตนักเขียน
ไม่จำเป็นต้องมีผู้จัดการส่วนตัวก็ได้ แต่เนื่องจากช่วง 1 ปีที่ผ่านมานี้
ฉันออกงานอีเวนท์ มากกว่าการนั่งเคาะนิ้วอยู่หน้าคอมตัวเก่งเสียอีก
บางวันมีมากถึง 3 งาน
ซึ่งฉันเองเป็นคนที่ไม่ค่อยเก่ง เรื่องการสนทนากับคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่
ขนาดคุยกับรู้จัก ฉันยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรด้วยซ้ำ
ทำให้พี่เอกถือกำเนิดขึ้นในฐานะผู้จัดการส่วนตัว
“อย่าแสดงค่ะพี่อักลี่ อิมรู้ว่าพี่ตอแหล” ฉันหันไปเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอย่างรู้ทัน
ก่อนโยนไมค์ที่ถือลงมาด้วยให้เขา โดยไม่สนใจว่าเขาจะรับมัน
หรือปล่อยให้มันร่วงหล่นลงพื้น
ก็อย่างที่เห็น...ฉันเป็นคนค่อนข้างปากหมา
พูดจาไม่เอาหน้าใครทั้งนั้น จะหัวดำหัวขาว ถ้าทำตัวไม่ถูกใจหรือพูดจาไม่เข้าหู
ปากหมาๆ ของฉันก็จะไล่เห่าไม่เลือกหน้า
แต่ฉันก็ยังรู้จักกาลเทศะนะ ไม่ด่าคนอื่นไปทั่ว
ถ้าไม่มีใครมาทำอะไรให้ฉันไม่สบอารมณ์ก่อน
รอยยิ้มกว้างอย่างเสแสร้งเมื่อครู่หุบลงทันที
พี่เอกเหลือกตามองบนพร้อมเบะปากเล็กน้อย ก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปกติ และเดินตามหลังฉันมาติดๆ
“จะกลับโรงแรมเลยไหมคะคุณน้องอิม
หรือจะอยู่เดินชมงานก่อน?” ถึงจะไม่อยากเสวนากับฉันสักเท่าไหร่ แต่เพราะเงินตอบแทนที่ถูกเสนอให้สูงลิบลิ่ว
เขาจึงจำใจต้องทำหน้าที่นี้ต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ทำอย่างกับไม่รู้สันดานกันนะคะ
ทนอยู่ด้วยกันมาร่วมปีแล้วแท้ๆ น่าจะต้องเดาได้แล้วว่าอิมอยากกลับ”
ฉันชักสีหน้าใส่อย่างหงุดหงิด
แม้อากาศจะกำลังเย็นสบายไม่ได้ร้อนเหมือนบ้านเรา
แต่เพราะผู้คนที่มาร่วมงานในวันนี้ล้นหลามมาก ทำให้ฉันรู้สึกเวียนหัว
และอยากออกไปหาพื้นที่โล่งๆ เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์
“ค่ะๆๆๆ กลับค่ะกลับ เดี๋ยวน้องอิมรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ
พี่เอกกี้ขอไปตามหาคนขับรถก่อน พอดีไม่ได้ขอเบอร์ติดต่อเขาเอาไว้”
ประโยคแกมคำสั่งถูกเอ่ยออกมาจบ
ร่างสูงโปร่งค่อนไปทางผอม ก็สาวเท้าเดินลิ่วหายไปในดงผู้คน
ในขณะที่ฉันไม่คิดจะทำตามในสิ่งที่เขาบอก
ก้าวยาวๆ ตามแบบฉบับสาวสูง 168 เซนติเมตร ออกไปทางประตูด้านข้าง
เพื่อหามุมสงบให้ตัวเองได้พักผ่อน
เมื่อออกมารับลมเย็นๆ ด้านนอกได้
ฉันก็หายใจเข้าลึกๆ และผ่อนออกอย่างแรงจนสุด สองขาพาร่างกายไปประชิดกำแพงคอนกรีต
ที่สูงเลยช่วงเอวมาเล็กน้อย
ฉันวางมือบอบบางที่ใช้ทำเงินหลักหลายล้านมาแล้ว
ลงบนราวเหล็กที่มีอุณหภูมิเย็นเฉียบ
ก่อนหลับตาซึมซับความสงบที่ชื่นชอบหนักหนาอย่างเพลิดเพลิน
จนกระทั่งมีเสียงไม่พึงประสงค์ดังขึ้น ในกระเป๋าเสื้อสูทสีขาวพอดีตัว
ฉันเปิดเปลือกตาลืมขึ้นและถอนหายใจแรงๆ
มีน้อยคนนักที่จะรู้จักเบอร์ส่วนตัวของฉัน และกล้าพอจะเสี่ยงโทรหาได้ โดยไม่กลัวโดนฉันแหวใส่
พ่อเสียไปตั้งแต่ฉันยังไม่เรียนไม่จบมัธยมต้น
ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ส่วนแม่พึ่งจากไปตอนที่ฉันเรียนจบใหม่ๆ ด้วยโรคร้าย
พี่น้องไม่มีใครนับญาติ
เพราะสันดานฉันเสียจนพวกเขาเอือมระอา เพื่อนสนิทมิตรสหายยิ่งแล้วใหญ่
เติบโตขึ้นมาจนอายุ 28 ปีเต็ม ยังไม่เคยรู้จักคำว่ามิตรภาพ
ชีวิตนี้จึงโดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิง
และตัวฉันเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกโหยหามันเลยสักนิด
แม้แต่ความสัมพันธ์แนวรักๆ ใคร่ๆ
ที่มักจะเข้ามาหาอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ถูกฉันเหวี่ยงออกไปจนไกลสุดขอบโลก
และสุดท้ายพวกผู้ชายรอบๆ ตัว ก็เริ่มรู้ฤทธิ์เดชของฉันกันจนหมด
ไม่มีใครกล้าเสี่ยงแบกหน้ามาให้ฉันแหกอีกเลย
จนกระทั่งได้มารู้จัก ‘คุณอร’ บรรณาธิการสำนักพิมพ์ที่ฉันเซ็นสัญญาร่วมงานอยู่ในขณะนี้ เขาเป็นหญิงวัย
40 ปีปลายๆ ที่มองเห็นศักยภาพในตัวฉัน
หลังจากที่เทียวส่งต้นฉบับไปนับสิบที่
แต่กลับไม่มีใครสนใจผลงานของฉันเลยสักคน จนสำนักพิมพ์สุดท้ายที่คิดมาดีแล้ว
ว่าถ้าหากแห้วอีกฉันจะจบความฝันลมๆ แล้งๆ ของตัวเอง
และกลับไปเป็นพนักงานบริษัทธรรมดาๆ เหมือนเดิม คุณอรเธอก็ปรากฏตัวขึ้น
เธอส่งเมลล์กลับมาหากันในวันนั้นเลย
เอ่ยชมผลงานอย่างที่ฉันไม่เคยได้รับจากใคร และเสนอให้เซ็นสัญญาเป็นนักเขียนในการดูแลของเธอ
และนั่น...คือจุดเริ่มต้นของการก้าวเดินตามความฝัน
จนในที่สุดฉันก็ได้รับสมญานามว่า ‘นักเขียนมือทอง’ ในวันนี้
“ว่าไงคะคุณ บก. ที่รักยิ่ง”
ฉันล้วงมือเข้าไปหยิบมือถือขึ้นมากดรับ
และกรอกเสียงอย่างแดกดันลงไป ขนาดผู้มีพระคุณฉันยังไม่เว้นที่จะทำนิสัยแย่ๆ ใส่
[ไม่ต้องมาแดกดันฉันเลยนะ วันนี้เป็นไงบ้าง
ราบรื่นดีไหม?]
คุณอรยังคงรู้ใจกัน
และรู้วิธีในการรับมือกับเจ้าแม่สายวีนอย่างฉันเสมอ
“อิมเคยทำให้คุณผิดหวังด้วยเหรอคะ?”
ฉันหันกายกลับมาเผชิญหน้ากับผนังกระจกอาคาร
และใช้สะโพกกลมกลึงของตัวเอง อิงราวเหล็กเอาไว้ด้วยท่วงท่าสบายๆ
สายลมเย็นๆ พัดผ่านร่างกาย
ทำให้เส้นผมยาวสลวยซึ่งถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
ปลิวมาคลอเคลียอยู่ข้างแก้มจนฉันเกิดความรู้สึกรำคาญ
จึงต้องยกมืออีกข้างที่ว่างขึ้นจับผมทัดใบหู
[ตอนนี้เธออาจจะยัง แต่ในอนาคตเธอทำแน่]
“อิมไม่เข้าใจ คุณกำลังจะสื่ออะไรคะคุณอร?”
ฉันรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่คุณอรกำลังสื่อคืออะไร
แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราว และแกล้งถามไปอย่างนั้น
[อย่ามาแกล้งโง่ ฉันรู้ว่าเธอรู้
ว่าฉันพูดถึงเรื่องอะไร]
ไม่เคยมีสักครั้งที่จะโกหกเธอได้
คุณอรรู้ความคิดฉันทุกอย่าง ราวกับว่าเธอฝังไมโครชิป
เอาไว้ในหัวสมองอันล้ำค่าของฉัน
“อิมไม่ได้แกล้งโง่นะคะ อิมไม่รู้จริงๆ” ฉันยังคงแกล้งโง่ และตีหน้าใสเสียงซื่อๆ ต่อไป
[เธอยื่นเอกสารขอยกเลิกสัญญาการเป็นนักเขียนทำไม?]
และในที่สุด คุณอรก็ขี้เกียจเล่นสงครามประสาทกับฉัน
เธอเลือกที่จะถามในสิ่งที่อยากรู้ออกมาจนได้
ฉันยืนนิ่งสายตามองตรงเข้าไปในผนังกระจก
ที่สะท้อนภาพตัวเองตั้งแต่หัวจรดปลายรองเท้าส้นสูง
ผู้หญิงในภาพสะท้อนหน้าตาสะสวย
เครื่องหน้าครบครันตามแบบฉบับสาวไทยแท้ ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งมีดหมอก็สวยได้อย่างไร้ที่ติ
ทรวดทรงองเอวมีส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างชัดเจน แม่ให้มามากเกินพอดีเสียด้วยซ้ำ
ผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตเป็นลอนธรรมชาติ
ไร้สารเคมีจากการถูกดัดหรือย้อมสี แถมเครื่องแต่งกายที่สวมใส่
ก็เป็นแบรนด์เนมราคาแพงระยับทั้งตัว
ดูเผินๆ เธอเหมือนคนที่ควรจะต้องมีความสุขมากๆ
คนหนึ่ง ทว่าในนัยน์ตาสีเดียวกับเรือนผมนั้น กลับดูว่างเปล่าอย่างน่าใจหาย
ใช่! ฉันไม่มีความสุขในชีวิตเลยสักนิด ทั้งๆ
ที่ความฝันที่วาดเอาไว้เป็นจริงแล้ว ฉันได้เป็นนักเขียน
ที่เกินกว่าจะใช้คำเรียกว่า ‘ประสบความสำเร็จ’ เสียอีก
ผลงานถูกยอมรับจากนักอ่านมากมาย
มีนักแปลต่างชาติซื้อลิขสิทธิ์ นำไปทำหนังสือขายต่อในประเทศของเขา
จนชื่อเสียงฉันโด่งดังระดับโลก
ถูกทาบทามขอสัมภาษณ์จากสื่อมากมายทั่วประเทศ
ได้จับเงินหลักร้อยล้านในเวลาไม่ถึงปี มีแฟนคลับมากมายแห่ชื่นชมและคอยให้กำลังใจ
แต่ชีวิตการเป็นนักเขียนในเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมานี้ ฉันกลับรู้สึก...ว่างเปล่า
“ข่าวไปไวจังเลยนะคะ” ฉันแค่นเสียงหัวเราะออกมา ทั้งๆ ที่ตอนนี้กำลังรู้สึกอยากร้องไห้อย่างไร้สาเหตุ
[บอกเหตุผลฉันหน่อยได้ไหมว่าเพราะอะไร?]
“บอกไม่ได้หรอกค่ะ
เพราะอิมเองก็ยังไม่ทราบเหตุผลของตัวเองเหมือนกัน อาจจะเหนื่อยแล้วมั้งคะ” ฉันหลุบตามองลงต่ำ ยกปลายรองเท้าเขี่ยพื้นซีเมนต์ที่โล่งสะอาดไปมา
[เฮ้อ~ เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันเดาใจเธอไม่ออก ยัยตัวแสบ]
น้ำเสียงคล้ายกำลังหนักใจของคุณอร
ทำให้ฉันหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย อย่างน้อยๆ ในช่วงเคร่งเครียดแบบนี้
เธอก็ยังสร้างความสุขเล็กๆ ให้กับฉันได้
[แล้วยกเลิกสัญญาไปแล้ว คิดจะทำอะไรต่อ?]
“ใช้เงินสิคะ เงินตั้งหลายร้อยล้าน
อิมยังไม่มีเวลาได้ใช้มันเลย มัวแต่ปั่นต้นฉบับส่งคุณ”
ฉันพูดติดตลกออกไป
แต่ความจริงแล้วก็มีความคิดแบบนั้น ชีวิตที่เหลืออยู่ฉันไม่อยากทำอะไรแล้ว
มันรู้สึกเหนื่อยมากกับช่วงชีวิตที่ผ่านมา
อยากพักผ่อน อยากอยู่เฉยๆ กินนอนเที่ยว ไปในที่ที่อยากไป
และก็อ่านนิยายของนักเขียนหน้าใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด
[ที่หยุดเป็นนักเขียนนี่
เพราะว่าเหนื่อยจริงๆ เหรอ?]
“คงงั้นมั้งคะ หรือบางทีอาจเป็นเพราะว่าหมดแพสชั่นแล้ว
ก็เป็นไปได้เหมือนกัน”
[ลองพักไปก่อนสักระยะ
แล้วค่อยกลับมาใหม่ดีไหม เธอเลิกเป็นนักเขียนไปดื้อๆ แบบนี้
แฟนคลับที่รออ่านผลงานของเธอเขาจะรู้สึกยังไง?]
คำว่า ‘แฟนคลับ’ กระตุกหัวใจเข้าอย่างจัง ตอนที่เริ่มเป็นนักเขียนใหม่ๆ ฉันโหยหาพวกเขาเหล่านี้มาก
และเมื่อได้มีแฟนคลับกลุ่มแรก ก็รู้สึกหัวใจพองฟูอย่างบอกไม่ถูก
น้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่ได้เพราะรู้สึกดีใจ
นั่นน่ะสิ ถ้าอยู่ๆ ฉันหายไปแบบนี้
พวกเขาจะทำยังไงนะ? เขาจะเฝ้ารอผลงานของฉันหรือเปล่า?
“ขอเวลาอิมคิดหน่อยนะคะ แล้วเดี๋ยวอิมจะโทรบอกคุณอรคนแรกเลย”
พูดจบก็กดวางสายทันที
เพราะตอนนี้พี่เอกวิ่งหน้าตาตื่นตามหาฉันอยู่
และเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าฉันอยู่ตรงนี้ เพราะร่างสูงกำลังสาวเท้าเข้ามาใกล้
ความจริงฉันเห็นตั้งนานแล้วแหละ
แต่ติดคุยโทรศัพท์อยู่ไง ก็เลยปล่อยให้นางวิ่งเล่นไปก่อน มีสายซ้อนเข้ามาหลายสาย
แต่ฉันก็ไม่คิดจะละโทรศัพท์ออกมาดูหน้าจอด้วยซ้ำ เพราะเดาได้ว่าต้องเป็นเขาแน่ๆ
ที่โทรเข้ามา
“ตายแล้ว! คุณน้องอิมคะ
พี่เอกกี้บอกให้คุณน้องรอคุณพี่อยู่ที่ตรงนู้น ทำไมถึงไม่เชื่อฟังกันบ้างห๊ะ
แล้วโทรมาก็ไม่ยอมรับสาย รู้ไหมพี่เอกกี้วิ่งตามหาคุณน้องทั่วฮอลล์เลยนะคะเนี่ย!”
เมื่อเปิดประตูออกมาเจอหน้าฉันได้ เสียงแป๋นๆ
ก็บ่นยาวเหยียด พร้อมกับเท้ามือลงบนราวเหล็ก และหอบหายใจถี่ๆ อย่างเหน็ดเหนื่อย
“รู้ค่ะ อิมเห็นอยู่ ไม่ได้ตาบอด
กระจกก็ใสมองทะลุเห็นข้างในได้ขนาดนี้” ฉันผายมือไปทางกระจก
เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายมองตาม ซึ่งเขาก็มองตามมือฉัน ก่อนจะหันกลับมาทำตาดุใส่
“น้องอิมใจร้ายกับพี่เอกกี้มากเลยนะคะ! พี่ชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ!!”
พี่เอกยืดตัวตรงพร้อมทั้งยกมือเท้าเอว
ก่อนขึ้นเสียงใส่ฉันด้วยท่าทางโกรธจัด
“ทำไมคะ พี่เอกจะไปขอลาออกกับคุณอรเหรอ?
ดีเลยค่ะ อิมรำคาญพี่จะแย่อยู่แล้ว คนอะไรก็ไม่รู้จุ้นจ้านชะมัด”
พูดจบฉันก็ก้าวเท้าเดินผ่านร่างเขากลับเข้าไปภายใน
ไม่ได้สนใจท่าทีวี๊ดว๊าย และคำต่อว่าอย่างเหลืออดที่แสดงใส่ฉันตามหลัง
“เธอมันนังมารร้าย ยัยน้องอิม!”
ถึงเราจะดูไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่
แต่เขาก็ยังดูแลฉันอย่างดีมาโดยตลอด ไม่รู้หรอกนะว่าที่เขาทำมันเป็นแค่หน้าที่
หรือความจริงลึกๆ แล้วเขาตั้งใจทำมันจริงๆ
ส่วนตัวฉันเอง
ถึงปากจะหมาคอยกัดคอยแทะเขาสารพัด แต่ก็ไม่เคยทำอะไรรุนแรงไปมากกว่าคำพูดร้ายๆ
แถมยังชอบมีของฝากติดไม้ติดมือกลับไปให้เขา เวลาออกไปเดินเล่นข้างนอกแล้วเจอของที่ถูกใจ
เวลาเขาแอบอู้ มาสาย
หรือทำตัวเหลวไหลบ้างเป็นบางหน ฉันก็ไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปฟ้องคุณอร
ให้เขาต้องเดือดร้อนเลยสักครั้ง
ก็ถือว่าเป็นผู้ดูแลกับคนที่ต้องดูแล
ที่ดูแล้วจะสมน้ำสมเนื้อกันดี อย่างกับป่าช้ากับเจดีย์บรรจุกระดูก
ฉันพอจะเดาได้ว่าพี่เอกน่าจะเจอคนขับรถแล้ว
และรถน่าจะกำลังจอดรออยู่ด้านหน้า จึงเลือกที่จะไม่รอให้เขาเดินนำ และสาวเท้ายาวๆ
เดินตรงดิ่งไปยังประตูทางออก โดยมีเขาวิ่งจ้ำตามหลังมาไม่ห่าง
CHANGE YOU PART 1 มิตรภาพจากคู่กัด
กรุงเทพ ประเทศไทย
ณ บ้านของฉัน
หลังจากกลับมาจากงานมหกรรมหนังสือที่ปารีส
ฉันก็ใช้ชีวิตตามแบบที่ได้บอกกับคุณอรเอาไว้เด๊ะเลย
ฉันนอนตื่นสายมาก
มากแบบกอไก่ล้านตัวเลยก็ว่าได้ เรียกว่าสายก็ดูจะไม่ค่อยจะตรงสักเท่าไหร่
ต้องบอกว่านอนตื่นบ่ายดูท่าจะตรงเสียมากกว่า
ตื่นมาก็ไม่ยอมลุกไปอาบน้ำ
หมกตัวเองให้กลิ่นเหม็นตุอยู่อย่างนั้น กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง
โดยในมือก็ถือไอแพดเลื่อนดูอะไรไปเรื่อย ทั้งมีสาระและหาสาระไม่ได้
หิวก็ลุกไปขนขนมกรุบกรอบสารพัดชนิด ที่ซื้อตุนเอาไว้มากองบนที่นอน
แล้วก็นอนกินจนเศษขนมร่วงเกลื่อนเตียงเต็มไปหมด
เปลือกถุงที่กินหมดแล้วก็ขยำๆ โยนลงตะกร้า
ที่อยู่ลิบๆ ข้างโต๊ะทำงาน ลงบ้างไม่ลงบ้าง
แต่ก็ไม่มีความคิดจะลุกไปเก็บให้มันเข้าที่เข้าทาง
เวลาอาบน้ำคือตอนตะวันตกดินไปแล้ว
ถึงจะได้ฤกษ์งัดตัวเองขึ้นจากที่นอน เดินไปเข้าห้องน้ำชำระความโสโครกที่หมักหมมมาทั้งวัน
เสร็จแล้วถึงจะออกไปหาอาหารมีประโยชน์กินที่ร้านข้างนอก
ก่อนกลับบ้านก็แวะดูหนังเข้าใหม่ที่เมเจอร์สักเรื่อง
และก็กลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ซึ่งยังคงเต็มไปด้วยซากขนมที่กินทิ้งไว้
ดีเท่าไหร่แล้วที่น้องมดน้องแมลงสาบ ไม่ปีนขึ้นมานอนเป็นเพื่อน
นี่คือการพักผ่อนที่ฉันปรารถนา
แต่มันกลับไม่ช่วยให้ ‘ความว่างเปล่า’ ที่กำลังรู้สึกอยู่จางหายไปเลยสักนิดเดียว
จนบางทีเกิดความสับสน ว่าการที่ฉันหยุดเขียนนิยายนั้นมันเป็นเพราะอะไรกันแน่
คืนนี้ฉันจึงตัดสินใจออกไปลองทำอะไรใหม่ๆ บ้าง
จะว่าใหม่มันก็ไม่ถูกซะทีเดียว เรียกว่าสิ่งที่ไม่ได้ทำนานแล้วจะดีกว่า
หลังจากลงจากอูเบอร์ที่เรียกใช้บริการ
มายืนบนพื้นหินอ่อนเงาวับของไนต์คลับหรู สายตาของฉันก็กวาดมองไปทั่วบริเวณ
เพื่อมองดูชายหญิงต่างวัยจำนวนมากมาย ที่กำลังยืนออรอคิวเข้าใช้บริการสถานที่แห่งนี้อยู่
แน่นอนว่าฉันไม่จำเป็นต้องไปต่อแถวยาวเหยียดนั่น
เพราะปึกธนบัตรที่อยู่ภายในกระเป๋าคลัตช์ในมือ สามารถเบิกทางให้ฉันได้เดินนวยนาดเข้าไปอย่างสวยๆ
แสงสีเสียงครบครันดูตระการตา บรรยากาศให้ความรู้สึกสนุกสนานอย่างที่ควรจะเป็น
นักท่องราตรีต่างพากันกระดกเครื่องดื่ม และโยกย้ายร่างกายไปตามจังหวะเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม
จนหัวใจเต้นตามเสียงเบสหนักๆ ไปด้วย
“น้องคะ พี่ขออะไรก็ได้ เอาแบบเข้มๆ เลย”
ทันทีที่เข้ามาถึงด้านใน ฉันก็ดิ่งตรงมายังเคาน์เตอร์บาร์
ที่มีบาร์เทนเดอร์หน้าตาหล่อเหลา แถมหุ่นยังขยี้ใจสาวๆ ยืนให้บริการลูกค้าอยู่
ดีนะที่ฉันไม่ใช่พวกบ้าผู้ชาย
ไม่งั้นเด็กหนุ่มวัย 20 ต้นๆ คนนี้ คงถูกฉันหิ้วกลับไปด้วยแน่ๆ วัยกำลังน่าขบกินแบบนี้
อร๊าย~ นี่ฉันกำลังคิดอะไรอยู่?
“ได้แล้วครับคุณผู้หญิง”
แก้วทรงสวยถูกมือใหญ่เลื่อนมาตรงหน้าฉัน
พร้อมกับที่เขาส่งรอยยิ้มหวานบาดใจแถมให้มาด้วย เล่นเอาใจฉันสั่นไหวแปลกๆ ทั้งที่มีภูมิต้านทานด้านผู้ชายอยู่พอตัว
แต่กลับเด็กคนนี้
เพียงแค่เขายิ้มและส่งสายอ้อนๆ ให้ ฉันกลับใจอ่อนระทวย
โอ๊ยตายแล้ว~ เด็กมันอ่อยเดี๋ยวก็อร่อยป้าหรอก
“ไม่ต้องทอน ที่เหลือทิป”
ฉันโชว์ทรงเจ๊ใส่ทันที ล้วงหยิบแบงก์พันขึ้นมาวางให้บนโต๊ะ
ทั้งที่ค่าเครื่องดื่มราคาไม่ถึงครึ่งของจำนวนเงิน ก่อนหยิบแก้วเหล้าที่เขายื่นให้ขึ้นถือ
และเดินกรีดกรายไปหามุมสงบๆ นั่งจิบชิวๆ
ขืนอยู่ตรงนี้ต่อไป ฉันคงได้มอบความบริสุทธิ์ ที่เก็บรักษาเอาไว้มาร่วม
28 ปีเต็ม ให้หนุ่มรุ่นน้องคนนี้แน่ๆ
ไม่ได้! ฉันจะเก็บซิงไว้ชิงโชค
“ทักครับ”
ในขณะที่ฉันกำลังนั่งตรวจความเรียบร้อยของเครื่องสำอาง
ซึ่งประโคมใส่ใบหน้ามาอย่างจัดเต็ม ผ่านเงาตัวเองในกระจกถือบานเล็กที่พกติดกระเป๋ามาด้วย
ก็ได้มีเสียงบุรุษปริศนาดังขึ้นจากทางด้านขวามือ
เรียกความหงุดหงิดให้ก่อกำเนิดขึ้นในใจเล็กน้อย
ฉันเบนสายตาหันไปมองช้าๆ แต่ไม่ได้หันหน้าไปจนสุด
เพียงแค่ชำเลืองหางตามองอย่างรำคาญเท่านั้น
เจ้าของประโยค ‘ทักครับ’ เมื่อครู่ เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวดี หุ่นดี ว่าง่ายๆ ดูดีไปซะทุกส่วน
ยกเว้นแต่...สีผม มันจะเหลืองไปไหน
อย่างกับเอาขมิ้นยีหัวมายังไงยังงั้น จากตอนแรกที่ดูน่าสนใจ
กลายเป็นว่าดูโลคลาสไปโดยปริยาย
“เป็นจิ้งจกเหรอ?”
“ครับ?”
คนที่ได้ยินประโยคคำถามซึ่งหลุดออกจากปากฉัน
ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกว่าฉันกำลังถามอะไร หรือต้องการจะสื่ออะไรกันแน่
“หูหนวกหรือสมองพิการ
ฉันถามว่านายเป็นจิ้งจกเหรอ มันตอบยากนักหรือไง?”
เป็นเรื่องปกติอย่างที่เคยบอกไปตอนแรก
ฉันไม่ด่าใครมั่วซั่ว ถ้าใครคนนั้นมันไม่มาสร้างความรำคาญ
หรือทำอะไรให้ฉันไม่พอใจก่อน และตอนนี้ผู้ชายคนนี้กำลังทำมันอยู่ ฉันกำลังรู้สึกรำคาญเขา!!
“เอ่อ...เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น”
“แล้วจะทักทำไม รู้จักฉันเหรอ?”
“ก็เปล่าครับ แค่ตอนแรกผมอยากรู้จักคุณ”
แต่ตอนนี้ดูได้จากสีหน้าเขา
เขาน่าจะกำลังรู้สึกไม่อยากรู้จักฉันแล้ว มันแสดงออกมาชัดเจนมาก
“ถามฉันยัง ว่าอยากรู้จักนายไหม?”
“โอเคครับ ผมขอโทษที่เสียมารยาท
ผมว่าผมไปดีกว่า”
ยังดีที่รู้จักมารยาท
รู้ว่าฉันไม่อยากเสวนาด้วยแล้วยอมจากไปแต่โดยดี ถ้ายังดื้อดึงจะอยู่ทำลายบรรยากาศสุดหรรษาของฉันต่อ
แม่ได้ด่าไฟแล่บแน่
“เสียอารมณ์ชะมัด!!”
สบถกับตัวเองจบ ฉันก็ยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกจนหมด
ความร้อนของฤทธิ์แอลกอฮอล์ไหลผ่านลำคอลงสู่กระเพาะ ทำให้รู้สึกร้อนวาบไปทั้งร่าง
แถมรสชาติที่ขมจนบาดคอนั่น ก็ทำให้ฉันรู้สึกอยากจะแหวะออกมา
รสชาติก็แย่
แถมยังสร้างความปั่นป่วนให้กับร่างกายอีก ทั้งปวดหัว มึนหัว และเหมือนตาจะพร่าเบลอมองอะไรไม่ชัด
สติสัมปชัญญะมาๆ หายๆ ไม่มีอะไรดีสักอย่างหลังจากที่ได้ดื่ม
ข้อเสียเยอะขนาดนี้แล้วฉันจะดื่มมันเข้าไปทำไมนะ?
ฉันค่อยๆ
ประคองร่างบอบบางของตัวเองออกจากที่นี่ ความสามารถทุกๆ
ด้านเสื่อมถอยอย่างเห็นได้ชัด เดินเซไปเซมา กว่าจะหลุดฝูงชนออกมาจนถึงประตูได้ก็ยากเอาการ
หมับ!!
แต่ในขณะที่กำลังจะก้าวออกจากประตู
ร่างของฉันกลับถูกมือใหญ่ของใครบางคน ฉุดรั้งให้ลอยละลิ่วไปยังซอกกำแพงข้างๆ
แผ่นหลังที่โผล่พ้นจากชุดเดรสเกาะอกแนบชิดไปกับกำแพง
จนสัมผัสได้ถึงความเย็นของผนังสิ่งก่อสร้าง ในขณะที่ด้านหน้า มีร่างหนาของผู้ชายที่พึ่งเข้ามาทักเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว
ยืนประชิดจนแทบจะหลวมรวมเข้าไปกับร่างของฉัน
“หน้าตาโคตรสวย แต่ปากแม่งโคตรหมา
ระวังชีวิตจะดับเพราะปากตัวเองนะครับ”
ไอ้บ้าหัวเหลืองเอ่ยกระซิบชิดริมฝีปากของฉัน
ในขณะที่ฉันพยายามบีบตัวเองให้บางที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากสัมผัสโดนร่างกายน่าขยะแขยงมัน
“ปล่อยฉันนะ!” ฉันเบี่ยงหน้าหนีไปอีกทางก่อนเค้นเสียงสั่ง เพราะกลัวจูบแรกจะโดนช่วงชิงจากระยะประชิดที่ติดกันขนาดนี้
“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่เอาเธอหรอก ปากหมาๆ
แบบนี้ไม่ใช่สเปค”
“แล้วแกต้องการอะไร?”
“เงิน! ปึกที่อยู่ในกระเป๋าเธอ...ทั้งหมด”
“…!!”
นี่สินะ เหตุผลที่มันเข้าหาฉันตั้งแต่แรก ความจริงแล้วมันไม่ได้พิศวาสอะไรกันหรอก
มันอาจจะบังเอิญได้เห็นตอนฉันหยิบเงินทิปให้พนักงานชงเหล้า
แล้วจึงเข้ามาทำทีตีสนิท
“หึ! ไม่มีปัญญาหาเองจนต้องมาปล้นเงินผู้หญิงเลยเหรอ พ่อแม่คงภูมิใจแย่
มีลูกได้เรื่องแบบนี้”
ฉันหันหน้ากลับมาเผชิญกับมัน
ก่อนแค่นเสียงเอ่ยอย่างเหยียดหยาม เรียกความตึงให้กับหน้าหล่อๆ ได้เป็นอย่างดี
“อย่ามัวแต่ปากดี เอามา! ถ้าไม่อยากนอนตายไส้ไหลอยู่ตรงนี้”
ความแหลมคมของบางสิ่ง ทิ่มแทงอยู่บริเวณหน้าท้องแบบราบของฉัน
และเมื่อเหลือบสายตามองลง ก็พบเข้ากับมีดพกขนาดพอดีมือ
ที่สะท้อนแสงไฟแวววาวหยอกล้อสายตา
ฉันรู้สึกหนาวสันหลังวาบ
ดูได้จากสายตาของคนตรงหน้าที่จ้องมองมาอย่างเรียบนิ่ง
ก็พอจะเดาได้ว่ามันทำจริงอย่างที่พูดแน่ๆ
สายตาของฉันเลื่อนมองรอบกายอย่างหาตัวช่วย
แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ มุมที่ฉันอยู่มันเป็นมุมอับสายตาพอดี
คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ก็คงเข้าใจว่าเราสองคนกำลังนัวเนียกันอยู่ ทั้งๆ
ที่ความจริงแล้วฉันกำลังโดนปล้น!!
เพราะไร้ซึ่งทางออกแล้ว
ฉันจึงต้องส่งกระเป๋าคลัตช์ราคาแพงระยับของตัวเองให้กับมัน
ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาแต่สันดานเลวไร้ที่ติ
คลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ มันรีบหยิบไปถือ
และเปิดล้วงเอาแต่เพียงปึกธนบัตรสีเทาหลายสิบใบออกมา
ก่อนเหวี่ยงสัมภาระที่เหลือของฉันทิ้งลงบนพื้น ไม่ช้ามันก็สาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อร่างกายถูกปล่อยให้เป็นอิสระและรอดพ้นจากอันตราย
ร่างของฉันก็ทรุดฮวบลงนั่งกองกับพื้น หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกกลัวว่ามันจะวาย
ฉันยกมือขึ้นทุบตรงเหนืออกด้านซ้าย เพื่อหวังจะให้มันกลับสู่สภาวะปกติ
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย
ถ้าเป็นในนิยาย สถานการณ์เมื่อครู่ควรจะเป็นฉากของพระนาง
ที่กำลังปะทะฝีปากกันอยู่ ก่อนที่พระเอกจะปล้นจูบแรกจากนางเอก
แต่...นี่มันไม่ใช่!! ฉันไม่ได้ถูกปล้นจูบหรือปล้นสวาทใดๆ ทั้งสิ้น แต่ฉันพึ่งถูกปล้นชิงทรัพย์!!
ไม่มีฉากโรแมนติกใดๆ ไร้ซึ่งฉากหวานซึ้งหรือความวาบหวาม
มีแต่ความตื่นตระหนก หวาดเสียว และน่ากลัว
มือสั่นๆ
ของฉันเอื้อมหยิบโทรศัพท์ที่ร่วงคว่ำหน้าอยู่บนพื้น
ก่อนพยายามกดโทรออกหาคนที่คิดว่าช่วยฉันได้ในตอนนี้
“โทรมาซะดึกดื่นเลยนะคะคุณน้องอิม
หัดมีมารยาท...”
“พี่เอก ช่วยอิมด้วย...”
ไม่ถึง 10 นาที
พี่เอกที่บ้านอยู่ห่างจากสถานที่ที่ฉันอยู่อย่างไกลโพ้น ก็มาปรากฏกายตรงหน้า
ฉันโผเข้ากอดเขาด้วยร่างกายที่ยังอยู่ในอาการสั่นเทา
ทั้งๆ ที่เคลื่อนย้ายตัวเองให้ออกมานั่งอยู่ในจุดปลอดภัยแล้วแท้ๆ
“ตายแล้วคุณน้องอิม! เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมตัวสั่นหน้าซีดขนาดนี้?”
บุคคลที่บึ่งรถมาหาฉัน
โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมาก รู้เพียงแค่ว่าตอนนั้นเสียงฉันสั่น
และมันมีแต่ความหวาดกลัวเจืออยู่เต็มไปหมด เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล
“อิมโดนปล้นทรัพย์ค่ะ”
ฉันยังคงไม่คลายอ้อมแขน ที่รัดรอบเอวของคนซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้า
พี่เอกเองก็ทำอะไรไม่ถูก เขาเพียงแต่ลูบผมฉันไปมาเบาๆ อย่างปลอบประโลม
“แล้วน้องอิมบาดเจ็บตรงไหนไหม
ได้รับอันตรายหรือเปล่าคะ?”
ร่างสูงพยายามดันร่างฉันออก
ก่อนจับเอียงไปเอียงมาเพื่อดูรอบๆ ร่างกาย สายตากังวลกวาดมองเรือนร่างฉันจนทั่ว
และเมื่อเห็นว่าไม่มีแม้ร่องรอยขีดข่วน ก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“อิมไม่เป็นอะไรค่ะ มันได้เงินแล้วก็หนีไป
ไม่ได้ทำอะไรอิม”
“แล้วน้องอิมแจ้งการ์ด
หรือแจ้งตำรวจหรือยังคะเนี่ย?”
“ยังค่ะ อิมยังไม่ได้แจ้งใครเลย
ตอนนั้นอิมกำลังกลัว คิดอะไรไม่ออก”
“ป่านนี้มันก็คงหนีเตลิดไปไหนต่อไหนแล้วล่ะค่ะ
ดีนะคะเนี่ยยังนึกได้ว่าต้องโทรหาพี่”
“...”
“แล้วน้องอิมพอจะจำหน้ามันได้ไหมล่ะคะ?
เราจะได้ไปแจ้งความกันถูก” เมื่อเห็นว่าฉันเอาแต่นิ่งเงียบมองมือตัวเอง พี่เอกจึงถามต่อ
“จำได้ค่ะ แต่อิมว่าอิมจะไม่แจ้งความ”
เพราะไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวาย
บวกกับไม่อยากพูดคุยกับใครทั้งนั้นในตอนนี้
ฉันจึงเลือกที่จะไม่ทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จบเงียบๆ แหละดีที่สุดแล้ว
“เอ้า! ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ
จะปล่อยมันไปทำไม?”
“อิมไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายค่ะ
ไม่อยากไปโรงพัก ตอนนี้อิมอยากกลับบ้าน” ฉันเงยหน้าทำสายตาอ้อนวอนอย่างร้องขอให้เขาเข้าใจ
และยอมโอนอ่อนตามความต้องการของฉัน และดูเหมือนมันจะสำเร็จ
“โอ๊ย! พี่เอกกี้ล่ะปวดหัวกับคุณน้องอิมจังเลย”
“ถือว่าทำบุญฟาดเคราะห์ครั้งใหญ่ไปละกันค่ะ
อีกอย่างอิมไม่ได้บาดเจ็บด้วย ช่างมันเถอะ”
“ตามสะดวกเลยค่ะคุณน้อง ป่ะ! กลับบ้านกันเถอะ”
ฝ่ามือหนาจับเรียวแขนของฉัน และค่อยๆ
ยกประคองให้ยืนขึ้น พี่เอกกี้พาฉันเดินไปยังรถยนต์ของตน ซึ่งจอดขวางอยู่ด้านหน้าทางเข้าไนต์คลับแบบไม่เรียบร้อย
ดูออกได้ในทันทีว่าเขารีบมามาก
ไม่คิดเลยว่าคนที่กัดกับฉันทุกครั้งที่เจอหน้า
ทะเลาะกันเหมือนคนที่เกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ดูยังไงๆ
ก็ญาติดีกันไม่ได้แน่ๆ ในชาตินี้
กลับเป็นคนที่ฉันคิดถึงยามประสบกับเหตุการณ์เสี่ยงตาย แถมยังพึ่งพาได้ยามลำบากแทบจะในทันที
ต่อจากนี้ฉันคงจะต้องทำตัวดีๆ กับเขาบ้างแล้วแหละ
มิตรภาพดีๆ แบบนี้ไม่ได้หากันได้ง่ายๆ
ใช้เวลาไม่นานพี่เอกก็พาฉันมาถึงที่บ้าน
เขาไม่เพียงแค่มาจอดรถส่ง แต่กลับประคองฉันเข้าไปถึงด้านในห้องนอน
สัมภาระของฉันที่พกไปด้วยทุกอย่าง
พี่เอกกี้จัดวางไว้ให้อย่างเป็นระเบียบตามโซนของมัน
แม้กระทั่งรองเท้ารัดน่อง
เขาปลดมันออกจากเรียวขาให้อย่างไม่ถือตัว
ในขณะที่ฉันนอนเป็นผักไร้วิญญาณอยู่บนเตียงเฉยๆ
“อาการมันเป็นยังไงคะน้องอิม นี่คุณน้องพกสติสตังกลับมาด้วยหรือเปล่า?”
ร่างหนาทรุดกายนั่งลงบนพื้นที่ว่างตรงขอบเตียง พร้อมยกชายผ้านวมที่กองอยู่ช่วงเอวฉันขึ้นมาคลุมกายให้
ความอบอุ่นอ่อนโยนของเขาทำให้ฉันเผลอร้องไห้ออกมา
และเมื่อพี่เอกกี้เห็นว่าฉันสะอื้นเขาก็ร้องอย่างตกใจ
“ว๊ายตายแล้ว! คุณน้องอิมร้องไห้ทำไมคะ ยังกลัวอยู่เหรอ?”
ท่าทีลนลานตาเหลือกตาปลิ้นของเขาทำฉันหลุดหัวเราะ
ทั้งๆ ที่น้ำตายังไหลไม่ขาดสาย ฉันกำลังทั้งหัวเราะและร้องไห้
จนคนที่อยู่ตรงหน้าตามอารมณ์ไม่ทัน
“ขอบคุณพี่เอกมากนะคะสำหรับวันนี้ คงจะลำบากแย่ขับรถมาตั้งไกล”
“เฮ้อ~ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่คุณน้องอิมปลอดภัยก็ดีแล้ว”
เรียวนิ้วแกร่งเกลี่ยเช็ดน้ำตาออกให้ฉัน พร้อมทั้งยิ้มให้อย่างอบอุ่น
อย่างที่ฉันไม่เคยได้รับจากใครนอกจากคุณอร
“อิมดีใจนะคะที่เห็นหน้าพี่
ถ้าไม่ได้พี่อิมคงทำอะไรไม่ถูก พี่เอกอยากได้อะไรตอบแทนสำหรับความดีในวันนี้ไหมคะ
อิมจะให้ทุกอย่าง”
“ไม่ต้องตอบแทนอะไรให้พี่ทั้งนั้นแหละค่ะคุณน้อง”
“ทำไมล่ะคะ?”
“อย่างแรกเลยมันเป็นเพราะหน้าที่
พี่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของเรา พี่ย่อมมีหน้าที่ต้องดูแลเราอยู่แล้ว”
“…”
“อย่างที่ 2 ที่สำคัญมากๆ
เลยนะคะ พี่เป็นคนจิตใจดีมีน้ำใจ ถ้าคุณน้องอิมเดือดร้อนพี่ก็ต้องช่วย
คนสวยไม่ใจร้ายหรอกค่ะ”
พูดจบพี่เอกก็ยกมือปัดผมสั้นๆ ที่ระต้นคอของตัวเองอย่างเชิ่ดๆ
นี่ถ้าเป็นเวลาปกติ ฉันคงด่าเขาว่า ‘มั่นหน้า’ ไปแล้ว
แต่นี่พึ่งจะผ่านช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานมา แล้วเขาก็พึ่งเป็นฮีโร่ขับ BMW สีขาวมาช่วยฉันเอาไว้ เพราะฉะนั้นครั้งนี้ฉันจะเออออห่อหมกตามไปก่อน
“ค่ะ พี่เอกกี้สวยมาก สวยที่สุดใน 3 โลกเลยค่ะ
แต่ถ้าในแดนนรกน่าจะสวยที่สุด” แต่สุดท้ายฉันก็อดที่จะแอบจิกกัดเขาไม่ได้อยู่ดี
“แหม~ พูดดีกับพี่ได้ไม่กี่ประโยคเองนะคะ กัดกันซะละ” เขามองค้อนใส่ฉันอย่างงอนๆ เรียกรอยยิ้มให้ฉันได้มากเลยทีเดียวกับท่าทางนั้น
“สรุปไม่เอารางวัลจริงๆ ใช่ไหมคะ?”
ฉันถามเขาอีกครั้งเผื่อเขาอยากเปลี่ยนใจ
ฉันไม่โกรธหรือมองไม่ดีหรอกหากเขาเรียกร้องอะไร
มันเป็นสิ่งที่ฉันเต็มใจจะให้เขาอยู่แล้ว
“ก็ถ้าจะให้รางวัลสำหรับความดีของพี่ในครั้งนี้จริงๆ
พี่ขอแค่ให้คุณน้องอิมเป็นเด็กดี หัดเชื่อฟังในสิ่งที่พี่บอกหรือขอให้ทำ แค่นั้นก็พอแล้วล่ะค่ะ”
ไม่คิดเลยจริงๆ นะ
ว่าสิ่งที่เขาจะขอจากฉันจะเป็นเรื่องนี้ มันเกินที่คาดเอาไว้จริงๆ
และดูเหมือนมันจะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากสำหรับฉันเสียด้วยสิ
ก็ฉันมันดื้ออ่ะ!
“เอ่อ...เปลี่ยนเป็น HERMES BIRKIN รุ่นลิมิเต็ดที่อยู่ในตู้กระเป๋าอิมแทนละกันนะคะ”
“กรี๊ด!! จริงเหรอคะคุณน้องอิม?”
และดูเหมือนพี่เอกจะถูกใจข้อเสนอใหม่ที่ฉันยื่นให้
นางรีบลุกพรวดและวิ่งเข้าไปในห้องเก็บกระเป๋าของฉันทันที
ก่อนจะถือเดินหมุนตัวออกมาด้วยหน้าตาที่ดูมีความสุขสุดๆ
แน่นอนสิ มันเป็นสิ่งที่ล้ำค้ามากสำหรับฉัน กว่าจะได้กระเป๋าใบนี้มาเลือดตาแทบกระเด็น
ออกอีเว้นท์รอบโลก 3 อาทิตย์ติด ไม่ได้หลับได้นอนขอบตาดำปี๋
ซึ่งก่อนที่จะอ้าปากเอ่ยออกมานั้น
ฉันก็คิดหนักอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าให้เลือกระหว่างเป็นเด็กดี ฉันยอมเสียเบอร์กิ้นรุ่นลิมิเต็ดดีกว่า
ดื้อเสมอต้นเสมอปลายค่ะ จบนะ?
CHANGE YOU PART 2 ร้านหนังสือประหลาด
หลังจากผ่านเหตุการณ์เกือบเอาชีวิตไปทิ้ง
ไม่รู้ว่าเพราะปากหมาๆ หรือเพราะความมั่นหน้ามั่นโหนก
พกเงินไปเยอะเกินจำเป็นของฉันกันแน่ ฉันก็ได้เพื่อนต่างวัยที่เปลี่ยนจากคู่กัดมา 1
คน
เพราะเห็นว่าฉันเบื่อหน่ายและอยากพักสมอง
พี่เอกจึงพยายามชวนออกไปเที่ยวทริปต่างประเทศ
แต่เนื่องจากฉันเป็นคนไม่ค่อยชอบการเดินทางนานๆ จึงปฏิเสธนางไปอย่างไร้เยื่อใย
และสุดท้ายนางก็ขอลาพักร้อนเป็นเวลา 2 อาทิตย์
เพื่อที่จะไปเที่ยวมันซะเอง ด้วยความที่ฉันจิตใจดีมีน้ำใจ (เหรอ?)
จึงอนุญาตให้นางไป พร้อมกับแถมเงินให้อีกจำนวนหนึ่ง
เป็นค่าใช้จ่ายทุกอย่างในทริปนี้
ไงล่ะ สวย สปอร์ต ใจดี พึ่งพาได้
แถมยังเปย์เก่ง เจ้านายอย่างฉันหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วแหละ
เมื่อพี่เอกตีปีกออกบิน
ฉันก็กลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ที่มีเพียงแค่การกิน นอน
และสไลด์ไอแพดอยู่ร่วมอาทิตย์ แล้วก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย อนาถจิตอนาถใจกับตัวเอง
เมื่อมองเห็นสภาพบ้านหนักยิ่งกว่ากองขยะ จึงตัดสินใจเรียกแม่บ้านให้เข้ามาทำความสะอาดให้
วันนี้จึงเป็นวันบิ๊กคลีนนิ่ง
ที่ฉันต้องเนรเทศตัวเองออกมาข้างนอก แล้วให้ทีมทำความสะอาดได้ขจัดสิ่งสกปรก
ออกจากบ้านได้อย่างถนัดถนี่
ด้วยความที่ไม่รู้จะไปไหน
ฉันจึงเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวตรอกซอกซอย ไม่ไกลจากละแวกบ้าน
ซึ่งมีร้านขายของกระจุกกระจิกอยู่เต็มสองฟากข้าง
โซนหน้าๆ เป็นพวกของใช้แฟชั่นน่ารักๆ
ลึกเข้าไปหน่อยก็เป็นร้านเสื้อผ้ามากมายทั้งชายหญิง
ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่านเนื่องจากไม่ใช่วันหยุด
อากาศก็ไม่ได้ร้อนเท่าไหร่เพราะยังอยู่ในช่วงต้นปี
ทำให้ฉันรู้สึกเอนจอยกับการเดินเล่นในครั้งนี้พอสมควร
แต่พอเดินไปเดินมา
กลับมาโผล่โซนที่มีกลิ่นอายของความโบราณคร่ำครึ ซึ่งอยู่ลึกเข้ามามากของตรอกนี้
ร้านค้าแต่ละร้านขายของเก่าๆ สมัยพระเจ้าเหา หน้าตาแปลกๆ
ที่ฉันรู้จักบ้างไม่รู้บ้าง
และยิ่งเมื่อเดินลึกเข้าไปข้างใน
เลเวลหน้าตาพวกของที่วางขายก็เริ่มอัพเกรด จนสุดท้ายฉันตัดสินใจที่จะหันหลังกลับ
เพื่อออกไปโซนที่ดูเจริญหูเจริญตากว่านี้
แต่ในขณะที่กำลังกลับหลังหัน
พลันสายก็ไปสะดุดเข้ากับร้านหนังสือมือสอง ที่สภาพภายนอกร้านดูทรุดโทรม
ราวกับว่าจะพังแหล่มิพังแหล่ แต่เมื่อมองผ่านเข้าไปในบานกระจกหน้าต่างขุ่นมัว
กลับเห็นว่าภายในตกแต่งได้อย่างทันสมัยมาก
ด้วยความสนใจ ฉันจึงตัดสินใจสาวเท้าตรงไปทันที
บางทีการหาหนังสืออ่าน มันอาจช่วยฆ่าเวลาในการรอได้ดีก็ได้
เมื่อสองขาพามาหยุดยืนอยู่หน้าบานประตูกระจกสีขุ่นแล้ว
ฉันจึงยกมือขึ้นเตรียมจับลูกบิดเพื่อหมุนเข้าไปภายใน ทว่ากลับต้องตกใจ
เมื่อประตูเก่าๆ บานนี้ กลับเปิดออกเองคล้ายใช้ระบบออโต้เซนเซอร์
“โอ้โห ล้ำไปอีก”
ฉันเอ่ยอย่างตกตะลึงกับตัวเองเบาๆ
ก่อนจะก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไปด้านในร้าน บอกได้คำเดียวว่าราวกับคนละโลก
ข้างนอกอย่างเก่า แต่ข้างในอย่างกับคาเฟ่ล้ำสมัย
เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นเป็นสีขาวสะอาดตา การจัดตกแต่งแนวมินิมอลสุดๆ
ไม่มีแม้ฝุ่นไรให้ระคายผิว อากาศก็เย็นฉ่ำทั้งๆ ที่มองหาแอร์คอนดิชั่นไม่เจอ
มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งฉันไม่อาจเดาได้ว่าเป็นกลิ่นอะไร แต่เมื่อสูดดมเข้าไปแล้ว
กลับรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างแปลกประหลาด
การจัดเรียงหนังสือดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
แถมยังดูเงียบสงบไร้ซึ่งลูกค้าคนอื่นๆ อยู่ภายในร้าน มีเพียงคุณลุงหน้าตาใจดี
ที่ดูแล้วอายุน่าจะราวๆ หกสิบ ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ต้อนรับเท่านั้นเอง
“สวัสดีครับคุณลูกค้า” เขาเอ่ยทักทายฉัน พร้อมส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น ฉันจึงยิ้มตอบและขยับเข้าไปใกล้ๆ
“สวัสดีค่ะ ร้านตกแต่งสวยดีนะคะ”
เพราะรู้สึกประทับใจกับการจัดแต่งร้านมาก
ฉันจึงเอ่ยชมไปหนึ่งกรุบ และยังคงกวาดตามองไปรอบๆ
เพื่อชื่นชมบรรยากาศโดยรอบต่ออีกนิด
“ขอบคุณครับ
ว่าแต่คุณลูกค้าสนใจหนังสือประเภทไหนครับ ผมจะได้แนะนำถูก” ฉันละสายตากลับมามองหน้าลุงแกอีกครั้ง ก่อนครุ่นคิดตามสิ่งที่เขาเอ่ยถาม
“อืม...ขอดูเป็นนวนิยายละกันค่ะ
พอจะแนะนำได้ไหมคะ? ไม่เอาแนวการตลาดที่ดูซ้ำซากน่าเบื่อ
นิยายรักน้ำเน่าก็ไม่เอานะคะ หนูเอียนแล้ว”
เพราะผลงานของฉันที่ผ่านมานั้นมีแต่แนวๆ นี้
ทำให้รู้สึกขยาดที่จะต้องกลับไปอ่านมันซ้ำอีก
“มีครับ เดี๋ยวคุณลูกค้าเดินตรงไปสุดทางนั้น
แล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปจนสุดอีกที
จะเจอชั้นหนังสือหมวดนวนิยายที่คุณลูกค้าน่าจะชอบอยู่ ลองเลือกๆ ดูก่อนนะครับ”
คุณลุงผายมือไปตามทางที่ต้องการจะให้ฉันเดินไป
ฉันจึงมองตามมือเขาเข้าไปจนเห็นด้านในสุด ที่มีแต่ชั้นหนังสือวางเรียงเต็มไปหมด
แต่ร้านไม่ได้ใหญ่อะไรมาก เดินๆ คลำทางไปก็น่าจะเจอเอง
เพราะที่เขาบอกก็ดูไม่ได้ไปยากเท่าไหร่นัก
“โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“ครับ มีอะไรก็เรียกได้ตลอดนะครับ
ผมยืนอยู่ตรงนี้”
“ได้ค่ะ”
จบบทสนทนาฉันก็เดินตรงไปตามทางที่ลุงแกบอกเมื่อครู่
เข้าล็อกนี้เดินตรงจนสุด แล้วก็เลี้ยวซ้ายก่อนเดินจนสุดอีกที
และแล้วก็มายืนอยู่หน้าชั้นหนังสือ ที่มีป้ายขนาดพอเหมาะเขียนติดไว้ว่า ‘วรรณกรรม/นวนิยาย’
เมื่อกวาดสายตาดูหนังสือที่เรียงรายกันอยู่
ก็เจอแต่ชื่อเรื่องธรรมดาดูน่าเบื่อ ไม่เห็นเหมือนที่ฉันร้องขอให้แนะนำเลยสักเล่ม
ฉันใช้มือแหวกๆ ดูหน้าปกเล่มแล้วเล่มเล่า ก็ยังไม่เจอสิ่งที่ถูกใจสักที
จนกระทั่ง...เล่มล่าสุดที่กำลังจะผ่านไป
ฉันสะดุดตากับหน้าปกที่ดูเหมือนไม่มีอะไร
แต่กลับให้ความรู้สึกดึงดูดอย่างแปลกประหลาด จึงหยิบมันขึ้นมาดูดีๆ
หนังสือเล่มนี้มีสีเทาทั้งเล่ม มีร่องรอยเหมือนเปื้อนอะไรบางอย่าง กระจายเป็นจุดๆ
สีน้ำตาลอ่อน
บนหน้าปกมีรูปวาดของผู้ชายคนหนึ่ง
กำลังยืนหันหลังมองดวงดาว ที่ส่องแสงสว่างเพียงดวงเดียวบนท้องฟ้าซึ่งมืดสนิท
ให้ความรู้สึกเหงาได้อย่างจับจิตจับใจ รอบกายเขาไร้ซึ่งผู้ใด
มีเพียงแต่ต้นหญ้าบนพื้นที่ว่างเปล่า และยิ่งเลื่อนสายตาไปอ่านชื่อเรื่อง
ฉันยิ่งรู้สึกหน่วงหัวใจเข้าไปอีก
‘เมื่อโลกใบนี้มีแต่คนใจร้ายกับผม’
ฉันไม่รอช้ารีบพลิกไปอ่านคำโปรยด้านหลังอย่างไว
มีเพียงข้อความคำพูดสั้นๆ ที่อ่านแล้วสะเทือนอารมณ์จนรู้สึกจุกอกเท่านั้น
‘ในเมื่อทุกคนใจร้าย ผมก็ไม่ควรใจดี...ใช่ไหม?’
ฉันกวาดสายตามองหาชื่อผู้แต่ง
แต่กลับไม่พบแม้จะพลิกหาทั้งหน้าและหลังแล้วก็ตาม
จึงตัดสินใจเปิดเข้าไปอ่านเนื้อหาภายใน
การเกริ่นเรื่องดูน่าหลงใหลและติดตามให้อ่านไปเรื่อยๆ
มันรู้สึกเพลินอย่างบอกไม่ถูก
หน้าแล้วหน้าเล่าจนฉันรู้สึกเริ่มเมื่อยที่จะยืนอ่านต่อไป
จึงหันมองรอบกายและพบเข้ากับเก้าอี้ญี่ปุ่นแบบนั่งพื้น
อยู่มุมหนึ่งของร้านห่างจากฉันไม่ถึง 5 ก้าว
ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อเล่มนี้กลับบ้าน
แต่เนื่องจากยังวางไม่ลง เพราะอยากรู้เรื่องราวของเด็กชายน่าสงสารผู้นี้
จึงเลือกที่จะอ่านมันต่อให้จบ ไม่รอช้า
ฉันดิ่งตรงไปยังเก้าอี้และทรุดกายนั่งลงอ่านต่อ
อย่างไม่มีอะไรมาฉุดรั้งให้หยุดอ่านได้
มันเป็นเรื่องราวของ ‘ดิน’ เด็กผู้ชายคนหนึ่ง ที่ชีวิตสุดแสนจะอาภัพ
เกิดในครอบครัวร่ำรวยทรัพย์สินและมีอำนาจ แต่กลับถูกสลับตัวกับลูกของ ‘แก้วตา’ ชู้รัก ที่ ‘เดชา’ ผู้เป็นพ่อแอบเอาเข้ามาอยู่ในบ้าน
และปิดบังไม่ให้ใครรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอ
สุดท้ายแล้วก็ไม่รอดพ้นหูตาของ ‘นับดาว’ ผู้เป็นเมียหลวง ที่แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าผัวนอกใจ
แต่ก็ยอมแสร้งโง่ทำเป็นไม่รู้เรื่องราว และคอยเฝ้าดูอยู่เงียบๆ
ด้วยหัวใจที่เจ็บปวด รอเวลาที่จะเอาคืนหญิงโฉดชายชั่วในสักวันหนึ่ง
ดินถูกสลับตัวและเติบโตมา
โดยคิดว่าแก้วตาเป็นแม่แท้ๆ เขาไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร เพราะหล่อนไม่ได้บอกอะไรเขา
หนำซ้ำยังปฏิบัติกับเขาเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน รังเกียจเดียดฉันท์ ทุบตีสารพัด
แม้จะถูกทารุณและถูกคนในบ้านชิงชัง แต่เขาก็ยังรักและเทิดทูนบุพการี
และยังมีจิตใจที่ดีงามมาโดยตลอด
กระทั่งวันหนึ่ง ‘ตะวัน’ คุณชายน้อยของบ้านประสบอุบัติเหตุตกลงไปในสระน้ำ ไม่มีใครสักคนอยู่แถวบริเวณนั้นนอกจากดิน
แม้ตัวเองจะว่ายน้ำไม่เป็น
แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนเดียวที่มองเขาเป็นเพื่อน และยอมเล่นด้วยมาโดยตลอด
ทำให้ดินเลือกที่จะกระโดดลงไป
เพื่อหวังจะช่วยชีวิตเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาไว้ให้ได้
และมันก็สำเร็จ ตะวันถูกผลักให้ร่างเข้าใกล้ขอบสระ
ประจวบเหมาะกับที่แก้วตาผ่านมาเห็นเหตุการณ์พอดี
เธอรีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาคว้าตัวของตะวันเอาไว้ ก่อนลากเขาขึ้นบนด้านบน
ทว่า...กลับไม่ช่วยดิน
ที่กำลังตะเกียกตะกายพยายามเอาตัวรอดจากผืนน้ำ
ที่พยายามฉุดรั้งร่างของเขาให้ดิ่งลงสู่ก้นสระ
แก้วตายืนมองดินที่ค่อยๆ หมดแรง
และเริ่มจมลงใต้ผิวน้ำด้วยสายตาเรียบเฉย แม้ใบหน้าจะนิ่งสนิทไร้อารมณ์ใดๆ
แต่มุมปากหยักกลับมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏ ก่อนหันหลังเดินจากไปพร้อมกับตะวัน
ที่ยืนตัวสั่นเพราะกำลังรู้สึกหวาดกลัว จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อครู่
ภาพสุดท้ายที่เด็กชายผู้อาภัพเห็นก่อนสติจะรางเลือน
คือคนที่เขาคิดว่าเป็นแม่แท้ๆ กำลังเดินห่างออกไป โดยไม่หันกลับมาแลเขาอีกเลย
ความรู้สึกเศร้า น้อยใจ และเสียใจ
ก่อกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ดินคิดว่าถ้าเขาตายๆ ไปซะ
ก็จะไม่ต้องทนอยู่กับเรื่องแย่ๆ อีก ทว่า...ลึกๆ ภายในใจ เขากลับยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
เพื่อแก้แค้นทุกคนที่ใจร้ายกับเขา
ดั่งพระเจ้าได้ยินเสียงสะท้อน
จากก้นบึ้งในจิตใจของเด็กชายผู้น่าสงสาร
ดินถูกช่วยขึ้นฝั่งมาได้โดยฝีมือของบุคคลปริศนา เขาลำลักเอาน้ำออกมา
และสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนพยายามลืมตามองหาผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต
แต่กลับไม่พบเงาของใครสักคน
รอดชีวิตมาได้ก็ต้องถูกลากตัวไปทำโทษ
เพราะเดชาที่รักลูกหวงลูกดั่งกับไข่ในหิน เข้าใจว่าดินทำตะวันตกน้ำ
เด็กชายวัย 12 ขวบ
ถูกโบยด้วยไม้หวายเนื้อเหนียวหลายสิบที จนผิวเนื้ออ่อนๆ แตกแยะเป็นแผลฉกรรจ์
มีเลือดไหลซึมออกมาจนดูน่าหวาดเสียว
โดยมีตัวต้นเหตุของเรื่อง ยืนมองดูเงียบๆ
ด้วยใบหน้าสำนึกผิด แต่กลับไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดของผู้เป็นพ่อ
นอกจากตะวันจะไม่คิดช่วยเขาขึ้นมาจากน้ำแล้ว
ยังปล่อยให้เขาโดนเฆี่ยนตีราวกับสัตว์อีก
แก้วตาก็ไร้ซึ่งท่าทีจะเข้ามาปกป้อง
เธอนั่งดูเล็บมือที่พึ่งทาสีเสร็จหมาดๆ ของตัวเองอย่างอารมณ์ดี
ในขณะที่ดินร้องด้วยความเจ็บปวดเจียนจะขาดใจอยู่ตรงหน้า
ไฟแห่งโทสะและความคับแค้น
ลุกโหมไหม้ในจิตใจของดิน ความเกลียดชังครอบครัวนี้ที่ใจร้ายกับเขา ทำร้ายเขา
และปฏิบัติกับเขาอย่างเลวทรามต่ำช้า ราวกับว่าเขาไม่ใช่มนุษย์
บ่มเพาะอยู่ภายในใจมาตลอดตั้งแต่วันนั้น ยิ่งความเกลียดที่มีให้กับตะวัน
คนที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็น ‘เพื่อนกัน’ ตอนนี้เหลือเพียงแค่คำว่า ‘ศัตรู’
มันกัดและกลืนกินตัวตนของเด็กชายผู้แสนดี
เปลี่ยนให้เขากลายเป็นเด็กหนุ่มแข็งกระด้าง ดินกลายเป็นคนเย็นชา
ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ อารมณ์ร้ายรุนแรง และมองโลกนี้เลวร้ายไปซะทั้งหมด
เมื่อเริ่มกลายเป็นหนุ่มดูแลตัวเองได้
ดินตัดสินใจหนีออกจากบ้าน ที่เขามองว่ามันเป็นนรกบนดิน
ไปอยู่กับแก๊งอันธพาลที่มีอำนาจ แต่ไม่เท่าอำนาจของครอบครัวเขา
หลายปีผ่านไป ดินค่อยๆ กระเสือกกระสนดิ้นรน
จนในที่สุดก็ผลักตัวเองขึ้นมาอยู่จุดสูงสุดของแก๊ง ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี
แม้จะมีอายุเพียงแค่ 20 ต้นๆ แต่ลูกน้องทุกคน กลับให้การยอมรับในความสามารถของเขา
ดินสามารถล้มผู้ทรงอิทธิพลของแก๊งอื่นๆ
ได้อย่างง่ายได้ จนสุดท้ายทำให้แก๊งของตัวเองมีอำนาจมากเกือบที่สุด
จะเหลือก็แค่เดชาเท่านั้นที่เขายังล้มไม่ได้
แต่นั่นก็ไม่เกินความสามารถ
หนึ่งเดือนก่อนวันเกิดอายุครบ 29 ดินสามารถทำให้ธุรกิจของครอบครัวที่เขารังเกียจ
และแค้นนักแค้นหนาย่อยยับลงได้
ตระกูลของเดชาสิ้นชื่อ ตกอยู่ในสถานะล้มละลาย
ทรัพย์สินเงินทองที่มีถูกดินยึดมาได้ทั้งหมด
บรรดาลูกน้องใต้บัญชาพากันกระจายตัวหนี บางส่วนย้ายฝั่งมาอยู่แก๊งดิน
จนจำนวนคนที่มีในตอนนี้ สามารถสร้างกองทัพย่อมๆ ไปออกรบแนวชายแดนได้เลย
เดชากับนับดาว
ต้องคลานเข่ามาอ้อนวอนขอความเมตตาจากเขา ให้เว้นการคร่าชีวิตของทุกคนในครอบครัว
ดินจึงยื่นข้อเสนอ 1 ชีวิต
แลกชีวิตของทุกคนทั้งหมด เขาต้องการเพียงชีวิตของตะวัน
เพื่อนวัยเด็กที่แย่งทั้งความรักจากแม่ของเขา และทรยศมิตรภาพ
สิ่งเดียวที่ดินมองว่ามันสวยงามที่สุด ตะวันทำลายมันจนย่อยยับในวันนั้น
ไม่มีใครยอมรับข้อเสนอนี้
นั่นทำให้ดินโกรธเกรี้ยว และเลือกที่จะปฏิบัติกับครอบครัวนี้เยี่ยงทาส
เขาส่งทุกคนไปเหมืองแร่ เพื่อทำงานชดใช้หนี้ที่ไม่มีปัญญาจ่ายให้กับเขา
เหลือเพียงแค่คนที่เขาเกลียด
กับผู้หญิงที่เขาทั้งรักทั้งเกลียดในเวลาเดียวกัน
แก้วตากับตะวันหลบหนีไปได้
ไม่รู้ว่าตอนนี้ทั้งคู่ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่ดินยังคงไล่ล่าตามหาตัวไม่เลิก
เขาพลิกแผ่นดินหาเพื่อนวัยเด็ก กับผู้หญิงที่เข้าใจว่าเป็นแม่มาโดยตลอด
จนในวันเกิดอายุครบ 29 ปีบริบูรณ์ ตะวันก็โผล่หัวออกมา
ดินได้รับแจ้งข่าวจากลูกน้อง
ว่าพบเจอตะวันอยู่แถวโกดังร้างของเดชา แต่ยังหาตัวของแก้วตาไม่พบ
เพราะความเร่งรีบและร้อนใจเขารีบบึ่งรถไปทันที
โดยไม่ทันคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง
และเมื่อมาถึงก็พบเข้ากับตะวันที่สภาพดูทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด จากการกินอย่างอดๆ
อยากๆ เพราะต้องคอยหลบซ่อน ทำให้ออกไปหาอาหารไม่ได้ บวกกับเงินก็ไม่มีเหลือติดตัวอีกแล้ว
เมื่อ 2 อดีตเพื่อนรักในวัยเด็กเผชิญหน้ากัน
จึงเกิดการปะทะฝีปากอย่างดุเดือดขึ้น ดินเกิดโทสะขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
หยิบปืนที่พกมาขึ้นเล็งตะวันซึ่งยืนห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว
ระยะนี้สำหรับดิน
ไม่มีพลาดเป้าอย่างแน่นอนหากเขาเหนี่ยวไก
คำถามสุดท้ายถูกเอ่ยออกไปก่อนจะตัดสินใจลั่นกระสุน
‘วันนั้น...ทำไมถึงไม่คิดจะช่วยฉัน?’
ตะวันนิ่งเงียบก้มต่ำมองลงพื้น
สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และในขณะที่กำลังยืนนิ่งค้างกันอยู่ในท่านั้น
เสียงปืนก็ดังขึ้นหนึ่งนัด แต่จุดกำเนิดเสียงกลับไม่ได้มาจากปากกระบอกปืนของดิน
มันมาจากมือของบุคคลปริศนา ที่ยืนแอบอยู่หลังกำแพงใกล้ๆ มาตั้งแต่แรก
ร่างของดินเอนเอียงและล้มลงนอนกองกับพื้น
เลือดสีสดค่อยๆ ซึมออกมาจนเปื้อนเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา
ก่อนกระจายเป็นวงบนพื้นปูนขรุขระ
ดวงตาคมที่ลืมค้างเพราะยังไม่ทันสิ้นสติ
เหลือบมองร่างระหงของแก้วตา ที่เดินนวยนาดออกมาจากหลังกำแพง
เธอก้าวช้าๆ ไปหาตะวันอย่างไม่เร่งรีบ
ก่อนยกมือข้างที่ว่างเช็ดหยาดน้ำตาซึ่งซึมออกมาให้กับเขา ในมืออีกข้างของเธอ
ถือปืนกระบอกที่พึ่งลั่นไกเอาไว้หลวมๆ
ดินรู้สึกเจ็บลึกในอก
จนร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่ได้ น้ำตาหยดแรกในรอบ 14 ปีที่ไม่เคยมีใครได้เห็น
ไหลออกมาเมื่อรับรู้ว่าผู้เป็นแม่ เป็นคนส่งกระสุนให้มาคร่าชีวิตเขา
จนวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ
ดินก็ยังไม่รู้ถึงสาเหตุของความเกลียดชัง
ที่แก้วตามีให้กับเขาถึงขั้นอยากให้ตายไปพ้นๆ ชีวิต
ภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็น คือแม่ของเขากำลังยืนโอบประคอง
คนที่เขาเกลียดอย่างอ่อนโยน ทั้งๆ ที่สายตาซึ่งมองมาทางร่างเขา
เต็มไปด้วยความสะใจที่เขากำลังจะตาย
“ห๊ะ! ทำไมจบงี้อ่ะ?”
ฉันลั่นออกมาอย่างเสียงดังด้วยความรู้สึก ‘อิหยังวะ’ กับตอนจบที่ดูไม่ค่อยจะเป็นธรรมกับตัวเอก ก่อนพลิกหน้ากระดาษเพื่อเปิดหาส่วนที่เหลือ
ที่คิดว่าอาจจะขาดหายไปแต่กลับไปพบแม้รอยฉีกขาด
มันไม่ยุติธรรมเลยหากนิยายเรื่องนี้จะจบแบบนี้
ไม่ใช่ว่าตัวเอกห้ามตายนะ แต่ดินควรจะต้องได้รู้ก่อนไหมว่าแก้วตาไม่ใช่แม่
ไม่ใช่ปล่อยให้เขาตายไป ทั้งๆ ที่ยังคิดว่านังงูพิษนั่นเป็นแม่แท้ๆ และตัวเองก็ยังรู้สึกน้อยใจหล่อน
จนลมหายใจสุดท้ายหมดลง
คนเขียนใจร้ายชะมัด!!
“นี่ถ้าสามารถแก้ไขผลงานของคนอื่นได้นะ
ฉันจะรีบทำเลย คนอะไรไร้หัวใจชะมัด เนื้อเรื่องก็สนุกดีนะ แต่ตอนจบโคตรแย่!!”
บ่นเสร็จฉันก็พลิกหน้ากระดาษเตรียมปิด และตั้งใจว่าจะไม่ซื้อกลับไปแล้ว
เพราะรู้สึกไม่ประทับใจตอนจบสักเท่าไหร่
แต่ในขณะกรีดนิ้ว
แผ่นกระดาษที่เก่าแล้วและค่อนข้างมีความคม กลับบาดนิ้วฉันจนเลือดซึมออกมาเล็กน้อย
ฉันไม่ได้สนใจอะไรและลุกขึ้นเดินจะเอาไปวางไว้ที่ชั้น
ทว่า...ตอนที่กำลังจะเสียบหนังสือกลับจุดที่มันเคยอยู่
จู่ๆ ก็เกิดความร้อนขึ้นบริเวณที่ฉันจับ มันร้อนมากจนฉันไม่สามารถทนถือต่อไปได้
และปล่อยให้หนังสือนิยายตกลงสู่พื้น
ความนิ่งสงบที่มีมาตั้งแต่แรกค่อยๆ หายไป
แทนที่ด้วยกระแสลมรุนแรงจากไหนก็ไม่รู้ พัดหมุนให้มั่วไปหมด
ผมเผ้าของฉันกระเซอะกระเซิง จนต้องรวบเอาไว้ไม่ให้มันปรกใบหน้า
สายตาฉันเริ่มสังเกตเห็นว่าหนังสือที่กางอยู่บนพื้น
ถูกลมพัดกระพือจนไปถึงหน้าสุดท้าย ซึ่งเป็นตอนจบเฮงซวยที่ฉันไม่ปลื้มเอาเสียมากๆ
ก่อนจะมีแสงประหลาดสว่างวาบขึ้นมา ทำให้ฉันแสบตาจนต้องหลับตาปี๋
ไม่นานนักก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของร่างกาย
มันคล้ายๆ มีแรงดึงดูดบางอย่าง ดึงฉันให้ก้าวเดินไปข้างหน้าทีละนิดๆ
ทว่าเมื่อพยายามลืมตาขึ้นไปดู กลับทำไม่ได้เพราะแสงที่ยังคงส่องอยู่นั้น
มันจ้าเกินกว่าจะมองอะไรเห็น
และก่อนที่ทุกอย่างจะดับสนิท
รวมถึงสติสัมปชัญญะของฉันด้วย ฉันก็แอบได้ยินเสียงของคุณลุงเจ้าของร้าน
คล้ายเอ่ยกระซิบอยู่ข้างหูว่า
‘ลุงฝากด้วยนะ’
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!