ในประเทศซิสมานอสซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ ทางฝั่งตะวันตก มีวังหลวงแห่งหนึ่งชื่อว่า ทริปเปิ้ล พาเลซ ออฟ ซิสมานอส เป็นเสมือนมหึมาคฤหาสน์ของเหล่าราชวงศ์ ซึ่งในวังพื้นที่กว้างขวางได้แบ่งออกเป็นวังเล็กวังน้อยสำหรับครอบครัวต่าง ๆ
บริเวรด้านหน้าของวังทีแม่น้ำใหญ่สีมรกตให้สามารถพายเรือเพื่อเก็บดอกบัวหลากสีมาเชยชมได้ ทั้งยังมีต้นไม้ใหญ่รอบราขวังที่คอยแผ่กิ่งก้านใบสีเขียวชะอุ่มแก่ผู้คนทั้งในและนอกเสมอมา
เจ้าหญิงโคลตี้ในวัย 17 ปี รูปร่างสมส่วน สีผิวขาวนวล ทรงผมสีบลอนทองยาวจรดไปจนถึงกลางหลัง ดวงตาโตคมกริบได้ผู้เป็นบิดามาไม่มีผิดเพี้ยน เป็นบุตรสาวคนกลางของเจ้าหญิงคาไมล์กับเจ้าชายคิมเบิร์คแห่งซิสมานอส
โคลตี้กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หัวล้านที่ทำจากไม้พันธุ์ชั้นดี ในมือจับด้ามพู่กันแท่งหนึ่งบรรจงวาดลวดลายลงบนกระดาษวาดรูปแผ่นใหญ่ตรงหน้าอย่างตั้งใจ สายตาคอยชะเง้อมองแม่น้ำอันแสนกว้างขวางบริเวณหน้าวังที่เต็มไปด้วยดอกบัวหลากสีสัน และแน่นอนว่า ภาพวาดที่เจ้าหญิงได้บรรจงแต่งแต้มเติมสีนั้น ช่างสวยสดงามเหมือนของจริงไม่มีผิดเพี้ยน
แต่ทันใดนั้นเอง สายลมจากที่ใดไม่มีใครทราบ ได้พัดผ่านมากระทบต้นไม้ทุกชนิดจนใบไม้เขียวชะอุ่มใบใหญ่เป็นปลิวไหวไปตามแรงลมจนมีกลิ่นอายดินโชยมา
ปลั่ก!
จานสีรูปทรงวงรีซึ่งมีสิบหลุมได้ตกลงบนพื้นหญ้าเตียนสีเขียวอ่อนจนทุกสีหกปนกันบนหญ้าผืนนั้นไปจนหมด
เธอก้มลงมองอย่างไม่สบอารมณ์ขณะที่พู่กันในมือก็ชะงักอยู่อย่างนั้น พลางถอนหายใจเฮือกเล็กออกมาอย่างเหนื่อยใจ เจ้าหญิงโคลตี้ภายใต้กระโปรงทรงดินสอและเสื้อคอกะลาสีแขนพองสีขาวผุดผ่องลุกยืนขึ้นก่อนจะนั่งยองเพื่อเก็บจานหลุมเปื้อนสีขึ้นมา
แต่แล้วเธอกลับชะงักไป เมื่อนึกขึ้นได้ว่าจริง ๆ แล้วไม่จำเป็นตัองเก็บเองก็ได้
“พี่ไฝ …พี่ไฝ!!” เธอเอ่ยเรียกคนรับใช้ประจำกายที่ยืนดูลสดลาวอยู่หน้าประตูวังหลังขนาดของครอบครัวเจ้าหญิงคาไมล์ สาเหตุที่เรียกคนของตนเช่นนั้น เพราะเจ้าตัวมีจุดเด่นคือไฝเม็ดใหญ่ตรงโหนกแก้มข้างซ้าย แต่ความจริงแล้วชื่อจริง ๆ ของเธอ คือ ฮันนั่นเอง
“ค่า ค่าา มาแล้วคเพคะเจ้าหญิง” คนรับใช้ในชุดเสื้อผ้าแสนธรรมดาแต่ก็ดูภูมิฐานสำหรับคนของวังหลวง สาวอายุราวกลางคน เมื่อได้ยินเสียงแหลมปรี๊ดของเจ้าหญิงก็รีบกุลีกุจอวิ่งมาหาเจ้าตัวโดยเร็ว
“หยิบจานสีให้ฉันหน่อย” สุ้มเสียงวางอำนาจออกคำสั่งเสียงหนักแน่นก่อนจะกลับไปนั่งหลังตรงบนเก้าอี้หัวล้านดังเดิมด้วยท่าทางทีมีสง่าราศีทุกการเคลื่อนไหว
ฮันได้ยินเช่นนั้นไม่รอช้ารีบหยิบจานหลุมเปื้อนสีเปรอะขึ้นมาเช็ดทำความสะอาดด้วยผ้ากันเปื้อนที่คาดเอวของตนอยู่ทันที ก่อนจะวางบนโต๊ะเล็กซึ่งเตี้ยระดับเอวของเจ้าหญิงในเวลาต่อมา
จากนั้นสาวรับใช้วัยกลางคนค่อยบรรจงหยิบหลอดสีต่าง ๆ มาบีบใส่หลุมให้เต็มทุกหลุมตามหน้าที่หลักของตนที่เคยทำมาตลอดระยะเวลาหลายปี
“เอาสีขมพูมาให้ฉันที” โคลตี้เอ่ยคำขอ ยื่นเพียงมือด้านขวามาขอจานหลุม ส่วนมือซ้ายกำลังเกลี่ยสีที่ยังเป็นก้อนเล็ก ๆ ให้ละเอียดขณะที่สายตายังคงจดจ่อไปยังรูปวาดตรงหน้าที่จวนจะเสร็จเต็มที
“เอ่อ…” ฮันอ้ำอึ้งเล็กน้อยกวาดสายตามองดูรอบโต๊ะเล็กนั้ร แต่กลับพบว่า
“สีชมพูหมดแล้วเพคะเจ้าหญิงโคลตี้” ก้มหน้าหลุบคอมองต่ำ คอยลุ้นระทึกไปด้วยว่าเจ้าหญิงจะตอบเช่นไร
“อ้าว! หมดก็ผสมใหม่ขึ้นมาสิ!” เจ้าหญิงละสายตาจากภาพวาดฉับพลัน เสียงแหลมแฝงแววหงุดหงิดอยู่ภายใน ก้มลงมองหญิงสาวที่นั่งบนพื้นหญ้าด้วยสายตาโกรธเคือง ยิ่งภาพวาดชิ้นโบว์แดงของตนใกล้สำเร็จก็ดูเหมือนอะไรที่ไม่เป็นดั่งใจจะขัดหูขัดตาไปเสียหมด
“คะ..คือ.. ขออภัยเพคะเจ้าหญิง ฮัน…ผสมไม่เป็น..เพคะ” ฮันตอบกลับเสียงติดขัดด้วยความหวาดผวา กลัวว่าเจ้าหญิงโคลตี้จะฟาดงวงฟาดงาเหมือนครั้งก่อนอีก ที่เธอให้ฮันผสมสีม่วงให้ แต่คนรับใช้ความรู้น้อยกลับจำไท่ได้เสียที ว่าสีม่วงมันก็แค่นำสีแดงกับน้ำเงินมาผสมกันก็เท่านั้น
คนรับใช้หรือคนที่มีชนชั้นต่ำกว่าในราขสังแห่งนี้ มักเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเสมอ เพราะหากใช้สรรพนามว่า ‘ฉัน’ นั่นหมายถึงตนมีชนชั้นที่สูงกว่าอีกฝ่าย
“โอ๊ยย! วันนี้จะเสร็จมั้ย ภาพวาดฉันน่ะ!” โทสะครอบงำจิตใจอีกครา โคลตี้ขว้างพู่กันเล่มงามลงบนพื้นหญ้าด้วยความหงุดหงิด เพราะภาพวาดนี้ใช้เวลาหลายวันเหลือเกิน
ไหนจะต้องแอบซ่อนผู้เป็นบิดามารดา แอบซ่อนผู้เป็นพี่สาวที่คอยจ้องแต่จะเล่นงานเธอให้จมดิน ถึงอย่างนั้นโคลตี้ก็ไม่คิดทอดทิ้งความฝันของตัวเอง
“เจ้าหญิงเพคะ นี่ก็จวนที่เจ้าหญิงคาไมล์กับเจ้าชายคิมเบิร์คจะกลับมาแล้ว หากท่านทั้งสองมาเห็นเจ้าหญิงหญิงวาดรูปอีก …คงจะ…” ฮันเว้นวรรคประโยคหลังเอาไว้ไม่กล้าแม้แต่จะคิดภาพ ว่าหากบิดามารดาของเจ้าหญิงมาเห็นเข้า ว่าเธอกลับมาวาดรูปอีกครั้ง วังคงได้แนกเป็นเสี่ยง ๆ เป็นแน่
“ฮึ่ย!! เพราะหล่อนแท้ ๆ เพียงออ!!” เจ้าหญิงพ่นคำสบถด้วยความหงุด ยังคงเข้าใจว่าเพียงออซึ่งเป็นหญิงสาวชาวไทยชนชั้นต่ำที่มีหน้าที่ดูแลม้าทั้งหมดในพระราชวัง นำเรื่องงานอดิเรกของตนไปฟ้องบิดามารดา นั่นจึงเป็นสาเหตุให้โคลตี้จงเกลียดจงชังเพียงออจนถึงทุกวันนี้ เพราะตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โคลตี้ก็โดนกดดันยิ่งกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน เจ้าหญิงคาไมล์และเจ้าชายคิมเบิร์คที่พร้อมทั้งลูกสาวคนโตอย่างเจ้าหญิงล่าน่า นั่งอยู่ตรงเบาะหลัวของรถยนต์สุดหรูสัญชาติอังกฤษสีน้ำตาลเข้ม เป็นรุ่นลิมิเต็ดที่มีเพียงสามคันในโลก แต่เจ้าหญิงคาไมล์ผู้เป็นพระชายาของเจ้าชายคิมเบิร์คลูกชายคนสุดท้องของราชินีก็สรรหามาจงได้
รถที่ทั้งสองนั่งอยู่โดยมีสารถีเป็นคนนำทาง พลางชะเง้อมองทางข้างหน้าที่กำลังเคลื่อนไปด้วยความเร็วปกติด้วยสีหน้าเป็นกังวล ห่วงใยบุตรสาวคนกลางยิ่งกว่าอะไร
วันนี้ทั้งสามมีภารกิจที่จะต้องออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อที่จะพาบุตรสาวคนโตไปแนะนำให้กับท่านดยุกแห่งซิสมานอสที่สองรู้จัก ซึ่งถือว่าเป็นประเทศแฝดน้องที่เพิ่งแยกตัวออกจากซิสมานอสที่หนึ่งไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว
โดยเจ้าหญิงลาน่าผมสีบลอนทองเช่นเดียวกับบิดามารดา เธอมีอายุใกล้ครบ 20 ปีบริบูรณ์เต็มที จึงต้องรีบมองหาเจ้าชายที่มีชนชั้นสูงกว่าหรือเท่ากันโดยเร็ว
ทว่าลาน่ากลับไม่พอใจเท่าใดนัก ที่บิดามารดาเอาแต่บังคับชีวิตของเธอ ทั้งที่ตนมีอะไรอยากจะทำอีกมากมายในวังหลวง จะอิจฉาก็แต่น้องสาวคนกลางที่ตอนนี้อายุ 17 ปีเข้าไปแล้ว แต่ก็ยังได้อยู่ในวังใหญ่สบายใจเฉิบ ไม่เหมือนเธอ ที่จะต้องจากบ้านไกลในอีกไม่นาน
“ท่านพ่อ ท่านแท่เพคะ ลูกไม่ชอบเจ้าชายแห่งซิสมานอสที่สองเลย หนวดเคราก็พะรุงพะรัง อายุก็ห่างจากลูกเป็นไหน ๆ”
ลาล่าซึ่งนั่งระหว่างกลางคนทั้งสองลองงัดลูกไม้อ่อนอ้อนบิดามารดาอีกคราหวังว่าท่านทั้งสองจะใจอ่อนอีกครั้ง
“ลาน่า นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ลูกบอกปัด หืม?” บิดาหันมาโต้ตอบด้วยใบหน้ารู้ทัน
“นั่นสิ อีกไม่กี่เดือนลูกก็จะครบ20ปีแล้วนะ ต้องรีบแล้ว” มารดาก็หันเติมเสริมประโยคของเจ้าชายคิมเบิร์คเช่นกัน
“หึ! แต่ลูกไม่ชอบคนแก่กว่านี่นา” ลาน่าดึงสีหน้าทำทีเป็นงอน ยังคงหาข้ออ้างต่าง ๆ นานาเพื่อให้การหาคู่เลื่อนออกไป
“แก่กว่าลูก 3 ปีเนี่ยนะ? ลูกรู้มั้ย ว่าท่านพ่อกับแท่ อายุห่างกันเท่าไหร่” มารดาตอบกลับด้วยคำถาม
ลาน่าได้ยินดังกล้าวก็หันมองซ้ายขวาไปยังบิดามารดาสลับกันด้วยสายตาพิจารณา ดูแล้วทั้งสองคงอายุห่างกันมากกว่าห้าปีเป็นแน่ คิดเช่นนั้นแล้วเธอก็ได้แต่กลับมานั่งพิงเบาะรถถอนหายใจอย่างหน่ายใจดังเดิม
ในเวลาไม่ช้า สารถีก็เริ่มชะลอรถ เมื่อราชวงศ์ทั้งสามชะเง้อมองทางด้านหน้าก็พบว่าราขวังอยู่อีกไม่ไกล
“นี่ ไปจอดส่งฉันประตูหลังก่อนนะ แล้วค่อยไปส่งเจ้าชายคิมเบิร์คกับเจ้าหญิงลาน่าที่วัง” คาไมล์ออกคำสั่งก่อนที่สารถีจะหันหัวรถกลับทันควัน
ดูแล้วเจ้าหญิงคาไมล์จะมีอำนาจมากกว่าเจ้าชาวคิมเบิร์คอยู่บ้าง เพราะเธอมาจากรัฐอื่นและเนื้อแท้แล้วยศถาบรรดาศักดิ์ก็สูงกว่า แต่ก็ยอมลดตัวมาอภิเสกสมรสกับเจ้าชาย เนื่องด้วยมองเห็นว่าซิสมานอสมีในสิ่งที่รัฐของตนไม่มี โดยเฉพาะอัญมณีต่าง ๆ จึงต้องการที่จะกอบโกยสมบัติเหล่านั้นมาเป็นของตน
ทว่าของพวกนั้นคาไมล์ไม่สามารถทำเพียงลำพังได้ จึงต้องใช้บุตรสาวคนกลางเข้าช่วย เพราะซิสมานอสนั้นมีวัฒนธรรมแปลกประหลาด ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวไหน หากผู้นั้นเป็นบุตรคนกลางก็จะทีสิทธิพิเศษหลายอย่าง โดยเฉพาะการได้รับเลือกเป็นคิงหรือควีนเมื่อถึงเวลา
ส่วนบุตรคนสุดท้อง ถือว่าต่ำเตี้ยเรี่นดินที่สุด แทบจะไม่มีใครมองเห็นเลยด้วยซ้ำ ซึ่งเจ้าชายคิมเบิร์คก็เป็นหนึ่งในนั้น คาไมล์จึงต้องขึ้นมาเบ่งอำนาจแทนเขาในหลาย ๆ เรื่อง เพราะถือว่าตนมีบุตรมากกว่าสองคนแล้ว ก็ถือได้ว่าตนมีคนกลางที่จะสืบทอดเจตนารมณ์แทน
“ทำไมล่ะเพคะท่านแม่” ลาน่าเอ่ยถามเสียงฉงนพลางมองทางข้างหน้าสลับกันไป จำได้เพียงว่า ทางประตูหลังจะมีคอกม้าหลังใหญ่โตขอฃวังอยู่ไม่ไกล
“นั่นสิ น้องจะไปทำอะไรทางนั้น ตรงเข้าทางหน้าเลยไม่ดีกว่าหรอกเหรอ” คิมเบิร์คเอ่ยท้วงเช่นกัน แต่มีหรือที่จะเปลี่ยนใจคาไมล์ได้
“น้องอยากจะไปดูนังคนชั้นต่ำนั่นให้แน่ใจเพคะ ว่ามันขัดคำสั่งน้องบ้างรึเปล่า” ดวงตาคมกริบแฝงแววความร้ายกาจอยู่ภายใน ตอบกลับผู้เป็นสวามีด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
สิ้นสุดคำตอบดังกล่าวภายในรถก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งสองจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ ว่าคาไมล์ต้องการจะไปดูอะไรเพื่อให้แน่ใจ
จะว่าไป นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ลาน่าเพิ่งนึกจะสงสารโคลตี้เป็นครั้งแรก เพราะถึงแม้หล่อนจะเป็นบุตรคนกลางที่ได้รับอภิสิทธิ์หลากหลาย แต่ชีวิตก็เหมือนนกตัวหนึ่งที่ถูกขังอยู่ในกรงไม่ต่างจากเธอ หากจะมีเพื่อนสักคนก็ต้องโดนสั่งห้าม จะทำจะเล่นอะไรสักหน่อยก็ต้องโดนจับตามอง เพราะหากทำอะไรผิดพลาดไปก็อาจโดนตัดสิทธิ์เข้าชิงตำแหน่งควีนในอนาคตได้
ทว่าความสงสารนั้นกลับมีได้ไม่ถึงเสี้ยวของความอิจฉาริศษยาที่มีมาเสมอ..
สารถีขับรถพาเจ้าหญิงคาไมล์มาจนถึงประตูหลังเป็นที่เรียบร้อยก่อนที่จะมีเหล่าบริวารเดอนมาต้อนรับพร้อมด้วยร่มคันใหญ่ที่บดบังแสงแดดจนมิด
หญิงสาววัยกลางคนในชุดกระโปรงสีฉูดฉาด รองเท้าสั่งทำพิเศษ ผมสั้นสีบลอนทองถูกดัดให้เป็นหยิกศกทั้งยังสวมใส่ไม้คาดผมที่ทำจากไม้พันธุ์งามเพื่อให้ดูสวยสะดุดตาโกงอายุ เธอบรรจงถอดแว่นดำออกก่อนจะส่งให้บริวารที่โน้มตัวลงมาเล็กน้อยรอรับอยู่ด้านหลังอย่างนอบน้อม
“พาฉันไปที่คอกมาซิ” เสียงแหลมวางอำนาจออกคำสั่งท่าทางเด็ดขาด พร้อมทั้งบริวารที่คอยกางร่มคันใหญ่ให้ก็คอยเดินตามระวังไม่ให้คาไมล์โดนแสงแดดแม้แต่น้อย
เจ้าหญิงคาไมล์พร้อมด้วยคนของเธอเดินไปตามทางเรื่อย ๆ จนกระทั่งผ่านต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งจะมีทางเป็นซอยเล็กให้เลี้ยวเข้าไป ทว่าทางตรงนั้นเป็นดินลูกรังเสียทั้งหมด ล้วนมีแต่กรวดหินแทบหาช่องว่างให้ย่ำเท้าไม่ได้เสียเลย
หญิงสาวผู้ทีอำนาจยืนสะอิดสะเอียนอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงรังเกียจ
“อื้อหือ! นี่ยังไม่มีใครมาปรับปรุงตรงนี้อีกเหรอ” ชี้นิ้วต่อว่าบริวารทั้งหลาย กวาดสายตาสอดส่องไปมาบริเวรนั้นพร้อมเบะปากด้วยท่าทางรังเกียจ
“ยังเลยพะย่ะค่ะ” บริวารชายหนุ่มคนหนึ่งตอบขึ้น
“เฮอะ! แต่คิดไปคิดมาก็ดีแล้วเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องเปลืองงบ ใช้ทำอย่างอื่นคงมีประโยชน์กว่า” คาไมล์ยกแขนขึ้นกอดอกพร้อมทั้งมองทางลูกรังข้างหน้า ตอบกลับความคิดตัวเองเพียงลำพังด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ ก็แค่ทางเข้าคอกม้าทางหนึ่ง คงไม่ต้องดูแลอะไรให้มากความ
“งั้นไปอีกทางเถอะพะย่ะค่ะ เดินไกลสักหน่อย แต่ลู่ทางดีกว่า” บริวารชายคนสนิทคนเดิมเสนอแนวทางให้ ความจริงแล้วก็มีอยู่อีกทางที่สามารถไปได้ แต่ที่คาไมล์เลือกทางนี้ตั้งแต่แรก เพราะมันใกล้กว่านั่นเอง
“อืม ๆ” พยังหน้าตอบอย่างเสียอารมณ์ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางเดิน หากรู้ว่าเส้นทางตรงนี้ยังไม่ได้ปรับปรุง คงให้สารถีขับรถเข้ามาอีกหน่อย
เมื่อเดินตามทางไปเรื่อย ๆ ผ่านต้นไม้ทั้งน้อยใหญ่ พลางเงยหน้ามองนกกระจิบที่ร้องรำทำเพลงอยู่บนกิ่งไม้ด้วยความเพลินใจ กลิ่นรากดินลอยเข้าจมูกตามสายลมพัด รับรู้ได้ถึงธรรมชาจิอันสวยงามในวังแสนกว้างขวางแห่งนี้ ครั้นมองเยื้องไปไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่อาจเห็นได้ว่าประตูหน้าวังอยู่ที่ใด เพราะมีพื้นที่กว้างขวางเหลือเกิน
ในที่สุดเจ้าหญิงคาไมล์ก็ถึงที่หมายเสียที เธอมองเห็นเด็กสาวที่ต้องการพบเจออยู่ไม่ไกลมากนัก
เธอผู้นั้นชื่อ ‘เพียงออ’ เป็นเด็กสาวชาวไทยที่ถวายตัวรับใช้พระราชวังแห่งซิสมานอส ด้วยเพราะเจ้าชายคิมเบิร์คซื้อตัวมา เพราะเห็นว่าหล่อนมีความรู้เรื่องม้าดีจึงอาจช่วยฝึกสอนให้โคลตี้ได้
แต่ก็ต้องอยู่ในสายตาของคาไมล์ทุกฝีก้าว..
ทางด้านเพียงออในชุดเสื้อยืดผ้าลื่น กางเกงผ้าวอมสวมใส่สบายพร้อมด้วยรองเท้าแตะ ทรงผมถูกมัดเกล้าขึ้นไปด้านบนเพื่อจะได้ไม่เกะกะการทำงาน
ครั้นเมื่อคาไมล์เดินเข้าไปเกือบถึงตัวอีกคน ก็จะเห็นว่าเธอผู้นั้นกำลังยืนทำความสะอาดให้ ‘ลีโอ’ ม้าสีขาวหมอกตัวโปรดของตนอยู่ โดยในมือเพียงออมีกราดเหล็กอันหนึ่ง กราดตามตัว ตามคอ เพื่อให้ขี้รังแคออกให้หมด และเธอจะดูแลเช่นนี้กับม้าทุกตัวในวังหลวง
ครั้นเด็กสาวเดินไปข้าง ๆ เพื่อทำความสะอาดบริเวรลำตัวขอฃลีโอ ก็จะเห็นหางตาว่าหญิงสาวยืนมองอยู่ไม่ไกล
เด็กสาวผมดำเงางาม ใบหน้าขาวสง่าไร้สิวหรือฝ้าใด ๆ สันจมูกโด่งได้ต้นแบบมาจากพ่อของตน ดวงตาสองชั้นแววตาคมคายแตกต่างจากผู้คนในซิสมานอสนัก
เพียงออเห็นเช่นนั้นก็หยุดชะงักการกระทำทุกอย่างลง ก่อนจะเดินเข้าหาเจ้าหญิงคาไมล์ด้วยท่าทางนอบน้อม แต่ก็ไร้ซึ่งรอยยิ้มที่คนไทยพึงมี
“มีอะไรให้รับใช้เพคะ” เสียงหวานก้มหน้าเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นเจ้าหญิงคาไมล์อยู่ตรงนี้ เพื่อเฝ้าดูบุตรสาวคนกลางซ้อมขี้ม้า
คนโดนถามได้ยินดังกล่าวก็กวาดสายตามองไปยังสนามหญ้าแสนกว้างใหญ่ มีมีเหล่าเชื้อราชวงศ์คนอื่น ๆ ขี้ม้าเล่นกันตามประสา ทว่ากลับไม่มีลูกสาวของตนเสียอย่างนั้น มีก็แต่ลูกชายคนเล็กที่ยิ้มร่าอยู่บนหลังม้า
“โคลตี้ล่ะ วันนี้เจ้าหญิงโคลตี้ได้มาซ้อมที่นี่รึยัง” น้ำเสียงวางอำนาจเอ่ยขึ้น หลังตรงยืดอกด้วยท่าทางสง่างามพลางสบตาอีกคนไม่วาง
“เอ่อ…ยังเพคะ” เพียงออกกระอึกกระอีกที่จะตอบ หากแต่รู้ว่าอนาคตจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“อะไรนะ! วันนี้ฉันไปข้างนอกมาทั้งวัน ยังไม่มาซ้อมอีกงั้นเหรอ รู้มั้ย ว่าโคลตี้ทำอะไรทั้งวัน?” สุ้มเสียงเริ่มหงุดหงิดที่รู้ว่าบุตรสาวคนกลางคนสำคัญไม่รู้จักหน้าที่เอาเสียเลย ทั้งที่คุยกันรู้เรื่องแล้ว ว่าให้รีบขยันซ้อมขี่ม้าเข้า อีกเพียงสามปีเท่านั้นที่โคลตี้จะต้องเข้าโรงเรียนในโรงเรียนประจำชื่อดังแห่งซิสมานอส ซึ่งมีแต่รัชทายาทหรือเชื้อราชวงศ์ไปเรียน การแข่งขันขี่ม้าประจำปีจองโรงเรียนจึงเป็นลู่ทางเดียวที่คิงและควีนจะเห็นความสามารถ
“หม่อมฉันก็ไม่รู้เพคะ” ก้มหน้าตอบกลับ มือทั้งสองประสานกันไว้ข้างหน้าด้วยท่าทางนอบน้อม
“หม่อมฉัน?” คาไมล์แสดงท่าทีสงสัย จ้องหน้าอีกคนแน่นิ่งพบางเดินเข้าหาเจ้าตัวอีกก้าวหนึ่ง บริวารที่ยืนกางร่มให้จำต้องขยับตามด้วยเช่นกัน
“ฉันบอกแล้วใข่มั้ย ว่าห้ามเอาวัฒนธรรมบ้านหล่อนมาใช้ที่นี่ เรียกชื่อแทนตัวเองซะ อย่าใช้คำว่าหม่อมฉันอีก จะต้องให้ฉันเตือนอีกกี่ครั้ง!” ชี้นิ้วต่อว่าอีกคนไม่ยั้ง แววตาสื่อความโทสะออกมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออีกคนยังไม่ทำตามคำสั่งเสียที
เพียงออได้ยินดังกล่าวก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะยืนยันจุดยืนของตน
“หม่อมฉันถนัดแบบนี้มากกว่านี่เพคะ อีกอย่างเจ้าชายคิมเบิร์คก็อนุญาตแล้ว..” พูดจบก็หลุบตามองต่ำทันทีอย่างรู้ตัว ไม่อยากจะโดนหาว่าปีกกล้าขาแข็งเข้าให้ แต่ก็..ไม่ทันเสียแล้ว
“ฮึ! อย่าคิดว่าเป็นคนของเจ้าชายแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้นะ คอยดูเถอะ โคลตี้ได้เป็นควีนเมื่อไหร่ ฉันจะให้หล่อนปลดเธอเป็นคนแรก!”
สิ้นสุดยทสนทนาคาไมบ์ก็เดินหันหลังกลับไปเพื่อขึ้นรถให้สารถีไปส่งยังหน้าวังของเธอต่อ ส่วนเพียงออได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น พลางจ้องมองคาไมล์ด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย นึกสงสารโคลตี้จับใจ ว่าเธอต้องลำบากแค่ไหนที่มีแม่ซึ่งเปรียบเสมือนเจ้าชีงิตเช่นนี้
…โปรดติดตามตอนต่อไป…
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!