NovelToon NovelToon

โอกาสรักครั้งที่ 2

บทนำ

ศึกบนเตียงยามเช้าตรู่ผ่านไปร่วมสองชั่วโมง

ในที่สุดผลแพ้ชนะก็ออกมาจนได้ คนที่หมดแรงและทิ้งตัวนอนแน่นิ่งหมดสภาพ คือผู้ชายร่างใหญ่กำยำที่ออกแรงกระแทกกระทั้นใส่ฉันไม่ยั้งนั่นเอง

ขณะฉันนอนคว่ำหน้ายกมือเท้าคาง

ทอดสายตามองเขาด้วยสายตาขบขันอยู่ข้างๆ

มือข้างที่ว่างก็เกลี่ยไล้แก้มใสอย่างเย้าหยอก

ไม่คิดเลยจริงๆ

ว่าจะต้องรู้สึกอึดอัดเพราะหัวใจเต็มไปด้วยความสุขจนแน่นขนาดนี้ อิ่มเอมใจสุดๆ

ราวกับสาวแรกรุ่นที่ประสบความสำเร็จในการแอบรักผู้ชายคนแรก

“หมดแรงแล้วเหรอ? พ่อคนปากเก่ง”

หมับ!

อยู่ดีๆ

คนที่นอนนิ่งไม่ไหวติงไปแล้ว กลับยกมือขึ้นมาคว้ามือฉันไว้แน่น

ดวงตาคมปรือมองกันอีกครั้งและหลับไป ก่อนจะอ้อมแอ้มพูดอะไรที่ฉันฟังไม่ถนัด

จนต้องเอียงหูเข้าไปใกล้ๆ เพื่อฟังให้ดีอีกที

“ขอโทษนะ... ขอโทษที่ปล่อยให้ไอ้ไมลล์ทำร้ายเธอ”

“...”

“ฉันรู้สึกผิดกับเธอจริงๆ นะนับเก้า”

“...!”

“ฉัน... สงสารเธอจัง”

“...!!”

เหมือนจะเป็นประโยคขอโทษปกติ

ถ้าไม่มีประโยคสุดท้ายหลุดออกมาจากปากเขา

ขอโทษก็ส่วนขอโทษสิ

รู้สึกผิดอันนี้ก็เข้าใจได้ แต่ทำไมต้อง...สงสาร?

คำหวาน

การเอาใจใส่ และทุกอย่างที่ทำให้ทั้งหมด มันแค่ความสงสารเท่านั้นเหรอ?

นี่ฉันคิดไปเองฝ่ายเดียวอีกแล้วใช่ไหม?

ฉันนี่มันน่าสมเพชจริงๆ ที่คิดว่าเขาเองก็มีใจอีกครั้ง

ถึงว่าทำไมผู้ชายหล่อ

รวย แถมสมบูรณ์แบบไปซะทุกด้านอย่างเขามาขอโอกาสฉัน ที่แท้ก็แค่...สงสาร!!

“เก็บไว้สงสารตัวเองเถอะ ฉันไม่ต้องการ ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!!”

ฉันกระชากมือกลับและลุกลงจากเตียงก้าวดุ่มๆ

ออกจากห้องนอน ก่อนเดินไปหยิบชุดคลุมอาบน้ำซึ่งกองอยู่บนพื้นในห้องโถงมาใส่ลวกๆ

ไม่คิดจะหันกลับไปสนใจคนที่ยังนอนคล้ายหลับสนิทเบื้องหลัง

ดิ่งกลับห้องตัวเองด้วยความรู้สึกที่พึ่งแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ

ได้โปรดเถอะพระเจ้า...

ถ้าจะให้ฉันเจ็บ ขอเจ็บแค่วันนี้เป็นวันสุดท้าย เพราะฉันทนรับมันต่อไม่ไหวอีกแล้ว

1ถล่มงานวิวาห์

1ถล่มงานวิวาห์

สิบหกชั่วโมงก่อนหน้า

ตึก

ตึก ตึก

รองเท้าส้นสูงสีดำสนิทมันวาวความสูงสี่นิ้ว

ที่ฉันใส่มาให้เข้ากับเดรสสีเดียวกัน กระแทกลงบนพื้นหินอ่อนขัดมันจนเกิดเสียงดังก้อง

ขณะกำลังก้าวเท้าเหยียบย่ำไปบนสถานที่จัดงานวิวาห์สุดหรูหรา ของอดีตแฟนเก่าหมาดๆ

ที่พึ่งสะบั้นรักฉันทิ้งอย่างไม่ไยดีเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ทั้งๆ

ที่อีกสามเดือนต่อจากนี้เรากำลังจะแต่งงานกันแล้วแท้ๆ

ฉันเข้าใจว่าการที่เขาต้องการยุติความรักร่วมแปดปีของเราลงนั้น

เป็นเพราะเหตุผลที่เขาบอกกับฉัน ว่าต้องการไปทำตามความฝันอย่างเต็มที่

ทว่า...ฉันกลับได้ข่าวมา

ว่าเขากำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับผู้หญิงอีกคน

ที่ฉันเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเป็นเธอคนนี้ และนี่คือเหตุผลจริงๆ

ที่ฉันถูกเทก่อนวันงานแต่งของตัวเอง

วันนี้ฉันจึงมาปรากฏกายที่นี่

เพื่อทำลายงานวิวาห์เฮงซวยของคู่ชายโฉดหญิงชั่วให้พังพินาศ

ในเมื่องานแต่งของฉันย่อยยับไปแล้ว

พวกมันก็อย่าได้หวังจะมีความสุขบนความทุกข์ของฉันเลย

“เจ้าสาวพูดหน่อยไหมคะ

ว่าวันนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

เสียงพิธีกรซึ่งถูกเชิญให้มาทำหน้าที่ในงานแต่งวันนี้ดังขึ้น

พร้อมยื่นไมค์ลอยอีกตัวที่ถืออยู่ในมือให้เจ้าสาวแสนสวยซึ่งยืนอยู่ข้างๆ

ถัดไปไม่ห่างมีร่างของเจ้าบ่าวกำลังยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข

สายตาคู่นั้นทอดมองเจ้าสาวของตัวเองด้วยแววตารักใคร่

ซึ่งฉันเห็นแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียนกับความรักโสโครกที่แผ่ออกมาจนรู้สึกได้

ดวงหน้าสวยซึ่งถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเบาๆ

สไตล์เจ้าสาวเกาหลีพยักหน้ารับเล็กน้อย และทำท่าจะยื่นมือไปรับไมค์มาถือไว้

แต่กลับต้องชะงักเพราะถูกฉันพูดแทรกขึ้นเสียก่อน

“ไม่ต้องพูดหรอกความในใจ

พวกเธอสมควรสารภาพความระยำของตัวเอง และกล่าวคำขออโหสิกรรมกับฉันมากกว่า”

สายตาทุกคู่หันพรึ่บมามองทางฉันเป็นตาเดียว

เป็นจังหวะที่เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของคู่บ่าวสาวพอดี

ระยะห่างเพียงแค่สองช่วงแขนเท่านั้น

ฉันสามารถจิกหัวของพวกมันและจับโขกกันได้อย่างสบาย

แต่ตอนนี้ฉันจะยังไม่ลงมือทำอะไรทั้งสิ้น

จะอดทนให้มากที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้

เพราะยังหวังว่าจะได้รับคำอธิบายที่ดีพอ และคำขอโทษอย่างจริงใจจากพวกมัน

“นับเก้า!

เธอ...มาได้ยังไง?”

‘ไมลล์’ เพื่อนในวัยเด็กที่ผันตัวมาเป็นแฟนหนุ่มผู้แสนดี แม้ตอนนี้เขาจะเป็นเพียงแค่อดีตไปแล้ว

แถมเปลี่ยนจากแสนดีเป็นแสนเลวอีกต่างหาก

ทำหน้าตาตื่นตกใจแบบขีดสุด

และละล่ำละลักเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวลอย่างเห็นได้ชัด

ไม่ต่างจากเจ้าสาวของเขาที่ตอนนี้หน้าซีดเป็นไก่ต้ม

เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตาเมื่อได้เห็นหน้าฉัน

“ทำไม

ไม่คิดจะเชิญอดีตแฟน มาร่วมเป็นสักขีพยานในความรักเหม็นคาวเน่าเฟะของพวกเธอหน่อยเหรอ?”

ฉันกดเสียงต่ำข่มอารมณ์ถามกลับด้วยประโยคสุดแสนจะเชือดเฉือน

ถึงจะแสดงออกเพียงความเคร่งขรึมสงบนิ่ง และจิกกัดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

แต่อีกฝ่ายก็น่าจะเดาได้ว่าฉันกำลังรู้สึกเช่นไร

“ขอร้องล่ะนะ

เธอช่วยกลับไปก่อนได้ไหม มีอะไรเดี๋ยวเราค่อยคุยกันทีหลัง”

ไมลล์ปรี่เข้ามาประชิดและยกมือข้างหนึ่งแตะต้นแขนฉันเบาๆ

พร้อมทั้งกระซิบพอให้ได้ยินเพียงแค่เราสองคน

ฉันจึงเบี่ยงตัวออกเล็กน้อยเพื่อให้หลุดจากสัมผัสอันน่าขยะแขยง

“อย่าเอามือสกปรกของนายมาแตะตัวฉัน!”

ฉันตวาดเสียงดังลั่นและจ้องอีกฝ่ายกลับตาเขม็งอย่างโกรธจัด

ก่อนพูดขึ้นต่อโดยไม่ปล่อยให้คนซึ่งทำท่าจะอ้าปากปราม ได้มีโอกาสได้เอ่ยอะไรออกมา

“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับผู้ชายสารเลวอย่างนายแล้วไมลล์

ฉันเข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว เข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยด้วย”

“...”

“ที่มาในวันนี้

คือมาเสนอทางเลือกให้พวกเธอ 2 ทาง”

“…”

“1.

สารภาพความเลวของพวกเธอออกมาให้หมด ต่อหน้าทุกคนที่อยู่ที่นี่ และขอโทษฉันซะ

หรือ...”

“...”

“2.

ให้ฉันพังงานแต่งงานของพวกเธอให้สมใจอยาก และบอกไว้เลยนะ

ไม่ว่าจะขยันจัดกันอีกสักกี่งาน ฉันก็จะตามไปพังให้มันพินาศไม่ให้เหลือซาก”

“…!!”

“มันจะเกินไปแล้วนะพี่นับเก้า!”

คนที่เอาแต่ยืนเงียบไม่กล้าเงยหน้ามองตั้งแต่ต้น

จู่ๆ ก็เกิดอาการอดรนทนต่อไปไม่ได้

ปรี่เข้ามาหาพร้อมกับตะคอกใส่ฉันอย่างไม่ละอายแก่ใจ

“หุบปาก!!

ผู้หญิงหน้าด้านที่แย่งแฟนชาวบ้านอย่างเธอ ไม่มีสิทธิ์มาตวาดใส่ฉัน

แม้แต่การที่เธอยืนอยู่ตรงนี้ต่อหน้าฉัน เธอยังไม่สมควรทำเลยด้วยซ้ำ”

“...!!”

“เธอควรจะรีบไสหัวออกไปจากตรงนี้นะ

เพราะต่อจากนี้อีกไม่นานหน้าเธออาจแหกได้!!”

ฉันสวนกลับทันควันอย่างเริ่มเหลืออด

ในที่สุดการปะทะก็ได้เกิดขึ้น แม้จะไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือมีแค่ฝีปากที่สาดใส่กันไปมา

แต่กลับไม่มีใครหน้าไหนกล้าที่จะเข้ามายุ่ง

ทุกคนยืนทำหน้าตกอกตกใจมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นอยู่กับที่เงียบๆ

แม้กระทั่งพ่อแม่บ่าวสาว ที่สมควรเข้ามาลากฉันออกไปจากงานแต่งของลูกพวกเขา

แต่พวกนั้นกลับไม่ทำ ก็คงจะอยากรู้เรื่องราวเน่าเฟะที่ฉันกำลังจะแฉนั่นแหละ

“พี่นั่นแหละที่ควรออกไป

ในเมื่อพี่ไมลล์บอกเลิกไปแล้วก็ควรเลิกยุ่งกับเขาได้แล้วไหม

จะมาวุ่นวายอะไรกับพวกเราอีก?”

มือเล็กๆ

ข้างหนึ่งยกขึ้นดันไหล่ฉันด้วยแรงที่เธอมี ทำให้ร่างฉันเซถลาถอยหลังไปครึ่งก้าว

ดีที่มีใครบางคนยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง และประคองให้ฉันกลับมายืนได้ต่ออย่างมั่นคง

ด้วยความที่เป็นฝ่ายถูกกระทำก่อน

ทำให้รู้สึกเดือดดาลจนไม่คิดจะหันกลับไปสนใจ

คนที่ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย

แต่เลือกที่จะโต้ตอบคนตรงหน้ากลับแทน

เพี๊ยะ!!

ทันทีที่ตั้งหลักได้

ฉันจึงง้างฝ่ามือฟาดลงบนแก้มเนียนใสอย่างสุดแรง จนใบหน้าสวยหันไปตามแรงตบ

พร้อมกับร่างเล็กล้มลงนั่งกองกับพื้น

“เหมียว!!”

ไมลล์รีบถลาเข้าไปประคองเจ้าสาวของตัวเองด้วยความเป็นห่วง

ภาพตรงหน้าและอาการที่เขาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยกันทำให้ฉันยิ่งหงุดหงิด

“หัดสำนึกในความเลวที่พวกเธอทำกับฉันหน่อยนะ”

“…”

“เธอ!

ฉันมองเธอเป็นน้องสาวที่ไว้ใจได้มาตลอด มีอะไรก็บอกก็เล่าให้ฟังแทบทุกอย่าง

ฉันไว้ใจเธอมาก ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าน้องสาวแสนน่ารักที่เคยไว้เนื้อเชื่อใจ

จะแทงข้างหลังกันได้ลึกขนาดนี้”

“...”

“ส่วนนาย!

ผู้ชายที่ฉันมอบความรักความซื่อสัตย์และกำลังจะมอบชีวิตให้

กลับตอบแทนสิ่งพวกนั้นด้วยการหักหลังฉันอย่างเจ็บแสบ”

“…”

“ถามจริง

พวกเธอทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง? ไมลล์ อีกแค่ 3 เดือนเรากำลังจะแต่งงานกันแล้วแท้ๆ

ทำไมนายถึงทิ้งฉันมาแต่งกับเหมียว?”

ฉันยืนกำมือแน่นจนเล็บที่ไว้ยาวจิกเข้าไปในเนื้อ

ความรู้สึกเจ็บบนฝ่ามือยังไม่เทียบเท่ากับความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจเลยด้วยซ้ำ

ดวงตาสองคู่ที่ดูคล้ายจะสำนึกผิดมองมา

แต่สุดท้ายกลับเบนหนีไปทางอื่น และไม่มีแม้แต่คำตอบหรือคำขอโทษใดๆ หลุดออกมาจากปาก

“สรุปทางเลือกที่เสนอให้

พวกเธอเลือกทางที่ 2 สินะ?”

เมื่อเอาแต่อมพะนำไม่ยอมพูดอะไรกันออกมา

ฉันจึงถามซ้ำถึงสิ่งที่ยื่นข้อเสนอไปให้เมื่อตอนต้น

“พอเถอะเก้า...”

ไมลล์ลุกขึ้นยืนประชันหน้ากับฉันเต็มความสูง

สีหน้าดูเหลืออดเต็มที่ เขากวาดสายตามองรอบๆ ข้าง ที่ตอนนี้กำลังมีแขกเหรื่อยืนจ้องพวกเราตาไม่กะพริบ

และสุดท้ายก็มาหยุดสายตาที่ฉันอีกครั้ง

“พอ?”

ฉันทวนคำซ้ำอย่างไม่เข้าใจ

ว่าที่เขาบอกให้พอนี่คือพอเรื่องอะไร ในเมื่อฉันยังไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง

“ในเมื่อฉันหมดรักเธอแล้ว

ถึงเธอจะดื้อดึงหรือพยายามทำอะไรต่อไป ฉันก็คงกลับไปรักเธอเหมือนเดิมไม่ได้อีก”

“…!!”

“ยอมรับความจริงแล้วกลับไปซะ

อย่าทำตัวเองให้มันดูน่าสมเพชไปมากกว่านี้เลย”

“...!!!”

ทุกถ้อยคำที่สาดใส่หน้าฉันรุนแรงยิ่งกว่าการถูกตบฉาดใหญ่

หน้าฉันชาดิก ปลายมือเท้าเย็นเฉียบ

ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้จากปากผู้ชายที่เคยรัก

ผ่านไปชั่วหนึ่งอึดใจที่ฉันยืนสตั้นนิ่ง

ความรู้สึกช็อกค่อยๆ จางหายไป และแทนที่ด้วยความโมโหซึ่งพุ่งทะยานสูงจนแตะเพดานอารมณ์

ฉันง้างฝ่ามือขึ้นอีกครั้ง

และตั้งท่าจะตบร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าให้หัวทิ่มไปกับพื้น

ทว่า...กลับมีมือใหญ่ของใครบางคน ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังมาคว้าและรั้งข้อมือของฉันเอาไว้

เมื่อหันหน้ากลับไปมองด้วยอารมณ์ขุ่นมัวก็ต้องรู้สึกตกใจแทน

เมื่อเจ้าของมือที่จับฉันไว้ คือผู้ชายอีกคนซึ่งฉันรู้จักดีมากกว่าที่รู้จักไมลล์เสียอีก

เพราะเราสองคนโตมาด้วยกันไงล่ะ

“วิน...”

น้ำเสียงเบาหวิวหลุดออกมาจากลำคอฉัน

ขณะเปล่งเสียงเรียกชื่อของคนที่ยืนขนาบข้าง พร้อมจ้องมองใบหน้าหล่อเหลา

ซึ่งยังคงมีเค้าโครงเดิมที่คุ้นเคยด้วยสายตาเลื่อนลอย

ราวกับทุกอย่างรอบตัวมีเพียงเราสอง

ความรู้สึกโมโห โกรธ เกลียด และเสียใจ มลายหายไปสิ้นเมื่อได้พบหน้าเขาอีกครั้ง

“มือบอบบางของเธอ

ไม่ควรจะกระทบกับหน้าด้านๆ ของมัน เอานี่ดีกว่า”

วินเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม

พร้อมกับยัดขวดไวน์ที่ด้านในมีของเหลวเหลือไม่ถึงครึ่งใส่มือฉัน

ฉันเข้าใจได้ในทันทีว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร จึงไม่รอช้าที่จะทำตามอีกฝ่ายแนะนำ

เพล้ง!

“โอ๊ย!!”

“พี่ไมลล์!!”

ฉันฟาดขวดไวน์ลงบนศีรษะของไมลล์เต็มแรง

ด้วยเชื้อความโกรธที่ยังคงมีอยู่ในหัวใจ

จนเขาเซถลาและล้มลงไปนั่งกองบนพื้นอย่างหมดท่า

เลือดสีแดงฉานไหลออกมาจนเปื้อนปกเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดเต็มไปหมด

เหมียวที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้น จึงรีบโผเข้าไปดูอาการเจ้าบ่าวตัวเองอย่างร้อนรน

ทุกคนในงานเริ่มแตกตื่นเมื่อเหตุการณ์ดูรุนแรงขึ้น

“จะไปโรงพักหรือโรงพยาบาลก่อนดีล่ะ? ยังไงก็โทรบอกด้วยละกันนะ ฉันจะรอรับสาย”

นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ฉันกล่าวทิ้งท้าย

ก่อนจะหันหลังเดินกรีดกรายออกจากพื้นที่ตรงนั้น

ด้วยท่วงท่าเชิดหยิ่งและรอยยิ้มเหยียดอย่างพึงพอใจ

ไม่เคยรู้สึกสะใจขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ

!!

2 รักแรก แรกรัก

2 รักแรก แรกรัก

“ไปไหนต่อเหรอเก้า?”

เสียงทุ้มต่ำที่ดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้ฉันซึ่งกำลังยืนมองหารถแท็กซี่อยู่บริเวณหน้าโรงแรม

ต้องหันกลับไปมองเจ้าของประโยคคำถาม

ร่างสูงสมส่วนในชุดสูทสั่งตัดเนื้อดีกำลังสาวเท้ายาวๆ

เข้ามาหา ใบหน้าคุ้นตาที่ดูหล่อกว่าแต่ก่อนคลี่ยิ้มเล็กๆ มาให้

ดวงตาสีดำสนิทราวกับท้องฟ้ายามรัตติกาลไร้ซึ่งแสงเดือนดารา

ไม่ว่าจะมองสบครั้งไหนก็ทำให้ใจสั่นไหวได้เสมอ

วินสาวเท้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆ

กันก่อนยกมือทั้งสองข้างเท้าเอวเอาไว้ สีหน้าเขาดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย

คล้ายผ่านการทำอะไรบางอย่างที่ต้องออกแรงมา

คงไม่ได้วิ่งตามฉันมาหรอกนะ?

“นายตามฉันออกมาเหรอ?”

แทนที่จะตอบคำถาม

แต่ฉันเลือกที่จะถามเขากลับด้วยความสงสัย

“อ่าห๊ะ หมดธุระพอดี ไม่รู้จะอยู่ต่อทำไม”

“แล้วตามฉันมาทำไม?”

“ฉันไม่ใจดำขนาดปล่อยเพื่อนให้เศร้าอยู่คนเดียวหรอกนะ

ดูก็รู้แล้วว่าวันนี้เธอฉายเดี่ยว หรือว่าเอาใครมาด้วย?”

ใบหน้าคมคายหันมองรอบข้างอย่างสำรวจ

แต่เมื่อไม่พบใครที่เข้าเค้าว่าเป็นคนรู้จักฉัน วินจึงหันกลับมามองกันอีกครั้ง

“ฉันมาคนเดียว”

“ว่าแล้วเชียว เธอมันเจ้าแม่สายสตรองของจริง”

“แล้วทำไมไม่อยู่ดูแลเพื่อนรักนายล่ะ

เลือดอาบขนาดนั้นไม่ห่วงหน่อยเหรอ?”

ฉันนึกถึงภาพไมลล์ที่หัวแตกเลือดไหลโชก

เพราะถูกขวดไวน์ฟาดอย่างเต็มแรงก็นึกสะใจอีกครั้ง

จึงคลี่ยิ้มขบขันกับตัวเองออกมาอย่างไม่ปิดบัง จนคนตรงหน้าระบายยิ้มตาม

“มันสมควรโดนแล้วล่ะ ไม่คิดเลยจริงๆ

ว่ามันจะทำกับเธอแบบนี้”

จู่ๆ รอยยิ้มบนริมฝีปากหยักก็จางหายไป

และความรู้สึกคล้ายโกรธเคืองก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาแทน

“นายไม่รู้เรื่องเลยเหรอ

เป็นเพื่อนสนิทกันนี่ ไมลล์ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเลยหรือไง?”

“ฉันพึ่งกลับมาไทยได้แค่ 3 วันเอง

ไอ้ไมลล์มันโทรไปบอกให้มางานแต่ง ตอนแรกเข้าใจว่ามันแต่งกับเธอ

แต่พอมาถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ จะเข้าไปถามก็ไม่ค่อยสะดวกเพราะมันยุ่งอยู่กับการรับแขก

ก็เลยว่าจะรอคุยตอนจบงาน พอดีเธอมาไขความกระจ่างให้ซะก่อน”

“อ่อ...”

ฉันรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่วินดูไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น

แต่ก็พอเข้าใจได้เพราะเขาไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่จบมัธยมปลาย

ทำให้เกิดระยะห่างระหว่างเรา จนการติดต่อสื่อสารก็ขาดช่วงไปโดยปริยาย

แต่หลักๆ แล้วสาเหตุของความห่างเหิน

ไม่ได้มาจากการที่เขาหนีไปเรียนเมืองนอกหรอก

มันเป็นเพราะเรื่องไร้สาระที่เกิดขึ้นก่อนเขาจะไปต่างหาก

และเรื่องนั้นก็ทำให้ฉันตัดสินใจคบกับไมลล์ด้วย

เรื่องไร้สาระที่ว่าก็คือ...ความรักระหว่างเพื่อนสนิท

แถมยังเป็นรักสามเส้าอีกต่างหาก

ไมลล์ชอบฉันแต่ฉันดันชอบวิน

ส่วนวิน...ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกันแน่ เขาปฏิบัติกับฉันพิเศษกว่าผู้หญิงคนอื่น

อาจเพราะเราเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันด้วยหรือเปล่า เขาเลยดูแลใส่ใจฉันมากกว่าใคร

และเพราะได้รับอะไรที่มันมากกว่าคนอื่น

จึงทำให้เผลอคิดไปเองว่าเขาก็คิดแบบเดียวกัน

แต่สุดท้ายแล้วมันก็มีเพียงฉันที่คิดไปเองฝ่ายเดียว

เพราะวันที่นัดเขามาเจอเพื่อขอคำตอบในความสัมพันธ์ เขากลับส่งไมลล์มาแทน

หลังจากนั้นไม่ถึงสามวัน วินก็บินไปต่างประเทศโดยไม่ลากันสักคำ

มันเป็นอะไรที่รู้สึกแย่มากๆ

ฉันคิดว่าเขาคงรังเกียจที่รู้ว่าฉันคิดกับเขาเกินเพื่อน

เพราะไม่งั้นทำไมแค่คำบอกลาแค่คำเดียว ถึงไม่มีให้กันสักหน่อยล่ะ จริงไหม?

“แล้วเธอ...เป็นไงบ้างล่ะ?”

วินคงเห็นว่าฉันเงียบไปและดูเหม่อๆ

จึงพยายามจะชวนคุยต่อเพื่อให้บรรยากาศดูไม่อึดอัด

“ก็ตามสไตล์คนโดนหักหลังนั่นแหละ

แต่อาจจะหนักกว่าคนอื่นหน่อย เพราะฉันโดนทิ้งก่อนถึงวันแต่งงานของตัวเอง ทั้งๆ

ที่เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว แม้กระทั่งการ์ดก็แจกแล้วจนหมด”

นึกถึงเรื่องนี้แล้วก็เครียด

ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว แต่ฉันกลับไม่กล้าบอกใครเลยแม้กระทั่งแม่ของตัวเอง

วินคือคนแรกที่รู้เรื่องงานแต่งของฉันล่ม อีกแค่สามเดือนจะถึงวันงาน

ฉันจะจัดการปัญหานี้ยังไงดี?

ดีนะที่ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าบ่าวของฉันคือใคร

ตอนแรกก็น้อยใจนะที่ไมลล์ไม่ยอมให้เล่าให้ใครฟังว่าเราคบกัน

เพราะเขาเป็นนักร้องมีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ ยิ่งช่วงหลังๆ

มานี้ทุกเพลงที่ถูกปล่อยออกมาเป็นกระแสจนฮิตติดชาร์ต

ความสัมพันธ์ของเราก็เลยเป็นความลับมาตลอด

แม้กระทั่งครอบครัวของทั้งสองฝ่ายยังไม่เคยถูกพาไปทำความรู้จัก

บนการ์ดแต่งงานก็มีเพียงอักษรย่อของชื่อเล่นบ่าวสาวเท่านั้น ดูลึกลับสุดๆ

พรีเวดดิ้งก็ถูกถ่ายแบบเบลอๆ ให้เดากันเอาเองว่าเป็นใคร

มีชัดอยู่รูปเดียวแถมยังไม่ให้ฉันเอาไปอวดใครอีกนะ

ไมลล์บอกว่าจะจัดงานแถลงก่อนถึงวันแต่งงานของเรา

แต่ดูท่าแล้วน่าจะได้จัดแถลงข่าว

โดนแฟนเก่าตีหัวกลางงานแต่งที่จัดขึ้นกับแฟนใหม่ซะมากกว่า

นึกแล้วก็งงตัวเองเหมือนกัน

ว่าฉันทนคบกับไอ้ผู้ชายเฮงซวยจอมเห็นแก่ตัวคนนี้มานานตั้งแปดปีได้ยังไง

อย่างว่าแหละเนอะ แฟนคนแรก

อะไรก็ดูหน้ามืดตามัวไปหมด พอถูกทิ้งถึงจะมาได้สติ

ว่าที่ผ่านมามีแต่ฉันที่อินอยู่ฝ่ายเดียว ทั้งๆ

ที่เขาเป็นคนมาสารภาพรักและขอคบก่อนแท้ๆ

ไอ้ประโยคที่ว่าผู้หญิงเริ่มจากศูนย์

ส่วนผู้ชายเริ่มจากร้อยนี่ไม่เกินจริงจริงๆ ด้วย

ไม่รู้ว่าในงานมีใครถ่ายรูปหรือวิดีโอไว้หรือเปล่า

บางทีอาจมีนักข่าวอยู่ในงานก็เป็นได้ ฉันก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย

อารมณ์ตอนนั้นมันโมโหเกินกว่าจะไตร่ตรองอะไรให้ดีก่อน ถ้าเรื่องนี้เป็นข่าวขึ้นมาทุกคนได้รู้แน่ๆ

ว่างานแต่งฉันพังพินาศไปแล้ว

อินับเก้าโดนเทก่อนงานวิวาห์

แถมอดีตเจ้าบ่าวก็ชิ่งหนีไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น รู้ถึงไหนอายถึงนั่น

โอ๊ย! เครียด!!

“เธอจะเอายังไงต่อ?”

“ตอนนี้ยังคิดอะไรไม่ออก ฉันเหนื่อยมาก แล้วก็เครียดมากด้วย

อยากพัก อยากปลดปล่อย และก็อยากระบาย”

ฉันหลับตาลงพร้อมถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจเต็มพิกัด

ก่อนยกมือขึ้นคลึงขมับตัวเองเบาๆ

“งั้นไปกันเถอะ”

ยังไม่ทันได้ตั้งหลักอะไร จู่ๆ

วินก็คว้าข้อมือข้างที่ฉันกำลังนวดศีรษะตัวเอง

และฉุดรั้งให้เดินตามเขาเสียอย่างนั้น

“ปะ ไปไหน?”

ฉันละล่ำละลักถามด้วยอาการเหวอๆ

เพราะกำลังตื่นตกใจ แต่สองขาก็เดินตามแรงจูงไปอย่างไม่คิดต่อต้าน

“ไปสนุกกัน”

ดวงหน้าหล่อไร้ที่ติเอี้ยวกลับมาตอบคำถาม

พร้อมยิ้มจนตาหยีให้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สิ่งที่กำลังสงสัยกระจ่างขึ้นแม้แต่น้อย

“ไปสนุก?”

“วันนี้ฉันจะทำให้เธอมีความสุข

จนลืมความทุกข์ที่ผ่านมาเลย”

“...”

“เชิญขึ้นรถม้าได้ครับ เจ้าหญิง”

เป็นจังหวะที่เราทั้งคู่เดินมาถึงรถสปอร์ตคันหนึ่งพอดี

เดาว่ามันน่าจะเป็นของผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า เพราะเขากำลังเปิดประตูและผายมือเชื้อเชิญให้ฉันขึ้นไปนั่งทางฝั่งข้างคนขับ

“ขอบคุณค่ะ”

แม้ไม่รู้ว่าวินจะพาฉันไปไหนและจะทำอะไรต่อหลังจากนี้

ทว่าฉันกลับเลือกที่จะทิ้งความสงสัยทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลัง

และปล่อยตัวปล่อยใจตามเขาไปอย่างว่าง่าย

ตอนนี้ฉันกำลังสับสนและไร้ที่พึ่ง

หันไปทางไหนก็มืดแปดด้านและไม่ต้องการจะคิดอะไรอีกแล้ว

สมองมันล้าและหัวใจก็อ่อนแอเกินกว่าจะออกไปต่อสู้กับอะไรได้อีก

ขอแค่ช่วงนี้ให้ฉันได้มีความสุขเล็กๆ บ้างก็พอ

หวังว่าเขาจะเข้ามาเติมความสุขให้ได้ แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็เกินพอแล้ว

รบกวนหน่อยนะ...วิน

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!