NovelToon NovelToon

Life Is Distorted: ชีวิตบิดเบี้ยว

บทที่ 0 : ความฝันที่เป็นจริง

บทที่ 0: ความฝันที่เป็น

……

ผม ริน ชายปกติทั่วไปเทียบได้ว่าถ้าหากโลกนี้เป็นเกมส์ละก็ผมก็คือ NPC ที่ไม่มีบทบาทสำคัญอะไรในเนื้อเรื่องหลัก, หลังจากที่ได้เรียนจบไปผมก็ได้ทำงานเป็นพนักงานทั่วไปเงินที่ได้ก็ไม่พอใช้ในชีวิตประจำวันเลย ไม่ว่าผมจะพยายามมากเท่าไหร่อะไรมันก็ไม่เคยดีขึ้น ตอนที่ผมยังเรียนมอปลายอยู่นั้น ชีวิตครอบครัวของผม สำหรับมุมมองจากผู้คนภายนอกมันอาจจะดูเป็นครอบครับที่อบอุ่นและเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แต่ในความเป็นจริงมันกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น มีทั้งการทะเลาะกันอย่างรุนแรง ปัญหาทางการเงิน ตอนนั้นผมถูกส่งออกไปเรียนต่างประเทศเพื่อจะหารายได้มาช่วยครอบครัว ทุกวันที่ผมเรียนไม่มีวันไหนที่มีความสุขเลย ทุกๆวันผมต้องทำงานพร้อมกับเรืยนไปด้วยและความเครียดจากการแข่งขันเพื่อชิงทุนมหาวิทยาลัยต่างประเทศนั้นก็ยิ่งทวีคูณความกดดันมมากยิ่งขึ้นไปอีก มีแต่ความทุกข์ใจ มีเรื่องค้างคาในใจตลอด ทุกๆครั้งที่เหล่าเพื่อนฝูงชักชวนไปเล่นด้วยกัน ผมได้แต่แสดงสีหน้าจอมปลอม และ การโกหก เมื่อยามที่เจ็บปวดผมก็โกหกตนเองว่าไม่เป็นไรเสมอมา ทุกๆครั้งที่เห็นคุณพ่อที่กลับบ้านหลังดื่มเหล้าพอเมาแล้วก็เริ่มทำร้ายแม่ ผมก็เจ็บปวดยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งที่ผมอยากได้ก็ไม่สามารถที่จะไขว่คว้ามันมาได้ไม่ว่าจะความสุขหรือความหวังที่จะมีชีวิตที่ดีเหมือนกับคนอื่นๆ. ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยได้อะไรที่อยากได้ ไม่เคยได้กินของที่อยากกิน ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ก็เจ็บปวดใจ. จนตอนที่วันเกิดอายุครบ 30 ให้ตายสิ…เมื่อไหร่วงจรบัดซบนี่จะจบลงนะ.

ผมก็ได้แค่ก้าวเดินกับชีวิตที่ไม่มีจุดหมายอะไร แค่ทำงานหาเงิน แล้วก็ต้องมีชีวิตรอดไปวันๆ ผมเป็นคนที่เกรดเรียนก็ไม่ได้สูงมาก แต่ก็จัดอยู่ในคนที่พอจะเรียนเก่งอยู่ ถ้าให้เทียบแต่ละวิชานั้นผมจะมีคะแนนที่ 7-9/10. ผมสร้างกำลังใจให้ตัวเองอยู่ตลอด เช่น:"สักวันฉันจะต้องทำได้, ต้องผ่านไปได้…" ผมทำอะไรแบบนั้น และ คิดแบบนั้นมาจนถึงตอนนี้ แต่พอเริ่มมาถึงจุดที่เป็นขีดจำกัดมันก็เริ่มจะท้อขึ้นมาล่ะน่ะ. ตอนนี้ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นทุกเช้าไม่เคยสดใสเลย เป็นเหมือนวันเดิมๆ ไม่อยากตื่นขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ ผมเคยคิดว่าจะฆ่าตัวตายไปแล้วหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน แต่พอนึกถึงน้องสาว และ น้องชายที่ยังไม่ทันโตแล้วผมก็หนีไม่พ้นวงจรนี้อยู่ดี รู้แค่ต้องพยายามทำไปเรื่อยๆ. ตัวผมเป็นคนที่ชอบอนิเมะและเกมส์เป็นชีวิตจิตใจ ครั้งหนึ่งผมเคยคิดถ้าหากมันมีสักทางที่จะทำให้เราไปต่างโลกเหมือนกับในนิยายได้ก็คงดี โลกที่ผมจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ โลกที่ผมจะได้ใช้ความสามารถได้อย่างเต็มที่ โลกที่ผมสามารถที่จะมีความสุขได้ แต่ว่าโลกแบบนั้นมันเป็นได้แค่ฝัน. ผมเป็นได้แค่คนที่คิดจะหนีจาก ความเป็นจริงแห่งนี้ คิดแล้วน้ำตาของผมไหลออกมา มันทั้งเจ็บปวด และ ทรมาน การที่อยากมีชีวิตที่ดีมันยากขนาดนั้นเลยหรอ ผมไม่ได้ขาดความสามารถ แต่ขาดแค่โอกาสที่จะได้รับมันมา. แต่ว่านะในโลกนี้ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกที่เป็นแบบนี้ ยังมีคนที่ต้องทุกข์ทรมารแบบนี้อีกมากมาย เพาะการเกิดมาที่ไม่ยุติธรรมของโลกใบนี้ ถ้าคุณคิดว่าการใช้ความพยายามแล้วจะได้มันมาแล้วละก็ ต้องพยายามเท่าไหร่ละ หากว่าการรอโอกาสนั้นมาถึงแล้ววันไหนละ… เราไม่สามารถระบุได้เลยว่า วันนั้นที่เราฝันนั้นมันจะมาถึงเมื่อไหร่วันที่ได้มีความสุข.

แต่ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมมันกลับไม่น่าเชื่อ มันเป็นเรื่องที่ผมเองก็ยังไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึง วันที่ผมจะเริ่มชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง. ในคืนหนึ่งหลังจากทำงานทั้งวัน ผมอาบน้ำแล้วพรุ่งตรงไปที่นอนหลังจากนั้ก็หลับไปโดยไม่คิดอะไร เนื่องจากเหนื่อยล้าจากงานมากๆ ผมได้ยินเสียงเหมือนกับลมที่ผัดอย่างรุนแรงเหมือนกับว่าคืนนั้นเกิดพายุไต้ฝุ่นเข้าโจมตีแต่ผมไม่สามารถลืมตาตื่นขึ้นได้ มันเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างไม่ยอมให้ผมเปิดตามอง ผมพยายามดิ้นสุดแรงแต่ร่างกายไม่ยอมทำตาม จนกระทั่งเสียงทั้งหมดหายไปเหลือแค่ความเงียบงัน แล้วก็มีเสียงพูดเหมือนมันดังมาจากในหัว เป็นเหมือนเสียงของผู้หญิง เสียงนั้นแค่ได้ยินก็รู้สึกเหมือนว่าตัวตนของคนพูดนั้นช่างงดงาม สูงส่งกว่าสิ่งอื่นใด เสียงนั้นบอกผมว่า " ความปารถนาของเจ้าข้าได้รับรู้แล้ว " หลังจากเสียงนั้นเงียบลง ผมรู้สึกเหมือนนอนอยู่กลางทุ่งหญ้า มีลมอ่อนไปพัดมาเป็นระยะ ผมลืมตาตื่นขึ้นทันที เพราะยังไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเลยสักนิด ภาพที่อยู่ข้างหน้าผมไม่ใช่ห้องนอนของผม แต่เป็นเหมือนทุ่งหญ้ากว้างขวาง และ มีเงาจางๆจากที่อันไกลพอสมควรเป็นเงาของ เมืองไม่ก็อาณาจักรที่แปลกตาเอามากๆ ผมมองไปรอบๆ ข้างหลังของผมเป็นป่าใหญ่ แล้วด้านหน้าเป็นทุ่งกว้าง จุดที่ผมอยู่เป็นเหมือนต้นไม้ต้นเล็กสูงประมาณสี่เมตร ส่วนด้านข้างขวาและซ้าย จะเป็นเหมือนจะเป็นภูเขาหลายลูกจนสุดสายตา. แต่ทำไมละ….. เหตุการณ์นี้มันเหมือนกับกำลังฝันอยู่เลย เหมือนกับตัวผมได้ถูกใครสักคนส่งมาที่แห่งนี้ ที่ที่เชื่อว่ามันคือต่างโลกที่ไม่มีใครเคยได้รู้มาก่อนว่ามันมีอยู่จริง.

ผมตรวจสอบร่างกายว่ามีตรงไหนบ้างที่บาดเจ็บ หรือ มีอะไรที่ผิดปกติบ้าง แต่ดูเหมือนจะไม่ ผมเริ่มคิดแล้วว่าไม่มีอาหาร หรือ น้ำผมคงได้ตายก่อนที่จะออกเดินทางแน่ แล้วเดินทางหมายถึงเดินไปไหนกันละ อันนั้นก็ยังคิดไม่ได้เลย หากถามว่ารู้ได้ไงว่าที่นี่คือต่างโลกผมบอกเลยว่าผมมะโน และ คิดเองเออเองล้วนๆ ถ้าหากที่เป็นต่างโลกจริงๆ ผมก็คงไม่อยากกลับโลกเดิมอีกแน่นอน ไม่ต้องห่วงเรื่องอะไรเลยละ แฟนก็ไม่มีอยู่แล้ว ผมทำงานราชการถ้าตายไปก็ยังมีเงินให้กับครอบครัวได้อยู่พ่อเองก็ทำงานได้อยู่เพาะงั้นการที่ไม่มีเราอาจจะทำให้พวกเขาสบายไปอีก ความคิดนี้เหมือนเห็นแก่ตัวจังเลยนะ คิดแล้วก็สมเพศตัวเองไม่น้อยเลยละ แต่ก็ผมรู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่เพราะงั้นยอมรับซะเลยว่าตัวเองนั้นเห็นแก่ตัวและไม่เป็นลูกผู้ชายเลย.. ผมเดินไปเรื่อยๆ คิดเรื่องนี้ไปตลอดทาง ผมเดินไปข้างหน้าทางที่มีเงาของเมืองลางๆ แต่เดินไปเท่าไหร่ก็รู้สึกว่ามันใกล้ขึ้นเลย ได้แค่หวังว่าคงมีเรื่องบังเอิญไปเจอคนแล้วให้เขานำทางไปที่หมู่บ้านใกล้สุดให้ล่ะน่ะ หรือ ที่แย่สุดคือผมคงต้องเข้าไปในป่าเพื่อหาอะไรกินไม่ก็ ไปเป็นอาหารให้กับสัตว์ร้ายซะเองดีไม่ดีโลกนี้อาจจะมีมอนสเตอร์ก็ได้ แต่ยังไม่รู้ชัดเลยว่าที่นี่คือต่างโลก สุดท้ายแล้วผมก็หาเบาะแสอะไรไม่เจอได้แค่เดินเรื่อยๆ.

บทที่ 1: ต่างเผ่าพันธุ์

บทที่ 1: ต่างเผ่าพันธุ์

……

ผมเดินไปเรื่อยๆมาสี่ชั่วโมงแล้ว น้ำก็หิว อาหารก็ไม่มี ผมมองเห็นเมฆสีดำเริ่มเกาะกลุ่มกัน เลยตัดสินใจเดินเข้าป่าไปดีกว่า เพราะถ้าฝนตกกลางทุ่งแบบนี้มีหวังฟ้าได้ผ่าลงมากลางหัวแน่ ผมใช้เวลาเดินไปป่าทางขวาทิดตะวันออกเพื่อหลบฝน เดินแค่20นาทีก็ถึงป่าอย่างไว บอกตามตรงว่าป่ารกมาก ถ้าไม่มีฝนผมไม่มีทางที่จะเข้าไปเด็ดขาด คิดแล้วฝนก็เริ่มรินลงมาทันที ให้มันได้อย่างนี้สิ!!

ผมอาใสเดินริมป่าเอาไว้เพื่อไม่ให้เข้าไปลึกมากนัก ผมไม่มีอาวุธ หรือ ที่จุดไฟ เพราะงั้นการเข้าป่าจึงเสี่ยงมาก ผมโชคดีมาที่เดินไปเจอต้นไม้ใหญ่พอดี ผมเลยใช้ใบไม้จากแถวนั้นกลองเอาน้ำฝนมาดื่ม ผมรู้ว่ามันไม่สะอาดแน่ แต่สถานะการแบบนี้ป่วยก็ดีกว่าตายล่ะวะ ใช่ผมเปียกน้ำแล้วก็หนาวสุดๆ ผมทำได้แค่ถอดชุดที่เปียกออกหลังจากนั้นก็นั่งรอไต้ต้นไม้ใหญ่ๆนั้นจนกว่าฝนจะหยุด…… ผมมีนาฬิกาข้อมือติดมาด้วย โชคดีที่มันกันน้ำ แต่นี่มันก็ผ่านมานานแล้วนะแถมอีกสองชั่วโมงก็มืดแล้ว ฝนตกแบบนี้ไม่หนาวตายก็ยุงกัดตายแน่ๆ…

ผมนั่งอยู่แบบนั้นทั้งคืน มีทั้งยุง และ แมลงแปลกๆ มาเกาะไต่ตัวไปมาตลอด เป็นคืนที่ทรหดมาก ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ในความมืดนั้น และแล้วดวงอาทิตย์ก็โผล่หัวออกมาได้สักที ผมมองไปรอบๆถึงจะยังมืดอยู่บ้างแต่ก็มีแสงที่ส่องผ่านกิ่งไม้ หน้าผิดหวังไปหน่อยเพราะในป่ามีแต่หมอก ตอนเข้ามามันมืดแต่ตอนออกนี่สิชิบหายแล้ว กูเข้ามาจากทางไหน อาหารก็ไม่มีนอนก็ไม่ได้ ตอนนี้สติก็เริ่มจะหายไปทีละนิด ป่าก็หนาสะจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า และ ข้างบนเลย มองจากเงาของต้นไม้แล้วบ่งบอกได้ว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางไหน งั้นเราเข้าป่ามาทางตาวันตกสินะ ผมตัดสินใจเดินไปทิศทางเดียวกับเงาของต้นไม้ แต่เมื่อเดินไปเรื่อยๆก็เจอทางออกจากป่า โอ้ววว! ผมทำท่าดีใจพร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างไปข้างหน้า แต่ว่ารู้ตัวอีกที เสื้อผ้ากูละ….. ผมเหลือแต่กางเกงใน ผมเริ่มจะร้องไห้กับความโง่ของตัวเอง แล้วแบบนี้ถ้าเจอมนุษย์จะพูดยังไงดีละเนี่ย.

ท้องของผมเริ่มร้องดังขึ้นเรื่อยๆ …. ผมเดินไปทางเหนือเรื่อยๆมันเป็นทางเดียวกับเมืองที่เป็นเงาลางๆถึงแม้จะมีหมอกแต่ก็ยังมองเห็น พอเดินมาได้สักผมก็ได้ยินเสียงที่รอคอยมานาน มันคือเสียงร้องของม้า แล้วก็เสียงวิ่งขอบม้า ผมมองเห็นมันไม่ได้ไกลมาก เหมือนจะใกล้เข้ามามากกว่า มีม้าสามตัวพร้อมกับคนอีกสามคน ผมไม่รู้ว่าจะเป็นคนดีหรือโจร อันที่จริงคนที่เหมือนโจรอาจจะเป็นเราแทนก็ได้ พวกเขาขี่ม้ามาตามริมป่า เหมือนกับมาราดตระเวรยังไงอย่างงั้น เหมือนพวกเขาจะมองเห็นผมที่อยู่ทุ่งหญ้า พวกเขาขี่เข้ามาใกล้ ผมรู้แล้วล่ะว่า นี่น่ะ ต่างโลกของแท้แน่ตอน คนที่ขี่ม้ามาเป็นเอลฟ์ ไม่อยากจะเชื่อ เป็นผู้หญิงพร้อมกับชุดเกาะหนังสามคน ผมยาวสีทองแวววาว มีในตาสีเขียวมรกต บอกตามตรงว่าพวกเธอมีหน้าตาสวยกว่าสาวในจินตนาการของผมสะอีก ผมเอามือกุมที่ว่างขาเอาไว้ทันที หนึ่งในนั้นถามออกมาว่า:

" นายเป็นใคร? สภาพแบบนั้นถูกโจรปล้นมาสินะ "

ผมแปลกใจที่คุยกันเข้าใจแต่ก็ดีเหมือนกัน นึกว่าจะพูดภาษาเอลฟ์เหมือนในอนิเมะสะอีก.

"...ขอโทษที่ให้เห็นสภาพนี้แต่ ที่จริงแล้วฉัน….."

ผมเล่าทุกอย่างให้ฟัง แต่ว่ายกเว้นเรื่องมาจากโลกอื่น ผมบอกแค่ว่าความจำเสื่อม มุขแบบนี้พวกเธอจะเชื่อไหมนะ.

" นี่นายจะบอกว่า เพราะความจำเสื่อมเลยไม่รู้มาจากไหน แล้วก็มาโผล่ในป่าสินะ ส่วนชุดของนายที่ทอดไว้ก็ลืมว่าทิ้งไว้ไหน เพราะรีบออกจากป่า?? "

" ใช่ "

พวกเธอสามคนยกยิ้มขึ้นแล้วก็หัวเราะ…. " อะ…ฮ่าๆๆๆ " แล้วเธอก็ถามอีก ผมสงใสเหลือเกินทำไมสองคนนั้นถึงไม่พูดอะไรเอาแต่ขำ.

" โทษทีๆ เอาเถอะ เดี๋ยวนายก็สบายแล้ว ฉัน เนย์ ส่วนคนด้านขวาคือ นีน่า ด้านช้ายคือ นีนี่ พวกเราเรียกตัวเองเองว่า อิสเตอร์ [Eater] "

ผมสงใสจังว่าทำไมโลกนี้มีภาษาาอังกฤษด้วยแต่ก็ช่างมัน พวกเธอพูดแปลกๆคงเป็นเพราะเอลฟ์อาจจะพูดภาษามนุษย์ยาก.

" ฉัน …..เรย์ ยินดีที่ได้รู้จัก "

พวกเธอทำหน้าตาตกใจมาก ….

" นี่นายไม่รู้จักพวกเราหรอ? "

เพราะไม่รู้จักเนี่ยแหละเลยไม่บอกชื่อจริงไป แต่บอกแบบนั้นไม่ได้นะสิ ฉันแปลกใจตั้งแต่ที่เธอพูดอยู่คนเดียวแล้วสองคนนั้นเป็นไบ้ หรือ เห็นฉันเป็นไอ้โรคจิตเลยไม่อยากคุยด้วยกันหะ.

" ใช่นะสิ ฉันจำอะไรไม่ได้เลย ถ้าพวกเธอพาฉันไปที่หมู่บ้านใกล้ๆนี้จะขอบคุณมากครับ "

พวกเธอยิ้มอีกแล้ว เลิกจ้องฉันได้แล้วอายโว้ยยย…

" ที่นี่ไม่มีหมู่บ้านใกล้ๆหรอก เดี๋ยวไปพักที่บ้านของพวกเราก่อนไหมจะต้อนรับอย่างดีเลย "

" ใจดีจังเลยนะครับ "

" ไม่เป็นไร " เธอยิ้มแล้วก็ยื่นมือมาเพื่อช่วยให้ผมขึ้นไปนั่งบนม้าของเธอ.

ผมขึ้นไปกับพวกเธอแล้วก็ออกเดินทาง ระหว่างทางผมก็ถามถึงพวกเธอว่า ทำไมถึงมาอยู่ที่แบบนี้ พวกเธอบอกว่า พวกเธอเป็นนักผจญภัยก็เลยออกมาที่นี่เพื่อล่าสัตว์ และ มอนสเตอร์เพื่อนำไปขาย ที่นี่เหมือนจะเป็นถิ่นออกล่าประจำสำหรับพวกเธอ พอดีเช้านี้ออกมาขี่ม้าเล่นก็เลยเห็นฉันเข้า ถือว่าโชคดีสุดๆ ผมถามถึงเมืองที่อยู่ทางทิศเหนือ พวกเธอบอกว่า มันคือเมืองร้างที่ไม่มีคนอาศัยอยู่แล้ว เนื่องจากสงครามภายในจึงทำให้เมืองแตก และ ล่มสะหลายไปเอง ….นี่ถ้าผมเดินต่อไปจนถึงเมืองละก็มีหวัง สิ่งที่จะล่มสะหลายต่อไปคงเป็นผมแน่ บ้านของพวกเธออยู่ไม่ห่างจากเมืองร้างนั่นหนัก ลึกเข้าไปในป่าใกล้เมือง เข้าไปประมาณสองกิโลก็เห็นบ้านยุโรปแบบสองชั้น มีน้าตางสี่บานด้านล่าง และ ด้านบน เป็นบ้านที่ค่อนข้างจะกว้างสีขาว หลังคาปูด้วยแผ่นไม้สีเทาสะอาดตา เก่าไปหน่อยแต่ก็พออยู่ได้ มาถึงพวกเธอก็ให้คนที่พูดกับผมพาเข้าไปในบ้านส่วนอีกสองคนเอาม้าไปผูกไว้ข้างบ้าน ผมเดินตามเธอเข้าไปในบ้าน พายในบ้านด้านขวาก็เป็นห้องรับแขก มีโชฟาที่ไม่เก่ามากเหมือนว่าพึ่งถูกปัดฝุ่นออกไม่นาน เธอบอกให้ผมนั่งอยู่ตรงนั้นสักพัก แล้วเธอเดินขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน.

หลังจากนั้นสองคนนั้นก็เดินเข้ามา พวกเธอนั่งโชฟาด้านตรงข้ามกับผม พวกเธอเอาแต่มองมาที่ร่างกายผมแล้วก็หน้าแดง… คนที่ควรจะเขินมันฉันเฟ้ย!! แต่พอมองดูดีๆแล้วพวกนี้หน้าเหมือนกันอย่างกับแยกร่างออกมาเลยถ้าไม่มีชุดเกาะที่มีสีต่างกันผมคงแยกไม่ออกนะเนี่ย แล้วผมจึงถามออกไป:

" พวกเธอเป็นแฝดกันหรอครับ? "

สองคนนั้นมองหน้ากันแล้วก็ตอบพร้อมกัน.

" ใช่…"

……..

" แล้วพวกเธอเป็นเอลฟ์หรอ? "

" ใช่ค่ะ ……แต่ …เดี๋ยวนะ…"

ผมต่างหากที่ต้องพูดคำนั้นเพาะเล่นพูดพร้อมกันได้ตรงเปะเกิน

" ไม่ใช่ว่าคุณเสียความทรงจำงั้นหรอ? "

….ควรแปลกใจแต่ตอนฉันบอกชื่อไปแล้วไม่ใช่หรอ -_-

" ที่จริงแล้ว มีแต่บางส่วนที่หายไป ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องราวของตัวเอง และ โลกใบนี้น่ะครับ บางเรื่องผมก็อาจจะรู้ และ ไม่รู้ก็ได้ "

พวกเธอพะยักหน้าแล้ว ทำหน้าประหลาดใจแล้วก็เงียบไป หลังจากนั้นอีกคนก็ลงมาพร้อมกับยื่นชุดให้กับผม มันเป็นชุดเก่าๆ เหมือนกับชุด NPC ในเกมส์ที่มีอาชีพเป็นชาวนาเลย แต่ก็ไม่ได้แย่.

" ขอบคุณครับ " แล้วผมก็สวมชุด ที่จริงก็อยากอาบน้ำอยู่หรอกแต่บ้านแบบนี้ไม่น่าจะมีน้ำใช้แน่.

แล้ว เนย์ ก็พูดออกมาว่า " เดี๋ยวพวกเราทำอาหารให้ นายไปรอที่ชั้นสองห้องช้ายสุดนะ เสร็จแล้วเราจะไปเรียก "

" ครับ "

ผมเดินขึ้นไปข้างบน ทุกก้าวที่เดินได้ยินเสียงของไม้ที่เหมือนจะถล่มลงไปได้ตลอดเวลา ผมเปีดห้องด้านช้ายสุดตามที่เขาบอก เข้ามาข้างในมีเตียงเก่าๆ กับผ้าห่มที่ มีกลิ่นแปลกๆ เหมือนกลิ่นของสัตว์ป่า หรือ ไม่ก็เหมือนกลิ่นคาวปลา ผมจรึงเอามันไปไว้ข้างเตียงแทน ทันทีที่ผมนอนลงบนเตียงก็หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ผมตื่นมาอีกทีก็ได้ยินเสียงคนคุยกันจากหน้าห้อง.

" ต้องอร่อยแน่ๆ!!! "

" คืนนี้ฉันต้องได้กินก่อน "

" ไม่ได้ๆ เขาหน้าตาใช้ได้เลยนะ ขอสักคืนเถอะ "

" พวกเธอสองคนหยุดพูดก่อนชิ เดี๋ยวเขาก็ตื่นหรอก "

และเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ผมจึงค่อยๆแกล้งลืมตา แล้วลุกขึ้นมา…

" ขอโทษนะครับ ผมเผลอหลับไป "

เนย์ตอบกลับมาแล้วยิ้ม.

" ไม่เป็นไรเดี๋ยวนายตามลงมานะอาหารเสร็จแล้ว "

แล้วเธอก็เดินออกไป อีกสองคนก็เอาแต่ยิ้มแล้วก็เดินตามไป บางครั้งผมก็เริ่มรู้สึกกลัวกับรอยยิ้มพวกนั้นเลยล่ะ รู้สึกมีบางอย่างไม่ดียังไงไม่รู้ เมื่อก่อนที่จะมายังที่แห่งนี้ ผมทำงานเป็นคนของรัฐบาล ทุกวันเจอแต่รอยยิ้มจอมปลอมของพวกนักการเมืองที่เอาแต่ใส่หน้ากากเข้าหากัน ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขาใช้คำพูดทุกอย่างเพื่อเอาใจของอีกฝ่ายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง นอกจากนั้นการที่ผมจะได้มาเป็นแบบนั้นผมต้องไปเกณฑ์ทหาร และ ฝึกอะไรหลายๆอย่าง ตอนนี้ยังรู้สึกขอบคุณที่ฝึกมา ไม่งั้นได้หนาวตายในป่าแน่.

ผมเดินลงไปที่ห้องรับแขกพวกเธอสามคนนั่งรอผมอยู่ข้างล่างแล้ว.

" ขอโทษที่มาช้านะครับพอดี พึ่งตื่นเลยยังมึนๆอยู่นิดหน่อย "

" ไม่เป็นไร มานั่งสิ นายคงหิวแล้ว " เนย์พูด

ผมนั่งลงบนโซฟาที่เดิม แต่เหมือนว่าพวกเธอจะยกโต๊ะมาตรงโชฟานี้ตั้งแต่เมื่อไรกันน่ะ แปลกจังเลยนะทั้งทีใส่เกาะแบบนั้นแต่กับไม่มีดาบ หรือ ไม้เท้าเวท พวกเธอเป็นนักสู้มือเปล่าละมั้ง ผมมองไปที่อาหาร…..สัญชาติญาณมันบอกผมว่าอย่ากินสตูเนื้อนั้นเด็ดขาด…. ไอ้ความรู้สึกนี้มันอะไร มันก็แค่สตูธรรมดา แต่ทำไมร่างกายถึงต่อต้าน ในโต๊ะมีสตูเนื้อ ข้าวปั้น และ มันฝรั่ง ผมเลือกที่จะกินมันฝรั่งแค่หัวเดียว ส่วนทั้งสามก็ทานอาหารกันปกติ ผ่านไปสักพักก็อิ่มกันหมด พวกเธอเหมือนจะมีความสุขมาก.

" เดี๋ยวผมเอาจานไปล้างที่ครัวนะครับ "

พูดเสร็จก็เก็บจาน มือผมไม่ทันได้ถึงจานด้วยซ้ำเนย์ก็ตอบทันที.

" ไม่!!! "

นำเสียงดูเยือกเย็น และ น่ากลัวมาก.

" แต่ฉันช่วยได้น– "

" ไม่!! "

ผมตกใจมากก็เลยนั่งลง

" เรย์ละก็ นายเป็นแขกนะ เราทำเองน่านะ "

เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน ผมจึงทำได้แค่พยักหน้า เธอก็เก็บจานแล้วเดินไปที่ครัว ผ่านไปสักพักคนที่นั่งข้างๆ ผมก็ พูดขึ้นมา ทั้งๆที่ตอนนั้นยังไม่ค่อยจะพูดอะไรเลย คนๆนี้คงจะเป็น นีนี่ สินะ.

" นี่ สกิลของนายคืออะไรหรอ? "

เอ๋ะ…เหมือนกับในเกมนะหรอ จะว่าไปฉันก็ยังไม่ได้ตรวจสอบเลย ที่ผ่านนึกว่าไม่ใช่ต่างโลกเลยไม่ได้ลองดู ว่าแต่มันดูยังไงละเนี่ย.

" เธอหมายถึงอะไรหรอครับ? "

ถ้าถามแบบนี้อีกฝ่ายก็จะแสดงให้เราดูสินะ

" นายลองเพ่งสมาธิแล้วนึกถึงสกิลก็จะเห็นมันเอง "

" อย่าไปถามเรื่องส่วนตัวสิ นินี่!! " นิน่าที่อยู่อีกฝั่งของโชฟาพูดขึ้นมา.

" ฉันไม่เห็นอะไรเลย "

เหมือนว่าเจ้านี้จะยังใช้งานไม่ได้ แต่ว่าไอ้ความสามารถรับรู้ถึงอันตรายเนี่ยเป็นสกิลที่ดีเลยไม่ใช่หรอ เอาเป็นว่าตอนนี้โกหกไปก่อน เพาะเรายังไม่รู้อะไรมากนักอีกอย่าง พวกเธอเองก็น่าจะไม่คิดอะไรอยู่แล้ว ยังไงคนพวกนี้ก็ช่วยชีวิตผมไว้ เดี๋ยวเจ้านี้ใช้งานได้ปกติค่อยบอกดีกว่า .

………

หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับพวกเธออีก ผมบอกกับพวกเธอว่าผมจะขึ้นไปบนห้อง นี่ก็เริ่มจะมืดแล้วสินะ 17:04 ผมลองเช็คดูอีกทีแต่ไอ้หน้าต่างเจ้ากรรมนี้ก็ยังใช้งานไม่ได้ เหมือนจะมีอะไรผิดพลาด สกิลรับรู้ถึงอันตรายคืออะไรกันนะ ผมนอนอยู่ในห้องแล้วก็เริ่มสงใสอะไรขึ้นมา ทำไมผมถึงเป็นเอลฟ์นะ ทั้งที่ตอนมาก็นึกว่าเป็นมนุษย์ นี่มันคือโลกแฟนตาซีสินะ ก็น่าจะมีเลเวลอะไรทำนองนั้น คนที่เล่นเกมส์อยู่ตลอดอย่างผมไม่มีทางไม่รู้!!. สักพักผมได้ยินเสียงของพวกนั้นคุยกัน เสียงมันเบามากฟังไม่ค่อยชัดแฮะ ออกไปฟังสิคุยไรกัน แอ๊ดดด! เสียงเปิดประตูก็ชะดังจริง โอ้ไม่ แผนการล้มเหลว รินเอ้ย… ผมเดินออกไปแล้วลงบันได พวกนั้นยังอยู่โชฟา ผมมองผ่านห้องครัวเหมือนว่าห้องนั้นจะล๋อกไว้ ……มีอะไรอยู่ในนั้นนะ เพราะเป็นนักผจญภัยเลยต้องหวงสเบียงไว้หรอ มันแปลกๆน่ะตั้งแต่ที่โต๊ะกินข้าวแล้ว …ผมสงสัยจริงว่าในนั้นมีอะไร ทำไมต้องปิดบังไว้นะ ผมเดินผ่านทางเดินไปที่ประตูหน้า เนย์ถามทันที:

" คุณจะไปไหนคะ?! "

" เอ่อ….ไปสูดอากาศนิดหน่อยน่ะ ฮ่าๆ "

เธอถามมาด้วยสีหน้าระแวงเอามากๆ ผมเดินออกมานอกบ้าน ข้างนอกไม่ได้มืดสนิท ยังมีแสงจากดวงจันทร์ที่ส่องลงมาอยู่ ผมเงยหน้ามอง ภาพตรงหน้าทำให้ผมตกใจมาก ที่นี่ มีดวงจันทร์สองดวง…

มีดวงจันทร์สองดวงอยู่ใกล้กัน ขนาดของมันเท่าๆกัน แถมใหญ่มาก เกิดมาพึ่งเคยเห็นดวงจันทร์ใหญ่ขนาดนี้ ผมหันหน้าซ้ายขวา ถ้าจำไม่ผิดห้องครัวอยู่ด้านช้าย เมื่อเข้าไปดูทางประตูไม่ได้ก็ดูทางหน้าต่างก็ได้นิ ผมกำลังจะก้าวขาออกไปแต่ก็มีเสียงเรียกสะก่อน.

" คุณเรย์คะ! "

ผมหันไปดู เป็นสาวเอลฟ์ใส่ชุดนอนใต้แสงจันทร์…ผมของเธอสะท้อนกับแสงจันทร์ทำให้ผมสีทองที่ปกติก็สวยอยู่แล้ว แต่นี่มันยิ่งกว่าในเทพนิยาย หรือ จินตนาการที่ผมเคยรู้จัก…มันสวยงามมาก.

" คุณจะไปไหนหรอ? มานี่สิ "

" เอ๋? "

ผมเดินตรงไปหาเธอ แต่นี่มันใครวะ หน้าตาเหมือนกันแบบนี้จะให้แยกยังไงละเนี่ยแถมไม่ได้ใส่ชุดเกาะแล้วยิ่งแล้วใหญ่ …พอไม่ใช่ชุดเกาะแล้ว มันมีอะไรที่ยิ่งใหญ่อยู่ตรงหน้าของผม …ใช่แล้ว มันใหญ่กว่าดวงจันสองลูกชะอีก …

" ลามกจังเลยนะคะ ตามฉันมาสิ เดี๋ยวฉันมีอะไรให้คุณดู "

ผมเดินตามเธอไปแบบไม่คิดอะไร นี่มันต้องใช่แน่ๆ อีเว้นท์ที่รอมานาน อีเว้นท์ที่ชายหนุ่มต่างแสวงหามัน ผมเดินตามเธอไปไม่ไกลก็ถึงที่ที่เป็นเหมือนกับทุ่งกว้าง มีโขดหินอยู่ตรงนั้นเป็นที่ชมวิวได้ดี เราไปนั่งกันตรงโขดหินนั้น เธอมองมาทีผมแล้วก็พูด:

" คืนนี้คุณว่างไหมคะ? "

คำถามนี้ชวนคิดลึกจริงๆ แต่ฉันเองก็รู้จักตัวเองดี เก็บความต้องการไว้แล้วคิดถึงสถานการณ์นี้ก่อน ทำไมเธอถึงชวนเรามาที่ลับตาคนแบบนี้ อีเว้นท์โรแมนติกใต้แสงจันทร์จะเกิดได้แน่หรอ เรารู้จักกันไม่ถึงวันด้วยช้ำ มันคงเป็นอีเว้นท์มอบเควสให้ทำสินะ เธอคงมีเรื่องอยากจะขอให้ฉันช่วย.

" ก็ว่างอยู่หรอกทำไหมหรอ? "

" งั้น….."

เธอลูบไล่แล้วก็ค่อยๆเข้ามาใกล้ๆ เธอค่อยๆ จับมือของผม หลังจากนั้น ก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ…

" คืนนี้…ช่วยอยู่กับฉันที่นี้ทีสิ "

เธอจับมือผมไปที่หน้าอกของเธอหลังจากนั้นก็ยื่นหน้ามา ริมฟีปากกำลังจะประกบกัน ทันใดนั้น.

[ อันตราย ] !!!!!!

มีเสียงอยู่ในหัวดังขึ้น…. ผมตั้งสติในเสี้ยววินาทีนั้นเอง… เจอกับตะขาบที่ไต้โขดหิน มันกำลังจะกัดที่เท้าของผม … ผมกระโดดออกอย่างว่องไว… ผมมองไปที่เธอ ดูเหมือนเธอเองก็ตกใจเหมือนกัน ลางไม่ดีเลยขอกลับก่อนดีกว่า.

" โทษทีนะ ฉันขอกลับก่อน "

ผมเดินกลับไปที่บ้าน เข้าไปในบ้าน กำลังจะขึ้นบันได แต่เหมือนได้ยินเสียงอะไรจากห้องครัว ประตูมันอัดไม่มิด มีเสียงเหมือนคนกำลังเคี้ยวอะไรสักอย่าง อย่างเอร็ดอร่อย ผมค่อยๆเดินไปช้าๆ…

[ อันตราย!!! อันตราย! อันตราย!!!! ]

สกิลของผมเตือนช้ำๆ แต่ผมแค่อยากเห็นข้างในนั้น ผมเดินมาถึงประตู แล้วส่องดูแง้มประตูที่ปิดไม่มิดนั่น ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมแทบช็อก…. เนย์ และ นีนี่ กำลัง… กินไส้ของมนุษย์ ในห้องครัวเต็มไปด้วย ศพมากมาย มีทั้งหัวที่ห้อยอยู่บนเพดาน มีหนังหน้ามนุษย์ที่พึ่งถูกเลาะจากกะโหลกออกมาแขวนไว้ที่ตรงโต๊ะ…. เนย์ กำลังเดินไปที่โต๊ะ มีชายคนหนึ่งอยู่บนนั้น เขาถูกมัดเอาไว้ให้ติดกับโต๊ะ เธอเดินไป…แล้วจูบกับชายคนนั้น หลังจากนั้นเธอก็ถอดเสื้อผ้าเขาออกทั้งหมด เธอใช้เล็บของเธอ กระชากอะไวยะเพศของชายคนนั้นออกอย่างเลือดเย็น เลือดที่กระเด็นเต็มห้องเสียงร้องโหยหวนที่ดังออกมาไม่ทันไรก็อ่อนลง เพราะ นีนี่ ใช้มือหุบปากของเขาเอาไว้ ผมไม่สามารถ ดูภาพตรงหน้าได้อีกต่อไป มันเป็นอะไรที่ รับไม่ได้อย่างที่สุด ท้องไส้ของผมเริ่มปั่นป่วนพร้อมที่เอาสิ่งที่กินไปออกมาทันที ผมกำลังจะย่องกลับไปแต่…ผมมัวแต่ช็อกจนลืมไปว่ามี นีน่า อยู่ข้างนอก เธอยืนดูผมที่กำลังจะออกจากประตูห้องครัวพร้อมยิ้มให้กับผม รอยยิ้มนั้นช่างเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัว และ วิปริต ผมน่าจะเชื่อสกิลตัวเองตั้งแต่แรก… นิน่า ยิ้มแล้วก็ยกมือขึ้นมาตรงผิวปากของผม.

" ฉู่~~~ เงียบๆสิจ๊ะ ตามฉันมาสิแล้วฉันจะไม่ส่งเสียงให้พวกนนั้นรู้ หรือ นายอยากตายที่นี่ "

เธอกระซิบบอกผม แต่ว่า….

[ อันตราย! อันตราย! ]

เสียงในหัวบอกผมว่า ถ้าไปกับเธอไม่มีอะไรดีขึ้นแน่ ตอนนี่ผมรู้ทุกอย่าง...จงตั้งสติตัวฉัน...เธอไม่มีอาวุธแต่สกิลยังบอกว่าอันตราย เธอมีอะไรบางอย่างที่ฆ่าเราได้แน่นอน ที่นี่คือโลกแฟนตาชี ทิ้งสามัญสำนึกไว้ได้เลย ผมได้แค่ทำตามข้อเสนอของเธอเท่านั้น

เธอพาผมไปที่โขดหินเดิม เธอเริ่มที่จะถอดเสื้อผ้าของผมออก เธอเลียตรงใบหู และ หน้าอกของผม มือของเธอค่อยๆ ลูบลงไปที่น้องชายของผมอย่างช้าๆ …. แล้วผมก็พลิกตัวเธอลงไปที่พื้น.

" ผมว่า ผมเป็นฝ่ายทำให้ดีกว่า "

เธอยิ้มแล้วก็ พยักหน้า

ผมค่อยๆ จับหน้าอกเธอทีละน้อย หลังจากนั้นผมก็ค่อยๆ ลูบไปที่หน้าจนมือของผมไปถึงศีรษะของเธอ ถ้าแค่ในความคิด ถ้าผมคิดจะฆ่าเธอละก็! ถ้าหากทางเลือกนี้ เป็นทางที่ผิดสกิลก็จะต้อง!!!

แค็ก!!!

[ อันตราย ]

ตู้ม!!!!!!!!!!!

เสียงระเบิดดังก้องขึ้นในป่า ผมกระเด็นไปไกลถึง 14เมตร จากโขดหิน…ตาของผมพล่ามัว เหมือนกับจะหมดสติไป ร่างกายชาไปหมด หูก็เช่นกัน… ไม่อยากจะเชื่อ ว่าต่อให้หักคอเธอไปแล้ว แต่เธอก็ยังใช้เวทย์มนต์ได้ เวทย์ระเบิดสินะ ทันทีที่ผมฆ่าเธอวงเวทย์ที่มือก็ปรากฏขึ้น ทำให้สกิลของผมทำงาน จึงทำให้รู้ว่าต้องหนีทันที เกือบไม่รอดแล้วเรา แต่ตอนนี้ต้องลุกให้ได้ก่อน เสียงระเบิดนั้น คงดังไปถึงพวกที่อยู่ในบ้านแน่ และ แน่นอนว่าการสู้กับคนพวกนั้นซึ่งๆหน้าคงไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก พวกนั้นแกร่งกว่าเรามาก ทำไงดี ต้องรีบหนี!!!.

" นีน่า!!!!!!! "

เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ผมหันไปมอง หัวใจก็พลางเต้นแรงแทบจะวายตาย พวกเธอเอาม้ามาด้วยจะให้หนียังไง ผมต้องวิ่งเข้าป่าไป!!

" แกฆ่าเธอ!!!! ฉันจะฆ่าแกแล้วเอามาทำเป็นสตูเนื้อ!!! "

พวกนี้มันบ้าไปแล้วแน่ๆ ผมวิ่งเข้าป่าไป ให้ตายสิ… ตู้ม!!! สายฟ้าวิ่งผ่านหน้าของผมไป ….. เวทย์สายฟ้า… เนย์ นิมันใช้เวทย์สายฟ้าได้ ตู้ม!! เวทย์เฉี่ยวแขนผมไป เกีดเป็นแผลไหม้ทั้งร้อน และ แสบ " อึ๊ก!! " เจ็บโว้ย… อีกคนละ ทำไมมีแค่ เนย์ ตามเรามาแค่คนเดียว อ๊ะเดี๋ยวสิ! มันคงกลัวว่าถ้าหาผมไม่เจอ ผมคงจะอ้อมไปเอาม้าหนีไปสินะ เลยให้อีกคนเฝ้าไว้ ให้ตายสิ หนีแค่หล่อนคนเดียวก็เต็มกลืนแล้ว

" ฉันจะฆ่าแก!!! "

ใยนี่กำลังโกรธ คงจะยิงเวทย์มารัวๆไม่ได้สินะ แต่ยังวิ่งตามเรามา มันคงเก็บมานาไว้ใช้สินะ ถ้ายิงมั่วเดี๋ยวจะแย่เอา ใยนี้ก็ฉลาดไม่เบาแฮะ นึกว่าจะบ้าเป็นอย่างเดียว แต่ว่านะ ถ้าเมื่อไร่ฉันหายไปจากสายตาเธอได้ นั่นคือ จุดจบของเธอ …ผมวิ่งหนีไปเรื่อยๆ จนไปถึงลำธาร ถึงจะมืดแต่แสงจันทร์ยังส่องสว่าง การวิ่งลงไปในน้ำไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไร่ ….. งั้นผมจึงคิดอะไรดีๆออก.

" ยอมแล้วฉันจะไม่หนีอีกแล้ว…ขอร้องอย่าฆ่าฉัน "

ผมตะโกนไปอย่างงั้น … เธอยิงเวทย์มาอีกครั้ง ครั้งนี้ถูกมือช้ายผมอย่างจัง ตู้ม!!! " อ้าาา "...

" พอแล้ว… ฉันยอมแล้ว "

เธอเดีนออกมาจากป่า มาใกล้ๆผม แล้วเตะมาที่หน้า ตุ๊บ!!! ผมล้มลงไปนอนอยู่กับพื้น …

" แก!! ฆ่าเธอ!! น้องสาวของฉัน!!!!! "

เธอกระทืบผมช้ำๆ ….ตุบ! ตุบ! ตุบ!ๆ

" ฉั….. ฉัน.."

ผมพูดเสียงเบา จนเธอกล้มหน้ามาใกล้เพื่อจะฟัง ….ทันใดนั้นผมก็สาด ซายที่พื้นใส่ตาเธออย่างจัง " อ้าาาาา!!!!! " เธอกรีดร้องดังลั่น หลังจากนั้นก็ล้มลงไปที่พื้น เธอดิ้นแล้วยิงเวทย์ไปทั่ว

ตู้ม!! ตู้มมม ! ตู้ม!!!

ผมลุกขึ้นเดินไปหาเธอช้าๆ หลังจากนั้นก็เยียบแขนที่เธอใช้ยิ่งเวทย์สุดแรง ตุ๊บ!!!!! " อ้าาาา " เธอร้องด้วยความเจ็บปวด ผมหยิบเอาก้อนหินที่อยู่พื้นขึ้นมา เธอเงียบทันทีเมื่อได้ยินเสียง ก้อนหินกระทบกัน.

" อย่านะ….. ฉันกลัวแล้ว ปล่อยฉันไป ฉันผิดไปแล้ว!!! "

ผมนั่งลงบนตัวเธอ เพื่อไม่ให้เธอพยายามที่จะคลานหนีไป.

" ฉันก็อยากจะปล่อยเธอไปอยู่หรอก แต่ว่า….. เมื่อไหร่ที่เธอหายดีละก็ วันนั้นฉันจะต้องลำบากแน่ ส่วนความแค้นน่ะ ก็คงจบด้วยความตายแบบนี้แหละ!! "

" ไม่ๆๆๆๆๆๆ ไม่!!! "

ผมใช้ก้อนหินนั้นทุบลงไปที่ใบ้หน้าของเธอช้ำๆ

ตุ๊บ!!!!!! ตุ๊บ!!! " อ้าาา " ตุ๊บ!! "อั้ก…." ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ!....

ผมค้นตัวของเธอ ก็เจอมีมีด และ หินอะไรสักอย่าง ผมเชื่อว่าต้องเป็นของที่มีค่าแน่ๆ แล้วผมก็เดินกลับไปทางเดิม … ผมเดินไปจนถึงจุดที่มีม้า ที่ นีนี่ เฝ้าอยู่ ผมเดินไปใกล้ๆแถวนั้นแล้วล้มลง…

ตึก! ตึก! เสียงเท้าคนเดินมาใกล้ๆ หลังจากนั้นก็พูดขึ้นว่า.

" ดูเหมือนว่าพี่จะคิดถูกนะ ว่าแกต้องใช้แผนนี้ ฉันจะเอาแกไปต้มรอพี่กลับมา ฮ่าๆ ๆๆ "

เธอเดินเข้ามาแล้วกำลังจะอุ้มผม.

ฉับบบ!!!! " อั้ก..! แก… อะ…"

ผมใช้มีดเสียบเข้าไปที่คอของเธอ ….เลือดพุ่งกระฉูดแล้วเธอก็ล้มลงแน่นิ่งไป.

……เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ผมฆ่า นีนี่ ผมก็หมดสติไปเพราะพิษจากบาดแผล แต่ก็ยังดีที่เป็นแผลไหม้ จึงทำให้ไม่มีเลือดไหลออกมา ผมพาม้ากลับไปที่บ้านหลังนั้น... สองวันที่ผมพักผ่อนที่นั้น และ ค้นที่ตัวบ้าน รู้อีกทีว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านของใยพวกนี้ แต่เป็นของหัวหน้าหมู่บ้านที่เป็นชาวนา แกอาไสอยู่ในละแวกนี้ เมื่อ 46 ปีก่อนที่เมืองนี้เคยงดงาม และ เฟื่องฟู แต่ด้วยเหตุใดไม่รู้ ที่เมืองกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ผมไปตรวจสอบห้องครัวมาแล้ว ดูเหมือนศพพวกนั้นจะเป็นของคนเร่ร่อนไม่ก็นักผจญภัย คนพวกนี้คงถูกหลอกมาเหมือนกับเรา แล้วดูเหมือนว่า ใยพวกนี้จะใช้ห้องใต้ดินที่ช่อนอยู่ในครัวเป็นที่ช่อนศพ และ คนที่จับมาได้ ถือว่าเรายังโชคดี ถ้าเราไม่แกล้งความจำเสื่อมละก็ ได้ลงไปอยู่ในนี้แล้วกลายเป็นซอยจุแน่ ผมเจออาหารเช่นมันฝรั่ง และ ขนมปังนิดหน่อยแต่ก็พอที่จะออกเดินทางได้ ผมเอาชุดของชายคนหนึ่งที่ถูกฆ่ามาใช้ หว้าย " ขอละนะครับ~~ " เนื่องจากผมขี่ม้าไม่เป็นดังนั้นผมจึงต้องเดินเท้า แล้วใช้ม้าเป็นที่ขนของ เอาล่ะ ผมจะต้องออกเดินทางเพื่อที่จะใช้ชีวิตที่ดีให้ได้ การผจญภัยมันพึ่งจะเริ่ม!

บทที่ 2 : เรียนรู้

บทที่ 2 : เรียนรู้

……

 ผมจุดไฟเผาบ้านหลังนั้นทิ้งไป ฟู่วๆ.. หินที่ผมได้จากเนย์ตอนนั้นเหมือนมันจะมีความสามารถจุดไฟได้ เมื่อนำมันมาประกบกันก็จะเกิดความร้อนขึ้นจนหินกลายเป็นสีแดงร้อน ผมพาม้าสองตัวมาด้วยส่วนอีกตัวนั้นผมก็ปล่อยมันไปตามทางของมัน " ลาก่อน~~ " ผมพูดส่งท้ายม้าก่อนที่มันจะวิ่งไป. ผมค่อยเดินไปชมวิวไปที่เมืองร้างแห่งนั่น ผมมาที่หน้าประตูเมือง ที่รอบๆเป็นกำแพงหินก่อตัวขึ้นแล้วก็มีเถาวัลย์ขึ้นไปจนสุดกำแพง ส่วนประตูเมืองนั้นเปิดอยู่ เหมือนเชื้อเชิญให้เราเข้าไปเลยนะ ฮ่าๆ ถ้าหากผมเข้าไปผมอาจจะเจอของที่จำเป็นต้องใช้ในการเดินทางก็ได้อย่างเช่นรถม้าเพราะผมขี่ม้าไม่เป็น แต่ถ้าหากนึกถึงความปลอดภัยแล้วในเมืองนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะมีเรื่องดีๆ เอาไงล่ะ… อยู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงขึ้นในหัว

[ การปรับปรุงเสร็จสิ้น คุณสามารถใช้งาน หน้าต่างสเตตัสได้แล้ว ]

 พอได้ยินแล้วผมก็ตกใจเล็กน้อย ผมลืมไปเลยว่ามีเจ้านี่ด้วย แบบนี้สิถึงจะสมกับเป็นโลกแฟนตาซี มาวันแรกก็เกือบได้เป็นชอยจุแล้ว. ผมดูสเตตัสตัวเองทันที.

โห… นี่ฉันมีสกิลแบบนี้ด้วยหรอ แล้วเลเวลมันอัพได้ยังไง ผมมองเห็นอะไรสักอย่าง เหมือนจะมีข้อความนะ อย่าบอกนะว่าแชทกับเพื่อนข้ามโลกนะ ฮ่าๆ บ้าแล้ว ข้อความอะไรนะ…. ผมลองเปิดข้อความดู ผมตกใจ เพราะข้อความบ้านี้มันส่งมาจาก….. พระเจ้า..

  [ ถึง ริน คนที่ฉันได้ส่งมอบความปรารถนาให้ การที่เจ้าไม่สามารถใช้งานสิ่งนี้ได้นั้นเป็นเพราะตัวเจ้ายังไม่ได้ถูกยอมรับให้เป็นคนของโลกใบนี้ แต่เนื่องจากได้รับการยอมรับจากเราผู้เป็นพระเจ้าแล้ว เจ้าจะสามารถ เรียนรู้ ประสบการณ์ใหม่จากโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์ สกิลของเจ้าจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเจ้าหมั่นฝึกฝนและใช้งานมัน ยิ่งเลเวลสูงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นได้ยาก เจ้าไม่สามารถเพิ่มเลเวลจากการฆ่ามอนสเตอร์ หรือ คนอื่นๆได้. สกิล สัมผัสเวทย์มนต์ เจ้าสามารถรับรู้ถึงพลังเวทย์รอบตัวเจ้าได้ เลเวลยิ่งสูง ก็จะสามารถรับรู้ได้ไกลยิ่งขึ้น. สกิล สัมผัสจิตสังหาร สกิลนี้สามารถทำให้เจ้ารับรู้ถึงผู้ที่คิดจะฆ่าเจ้าในเวลานั้นๆ. จากนี้ไปเจ้าจะไม่ได้รับการติดต่อจากพระเจ้าอีก ขอให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างอิสระในโลกแห่งนี้ ยินดีต้อนรับ  จาก พระเจ้า ]

พอผมอ่านข้อความแล้วเศร้าในทันที ขนาดพระเจ้ายังยอมรับเราช้าเลย ผมมีคำถามเยอะแยะมากมาย ทำไมถึงกลายเป็นเอลฟ์กัน แล้วทำไมไม่ให้สกิลต่อสู้มาด้วย!!... คิดเสร็จก็เหนื่อย ผมตัดสินใจ วิวัฒนาการ สกิล ……." อ้ากกก!!!!!!!!!!".......เจ็บสุดๆไปเลยนี่ว่า!!! ผมเอามือสองข้างกุมหัวเอาไว้พร้อมกับดิ้นไปมา ไหนบอกปวดแค่เล็กน้อยไง…. สติของผมแทบหลุดเมื่อวิวัฒนาการสกิล ผ่านไปห้านาทีก็ค่อยกลับมาเป็นปกติ ผมตรวจสอบสกิลใหม่ดูว่ามีอะไรบ้าง ดูเหมือนว่าข้อความนั้นจะหายไปจริงๆหลังจากผมอ่านเสร็จ.

 หลังจากอาการปวดหัวหายไป ผมก็เริ่มรู้สึกว่าปราสาทสัมผัสของผมนั้นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมหันหลังให้ม้าแต่กลับรู้ว่ามันขยับแบบไหนยังไง ยกขาหลัง… สะบัดหางไปมา… ทุกอย่างที่เคลื่อนไหวรอบตัวผมประมาณ 3เมตร ผมจะสามารถสัมผัสถึงมันได้ แต่มันก็มีขีดจำกัดเช่นถ้าเบาเกินไปก็ไม่สามารถรับรู้ อย่างเช่นหญ้าที่สะบัดไปมา ผมก็จะไม่สามารถรับรู้ แล้วอะไรที่อยู่นิ่งๆ ก็ไม่สามารถรู้ได้เช่นกัน ส่วนการสัมผัสเวทย์มนต์นั้นผมยังไม่เข้าใจถึงมันแน่ชัด. 

 ไม่นานผมก็ตัดสินใจเข้าไปในเมือง ผมต้องหาอะไรบางอย่างที่จะใช้ในการเดินทาง ผมเดินเข้ามาก็พบกับซากบ้านเก่าที่อยู่ติดๆกันหลายอาคารเรือน มันพังจนไม่รู้ว่าบ้านนั้นเป็นแบบไหนมาก่อน มีทั้งรอยไหม้ที่เกิดจากไฟ หรือ บางอาคารเรือนก็ มีต้นไม้โผล่ขึ้นมาจากหน้าดินทำลายตัวบ้านจนเละ ถึงผมไม่ได้อยู่ดูสงครามเมื่อ46ปีก่อน แต่ผมก็หมั้นใจได้เลยว่ามันจะต้องรุนแรงมากๆแน่ เพาะโลกใบนี้นะ ถ้ามีคนใช้เวทย์มนต์ได้เหมือนเนย์ แล้วหากว่ามีคนแบบนั้นมาเป็นพันๆคนละก็ ไม่ว่าจะมีกำแพงหินหนาให้หลบสักเท่าไหร่ก็คงจะตายแบบไม่เหลือชากให้ฝังแน่ๆ ผมเดินเข้าไปลึกขึ้นอีกก็เจอกับโบสถ์ที่ยังมีรูปทรงให้ดูว่านี่คือโบสถ์ได้อยู่ เพราะมันเหลือแค่หน้าโบสถ์ส่วนข้างหลังเป็นหลุมใหญ่มาก ราวกับมีอุกกาบาตลงมาที่หลังโบสถ์เลยละ หลุมนี่กว้างสัก24เมตร และน่าจะลึกถึง 13เมตร ได้เลย ผมเดินลึกเข้าไปก็เจอกับปราสาท ขะหนาดใหญ่มากๆเลยละ แต่ตอนนี้รู้แต่กลายเป็นชากอยู่พื้นดินเอง เพราะมันมีกำแพงหนา และ มีหลังคาแหลมๆที่ล้มอยู่ แถมยังมีโครงกระดูกชุดอัศวินอยู่แถวนี้เต็มไปหมด มันคงไม่ลุกขึ้นมาหรอกนะ ผมเดินไปเรื่อยจนไปเจอกับเสาธงอันหนึ่งแต่ที่แปลกตาก็คือ………มีชายคนหนึ่งถูกมัดไว้ตรงนั้น แล้วเค้าก็ยังไม่ตาย…ดูเหมือนจะถูกช้อมอย่างหนักหน่วง แกร็ง!! แกร็ง! เสียงขอเขาพยายามที่จะดิ้นให้ลุกออกจากตรงนั้นเพื่อไปที่ที่มีผู้หญิงคนหนึ่งนอนแก้ผ้าอยู่ตรงหน้าเสาธง สภาพของเธอไม่ต่างอะไรจากชายคนนั้นสักเท่าไหร่ แต่เธอนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ผมกำลังคิดว่าควรจะเข้าไปหาดีไหม ทำไมถึงถูกมัดไว้ละ คนที่ถูกมัดไว้นะมีอยู่สองอย่างคือ เป็นคนอันตราย หรือ เป็นเหยื่อ จากสถานะการนี้นั้น ผู้หญิงที่นอนแก้ผ้าอยู่ และ ชายที่อยากจะไปหาเธอจนใจจะขาด…  หรือไอ้นี่มันเป็นโรคจิตกันแน่นะ ผมเดินไปใกล้ พอเข้าไปใกล้ภาพถึงได้ชัดขึ้น…. ชายคนนั้นมีสีหน้าที่โกรธเกรี้ยว ตาสีแดงจนมองเห็นได้ชัด น้ำตาที่ไหลออกมากลายเป็นเลือดสีแดงสด ส่วนผู้หญิงที่นอนอยู่นั้น เสียชีวิตไปแล้ว ร่างกายมีแต่รอยช้ำเต็มไปหมด มือทั้งสองข้างทูกตัดออก ไม่มีเสื้อผ้า เหมือนเสื้อผ้าของเธอถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆที่พื้น ดูแล้วเธอน่าจะตายมาหลายวันแล้ว ส่วนชายคนนั้นมองมาทางผม แล้วก็บ่นอะไรสักอย่างแต่ไม่ได้ยินเลย เสียงของเขาไม่ออกมาเลยสักนิด แล้วเค้าก็หันไปที่เธอจากนั้นก็พยายามที่จะดิ้นให้หลุดออกไปหาเธออยู่ดี …. แกร็ง! แกร็ง! ภาพที่อยู่ตรงหน้าผม มันช่างเหนือที่จะอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่และทำไมถึงเกิดขึ้น ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาชายคนนั้น ถ้าหาว่าสกิลของผมบ่งบอกถึงอันตรายผมจะฆ่าเขาทันที แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงพูดที่เบามากๆ เหมือนว่าคอของเขาจะไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้.

"ปล่….ปล่อ…ปล่อยฉัน…….ที"

 

  ผมต้องเอาหูตัวเองเข้าไปใกล้กับปากของเขา จนกว่าผมจะได้ยิน ผมปล่อยเขาดีไหมนะ ผมมองก็เห็นแหวนที่มือ… มันคือแหวนหมั้น ผมหันไปดูศพเธอคนนั้น ใกล้ๆมีมือที่ตกอยู่ชึ่งแหวนเหมือนกันมาก แล้วหันมามองชายคนนี้…. มันคงไม่ใช่สิ่งที่กำลังฉันคิดใช่ไหม มันคงไม่เรวร้ายแบบนั้นนะ ถ้าจะเป็นแบบนั้น ขอให้ผมปล่อยคุณไปแล้วเดินไปกินศพยังรู้สึกดีกว่าสะอีกนะ …. ผมใช้มีดตัดเชือกให้กับเขา ที่มือของเขามีเลือดไหลออกและช้ำไปหมด เหมือนว่าเขาตั้งใจจะสละมือให้ขาดเพื่อที่จะออกไป ทันที่เชือกขาด ฉับ!.

ตืบ! ตึบ! เขาวิ่งสุดแรงเพื่อไปหาเธอ.

" อาเรีย! อาเรีย!! ฉันขอโทษ หือๆๆๆ!!! ฉันขอโทษ!!!!!"

เขากอดร่างของเธอไว้แหน้น ทั้งพูดขอโทษช้ำๆ แล้วก็ร้องไห้ เขาตะโกนออกมาทั้งๆ ที่เลือดออกมาจาปากของเขา คอของเขานั้นแถบจะแตกตายอยู่แล้ว น้ำตาที่ไหลเป็นเลือด เสียงตะโกนของเขาดังสนั่นจนผมเองถึงกับยืนตัวแข็งไปเลย ภาพที่อยู่ตรงหน้ามันเหมือนกับว่าโลกทั้งใบนั้นแตกสลาย เป็นภาพที่น่าเศร้ายิ่งหนัก…….

...19:47 ...

..." ขอให้เธอไปสู่แดนสวรรค์...

...ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทรมาร...

...ฉันจะไปหาพวกมัน!!!...

...พวกมันที่ทำให้เธอต้องเจ็บปวด...

...ฉันจะทำให้พวกได้เจ็บปวดจนร้องขอให้ฉัน…....

...ฆ่าพวกมันทิ้ง…. "...

.......

.......

.......

...21:37 ...

  ผมนั่งอยู่แคมป์ไฟแล้วทำมันเผา ผมมองดูชายคนนั้นที่นั่งไว้อาลัยที่หลุมศพของเธอตั้งแต่ตอนที่ฝังจนถึงตอนนี้ ผมเป็นคนขุดให้กับเขาโดยใช้พลั่วที่หามาได้จากในเมือง เราออกมาจากนอกเมืองแล้วมาตั้งแคมป์กันที่ทุ่งหญ้า. ชายคนนั้นพอดูดีๆแล้ว ก็เหมือนจะอายุ 20กว่าๆ เนื่องจากถูกมัดที่นั่นเป็นเวลานานจึงผอม และ ดูแก่ เขามีผมสีดำ สูงราวๆ 176เชนติเมตร ดูจากเสื้อผ้าน่าจะเป็นนักผจญภัย ผมเผามันอยู่นานมากแล้วเลยรู้สึกว่าคงถึงเวลาที่จะต้องไปเรียกเขาแล้วละ ผมเดินไปที่หลุมฝังศพ หลุมนั้นตั้งอยู่ตรงกลางของทุ่งหญ้า แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนพื้นดิน ทุ่งหญ้าที่รับแสงจันทร์กลายเป็นสีน้ำเงินสว่าง มันงดงาม และ เศ้าใจ ผมเดินเข้าไปใกล้แล้วบอกกับเค้าว่า.

" กลับไปที่แคมป์กันเถอะครับ อาหารเสร็จแล้ว "

เขาหันหน้ามามองแล้วก็ พยักหน้า สีหน้าที่ด้านชาไม่มีอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น จากนั้นผมจึงหันหลังเดินกลับไป " สายตานั้นเหมือนกับฉันเลยนะ…"ผมพูดคนเดียว ผมทบทวนในใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็ได้แค่คิดเรื่อยเปื่อย คงมีแต่ต้องถามเจ้าตัวเอาเองเมื่อเวลานั้นมาถึง.

 พอเขากับมา กินอาหารกันเสร็จ พวกเราก็เข้านอนจนถึงเช้า ผมเก็บข้าวของเพื่อที่จะออกเดินทาง ผมช่วยดันเขาขึ้นไปบนหลังม้าเพราะดูจากสภาพแล้วเดินไปไม่ถึงไหนได้เป็นศพแน่และ ผมถามเรื่องเมืองที่ใกล้สุด แต่เขาหันมามองแล้วชี้ไปทางทิศใต้.

"ต้องเดินไปทางนั้นหรอ แล้วใช้เวลากี่วันละถ้าเดิน ?"

 เขาชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว.

" สามวันหรอ?"

เขาพยักหน้าอย่างช้าๆ ผมเริ่มออกเดินทางทันที ตอนที่ถึงเมืองจะมีคนเก็บเงินค่าเข้าเมืองหรือเปล่าหรือต้องมีบัตรผ่านอะไรบ้าง ผมถามเขา หมอนั่นหันหน้ามาแต่ไม่ตอบอะไร ผมจึงเลือกเป็นถามแบบตอบใช่ และ ไม่ แล้วจึงได้คำตอบว่ามีแต่ค่าเข้าเมืองเท่านั้น หมอนั่นทำได้แค่พยักหน้าเลยไม่รู้ว่าเท่าไหร่ ผมพอจะมีเงินอยู่บ้างเพราะเอามาจากพวกที่เป็นศพในบ้านรวมถึงผู้หญิงสามคนนั่น ผมคาดว่าน่าจะพอใช้เข้าเมืองได้อยู่ละนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อดี ยิ่งเดินทางอาหารของเราก็ยิ่งเหลือน้อย ผมไม่มีน้ำดื่มและ อาหารมากพอสำหรับสองคน ผมเดินทางมาไกลพอสมควร วันเวลาผ่านไปสองวัน ทางข้างหน้าก็มีแต่ป่า และ ภูเขา สองวันมานี้ ผมเจอพวกสไลม์ มันเป็นเหมือนก้อนเหมือกลากสี มันจะพ่นเหมือกใส่คุณ ถ้าหากโดนจะเกิดอาการคัน และ แสบ คล้ายกับน้ำกรดแต่ก็เบากว่ามาก วิธีกำจัดมันคือการทำลายหินที่อยู่ใจกลางข้างในตัวของมัน.

 แต่พอเดินทางมาได้สักพักก็เริ่มเห็นถนนที่เป็นแค่ถนนดิน ครั้งแรกที่ผมเห็นมันตั้งแต่มาที่โลกนี้ ผมรู้สึกมีแรงหึดขึ้นอีกครั้ง เป็นเวลาแค่สามวัน แต่รู้สึกยาวนานมาก ที่ริมถนนมีแม่น้ำกว้างมาก ราวๆ200เมตรได้ ผมตั้งแคมป์ริมแม่น้ำ หัวมันก็เหลือแค่หัวเดียว พวกเราแบ่งกันคนละครึ่ง. ผ่านมาสามวันดูเหมือนว่า หมอนี่เริ่มจะพูดได้แล้วแต่เสียงเบามาก ผมถามเขาว่าถึงเมืองแล้วจะเอาไงต่อ หมอนั่นบอกว่าจะไปที่บ้าน แล้วเอาเงินที่เหลือในบ้านไปรักษา และ ซื้ออาวุธใหม่ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาคิดจะทำอะไรแต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับผม.

" ฉันขอไปพักที่บ้านนายก่อนได้ไหม หลังจากนั้น ช่วยบอกทางไปที่ทำงานของนายที ฉันจะไปสมัครงานที่นั่น "

ผมถามแล้วก็เองตัวนอนลง.

" นาย….หมาย…ถึง …กิลด์นัก…ผจญภัย…นะหรอ?"

หมนั่นตอบแบบสภาพใกล้ตาย.

" ใช่ แล้ว ไอ้นั่นแหละ ฉันจะสมัครได้ไหมนะ ? "

 เขาพยักหน้าตอบผมแล้วก็โน้มตัวลงนอน

" แล้วนายชื่ออะไรหรอ? ฉัน เรย์ "

" อาค…อาค์ "

ตอบแบบใกล้ตาย ผมหันไปมองหมอนั่นแล้วก็พูดว่า:

" นอนกันเถอะ นายพูดมากไม่ได้ เห็นแล้วอยากช่วยให้ไปสบายมากขึ้น "

  ผมเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยหลังจากเจอเรื่องอะไรร้ายๆ คราวนี้แหละจะได้ใช้ชีวิตดีๆสักที ….

 เช้าวันรุ่งขึ้นผมออกเดินทางทันที ดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นแสงมันก็สะท้อนกับหน้าน้ำทำให้เกิดภาพที่งดงาม ผมเดินไปมองไปมันช่างสวยจริงๆ ผมมาถึงหน้าเมืองตอน 13:18  ….. มันเป็นเหมือนกับเมืองร้างนั่น แต่ก็มีสภาพที่ดีกว่ามากๆ กำแพงที่แข็งแรง สูงจนมองไม่เห็นข้างใน พื้นรอบๆเป็นทุ่งกว้าง และ มีป่าล้อมรอบทุ่งหญ้าไว้ มีผู้คนมากมายที่หน้าประตูเมือง มีทั้งรถม้า, อัศวิน, เด็กๆ….. เป็นภาพที่ดูเหมือนจะเป็นต่างโลกจริงๆไปเลย แต่นี่ก็ต่างโลกนี่น่า… ผมเดินไปใกล้ประตู ทหารยามถามถึงบัตรที่ใช้ไว้เข้าเมืองหรือบัตรนักผจญภัย ชึ่ง ผม และ หมอนั่นก็ไม่มี.

" ยินดีต้อนรับสู้ ฟริ้งรัส ครับ! ไม่ซาบว่าคุณมีบัตรเข้าเมืองหรืบเปล่าครับ?"

เค้าถามแล้วก็กล้มคำนับ.

" เออ….ไม่มีครับ ผมพึ่งมาที่เมืองนี้เป็นครั้งแรก"

" แล้วอีกคนคือ…..หะ!!! "

 ทหารยามตกใจแล้ว วิ่งไปดูชายคนที่ผมพามาด้วย.

" ชุดแบบนี้ไม่ผิดแน่ !!!! คุณอาค์ เกิดอะไรขึ้นทำถึงไมเป็นแบบนี้!!!"

เขาถาม อาค์ ด้วยความตกใจ.

 หลังจากนั้นพวกเขาก็นำเราไปที่ห้องของทหารยาม พวกเค้าถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ อาค์ ก็ไม่พูดอะไรเลย สิ่งเดียวที่เขาพูดคือ

 "ฉันจะกลับบ้าน"

 …. พวกทหารจึงมาถามผมแทน คนที่มาถามผมเป็นทหาร ใส่ชุดอัศวินเต็มชุด เป็นชายหนุ่มอายุประมาณ19ปี มีผมสีน้ำตาลเข้ม.

"สวัสดีครับ คุณพอจะรู้ไหมครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นงั้นหรอครับ?"

ถาทด้วยน้ำเสียงที่ดู อ่อนน้อม.

 ผมก็อธิบายเรื่องที่รู้ทั้งหมดเกี่ยวกับอาค์ให้เขา เมื่อได้ข้อมูลพวกเขาก็กำลังจะลุกไปแต่ผมก็ถามกลับไปอย่างหนึ่ง.

" พวกคุณรู้จัก Eater ไหมครับ "

 เขาตกใจ แล้วหันกลับมามองผม จากนั้นก็พูดขึ้นว่า.

" นี่พวกคุณไปเจอมาอย่างงั้นหรอ!!?" 

  ตะโกนเสียงดังเชียว สามคนนั้นคงดังมากสินะ.

" ไม่หรอก ผมแค่ถามเฉยๆนะ "

ผมตอบกลับไปแล้วพยักไหล่.

" หมายความว่ายังไงกัน!!? ถ้าเป็นพวกนั้นละก็อาจจะทำให้ อาค์ บาดเจ็บแบบนี้ได้ก็ไม่แปลก เพราะพวกนั้นแข็งแกร่งมาก เห็นว่ามีหนักผจญภัยหายตัวไปเรื่อยๆ แถมยังได้ยินข่าวลือว่าพวกนั้นกินมนุษย์ด้วยกันเองอีกนะ!"

" ออ…"

" ถ้านายเห็นพวกนั้นช่วยบอกพวกเราทีหน่อยว่าอยู่ไหนได้โปรดล่ะ… พวกเราจะรีบไปกวาดล้างพวกมัน !"

เขาพูดแล้วก็กำหมัด.

" พวกนั้นมีกี่คนหรอ?"

" เห็นว่าคนที่รอดมาได้แทบจะเสียสติ เขาบอกเรามาว่ามีแค่สามคนเป็นผู้หญิง"

เขาพูดพร้อมมองมาที่หน้าของผม.

" งั้นหรอ… คุณก็ไปตรวจสอบที่เมืองร้างนั่นสิ คุณอาจะได้คำตอบของคุณ"

อัศวินได้ยินแบบนั้นก็เอามือวางไว้ที่โต๊ะแล้วพูด.

"คุณหมายถึงอะไรนะ!! "

 แล้วผมก็ลุกขึ้น เดินไปหาอาค์ เขามองมาที่ผมแล้วก็ลุกเดินไปที่ม้าพร้อมกัน.

"บ้านนายไปทางไหนหรอ ?"

 เขาเริ่มชี้แล้วผมก็เริ่มออกเดิน จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราเข้าเมืองมาโดยไม่เสียเงินเลยสักนิด ในโลกนี้เหมือนจะใช้เหรียญกัน ในกระเป๋าของผมมีเหรียญทองอยู่ 4เหรียญ เหรียญเงินอีก 13 เหรียญ ผมไม่รู้ว่ามันมีค่าเท่าไร่ ผมคงต้องหัดเรียนรู้เรื่องสกุลเงินของที่นี่แล้วละ ในเมืองนั้นเต็มไปด้วยผู้คนเดินไปมา เข้ามาในเมืองก็ยังคงเป็นถนนดินอยู่ มีร้านค้าแปลกตามากมาย มีอยู่หลายเผ่าพันธุ์แตกต่างกัน คงไม่ได้มีแค่มนุษย์ที่อยู่เมืองนี้สินะ.

 มันอัศจรรย์มากๆเมื่อ ต่างเผ่าพันธุ์ต่างใช้ชีวิตร่วมกัน ครึ่งคนครึ่งสัตว์ก็น่ารักมากๆ เท่าที่มองดูมาตลอดทาง คนในโลกนี้นั้นหน้าตาดีกันจนหมดไม่ใช่หรอ! ทำเอาผมแอบท้อแท้อยู่เหมือนกันนะเนี่ย เราเดินผ่านหน้าโบสถ์ใหญ่ยักษ์ไป ตัวโบสถ์มีประตูบานใหญ่ประมาณ10เมตรได้เลย ตัวโบสถ์สร้างจากหิน และ ดิน เถิงวัสดุจะดูบ้านๆแต่มองดูแล้วมันมีโครงสร้างที่แข็งแรงมาก ผมว่าสถาปัตยกรรมในเมืองนี้ก็ใช้ได้เลยทีเดียว เราเดินอ้อมโบสถ์ไปทางด้านช้ายจะเจอะกับสะพานที่มีรำธารไหลผ่าน เดินผ่านสะพานเข้าไปก็เจอกับบ้านหลังหนึ่งทางด้านขวาที่ใหญ่โตมาก คงเป็นบ้านของพวกขุนนางนั่นแหละ ตรงข้ามกับบ้านขุนนางก็เป็นบ้านหลังเล็กๆ กว้างประมาณ5เมรต มีรั้วล้อมรอบเอาไว้ หมอนั่นชี้ไปบ้านหลังนั้น เป็นบ้าน สร้างจากไม้ มีประตูไม้ และ มีหน้าต่างเล็กๆตรงประตู ระหว่างด้านซ้าย และ ขวามีประตูหน้าต่าง ส่วนด้านหน้าประตูปลูกดอกไม้ตกแต่งให้สวยงาม เป็นดอกไม้สีฟ้าแปลกตามาก เหมือนกับดอกลิลลี่สีน้ำเงิน.

" หลังนี้สินะ"

ผมมเงยหน้ามองดู ก๊อกๆ! ผมเคาะประตู

" กำลังไปค่าาา!! "

 เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากในบ้าน เธอเดินออกมาเปิดประตู เมื่อประตูเปิดออก เธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอายุน่าจะสัก15ปีได้    มีผมสีดำ ในตาสีน้ำตาล ใส่เสื้อสีขาวแล้วก็กางเกงขายาวสีน้ำตาล มือของเธอถือช้อน ส่วนอีกข้างถือจานที่มีเค้ก พอเธอมองไปที่อาค์จานที่อยู่บนมือก็หล่นลงพื้น แกล๊ง! เค้กตกกระจายเต็มพื้นไปหมดเธอวิ่งไปกอดอาค์แล้วร้องไห้.

" พี่ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว…ฮืออ…"

 เธอได้พาอาค์เข้าไปในบ้านแล้วก็ให้เขานอนพักผ่อน ส่วนผมที่นั่งรออยู่ห้องรับแขกก็มองไปทั่วตามสไตล์นิยาย ข้างในบ้านตกแต่งไปด้วย ดาบสองคม มีโล่อัศวินแขวนบนกำแพงตรงทางเข้า ที่ห้องรับแขกนั้น ตกแต่งด้วยดอกไม้ตามผนัง และ บนหน้าโต๊ะ บ้านหลังนี้เหมือนเป็นบ้านของนักดาบดอกไม้ โอ้ยเรียกสะน่าอาย นักดาบผู้รักในการปูก แต่นี่ก็ไม่ค่อยถูกใจแฮะ นักดาบผู้ชื่นชอบดอกไม้…หืมมม นักดาบผู้มีน้องสาวที่ชอบดอกไม้… แบบนี้ละมั้ง ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยรอพวกเขา ผ่านไปสามสิบนาทีกว่าๆ เด็กสาวก็เดินออกมาจากห้องแล้วเดินไปที่ครัว เหมือนว่าเธอจะไปชมชามาให้.

" นี่คือชาขาวที่ได้จากตลาด อาจจะไม่ถูกใจคุณก็ได้นะคะ "

เธอพูดแล้วก็ยื่นถ้วยชามาให้ผม.

" ไม่เป็นไร "

ผมยื่นมือรับถ้วยชา จากนั้นเธอนั่งลงเก้าอี้ตรงข้าม เธอมองไปที่ถ้วยชาของเธอสักพัก แล้วก็เงยหน้ามามองผม ผมก็ได้แค่ดื่มชาแล้วก็มองกลับไป….บรรยากาศรอบๆ เงียบ และ ตึงเครียด ผมดื่มชาจนหมดจอกแล้วถามเธอว่า:

" ที่นี่มีห้องอาบน้ำไหม ? "

เธอตกใจจนสะดุ้ง เธอมองผมแล้วก็ชี้ไปทางด้านขวา.

" มิ..มี ค่ะ!! เดี๋ยวฉันจะไปตักน้ำมาไว้ให้ คุณช่วยรอสักครู่นะคะ !! "

 ผมพยักหน้า เธอเดินออกไปทางด้านขวาของบ้าน เหมือนว่าเธอจะไปตักน้ำที่บ่อน้ำของหมู่บ้าน มันก็ไม่ได้ไกลมานักหรอกผมเป็นแขกเพราะงั้นนั่งเฉยๆให้เกียรติเธอบริการดีกว่า ว่าไปนั่น ต้องไปช่วยอยู่แล้วตามสัญชาตญาณของพระเอกในอนิเมะหรือชายผู้มีจิตใจดีงามละนะ แต่ผมไม่ใช่ ผมแค่ต้องการอาบน้ำเร็วๆเพราะงั้น ต้องรีบไปช่วยตักให้เร็วจะได้สบายๆ ผมเดินไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มีน้ำอยู่เต็มถัง ในยุคสมัยนี้คงเป็นแบบนี้สินะ ต้องเดินไปตักน้ำมาใส่ถังทีละนิดเพื่อที่จะมีน้ำใช้ แต่ว่าถ้าหามีเวทย์มนต์น้ำละ มันจะเป็นยังไงนะ ผมเริ่มทอดชุดออก และ เดินไปที่ถังน้ำ สายตาของผมมองเห็นเงาของตัวเองในน้ำ มันทำให้ผมต้องตกใจไม่น้อย…. นี่มัน…เราเมื่อตอนอายุ 19นิ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ละ…..ที่บอกว่าเป็นเอลฟ์แล้วอายุยืนยาวคงเป็นเรื่องจริงสินะ ฉัน30แล้วนะ แต่ร่างกายเหมือนกับเด็กม.ปลายแบบนี้นะ ……..ดีจริงๆ!! ตัวของผมเหมือนจะเป็นเอลฟ์ผมสีเงิน มีตาสีน้ำเงิน ผมเองก็ดูเหมือนจะเข้ากับโลกนี้ได้อยู่นะ.

#ตอนต่อไป >>>>>>> [ การก่อตัวของการแก้แค้น ] <<<<<<<<

  สวัสดีทุกคน!!!! อ่านถึงตอนนี้แล้วรู้สึกยังไงกันบ้าง ถ้ามีอะไรที่ผิดผลาดหรือมีเนื้อหาใดที่ไม่เข้าใจ มาคอมเม้นไว้ด้านล่าง ตัวผมและทีมงานจะพยายามแก้ไขปรับปรุงเพื่อความสนุก และ ความสุขในการอ่านของทุกคนมากขึ้น ผมขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้มากครับส่วนตอนต่อไปนั้นคุณจะได้รู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาค์ อย่าลืมมาอ่านละ ขอบคุณมากครับ.

จาก SEKI OFFICIAL

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!