'ลูคัส' หนุ่มหล่อหน้าตาดี ฐานะร่ำรวย ผู้เย็นชาใส่ผู้หญิงทุกคน แม้แต่คู่นอนที่ร่วมเตียงกัน ด้วยความที่เป็นนักธุรกิจระดับต้นของประเทศ มีทั้งด้านมืด เขามักต้องทำตัวเย็นชาเพื่อไม่ให้ใครเข้าถึงได้ง่าย
ตั้งแต่วันแรกที่เขาได้พบกับเธอเมื่อสิบปีก่อน แต่เพราะเธอยังเด็กมาก ในสายตาเขาตอนนั้นมองเธอด้วยรักและเอ็นดูเหมือน 'น้องสาว' คนหนึ่ง เขาจึงไม่รู้ความรู้สึกของเธอที่ซ่อนเอาไว้ที่มีต่อเขา
แต่แล้ววันหนึ่งหญิงสาวคนนั้นได้ปรากฏตัวขึ้นที่คฤหาสน์และร้องขอให้เขาช่วยรับเธอเป็นเลขาส่วนตัวของเขาอีก เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น หัวใจน้ำแข็งของเขาได้ละลายโดยที่เจ้าตัวไม่รู้มาก่อน รู้ตัวอีกทีก็มีเธอเข้ามาอยู่ในใจแล้ว
เหตุผลที่ทำให้ข้าวเจ้าเลือกมาเป็นเลขาให้กับเขาเพราะความเสน่หาที่มีต่อ 'เขา' ผู้ชายที่เธอแอบรักมาตลอด
ด้วยหน้าที่การงานของเขาแล้ว โอกาสที่เธอจะพบเจอกันมันยากเย็นนัก เธอจึงตัดสินใจมาเป็นเลขาส่วนตัว เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดและได้เห็นหน้าทุกวันของเขา
เธอต้องทำทุกวิถีทาง ใช้หน้าที่เลขาส่วนตัวให้เขาตกหลุมรักเธอ แต่เธอจะทำได้หรือไม่
เขาเป็นหนุ่มลูกครึ่งไทย-อังกฤษ แต่เขาเติบโตอยู่ที่ประเทศสเปน.....
ภายในห้องอับแสงมีเพียงสีนวลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ส่องสว่าง อีกไม่กี่อึดใจข้อมูลที่เขากำลังดาวน์โหลดอยู่จะสำเร็จอยู่แล้ว งานปาร์ตี้กระจายอยู่หลายห้องในอีกฟากหนึ่งของตัวอาคาร ชายหนุ่มจะต้องรีบกลับไปยังงานชุลมุนแสนอึกทึกนั้นก่อนที่จะมีใครนอกจากคู่ควงของเขาสังเกตว่า...เขาหายตัวไป
ปี๊บ! การดาวน์โหลดไฟล์สุดท้ายเสร็จสิ้น
ชายหนุ่มรีบดึงแฟลชไดร์ฟออกมาจากคอมพิวเตอร์ มีเวลาไม่มากพอที่จะปิดคอมพิวเตอร์ เขาดันแฟลชไดร์ฟเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและสำรวจไปรอบๆห้อง ชายหนุ่มตัดสินใจรีบวิ่งออกไป โดยที่ไม่ให้ตัวเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวได้ ก่อนจะโล่งอกไปที่มันไม่มีเสียงร้องเตือน จากนั้นหาทางไปห้องน้ำเพื่อไม่ให้ใครสงสัยและเดินกลับเข้าไปที่งาน
ในจังหวะเดียวกันก็มีหญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มทำกระเป๋าที่ถือหล่นขณะที่ควานหาบัตร ลิปสติก เหรียญ และสิ่งของอื่นอีกหลายอย่าง ลูคัสย่อตัวตามบรรดาชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยเก็บอย่างเนียนๆ หญิงสาวเจ้าของกระเป๋าท่าทางโซเซเล็กน้อยด้วยความเมาจากแอลกอฮอล์ กล่าวขอโทษและขอบคุณด้วยภาษาสเปนอย่างชำนาญ
เขาลัดเลาะไปอยู่ข้างๆชายสูงวัยอีกกลุ่ม
"สวัสดีครับอาฌาคส์ "
"อ้าวลูคัส" ฌาคส์กล่าวทักด้วยความประหลาดใจ
"ไม่เห็นนายในงานเลี้ยงเลย"
"ผมอยากจะทักคุณอาตั้งแต่แรกแล้วครับ แต่ไม่มีโอกาสสักที คุณอาสบายดีนะครับ" อันที่จริงลูคัสสังเกตว่าคนตรงหน้าดูเหนื่อยและซีดเซียว
''ที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่หรอก''
"หมอบอกให้อาต้องลดน้ำหนักและความเครียดลง น้ำหนักพอทำได้ แต่ความเครียดคงทำได้ยาก" เขาบ่น "งานที่ทำอยู่ไม่ให้เครียดคงเป็นไปไม่ได้ "
ลูคัสยิ้มให้อย่างเห็นอกเห็นใจ
"หมอหรือครับ" เขาตอบรับสั้นๆ
"อืม... คุณอา จะไปงานเลี้ยงสังสรรค์ของสถานทูตในวันพรุ่งนี้หรือเปล่าครับ"
"อากับเมียจะต้องบินไฟลต์เช้ากลับประเทศไทยวันพรุ่งนี้ ที่นี่อยู่นานไปก็ไม่สนุกหรอก เมียอาบ่นคิดถึงลูกสาวที่อยู่ประเทศไทยด้วย"
"พวกแม่บ้านก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ"
"รู้ได้ไงว่าพวกแม่บ้านก็เป็นแบบนี้ เท่าที่อารู้มาลูคัสก็ยังโสดอยู่นี่ หรือมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปที่อายังไม่ทราบ"
"ยังโสดอยู่ครับ" ลูคัสยอมรับ
ฌาคส์พยักหน้ารับ ทั้งสองคนก้าวลงบันได ขณะที่คนอีกกลุ่มเดินเข้ามา
"เมียอาไม่ชอบการเดินทางด้วยเครื่องบิน ไม่ชอบไปไหนมาไหนด้วย"
มีพนักงานหลายคนเข้ามารับบัตรจอดรถ มีกลุ่มบอดี้การ์ดและรปภ.ที่ดูแลความปลอดภัยด้านหน้า กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกันด้วยน้ำเสียงร้อนรน ลูคัสพอจะจับใจความได้ ขณะพยายามทำทีเป็นไม่สนใจ
"แล้วหนูข้าวเจ้าล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่ที่ผมเจอกับเธอ นี่ก็ผ่านมาเกือบสิบปีแล้วมั้ง"
"เธอสบายดี ยังคงต้องเรียนรู้ชีวิตจริงให้มากกว่านี้ อาอดเป็นห่วงไม่ได้เลยเด็กคนนี้ หลายปีที่ผ่านมาเธอบ่นอยากเจอนายอยู่ตลอด"
"ช่วงนี้ผมยุ่งอยู่ตลอดเลยครับ ไม่มีเวลาได้ไปเยี่ยมหาเลย เอาไว้โอกาสหน้าผมจะไปเยี่ยมนะครับ"
"อาเข้าใจ อาคิดว่า...." ฌาคส์เพ่งมองตามองคนอ่อนวัยกว่าแล้วหยุดพูดไป
ฌาคส์รู้ดีว่าลูกสาวตัวน้อยของเขามีใจให้กับผู้ชายตรงหน้าเขา รับรู้มาตลอดว่าแม้ลูกสาวจะไม่ได้เจอกับลูคัสนานแล้วแต่เธอก็ยังชอบไม่เปลี่ยนแปลง
เรื่องแบบนี้เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเท่าไหร่นัก ความรู้สึก ความชอบเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก แต่ว่า......
"จริงๆแล้วเดือนหน้าผมมีหมายกำหนดการที่จะบินไปที่ประเทศไทยอยู่เหมือนกันครับ มีไฟล์ออกแบบที่ต้องไปจัดการพอดี แต่เพราะคู่ควงของผมเธออยากไปเจอคนสำคัญก่อน....ที่งานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสระหว่างนี้เลยไม่ว่างครับ"
"นี่ไม่คิดจะสวมแหวนใส่นิ้วมือขอแฟนแต่งงานกับเขาบ้างหรอ"
"ผมไม่รีบครับคุณอา" ชายหนุ่มยืนยันต่อชายสูงวัยกว่า
"นั่นน่าจะใช่รถของอานะ" ทั้งสองจับมือเพื่อบอกลา จากนั้นลูคัสก็ตรงดิ่งไปยังประตูด้านหน้า การรักษาความปลอดภัยในตอนนี้ดูตื่นตัวมากกว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้
ชายหนุ่มแวะคุยกับคนโน้นคนนี้ระหว่างเดินฝ่าฝูงชนอย่างแนบเนียน โดยตระหนักถึงคลื่นใต้น้ำของความตึงเครียดที่ซ่อนอยู่
คู่เดตหรือคู่ควงของลูคัสกำลังคุยอยู่กับแขกกลุ่มเล็กๆ ซึ่งส่วนมากเป็นผู้ชาย และท่าทีรำคาญใจของหล่อนก็ช่วยให้เขาไม่ต้องเสียเวลาโน้มน้าวให้หล่อนกลับ หญิงสาวเองก็แสดงออกอย่างแจ้งว่าอยากจะกลับ....
ลูคัสและคู่ควงสาวแยกจากกันตรงประตูห้องสวีตของโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง เดิมทีเขาเพียงแค่จีบหล่อนมางานเลี้ยงในฐานะคู่เดตเพื่อให้ภารกิจลับของตนเองแนบเนียน ซึ่งตอนนี้มันก็เสร็จสิ้นลงแล้ว เขาไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องใช้หล่อนอีกต่อไป
ตอนนี้เขาเองก็เหนื่อยจนเกินกว่าจะนึกถึงเรื่องอย่างว่า ปกติเวลาใช้งานเหล่าบรรดาสาวสวยพวกนี้ นอกจากเงินที่ต้องจ่าย บางคนก็ใช้ร่างกายตอบแทนบ้าง อย่างตอนนี้ที่มีเสียงก่นด่าแหลมปรี๊ดของหญิงสาวไล่ตามมาตามหลังด้วยความหัวเสีย
แต่ลูคัสไม่แคร์ และเดินไปยังชั้นล่างของโรงแรมเพื่อขึ้นรถกลับคอนโดของตัวเอง
ณ คฤหาสน์
เด็กหญิงร่างอวบอิ่มวัยหกขวบวิ่งเข้าวิ่งออกชะเง้อมองทาง เพื่อยืนรอใครบางคน รอแล้วรอเล่าหน้าตาตื่นเต้นซุกซน ผู้ใหญ่ที่นั่งพูดคุยกันในห้องรับแขกหันหน้ามามองทางเด็กหญิงแล้วพากันยิ้ม หัวเราะให้กับความใจร้อนของเด็กน้อย
"ข้าวเจ้าคะ มาหาคุณแม่หน่อยค่ะ" น้ำเสียงอ่อนโยนผู้เป็นมารดาส่งเสียงเรียกลูกสาวตัวน้อย
เมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นมารดาเรียกหา เด็กน้อย กมลนิตย์ แอนเดอร์สัน หรือข้าวเจ้าก็รีบวิ่งมาหามารดาทันที
"คุณแม่เรียกข้าวเจ้ามาทำไมคะ"
จันทร์เจ้า ผู้เป็นมารดาส่งยิ้มให้ลูกสาวตัวน้อย แม้ว่าบางครั้งข้าวเจ้าจะดื้อรั้นตามประสาเด็กที่ถูกเอาอกเอาใจไปบ้าง เพราะเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้าน แต่ข้าวเจ้าก็ยังเป็นเด็กดีน่ารักกับทุกคนเสมอ
"แม่เรียกให้ลูกมากินขนมเค้กรสสตรอเบอร์รี่ของโปรดลูกไง" ตอบคำถามผู้เป็นลูกพร้อมทั้งเลื่อนจานเค้กสตอเบอรี่น่ากินมายังตรงหน้าลูกสาว เด็กน้อยยืนมองจานเค้กที่ผู้เป็นมารดาส่งมาให้สลับกับมองประตู ในใจก็อยากกินเค้กตรงหน้า แต่อีกใจก็อยากออกไปรอคุณพ่อและพี่ชายทั้งสองข้างนอก
"คุณแม่ค่ะ ข้าวเจ้าขอไปกินข้างนอกได้ไหมคะ" เด็กน้อยขออนุญาตตาแป๋ว แต่ทว่าผู้เป็นมารดากลับส่ายหน้าปฏิเสธ
"ไม่ได้ค่ะ ข้าวเจ้ามานั่งกินตรงนี้กับคุณลุงคุณป้าและคุณอาดีกว่านะคะ ทำแบบนั้นมารยาทไม่งามนะคะ"
ผู้เป็นมารดาไม่ยอมตามใจลูกสาว และยังไม่ใจอ่อนให้กับเจ้าดวงตาอ้อนวอนของข้าวเจ้าอีกด้วย
"ข้าวเจ้ามานั่งกินเค้กกับป้ามาลูก"
ปัทมา เอ่ยชวนเด็กน้อยเมื่อเห็นว่ายังทำท่าจะงอแงใส่ผู้เป็นมารดาไม่ยอมนั่งลงแต่โดยดี แก้มนุ่มใสอมชมพูตอนนี้ทำหน้าบึ้งตึงแสนงอนหลังจากถูกมารดาห้าม
"เดี๋ยวป้าให้สาวใช้ไปยืนรอข้างนอกแทนดีไหม ถ้าคุณพ่อและพี่ชายมาถึง ค่อยให้มาตามหนูดีไหมลูก"
"นั่นสิจ๊ะ แม่เห็นด้วย ข้าวเจ้ามานั่งรอในห้องดีกว่า ข้างนอกอาการร้อน เดี๋ยวข้าวเจ้าของแม่ไม่สบายเอาได้ "
จันทร์เจ้ากล่าวจบก็เรียกสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นให้ไปยืนรอสามีและลูกชาย พอเห็นเป็นอย่างนั้น เด็กน้อยกมลนิตย์ แอนเดอร์สัน จึงยิ้มหวานอารมณ์ดีขึ้นมาทันที มืออวบอิ่มหยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กกินอย่างเอร็ดอร่อยเพื่อรออย่างว่าง่าย
และไม่นานเกินรอ รถลีมูซีนคันหรูสีดำวิ่งเข้ามายังเขตของคฤหาสน์ มาจอดเทียบหน้าเชิงบันไดหินอ่อนทางเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ร่างสูงใหญ่โตของ ฌาคส์ แอนเดอร์สัน ผู้เป็นบิดาก้าวลงมาจากรถก่อนและตามด้วยชายหนุ่มสามคนที่ประตูรถถูกเปิดออกโดยคนขับรถ แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะก้าวขึ้นบันได มีร่างอวบกลมของใครบางคนที่พุ่งเข้ามากอดเอว โดยที่ผู้เป็นบิดาไม่ทันได้ตั้งตัว
"คุณพ่อ.... ข้าวเจ้าคิดถึงที่สุดเลยค่ะ ข้าวเจ้ารอน๊านนาน" เสียงใสเอ่ยปากออกมาจากปากอิ่มแดง ผู้เป็นบิดาจับเด็กน้อยให้ออกจากตัวเขาก้มลงมองลูกสาวตัวเล็กที่ส่งยิ้มกว้างให้เขาและถามขึ้นอย่างแปลกใจคนสงสัย
"จริงหรือเปล่าครับ" ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามให้แน่ชัดอีกที
เด็กน้อยยิ้มกว้างและซุกซนกว่าเดิม ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายคล้ายถูกใจบางอย่าง ก่อนที่จะเดินแยกออกมายืนอยู่ตรงหน้า ลูคัส มอร์ริส
เด็กน้อยจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัยและถูกใจอย่างบอกไม่ถูก เธอไม่เคยเห็นพี่สุดหล่อคนนี้มาก่อน แน่นอนว่าเด็กน้อยรู้สึกแก้มน้อยของเธอเริ่มร้อนขึ้นมา
บิดาและพี่ชายทั้งสองยืนงงกับสิ่งที่เด็กน้อยแสดงออกมา ในความคิดของพวกเขาตอนนี้คือ คนแปลกหน้าสำคัญกว่าพวกเขาอย่างนั้นหรอ
เรื่องการมาของ ลูคัส มอร์ริส เซอร์ไพรส์จริงๆด้วย
ด้วยความที่ยังไม่มีใครได้บอกอะไรกับเด็กน้อยว่าครอบครัวมอร์ริส จะย้ายเข้ามาพักอาศัยอยู่ที่บ้านด้วยชั่วคราว และยิ่งไปกว่านั้นก็คือข้าวเจ้าไม่รู้ว่าคุณลุงคุณป้าเป็นบิดามารดาของพี่ชายสุดหล่ออีกต่างหาก พี่ชายที่ตามใจน้องสาวทุกอย่าง เมื่อเห็นว่าตัวป่วนตัวน้อยของเขามีของเล่นที่ถูกอกถูกใจอย่าง ลูคัส มอร์ริส ยิ่งคิดก็สนุกซะแล้วสิ.....
หลังจากรับประทานอาหารค่ำเสร็จกันเรียบร้อยแล้ว ลูคัสจึงปลีกตัวออกมาอยู่ตามลำพังที่สวนหลังบ้าน ตั้งแต่เข้ามา ชายหนุ่มยังไม่มีเวลาส่วนตัวเลยสักนิด ไม่คิดว่าเด็กน้อยกมลนิตย์จะถามคำถามใส่เขาไม่หยุด ทั้งยังตามติดเขาไปทุกที่ ไม่ว่าลูคัสจะทำอะไรหรือเดินไปไหน เด็กหญิงข้าวเจ้าก็ตามติดตลอด
ลูคัสมักจะชอบหาเวลาอ่านหนังสือเพิ่มพูนความรู้อยู่ตลอดเวลาเท่าที่จะวาง เป็นที่รู้ๆกันในหมู่บรรดาเพื่อนสนิท เมื่อไหร่ที่ชายหนุ่มอ่านหนังสือ ห้ามให้ใครมารบกวนโดยเด็ดขาด แต่ครั้งนี้คงจะไม่เป็นข้อห้ามอีกต่อไปแล้ว เมื่อเด็กน้อยกมลนิตย์เธอได้แหกข้อห้ามที่เขาตั้งขึ้นมาเสียแล้ว เมื่อเด็กน้อยผมเปียเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าหนุ่มน้อยที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่
ลูคัสเงยหน้าจากหนังสือ มองเด็กน้อยที่ยิ้มหวานให้เขา
"พี่ลูคัส....ข้าวเจ้าอยากนั่งด้วยคนค่ะ"
"ข้าวเจ้าก็มานั่งสิ" ลูคัสพูดแบบไม่สนใจ
ดวงตาคมยังคงก้มหน้าจดจ่อกับการอ่านหนังสือเล่มโปรดของเขาต่อ เด็กน้อยกมลนิตย์เดินมานั่งข้างๆของลูคัส มืออวบอิ่มจับแขนของลูคัสเขย่าไปมาแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
"แต่ข้าวเจ้าอยากฟังเสียงของพี่ลูคัส พี่ช่วยอ่านออกเสียงด้วยสิคะ"
"พี่ไม่ชอบอ่านออกเสียงดัง"
มืออวบอิ่มที่จับแขนหนุ่มน้อยถูกปล่อยออกทันที ร่างกลมอวบขยับตัวหนีอย่างแสนงอน จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกเลย เงียบ ความเงียบสงบกลับทำให้หนุ่มน้อยไม่มีสมาธิขึ้นมาเฉย ใจที่ไขว้เขวให้กับเด็กน้อยแสนงอนที่ไม่ยอมพูดจา แต่ก็ไม่ยอมจากไป ทั้งที่ปกติยัยตัวเล็กพูดเจื้อยแจ้วใส่ไม่หยุด และแล้วเวลาผ่านไปพอสมควร เป็นลูคัสเองที่ทนกับสภาวะเงียบสงบแบบนี้ไม่ไหว
ลูคัสยอมอ่านหนังสือให้มีเสียงดังจากปากเพื่อให้เด็กน้อยได้ยิน แต่ก็ไม่มีท่าทีตอบรับจากเด็กน้อยตัวแสบ ลูคัสระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนหันไปมองคนตัวเล็ก ที่แท้เด็กน้อยหลับไปแล้วนี่เอง ลูคัสปิดหนังสือวางลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน เดินอ้อมไปย่อตัวลงเพื่ออุ้มเด็กน้อยขึ้นมาอุ้มไว้ในอก เด็กน้อยพึมพำเบาๆ 'คนใจร้าย' ร่างสูงของเด็กหนุ่มหมุนตัวเดินเดินเข้าไปในบ้านเพื่อไปส่งเด็กน้อยนอนที่ห้อง
เช้าวันต่อมา.......
ปัทมา ยืนมองเด็กๆ ที่วิ่งเล่นไล่จับกันตรงสนามหลังบ้านผ่านหน้าต่าง เห็นเด็กชายหญิงอย่างชัดเจนว่า...ลูกชายที่แสนเย็นชากับเด็กผู้หญิงทุกคน บัดนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว หรือบางทียังเหมือนเดิมแต่แค่ยอมให้กับเด็กน้อยกมลนิตย์คนเดียว
"ฉันหวังว่าในอนาคตจะได้ภาพความสนิทสนมแบบนี้อีก"
ปัทมาหมุนกายกลับมานั่งบนโซฟา ตรงข้ามกันมีสามีที่นั่งจิบกาแฟหอมกรุ่นอยู่
"ฉันก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น ถ้าในอนาคตหนูข้าวเจ้าจะมาเป็นลูกสะใภ้ให้กับเรา" จอร์สันคิดเห็นตรงกับภรรยาของเขา
"คุยอะไรอยู่คะทั้งสองคน" เสียงหวานของจันทร์เจ้าดังแทรกเข้ามาในห้อง ก่อนเจ้าตัวและฌาคส์ผู้เป็นสามีเดินเข้ามานั่งข้างทั้งสองคน
"พูดเรื่องลูคัสกับหนูข้าวเจ้า" ปัทมาบอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"ลูคัสกับข้าวเจ้ายังเด็กมาก โดยเฉพาะข้าวเจ้า ไม่เร็วไปหรอครับที่จะคิดเรื่องหมั้นหมาย" ฌาคส์พูดขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นด้วยที่จะให้ลูคัสกับข้าวเจ้าได้หมั้นหมายกัน แต่เขาเองก็อยากฟังความเห็นของทั้งสองคนด้วย เพื่อไม่ให้มีปัญหาในอนาคต ไม่อยากมีปัญหาเหมือนกับตนเมื่อสมัยก่อนที่ครอบครัวของเขาได้จับคู่หมั้นหมายให้ โดยที่เขาเองไม่รับรู้อะไรด้วย
เหตุการณ์ในอดีตของตนเองไม่อยากให้ซ้ำรอยกับลูกสาวของเขาอีก
"แต่พวกท่านก็ทราบว่าตระกูลทั้งสองของพวกเรามีสัญญาหมั้นหมายกันทุกรุ่น"
จอร์สันไม่เห็นด้วยกับคำค้านของฌาคส์ คำสัญญานี้มีมาตั้งเนินนานแล้ว พ่อของจอร์สันกับพ่อของฌาคส์ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน มีความอยากให้ทั้งสองตระกูลเกี่ยวดองไว้ด้วยกัน แต่มีเหตุให้ไม่สมหวัง เพราะฌาคส์ปฏิเสธการหมั้นหมายระหว่างที่ผู้ใหญ่ได้จับหมั้นหมายให้กับน้องสาวของจอร์สันไป เพื่อให้คำสัญญานี้บรรลุผลตามเจตนารมณ์เดิมของสองตระกูล
ปัทมากล่าวต่อว่า....
"ฉันเองก็รักลูกของเรามาก และก็รักหนูข้าวเจ้าด้วย ในฐานะคนเป็นพ่อแม่ เราคำนึงถึงความสุขของเด็กทั้งสองคนอยู่แล้ว"
เมื่อเห็นความตึงเครียดในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจันทร์เจ้าจึงพูดขึ้นว่า
''ตอนนี้เราอย่ามาถกเถียงเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึงหรือคำสัญญาในอดีตไปเลย ปล่อยให้เด็กๆ หรือโชคชะตาเป็นผู้ตัดสินดีกว่าค่ะ''
"ฉันอยากให้ลูกๆ ได้เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง เหมือนเราที่เลือกคนที่เรารักด้วยตัวเราเองไงคะ ถึงแม้ไม่ได้เกี่ยวดอง เราสองตระกูลก็ยังจะเป็นเพื่อนที่ผูกพันกันตลอดไป"
จันทร์เจ้าพูดความในใจออกมาอย่างหมดสิ้น น้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของแม่ที่มีต่อลูก และเห็นความสุขของลูกเหนือสิ่งใด
ฌาคส์เองก็เห็นด้วยกับภรรยาของเขาเช่นกัน ในเมื่อทุกถ้อยคำของภรรยาล้วนเป็นสิ่งที่เขาเองก็คิดเหมือนกัน คำสัญญาในอดีตก็สำคัญ หากแต่ว่าความสุขของลูกๆ นั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น
ในสวนหลังบ้าน.....
"พี่ลูคัส ถ้าพี่กลับไปที่อังกฤษจะลืมข้าวเจ้าไหมคะ"
เด็กน้อยกมลนิตย์มองใบหน้าหล่อของลูคัสด้วยสีหน้าสงสัย เธอกลัวว่าเขาจะลืมเธอไป
"ไม่หรอก พี่ไม่ลืม" ลูคัสพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
พอได้ยินแบบนั้น เด็กน้อยก็ยิ้มกว้างจนลูคัสต้องยิ้มตาม รอยยิ้มของลูคัสตรึงตาตรึงใจ เธอชอบรอยยิ้มของลูคัสที่สุด
"ถ้าโตขึ้นพี่ลูคัสต้องแต่งงานกับข้าวเจ้านะคะ"
ความไร้เดียงสาของเด็กน้อยกมลนิตย์ ไม่รู้ความหมายลึกซึ้งของคำว่าแต่งงานด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าถ้าแต่งงานกันก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
"ทำไมพี่ต้องแต่งงานกับข้าวเจ้าด้วยล่ะ" ลูคัสย้อนถามอย่างสงสัย และไม่คิดจะรับปากเธอด้วย
"เพราะข้าวเจ้าชอบเวลาได้อยู่กับพี่ที่สุด และอยากอยู่ด้วยตลอดไปไงคะ"
"ไม่รู้แหละ ถ้าข้าวเจ้าโตขึ้นพี่ลูคัสต้องแต่งงานกับข้าวเจ้า ไม่งั้นข้าวเจ้าจะตามติดพี่ไปทุกที่เลยคอยดู"
คำขู่ที่แสนน่ากลัวของเด็กน้อยกมลนิตย์ทำให้ลูคัสหัวเราะออกมา แต่จะว่าไปคำขู่ของเธอก็แอบขนลุกอยู่เหมือนกันนะ
แต่คิดๆ ไปถ้ามียัยเด็กนุ่มนิ่มมากวนเขา คอยป่วนในชีวิตก็คงจะมีสีสันขึ้นมาบ้าง
"แต่มีข้อแม้ว่าข้าวเจ้า....ห้ามดื้อรั้น ต้องเชื่อฟังพี่ทุกอย่าง เพราะพี่ไม่ชอบคนไม่เชื่อฟัง"
ลูคัสตั้งข้อห้ามไปอย่างนั้นแหละ ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก มีหรือเธอจะเชื่อฟังเขา เธอออกจะซุกซน แถมยังชอบตามติดเขาเป็นเงา
"ตกลงค่ะ ข้าวเจ้าจะเชื่อฟัง พี่สัญญาจะแต่งงานกับข้าวเจ้าแล้วนะ" รับปากตามประสาเด็กน้อย เพราะเธอคิดว่าตัวเองไม่เคยดื้อ และเชื่อฟังผู้ใหญ่อยู่แล้ว
"อืม....." ตอบรับไปอย่างนั้น
เด็กน้อยกมลนิตย์ยื่นหน้าไปหอมแก้มลูคัสทีหนึ่ง เป็นรางวัลที่ลูคัสตกลงแต่งงานกับเธอแล้ว
ลูคัสยิ้มอ่อนโยนให้กับยัยตัวแสบ จมูกโด่งเป็นสันของลูคัสก้มลงไปหอมแก้มนุ่มนิ่มอมชมพูของเด็กน้อย
การกระทำของลูคัสทำให้เด็กน้อยเบิกตาโต ไม่คิดว่าคนตัวโตกว่าจะหอมแก้มเธอกลับ แต่แล้วเธอก็มอบรอยยิ้มหวานส่งให้ลูคัส
"มาเกี่ยวก้อยสัญญากัน" ชูนิ้วก้อยขึ้น
ลูคัสเองก็ยกนิ้วก้อยของเขาเกี่ยวเข้าด้วยกันไว้กับเธอ สัญญานี้ในอนาคตจะพันธนาการทั้งสองไว้ด้วยกันตลอดไป
ทั้งคู่ได้ให้คำหมั้นสัญญากันไว้ สัญญาใจของเด็กทั้งสองคนที่มีต่อกัน จะผูกมัดพวกเขาไว้จนชั่วนิรันดร์.......ตราบสิ้นเสน่หา
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!