..."โลกของฉันมันเหมือนประตูที่ถูกปิดตายเอาไว้...
...ฉันพยายามทุกวิถีทางที่จะเปิดมันออก...
...แต่ดูเหมือนว่ายิ่งพยายามที่จะเปิดประตูนั่นมากเท่าไหร่ ...
...มันกลับยิ่งล็อกแน่นหนามากกว่าเก่า..."...
" คีย์ คีติกา ปวรยศ "
ซุปตาร์คนดังแห่งยุค 90 ที่โด่งดังเปรี้ยงปร้างตั้งแต่ยุคนั้นมาจนถึงทุกวันนี้มีผลงานมากมายให้ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นละคร ภาพยนต์ ถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา รวมไปถึงผลงานเพลง และผลงานอื่นๆ อีกมากมาย ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเธอ ซุปตาร์ที่ได้ชื่อว่าโกงอายุแม้แต่กาลเวลาก็ทำอะไรเธอไม่ได้สาวซุปตาร์หน้าหมวย ที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนเธอก็ดูเซ็กส์ซี่และมีเสน่ห์สุดๆ
ทั้งแววตาเวลาเธอยิ้ม ดวงตาที่โค้งราวกับเป็นรูปตัวสระอิบวกกับรอยยิ้มที่มีลักยิ้มอยู่ตรงมุมปากทั้งสองข้างนั้น เอาเป็นว่า ยิ้มทีทำให้โลกนี้หยุดหมุนไปเลย
"ขนาดฉันเองที่เป็นผู้หญิงด้วยกันยังใจเต้นแรงทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มของเธอเลย"
มันรู้สึกเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง แต่ฉันเองก็ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เหมือนกันว่าความรู้สึกแบบนั้นมันคืออะไร แต่ทว่าที่พูดมาทั้งหมดนั้น มันเป็นเพียงแค่ชีวิตของติ่งคนหนึ่งก็เท่านั้นแหละ หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ฉันก็แค่เพ้อถึงใครบางคนที่พอจะเป็นรอยยิ้มและพลังบวกให้กับฉันได้บ้าง
"เพราะถ้าหากชีวิตจริงมันสวยงามดั่งในความฝันก็คงจะดี"
"ฉันชื่อกุ้งแก้ว" หรือ กัญญาวีร์ อภิวัฒน์ธนสาร ชื่อที่ในวงการธุรกิจรู้จักกันเป็นอย่างดี ในฐานะนักธุรกิจสาวอายุน้อยที่มีดีกรีเป็นถึงลูกสาวคนเดียวของท่านเจ้าสัวอภิวัฒน์
"ฟังดูดีใช่มั้ยล่ะ..?" เพรียบพร้อมไปทุกอย่างทั้งฐานะและชาติตระกูล คนส่วนใหญ่มักจะพูดเอาไว้แบบนั้น
...หึ!
ถ้าเลือกได้ ฉันไม่อยากจะเกิดมาในตระกูลนี้ด้วยซ้ำ ฉันอยากใช้ชีวิตอย่างอิสระในแบบที่ตัวเองเลือกได้ ไม่ต้องคอยทำตามคำสั่งของใคร ฉันโตมากับแม่ แม่ที่เป็นทุกอย่างให้กับฉัน
"ฟังไม่ผิดหรอก"
ถึงฉันจะเป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าสัว แต่เขาไม่ได้เลี้ยงดูอะไรฉันเลย ฉันอยู่กับแม่แค่สองคน แต่ครั้งหนึ่งในตอนเป็นเด็กฉันก็เคยมีความทรงจำดีดีร่วมกันกับเขานะ
"หมายถึงเจ้าสัวน่ะ"
พ่อในภาพจำของฉันในตอนเป็นเด็กเขาคือซุปเปอร์ฮีโร่ของฉันเลย ณ ตอนที่เขายังไม่เย็นชา ยังไม่บ้างานจนลืมครอบครัว เขาดูแลฉันกับแม่เป็นอย่างดี ตามใจทุกอย่าง เราไปเที่ยวด้วยกันสามคนบ่อยมากแทบจะทุกอาทิตย์ฉันมีความสุขมากในเวลานั้น
แล้ววันหนึ่งทุกอย่างก็จบลงไป ฉันในวัย7ขวบ พ่อกับแม่ตัดสินใจแยกทางกัน โดยที่ไม่มีใครอธิบายอะไรให้ฉันฟังเลย แม่บอกแค่ว่ามันเป็นเหตุผลของผู้ใหญ่ หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่ติดต่อฉันกับแม่อีกเลย มีแต่คุณย่า ที่ยังคงมาหาฉันบ่อยๆ
ตอนนั้นฉันเองก็เพิ่งทราบจากคุณย่า ว่าเขาย้ายไปอยู่ที่ฮ่องกงทำธุรกิจอยู่ที่นั่น ฉันพยายามทุกวิถีทางที่จะติดต่อเขาแต่ไม่เคยสำเร็จเลย ทุกครั้งที่โทรไปจะมีเลขาฯรับสายแล้วบอกว่าท่านเจ้าสัวติดประชุมบ้าง ไปต่างประเทศบ้าง คุยธุระอยู่บ้าง บลาๆๆ ก็นั่นแหละพ่อฉันล่ะ แต่ก็ยังดีที่คุณย่าท่านรักและเอ็นดูฉัน ฉันเองก็สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นได้เช่นกัน
แต่แล้ววันหนึ่งวันที่ฉันกำลังจะตัดสินใจเลือกคณะและมหาวิทยาลัยที่จะเรียนต่อ อยู่ๆ ก็มีสายเข้าจากคุณย่า
"เย็นนี้เลิกเรียนมาทานข้าวกับย่าที่บ้านหน่อยนะกุ้งแก้ว"
"คะ...ค่ะได้ค่ะ"
ฉันเลยตอบตกลงคุณย่าไป แต่ในใจก็รู้สึกเหมือนมีลางสังหรณ์แปลกๆ และในวันนั้นเองฉันก็ได้รู้และเข้าใจเหตุผลของผู้ใหญ่ที่แม่เคยพูดเอาไว้เลยทันที พ่อยื่นข้อเสนอให้กับฉันว่าจะดูแลแม่เป็นอย่างดี แลกกับที่ฉันต้องไปเรียนต่อที่อเมริกา มหาวิทยาลัยและคณะที่เขาเป็นคนเลือกเอาไว้ให้เพื่อที่เรียนจบจะได้มารับช่วงบริหารงานต่อจากคุณย่า
"เป็นไง พ่อฉันล่ะ เผด็จการสุดๆ"
ฉันปฏิเสธข้อเสนอของเขาไป ตอนแรกพ่อโกรธมาก แต่ฉันเสนอข้อเเลกเปลี่ยนไปว่าขอเรียนที่เมืองไทยแต่จะเรียนคณะที่พ่อเลือกให้แล้วพอเรียนจบจะรับช่วงต่อจากคุณย่าตามที่พ่อต้องการ แต่ขอแค่ฉันได้เรียนต่อที่นี่ เพราะฉันไม่อยากที่จะต้องห่างแม่ไปที่ไกลๆ แต่ที่เลือกเรียนคณะตามคำสั่งของพ่อล่ะก็ ฉันยอมรับเลยว่าฉันเห็นแก่เงิน ที่เขาเสนอมานั้นมันไม่น้อยเลยมันเพียงพอที่จะทำให้แม่ไม่ต้องทำงานและให้ชีวิตได้อย่างสบายๆ
นับจากวันนั้นก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ฉันรับช่วงบริหารต่อจากคุณย่าเป็นที่เรียบร้อย สองปีแรกที่เรียนจบฉันทุ่มเทอย่างหนักหน่วงเพื่อที่จะเรียนรู้งาน เริ่มจากรองประธานบริษัท จนตอนนี้ได้เป็นผู้บริหารอย่างเต็มตัว บอร์ดบริหารต่างพากันชื่นชมในตัวฉัน ที่นำพาทีมไปถึงเป้าหมายทำให้ผลประกอบการในปีที่ผ่านมาทะลุเป้าเป็นสองเท่าตัว
"ฉันควรจะมีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้จริงๆ หรือเปล่า?"
เป็นประโยคคำถามที่ถามย้ำตัวเองอยู่บ่อยๆ อยู่ซ้ำๆ วนไปมาหลายรอบ จนในที่สุดเมื่อต้นปีที่แล้วฉันได้ตัดสินใจเปิดไนท์คลับเป็นของตัวเอง ก็สถานบันเทิงทั่วไปแหละ อยากที่จะมีอะไรที่มันเป็นของตัวเองจริงๆ บ้าง ใช้เงินตัวเองบ้าง เบื่อที่จะต้องใช้เงินของพ่อเต็มที จริงๆ เรื่องคลับพ่อก็รู้นะแต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกแค่ว่า
"อยากทำอะไรก็ทำ แค่ไม่ส่งผลเสียกระทบกับบริษัทก็พอ"
ก็เลยให้ไอ้จอช เพื่อนสนิทที่สนิทตั้งแต่อนุบาล ทุกวันนี้ผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการสตาร์คลับละและแถมยังเป็นผู้จัดการส่วนตัวของฉันไปอีก จัดการไปหมดทุกเรื่องจริงๆ ส่วนมากจะให้จอชช่วยดูแลคลับให้แต่บางทีก็ให้ช่วยที่บริษัทบ้าง แต่ว่าช่วงนี้งานที่บริษัทไม่ค่อยมีปัญหาอะไรก็เลยมีเวลาเข้าไปดูแลคลับ และวันนี้ก็เป็นวันแรกในรอบสามเดือนเลยก็ว่าได้ ที่จะได้ไปทำงานที่คลับแล้ว เปลี่ยนบรรยากาศบ้างอุดอู้มานานเกินทน
"เริ่มจากอะไรดีนะ"
ฉันพูดกับตัวเองพึมพำอยู่หน้ากระจก ก่อนที่จะเดินไปหยิบ ชุดเดรสสายเดี่ยวสีดำแล้วเดินเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำตามสเต็ป
"อ้า...ชุดนี้แล้วกัน"
ฉันหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจก ไม่น่าเชื่อว่าจะได้กลับมาแต่งตัวแบบนี้อีกครั้ง ปกติอยู่ที่ทำงานใส่เเต่สูท อึดอัดเป็นบ้า
...กริ๊งงง!!! (เสียงโทรศัพท์)...
"ฮัลโหล ค่ะแม่"
"กุ้งแก้ว เป็นไงบ้างลูก เลิกงานหรือยัง?"
ปลายสายถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
"เพิ่งเลิกค่ะแม่ แก้วกำลังจะออกไปที่คลับค่ะ"
"อ๋อ โอเคจ่ะ ถ้างั้นขับรถดีดีนะแม่ไม่กวนแล้ว"
"ค่ะแม่ คิดถึงแม่นะช่วงนี้ไม่ได้กลับบ้านเลยอยู่แต่คอนโด"
"จ้า แม่ก็คิดถึงแก้วนะ ไว้ว่างๆ มาทานข้าวกับแม่นะลูก"
"ค่ะแม่ รักแม่นะ"
"แม่ก็รักแก้วนะ"
จบการสนทนากับแม่น้ำตาแทบไหล ฉันไม่ได้กลับบ้านมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว คิดถึงแม่จะแย่ ฮือ...T\_T
" เอาล่ะอันดับแรกพักดราม่าก่อนแล้วกัน"
ฉันพูดกับตัวเองก่อนที่จะหยิบกุญแจแล้วเดินออกจากคอนโด รีบตรงดิ่งไปที่รถ สตาร์ทรถแล้วรีบขับออกไปที่คลับทันที
...[บนถนน]...
"ชักจะตื่นเต้นเเล้วซิ ขอให้เป็นวันที่ดีนะ"
ฉันขับรถไป พูดกับตัวเองไปบางทีก็เผลอร้องเพลงบ้าง ไปตลอดระหว่างทาง ปกติไม่ค่อยจะได้อยู่กับตัวเองในมุมแบบนี้เลย ต้องหน้าตั้งหลังตรงตลอดไม่ค่อยจะสุงสิงกับใคร นอกจากเรื่องงานก็แทบจะไม่ได้คุยเรื่องอื่นกับใครเลย
ฉันเเอบได้ยินมาว่า คนรอบข้างมักจะชอบนินทาฉันแล้วก็ยังแอบตั้งฉายาให้อีกว่า คุณหนูหน้าเดียว
"ชิ"
จริงๆ ฉันมีหลายหน้าย่ะ แค่ไม่แสดงออกต่อหน้าคนที่ไม่สนิท เว้นเสียแต่ว่า... "เมา" -\_-\*
[สตาร์คลับ]
"ถึงสักที"
ฉันใช้เวลาเดินทางอยู่บนท้องถนนร่วม 1ชั่วโมง วันนี้รถติดหนักมาก ติดชนิดที่ว่า เดินไปยังไว้กว่าขี่รถเลย
"ฮ้า...คิดถึงจังสตาร์คลับ"
ในขณะที่บ่นไป ก็ยืนชื่นชมไนท์คลับของตัวเองไป แสงไฟระยิบระยับราวกับว่า ไปกอบโกยเอากลุ่มดวงดาวทั้งหมดบนท้องฟ้ามารวมกันไว้ในที่เดียว
ที่นี่เป็นไนท์คลับที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้เลยก็ว่าได้ ผู้คนต่างให้ความสนใจในคลับของฉันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น เหล่าบรรดานักธุรกิจ ดารา ไฮโซ หรือแม้แต่คนที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศก็ยังเคยมาที่นี่เลย
"ตายจริง! จะสามทุ่มแล้วหนิ"
ฉันพูดกับตัวเองในขณะที่ยกแขนซ้ายขึ้นมาดูนาฬิกาตรงข้อมือ ฉันว่า ฉันจะเข้าไปทักทายพนักงานในร้านสักหน่อย
[ด้านในของสตาร์คลับ]
"สวัสดีครับคุณกุ้งแก้ว"
พนักงานต้อนรับกล่าวทักทายเป็นอย่างดี
"สวัสดีค่ะ"
ฉันกล่าวทักทายพร้อมกับส่งยิ้มให้เขา
"เป็นไงบ้าง วันนี้ลูกค้าเยอะมั้ย?"
ฉันเริ่มชวนพนักงานคนนั้นคุยด้วยคำถาม เพราะท่าทางของเขาในตอนนี้ดูเกร็งๆ อาจจะยังไม่ค่อยคุ้นชิน เพราะฉันมาที่นี่ไม่บ่อยนัก
"ก็ เยอะเป็นปกติเหมือนทุกวันครับ"
ในขณะที่ฉันกำลังยืนคุยอยู่กับพนักงาน อยู่ๆก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมีพลังงานบางอย่างกำลังตรงดิ่งมาที่ฉันจากทางด้านหลัง
"เจ๊...!!!"
"เจ๊ๆๆๆๆ"
จอช ผู้ช่วยคนสนิทของฉันเอง ที่ตะโกนมาแต่ไกล ยังไม่ทันที่จะหันไปมอง
"อีเจ๊!!!"
"โอ๊ย" "ได้ยินเเล้ว มีอะไร บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกเจ๊"
แฮ่กๆ (เสียงหอบของจอช)
"เห็นมั้ย ว่าคุยงานอยู่เนี่ย"
"เห็นเจ๊" "แต่ไม่ได้ จอชต้องรายงานด่วน"
"งั้นเเป๊ปนะ"
ฉันกำลังจะหันกลับไปคุยกับพนักงานคนนั้นต่อ
"ไม่ได้!!!"
"เอ๊ะ! ไอ้จอช ก็คุยงานอยู่เนี่ย"
"เจ๊ต้องไปกับผมเดี๋ยวนี้"
หมับ!!
"เฮ๊ย!!"
ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ อยู่ๆมันก็จับแขนฉันแล้วลากมาด้านหลังของคลับ
"มานี่ๆๆ"
[ด้านหลังของสตาร์คลับ]
"ปล่อยได้แล้วมั้งจอช"
ฉันพูดพลางกับเหลือบไปมองมือของมันที่จับแขนฉันไว้แน่น
"อุ่ย!"
จอชรีบมองหน้าแล้วรีบปล่อยมือโดยทันที
"โทษทีเจ๊ มันเรื่องด่วนจริงๆ"
"อ่ะ พูดมา เรื่องด่วนที่ว่าเนี่ย"
"คืองี้เจ๊ ไอ้บอยนักร้องที่เพิ่งเซ็นต์สัญญากับร้านเราไปอาทิตย์ก่อนอะ"
"อื้ม จำได้ ทำไมอ่ะ?"
"มันเทร้านเรา แล้วก็ขอฉีกสัญญา ส่วนเงินค่าตัวล่วงหน้าที่มันเบิกไป มันบอกจะหามาคืนให้"
"....ว่าไงนะ"
"ก็ตามนั้นแหละเจ๊ คือมันเพิ่งโทรมาบอกเมื้อกี้นี้เอง"
"แล้วมันมาเทเวลานี้เนี่ยนะ"
ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นครือเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ
"เอาไงดีเจ๊ ส่งเด็กไปจัดการไหม?"
จอชพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่กำลังโกรธเช่นกัน
"นี่ก็อยากจะทำแบบนั้นเหมือนกันเว่ย แต่ว่าเราเหลือเวลาแค่30นาที ตอนนี้คงต้องหาคนมาร้องแทนไปก่อน ส่วนเรื่องไอ้บอย ฉันจัดการเอง"
ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆแต่แววตาแฝงไปด้วยความโกรธประดุจมีเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ในดวงตา จอชเองก็คงรับรู้ถึงความโกรธของฉัน ณ ตอนนี้ ได้เช่นกัน
"โอเค ถ้างั้นเจ๊จะให้ใครขึ้นร้องแทนดีล่ะ?"
"นั่นดิ ช่วยคิดหน่อย"
"เอิ่ม..."
"อื่ม..."
ฉันกับจอชเดินสวนกับไปมาอยู่ครู่หนึ่ง กำลังคิด ว่ามีใครที่พอจะช่วยฉันได้บ้าง กะจะให้ไอ้จอชขึ้นร้องก็แค่ลำพังมันพูดยังเพี้ยนเลย>_< คิดไม่ออกสักที
"เฮ๊ย!! เจ๊ ผมคิดออกละ"
"จริงดิ? ว่ามาๆ"
"ไอ้กันต์ไง"
"ห๊ะ??"
"......"
"ขอคนอื่นได้ป่ะจอช?"
"เอาน่าเจ๊"
ทั้งที่อยากจะให้เป็นคนอื่นแท้ๆ แต่ลึกๆก็รู้แหละว่าไอ้จอชต้องเสนอกันต์มาแน่ๆ
"ไม่เอาได้มั้ยอะ ลองคิดดูอีกที"
"ไม่ได้ เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น ไอ้กันต์เนี่ยแหละเจ๊ อยู่ใกล้ร้านเราที่สุด"
มันก็จริงอย่างที่จอชพูด เวลาแค่30นาทีมันไม่ได้มากพอที่จะไปหาคนอื่นได้ แล้วบ้านของกันต์ก็ใกล้ที่สุดแล้ว ฉันแค่ไม่อยากเจอหน้าหมอนั่น
"จอช คือ...ว่า"
"พักเรื่องส่วนตัวก่อนเจ๊ ท่องไว้ๆ งานๆๆ"
"คือ..."
"ตามนั้นนะเจ๊ เดี๋ยวผมโทรเลย โอเคนะ"
"จะ...จอช"
"ไม่ต้องพูดแล้ว เจอกันข้างในนะ ไปล่ะ"
พูดจบจอชรีบยกหูโทรหากันต์ทันที ก่อนที่จะเดินเข้าไปข้างในคลับ โดยที่ไม่ฟังที่ฉันกำลังจะพูดเลย ฉันได้แต่ยืนอ้าปากค้ามองตามหลังมันไป
"เฮ้อ...กันต์ก็กันต์วะ"
คงไม่ต้องให้บอกนะว่าความเซ็งนี่ระดับไหน จริงๆแล้วฉันกับกันต์ เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน เมื่อก่อนก็สนิทกันมากๆแหละ ไปไหนมาไหนด้วยกันกับกลุ่มเพื่อนบ่อยๆ แต่มันดันมาบอกชอบฉันตอนอยู่ปี4 ฉันเลยตีตัวห่างออกมา ช่วงแรกๆไม่คุยกับมันเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ก็ดีหน่อยพอจบมาไม่ค่อยจะได้เจอ แต่ก็ยังคุยกันได้
"เอาวะ เป็นไงเป็นกัน"
ฉันพูดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะเดินคอตกตามจอชเข้าไปด้านใน
[ด้านในของสตาร์คลับ]
"หายไปไหนของมันเนี่ย จอชนะจอชโทรหาก็ไม่รับ"
ฉันบ่นพึมพำพลางกวาดสายตาไปมารอบๆ เพื่อมองหาจอช ท่ามกลางผู้คนที่มาสังสรรค์กันนับเป็นร้อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะเจอ
ในขณะที่กำลังมองหาจอชอยู่นั้น อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีคนมาสะกดบ่าจากทางด้านหลัง
"หาใครอ่ะเจ๊"
ฉันรีบหันไปมองทันที ชายร่างสูงโปร่งที่ใส่เเว่น กำลังยืนยิ้มทำหน้าเป็นแป๊ะยิ้มอยู่ด้านหลัง
"หายไปไหนมาเนี่ย โทรไปก็ไม่รับเดินหาจนขาลากแล้วเนี่ย"
"ก็จะรับได้ไงเจ๊ ผมคุยโทรศัพท์อยู่"
"แล้วสรุปว่าไง?"
"ไม่ว่าไง ก็โอเคดิเจ๊"
"ง่ายขนาดนั้นเลย"
"อ่าห้ะ"
"แกไปบอกเขาว่าไง?"
"ผมก็แค่บอกว่าเจ๊ขอร้องมันก็สตาร์ทรถแล้ว"
"ไอ้บ้า!!! ไปบอกแบบนั้นได้ไง"
"......"
"หื้ม! ไอ้จอช มันน่านักนะ"
เพี๊ยะๆๆ!!(ฉันฟาดฝ่ามือลงบนไหล่ของจอชรัวๆ)
"โอ๊ยๆๆๆๆ เจ๊ๆ ตีไมเนี่ย"
"ยังจะถามอีก"
"เอาน่าเจ๊ มันกลยุทธ์ทางธุรกิจ เจ๊เองก็เป็นนักธุรกิจก็น่าจะรู้ดี ฮ่าๆๆๆ"
"ธุรกิจบ้าบออะไรของแก"
จอชพยายามพูดกวนประสาทฉัน เพราะมันรู้ดีอยู่แล้วว่าฉันไม่อยากเจอกับกันต์
"อ้าๆ หยุดเลยนะเจ๊ พอเลยๆ ชอบใช้กำลังนะเราอ่ะ"
ง้างฝ่ามือกะจะตีซ้ำบนไหล่ข้างเดิมของมันอีกสักทีกวนประสาทดีนัก แต่ฉันก็ต้องฉะงักกับคำพูดของมัน
"เฮ๊ยๆๆๆ เจ๊!!"
"อะไร?"
"พรหมลิขิตว่ะ"
"พรหมลิขิตอะไรของแกไอ้จอช"
"โน่น"
จอชพูดพลางชี้มือไปทางด้านหลังของฉัน
"ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะ"
"ไม่ได้เปลี่ยนเจ๊ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน โน่นดูโน่น หันไปดูเร็ว"
มันก็ยังไม่หยุดที่จะชี้มือไปทางเดิม ไม่หลงกลหรอกนะจอช มุกเดิมๆ ใช้บ่อยจนเบื่อ
"นี่กะจะให้ฉันหัน แล้วแกจะชิ่งหนีใช่ป่ะ?"
"หืม... เปล่า"
"อย่ามาๆ มันเอ้าท์แล้วจอช เปลี่ยนเหอะ"
"โน่นอะเจ๊ โซนวีไอพีโต๊ะ 7"
"หืม....."
"คุณคีย์ คีติกา เขามาว่ะเจ๊"
"ห๊ะ!! ว่าไงนะ"
ฉันรีบกลับหลังหันไปดูทันที
แทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ถึงแม้จุดที่ฉันยืนอยู่มันจะไกลจากโต๊ะวีไอพีเบอร์ 7 นั่นมากบวกกับสายตาที่สั้น200+ มองไกลๆแล้วเบลอเเทบจะไม่เห็นหน้าคน เเต่ฉันก็สามารถรับรู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นเธอ
ฉันพยายามเพ่งสายตาไปโฟกัสที่โต๊ะของคุณคีย์ แว้ปหนึ่งที่ได้เห็นหน้าเขาชัดๆ หัวใจเต้นแรงรัวๆ ตึ๊กๆๆๆ ขนาดว่าอยู่ห่างกันไกลขนาดนี้ หัวใจฉันยังแทบจะวายเลย
เอาจริงๆนี่ก็ไม่ใช่การเจอคุณคีย์แบบตัวเป็นๆที่ไม่ใช่ในจอครั้งแรกนะ ปกติตามงานอีเว้นท์ที่บริษัทฉันเป็นสปอนเซอร์ก็เจอบ่อย แต่ก็เจอแค่ผ่านๆ ไม่แม้แต่ที่จะได้มีโอกาสเฉียดเข้าใกล้ แต่ใจก็ยังเต้นแรงเหมือนเดิมไม่ชินสักที
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!