บทที่หนึ่ง ✾ กระอักเลือด
รัชสมัยหมิงจง ปีที่ยี่สิบ เดือนที่สอง วันที่ยี่สิบแปด
เมืองสุ่ยหยวนคือเมืองหลวงซึ่งเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแคว้นต้าหยวน การค้าขายคึกคัก ผู้คนคับคั่งสัญจรไปมาไม่ขาดสาย ราษฎร์ร่มเย็นเป็นสุข โคมไฟหน้าเรือนทุกหลังระยิบระยับราวกับแสงดวงดาวบนท้องนภา
ทว่ายามราตรีที่แสงจันทน์สว่างไสว ร่างบางในชุดผ้าต่วนผืนบางนอนกระสับกระส่ายจมอยู่ในความฝัน เหงื่อกาฬโชกชุ่มไปทั่วทั้งกาย ภายในเรือน ‘หลันเซียง’ ของจวนผิงหย่งโหว
หลี่อวี้หลันกำลังฝันว่าตนเองนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนที่นอนนิ่มๆ ภายในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาด ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งที่เพิ่งหยิบขึ้นมาอ่านจากกองหนังสืออีกยี่สิบกว่าเล่มข้างกาย
ฟืบ
เสียงหน้ากระดาษเปิดผ่านดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าสลับกับเสียงถุงขนมและเสียงเคี้ยวกรุบๆ จากริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มมันวาว ปลายนิ้วดันกรอบแว่นสายตาหนาเตอะให้กระชับใบหน้าขณะสายตายังคงจดจ้องภาพวาดบนหนังสือด้วยใจจดจ่อ
มังฮวาเรื่อง ‘ร้อยบุปผาพันจันทรา’ กำลังดำเนินเรื่องมาถึงสองเล่มสุดท้าย เนื้อเรื่องเริ่มเข้มข้นและชวนตื่นเต้นขึ้นทุกที ยิ่งอ่านก็ยิ่งเพลิน ยิ่งเพลินก็ยิ่งวางไม่ลง จากเล่มแรกจนถึงเล่มที่ยี่สิบสองต้องใช้เวลาในการอ่านถึงสองวันสองคืนเต็มๆ เหลือเล่มสุดท้ายที่ยังวางอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพื่อรอให้หยิบขึ้นมาอ่าน
ทว่า… จู่ๆ ภาพตรงหน้าก็หมุนเคว้ง ราวกับร่างกายไร้แรงโน้มถ่วงกะทันหัน สายลมจากทุกสารทิศพัดกระโชกเข้ามารุนแรง ร่างบางฟุบตัวลงกับที่นอนกรีดร้องสุดเสียงด้วยความตื่นตระหนก
เฮือก!
ดวงตาเมล็ดซิ่ง*งดงามฉ่ำวาวเหม่อมองม่านมุ้งข้างเตียง หน้าอกอวบอิ่มกระเพื่อมขึ้นลงรัวแรง ท่ามกลางความมืดสลัวของแสงจันทร์นอกหน้าต่าง นางเหม่อลอยเนิ่นนานราวกับวิญญาณยังไม่กลับเข้าร่าง ครู่หนึ่งถึงจะคลายความตื่นตระหนกลงได้
“คุณหนู ฝันร้ายอีกแล้วหรือเจ้าคะ” ไป๋เยาสาวใช้วัยแรกรุ่นขยี้ตาตกใจตื่นรีบกระวีกระวาดเข้ามาเปิดม่านโปร่งข้างเตียงพลางคุกเข่าร้องเรียกคุณหนูของตน
หลี่อวี้หลันยันกายลุกขึ้นนั่ง กวาดสายตามองรอบห้องหนึ่งครั้ง ก่อนถอนหายใจออกมา ยื่นมือรับน้ำชาขึ้นมาดื่มขับไล่ความกระหาย ลำคอแห้งผากค่อยชุ่มชื้นขึ้น
“ดีขึ้นหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม ข้าไม่เป็นไร เจ้านอนต่อเถอะ” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางสะดุ้งตื่นกลางดึก ต้องกล่าวว่านางเป็นเช่นนี้แทบจะทุกคืน นับตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อครึ่งเดือนก่อน
ไป๋เยามีสีหน้ากังวล ไม่ยอมกลับไปนอนที่ของตนหน้าเตียงเตา แต่ยังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียงเช่นเดิม “คุณหนูฝันร้ายเช่นนี้ทุกคืนเลยนะเจ้าค่ะ บอกนายหญิงดีหรือไม่เจ้าคะ จะได้ตามท่านหมอหลวงมาตรวจอาการท่านด้วย”
“ไม่จำเป็น” หลี่อวี้หลันรู้ตัวเองดีว่าอาการฝันร้ายนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร มันไม่ใช่โรคประหลาด ไม่ใช่โรคเจ็บป่วยใด แต่เป็น ‘โรคทางใจ’ ของนางเอง เป็นโรคที่เกิดมาจากจิตวิญญาณของนาง ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับร่างกายนี้เลย
ความจริงแล้วหลี่อวี้หลันไม่ใช่คนของยุคสมัยนี้ ไม่สิ ต้องกล่าวว่านางไม่ใช่คนของมิตินี้ถึงจะถูกต้องกว่า เพราะมิติที่นางอยู่ยามนี้เป็นยุคสมัยที่ไม่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นชื่อแคว้น ชื่อเมือง หรือชื่อกษัตริย์ ล้วนไม่มีอยู่จริงในยุคที่นางจากมา เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกแต่งขึ้นในมังฮวาที่นางกำลังอ่านอยู่นั่นเอง!
มังฮวาเรื่อง ‘ร้อยบุปผาพันจันทรา’ เป็นมังฮวาออนไลน์ชื่อดังบนเว็ปมังฮวาซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากในหมู่นักเรียนนักศึกษา หลี่อวี้หลันก็เป็นหนึ่งในนั้น เพื่อนร่วมหอเป็นคนแนะนำให้นางอ่านเพราะเห็นว่าชื่อของนางร้ายในเรื่องนี้เหมือนกับนาง หลังจากผ่านการสอบอันแสนหฤโหดเสร็จ นางจึงตัดสินใจเหมาซื้อมังฮวาฉบับหนังสือเพื่อตั้งใจจะนอนอ่านข้ามวันข้ามคืนให้สบายอารมณ์ ไหนเลยจะคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเหนือธรรมชาติขึ้นกับนางได้
จู่ๆ นางก็ฟื้นขึ้นมาในร่างของคุณหนูรองหลี่ ตัวร้ายอันดับสองของมังฮวาเรื่องนี้!
หลี่อวี้หลัน คุณหนูรองที่มีชื่อเดียวกับนาง ตัวร้ายอันดับสองที่มีจุดจบไม่ดี ถึงนางจะยังอ่านไม่ถึงเล่มสุดท้าย แต่ก็พอจะเดาจุดจบของคุณหนูรองผู้นี้ได้ สตรีผู้มีจิตใจเหี้ยมโหดอำมหิต มักใหญ่ใฝ่สูง ช่างอิจฉาริษยาและมุ่งร้ายผู้อื่น สตรีเช่นนี้คงมิได้ตายดีเป็นแน่
และนางก็ดันมาอยู่ในร่างของสตรีร้ายกาจผู้นั้น!!
อึก… พรวด!
“คะ คุณหนู! ทะ ท่าน… ท่านกระอักเลือดอีกแล้ว!” ไป๋เยาหวีดร้องตกใจรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับริมฝีปากให้เจ้านาย
ดวงหน้างามล้ำซับสีระเรื่อหลุบมองเลือดอุ่นร้อนบนฝ่ามือขาวซีดของตน หากนับตามจริงแล้ว การกระอักเลือดครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ห้า ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อตอนที่นางฟื้นขึ้นมาในร่างนี้ครบเจ็ดวัน ยามนั้นจู่ๆ นางก็กระอักเลือดออกมาคำโต ทำเอาคนทั้งจวนปั่นป่วนไปหมด เชิญหมอหลวงมาตรวจก็ไม่พบอะไรผิดปกติ เพียงเขียนเทียบยาบำรุงให้แล้วก็กลับไป ทว่าวันต่อมานางก็กระอักเลือดออกมาอีก หมอหลวงคนเดิมจึงถูกตามตัวกลับมาตรวจอีกครั้ง และก็ไม่พบความผิดปกติเช่นเดิม เป็นเช่นนี้อยู่สามวัน
กระทั่งวันที่สาม หลี่อวี้หลันเผลอปัดถ้วยชาตกแตก นางคิดจะเก็บเศษกระเบื้องเอง แต่ไป๋เยาไม่ยินยอมให้นางทำ ทั้งสองจึงยื้อยุดกันชั่วครู่ สุดท้ายไป๋เยาเสียหลักล้มลงบนพื้นทำให้ฝ่ามือถูกเศษกระเบื้องบาดจนเป็นแผล หลี่อวี้หลันรู้สึกผิดอย่างมาก นางจึงยอมนั่งนิ่งปล่อยให้ไป๋เยาจัดการเก็บกวาดเอง
ทว่าวันต่อมานางก็มิได้กระอักเลือดอีก
แต่หลังจากนั้นเจ็ดวันนางกลับมากระอักเลือดอีกครั้ง คืนนั้นนางฝันถึงต้าซือผู้เฒ่ารูปหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางหมอกควัน ต้าซือผู้เฒ่าผู้นั้นกล่าวกับนางในความฝันว่า ‘มนุษย์ทุกคนล้วนมีบทบาทหน้าที่ หากฝืนกฎธรรมชาติ ฝืนโชคชะตาฟ้าลิขิต ย่อมได้รับการลงโทษจากสวรรค์’*
ยามนั้นนางยังไม่เข้าใจ จึงถามกลับไปว่า ‘แล้วหน้าที่ของข้าคืออะไร บทบาทของข้าคืออะไร นางร้าย? ตัวร้าย? เช่นนั้นรึ?’
ต้าซือผู้เฒ่าไม่ตอบ เพียงยิ้มอย่างเมตตา
นางตรึกตรองชั่วครู่พลางกล่าวต่อ ‘แล้วถ้าข้าไม่เป็นตัวร้ายได้หรือไม่?’
‘หากเจ้านอกบทเกินเจ็ดวันจะต้องกระอักเลือดหนึ่งคำ’
คราวนี้นางตื่นตะลึงถึงขั้นตื่นตระหนก น้ำเสียงที่เอ่ยถามยิ่งแหบแห้ง ‘ชะ เช่นนั้นข้าต้องเป็นตัวร้ายเท่านั้นหรือ…’
นางไม่อยากเป็น… ไม่อยากมีจุดจบที่น่าอนาถเช่นนั้น!
หลี่อวี้หลันไม่ทันได้ฟังคำตอบจากต้าซือผู้เฒ่าก็สะดุ้งตื่นเสียก่อน จากนั้นนางไม่ได้ฝันถึงต้าซือผู้นั้นอีกเลย ยามนี้นางกระอักเลือดอีกแล้ว คงเป็นเพราะเจ็ดวันที่ผ่านมานางไม่ได้เล่นไปตามบทบาทของตัวร้าย กลับกัน… นางเอาแต่ขังตัวเองอยู่แต่ในเรือนมิได้ก้าวออกไปไหนเลย คนที่นางพบหน้ามีเพียงไป๋เยา หมอหลวงจาง โหวฮูหยินมารดาของนาง และสาวใช้ที่จำชื่อไม่ได้อีกสองสามคนเท่านั้น
ต้องทำอย่างไรถึงจะหยุดกระอักเลือดได้… หรือว่านางต้องเล่นบทตัวร้ายจริงๆ อย่างนั้นหรือ?
✾⊱┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄⊰✾
สวัสดีค่ะ ไรท์มาเปิดเรื่องใหม่แนวสบายๆ สไตล์นางร้ายสายสโลวไลฟ์นะคะ
ฝากติดตาม คอมเม้นท์ ถูกใจกันด้วยนะคะ
บทที่สอง ✾ มิใช่ตัวจริง
เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังมาจากหน้าทางเดินหน้าเรือนหลันเซียง ก่อนร่างของสตรีวัยสามสิบกว่าก้าวพ้นประตูเรือนเข้ามา สีหน้าห่วงใยแฝงความร้อนรนปรากฏเด่นชัดบนใบหน้างดงามของโหวฮูหยิน เมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวน หัวใจคนเป็นมารดาบีบรัดด้วยความเจ็บปวดยิ่งนัก
“อวี้เอ๋อร์ ลูกแม่ ลูกสาวตัวน้อยของแม่” นางลูบหน้าลูบตาบุตรสาวด้วยความห่วงหาอาทร ตอนได้ยินสาวใช้มารายงานว่าเมื่อเช้าหลี่อวี้หลันกระอักเลือดอีกแล้ว หัวใจนางคล้ายดั่งถูกไฟแผดเผา นางรีบตรงมาหาบุตรสาวโดยไม่ทันได้ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเหมือนเช่นทุกวัน
นับตั้งแต่หลี่อวี้หลันฟื้นขึ้นมาในร่างนี้ โหวฮูหยินผู้เป็นมารดาของเจ้าของร่างปฏิบัติต่อนางดีมาก ดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ ทำให้นางอดคิดถึงเนื้อหาในมังฮวาที่เกี่ยวกับสตรีผู้นี้มิได้
โหวฮูหยินผู้นี้เป็นมารดาที่รักและถนอมบุตรสาวมาก นางเลี้ยงดูบุตรสาวอย่างทะนุถนอมปานไข่มุกบนฝ่ามือ ทั้งยังตามใจทุกอย่าง ไม่ว่าบุตรสาวต้องการสิ่งใดนางก็พร้อมจะสรรหามาให้ แม้ว่าจะต้องแย่งชิงหรือทำร้ายใคร นางก็ยินดีขอเพียงบุตรสาวมีความสุข โชคไม่ดีที่บุตรสาวที่นางให้กำเนิดกลับมีจิตใจเหี้ยมโหดอำมหิต จุดจบของนางคือการตายเพื่อรับผิดแทนบุตรสาว แม้ในช่วงเวลาลมหายใจสุดท้ายก่อนตายนางก็ยังตายตาไม่หลับ เพราะติดอยู่ในห่วงทุกข์กังวลมิอาจปล่อยวาง
หลี่อวี้หลันถอนถอดใจด้วยความรู้สึกหดหู่ ยามนี้นางดันมาอยู่ในร่างของบุตรสาวผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้นแล้ว นางรู้ตัวดีว่านางมิใช่บุตรสาวตัวจริงของโหวฮูหยิน ทุกครั้งที่ได้รับความรักความห่วงใยจากสตรีผู้นี้นางจึงอดรู้สึกถอดถอนใจมิได้
ไม่เป็นไร… แม้นางจะมิใช่หลี่อวี้หลันตัวจริง แต่ในเมื่อนางเข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว และยังต้องสวมบทบาทใช้ชีวิตแทนโดยไม่รู้ว่าห้วงแห่งความฝันนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ เช่นนั้นนางก็จะเล่นเป็นคุณหนูรองต่อไปในแบบของนางเอง นางจะไม่ยอมเดินตามเส้นทางของตัวร้ายที่แสนโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้นแน่ นางไม่อยากมีจุดจบน่าอนาถโดนคนทั่วหล้าด่าทอสาปแช่ง เป็นบุตรอกตัญญูที่ทำให้มารดาต้องตาย เป็นตัวหายนะที่ทำให้ตระกูลล่มจมจนเกือบถูกประหารชีวิตทั้งตระกูล
หายนะเหล่านั้น… นางจะหยุดยั้งมันให้ได้!
“ท่านแม่ ลูกไม่ได้เป็นอะไร ท่านอย่าได้กังวลเลยเจ้าค่ะ”
โหวฮูหยินมองบุตรสาวด้วยดวงตาแดงก่ำ นางปวดใจยิ่งนัก ปกติแล้วอวี้เอ๋อร์ของนางเป็นเด็กร่าเริงสดใส มีชีวิตชีวา ช่างพูดช่างจา แม้บางครั้งอาจเอาแต่ใจไปบ้างแต่ก็ยังน่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด ทว่าหลังจากบุตรสาวล้มป่วยกะทันหันเมื่อครึ่งเดือนก่อน หลังจากฟื้นขึ้นมาก็มิได้ร่าเริงเหมือนเก่า กลับดูเซื่องซึมและเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังสงบนิ่งราวกับเป็นคนละคน
นางจับมือขาวผ่องดั่งหยกของบุตรสาว กล่าวด้วยเสียงสะอื้นเบาๆ “อวี้เอ๋อร์ของแม่ ลูกเป็นแก้วตาดวงใจของแม่ หากว่าลูกรู้สึกไม่สบายตรงไหนต้องรีบบอก อย่าได้ปิดบัง แม่จะรีบตามหมอหลวงมารักษาเจ้า ถ้าหมอหลวงรักษาไม่ได้ก็จะตามหาหมอเทวดา ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินทั้งต้าหยวนแม่ก็จะตามมารักษาเจ้าให้ได้”
ช่วงเวลาที่หลี่อวี้หลันฟื้นขึ้นมาเป็นช่วงเวลาก่อนเริ่มเนื้อหาเล่มหนึ่งของมังฮวา นางจำได้ว่าเรื่องราวเริ่มขึ้นตอนที่นางเอกมังฮวานามว่า หลี่ฝูหรง คุณหนูใหญ่ของจวนผิงหย่งโหว บุตรีภรรยาเอกผู้ล่วงลับซึ่งถูกส่งตัวไปอยู่อารามชีครบหนึ่งปีเพิ่งกลับมาถึงจวนได้สามวัน
หลี่ฝูหรงถูกหลี่อวี้หลัน น้องสาวต่างมารดากลั่นแกล้งจนตกบ่อน้ำ หลังถูกช่วยขึ้นมาคุณหนูใหญ่ก็มีบุคลิกนิสัยเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เป็นเพราะวิญญาณของนางในชาติก่อนย้อนกลับมาเข้าร่างใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาตนเองอีกครั้ง
ในชาติแรกหลี่ฝูหรงถูกน้องสาวต่างมารดากลั่นแกล้งทำร้ายสารพัดทำให้ต้องพบจุดจบน่าอนาถและตายอย่างไม่เป็นธรรม วิญญาณของนางจึงย้อนเวลากลับมาเพื่อแก้ไขชะตาอีกครั้งในชาติที่สอง จึงทำให้ชะตาชีวิตของหลี่อวี้หลันพลิกผันกลายเป็นฝ่ายที่มีจุดจบน่าอนาถแทน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลี่อวี้หลันรู้สึกปวดหัวขึ้นมา เพราะนางไม่รู้ว่าในชาตินี้เป็นชาติแรกหรือชาติที่สองของหลี่ฝูหรงกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือยามนี้หลี่ฝูหรงยังไม่ได้กลับมาถึงจวน ไป๋เยาเล่าให้ฟังว่าคุณหนูใหญ่กำลังเดินทางมาและจะถึงจวนในอีกสองวันข้างหน้า
หมายความว่าเหลือเวลาอีกห้าวันกว่าจะถึงบทเริ่มเนื้อหาแรกของมังฮวาเรื่อง ‘ร้อยบุปผาพันจันทรา’
แต่ก่อนจะคิดถึงเรื่องนั้น หลี่อวี้หลันกังวลเรื่องการกระอักเลือดของตนเองมากกว่า เมื่อเช้านางกระอักเลือดไปแล้วหนึ่งคำ นั่นหมายความว่าวันนี้ทั้งวันนางจะไม่กระอักเลือดอีก แต่หากผ่านราตรีนี้ไปนางก็จะกระอักเลือดใหม่อีกหนึ่งคำ ซึ่งช่วงเวลาในการกระอักเลือดนั้นล้วนไม่แน่นอนและไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าอีกด้วย
นางไม่รู้ว่าจะหยุดอาการน่าหวาดหวั่นนี้ได้อย่างไร หากฟังตามที่ต้าซือผู้เฒ่าบอกในความฝัน นั่นคือนางจะต้องเล่นไปตามบทบาทของตัวละครเดิมที่ได้รับจึงจะสามารถหยุดการกระอักเลือดนี้ได้ แสดงว่านางจะต้องทำตัวร้ายกาจเหมือนในมังฮวาอย่างนั้นหรือ?
แต่นางไม่อยากเป็นตัวร้ายนี่นา!
ถ้านางกลายเป็นตัวร้ายตามในมังฮวาจริง นางก็ต้องพบกับจุดจบน่ากลัว ทั้งมารดา ทั้งคนในตระกูล ทุกคนจะต้องพบกับหายนะซึ่งนางเป็นคนนำพามา นางไม่อยากให้เรื่องราวมันเป็นเช่นนั้น แต่นางก็ไม่อยากกระอักเลือดทุกวันแบบนี้เช่นกัน…
เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี…
✾⊱┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄⊰✾
การเป็นตัวร้ายไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายจริงๆ ค่ะ น้องจะทำยังไงดีน้าาา
ฝากติดตาม คอมเม้นท์ ถูกใจกันด้วยนะคะ
บทที่สาม ✾ เปลี่ยนไปแล้ว
สองวันต่อมา หลี่ฝูหรงเดินทางกลับมาถึงจวนในที่สุด หลี่อวี้หลันไม่ได้ออกไปต้อนรับ ความจริงไม่มีใครออกไปต้อนรับอยู่แล้ว เพราะการกลับมาครานี้ของหลี่ฝูหรงเป็นการกลับมาหลังจากถูกทำโทษให้กักตัวในอารามชีหนึ่งปี ตอนไปก็ถูกไล่ไปแบบมีความผิด ตอนกลับมายังจะมีเกียรติใดหลงเหลืออยู่อีกหรือ แม้แต่บ่าวไพร่ในจวนก็ยังไม่มีใครสนใจคุณหนูใหญ่ผู้นี้สักคน
“คุณหนูใหญ่ซูบผอมลงไปมากเลยเจ้าค่ะ แต่รูปโฉมก็ยังคงงดงามไม่เปลี่ยน… เอ่อ บ่าวหมายถึงแม้คุณหนูใหญ่จะผอมไปบ้างแต่ก็ยังพอดูได้อยู่เจ้าค่ะ” ไป๋เยาเล่าเรื่องของหลี่ฝูหรงให้หลี่อวี้หลันซึ่งนั่งอยู่บนตั่งไม้ฮวาหลีภายในเรือนหลันเซียงฟังอย่างออกรส นางรีบหลุบตาลง ท่าทางกระสับกระส่าย เพราะตนเผลอพูดชมรูปโฉมคุณหนูใหญ่ต่อหน้าคุณหนูรองอีกแล้ว เมื่อปีก่อนตอนที่นางปากไวก็ถูกคุณหนูรองปาถ้วยชาใส่จนเกือบหัวร้างข้างแตก ครานี้ไม่รู้ว่าจะโดนแรงโทสะอันใดอีก
ทว่าหลังจากหลุบตารอรับโทษอยู่นานก็ยังไร้ความเคลื่อนไหว ไป๋เยาจึงเหลือบตาขึ้นมองคุณหนูรองของตน เห็นว่าใบหน้างามขาวผุดผ่องมิได้มีโทสะเลยสักนิด กลับมีสีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่
“คะ คุณหนู… คิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” ไป๋เยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขลาดเขลา
หลี่อวี้หลันพลันขมวคิ้ว “กำลังคิดว่า ข้าควรไปหานางดีหรือไม่”
ไป๋เยาทำหน้าตะลึงงัน คุณหนูรองชิงชังคุณหนูใหญ่เพียงใดใครบ้างไม่รู้ ที่คุณหนูใหญ่ถูกลงโทษส่งตัวไปอารามชีเมื่อหนึ่งปีก่อนก็เป็นเพราะคุณหนูรองวางแผนใส่ร้ายป้ายสี ยามนี้คนก็กลับมาแล้ว คุณหนูรองไม่คิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักหายใจก็จะไปหาเรื่องแล้วหรือ?
“เจ้าว่าอย่างไร ข้าควรไปหรือไม่?” หลี่อวี้หลันไม่ได้ล่วงรู้ความคิดเตลิดเปิดเปิงของสาวใช้คนสนิท นางยังคงมีสีหน้าลังเลสับสน แววตาครุ่นคิดไม่ตก
“เรื่องนี้… บ่าวมิกล้าออกความเห็นเจ้าค่ะ” ไป๋เยาคุกเข่าอยู่บนพื้น หลุบตากล่าวต่อว่า “แต่ว่าคุณหนูใหญ่เพิ่งกลับถึงจวน ตอนนี้คงกำลังไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนฮุ่ยเซียง หากคุณหนูตามไปด้วยก็จะได้สังเกตท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยนะเจ้าคะ”
จวนผิงหย่งโหวแห่งนี้มีเจ้านายทั้งหมดสิบคน คนแรกคือนายท่านผู้เฒ่าหลี่วัยหกสิบปี อดีตแม่ทัพขั้นหนึ่งซึ่งลาออกจากตำแหน่งมาเกือบสิบปีแล้ว ปัจจุบันใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสงบอยู่ภายในเรือนท้ายจวนโหว ชอบปลูกผัก รดน้ำต้นไม้ และไม่ก้าวก่ายเรื่องราชการหรืองานในเรือน คนถัดมาคือฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ประมุขเรือนหลัง มีอำนาจสูงสุดในเรือนหลัง
รองลงมาก็คือท่านโหวและโหวฮูหยิน หย่งผิงโหวมีตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม ดูแลเรื่องภายในกองทัพของราชสำนัก โหวฮูหยินหรือหรูซื่อเป็นฮูหยินใหญ่ดูแลทุกเรื่องภายในจวนโหว
ยังมี หลี่ซวนหยวน คุณชายใหญ่หรือโหวซื่อจื่อ บุตรชายคนโตของผิงหย่งโหวกับภรรยาเอกผู้ล่วงลับ ปัจจุบันอายุยี่สิบปี มีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพรักษาเมือง และมีคุณชายรอง หลี่เซียวหย่วน บุตรชายคนรองอายุสิบหกปี กับ หลี่ซุนยวน คุณชายสามอายุเพียงแปดปี ทั้งสองล้วนเกิดจากภรรยาเอกคนปัจจุบัน เป็นพี่น้องร่วมอุทรกับหลี่อวี้หลัน
นอกจากนี้จวนโหวยังมีคุณหนูอีกสามคนเช่นกันซึ่งก็คือคุณหนูใหญ่หลี่ฝูหรง พี่น้องร่วมมารดากับคุณชายใหญ่อายุสิบเจ็ดปี คุณหนูรองหลี่อวี้หลัน บุตรีภรรยาเอกคนปัจจุบันอายุสิบห้าปี และ***หลี่อิงเหยา*** คุณหนูสามบุตรีอนุภรรยามีอายุสิบสี่ปี
หลี่อวี้หลันจำได้ว่าในมังฮวากล่าวถึงนายท่านผู้เฒ่าหลี่ว่าเป็นคนมีอุปนิสัยซื่อตรงองอาจเฉกเช่นชายชาติทหาร แม้จะปลดเกษียนแล้วแต่ก็ยังมีวรยุทธสูงส่ง มักจะฝึกดาบฝึกกระบี่อยู่ในสวนท้ายจวนทุกเช้า ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่นั้นเป็นสตรีตระกูลชั้นสูงที่ค่อนข้างเคร่งครัดกฎระเบียบ ตระกูลเดิมของนางเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่สืบทอดมากว่าร้อยปี เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รักและเอ็นดูคุณชายใหญ่กับคุณหนูใหญ่มาก เพราะตนเลี้ยงดูมากับมือนับตั้งแต่มารดาแท้ๆ ของทั้งสองตายจากไปตอนคลอดหลี่ฝูหรง นางก็รับหลานทั้งสองที่ยังเล็กมาเลี้ยงดูที่เรือนจนเติบใหญ่ ส่วนกับหลี่อวี้หลันนั้น ท่านย่าผู้นี้มีเพียงความหมางเมินมอบให้ ด้วยเพราะนิสัยเอาแต่ใจและเจ้าอารมณ์ตั้งแต่เด็กของหลี่อวี้หลัน ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกปึ่งชาไม่อยากจะใส่ใจด้วยนัก
เมื่อนายบ่าวทั้งสองเดินมาถึงหน้าเรือนฮุ่ยเซียง บ่าวรับใช้หน้าเรือนวิ่งเข้าไปรายงาน สักพักก็เชิญนางเข้าไป ตอนหลี่อวี้หลันเดินเข้ามาถึงห้องโถงด้านใน นางเห็นสตรีสูงวัยสวมเสื้อผ้าเนื้อดีหรูหราทว่าเรียบง่ายนั่งอยู่บนตั่งไม้ตำแหน่งเจ้าของเรือน สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าปึ่งชายามมองมาที่นาง หลี่อวี้หลันหลุบตาเดินเข้ามายอบกายคำนับด้วยท่วงท่างดงาม สงบนิ่งและมีมารยาทยิ่ง
“อวี้เอ๋อร์คารวะท่านย่าเจ้าค่ะ” เสียงของหลี่อวี้หลันก้องกังวานน่าฟัง ทั้งยังอ่อนน้อมและอ่อนหวานไร้แววเย่อหยิ่งทระนงตนเหมือนที่ผ่านมา
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กวาดสายตามองหลานสาวคนรองอย่างละเอียด ก่อนหน้านี้นางได้ยินเรื่องอาการป่วยของหลี่อวี้หลันจากจางหมัวมัวบ่าวรับใช้คนสนิทมาบ้างแล้ว เห็นว่าตั้งแต่ฟื้นจากอาการป่วย บุคลิกและนิสัยของหลานสาวคนนี้ก็เปลี่ยนไป ทั้งเรียบร้อยและสำรวมมากขึ้น และยังเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนไม่ออกไปไหน ตอนแรกนางฟังแล้วไม่อาจเชื่อ แต่เมื่อได้เห็นกับตาจึงอดกวาดตามองให้นานอีกหน่อยไม่ได้
“อาการป่วยของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ”
หลี่อวี้หลันคลี่ยิ้มบางเบาเอ่ยว่า “หลานดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณท่านย่าที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ”
นี่อย่างไรเล่า… หลานสาวคนนี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เสียด้วย หากเป็นเมื่อก่อนหลี่อวี้หลันไม่มีทางตอบกลับด้วยท่าทีสำรวมและรู้มารยาทเช่นนี้แน่ ทั้งยังคงสีหน้าสงบนิ่งเอาไว้ได้ดีและยังคลี่รอยยิ้มบางแบบนั้นด้วย
นางเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
✾⊱┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄┄⊰✾
การเป็นตัวร้ายไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายจริงๆ ค่ะ น้องจะทำยังไงดีน้าาา
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!