โลก....ที่วิวัฒนาการไปไกลแบบก้าวกระโดด เป็นเรื่องที่ดีสำหรับมนุษยชาติ แต่เป็นเรื่องที่หนักอึ้งสำหรับเด็กหนุ่มอย่างนิค...เด็กหนุ่มวัย 19 ปีที่ชีวิตช่างโดดเดี่ยวและล่องลอย ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นๆ แล้ว เขาคือเด็กที่นับได้ว่ายากไร้มากที่สุด ไม่ว่าเขาจะเดินเข้าออกไปที่ใดหรือใครได้พบเห็นก็ต้องรีบเบือนหน้าหนีเพราะว่าการที่มีคนที่ยากไร้แบบเขาอยู่ร่วมโลกแบบนี้นั้นคือเหมือนกับทั้งวันของพวกเขาจะต้องเจอกับโชคร้ายอย่างนั้นแหล่ะ ก็แหงล่ะ...เพราะโลกที่วิวัฒน์แล้วแบบนี้ การที่มีคนที่แสนจะยากไร้แบบเขาอยู่ร่วมในสังคมมันเป็นไปไม่ได้เลย นิคเป็นหนึ่งในโชคร้ายที่สุดที่ไม่มีใครอยากพบเจอหรืออยากเข้าใกล้
หึ....แต่เรื่องแบบนี้ใครจะสนกันล่ะ ก็ในเมื่อชีวิตของนิคนั้นก็ใช่ว่าพึ่งจะได้มาเจอเรื่องแบบนี้สักหน่อย มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่พ่อกับแม่ของเขาแล้วล่ะ พอเขาเกิดมาก็ต้องเจอกับโลกที่ปฏิเสธพวกเขาแบบนี้อยู่แล้ว เรื่องเดียวที่เขาต้องสนใจตอนนี้ก็คือ...วันนี้เขาจะเจอเศษอาหารเหลือๆ อะไรในถังขยะนะ เขาจะเจอที่ๆ อบอุ่นและมิดชิดพอที่จะไม่มีคนมาไล่ หรือใครมาเยี่ยวรดเขาตอนเขาหลับ เขาคิดแต่เรื่องเอาชีวิตให้รอดไปวันๆ แค่นั้นแหล่ะ
เป็นเวลาเกือบค่ำแล้ว แสงอาทิตย์ยังคงส่องรำไรอยู่ แต่ก็ยังไม่สู้แสงนีออนจากจุดต่างๆ ที่เริ่มจะทยอยเปิดกันแล้ว เมืองใหญ่สว่างโร่ด้วยแสงสีต่างๆ ไล่ความมืดที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ทดแทนแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ จะหมดไป นิคเดินไปตามฟุตบาทถนน ท้องของเขาบิดกิ่วและส่งเสียงร้องจ๊อกจ๊อกมาตั้งแต่เช้าแล้ว ทั้งวันมานี้ยังไม่มีอะไรหล่นถึงท้องเขาเลย แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของเขาแล้วแหล่ะ เพราะมื้ออาหารจริงๆ นั้นมักจะมาในตอนพลบค่ำแล้วต่างหาก มันเป็นช่วงที่ผู้คนต่างอิ่มหนำและเก็บกวาดกัน เป็นช่วงที่ขยะจะเต็มถัง เหมือนกับซุปเปอร์มาเก็ตที่มีอาหารให้เขาเลือกหยิบทานได้หลายๆ อย่างตามใจชอบ แบบไหนดี แบบไหนไม่เปรี้ยว หรือแบบไหนที่ทานแล้วไม่ท้องเสีย แบบนั้นแหล่ะคืออาหารอันโอชะของเขาเลยล่ะ นิคเดินเรื่อยมาจนถึงถังขยะใบใหญ่ที่เหมือนจะเต็มแล้วใบหนึ่ง เขารีบตรงปรี่ไปเพื่อคุ้ยหาสิ่งที่เรียกว่า อาหาร เพราะท้องเขาส่งเสียงร้องมานานแล้ว และแน่นอน...นิคเจอเศษไก่ทอดที่ยังคงเหลือชิ้นเนื้ออยู่บ้าง แถมยังอุ่นๆ อยู่ เด็กหนุ่มไม่รอช้ารีบยัดเข้าปากทันทีอย่างหิวกระหาย มือข้างหนึ่งก็ควาญค้นหาต่อไปอย่างไม่หยุด เขาเจอขวดน้ำเปล่าที่เหลือเกือบครึ่งเลยทีเดียว คนพวกนี้ช่างเป็นพวกที่สิ้นเปลืองเสียจริงๆ แต่นับเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเด็กหนุ่มเลยแหล่ะ เพราะนั่นทำให้เขาสามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้ มื้ออาหารอันโอชะ ย่อมยังชีวิตของเด็กหนุ่มให้อยู่รอดได้อีกวันแล้ว...
ซ่าาาา.....
ยังไม่ทันอิ่ม นิครู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างเทราดลงมาตั้งแต่ศรีษะ น้ำเย็นๆ แถมมีกลิ่นคาวปลาไหลอาบจนเปียกชุ่ม เสื้อผ้าที่เปื้อนเขรอะและขาดรุ่ยเปียกชุ่มเต็มไปด้วยน้ำที่ถูกใครบางคนสาดลงมา นิคค่อยๆ หันไปมองด้านหลังช้าๆ
" ไปค้นขยะที่อื่นนะไอ้ตัวซวย!"
หญิงวัยกลางคนยืนเท้าสะเอวทำหน้าบูดบึ้ง ร่างท้วมของเธอกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจที่เร็วถี่เพราะความโมโห ดวงตาเล็กหยีของเธอจ้องเขม็งมาที่เด็กหนุ่มอย่างเกลียดชัง เธอเหมือนกบยักษ์ที่กำลังโกรธอยู่ยังไงยังงั้นแหล่ะ
นิคไม่ได้พูดกล่าวอะไร เขาค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ และเดินออกไปอย่างว่าง่าย เพราะถึงโต้ตอบไปก็มีแต่ปัญหาเปล่าๆ ไม่มีใครเข้าข้างคนแบบเขาอยู่แล้วแหล่ะ เพราะพวกเขาคิดว่าการคุ้ยหาเศษอาหารในถังขยะนั้นมันเหมือนกับกำลังลักทรัพย์สินที่มีค่าของพวกเขาอยู่
"ดวงซวยจริงๆ เลย" หญิงร่างท้วมสบถส่งท้าย นิคสาบานได้ว่าเขาแอบได้ยินเสียถุยน้ำลายไล่ตามหลังมา
เด็กหนุ่มเดินระหกระเหินไปตามทางเรื่อยๆ ท้องของเขาส่งเสียงร้องอีกครั้ง เหมือนอาหารมื้อเย็นของเขาจะไม่ค่อยจะเต็มท้องเท่าไหร่ นิคเดินตรงไปที่ขยะใบไหนก็จะมีเสียงไล่ส่งเขาตามมาตลอด ไม่รู้พวกเขาจะหวงสิ่งของที่พวกเขาทิ้งแล้วไปทำไมกัน แต่นิคก็ไม่ได้ย่อท้อเพราะท้องที่ส่งเสียงร้องนั้นทำให้เขาต้องกัดฟันและเดินหน้าหาถังขยะใบใหม่ต่อไป มันต้องมีสักใบแหล่ะน่าที่เจ้าของเผลอน่ะ
นิคเดินมาจนสุดตรอกแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้อะไรกินเลย สงสัยคงต้องรอให้พวกนั้นหลับไปอีกเช่นเคยสินะ เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงตรงข้างทางอย่างเหนื่อยอ่อน กลิ่นคาวปลายังคงติดตามตัวอยู่ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเขารู้สึกชินไปเสียแล้ว เขานั่งมองเหม่อออกไป มองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เป็นสีแดงฉานเหมือนสีเลือด ซึ่งเป็นแสงที่สะท้อนมาจากดวงไฟจากเมืองใหญ่ ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มเหม่อ คำถามเดิมๆ ก็ผุดขึ้นมาอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า...คนเราเกิดมาทำไมกันนะ ไม่สิ...เขานั่นหล่ะที่เกิดมาทำไมกันนะ โลกที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ก้าวล้ำ เต็มไปด้วยสิ่งที่วิวัฒนาการ ทั้งยานบิน เรือลอยฟ้า แสนยานุภาพทั้งอาวุธและ AI ที่ต่างถูกพัฒนาแบบก้าวกระโดด แล้วสิ่งที่เป็นจุดพร่องของความก้าวหน้าแบบเขานั้นทำไมถึงต้องเกิดมาด้วยนะ
ในระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังจมอยู่กับความคิดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงจากทีวีดังแว่วลอยมาจากตึก ดึงความสนใจของเด็กหนุ่มให้ออกจากภวังค์ของการเหม่อลอย เสียงจากจากจอLEDจอใหญ่ที่ฉายอยู่บนตึกสูง กำลังโฆษณาบางอย่างอยู่
"เราพัฒนาการเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด สำหรับทุกคนที่พร้อมจะเดินไปกับเรา คุณอาจจะหวาดกลัวกับความตาย แต่วันนี้เราได้เดินหน้าเผชิญกับความตายมาได้ครึ่งทางแล้ว เปโตรโปรเจคกับนวัตกรรมก้าวล้ำได้พัฒนางานวิจัยถึงการยืดชีวิต ชีวิตคุณ....คุณเลือก..."
หึ...เรื่องเดิมๆ โฆษณาชวนเชื่อเดิมๆ นิคเห็นโฆษณาจากบริษัทนี้แบบนี้มาตั้งแต่เขายังเด็กๆ แล้ว โฆษณาชวนเชื่อเรื่องการยืดอายุ ชวนเชื่อเรื่องยาอายุวัฒนะ ชวนเชื่อในเรื่องที่ฝืนธรรมชาติ คนเราจะไปรู้อะไรกับชีวิตได้ดีขนาดนั้นกันล่ะ เรื่องพวกนี้มีแต่พวกที่อยู่สุขสบายเท่านั้นแหล่ะที่หลงเชื่อได้น่ะ สำหรับชนชั้นรากหญ้าแบบเขาแล้วนั้น การจบชีวิตตัวเองโดยเร็วคือทางเลือกที่ดีกว่า
นิคลุกขึ้นช้าๆ และเดินหน้าไปต่อ เวลาดึกดื่นยามราตรีแบบนี้พวกคนหวงขยะเหล่านั้นคงพากันนอนหมดแล้ว แหงล่ะ...พรุ่งนี้วันอาทิตย์ที่ไม่มีใครคนไหนทำงานให้เหนื่อยกัน พวกเขาต้องตื่นมาเพื่อรวมตัวกันตามที่เคยทำๆ กันมานั่นแหล่ะ นิคไม่ค่อยเข้าใจพวกนี้เท่าไหร่นักกับการที่ต้องตื่นมาเพื่อรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ หาเรื่องราวมาเล่าอวดอ้างกันเป็นค่อนวัน ปั้นหน้าปั้นตาพูดคุยเข้าสังคมที่หน้าไหว้หลังหลอก ยกยอปอปั้นคนนั้นคนนี้ตามฉบับผู้ดียุควิวัฒน์ หึ...ตลกชะมัด คนเราวิวัฒนาการมาจากการปั้นหน้าสินะ
เด็กหนุ่มเดินเตร่ไปตามทางเดิมที่เขาเดินมา ตามที่เขาคาดไว้...คนหวงขยะพวกนี้ต่างก็พากันเข้านอนจนหมดแล้ว นิคไม่รอช้ารีบตรงรี่ไปที่ขยะใบใกล้สุดด้วยความหิวโหย เขาลงมือค้นหาเศษอาหารเพื่อประทังชีวิตของเขาในวันนี้ให้ผ่านไปได้อีกวัน นิคคุ้ยเจอเศษอาหารที่เหลืออยู่ไม่กี่คำในกล่องพลาสติกที่แพ็กเกจดูหรูหรา คงเป็นอาหารชั้นดีที่คนพวกนั้นเหลือทิ้งไว้สินะ ไม่รอช้าเด็กหนุ่มรีบใช้มือเปล่าจ้วงเศษอาหารนั้นเข้าปากทันที
"อุแหวะ...."
เด็กหนุ่มรีบคายทิ้งทันทีที่อาหารนั้นเข้าปาก รสชาติของมันต่างจากที่คิดไว้โดยสิ้นเชิง รสชาติของมันขมฝาดลิ้นและแสบร้อนเหมือนกำลังกินน้ำกรดยังไงยังงั้น แม้เด็กหนุ่มจะถุยเอาทั้งเศษอาหารและน้ำลายออกจนแทบจะหมดปาก ลิ้นของเขายังคงปวดแสบปวดร้อนอยู่
"น้ำยาล้างห้องน้ำสินะ" เด็กหนุ่มพึมพำ คนพวกนี้มักจะทำแบบนี้กับขยะของพวกเขาเสมอ ไม่ได้ป้องกันพวกหนูพวกแมลงสาบอะไรทำนองนั้นหรอกนะ แต่พวกเขาทำเพื่อไม่ให้คนอย่างนิคมาค้นคุ้ยเศษอาหารกินยังไงล่ะ
นิคเดินถุยน้ำลายตัวเองไปพลางหัวเสียไป วันนี้เขาก็ต้องปล่อยให้ท้องหิวไปอีกวันสินะ....
ช่วงจังหวะหนึ่งที่นิคกำลังเดินคอตกอยู่นั้น นิครู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเดินตามหลังเขามา นิคหันขวับไปมองทันที แต่แล้วเขาก็ไม่เห็นอะไรในความมืดนั้น สงสัยคงรู้สึกไปเอง นิคนึกในใจ มันคงเป็นเพราะเขาหิวด้วยแหล่ะ เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะไล่ความคิดก่อนจะออกเดินต่อไป มีอีกสิ่งที่เขาจะต้องคิดก่อนจะหมดคืนนี้ไปคือ...เขาต้องหาที่นอนที่เหมาะสมสำหรับคืนที่โหดร้ายที่เขาเองก็ชินเสียแล้ว
++++++++++++++++++
เสียงรถรางและยานบินลอยฟ้า คำรนเป็นทอดๆ ดังปลุกเด็กหนุ่มที่หลับไหลอยู่ให้ตื่นขึ้น เช้าที่ท้องฟ้ามืดมนเต็มไปด้วยฝุ่นควันและไอเสียเป็นปกติเต็มไปด้วยความวุ่นวายของเมืองใหญ่ ผู้คนต่างพากันออกมาจากบ้านเพื่อมารวมตัวกันตามสวนสาธารณะที่เหมือนเป็นสวนรูปปั้นจำลองเสียมากกว่าสวนต้นไม้ นิคที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ม้านั่งกลางสวนงัวเงียลุกขึ้นเพราะรำคาญเสียงรบกวน แสงอาทิตย์ยังไม่พ้นขึ้นมาจากฟ้า ผู้คนต่างก็พากันตื่นก่อนแล้ว แน่ล่ะ...วันนี้พวกเขามีนัดรวมตัวกันอย่างว่านี่นา
"ถุย!!" เสียงถุยน้ำลายดังขึ้น คราบน้ำหนืดๆ เหนียวๆ พุ่งติดหน้าของนิคอย่างจัง "บัดซบ!!!เช้ามาก็เจอไอ้ตัวซวยนี่ซะละ...ไม่มีที่มุดหัวนอนที่อื่นรึไงถึงมานอนตรงนี้ ไป๊!!"
ชายหนุ่มที่ล่ำสันคนหนึ่งขับไล่นิคราวกับนิคเป็นหมาจรจัด ไม่วายซ้ำยังถอดรองเท้าปาเพื่อไล่เด็กหนุ่มอีกต่างหาก สายตาของชายคนนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด นิคปาดคราบน้ำลาย รีบลุกและวิ่งออกไปทันที เพราะขืนชักช้าไปกว่านี้มีหวังเขาได้เจ็บตัวเป็นแน่ แผลเก่าที่โดนมายังปวดตุบไม่หาย เขาคงไม่เสี่ยงเอาตัวเองไปบาดเจ็บแบบนั้นอีกเป็นแน่
ไกลจากสวนสาธารณะนั้นมาแค่ไหนไม่รู้แล้ว นิครู้แค่ว่าเขาต้องเดินเตร่ต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ หาที่ลับตาคนเพื่อหยุดพัก แต่ไม่ว่าเขาจะไปหยุดนั่งที่ไหนก็จะมีแต่คนคอยขับไล่เขาอยู่อย่างนั้น
กร๊อบบ....
เสียงบางอย่างเหยียบกับขวดพลาสติกดังแว่วมาจากด้านหลัง นิคหยุดเดินและหันกลับไปมองทันที เช่นเดิม....เขาก็เจอแต่ความว่างเปล่า แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผิดสังเกตก็คือ นิคเห็นขวดน้ำพลาสติกนั้นตกอยู่กลางทาง...ใช่แน่ๆ ต้องมีคนสะกดรอยตามเขาแน่ๆ คงเป็นพวกคนที่คอยหาทางกลั่นแกล้งและทำร้ายเขาแหงๆ เด็กหนุ่มทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและรีบย่ำเท้าเดินหาที่ลับตาทันที ขืนให้พวกนั้นตามมาอีกมีหวังคงได้กินยำตีนและน้ำเสลดแน่ๆ
นิคกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนมาถึงใต้สะพานลอยฟ้าสุดไฮเทคแห่งหนึ่ง ตามราวของมันเต็มไปด้วยจอโฆษณาแบรด์ต่างๆ นิครีบจ้ำอ้าววิ่งขึ้นบันใดอย่างเอาเป็นเอาตาย สายตาเหลือบชำเรืองไปเห็นชายคนหนึ่งสวมชุดสูทสีดำแว่นตาสีดำกำลังตามมาอย่างรวดเร็ว ถูกเผง! เขากำลังถูกสะกดรอยตามอยู่ ไม่รอช้านิครีบวิ่งห่างออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ใครกันนะมาสะกดรอยตามเขาแบบนี้ เขาต้องการอะไรจากนิคกันแน่นะ หรือเป็นพวกที่ถูกจ้างมาเพื่อจัดการเศษขยะสังคมแบบเขา บ้าน่า...จะมีใครลงทุนทำถึงขั้นนั้นกันนะ แต่พอนึกๆ ไปแล้วก็ดูสมเหตุสมผลดีหนิ เพราะถึงแม้เขาจะถูกกำจัดไปก็ไม่มีใครสนใจอยู่ดี ยิ่งเป็นการดีเสียด้วยซ้ำที่พวกเขาสามารถจัดการกับขยะที่เป็นจุดพร่องของสังคมพวกเขาไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นแม้นิคนึกอยากจะตายให้มันรู้แล้วรู้รอดนั้น มันก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ เขายังมีอีกหลายอย่างที่เขายังไม่ได้ทำเลย เขายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อมองโลกที่บ้าคลั่งนี้ต่อไปอีก...
นิควิ่งมาไกลจากที่นั้นแล้ว ซึ่งมันก็ไกลพอที่เขาจะคิดว่าไอ้คนในชุดสูทสีดำนั้นจะตามมาไม่ทันแล้ว นิคอ้าปากสูดลมหายใจหอบแฮ่กอย่างเหน็ดเหนื่อย เขาออกแรงวิ่งมาตั้งไกลแถมยังหิวอีกต่างหาก สายตาของนิคนั้นเริ่มพร่ามัวเมื่อเขาหยุดวิ่ง โลกรอบตัวเริ่มเหวี่ยงหมุนและบิดตัวไปมา นิคหายใจถี่และหอบเร็วกว่าปกติ ก่อนภาพทุกอย่างนั้นจะถูกตัดไป.....
++++++++++++++++++
นิคค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แสงไฟสีขาวสว่างจ้าจนแสบตาไปหมด...กลิ่นที่หอมสะอาดนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ พิกล มันเป็นสถานที่ที่เขาไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ที่นี่ที่ไหนกันนะ นิครวบรวมสติก่อนจะดันกายลุกขึ้น สายตาที่เริ่มปรับตัวได้แล้วกวาดมองไปรอบๆ ห้องที่กว้างขวางนี้ ทั้งห้องถูกประดับตกแต่งด้วยสีขาวและสีฟ้า ให้อารมณ์เหมือนอยู่โรงพยาบาลยังไงยังงั้น เป็นห้องกว้างๆ ที่ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงประตูที่เหมือนกับประตูลิฟท์เท่านั้น นิคก้มมองดูที่ตัวเอง ตอนนี้เนื้อตัวเขาสะอาดหมดจด เสื้อผ้าก็ใหม่เอี่ยมไม่ขาดรุ่ย
นิครีบลุกพรวดออกจากเตียงด้วยความตื่นตระหนก ที่นี่ที่ไหนกัน ดูเป็นที่ที่ไม่ค่อยจะปลอดภัยเท่าไหร่นักแม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรก็ตาม นิครีบวิ่งตรงไปที่ประตู พยายามงัดแงะแต่ก็ไม่เป็นผล มันต้องเปิดจากคนที่มีอำนาจที่นี่เท่านั้น
"เปิด!!" นิคทุบประตูอย่างตื่นตระหนก แม้เขาจะพยายามงัดแงะให้มันเปิดอ้าออกแต่มันก็ไม่เป็นผล
"เฮ้...ใครอยู่ข้างนอกบ้าง ช่วยเปิดประตูให้ที..." นิคป้องปากตะโกนอีกครั้งด้วยความหวัง
สักพักเหมือนคนข้างนอกจะรับรู้แล้ว ประตูที่ปิดแน่นสนิทก็เปิดอ้าออก ชายที่สวมชุดกาวน์สีขาวคล้ายหมอ หรือนักวิทยาศาสตร์อะไรทำนองนั้นเดินผ่านประตูนั้นเข้ามา ใบหน้าของเขายิ้มแย้มอย่างใจดีผิดวิสัยซึ่งนิคเองก็ไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ ไม่รู้สิ...เขาคงไม่ชินกับการที่มีคนแปลกหน้ายิ้มให้แบบนี้ล่ะมั้ง
"ทะ...ที่นี่ที่ไหน" นิคยิงคำถามแรกออกไปโต้งๆ
"แล็บวิจัยของฉันเอง"
ชายคนนั้นตอบด้วยท่าทีใจดี เขายังคงยิ้มจนตาหยีเช่นเดิม แม้นิคจะได้รับคำตอบแล้วแต่เขาก็ยังคงทำสีหน้าประหลาดใจและยังคงสงสัยเช่นเดิม
"อ้อ...ฉันลืมแนะนำตัวเอง คงเสียมารยาทไปหน่อยสินะ ฉันชื่อ ดร.นริศ เป็นนักวิจัยและเป็นเจ้าของงานวิจัยขององค์กร PETER Project แห่งนี้" ดร.นริศแนะนำตัวเองคร่าวๆ นิคยิ่งขมวดคิ้วสงสัยเข้าไปใหญ่
"แล้วคุณจับผมมาทำไมกัน....? จะให้ผมเป็นหนูทดลองอย่างงั้นหรอ? จะผ่าแยกชิ้นส่วนของผมอย่างงั้นหรอครับ? คงงั้นสินะ...คนแบบผมคงสมควรโดนแบบนี้สินะ" นิคตัดพ้อแบบร่ายยาวจนคนสวมชุดกาวน์ส่ายศีษะ
"จะว่าเป็นหนูทดลองนั้นก็เป็นคำที่ใช้ผิดน่ะนะ เรียกว่าร่วมงานวิจัยกันจะดีกว่า และฉันก็มีข้อเสนอ..." ดร.นริศยิ้มอีกครั้ง
"ผะ...ผมไม่เอาด้วยหรอก ผมยังไม่อยากตายตอนนี้ ปล่อยผมกลับบ้านเดี๋ยวนี้" นิคยังคงรั้นอยู่ ในใจนึกภาพสยดสยองไปต่างๆ นานา
"ใจเย็นก่อนพ่อหนุ่ม...ไม่มีใครตายในงานวิจัยของฉันหรอก" ดร.นริศหัวเราะในลำคอ "ฉันแค่ต้องการให้นายทดลองยาบางอย่างที่ฉันคิดค้นขึ้น แต่นายไม่ต้องห่วงนะเพราะฉันทำการดลองกับสัตว์ที่มีลักษณะพันธุกรรมใกล้เคียงกับมนุษย์มาก่อนแล้ว และแน่นอนมันจะปลอดภัยกับนาย"
"ทดลองยา...ยาอายุวัฒนะที่เคยเห็นโฆษณาแบบนั้นหรอ? ผมไม่เอาด้วยหรอกนะ ปล่อยผมกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นผมจะไปแจ้งตำรวจ!" นิคขู่หวังให้ชายแปลกหน้าคล้อยตาม
ดร.นริศหัวเราะพลางส่ายศรีษะเหมือนรู้ทัน
"และในส่วนข้อเสนอนั้นแลกกับเงินก้อนใหญ่ที่นายเองจะใช้ฟุ่มเฟือยทั้งชีวิตของนายก็ไม่มีทางหมด....นายจะได้ทุกอย่างที่นายขอ แม้ตัวยานี้จะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม แค่นายตกลง นายก็ยังคงจะได้รับเงินก้อนนั้นอยู่เช่นเดิม และที่สำคัญนั้น ฉันขอรับรองด้วยหน้าที่การงานของฉัน...นายจะไม่เป็นอะไรแน่นอน แต่ถ้านายโชคดีที่ตัวยานี้เป็นสูตรสำเร็จ นายก็จะได้รับอายุขัยที่ยาวขึ้น และนายก็จะไม่มีวันแก่เฒ่าไปตลอดชีวิต"
ข้อเสนอของดร.นริศนั้นทำให้นิคต้องหยุดชะงักและนึกตาม เงินก้อนใหญ่ที่ใช้ได้ตลอดชีวิตงั้นหรอ? ความสุขสบายที่เขาจะได้รับ และชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากนี้งั้นหรอ? ข้อเสนอสุดอันตรายแบบนี้มันคุ้มที่จะเสี่ยงมั้ยนะ
" หรือถ้าเกิดนายไม่อยากจะร่วมงานวิจัยของเรา เราก็ยินดีจะปล่อยตัวนายกลับบ้าน...บ้านที่แสนสุขของนาย" ดร.นริศย้ำตรงประโยคสุดท้าย ซึ่งมันบาดลึกเข้าไปในใจของเด็กหนุ่มเต็มๆ
บ้านที่แสนสุขงั้นหรอ? บ้านที่เขาต้องหาอาหารโดยการคุ้ยขยะ หาที่ซุกหัวนอนไปวันๆ ทุกเช้าต้องตื่นมาล้างหน้าด้วยน้ำลาย เดินไปทางไหนก็มีแต่คนสาดน้ำเหม็นคาวเพื่อไล่ให้เขาเดินให้ห่างจากบ้านของพวกเขา ต้องคอยหนีพวกเด็กเกเรที่คอยรุมกระทืบเขาทุกครั้งที่เจอหน้า ต้องคอยเสี่ยงดวงว่าวันนี้เขาจะอิ่มท้องมั้ย จะอยู่รอดโดยไม่หนาวตายในวันนี้ได้หรือเปล่า บ้านที่แสนสุขแบบนี้งั้นหรอที่เขาต้องการกลับไป....
"นายไม่จำเป็นต้องตัดสินใจตอนนี้ก็ได้....ฉันจะให้เวลานายตัดสินใจ 1 อาทิตย์ ระหว่างนั้นนายจะพักอยู่ที่นี้ก็ได้ เราจะดูแลนายอย่างดีเอง" ดร.นริศกล่าวจบก็เดินหันหลังกลับออกไป "อ้อ...ประตูนี้นายต้องกดปุ่มข้างๆ นี้มันถึงจะเปิดออก มันเป็นระบบสัมผัสน่ะนะ"
ดร.นริศเดินพ้นประตูออกไป ทิ้งให้เด็กหนุ่มตกอยู่ในภวังค์ความคิดของเขา ความคิดต่างๆ นานาถาโถมเข้ามาอย่างไม่จบสิ้น และทุกๆ ความคิดนั้น เขายังไม่เห็นข้อเสียของมันเลย...
ผ่านมา 2 วันแล้วที่นิคได้อยู่ที่แล็บวิจัยของดร.นริศนี้ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เขาก็ยังไม่รู้สึกชินกับการที่ได้รับการดูแลอย่างดีแบบนี้ ทั้งเสื้อผ้า อาหาร และการดูแลที่แทบจะเหมือนลูกคุณหนูคนหนึ่ง ทำให้นิครู้สึกแปลกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขามีที่นอนอุ่นๆ ที่ไม่ต้องตื่นมาล้างหน้าด้วยน้ำลาย มีอาหารที่อร่อยและรสชาติดีที่สุดเท่าที่เคยกินมา มีเสื้อผ้าสวมใส่ไม่ซ้ำชุดและมีน้ำท่าให้เขาอาบเพื่อชำระล้างทุกวัน นี่สินะชีวิตดีๆ ที่ลงตัวน่ะ พวกคนมีเงินเขาใช้ชีวิตกันแบบนี้สินะ มันช่างต่างกับชีวิตที่ผ่านมาของเขาอย่างสิ้นเชิงเลย
ช่วงเวลา 2 วันที่ผ่านมานี้ทำให้ความคิดที่ตีกันมั่วในสมองของเขาเริ่มเข้าที่เข้าทาง ความคิดของเขาเริ่มตกผลึกเป็นกลุ่มก้อนและชัดเจนขึ้น นิคเริ่มมั่นใจเล็กน้อยแล้วว่าเขาควรจะเลือกทางไหนดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ในการตัดสินใจให้ดีกว่านี้ เพราะเขาคิดว่านั่นมันจะไม่ทำให้เขาต้องกลับมาผิดหวังทีหลัง
นิคใช้ช่วงเวลาที่เขาอยู่ในห้องแลปออกตระเวนไปรอบๆ ตึก มันทำให้เขารู้ว่าตึกนี้ไม่ได้เล็กอย่างที่เขาคิด มันเป็นตึกที่กว้างใหญ่มากๆ ใหญ่เสียยิ่งกว่าพวกห้างสรรพสินค้าหรือคฤหาสน์ของพวกเศรษฐีเสียอีก นิคใช้เวลาเดินสำรวจมาสองวันซึ่งเขามั่นใจว่านี่ยังไม่ทั่วทุกพื้นที่แน่ๆ ดร.นริศเองก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร กลับกัน...เขายินดีที่จะพานิคเดินทัวร์ไปรอบๆ แนะนำห้องวิจัยต่างๆ ให้นิคได้รู้ เปิดตาเปิดโลกให้นิคได้เห็นอย่างเต็มตา ซึ่งนั่นก็ยิ่งตอกย้ำว่าองค์กรเปโตรอะไรเนี่ย มันไม่ได้ล้มเหลวแต่อย่างใด มันดูพัฒนาและก้าวล้ำไปเสียยิ่งกว่าเทคโนโลยีปัจจุบันแล้ว ผลงานที่ออกไปสู่สายตาชาวโลกนั้นก็มาจากงานวิจัยขอแลปนี้ทั้งนั้น ทั้งยารักษา เทคโนโลยียานบิน นวัตกรรมอุตส่าหกรรมต่างๆ รวมไปจนถึงอุปกรณ์สื่อสารที่ก้าวล้ำแบบเห็นคนเป็นๆ ยืนคุยกันอยู่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนมาจากงานวิจัยของที่นี่ทั้งสิ้น
" นี่คือเหล่าคนที่ตกลงร่วมงานวิจัยของเรา" ดร.นริศแนะนำเมื่อเดินมาถึงห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ข้างในห้องใหญ่นั้นก็แบ่งย่อยเป็นห้องๆ อีกทีนึง
ภายในห้องนั้นต่างก็มีผู้คนมากหน้าหลายตาอยู่ในนั้น ซึ่งสังเกตดูแล้วในนั้นอายุก็ไม่น่าจะมีใครเกิน 25 ปี นิคเหลือบไปมองเห็นเด็กชายคนหนึ่งที่เดาว่าน่าจะไม่เกิน 15 ปีอยู่ในนั้นด้วย
"เรามีคนที่ยินยอมร่วมงานวิจัยนี้ 9 คน แล้ว ไม่นับรวมกับเธอที่ยังคิดตัดสินใจอยู่" ดร.นริศอธิบายเสริม เขามองลอดแว่นกรอบดำไปที่ห้องนั้น " เด็กๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งทั้งนั้น พวกเขาไม่ต่างอะไรกับเธอเลย พวกเขาโดนสังคมกีดกันและแบ่งแยก บางคนถึงกับต้องหนีไปใช้ชีวิตอยู่ตามป่าเลยก็มี เด็กคนนั้นฉันไปพบเขาตอนที่เขากำลังจะโดนเสือขย้ำ"
ดร.นริศชี้นิ้วไปยังเด็กน้อยคนนั้น ดวงตาสีน้ำผึ้งนั้นจ้องกลับมาเหมือนกันทำเอานิคขนลุกซู่ นัยน์ตาของเด็กคนนั้นดูเย็นชาและไร้ความรู้สึก เป็นเด็กที่ดูแล้วน่าสงสารกว่าตัวเขาเองมากนักเลยทีเดียว
"พวกเรามีเยอะกันมากขนาดนี้เลยหรอเนี่ย...." นิคพึมพำอย่างไม่น่าเชื่อ ที่ผ่านมาเขาคิดว่ามีแค่เขาเพียงคนเดียวที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้มาตลอด
"ใช่...และฉันคิดว่ามีมากกว่านี้อีกแน่นอน นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมฉันถึงเจาะกลุ่มเป้าหมายเป็นพวกคนแบบนาย ฉันต้องการให้พวกนายได้ใช้ชีวิตที่ดีขึ้น ได้อยู่ในสังคมโดยที่ไม่ต้องโดนกีดกัน แลกกับการได้ร่วมงานทดลองวิจัยของฉันซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่วินวินทั้งสองฝ่าย ฉันอยากให้นายได้เข้าร่วมงานวิจัยนี้นะนิค" ดร.นริศหันกลับมายิ้ม
"คือ...ผมคิดว่า ผมตัดสินใจแล้วครับ" นิคอ้ำอึ้ง
"นายยังไม่ต้องรีบตัดสินใจตอนนี้ก็ได้ เราเหลือเวลาอีกตั้ง 5 วันสำหรับการตัดสินใจ ฉันอยากให้นายได้ใช้ชีวิตพักผ่อนหลังจากที่เจอกับเรื่องร้ายๆ มาตลอด 19 ปีนี้ได้อย่างเต็มที่ และฉันสัญญาว่าชีวิตหลังจากนี้...หมายถึงหลังจากที่นายได้ตกลงเงื่อนไขแล้วน่ะนะ ฉันสัญญาว่าชีวิตนายจะต้องดีกว่านี้แน่นอน ชีวิตนาย...นายเลือกได้"
ประโยคสุดท้ายทำเอานิคถึงกับอึ้งไปเลย ไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าใจความหมายของประโยคนี้ได้ดีที่สุดในวันนี้ นั่นสินะ...ชีวิตของเรานี่นา เราได้โอกาสที่จะเลือกแล้ว ทำไมเราจะไม่เลือกให้มันดีล่ะ
"นายจะเข้าไปข้างในนั้นก็ได้นะ...จะได้สนิทกันไว้" ดร.นริศบอก
"เอ่อ...ไม่เป็นไรดีกว่าครับ" นิคปฏิเสธ
"เอาน่า...อย่างน้อยนายก็จะได้รู้จักกันไว้" ดร.นริศยังคงยืนกราน ซึ่งนิคเองก็ยอมเข้าไปแต่โดยดี
ภายในห้องนี้เหมือนเป็นห้องพักเด็กเล็กยังไงยังงั้น ต่างกันตรงที่ว่ามีแต่พวกเด็กวัยรุ่นเป็นหลักมากกว่า ซึ่งแต่ละคนก็มากหน้าหลายตาเพราะคงมาจากหลายสถานที่สินะ บางคนก็ยังคงมีผ้าพันแผลปิดไว้ บางคนก็นิ้วขาดไปสองนิ้ว บางคนก็ตาบอด คนเหล่านี้คงเจอเรื่องร้ายๆ มามากสินะ ไม่แปลกที่พวกเขาจะมารวมตัวกันในที่นี้
นิคเดินไปเรื่อยๆ เหมือนอากาศธาตุ ซึ่งพวกนั้นก็ไม่มีใครสนใจเขาเช่นกัน เด็กหนุ่มเดินจนมาหยุดอยู่ตรงที่เด็กดวงตาสีน้ำผึ้งนั้นยืนอยู่ เขาจ้องมาที่นิค ดวงตาของเด็กคนนี้ว่างเปล่าคาดเดาความรู้สึกอะไรไม่ได้เลย ให้ตายสิ...รู้สึกแปลกชะมัดที่ถูกมองด้วยสายตาแบบนี้
"ไง..." นิคเริ่มต้นด้วยการทักทายก่อน ซึ่งเด็กคนนี้ก็ยังคงไม่โต้ตอบอะไรเช่นเดิม "ชื่อจินสินะ....ถ้าป้ายชื่อนี้ไม่ผิด ฉันนิคนะ...ยินดีที่ได้รู้จัก"
เด็กน้อยคนนั้นตอบกลับด้วยการนิ่งเงียบก่อนจะหันหลังเดินออกไปอย่างไม่ใยดี เป็นเด็กที่เย็นชาชะมัด
"เขาไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าน่ะ" เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของนิค "เด็กนั่นเจอเรื่องร้ายมามากเสียกว่าเราจะเข้าใจได้ เขาเลยไม่ไว้ใจใครเท่าไหร่ อ้อ...ฉันคชา"
"นิค..." เด็กหนุ่มตอบสั้นๆ มองชายคนที่อยู่ตรงหน้านี้คงจะอายุ20 กว่าๆ แน่ๆ เพราะรูปร่างเขาสันทัดเกินกว่าวัยรุ่นทั่วไปเสียอีก ใบหน้าของเขาดูคมจมูกเป็นสัน ดูหล่อเหลาเกินกว่าจะเร่ร่อนเสียอีก
"นายคงพึ่งมาสินะ" คชาถามต่อ นิคเองก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเก้ๆ กังๆ นิครู้สึกเคอะเขิลเล็กน้อยกับการที่มีคนมาตีสนิทแบบนี้
"ฉันเป็นคนแรกที่ได้เข้ามาอยู่ที่นี่น่ะ เป็นเวลาแรมปีเลยทีเดียวแหล่ะ ดร.นริศมาเจอฉันตอนที่พวกนั้นกำลังจะโยนฉันลงน้ำ" คชาร่ายยาวเหมือนรู้จักกันมาแรมปี "ฉันได้ยินมาว่างานวิจัยของ ดร.นริศนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่"
"หมายความว่ายังไง..." นิคตั้งคำถามขึ้น
"แล้วนายจะรู้เอง..." คชายิ้มพร้อมตบบ่านิคเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป
หมายความว่ายังไงกันที่ไม่ธรรมดาน่ะ สรุปแล้วดร.นริศกำลังวิจัยเกี่ยวกับอะไรกันแน่นะ...แต่ก็ช่างเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้วเขาเองก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
+++++++++++++++++++
5 วันต่อมา
ดร.นริศเรียกรวมตัวเหล่าเด็กๆ ผู้ร่วมงานวิจัยทดลองมาที่ห้องแลปใหญ่ที่สุดของตึก เด็กๆ 10 คน ยืนเรียงกันอยู่หน้าเครื่องประหลาดๆ ที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ มันมีจำนวน 10 เครื่องตามจำนวนเด็กๆ อย่างพอดี นักวิจัยหลายคนสวมชุดกาวน์สีขาวเดนกันให้วุ่นทั้งห้อง ดูๆ แล้วใจนิคก็เต้นถี่รัวขึ้นทุกที มันน่าใจหายอยู่นะที่เขาจะถูกยัดเข้าเครื่องประหลาดนั่น ถูกทดลองอะไรบ้างที่ตัวเขาเองก็ไม่มีทางรู้ได้ ตอนนี้เหงื่อเริ่มออกมือนิคแล้ว
"เอาล่ะ....ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง" ดร.นริศกล่าวเปิด ในมือเขาถือแท็บเลตที่เหมือนมีข้อมูลหลายๆ อย่างวิ่งอยู่ในนั้น "ฉันคิดว่าทุกคนคงเตรียมตัวเตรียมใจกันมาพร้อมแล้วพอสมควร และฉันขอกล่าวย้ำคำเดิมว่าไม่มีอะไรที่พวกเธอต้องกังวล งานวิจัยนี้จะเปลี่ยนชีวิตของทุกๆ คนฉันเชื่ออย่างนั้น พวกเธอจะเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยที่ยิ่งใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านโลกใบนี้ พวกเธอจะถูกจารึกไว้ในประวิติศาสตร์โลก"
นิครู้สึกเหมือนมีมือใครบางคนบีบรัดมือเขาไว้แน่น เขาก้มไปมองดูเห็นเด็กตาสีน้ำผึ้งนั้นกำลังตัวสั่นเทาอยู่ จินคงกำลังกลัวอยู่สินะ...โถว่...เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำสินะ นิคเอามืออีกข้าลูบศรีษะจินเพื่อปลอบประโลม
"ทุกอย่างจะไปได้ด้วยดี" นิคพูดปลอบ
"ทุกคนเดินเข้าที่เครื่องที่มีหมายเลขตามข้อมือของตัวเองได้เลย" ดร.นริศสั่งการ นิคก้มมองที่แขนของตัวเอง
หมายเลข 10
เครื่องหน้าตาประหลาดส่งเสียงร้องหวีดทันทีเมื่อถูกเปิดเครื่อง ข้างในนั้นดูแออัดให้ความรู้สึกเย็นวาบเหมือนเป็นโรงเย็นสำหรับเก็บศพยังไงยังงั้น ตอนนี้ขาของนิคเริ่มสั่นผับแรงขึ้นกว่าเดิม บางคนเริ่มตื่นตระหนกและร้องโวยวายขึ้น แต่ก็ถูกชายชุดดำสองสามคนควบคุมตัวเอาไว้ บ้าชิบ...ทำไมมันดูไม่ปลอดภัยแบบบี้นะ จินที่อยู่ตู้ถัดไปเริ่มร้องไห้ออกมาแล้ว แต่เขาก็ยังแข็งใจนอนลงไปอยู่ดี น่าแปลกที่ขนาดของเครื่องนี้พอดีกับตัวอย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนกับถูกวัดและคำนวนมาแล้วอย่างนั้นแหล่ะ
เอาวะ....
นิคนึกในใจ เขาต้องทำใจดีสู้เข้าไว้ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดน่า เขามาถึงขั้นนี้แล้ว นิคค่อยๆ นอนลงไปในเครื่องประหลาดๆ นี้ ข้างในนี้มันช่างเย็นเฉียบและกลิ่นฉุนเหมือนโรงพยาบาล ทันทีที่เด็กหนุ่มนอนแนบลงไปนั้นเครื่องนี่ก็ปิดฝาลงทันที เตียงที่นิคนอนอยู่ก็เริ่มบีบรัดแรงขึ้น เป็นจังหวะที่นิคนึกตัดสินใจได้แล้ว
"หยุดได้แล้ว!!!" นิคตะโกน "พอได้แล้ว ไม่เอาแล้ว หยุดเถอะ!" นิคตะโกนสุดเสียง แต่ข้างนอกนั้นเหมือนจะไม่ได้ยินเขา ตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว เครื่องบ้านี่ก็เริ่มบีบรัดเขาแรงขึ้น จนกระทั่ง......
โอ้ยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!
เหมือนมีเข็มแหลมๆ หลายสิบด้ามแทงเข้าที่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ไม่วายยังรู้สึกเหมือนฉีดอะไรบางอย่างเข้าสู้ร่างกายจนมันปวดและร้อนวาบไปทั้งตัว นิคทั้งดิ้นและร้องโหวกเหวก สายตาของเขาตอนนี้เริ่มพร่ามัวแล้ว มันค่อยๆ มืดลงและจากนั้น ทุกอย่างคือดับสนิทไป.......
กุก.....กัก...
เสียงบางอย่างกำลังคุ้ยเขี่ยเครื่องแมชชีนที่มีรูปร่างหน้าตาประหลาดอยู่ ราวกับหนูที่กับลังคุ้ยหาเศษอาหารอยู่ในครัวหลังบ้าน สักพักก็เหมือนมีเสียงอะไรสักอย่างกำลังลัดวงจร เสียงไฟฟ้าช็อตดังขึ้นเปรี๊ยงใหญ่ก่อนจะตามมาด้วยกลิ่นที่สาบไหม้และเครื่องแมชชีนประหลาดนั่นก็เปิดแง้มออก มันปลุกให้คนที่นอนอยู่ในนั้นตื่นขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
เด็กหนุ่มงัวเงียตื่นขึ้นเมื่อถูกปลุกจากภวังค์ มันจบแล้วสินะ.... นี่เรารอดมาได้อย่างงั้นหรอเนี่ย เด็กหนุ่มนึกลิงโลดในใจ นิคก้มมองสำรวจไปรอบๆ ร่างกายตัวเอง พินิจตามจุดต่างๆ อย่างละเอียดยิบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอวัยวะส่วนไหนขาดหายไป
" ฟู่ว!...อยู่ครบแฮะ" นิคเอ่ยออกมาอย่างโล่งอก
ร่างกายของเขานั้นครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ แม้เขาจะรู้สึกแปลกๆ ไปเล็กน้อย ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะอาการจากผลข้างเคียงล่ะมั้ง ทว่าทุกอย่างนั้นเหมือนจะปกติ แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้นิคเริ่มวิตกกังวลขึ้นมา นิคกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องวิจัยที่แปลกตาไปเป็นอย่างมาก มันดูเละเทะไปหมดผิดจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ไฟสีขาวที่เคยสว่างโร่จนไม่เห็นแม้แต่เงา ตอนนี้ติดๆ ดับๆ เหมือนอยู่บ้านผีสิง เครื่องแมชชีนประหลาดที่อยู่ถัดข้างๆ เขาไปนั้นถูกเปิดอ้าออกหมดแล้ว บางเครื่องก็ดูเหมือนจะพังไป ไม่สิ...มันเหมือนถูกทำให้พังเสียมากกว่า ภายในห้องเต็มไปด้วยฝุ่น คราบสีดำสกปรกและหยากไหย้ และที่สำคัญไปกว่านั้น มันมีต้นไม้โผล่ขึ้นมาหลายต้นอีกด้วย!
นิคก้าวขาลงจากเครื่องแมชชีนช้าๆ สมองกำลังนึกประมวลผลต่างๆ อย่างตื่นตระหนก มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันนะ ทำไมมันดูเละเทะไปเสียหมด ผู้คนหายไปไหนกันทำไมไม่รอเขาอย่างที่เขาคิดไว้ล่ะ นิคเดินช้าๆ สำรวจภายในห้อง เขาเดินไปดูตามแมชชีนที่เปิดอ้าซ่าไว้ทีละเครื่อง จนมาถึงเครื่องหมายเลข 8....7.... และ 6 ทำเอาเด็กหนุ่มร้องจ๊ากออกมาโดยไม่รู้ตัว
ภาพเบื้องหน้าของนิคนั้นเป็นภาพที่สยดสยองเกินกว่าจะจินตนาการได้ นิครู้สึกหน้ามืดพะอืดพะอมขึ้นมาทันที ภายในเครื่องแมชชีนนั้นเปื้อนเขรอะไปด้วยอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนเครื่องในที่แห้งกรังไปแล้ว มีกระดูกโผล่ออกมาจากซากเหล่านั้นเล็กน้อยแต่ก็พอเดาได้ว่าเหล่านี้เคยเป็นมนุษย์มาก่อน สภาพของศพที่น่าสยดสยองนี้เหมือนถูกตัวอะไรบางอย่างกัดแทะจนเกือบจะหมด เหลือทิ้งไว้เพียงแค่เศษซากและเครื่องใน นิคกวาดสายตาไปดูรอบๆ กายอีกเครื่องเพื่อพินิจดูให้ละเอียด รอบๆ ห้องที่เต็มไปด้วยคราบสีดำที่แห้งกรังนั่นคงเป็นคราบเลือดเป็นแน่ๆ แม้เขาจะไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อนแต่คงจะพอเดาได้ กลิ่นภายในห้องนี้นั้นไม่ได้เป็นกลิ่นสะอาดอย่างที่เขาเคยได้กลิ่น มันกลายเป็นกลิ่นที่อับชื้นและเหม็นสาบเหมือนมีซากหนูตายอยู่ภายในห้อง
"มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นล่ะเนี่ย..." นิคอุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ เขาเอามือเรียวอุดจมูกเพราะทนกลิ่นที่เหม็นสาบไม่ไหว
แกร่กก...
เสียงบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างนอกทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก
"เฮ้..." นิคพยายามออกเสียงเรียก แต่มันเหมือนอยู่ในลำคอมากกว่า "เฮ้....ใครน่ะ"
นิครวบรวมความกล้าเดินออกไปจากห้อง แม้เขาจะคาดเดาไม่ได้ว่าจะมีอะไรอยู่ข้างนอกนั่น แต่เขาก็มั่นใจได้ว่ามันคงไม่น่าจะสะอิดสะเอียนเท่าอยู่ที่ห้องนี้อีกแล้ว นิคเดินผ่านประตูที่เหมือนลิฟต์ ซึ่งมันเป็นรูโหว่เหมือนถูกพังออก เดินไปตามทางระเบียงที่ยังคงมีแสงไฟสว่างรำไร รู้สึกเหมือนอยู่ในโรงพยาบาลร้างเลยแฮะ
แกร่ก....แกร่กก....
เสียงนั้นดังมาจากอีกทางหนึ่ง นิคหันขวับและรีบเดินตามเสียงนั้นไปทันที คงจะมีคนอยู่ที่นี่สินะ ใครบางคนที่อาจจะให้ความช่วยเหลือแก่เขาได้ นิคเดินตามเสียงนั้นไปด้วยขาที่สั่นเทา บรรยากาศแบบนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกพิกล มันไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลยที่จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาเจอสภาพแบบนี้ แม้ในหัวเขาจะเต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมาย แต่ว่าต้องมีสักคนนั้นแหล่ะที่สามารถให้คำตอบแก่เขาได้ในเรื่องนี้
คร่อกก.....แคร่กกก.อือออ...
เสียงเหมือนสัตว์อะไรบางอย่างส่งเสียงคำรามเบาๆ ดังลอดมาจากอีกห้องหนึ่ง นิคค่อยๆ ทำใจดีสู้เสือเดินตรงเข้าไปยังห้องนั้น
"ขอโทษนะครับ....ไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่ครับ" นิคเอ่ยปากถามบุคคลที่สวมชุดกาวน์สีขาวเปื้อนคราบดำๆ กำลังหันหลังให้เขาอยู่ สภาพเขาดูสกปรกและเปื้อนเขรอะเสียยิ่งกว่าคนเร่ร่อนแบบเขาเสียอีก
ร่างที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่นั้นหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงของเด็กหนุ่ม มันส่งเสียงบางอย่างออกมาในลำคอ ก่อนจะค่อยๆ หันมาอย่างงึกงัก นิคแอบสังเกตเห็นมือของชายคนนั้นมันดูแห้งติดกระดูก บางส่วนก็มีเลือดไหลซิบออกมาดูน่าเกลียด เล็บของเขาเป็นสีคล้ำม่วงออกดำมากกว่า ชายคนนั้นค่อยๆ หันมาเผชิญหน้าจังก้ากับเด็กหนุ่ม นิคอ้าปากเหวอด้วยความช็อก ใบหน้าของชายคนนี้ดูเน่าเฟะเหมือนศพที่กำลังจะเน่า บริเวณปากของเขานั้นเหวอะหวะจนเผยให้เห็นฟันกรามที่กำลังอ้ากว้างราวกับกำลังอ้าปากเพื่องับเหยื่อ
"ว้าาาาากก!!!!" นิคตะโกนออกมาสุดเสียงเมื่อศพที่กำลังเดินได้พุ่งตรงมาจับบ่าของเขาไว้ เล็บสีดำคล้ำของมันจิกแน่นลงไปที่บ่า มันพยายามอ้าปากกว้างเพื่อที่จะกัดเข้าที่คอของนิค
นิคดิ้นสุดแรงพยายามเอี้ยวคอหลบเพื่อไม่ให้ถูกมันกัดเข้าเพราะคิดว่าคงไม่เป็นการดีแน่ถ้าหากถูกมันกัดเข้า นิคร้องโหวกเหวกดังลั่นและดิ้นสุดตัวเพื่อให้หลุดออก เขารวบรวมพละกำลังที่มีทั้งหมด สูดหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสติ แม้ว่ากลิ่นมันจะเหม็นเน่ามากแค่ไหนก็ตาม นิคดิ้นจนได้จังหวะที่พอดีแล้ว เขายกขาถีบเจ้าศพเดินได้ที่น่าสยดสยองนี่สุดแรง ซึ่งมันก็ได้ผลอย่างน่าเหลือเชื่อ ศพซอมบี้ตัวนั้นปลิวกระเด็นข้ามห้องไปไกลเกินคาด มันกระเด็นไปติดอยู่ที่กำแพงของอีกฝั่ง
นิคไม่มีเวลาตะลึงกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เขาเห็นศพนั้นยังไม่นิ่งสนิทและกำลังลุกขึ้นมา นิคไม่รอให้มันพุ่งเข้ามาซ้ำอีกครั้งแน่จึงรีบวิ่งหนีออกจากจุดอันตรายนั้นทันที เด็กหนุ่มวิ่งสุดตัวไปตามระเบียง ในหัวของเขาคิดแค่อย่างเดียวคือ ต้องหนี!! หนีออกจากที่แห่งนี้ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ นิควิ่งจนมาถึงห้องอีกห้องหนึ่งแต่ก็ต้องหยุดเบรคทันทีจนเขาไถลเข้าไปในห้องนั้น
"เชี่ยยล่ะ...!!!" นิคสบถหยาบออกมาทันที
ภายในห้องนั้นยังมีร่างของศพเดินได้เต็มไปหมด นับได้คร่าวๆ ก็ประมาณ 5-6 ตัวได้ พวกนั้นสวมชุดกาวน์สีขาวเดาว่าคงเป็นนักวิจัยของที่นี่สินะ พวกศพเหล่านั้นเหมือนกำลังรับรู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตเข้ามาที่นี่ พวกมันพุ่งเป้าความสนใจไปที่นิคทันที มันเดินหงึกหงักตรงเข้ามาหานิคซึ่งนิคเองก็รู้ได้ทันทีว่ามันต้องการอะไร มันคงไม่ได้พุ่งเข้ามากอดเขาเป็นแน่
นิครีบวิ่งหนีกลับไปทางเดิม สายตาพยายามมองหาทางออกอย่างตื่นตระหนก อะดีนาลีนของเขาพุ่งปราดจนเหมือนจะขีดสุดเพราะเสียงเต้นของหัวใจเขานั้นดังมากเสียเหลือเกิน มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย! นี่เขาคงไม่ได้ฝันไปอยู่หรอกนะ เขาแค่หลับไปและตื่นขึ้นมาเจอซอมบี้ยั้วะเยี้ยะพวกนี้เหมือนไม่ใช่ชีวิตจริงของเขาเลย ดร.นริศนั่นคงต้องเล่นตลกอะไรกับเขาแน่ๆ ไม่ได้การ...เขาต้องรีบหาทางออกและหนีออกจากศูนย์วิจัยป่าเถื่อนแห่งนี้ให้ได้ และแน่นอนสิ่งแรกที่เขาจะทำคือเขาต้องออกไปบอกเรื่องนี้กับทุกคน บอกตำรวจ บอกให้โลกนี้ได้รู้ว่าที่นี่ทำเรื่องป่าเถื่อนแค่ไหน
นิควิ่งจนมาถึงสุดทาง เขามาเจอกับซอมบี้อีกฝูงที่กำลังเดินตรงปรี่มาทางเขาเช่นกัน นิครีบหันหลังกลับและวิ่งออกอีกทางทันที และนั่นก็ไม่ต่างอะไรกัน ทั้งสามทางถูกปิดหมดแล้ว นิคถูกซอมบี้ล้อมเอาไว้ ไม่มีทางให้เขาหนีอีกแล้ว นิคพยายามก้มมองหาอาวุธที่พอช่วยได้แต่โชคไม่เข้าข้างเอาเสียเลยแม้ในตอนนี้ มันไม่มีอาวุธอะไรตกหล่นอยู่แถวนี้เลย มีแต่หัวกะโหลกใครบางคนที่เขาไม่สามารถระบุได้ตกอยู่ มีต้นไม้ที่มีรูปร่างประหลาดบิดเป็นเกลียวผุดตัดระหว่างตึก นึกจะวิ่งตัดฝูกซอมบี้พวกนี้ไปก็คงมีแต่ซี้แหงแก๋ เอาไงดีวะ....
บึ้มมมมม!!!!!!
ขณะที่นิคกำลังคิดหาทางออกอย่างลนลานอยู่นั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น แรงระเบิดนั้นช่วยเปิดทางกำจัดพวกผีดิบคลั่งเหล่านั้นให้โล่ง ควันสีเทาลอยโขมง คลุ้งตลบไปทั้งอากาศ นิคไอแค่กๆ เพราะสูดควันเข้าไป น้ำมูกและน้ำตาของเขาไหลออกมาเป็นทางเพราะแสบร้อน
จู่ๆ ท่ามกลางควันระเบิดนั้นก็มีร่างหนึ่งโผล่ออกมา หญิงสาวอายุไล่เลี่ยกับนิค พุ่งตัดม่านควันออกมา ในมือเธอนั้นมีปืนกระบอกสั้นและอีกข้างจับมีดสั้นอยู่ ผิวขาวเนียนของเธอนั้นเปื้อนเขรอะไปด้วยฝุ่นและคราบเลือด ผมหางม้าที่รวบตึงไปข้างหลังกับชุดสูทลายพลางทำให้เธอดูเป็นหญิงแกร่งที่น่าเกรงขามที่สุดเลยทีเดียว
"ตามมา!!" เธอสั่งเสียงดุ
นิคไม่รอตะลึงงันในความสง่าของเธอต่อ เขารีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาและวิ่งตามเธอไปทันที แม้ในหัวของนิคจะเต็มไปด้วยคำถามมากมายแต่เขาขอไม่ถามดีกว่า เพราะสถานการณ์ตอนนี้คงไม่มีเวลาให้ทำแบบนั้นมากนัก
++++++++++++++++++++
หญิงสาวคนนั้นวิ่งนำเขาออกมาจนถึงทางออกจนได้ นิกแอบนึกดีใจอย่างลิงโลด นี่เขารอดจากแดนผีดิบนั่นแล้วสินะ เขาจะได้ออกไปสู่โลกภายนอกแล้วสินะ ให้ตายเถอะ!..เขาไม่เคยรู้สึกดีใจอย่างนี้มาก่อนเลยแม้ว่าเขาจะได้กลับไปใช้ชีวิตเร่ร่อนเหมือนเดิมก็ตาม เขารู้สึกอยากกลับไปใช้ชีวิตที่ระหกระเหินนั้นเสียมากกว่าถูกผีดิบนี่ไล่กัดเสียอีก นิควิ่งออกมาจนถึงข้างนอกศูนย์วิจัยจนได้
ไม่ทันจะได้เอ่ยขอบคุณอะไรไป นิคก็ใจหล่นลงมาอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง สภาพโลกภายนอกนั้นต่างจากที่เขาหวังไว้อย่างมาก เพราะมันดูเน่าเฟะเสียยิ่งกว่าข้างในนั้นเสียอีก ซากศพต่างๆ นอนเกลื่อนอยู่เต็มพื้นไปหมด ตึกรามบ้านช่องพังทลายและเสียหายไปส่วนใหญ่ เกิดขึ้นเพราะแรงระเบิดบ้าง ต้นไม้ยักษ์โผล่ตัดขึ้นมาบ้าง ต้นไม้ประหลาดนั้นผุดขึ้นมาเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด บางจุดยังคงมีควันตลบอยู่ และที่น่าใจหายไปกว่านั้นก็คือ.....ซอมบี้นั้นเต็มไปหมด!! พวกมันเดินกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ และคิดว่าน่าจะมากกว่าในศูนย์วิจัยนี้หลายเท่าแน่ๆ
"มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันแน่เนี่ย" นิคหยุดชะงัก เขาเอ่ยถามคำถามนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างต้องการคำตอบ
"นายชื่ออะไร..." หญิงสาวในชุดลายพลางถาม มือของเธอยังจับปืนและมีดพกสั้นเล่มนั้นไว้แน่น
"นะ..นิค" นิคตอบตะกุกตะกัก มันใช่เวลามาถามชื่อมั้ยล่ะเนี่ย
"โอเคนิค...ฉันมิว ตอนนี้คงไม่มีเวลามาถามสารทุกข์สุกดิบมากนักหรอก แต่ฉันจะสอบปากคำนายแน่ๆ ถ้าไปถึงค่าย ตอนนี้ต้องเอาชีวิตให้รอดก่อน นายยิงปืนเป็นมั้ย?" เธอถาม นิคส่ายศีรษะปฏิเสธ จะบ้ารึไงใครเขาจะยิงปืนเป็นกันล่ะ
"งั้นนายก็ใช้มีดไป แทงที่หัวของพวกมัน และอย่าให้มันกัดโดนนายเด็ดขาดเพราะนั่นไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ฉันจะวิ่งฝ่าพวกมันไป นายคอยเก็บหลังให้ฉัน ตกลงตามนี้นะ..." มิวสั่งการรัวๆ อย่างกับเจอเรื่องนี้มาจนชินแล้ว แต่สำหรับนิคนั้น ไม่เลย...!
"เห้ย!!เดี๋ยว!!" ไม่ทันได้พูดพร่ำทำเพลง หญิงสาววิ่งปรี่เข้าใส่ฝูงซอมบี้เหล่านั้นอย่างไม่เกรงกลัวอะไรเลย เธอเล็งปืนไปที่ศรีษะพวกนั้นและยิงใส่อย่างแม่นยำราวกับเรียนมาก่อน นิคทำได้แต่อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก
"เร็วเข้า!!!นายจะรอให้มันมาขย้ำนายก่อนรึไง!" เธอตะเบ็งเสียงเรียก
นิคจับมีดพกให้กระชับมือ เขาไม่เคยแทงหัวใครมาก่อนแม้ว่าอยากจะทำมาโดยตลอดแค่ไหนก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกล้าทำแบบนั้นสักหน่อย ขาของนิคตอนนี้สั่นเทาเพราะกำลังตื่นตระหนก
"เฮ้!!เร็วเข้าสิ ใจเสาะแบบนี้นายรอดมาจนถึงขนาดนี้ได้ไงกัน!" มิวเรียกครั้งที่สอง และเธอก็เหมือนกำลังตกที่นั่งลำบากแล้วเช่นกัน
"เอาว่ะ...มันไม่ใช่มนุษย์ ใช่...มันคือพวกผีดิบ" นิคท่องพึมพำเพื่อรวบรวมความกล้า นิคค่อยๆ ดึงสติหายใจเข้าออกเพื่อสงบอารมณ์
ย้าาาากกกกก!!!!
นิคตะโกนสุดเสียงวิ่งพุ่งเข้าใส่พวกซอมบี้คลั่งเหล่านั้นเต็มแรง เขาจับมีดไว้แน่นเสียบแทงเข้าที่สมองของพวกซอมบี้เหล่านี้ เลือดและเศษสมองพุ่งออกมาตามมีดที่ถูกดึงออกจากหัวของมัน กระเด็นเปื้อนไปตามตัวและหน้าของนิค แต่นิคก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว ในตอนนี้เขาสนใจแค่ต้องเอาชีวิตรอดเท่านั้น นิคเสียบมีดที่หัวของพวกมันอย่างบ้าคลั่งราวกับคนเสียสติ แหงล่ะ...อะดีนาลีนพุ่งพล่านแบบนี้เป็นธรรมดาที่เขาจะเหมือนคนบ้า อย่างน้อยก็ต้องเอาชีวิตรอดไว้ก่อน ขณะที่นิคกำลังต่อสู้กับฝูงซอมบี้อยู่นั้น นิคก็ไปสะดุดตาเข้ากับซอมบี้ตัวหนึ่งเข้า มันดูตัวอวบอ้วนท้วมใหญ่ แขนของเธอกลมเป็นปล้อง ผมหยิกม้วนซึ่งดูยุ่งเหยิงแล้วในตอนนี้ซอมบี้ตัวนี้เหมือนอึ่งอ่างยักษ์เข้าไปใหญ่เมื่อกลายเป็นซอมบี้ และนิคก็จำเธอได้ดี เธอคือเจ๊ร้านขายปลาที่มักจะสาดน้ำล้างปลาไล่เขานั่นเอง
นิคนึกตะลึงอยู่ในใจพักใหญ่ แต่ซอมบี้ยักษ์ตัวนี้ก็ไม่เว้นจังหวะให้เด็กหนุ่มได้นึก เธอพุ่งกระโจนเข้ามาหานิคทันที นิคที่ตกใจก็เหวี่ยงมีดแทงทะลุสมองของเธออย่างจัง
"อโหสิให้ด้วยนะ" นิคพูดขณะถอนมีดพกออกจากหัวของเธอ
สถานการณ์มันไม่ได้ดีขึ้นเลย พวกเขาทั้งสองไม่ได้เดินหน้าไปที่ไหนเลย เหมือนกำลังจุกอยู่กับที่เสียมากกว่า ด้านของมิวนั้นเธอกำลังสู้รัดฟัดเหวี่ยงกับฝูงซอมบี้อย่าางดุเดือด เธอผาดโผนม้วนตัวตีลังกาเป็นท่วงท่า หลบหลีกและยิงสวนราวกับนักแสดงบู๊หลุดจอออกมา เธอใช้เวลาสั้นๆ ในการถอดเปลี่ยนกระสุนปืนและยิงสวนอย่างชำนาญ แต่แล้วเธอก็ต้องแพ้แรงหมาหมู่ ฝูงซอมบี้นั้นแห่กันมามากเกินเป็นโขยง เหมือนพวกมันรับรู้ได้จากเสียงของปืนที่ดังลั่น เหมือนกระดิ่งที่สั่นดังเรียกให้มาทานอาหาร ซอมบี้ตัวหนึ่งจับขาของเธอไว้ได้และลากให้เธอเสียหลักล้มฟุบลงไปกองกับพื้น ขณะเดียวกันนั้นพวกซอมบี้ก็แห่รุมเธอมากขึ้นท่ามกลางความตกใจของนิคที่ไม่รู้จะเข้าไปช่วยยังไง
"รีบหนีไป" เธอยังคงพยายามดิ้นสู้อยู่ แต่เหมือนเธอก็เริ่มค่อยๆ หมดแรงแล้วเพราะสู้กับพวกนั้นไม่ไหว "ไป!!"
นิคที่ตื่นตระหนกและไม่รู้จะทำตัวยังไงยืนตัวสั่นเทาอยู่อย่างนั้น หญิงสาวเป็นเป้านิ่งเรียกฝูกซอมบี้ให้แห่แหนกันเข้ามาเรื่อยๆ จะให้เขาหนีไปอย่างงั้นหรอ? ให้เขาปล่อยคนที่พึ่งช่วยชีวิตเขามาหมาดๆ ตายต่อหน้าต่อตาและหนีเอาตัวรอดเองอย่างงั้นหรอ นิคยืนนึกตั้งคำถามอยู่ในใจ แต่จะให้เขาทำยังไงได้ล่ะ พุ่งเข้าไปตอนนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย นิคยืนมองดูมิวที่กำลังดิ้นเพื่อไม่ให้ตัวเองโดนกัดอย่างสุดชีวิต แม้โลกนี้จะโหดร้ายกับเขามากแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้เขาต้องกลายเป็นแบบคนพวกนั้นเสียหน่อย และอย่างน้อยนั้นมิวก็ทำให้เห็นว่าโลกนี้ไม่ได้โหดร้ายกับเขาเสมอไปนี่นา
ขณะที่ความคิดของนิคกำลังตีกันอยู่ในหัว มีสิ่งหนึ่งที่เขาคิดมาตลอดคือ...เขาต้องช่วยเธอให้ได้ ไม่ว่าทางใดก็ตาม อะดีนาลีนที่เหมือนจะพุ่งพล่านในตัวของเขานั้นกำลังสั่งให้เขาต้องทำอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าจะทำได้ นิคคว้าหมับที่รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันใหญ่ที่นอนอยู่ใกล้ๆ หากจะคิดว่าเขากำลังจะสตารท์รถนั้นก็คงคิดผิด เพราะส่ิงที่นิคจะทำมันเหนือกว่านั้น
"ออกไปให้พ้นนะไอ้พวกผีดิบบ!!!"
นิคออกแรงทั้งหมดยกเอาบิ๊กไบค์ขึ้นเหนือหัว น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกว่ามันหนักเลยสักนิด อาจเป็นเพราะอะดีนาลีนที่พุ่งพล่านอยู่ล่ะมั้ง ว่ากันว่าคนที่ตกใจหรือหวาดกลัวสามารถยกได้แม้กระทั่งตู้เย็นนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร นิคสูดหายใจเข้าเต็มปอด ออกแรงเหวี่ยงทุ่มรถบิ๊กไบค์ใส่ฝูงซอมบี้ที่กำลังรุมหญิงสาวอยู่ มันพุ่งตัดผ่านฝูงผีดิบคลั่งอย่างแรงและแม่นยำเกินคาดหมายจนพวกมันปลิวกระเด็นแหลกออกเป็นชิ้นๆ มิวที่นอนแน่นิ่งอยู่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เธอหันมามองนิคด้วยสายตาพิศวงและเหลือเชื่อ และนิคเองก็ยังเหลือเชื่อกับสิ่งที่ทำลงไปเหมือนกัน
++++++++++++++++++++
มิวพานิควิ่งจนมาถึงเขตป่าที่รกชัฎ เหมือนเป็นป่าที่ผุดมากลางเมืองเสียมากกว่า ตลอดทางที่วิ่งมามิวไม่ได้เอ่ยอะไรกับนิคเลย เธอเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างเดียวจนมาถึงค่ายๆ หนึ่งซึ่งเป็นค่ายใหญ่เลยทีเดียว ข้างในเต็มไปด้วยผู้คนที่เป็น คน...แบบจริงๆ ไม่ใช่ซอมบี้ผีดิบเหล่านั้นแต่อย่างใด ภายในนั้นเป็นอาณานิคมขนาดใหญ่พอสมควร ผู้คนต่างละหน้าที่ของตัวเองออกมาต้อนรับผู้ที่มาถึง
"กลับมาแล้วหรอ?"
เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้น ชายสวมเสื้อกั๊กสีกรมเดินฝ่าฝูงชนออกมาอีกคน หนวดเคราของเขาดกเฟิ้มและมีสีขาวแซมออกมาบ้างแล้ว ผมเผ้าก็ดูยาวและรุงรัง ร่างกายกำยำบึกบึน เขาดูเป็นคนมีอายุแต่ไม่ได้แก่เสียทีเดียว
"แล้วเจ้าหนุ่มหน้ามนนั่นเป็นใครกัน...เธอจะรับทุกคนเข้ามาที่ค่ายนี้ทุกครั้งที่ออกไปไม่ได้นะมิว" ชายใหญ่ตำหนิ
"ฉันเจอเขาที่ศูนย์วิจัยเปโตร" มิวกล่าวเสียงเรียบ "ฉันคิดว่าเขาเป็นหนึ่งในโอเมก้า"
ไม่ทันขาดคำ ผู้คนต่างก็แตกฮือกันราวกับผึ้งแตกรัง เหล่าผู้หญิงต่างไปหลบหลังผู้ชาย ส่วนเหล่าผู้ชายยกปืนจ่อมาที่เด็กหนุ่ม ซึ่งนิคเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เด็กหนุ่มรีบยกมือขึ้นสูงเหนือหัวอย่างยินยอมและว่าง่าย
"ใจเย็นๆ ก่อน...ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายนะ" นิคพยายามพูดไกล่เกลี่ยแต่ดูเหมือนพวกเขายิ่งตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่
"แก...เป็น...ตัว...อะไร..." ชายในเสื้อกั๊กจ่อปืนไรเฟิลมายังเขาและถามเน้นทุกคำ
"มะ...หมายความว่าอะไรกัน ผมไม่รู้เรื่องอะไรนะ" นิคเริ่มลนลานหนักกว่าเดิม แหงล่ะ..ก็เล่นเอาปืนมาจ่อหน้ากันขนาดนี้
"บอกมาว่าแกเป็นตัวอะไร...แกเป็นคนของเปโตรใช่มั้ย!!แกมาจากการทดลองบ้าๆ นั่นใช่มั้ย!" ชายใหญ่ถามอย่างดุดัน
"เขาช่วยชีวิตฉัน..." มิวเอ่ยปากในที่สุด "เขาช่วยฉันออกจากฝูงซอมบี้นั่น"
"แล้วเธอจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะไม่ใช่พวกนั้น" ชายใหญ่ถามย้ำ
"เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้หรอก แต่เราต้องจับเขามัดและขังไว้ รอสอบสวนเมื่อพร้อม" มิวเสนอความเห็น
"จับโอเมก้าขังเนี่ยนะ? เธอคิดว่าจะทำอะไรพวกนี้ได้งั้นหรอ?" ชายในเสื้อกั๊กตั้งคำถาม
"ดะ...เดี๋ยวก่อนนะ คือตอนนี้ผมสับสนไปหมดแล้ว อะไรคือโอเมก้า และนี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน?" นิคถามแทรกขึ้น
"เดี๋ยวได้รู้กัน"
ชายในเสื้อกั๊กตอบก่อนที่พวกผู้ชายกำยำจะเข้ามารุมจับเขามัดไว้ นิคเองก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใดเพราะอย่างน้อยพวกเขาทำไปก็เพื่ออยู่รอดนั่นแหล่ะ เอาเป็นว่าอย่าจับเขาไปเชือดหรือถ่วงน้ำ หรือไปทรมารก็เป็นพอ.......
+++++++++++++++++++
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!