NovelToon NovelToon

อวสารโลกเก่า

บทที่ 1 ตอนที่ 1 วันที่เป็นจริง แก้ไขเมื่อวันที่ 9/1/23

'ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง' เอ็นมองไปยังปฏิทินตั้งโต๊ะ '24/4/2020'

เขานั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมยืดเส้นยืดสายไปมา

"จะได้เจอกันแล้วนะ" เอ็นพูดในขณะที่ดูรูปภาพใบหนึ่ง ที่มีชายหนุ่มและหญิงสาวอยู่ด้วยกัน

เอ็นลุกขึ้นเดินตรงไปที่ปลายเตียงพร้อมจัดเก็บสัมภาระของตนอย่างเรียบง่าย ก่อนจะเดินออกจากห้องพักไป

การเดินทางเต็มไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากประเทศแห่งนี้ ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้คนเดินทาง จึงทำให้โครงสร้างแผนผังตัวเมืองดูผิดแปลกจากเมืองยุคสมัยใหม่ที่มีความสะดวกและคล่องตัวสูง

เมื่อเอ็นมาถึงที่หมาย เขากับยืนอยู่บริเวณตรงหน้าสวนสนุกแห่งหนึ่ง โดยเขาได้แต่ลำลึกถึงอดีตในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขา

เอ็นเริ่มเปลี่ยนจากการยืนมานั่งที่เก้าอี้ บริเวณจุดพักผ่อน

เขาเริ่มแสดงอาการไอออกมาเพราะเนื่องจากการทำงานหนัก โดยแลกกับเงินที่ไม่มากนัก

เอ็นมองก้มหน้าในขณะที่นั่งรอใครบางคนอยู่ แม้ว่าโดยเนื้อแท้เขาจะเป็นคนที่เกลียดการรอ แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้เขาสามารถรอได้

"สวัสดีเอ็น ทำไมทำสีหน้าแบบนั้นล่ะ คงคิดถึงเค้ามากเลยละสิ" เสียงพูดของผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตรงต่อหน้าเขา

ในมุมมองสายตาของเอ็น มีหญิงสาวผิวขาวเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ผมตรงดำยาว เธอสวมเสื้อเปิดไหล่สีเนื้อไม้อ่อน มันช่วยให้เห็นแล้วสบายตา

แถมยังทำให้ร่างดูเล็กบางมากขึ้น กระโปรงที่ใส่ก็เป็นกระโปรงดำอย่างดี ตัดกับเสื้อและผิวที่ขาวผ่อง จนใครๆเห็นต้องมีหยุดมอง 'ข้อมือสวมกำไลเงินวาววับ มีลวดลายของดอกมะลิ'

ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นใคร เพียงแค่เห็นกำไลจากข้อมือ เอ็นไม่รอช้ารีบเข้าสวมกอดเธออย่ารวดเร็ว

"คิดถึงมากเลยละ รอเธอมาตลอด" สีหน้าของเอ็นเหมือนเด็กน้อยที่พลัดพรากจากแม่ไปนาน และตอนนี้คุณแม่ได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว

มันเป็นความรู้สึกที่พูดออกมาได้ยากเพราะเป็นเรื่องของคนสองคน ที่บุคคลภายนอกไม่อาจเข้าใจ

ทั้งคู่ไม่รอช้ารีบจูงมือกันเข้าไปยังสวนสนุก โดยทิ้งความเศร้าไว้ด้านหลัง

เมื่อเล่นเครื่องเล่นไปได้สักระยะเอ็นก็ได้พายูเมะไปเครื่องเล่นอันหนึ่งที่ไม่ว่าคู่รักคู่ไหนก็ต้องเล่น

"นี่เอ็นจะเข้าไปจริงๆเหรอ เค้ากลัววววววววว"

"อะไรกัน ของแบบนี้นี่แหละที่คู่รักเขาเล่นกัน"

ยูเมะสะบัดหน้าหนีพร้อมกับชี้นิ้วไปยังเครื่องเล่นอื่น

เอ็นไม่แม้แต่จะรีรอ รีบพายูเมะเข้าไปทันที

"ใจร้ายอ๊ะ ถ้าเค้าตายขึ้นมาตัวเองจะรับผิดชอบเค้ายังไง"

"อะไรนะ ใครจะตายไม่มีหรอก"

เมื่อเอ็นและยูเมะได้เหยียบเท้าเข้าบ้านผีสิง ตัวของยูเมะก็เริ่มสั่นด้วยความกลัว

แต่กลับเอ็นเขามีสีหน้านิ่งเฉย พร้อมกับเดินนำหน้า

ยูเมะได้แต่ร้อง"กรี๊ด"ส่วนเอ็นก็ได้แค่ร้อง"โว้ว"ในบ้านผีสิง

อึกๆ นี่คือเสียงของเอ็นตอนดื่มน้ำ หลังผ่านบ้านผีสิงมาได้

"ไหนคุณบอกไม่กลัวผี"

"ใครบอกกลัว ฉันแค่ตกใจเสียงต่างหาก"เอ็นปฏิเสธพร้อมกับรีบดื่มน้ำตาม

"กลัวเสียหน้าละสิ"

"อายุก็ยี่สิบกันแล้วจะกลัวเสียหน้าทำไม ฉันว่าเรารีบไปเล่นเครื่องเล่นอื่นกันดีกว่า"

ทั้งคู่ต่างพากันไปเล่นเครื่องเล่นต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะ รถไฟเหาะ และอื่นๆ

ละแล้วเวลาแสนสุขก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองนั่งลง บริเวณสำหรับรับประทานอาหารบ่าย

"ยูเมะเธอช่วยเล่าเรื่องประเทศบ้านเกิดของเธอให้ฉันฟังหน่อยสิ"เอ็นถามพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้โดยที่ไม่ละสายตาไปจากเธอ

"ช่วง 3ปี ที่ฉันกลับไปอยู่ ที่นั่นมันเต็มไปด้วยเรื่องราวที่สนุกและแปลกใหม่สำหรับฉันมากเลย ทั้งๆที่ฉันเองก็เกิดที่นั้นแท้ๆแต่กับลืมไปหมด ฮ่าๆ"

เธอเล่าประสบการณ์ด้วยอารมณ์ที่สนุกจนแม้แต่คนฟังอย่าง เอ็นยังรู้สึกสนุกตาม

"ฉันเห็นเธอพิมพ์มาบ่อยมากเรื่องปรากฏการณ์ รุ้งพรจันทร์ มันคืออะไรเหรอ"เอ็นหยิบโทรศัพมือถือ พร้อมกับเผยข้อความในแชทเก่า ที่พูดถึง รุ้งพรจันทร์ ให้ยูเมะดู

ในขณะที่เธอกำลังเตรียมอธิบาย เอ็นก็ได้สั่งอาหารและเครื่องดื่มกับพนักงานเสิร์ฟ

"รุ้งพรจันทร์ มันคือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก แต่สำหรับบริเวณที่ฉันอาศัย มันจะเกิดขึ้น ทุกๆ 2 เดือน"เธอกางมือไปมาเพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของมัน

"มันเป็นปรากฏการณ์ที่สวยมากเลยละ แสงของท่านพระจัทร์ที่กระทบละอองน้ำละอองฝน เกิดเป็นรุ้งสีขาวเงินโค้งสวยไร้มลทิน ขนาดของมันใหญ่มากราวกับท่านพระจันทร์จะเคลื่อนเข้ามาใกล้โลกเลยละ"เธอลุกจากเก้าอี้พร้อมสาธยายความสวยงามและยิ่งใหญ่จนลืมเนื้อลืมตัวไปเลย

เอ็นมองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยนและความเอ็นดูในตัวเธอ ก่อนที่จะจับมือแล้วค่อยๆทำให้เธอมานั่งติดเก้าอีกอีกครั้ง

ครั้งนี้ยูเมะเปลี่ยนบทสนทนามาเป็นเรื่องของเอ็นแทน

"เป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ ได้ข่าวว่าข้าวของเครื่องใช้ในประเทศนี้แพงขึ้นไปอีกเท่าตัวเลยใช่ไหม"

เอ็นที่ได้ยินถึงกับอึ่ง เขาพยายามตอบอยู่สักพักจนในที่สุดก็พูดว่า

"ใช่ ตอนนี้ทุกอย่างแพงขึ้นจริงๆ ตารางเวลาทำงานตอนนี้ก็แปดวันหยุดครั้งหนึง แถมไม่พอกินพอใช้เลย" เอ็นพูดพร้อมกับเกาหัวเบาๆ

เมื่อพูดเสร็จ พนักงานเสิร์ฟก็นำอาหารที่สั่งมาวาง

อาหารเหล่านี้แม้จะไม่หรูแต่ก็แฝงไปด้วยความรัก

"จะดีเหรอเลี้ยงข้าวเค้าในสภาวะแบบนี้"เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่กังวล

"เธอเป็นแฟนฉันนะ เพื่อเธอฉันเลี้ยงข้าวได้น่า"

ทั้งคู่จ้องตากันด้วยความเขินอยู่สักพัก ก่อนจะเริ่มรับประทานอาหาร

"จะว่าไปพอดูอาหารดีๆแล้วนี่มันของโปรดเค้าหมดเลย ขอบคุณค่ะ"

"ไม่ต้องขอบคุณก็ได้"

แม้ภายนอกจะดูจริงจังตลอดเวลาแต่การแสดงออกด้านความรักนั้นชัดเจน

ทั้งสองเรื่มรับประทานอาหาร ต่างฝ่ายต่างทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

“เครื่องรางนั่นยังไม่เคยถอดออกเลยเหรอ” ระหว่างที่รับประทานอาหาร ยูเมะก็ทักถึงเครื่องรางคล้ายสร้อยคล้องคอของเอ็น

“มันเป็นเครื่องรางของพ่อเลี้ยงที่ให้ฉันมา จริงๆมันเปิดพ็อกเก็ตได้ด้วยนะ” เอ็นถอดเครื่องรางที่คอออกพร้อมเปิดส่วนที่เป็น พ็อกเก็ตออกมา

แสงจากหินสีเขียวอ่อนเมื่อกระทบแสง มันจะส่องแสงเจิดจ้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“ว้าว สวยจังเลย พ่อเลี้ยงเธอเป็นคนแบบไหนกันน่า ถึงซื้อของแบบนี้ให้ลูกชาย”

“อย่างน้อยก็ท่านก็ดีกว่าพ่อแท้ๆของฉันละนะ” เอ็นเหลือบสายตามองไปทางอื่นในขณะที่หน้าตรงไปที่ยูเมะ

“ไม่เอาน่าเราตัดสินใจกันแล้วว่าจะไม่พูดถึงพ่อเธอนะ” เธอจับมือเอ็นทันทีที่รู้ว่าเจ้าตัวเอ่ยถึงชื่อบิดา

“ขอโทษที เอาละทานข้าวกันต่อเถอะ” เอ็นตักช้อนเข้าปากแล้วเคี้ยวข้าวเหมือนกับว่าเขาลืมเรื่องเมื่อครู่

หลังจากทานข้าวจนอิ่มหนำ เขาก็ต่อด้วยเครื่องเล่นเบาๆ

"นี่!เล่นยิงปืนอัดลมกันแข่งกันดีกว่า"

"ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะชวนฉันเล่นเกมแบบนี้ด้วย ถ้าท้ามาก็จัดไป"เอ็นตอบรับคำชวน พร้อมชูมือขอปืนอัดลมสองกระบอกจากเจ้าของร้าน

ยูเมะยิ้มราวกับเป็นสัญณาณให้เอ็นเริ่มก่อน

กระสุนปืนมี 6 นัด ในหนึ่งรอบ

เอ็นตั้งสมาธิอย่างหนัก หวังคว้าคำชมจากปากยูเมะ ปัง!

"เกือบโดนล่ะเชียว" หลังจากนั้นเสียงปืนก็ดังต่อ ปัง!

"ว๊าย"ยูเมะลุ้นเชียร์จนเก็บอาการไม่ได้

ปัง! "โดนแล้ว โดนแล้ว"ยูเมะพูดเชียร์แต่ว่าตุ๊กตาตรงหน้ากลับไม่ล้ม

'โดนแล้วแต่ว่าทำไมมันไม่ล้ม สงสัยไอเจ้าของร้านมันติดเทปกาวไว้แน่เลย'

ปัง!ปัง!ปัง!

'บ้าน่า โดนไปตั้ง 3 นัด เต็มๆ แต่กลับไม่ล้มเลยเหรอ'เอ็นเดินไหล่ตกแล้วจดจ้อง ไปที่การยิงปืนของเธอ

ยูเมะสอดมือข้างซ้ายเก็บเข้ากระเป๋า แล้วใช้มือขวาเล็งตรงไปที่ตุ๊กตาตัวที่ใหญ่ที่สุด

ปัง! "อุ๊บ" ลูกปืนอัดลมหมุนผ่านหัวตุ๊กตาไปแบบเฉียดๆ ใครเห็นก็รู้ว่าไม่โดนแต่ตุ๊กตากับหล่นลงฐานรับ

มันแปลกและง่ายดายราวกับใช้มือดันอย่างแผ่วเบา

เอ็นขยี้ตา สองรอบก่อนจะถามเธอว่า "ทำได้ไงแค่มือเดียวด้วย"

เจ้าของร้านถึงกับเปลี่ยนจากงานบริการลูกค้ามาตั้งใจมองเธอเป็นพิเศษ

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

เธอยิงติดกันทั้งห้านัด โดยที่ยิงออกไปล้วนโดนอย่างน่าอัศจรรย์

เจ้าของร้านจ้องมองพวกเขาเป็นพิเศษเมื่อเห็นการยิงอันสุดยอดของยูเมะ

เขาจึงเดินมาหาโดยตรง "คุณทั้งสอง..."

คำพูดที่ยังไม่ครบของเจ้าของร้าน ทำเอ็นเนื้อเต้นเพราะในหัวของเขาเต็มไปด้วยเรื่องลบๆ

"คุณทั้งสอง ผมขอยินดีด้วยครับ"คำพูดเต็มๆจากปาก ทำให้เห็นหายใจออกมาได้อย่างสะดวก

"คุณผู้หญิงท่านนี้ได้ยิงถูกตุ๊กตาเป็นตามรหัสลับลุ้นโชคของทางร้าน ซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาตลอด 15 ปีของเกมเรา"

"รางวัลของพวกท่านก็คือ กระดิ่งมงคลครับ"

กระดิ่งแกว่งมือรูปร่างแปลกตา มันทั้งใหญ่และพกพาได้ยากกว่าปกติ แต่ด้านของการดีไซน์มันช่างดูเก่าและมีราคามาก หากอยู่ในมือนักวิชาการหรือพิพิธภัณฑ์

"แค่กระดิ่งเองเหรอ"ยูเมะพูดออกมาด้วยความไม่เกรงใจ

"อ่า กะแล้วว่าต้องพูดแบบนี้"เจ้าของร้านอุทานขึ้นทันทีหลังจากได้ยินที่ยูเมะพูด

"กระดิ่งนี่ เป็นของมงคลเพียงไม่กี่ชิ้น แถมผมยังได้ยินมาอีกว่า มันถูกสร้างเมื่อพันกว่าปีก่อนเพื่อใช้ในพิธีแต่งงาน"

"ขอความหมายโดยย่อด้วยครับ"

"มันคือกระดิ่งสำหรับให้คู่ชีวิตไงละครับ"

"ผมว่าคุณทั้งคู่เหมาะสมแล้วที่จะได้มันไป"

"...."

"...."

เอ็นและยูเมะต่างเขินหน้าแดงทั้งคู่ราวกับพึ่งเคยจูบกัน

"บ้าเอ๊ยร้อนเป็นบ้าเลย ใครมันไปเร่งดวงอาทิตย์ให้ร้อนเนี่ย"

"หนูขอรับไว้แล้วกันค่ะ"

"ระวังนะครับราคามันสูงมากเลยแถมหายากอีกด้วย"

จนในที่สุดเวลาก็พรบค่ำ

เอ็นและยูเมะ ยืนอยู่หน้าบริเวณรถบัสรับส่ง เพื่อที่จะออกจากสวนสนุกและแยกย้ายกันไปที่พักของแต่ละคน

"เอ็นตอนที่ฉันมาที่นี่ฉันได้ยินเรื่องของ การหายตัวไปของคนย้านนี้ด้วยล่ะ"เธอยื่นโทรศัพท์ให้เอ็นดู

แต่เอ็นกลับปฏิเสธโดยที่ยังไม่ดูอะไร

"ก็แค่ข่าวปลอมหรือไม่ก็ข่าวที่กรุขึ้นมาเพื่อกลบเรื่องการเมือง"

"ถ้าฉันหายตัวไปนายจะไม่สนใจบ้างเลยเหรอ!"

"เรื่องคนหายกับความเป็นห่วงเธอมันคนละเรื่องกันเลยนะ แล้วทำไมถึงเอามารวมกันได้ล่ะ" เมื่อเอ็นพูดออกไป ยูเมะก็ถึงกับมีสีหน้าที่บอกบุญไม่รับ

ในระหว่างที่ทั้งสอง รอรถบัส ทั้งคู่กับเงียบใส่กัน

"เฮ่ เรื่องเป็นห่วงผมก็เป็นห่วงจริงๆนะ แต่คนหายมันก็คนละเรื่องเลย อย่าทำเหมือนผมผิดสิ"

ทั้งคู่เงียบใส่กัน โดยมีแต่เอ็นที่แสดงอาการกระวนกระวายออกมา

ยูเมะหยิบกระดิ่งขึ้นมาเขย่าเหมือนกับมีข้อความจะสื่อแต่นั่นก็ยากเกินจะเข้าใจ เพราะเธอสะบัดเพียงสามถึงสี่ครั้งก็เก็บเข้ากระเป๋าอย่างเดิม

ในระหว่างนั้นเองกลับมีรถบัสใหม่และแปลกตาขับผ่านมา

เอ็นและยูเมะคิดว่าเป็นรถบัสที่ทางสวนสนุกจัดขึ้นจึงไม่ได้แปลกใจอะไรแล้วรีบขึ้นหาที่นั่งโดยทันที

เมื่อเข้าไปในรถบัสคันนี้กลับไม่มีผู้โดยสารใดหลงเหลืออยู่ ทั้งที่ทั้งมาและไปจะมีคนนั้งเต็มตลอด

แต่ทั้งคู่ก็หัวเสียเกินกว่าจะพยายามเข้าใจ ความหมายของภาพตรงหน้า

รถเมล์ขับออกไปเรื่อยๆตามทางปกติ

จนกระทั่ง คนขับกลับลุกขึ้นมาจากที่นั่งคนขับแล้วเดินมาหาทั้งสอง รถแล่นไปเองเหมือนพวงมาลัยจะหมุนได้อิสระราวกับมี A.i คอยช่วย

“ท่านผู้โดยสาร บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะได้ไปยังดินแดนแห่งความตาย” คนขับรถถอดหมวกพร้อมกับกลายร่างอย่างสยดสยอง

“เฮ้ยๆ เรื่องบ้าอะไรเนี้ย” เอ็นอุทานออกมาด้วยความตกใจอย่างสุดขีด

สิ้นเสียงคำร้อง เจ้าปีศาจก็พุ่งทำร้ายเอ็นโดยทันที

มันใช้มือที่แข็งแรงพร้อมกับเล็มอันแหลมขมหวังจะตะปบคอของเอ็น

เอ็นสามารถรับมือ กรงเล็บที่ตะปบครั้งแรกได้อย่างหวุดหวิด

จากนั้นการโจมตีที่สองก็ตามมาเอ็นทำได้เพียงยื่อปีศาจเอาไว้และมีท่าทีจะกลายเป็นอาหารอันโอชะของมันเสียแล้ว

แต่ทันใดนั้น ยูเมะกลับล้วงกระเป๋าของเธอพร้อมกับปากกาเล็กๆสั้นๆ ชี้จ่อเข้าไปตรงใบหน้าของเจ้าปีศาจ

เปรี้ยง! แสงจากปลายปากกาพุ่งออกตรงเป็นเส้นเข้ากระแทกหน้าของมันอย่างจัง

เพียงแต่แสงที่พุ่งออกมาจากปากกาทำได้แค่ให้มันถอยหลังทิ้งระยะออกไป พร้อมขากรรไกรล่างที่โยกไปมา

มันแยกเขี้ยวใส่ทั้งที่กรามล่างยังบาดเจ็บ

ดวงตาจ้องขู่อาฆาตแน่วแน่ไม่โอนเอียง

ยูเมะเริ่มร่ายคาถาอีกครั้ง เธอยิงแสงที่เมื่อครู่ได้ทำร้ายเจ้าปีศาจอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ดวงตาของเธอเปล่งแสงประกายสีฟ้าออกมา พร้อมกับสีผมที่มีการเหลื่อมระหว่างดำกับฟ้าสว่างเป็นระยะๆ จำนวนที่ยิงออกมาไม่อาจประมาณได้ลำแสงสีฟ้าเหล่านั้นถาโถมประเคนใส่เจ้าปีศาจอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

บนรถบัสการเคลื่อนไหวของมันถูกจำกัดอย่างเห็นได้ชัด

เพียงไม่นานจำนวนลำแสงที่มากมายก็สามารถทำให้เจ้าปีศาจไม่อาจทรงตัว พร้อมกระเด็นถอยหลังออกไปทางกระจกหน้ารถ

เอ็นแปลกใจกับภาพตรงหน้าจนล้มตัวลงกระแทกกับพื้น จากนั้นความคิดหลายอย่าง ก็เข้ามาตีกันภายในหัวในช่วงสั้นๆ แต่สุดท้ายแล้วเอ็นกับคิดว่า 'สุดยอดไปเลย นี่แฟนฉันยิงลำแสงออกมาได้ด้วยว่ะ'

ยูเมะยื่นมือมาหวังพยุงช่วยเอ็นให้รีบลุกโดยไว

“อย่ามัวแต่มองหน้ากันสิ ลุกขึ้น! ตอนนี้เราต้องรีบหนีได้แล้ว” ยูเมะคว้ามือของเอ็นไว้อย่างเหนี่ยวแน่นที่สุดเท่าที่ในชีวิตจะทำได้

เธอรีบพาเอ็นออกมาจากรถบัสคันนั้นโดยทันที

ฟ้ามืดในคืนพรบค่ำแสนธรรมดา บัดนี้มันกลายเป็นคืนที่อันตรายถึงชีวิต

สถานที่ๆอยู่ ณ ตอนนี้ ห่างไกลจากตัวเมืองเป็นอย่างมาก รถบัสเมื่อครู่ที่ได้นั่งกลับเป็นหนอนขนาดยักษ์ มันมีรูบางอย่างพร้อมกับพ่นแก๊สในอากาศ จนภาพในสมองสับสนเป็นรถบัสอีกครั้ง

ในขณะที่วิ่งกันสุดชีวิต ในดินแดนประหลาดที่ไร้ซึ่งต้นไม้และแสงไฟ มีเพียงแต่หินสีน้ำตาลที่ตั้งเด่นไปมา

พร้อมกับมีเสียงกรีดร้องของปีศาจที่น่าสะอิดสะเอียนคอยประกอบฉาก

ยูเมะสร้างแสงไฟจากปลายปากกาด้วยเวทบางอย่าง พร้อมกับจูงมือวิ่งนำโดยที่เอ็นก็ไม่รู้ว่าเธอนำพาไปไหน

"เธอมีพลังวิเศษด้วยเหรอ แสดงว่าเธอก็รู้เรื่องพวกสัตว์ประหลาดนั่นใช่ไหม" เอ็นถามเพื่อคลายความสงสัยที่พุ่งเข้าหา

ยูเมะหยุดวิ่งพร้อมกับหันหน้ามองรอบตัวไปมาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดอันตราย

“คุณรู้ไปจะทำอะไรได้” เธอมองไปที่เอ็นพร้อมกัดฟันไปมา พร้อมกับสีหน้าที่คนทั่วไปคงคิดว่าเธอกำลังโกรธ

แต่ในสายตาของเอ็นเธอกำลังเจ็บปวดจนแทบจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ

“นี่เธอกำลังกลัวสินะ ถ้ายังไม่พร้อมจะอธิบายก็ไม่เป็นไร”

“ขอโทษด้วย ที่ฉันเอาแต่สร้างปัญหาให้คุณ ฉันแค่กลัวความจริงที่ฉันเก็บซ่อนไว้”

“ฉันเองก็เหมือนกันเพราะอย่างนั้นเราถึงอยู่ด้วยกันได้ไงละ”

ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันได้ในเวลาอันสั้น เอ็นที่เห็นว่าเธอเริ่มควบคุมอารมณ์ได้แล้ว

จึงถามออกไปว่า"สถานที่แห่งนี้ทั้งมืดจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น แล้วเธอกำลังพาพวกเราไปไหนกัน" ยูเมะเช็ดน้ำตาที่ปริ่มออกมาก่อนที่จะเริ่มพูด

"ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆด้วยดวงตาคู่นี้ ฉันเห็นพลังงานชีวิตบางอย่างกำลังเรียกเราอยู่"

ยูเมะเปลี่ยนนัยน์ตาของตนให้เป็นสีฟ้าสว่างออกมา

เอ็นแม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ไม่อยากถามออกไปตรงๆจึงตั้งประเด็นไปที่จุดหมาย

"แล้วเราใกล้ถึงที่นั่นรึยัง"

"ในตอนนี้เราใกล้ถึงสถานที่แห่งนั้นแล้ว"ยูเมะหันกลับไปมองยังสถานที่แห่งนั้นที่เธอบอก

ทั้งสองรีบออกตัววิ่งอีกครั้งโดยได้แต่ภาวนาให้รอดพ้น

'เสียงร้องจากปีศาจและผู้คนที่ตะโกนร้องขอชีวิตดังระงมไปทั่ว พวกเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า เราอยู่ไหน หรือจริงๆแล้วที่นี่ อาจเป็นนรก'เอ็นพยายามทบทวนและเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเขาเอง

"นี่ไงเรามาถึงแล้ว"ยูเมะยิงเวทของเธอออกไปในขณะวิ่ง ก้อนพลังงานเล็กๆที่ส่องสว่างแทน หลอดไฟหรือคบเพลิง พวกก้อนเหล่านี้ต่างทำหน้าที่ส่องสว่างนำทางได้อย่างดีเยี่ยม

"โบราณสถานใช่ไหม"เอ็นหันไปพูดกับยูเมะด้วยความตกใจ เพราะเกือบทั้งชีวิตไม่ได้มีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตข้างนอกมากนัก

สถานที่แห่งอารยธรรมโบราณ ซึ่งถูกทิ้งร้างให้เป็นซากปรักหักพัง

เหล่าก้อนอิฐ ล้วนเก่าแก่จนดูออกได้ด้วยตาเปล่า

นอกจากกำแพงและสิ่งปลูกสร้างต่างๆในอีกฟากไกล มีคฤหาสน์หลังหนึ่งตั้งสูงใหญ่เหนือสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด

'การออกแบบที่นี่ ทำออกมาได้ดีมากเลย'

ในระหว่างที่ได้มีโอกาสชื่นชมของโบราณ

ยูเมะกลับกระชากแขนเอ็นจนความคิดของเขาหลุดหายไป

"แย่แล้วข้างหน้ามีปีศาจกำลังรุมกินบางอย่าง หลบทางนี้เร็ว"ยูเมะพูดพร้อมกับลากเอ็นเข้าไปในตัวป้อมแห่งหนึงที่ใกล้ตัวที่สุด มันทั้งดูมั่นคงและเอื่อต่อการหลบซ่อน

ทั้งคู่ต่างหายใจออกดัง"เฮือก"ก่อนที่จะรีบควมคุมเสียง

ในป้อมแห่งนี้นั้นทั้งมืด อากาศข้างในมีกลิ่นเน่าบางอย่างที่ยากเกินจะอธิบายได้

"อุ๊บ" ยูเมะเอามือปิดปากอย่างไว พร้อมกับใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ปิดปาก กุมหน้าท้องเอาไว้ เธอเริ่มคตตัวงเองทันที

"ไหวไหม"เอ็นเขาไปประคองเธอพร้อมถามด้วยความเป็นห่วง

"ถึงกลิ่นมันจะแย่แต่ฉันไม่เป็นไร ว่าแต่คุณไม่เป็นอะไรเหรอ"

"อืมไม่รู้สิ ฉันเคยฝึกแปลกๆกับพ่อแท้ๆของฉันมาเยอะ บางทีการอดทนกับกลิ่นไม่พึงประสงค์และการต้านพิษอาจเป็นสิ่งที่เขาสอนมาให้"

ยูเมะนอนพิงกำแพงพร้อมท่าทีที่ไปต่อไม่ไหว ก่อนจะใช้เวทบางอย่างทำให้เธอดูจะไม่รับรู้กลิ่นใดๆ

ในจังหวะนั้นเอง มีปีศาจสองตัวที่อยู่นอกป้อมสนทนากันเสียงดัง จนเล็ดลอดเข้าหูของทั้งคู่

บทที่ 1 ตอนที่ 2 เอาตัวให้รอด แก้ไขเมื่อวันที่ 14/1/23

"เฮ่ฉันได้กลิ่นมนุษย์แถวนี้" ฝุตๆ "ฉันว่าใช่"

"ไม่หรอกน่ามันก็แค่กลิ่นศพใหม่ๆ นั้นล่ะ อย่าได้ไปสนใจเลย เราไปออกล่าข้างนอกกันดีกว่า"

"งั้นเหรอ แต่ว่าท่านคนนั้นย้ำว่าให้เรารอแค่ในตัวเมือง"

"ช่างมันสิ ไอเจ้านั้นมันจะไปรู้ได้ยังไงว่าเราแอบหนี"

"ถ้าอย่างนั้นแกก็นำข้าไปเลย"

เสียงเคลื่อนตัวดั่งสัตว์ร้ายตัวใหญ่ได้ผ่านทั้งคู่ไป

ผ่านไปได้สักพักเอ็นรวบรวมสมาธิ พร้อมก้าวขาสำรวจป้อมดังกล่าว

วืด .. 'เกือบไปแล้วในป้อมนี้มีหลุมด้วยงั้นเหรอเนี่ย'ด้วยผลจากความมืดเอ็นก้าวขาขวาอย่างไม่ระมัดระวังจนเกือบ ตกลงไปในหลุมที่ใหญ่ประมาณหนึง

แต่เมื่อมองลงไปกลับเห็นแสงจากอัญมณีส่องแสงออกมาจากภายในกล่อง

'เมื่อกี้เหมือนจะเห็นกล่องบางอย่าง ความรู้สึกที่ถูกเรียกหานี่มันอะไรกัน บางทีถ้าฉันจะลงไปดูก็คงไม่เสียหาย'เมื่อตัดสินใจได้ เอ็นจึงค่อยๆหย่อนตัวลงภายในหลุม

เอ็นค่อยๆเปิดหีบใบเล็กอย่างระมัดระวัง 'นี่มันหินสีเขียว ชิ้นเดียวกับในพ็อคเก็ตฉัน'

เอ็นจึงรีบหยิบหินในพ็อคเก็ตขึ้นมาเปรียบเทียบ

สองหินก้อนเท่าหัวนิ้วโป้งผสามรวมเป็นเนื้อเดียวกัน ภายในหลุมเกิดแสงวาบช่วงหนึ่ง ก่อนที่เอ็นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

'ความรู้สึกปวดหัวนี่มันอะไร เจ็บเป็นบ้าเลย อ๊าก!'เอ็นใช้สองมือกุมขมับทั้งสองข้างพร้อมกับความเจ็บปวดบางอย่างที่แสนรุนแรง

แล้วในตอนนี้ภาพตรงหน้ากลับกลายเป็นสีขาว สว่างไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา แม้แต่ตัวเขาเองก็คิดว่าบ้าไปแล้ว

ทันใดนั้นเสียงบางอย่างก็เข้ามาสัมผัสถึงตัวเขา

ความเจ็บปวดค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับภาพแสงสีที่ตามมาอย่างสมจริง

เอ็นได้เห็นความทรงจำของผู้ครอบครองหินปริศนาคนก่อนหน้าเขาทั้งหมด

ในใจเขาคิดว่าบางคนใช้ชีวิตได้ไร้สาระมากมาย บางคนเป็นขุนนางชั้นสูงเอาแต่กินเที่ยวเล่นกับผู้หญิงไปวันๆ บางคนก็เป็นอัศวินที่ถูกฆ่าในสงครามทั่วไป

แต่มีเพียงสองคนที่ทำให้เอ็นรู้สึกน่าตื่นเต้นและเขาจดจำได้ คนแรกเป็นลอร์ดชั้นสูงคนหนึ่งที่หัวก้าวหน้าช่างประดิษย์และวางแผนแต่น่าเศร้าที่ชีวิตถูกคนบางกลุ่มเอาเปรียบจนเอาชีวิตไม่รอด แต่ผลงานที่เขาค้นพบนั้นเป็นทฤษฎีที่อัศจรรย์มากอย่างเช่นหินแห่งความทรงจำก้อนนี้

ส่วนอีกคนเป็น เป็นผู้ถือครองคนสุดท้าย เป็นอัศวินคนหนึ่งที่มีอายุน่าจะเจ็ดสิบห้าปี

ด้วยความสามารถของหินก้อนนี้ มันอาจพลิกหน้าสงครามได้ เขาจึงนำแยกออกเป็นหลายๆส่วนแล้วนำไปซ่อน

เมื่อเขาได้ดูประวัติของผู้ถือครองทั้งหมดเขากลับฟื้นมาในที่แห่งหนึ่ง

'ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนกัน เหมือนความเจ็บปวดจะหายไปด้วย'เอ็นตื่นมาบริเวณกลางห้อง

เอ็นรวบรวมแรงที่เหลือลุกขึ้นมา สาดสายตาไปทั่วบริเวณห้อง

'ห้องนี้มันห้องอะไรกันอย่างกับห้องฝึกตนของพวกวรยุทธ์เลย' ภายในห้องนี้ประกอบไปด้วยอุปกรณ์หลายต่อหลายๆอย่างเท่าที่ตาของเอ็นจะเห็นได้ ไม้ซุงสำหรับซ้อมหมัดที่เห็นได้จากหนังทีวี อาวุธไม้ชนิดต่างๆแบบครบเซต ดาบ,ขวาน,กระบองยาว,กระบองสั้น,กระบองสามท่อน เรียกได้ว่ามีให้ฝึกกันทุกแบบ นอกจากนี้มันยังมีสระน้ำที่ปลูกดอกบัวจนเต็มสระ หน้าต่างบานใหญ่ที่แปะพร้อมกับยันต์เทพ นักรบสักองค์

ทันใดนั้นประตูบานหนึ่งในห้องก็เปิดออก

มีเด็กชายคนหนึ่งเปิดประตู พร้อมกับมีชายสองคนเดินตามหลังมา

'ว่าแต่ฉันมาทำอะไรที่นี่กันไม่เคยเห็นจะจำได้เลย'

ชายคนแรกเป็นชายแก่อายุร่วมๆหกสิบปีได้ สวมชุดเครื่องแบบ พร้อมกับยศมากมายที่ประดับประดาอยู่บนหน้าอกอย่างหาญกล้า

ชายคนที่สอง เป็นชายที่เอ็นรู้จัก เขานั้นจงเกลียดจงชังคนๆนี้ที่สุด พ่อแท้ๆของเขา

ชายทั้งสองเริ่มสนทนาถึง อนาคตของเด็กตัวน้อยๆคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า

ส่วนเด็กคนนั้นก็ทำการฝึกไปโดยที่ไม่ได้สนใจอะไรทั้งคู่

"ท่าน ฟูจินคิดเห็นอย่างไรบ้างกับลูกของข้า เขาพอจะมีสิทธ์ได้เป็น ผู้กอบกู้ตามคำทำนายไหม"

"ถ้าดูจากการวางตัว กิริยาต่อหน้าข้า ถือว่าเป็นเด็กที่เงียบผิดปกติไปเสียหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นความสามารถในการต่อสู้กลับตรงกันข้ามนับเป็น หนึ่งไม่เป็นสองรองใครเลยละ"

คุณพ่อยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะถามอีกว่า

"ถ้าอย่างนั้นลูกของข้า จะได้เป็นสิน่ะ"

"อย่าอวดดีไปศิษย์ข้า คิดแค่ว่าความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวจะใช้ได้ในโลกงั้นเหรอ ฉันละสงสารเด็กที่มีพ่ออย่างนายจริงๆ"

คำพูดดั่งกล่าวทำให้คนเป็นพ่อหยุดหายใจไปช่วงหนึ่ง

"นี่เจ้าหนูเอ็น มานี่สิ"

"ครับ"เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายอย่างที่สุด

"ฉันจะประกาศตรงนี้เลยว่า เจ้าหนูนี่ยังไม่มีคุณสมบัติ จะเป็นอะไรทั้งนั้นตราบใดที่ยังไม่เข้าใจถึงความสุข เพราะขนาดตัวเองยังไม่มีความสุข แล้วจะไปมอบความสุขและความหวังให้ใครเขาได้ ตัดใจซ่ะเถอะ ทอส!ศิษย์ข้า"

ชายแก่เดินออกไปโดยที่ไม่แม้แต่จะสบตาลูกศิษย์ของเขาแม้แต่น้อย

ทอสล้มคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรุนแรงสีหน้าของเขา บ่งบอกถึงความสิ้นหวังโดยแท้

'สมน้ำหน้า ชอบวางท่าดีนัก'เอ็นในวัยหนุ่มไม่มีแม้แต่ความเมตตาให้

ทอสเริ่มบ่นพึมพำอะไรบางอย่าง

"ท่านพ่ออย่าเสียใจไปเลยครั้งหน้าก็ยังมีอยู่ ยังไงอาจารย์ฟูจินก็ยังไม่ตายสักวันเขาคงใจอ่อน"เด็กน้อยพูดออกไปด้วยความซื่อๆ

"แกจะไปรู้อะไร ไอเด็กไร้ประโยชน์ ฉันฝึกแก เลี้ยงแก เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งผู้กอบกู้ แต่แกที่วันๆไม่ต้องทำอะไรยังจะมีหน้ามาอวดรู้อีก"เสียงตะโกนดังไปทั่วทิศทาง

แม้แต่เอ็นที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ยังสั่นกลัวจนเนื้อเต้น ด้วยสัญชาตญาณ แต่ในทางกลับกันตัวเขาในวัยเด็กกลับตั้งท่าต่อสู้ ด้วยอาการสั่นไม่หยุด

"ให้ออกตามหาความสุขเหรอ แกได้กินข้าวทุกสามมื้อโดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร นั่นก็เป็นความสุขแล้วไม่ใช่เหรอ"เขาพูดพร้อมกับออกหมัดใส่เอ็นอย่างเต็มกำลัง ถึงแม้เอ็นจะเบี่ยงหมัดออกไปได้หนึ่งครั้ง แต่แล้วก็มีหมัดหนึงซัดเข้าเต็มใบหน้า

"มีพรสวรรค์ในการต่อสู้ ฉันก็ให้แกได้ใช้ในห้องนี้ ยังจะขออะไรอีกกกกก" ทอสตะโกนพร้อมกับต่อยหมัดตรงเข้าใส่ที่ใบหน้าของเอ็น ถึงแม้เอ็นจะตั้งการ์ดได้แข็งแรงมากเพียงใด แรงของเด็กก็ไม่อาจต้านได้

หมัดของทอสกระแทกใส่หน้าของเอ็นจนนอนล่วงไปกับพื้นโดยไม่สามารถทำอะไรได้

ทอสหายใจออกเพียงเล็กน้อยก่อนจะใช้เท้ากระทืบลงไปบริเวณท้องและซี่โครงของเอ็นอย่างรุนแรง

เอ็นในวัยโตถึงกลับหลบสายตาไปมองทางอื่น

'หมดคำจะจำกัดความจริงๆ เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงได้เกียจแก'

หลังจากโดนทำร้ายร่างกายอยู่อีกสักพัก เหล่าคนใช้และแม่เอ็น ก็ออกมา

เหล่าคนรับใช้รีบพุ่งตัวเข้าไปห้ามแต่กับคุณแม่ ท่านทำได้แค่ร้องไห้สวยๆ พร้อมกับรอผลที่จะตามมา

'ท่านแม่ ข้าขอบคุณในความดีที่ทำให้ข้ายังเป็นคนดีและเมตตาทุกสิ่ง แต่กับความอ่อนแอของท่านก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวข้า'

ในระหว่างที่สถานการณ์กำลังตึงเครียดอย่างที่สุด

"เอ็น รีบตื่นเร็วๆสิ เอ็นนนน"เสียงของยูเมะตะโกนทะลุเข้ามา โดยที่แม้แต่เอ็นก็ไม่อาจเข้าใจได้

ภาพของโลกกลายเป็นสีดำสนิท แล้วทุกสิ่งก็หยุดเคลื่อนไหว

'ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วถึงความทรงจำที่ร่างกายนี้ได้ปิดบังเอาไว้ ตอนนี้ฉันจะต้องออกไปจากอดีตบ้าๆพวกนี้แล้ว'

เมื่อ สามนาทีก่อนหน้า หลังจากการผสานตัวของหินแห่งความทรงจำจนเกิดแสงสว่างขึ้นมา

"เอ็นเกิดอะไรขึ้นนะ"ยูเมะเริ่มเดินออกตามหาเอ็น

"นั้นมันแสงอะไรกัน"

"ฉันบอกแกแล้วไงว่ามันมีกลิ่นเนื้อมนุษย์จริงๆ"

ตึ่ง! "เป็นอย่างที่คิดไว้เลย เอาล่ะ ไอพวกมนุษย์ถ้าพวกแกอยู่ในนั้นละก็จงเตรียมตัวตายได้เลย"

ตึงๆๆ เสียงประตูที่ถูกปีศาจกระแทกอย่างแรง มันดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับรอยแยกของประตู

ยูเมะยืนขึ้นพร้อมกับใช้ปากการ่ายเวท

เหล่าเศษหินและไม้ต่างๆ ถูกทำให้ลอยกับพื้นอย่างเบาหวิว ยูเมะโบกสะบัดปากกาแล้วชี้ไปยังหน้าประตู

เศษไม้และหิน ถูกสั่งให้ก่อตัวรวมกันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของประตู

การกระทำเช่นนี้พอจะยืดเวลาไปได้แค่ หนึ่งนาทีเท่านั้น

เสียงหายใจของปีศาจก็ดังกังวาน ภายในตัวป้อม มันหลบซ่อนอยู่ในเงามืดแม้แต่ยูเมะเองที่ใช้ดวงตาสีฟ้าก็ไม่อาจมองหามันเจอ

เพียงไม่กี่อึดใจ การโจมตีก็ได้เริ่มขึ้น

เจ้าปีศาจพุ่งตัวเข้าโจมตีทางด้านหลังของยูเมะแบบไม่ทันตั้งตัว

มันคงเป็นภาพสยองหากยูเมะไม่ได้สร้างม่านพลังเอาไว้

การโจมตีของมันถูกหยุดชะงัก กลางอากาศพร้อมกับรอยแผลไหม้ที่สร้างความเสียหายให้มันไม่ใช่น้อย

รูปร่างของมันบัดนี้ได้แสดงตัวออกต่อสายตาของยูเมะ

ลักษณะภายนอกของมันเหมือนกับ กอริลลาขนดำขนาดใหญ่ที่สวมชุดเกราะไว้กับตัว พร้อมกับสายสะพายที่มีอาวุธปืนห้อยอยู่กับตัว เล็บมือคม ใบหน้าโกรธเกรี้ยว

"เป็นมนุษย์ที่ใช้เวทมนตร์ได้งั้นเหรอ น่าสนใจจริงๆ" เจ้าปีศาจยืนสองขาพร้อมกอดอกคุย

ยูเมะไม่รอช้ายิงพลังงานเวทตรงเข้าไปใส่เจ้าปีศาจ เพียงการตั้งการ์ดแบบง่ายๆพลังเวทก็สลายไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้ผล

"ดูถ้าแล้วอุปกรณ์สื่อกลางของเจ้าจะอ่อนแอมากเลยน่ะ" เจ้ากอริลลาพูด

โครม! เสียงของประตูที่ถูกเสริมแกร่งโดนถล่มพังทลายไม่เป็นชิ้นดี

"อย่าดูถูกพวกมัน เป็นไปได้ว่ามันอาจใช้เวทมนตร์ขั้นที่สูงกว่าที่พวกเราคิดก็ได้" ปีศาจอีกตนพูดเตือนขึ้นหวังให้อีกตัวระวัง

"แค่ผู้หญิงเผ่ามนุษย์จะทำอะไรเราได้" เจ้ากอริลลาพูดขึ้นพร้อมกับควักอาวุธปืนขึ้นมา

ปังๆๆๆๆๆๆเสียงปืนดังสนั่น ก้องไปมาภายในป้อม

เจ้าบ้านั้นสาดกระสุนจนหมดแม็กกาซีนโดยหวังฆ่ากันโดยไม่ทันตั้งตัว

ยูเมะสร้างม่านพลังอีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็น ม่านกำแพงเพลิงความร้อนสูง

กระสุนที่ยิงเข้ามา หลอมละลายกลายเป็น โลหะเหลวสีเหล็กไร้ค่า

"บ้าน่า"ปีศาจตัวที่สอง ร้องขึ้นมาด้วยความตกใจระดับหนึง

ยูเมะยืนขาสั่นพร้อมท่าทีอ่อนแรง หายใจออกดัง "เฮือก"

เจ้ากอริลลาไม่รอช้าเปลี่ยนแม็กกาซีนหวังยิงซ้ำอีกครั้ง

ยูเมะที่เห็นจังหวะอันเหมาะสมจึงรวบรวมสมาธิแล้วปลดอาวุธปืนของเจ้าปีศาจกอริลลาขณะที่มันวางใจ

แล้วสวนกลับด้วย โลหะเหลวที่เกิดจากกระสุนของมัน

ยูเมะทำการเปลี่ยนรูปทรงโลหะให้คล้ายเข็มขนาดเล็ก แล้วโจมตีกลับไปอย่างทันควัน

ครั้งนี้มันได้ผลดีเนื่องจากสิ่งที่ยิงออกไปเป็นโลหะแข็งแถมยังมุ่งเป้าไปยังจุดที่อ่อนแอ

เหล็กแหลมที่โจมตี ได้มีเส้นหนึ่งวิ่งเข้าใส่ดวงตาเจ้ากอริลลาได้สำเร็จ

มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

เจ้ากอริลลากระโดดถีบตัวออก เพื่อหลบซ่อนอยู่หลังหิน

"ไอ้บ้า ถ้าฉันพร้อมอีกละก็พวกแกตายแน่"

ปีศาจตัวที่สองเมื่อเห็นเพื่อนถูกโจมตีจึงคิดสวนกลับ มันจึงใช้ปีกสีดำพัดเหล่าฝุ่นผงบริเวณนั้นใส่ ยูเมะเพื่อหวังบดบังวิสัยทัศน์

แล้วหันการโจมตีไปที่ชายหนุ่มที่นอนสลบอยู่นอกระยะการต่อสู้

มันบินผ่านยูเมะไปด้วยความเร็วสูง

ยูเมะที่ไม่ทันสังเกตจึงปล่อยให้มันบินผ่านไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ

แล้วเมื่อเธอได้ใช้ดวงตาสีฟ้ามองไปยังที่ทิศทางที่เจ้าปีศาจบินไป เธอจึงเห็นเอ็นนอนหมดสติในหลุม

การตัดสินใจเป็นไปอย่างรวดเร็ว เธอสร้างแส้เวทมนตร์ขึ้นมาแล้วฝาดเข้าไปในทิศทางของศัตรู

เจ้าปีศาจที่แต่เดิมก็ระวังทุกฝีก้าว มันจึงดีดตัวออกทันที

เจ้าปีศาจถึงกับหนังตากระตุก พร้อมกับสีหน้าที่ไม่สู้ดี เมื่อเจ้าแส้เวทมนตร์ที่โจมตี กลับข้ามผ่านมันไป

ถึงแม้มันจะตามความคิดของยูเมะทัน แต่นั่นก็สายไปแล้ว เมื่อแส้ได้รัดเข้ากับเอวของเอ็น

ไอจึงกระชากตัวของเขา กลับเข้ามาหาเธอ

เธออ้าแขนรับร่างอันไร้สติของเอ็นไว้ ด้วยแขนทั้งสองข้าง

เมื่อเอ็นอยู่ในอ้อมกอดของเธอได้สำเร็จ

เจ้าปีศาจกอริลลาที่รักษาตัวจนเสร็จแล้ว เตรียมตั้งท่ากระโดดเข้าจู่โจมแบบครั้งก่อน

ยูเมะรวบรวมพลังเวทครั้งสุดท้ายด้วยมือที่สั่นไปมา บวกกับปากกาที่เริ่มมีรอยแตกร้าวอย่างเห็นได้ชัด สร้างโดมหินขนาดใหญ่ป้องกันทั้งคู่ ด้วยความแข็งแกร่งของโดมนั้น แม้เจ้ากอริลลาจะทุบสุดกำลังมันก็ไม่สะเทือนมากนัก แต่ขณะเดียวกันปากกาเวทมนตร์ที่เป็นสื่อกลางในการใช้เวท ที่เธอพกมา ขณะนี้มันได้แตกหักคามือของเธอไปเสียแล้ว

"เอ็นตื่นสักทีเถอะ เอ็นนนนนนนนนนนนนนนนนนนน"

ในเวลาที่ไร้ซึ่งแสงสว่างและไฟแห่งความหวัง

หยดน้ำตาจำนวนหนึ่งตกกระทบไปที่ใบหน้าของเอ็น

ดวงตาของเอ็นกระตุกเล็กน้อยก่อนที่จะลืมตามอง

"เกิดอะไรขึ้น หลับไปแค่นิดเดียวทำไมเธอถึงร้องไห้ละเนี่ย"เอ็นนอนหงายหน้าบนตักของยูเมะด้วยสีหน้าที่มึนงง

"เอ่ะ หน้าเธออยู่ตรงนี้รึเปล่าฉันมองไม่เห็นเลย"เอ็นยื่นมือไปมากลางอากาศอย่างช้าๆพลางค้นหาใบหน้าของเธอ

ยูเมะจับมือของเอ็นพร้อมกับยื่นใบหน้าของเธอเข้าประกบกับฝ่ามือ

สัมผัสที่เนียนเรียบและละเอียดอ่อนของใบหน้า หยดน้ำตาอันเย็นชื่นทำให้เอ็นรู้ว่าเธอกำลังร้องไห้

เอ็นปาดน้ำตาของเธออย่างแผ่วเบาพร้อมกับรอยยิ้มที่คุ้นเคย

"มายิ้มอะไรกันละเจ้าบ้า เราจะตายกันในอีกไม่กี่นาทีแล้วนะ"เธอพูดพร้อมกับสีหน้าที่กลั้นน้ำตาไว้

ตึ่ง! เสียงของการโจมตีดังทะลุเข้ามายังถึงภายใน เป็นสัญญาณถึงความเงียบสงบได้จบลง

เนื้อของโดมเกิดรอยแตกร้าวจนแสงลอดทะลุเข้ามาเป็นเส้นเล็กๆ

เอ็นลุกขึ้นยืนพร้อมกับปัดเสื้อผ้าไปมา โดยที่หันหลังให้กับยูเมะ

"ยูเมะเธอยังจำวันที่เราเจอกันครั้งแรกได้ไหม?"

"จำได้สิ แต่ว่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสถานการณ์ตอนนี้เลยนะ"ยูเมะหันมองไปยังแผ่นหลังของเอ็น

"ตั้งแต่วันแรกที่ฉันได้เจอเธอ ฉันก็หวังเพียงสิ่งเดียวมาโดยตลอด"เอ็นกำหมัดแน่นพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้า

"นั่นก็คือ เธอจะไม่ต้องมาร้องไห้เสียใจกับโชคชะตาแบบนี้อีก"เอ็นพูดด้วยน้ำเสียงที่เน้นเป็นพิเศษพร้อมกับชกหมัดเข้าหากำแพงโดม

แรงหมัดของเอ็นสามารถทำ โดมแตกร้าวอย่างรุนแรง

ในไม่ช้า โดมแห่งนี้ก็กลายเป็นเพียงเหมือนเปลือกไข่ไก่ที่แตกออกมา

เอ็นปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าของปีศาจทั้งสอง ด้วยท่าทีพร้อมต่อสู้อย่างกล้าหาญ

"นี่คุณ รู้ใช่ไหม ขืนสู้ไปก็ไม่มีทางชนะได้"ยูเมะกล่าวเตือนด้วยสีหน้าที่สิ้นหวัง

เอ็นไม่พูดอะไรพร้อมกับเดินออกไปอย่างช้าๆ

พร้อมเข้าหาเจ้ากอริลลาที่กำลังจ้องมองเขาอยู่อย่างใกล้ชิด

เจ้ากอริลลาก้มหัวลงเล็กน้อยพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดันว่า"ดูท่าจะมั่นใจมากเลยสินะเจ้ามนุษย์"

ระยะห่างทั้งสองใกล้กันมาก เพียงลมหายใจแรงๆของเจ้ากอริลลา ก็เข้าพัดจนผมปลิวได้

ในจังหวะที่ทั้งสองจ้องมองหน้ากันอย่างไม่กะพริบตา

เจ้ากอริลลาใช้ร่างกายอันใหญ่โต กระโดดขาคู่

"อะไรกัน มันหายไปไหน"เจ้ากอริลลาสัมผัสได้ว่าเป้าหมายของมันที่หายไป

ตึ่งๆๆๆ เจ้ากอริลลาทุบอกด้วยความโมโหพร้อมกับขู่ศัตรู

"เมื่อสักครู่มันยังยืนอยู่ตรงหน้าเราอยู่เลยแล้วมันจะหายไปไหนได้"เจ้าปีศาจตัวที่สองเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจเช่นเดียวกับเพื่อนของมัน

"ถ้าตามหาฉันล่ะก็ อยู่นี่แล้วไง"เอ็นพูดสวนกลับในขณะที่ปีศาจทั้งสองไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเขา

สายตาของปีศาจทั้งสองมองไปยังทิศทางของเสียง

เอ็นไม่รอม้าใช้ฝ่ามือโจมตีเข้าสันคอ ด้วยความแม่นยำสูง

อานุภาพของการโจมตีนั้นรุนแรงนัก จนเจ้ากอริลลาหัวเขาทรุดลง พร้อมทิ้งตัวลงแนบพื้น

สีหน้าเจ้ากอริลลาเหลือกตาบน น้ำลายไหลเป็นสายธาร

ปีศาจร่างนกไม่รอช้าพุ่งเข้าหาเอ็นพร้อมกรงเล็บสีดำทมิฬหวังปลิดชีพในครั้งเดียว

ฝ่ามือของเจ้าปีศาจพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว

เก็บเส้นผมจำนวนหนึ่งไปได้

เอ็นพลิกตัวพร้อมเตะเสยคางไปหนึ่งที แต่อีกฝ่ายก็หลบได้แบบเกือบเอาตัวไม่รอด

ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างดุเดือด

สิ่งที่เกิดขึ้นทำเอายูเมะสับสนไม่ใช่น้อย

เอ็นจากชายธรรมดาบ้าๆของเธอ กลับกลายเป็นคนที่พึ่งพาได้ในตอนนี้

ยูเมะทำหน้าครุ่นคิดคิดถึงสาเหตุที่เอ็นเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่มีคำตอบใดเลยที่เขามาในหัวของเธอ

ยูเมะจึงใช้ดวงตาสีฟ้า ความสามารถเฉพาะตัวเผ่าเธอ

ภายในดวงตาสีฟ้านี้ เธอจะเห็นพลังงานชีวิต พลังเวท พลังอื่นๆ เธอสังเกตเห็นพลังงานชีวิตของเอ็นไหลออกมาอย่างน่าเหลือเชื่อ ราวกับเป็นกิ่งไม้ที่แตกแยกงอกใบออกมาอย่างไม่สิ้นสุด

'เอ็นชอบพูดอยู่บ่อยๆว่าพ่อแท้ๆชอบฝึกอะไรแปลกให้เขาบางทีมันอาจเป็นสิ่งนั้น'

ยูเมะเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เอ็นเคยพูดนั้นหมายถึงอะไร และนั้นคือกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาเหนือกว่าใครๆในด้านวิถีชีวิตและการต่อสู้

ตัวของเอ็นได้ฝึกวิชาการต่อสู้ หรือเรียกว่าการฝึกตน สิ่งนี้ทำให้เอ็นมีพลังภายในและร่างกายที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่เด็กโดยเขาไม่รู้ตัว

เมื่อเธอเข้าใจในข้อสงสัยทั้งหมด เธอจึงหยุดคิดพร้อมกับโฟกัสไปที่การต่อสู้

เพียงไม่นานเจ้าปีศาจนกก็ตกอยู่ในมือของเอ็น เขาบีบคอมันไว้แน่นจนในที่สุดเจ้านั้นก็หมดสติไป

"ทำไมถึงไม่ฆ่าละ"ยูเมะกล่าวด้วยความกังวล

"เพราะว่าเจ้าพวกนี้ทำอะไรเราไม่ได้แล้วเพราะงั้น ฉันจึงไม่อยากฆ่าพวกมัน"เอ็นกล่าวพร้อมกับใบหน้าที่เรียบเฉย

"แต่ว่ามันฆ่ามนุษย์น่ะ"

เอ็นนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะปัดเข้าประเด็นอื่น

"ตอนนี้ฉันเจอทางออกจากที่นี่แล้ว"เอ็นยื่นมือให้ยูเมะ

"แล้วเราจะออกจากที่นี่กันอย่างไร"เธอจับมือของเอ็นพร้อมพยุงตัวเองขึ้น

"เราจะเข้าไปยังปราสาทหลังใหญ่นั่น ผ่านสิ่งที่เรียกว่า กระจก 4 มิติกัน"

"กระจก 4มิติ ที่ใช้สำหรับการเคลื่อนย้ายวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตสินะ"

"แต่มันก็มีข้อจำกัดอย่างหนึ่งคือมันจะต้องให้ผู้มีพลังเวทกำหนดพิกัดมัน"

"เรื่องนั้นฉันเข้าใจดี แต่คุณไปเอาความรู้พวกนี้มาจากไหนกัน"

"ฉันเอามาจากความทรงจำของคนก่อนหน้านี้"เอ็นเปิดพ็อคเก็ตให้ยูเมะดูอีกครั้ง

ก้อนอัญมณีที่แต่เดิมมีขนาดเล็กแต่ตอนนี้มันได้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นจนพอดีกับพ็อคเก็ต

"ถ้าฉันบอกว่ามันคืออัญมณีแห่งความสงจำที่สมบูรณ์แล้วเธอจะเชื่อไหม"

ยูเมะพยักหน้าขึ้นลงแสดงถึงความเข้าอกเข้าใจ

"แล้วเธอยังใช้เวทมนตร์ได้ไหม"

"ไม่ได้หรอกเอ็น อุปกรณ์ที่เป็นสื่อกลางพลังของฉันมันพังไปแล้ว"

"ไอเจ้าปากกานั่นนะเหรอ"

เธอพยักหน้าขึ้นลง "มันเป็นของที่ทำขึ้นมาแบบง่ายๆนะ ไม่แปลกหรอกหากที่พอใช้จริงจะพังลง"

"งั้นทุกอย่างก็ลงตัวหมดเลยสิน่ะ โดยเฉพาะการที่เธอเล่นยิงปืนอัดลมเก่งเกินมนุษย์นะ"

"ฮ่าๆ ความแตกจนได้"เธอหัวเราะกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าที่เขินอายพร้อมกับพงกหัวเบาๆ

"ไม่เคยคิดเลยน่ะว่าเธอจะทำเรื่องสุดยอดแบบนี้ได้ด้วย โคตรเจ๋งเลย"เอ็นพูดพร้อมกับจับมือทั้งสองของยูเมะ

เธอเผยยิ้มที่ตรงออกมาจากหัวใจพร้อมกับสีหน้าที่เริ่มเปลี่ยน

แม้เอ็นอยากจะยื้อเวลานี้ไว้แต่มันก็ถึงเวลาที่ต้องไปกันต่อ

บทที่ 1 ตอนที่ 3 ไม่เจอกันนาน

ทั้งสองรวมใจกันอีกครั้ง เพื่อเดินทางไปยังคฤหาสน์

การเดินทางเป็นไปได้อย่างยากลำบาก เนื่องจากพวกปีศาจ มีการกระจัดกระจายไปทั่วทั้งเมืองโบราณแห่งนี้

ตัวเมืองนั้นไม่ใช่อุปสรรคใหญ่เนื่องจาก เป็นเมืองสมัยก่อน จึงไม่มีการวางโครงที่ซับซ้อนเพียงแต่ต้องใช้ความเข้าใจถึงจะเดินทางได้สะดวก

เอ็นและยูเมะก็เดินทางโดยที่ไม่มีปีศาจตัวไหนรู้ตัว อาจเป็นเพราะความสามารถในการรับรู้ภัย ประสบการณ์ และวิชา ทั้งคู่จึงมาถึงที่หน้าประตูทางเข้าของประสาทได้โดยที่ไม่มีใครรู้

ประตูหน้าทางเข้านั้นเป็นประตูบานใหญ่ที่ถูกแกะสลักอย่างดี ถ้าจะให้เทียบกับประตูทั่วไปแล้ว มันแสดงได้ถึงสถานะที่เหนือกว่าคนทั่วไปอย่างชัดเจน

บานซ้ายและบานขวาถูกตกแต่งให้เป็นลักษณะกองทัพนางฟ้าอันแสนสวยงามส่วนอีกด้าน เป็นปีศาจเพียงตนเดียวแต่กับโดดเด่นและดูทรงพลังทัดเทียมกับเหล่าเทวดาและนางฟ้า

นางฟ้าผู้ที่เกรียงไกรที่สุดมอบดาบให้อีกฝ่าย ส่วนปีศาจมอบก้อนดำปริศนาที่มีลักษณะเหมือนกุหลาบให้

ประตูที่ใหญ่โตขนาดนี้ ท่าเป็นเอ็นคนก่อนคงไม่อาจเปิดได้ แต่เมื่อเขาได้ค้นพบความแข็งแกร่งของตัวเขาเอง ประตูทั้งสองบานจึงถูกเปิดได้อย่างไม่ยากเย็น

เมื่อชายหญิงได้เหยียบเท้าเข้าคฤหาสน์ สัมผัสแรกที่ได้รับรู้กับเป็นไออุ่นจากข้างในนั้น พร้อมแสงไฟที่สว่างออกมา

สิ่งต่อมาที่เห็นคือ การจัดเก็บภายในกับสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบอย่างยิ่ง ราวกับที่แห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่

จะเป็นพวกปีศาจธรรมดาก็คงไม่เพราะในรัศมีของคฤหาสน์ ไม่มีปีศาจตนใดกล้าเข้ามายังที่แห่งนี้

อาจเป็นไปได้ว่ามีพวก ปีศาจระดับสูงอาศัยและคอยดูแลความเป็นไปอย่างเงียบๆ

เอ็นพยายามเดินอย่างช้าๆเพื่อสังเกตและระวัง แต่ในทางกลับกันยูเมะมีอาการมองรอบตัวตลอดเวลา ราวกับว่ายังคงกลัวและกังวลในสถานที่ๆน่ากลัวและไม่คุ้นเคย

"บ้านผีกับพื้นที่ล้างเธอ ยังผ่านมาแล้วเลย อีกแค่นิดเดียวเธอก็ได้กลับบ้านแล้ว"

"แต่ว่านี่มันไม่เหมือนกันน่ะ ในคฤหาสน์นี่มันน่ากลัวจะตาย"

เอ็นเดินนำทางให้เธอเล็กน้อย เนื่องจากตัวของเขารู้เป้าหมายที่ไปเป็นอย่างดี

"ฉันไปต่อไม่ไหวแล้วเอ็น ขาฉันมันไม่ไหวแล้ว"เธอหยุดเดินพร้อมกับขาที่สั่นจนไม่สามารถเคลื่อนที่ได้

"เธอนี่ก็น่ะ"เมื่อพูดเสร็จเอ็นก็แบกเธอขึ้นกลางหลังพร้อมกับค่อยๆเดินไปอย่างช้าๆโดยไม่ได้ตอกย้ำอะไรเพิ่ม

"ขอโทษน่ะ มีแค่เรื่องผี ที่แคบ และมืดนี่ล่ะที่ฉันกลัวสุดๆ"

"ถ้าวันใดวันหนึ่งขาดฉันไปเธอจะทำไงยังไงเนี้ย"

"....."เธอไม่ตอบกลับ

เอ็นพยายามเค้นบทสนทนาออกมาเพื่อทำให้เธอคลายกังวลแต่ว่าเขากับนึกได้แต่เรื่องที่เป็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ในใจ จึงเอ่ยถามเพื่อความสบายใจส่วนตัว

"นี่ยูเมะหลังจากกลับไปได้เธอจะทำยังไงต่อ แบบว่าอยู่ประเทศฉันต่อแล้วค่อยกลับบ้านเกิดเธอเหรอ"

"จริงๆแล้วฉันทะเลาะกับที่บ้านฉันมาน่ะ"

"ว่าไงน่ะทะเลาะกัน?"

"คือฉันอยากจะย้ายมาอยู่กับนายแบบเต็มตัวแล้ว แต่ที่บ้านเกิดฉันมันบ้านนอกมาก เขาเลยอยากให้ฉันแต่งกับคนที่เขาเลือกให้"

"คงทำใจยากสิน่ะ"เอ็นพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

"มันไม่สำคัญแล้วล่ะว่าจะกลับ ไม่กลับน่ะ ฉันแค่อยากอยู่กับนายให้นานๆก็เท่านั้นล่ะ"เธอแนบตัวชิดติดกับแผ่นหลังของเอ็น แก้มนิ่มๆกระทบกับแผ่นหลัง จนได้ยินจังหวะของหัวใจ

"ถ้าพูดที่สวนสนุกฉันร้องไห้จริงนะเนี้ย"

"อย่าร้องไห้สิ ยังไงเราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปใช่ไหมล่ะ"ยูเมะพูด้วยน้ำเสียงที่แสนจะอบอุ่น

"นั้นสินะ ฉันเองก็จะยอมแพ้ไม่ได้"เอ็นเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเป็นเท่าตัว

ในที่สุดทั้งสองก็เข้ามายังห้องนั้งเล่นขนาดใหญ่ ห้องหนึง

ไฟที่ล้อมรอบห้องต่างมืดดับสนิท ตรงหน้ามีเตาผิงไฟ แผ่แสงออกมาจนเผยให้เห็นกระจกบานหนึ่ง ที่มีขนาดสี่คูณห้าเมตร ตั้งอยู่หน้าเตาผิง

พร้อมโซฟาและโต๊ะกลมตัวหนึ่ง ขนาดของมันค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกระจกทั่วไปที่มีไว้ส่องตัวเอง

เงากระจกซึ่งสะท้อนมุมมาที่เอ็นและยูเมะ เอ็นสังเกตเห็นใบหน้าของเขาและเธอในกระจก

แต่ในชั่วพริบตามันกับฉายภาพสะท้อนให้เห็นชายจากด้านหลังอีกคน

เอ็นหันกลับไปมองด้านหลังทันทีแต่นั้นก็สายเกินไป

ชายปริศนาสูงเกือบสองเมตรถีบทั้งคู่กระเด็นเข้ามาในห้องโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

เมื่อจังหวะของศีรษะกระแทกเข้ากับพื้น ไฟในห้องกับจุดประกายติด ส่องสว่างไปทั่วห้อง

ชายปริศนาเดินเข้ามาพร้อมปิดประตูด้วยปลายเท้าอย่างแรง

"นี่แกเป็นใครทำไมฉันถึงจับชีพจรแกไม่ได้"

ชายปีศาจปริศนาสวมชุดผ้าสีเหลืองอ่อน ปลายแขนทั้งสองกว้างเหมือนกับชุดของคนจีนสมัยโบราณ

ชายดั่งกล่าวกอดอกพร้อมอธิบายถึงสาเหตุอยู่ในมุมมืด โดยที่ไม่เห็นหน้าตา

"ข้าเองก็ผ่านการฝึกตนมาไม่ใช่น้อยไม่แปลกหรอก ที่แกจะจับชีพจรไม่ได้"

เมื่อเอ็นได้ยินก็อึ้งไปนิดหนึง ก่อนจะต้องตกใจอีกครั้งเมื่อชายคนดังกล่าวเดินออกมา จนแสงไฟจากเตาผิง เผยหน้าจริงของเขา

"เคอร์!"

"เขาเป็นใครเหรอเอ็น"

"เขาเป็นญาติห่างๆของฉันเอง เคยได้ยินว่าเขาฝึกวิชาการต่อสู้อย่างหนักจนกระดูกแตกร้าวเลยล่ะ"เอ็นหันไปพูดกับยูเมะพร้อมยังอธิบายเพิ่มอีกว่า

"เคยได้ยินอีกว่า หายตัวไปฝึกตอน อายุ สิบเจ็ด ปี ดูถ้าแล้วจะไปอยู่กับปีศาจสินะ"

"อ่านเกมได้ถูกต้อง ฉันได้พบกับปีศาจมากมายในแดนต้องห้ามที่ท่านพ่อได้เคยบอก เมื่อได้เจอสิ่งที่มีเป้าหมายเดียวกันอุดมการณ์เหมือนๆกัน ไม่แปลกที่ฉันจะหันหลังให้มนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้นแกก็ต้องมาตายที่นี่แล้ว"

เคอร์ สำรวมกายบางอย่าง ทันใดนั้น ร่างกายของเขากับเปลี่ยนสภาพ

"วิชา แก่นแห่งสันดาน" วิชาแก่นแห่งสันดานคือการที่ผู้ใช้ ดึงอารมณ์ทั้งห้าออกมา เป็นนิสัยจากภายในโดยตรงซึ่งหมายถึงการที่มนุษย์ได้ใช้ร่างกายเชื่อมต่อกับพลังธรรมชาติโดยตรง

เอ็นดูมีท่าทีลนลานเมื่อได้เห็นวิชาแก่นแห่งสันดานของเคอร์

"อะไรกันแค่นี้ก็ตกใจแล้วเหรอ อันนี้น่ะแค่เบื่องต้นเท่านั้น ข้าเรียกมันว่า สันดานแห่งมักใหญ่ไร้คู่ต่อกร"

ภายนอกของชายที่ชื่อเคอร์ เปลี่ยนสภาพไปอย่างมาก

เริ่มจากศีรษะที่มีลายอักขระสีดำมากมายที่เพิ่มขึ้น ส่วนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือแขนและขา

ลักษณะแขนของเคอร์ตอนนี้เหมือนกับ เหยี่ยว,แร้ง พร้อมฉีกกระชากศัตรู

ขาของเขายืดยาวสูงกว่านกทั่วไป เท้าถูกแยกออกเป็นสี่ทางพร้อมกรงเล็บยาวแหลมคม ดั่งอินทรีผู้ทรงอำนาจ

แผ่นหลังมีก้อนเนื้องอกออกมา พร้อมกับพัฒนากลายเป็นปีกน้อยๆ เหมือนกับปีกของ'นกตีสอง'

"ตกใจล่ะสิ"

"ถ้าฉันต้องฝึก แล้วหน้าตาเป็นแบบแกขอไม่ฝึกดีกว่าว่ะ"เอ็นตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่กวนตีน

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!