สายลมอ่อนในยามบ่ายพัดผ่านหน้าของเด็กหนุ่มผิวขาวนัยน์ตาสีดำเขากำลังเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง แม้ว่ารอบกายจะมีผู้คนมากมายหยอกล้อคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่เด็กชายคนนี้กลับมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าแบกโลกไว้ทั้งใบ
“เฮ้ย เด็กใหม่เย็นนี้ไปไหนเปล่า ไปเตะบอลไหม?”
เด็กใหม่ สำหรับผมแล้วคำ คำนี้แทบจะกลายเป็นชื่อเล่นของผมแทนเสียด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วผมชื่อ โอห์ม คนส่วนใหญ่ก็เรียกแค่ โอม เฉย ๆ แต่ก็นั่นแหละคำว่าเด็กใหม่อาจจะเป็นชื่อที่เหมาะสมกับผมมากกว่าก็ได้
ผมไม่ได้ปฏิเสธพวกเขาไปตรง ๆ ผมเพียงเงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มบาง ๆ พร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ เพื่อแสดงการปฏิเสธอย่างสุภาพ ซึ่งมันเป็นวิธีที่ผมเลือกใช้เสมอมา การย้ายโรงเรียนสำหรับผมมันกลายเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว นั้นทำให้ชีวิตสิบหกปีที่ผ่านมาของผมแทบจะไม่มีเพื่อนสนิทเลย เหตุผลง่าย ๆ ยิ่งเราผูกพันในระยะเวลาอันสั้นมันยิ่งทำให้เราโหยหาความสัมพันธ์ที่เราไม่เคยมี และนี่คือสิ่งที่ผมเลือกตัดปัญหาเหล่านี้ด้วยการมีเพื่อนให้น้อยที่สุดหรือไม่มีเลยยิ่งดี ส่วนสาเหตุการย้ายโรงเรียนเพราะที่บ้านผมต้องย้ายที่ทำงานบ่อยผมจึงต้องย้ายตามครอบครัว
สำหรับเทอมนี้ มอสี่เทอมสอง ผมย้ายเข้ามาเรียนในกรุงเทพเมืองหลวงที่แออัดและวุ่นวาย ทุกอย่างต้องแข่งกับเวลาไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องเรียน ผมเลือกเรียนโรงเรียนใกล้ที่พักให้มากที่สุดเพื่อประหยัดเวลาในการเดินทาง
ชีวิตประจำวันที่แสนจะน่าเบื่อนอกจากเรียนแล้วก็มีงานอดิเรกอย่างการอ่านหนังสือ ยิ่งเป็นหนังสือเก่าหน้าหนังสือสีน้ำตาล ตัวหนังสือที่มาจากเครื่องพิมพ์ดีด ผมรู้สึกว่ามันมีคุณค่า เวลาพลิกหน้ากระดาษจะได้กลิ่นความเก่าของเนื้อกระดาษลอยมา นอกจากนี้ความสวยงามของภาษาที่วิจิตรบรรจงทำให้ผมรู้สึกเพลิดเพลินทุกครั้งที่ได้อ่านมัน เช่นเดียวกับหนังสือเก่าเล่มนี้ คุณยายจากร้านหนังสือมือสองยัดเยียดมันให้ผม เธอพูดย้ำ ๆ ว่ามันเป็นของผมแถมเธอยังให้ผมฟรีโดยไม่คิดเงินสักแดงเดียว
ในช่วงบ่ายของวันเปิดเทอมแรก แน่นอนว่าเราจะมีเวลาว่างเพราะอาจารย์ส่วนใหญ่ยกเลิกคลาสเพื่อเตรียมการสอนในวันถัดไป ทำให้ผมมีเวลามากพอที่จะหยิบหนังสือเก่าเล่มนั้นขึ้นมาอ่าน ผมเดินตรงเข้าไปที่ห้องสมุดหามุมลับตาคนและเริ่มเปิดอ่านหนังสือเล่มนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้แตกต่างจากหนังสือทุกเล่มที่ผมเคยอ่านมา ภาษาของผู้เขียนเล่าเรื่องราวการผจญภัยของตัวละครหลักที่สนุกและตื่นเต้น มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกใบนั้นจริง ๆ แต่ทุกเรื่องราวเมื่อมีจุดเริ่มต้น มันก็ต้องมีจุดสิ้นสุด ผมพลิกแผ่นกระดาษหน้าสุดท้าย
หลังจากที่ผมกวาดสายตาอ่านทุกถ้อยคำในนั้นจนหมด หางตาผมเหลือบไปเห็นข้อความเล็ก ๆ ที่มุมของขอบกระดาษ มันเป็นรอยหมึกสีซีดจาง ‘เจ้าพร้อมที่จะเริ่มต้นเรื่องราวของเจ้าแล้วหรือยัง…’
ผมอ่านประโยคสุดท้ายจบใครจะไปรู้ล่ะครับว่าชีวิตผมและโลกใบเดิมของผมจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ข้อความที่ผมได้อ่านไปยังวนเวียนอยู่ภายในหัวของผม
‘เจ้าพร้อมที่จะเริ่มต้นเรื่องราวของเจ้าแล้วหรือยัง…’ เสียงแว่ว ๆ กระซิบข้างใบหู ปากของผมขยับเอื้อนเอ่ยวาจาตอบโต้ไปอย่างแผ่วเบา
“ผมพร้อมแล้วครับ…”
ทันใดนั้นประกายแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าโพยพุ่งออกมาจากหน้าหนังสือที่ผมเปิดกางค้างไว้ ผมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจและก่อนที่สมองของผมจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ภาพตรงหน้าก็เลือนลางพร้อมกับสติของผมที่ดับวูบลง
“กริ้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง” เสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียน
ผมสะดุ้งตื่น ผละตัวเองออกจากหนังสือที่เปิดค้างไว้ ‘นี่เราเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน…’ เฮ้อ ค่อยโล่งใจหน่อยที่ช่วงบ่ายของวันนี้ไม่มีการเรียนการสอน ไม่อย่างนั้นผมได้ถูกหมายหัวว่าเป็นเด็กเกเรตั้งแต่วันแรกแน่ ๆ ผมรีบเก็บหนังสือยัดเข้ากระเป๋าและรีบเดินออกจากห้องสมุดมุ่งตรงกลับบ้านอย่างที่เคยทำเป็นประจำ บรรยากาศหลังเลิกเรียนเป็นช่วงเวลาที่นักเรียนส่วนใหญ่กระจุกอยู่หน้าประตูโรงเรียน ผมรีบเดินลัดเลาะผ่านอาคารเรียนหลังใหญ่ ทางเดินแคบ ๆ เพียงแค่หนึ่งคนผ่านแต่ไม่ทันที่ผมจะผ่านเข้าไปเสียงเรียกจากใครบางคนก็ทำให้ผมหยุดชะงัก
“เฮ้ย! เฮ้ย! ไอ้เด็กใหม่” เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งซึ่งผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาชื่ออะไร เขายืนโบกไม้โบกมือให้ผม ผมค่อย ๆ หันหน้ากลับไปตามเสียงเรียก ซึ่งมันเป็นจังหวะเดียวกับที่ กรงเล็บสีดำ โผล่ออกมาจากด้านหลังของเพื่อนคนนั้น
“เอ๊ย” ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจเพราะข้างหลังของเขามี หมาป่าลำตัวสีดำดวงตาสีแดง มันกำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน ตั้งแต่ส่วนกลางลำตัวลงไปมันจมหายลงไปในเงา น่าแปลกที่สิ่งมีชีวิตปริศนาที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ากลับไม่มีใครสังเกตเห็น ‘เฮ้ย ทำไมถึงไม่มีใครเห็นมัน’ เกิดคำถามในใจมากมายแต่ไม่ทันที่จะได้หาคำตอบหมาป่าตัวนั้นมันก็กระโดดออกจากเงาแล้วพุ่งมาทางผม ‘ขอให้มันเป็นเพียงแค่ฝัน ขอให้มันเป็นเพียงแค่ฝัน’ ผมนั่งลงแล้วยกแขนขึ้นมาบังพร้อมกับหลับตาลง
“ม่านพลังแห่งผู้พิทักษ์ บา รี โอ โล่” ผมได้ยินเสียงพึมพำภาษาที่ไม่คุ้นหูจากเด็กชายผิวเข้มคนหนึ่ง ในมือของเขามีกิ่งไม้ขนาดพอดีมือ มันกำลังส่องสว่างราวกับว่ามีหลอดไฟนีออนสีเขียวประดับอยู่ แต่จู่ ๆ ก็มีกำแพงโปร่งใสปรากฏขึ้น มันกั้นระหว่างใบหน้าของผมกับกรงเล็บของหมาป่าสีดำตัวนั้น คล้ายกับว่าสติของผมได้ขาดขายไป ผมจองตากับหมาป่าตัวสีดำนัยน์ตาสีแดงแม้จะมีกำแพงโปร่งใสกั้นไว้แต่ลมหายใจเหม็นสาบเน่า ๆ ที่มันพ่นออกมาโดนหน้าของผมมันเป็นของจริงแน่นอน
“ครึ๊ก! ครึ๊ก! ครึ๊ก! ครึ๊ก!” เสียงกรงเล็บข่วนกำแพงโปร่งใส หมาป่าสีดำอ้าปากงับเขากับกำแพงใส่ ผมรู้สึกว่าสิ่งที่กั้นผมไว้น่าจะเป็นม่านพลังอะไรสักอย่าง แรงกัดทำมันเกิดรอยร้าว
“ยืนนิ่งทำซากอะไรอยู่ มึงอยากตายหรือไง รีบเผ่นดิวะ!!!” คำพูดที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นักของคนที่มาใหม่ ทำเอาผมตื่นจากภวังค์ ผมไม่รีรอ วิ่งหน้าตาตื่นไปหาต้นเสียงอย่างไม่คิดชีวิต ส่วนเพื่อนร่วมชั้นที่เรียกผม มองตามผมอย่างงวยงง ผมวิ่งมาหยุดอยู่ข้าง ๆ นักเรียนผิวเข้ม คนที่พูดภาษาแปลก ๆ คนนั้น ด้วยความช่วยเหลือของเขาทำให้ผมรอดพ้นจากการโจมตีจากเจ้าสิ่งนั้นมาได้
“ขอบคุณมากครับ เจ้านั้นมันเป็นตัวอะไรครับ” ผมกล่าวขอบคุณพร้อมยิงคำถามใส่เด็กชายผิวเข้ม คำพูดของผมขาด ๆ หาย ๆ เพราะความเหนื่อย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกมา
“เออ เก็บไว้ค่อยขอบคุณตอนไอ้หมานั้นตายเถอะ อย่าถามมากตอนนี้รักษาชีวิตมึงไว้ก่อนเถอะ” คนผิวเข้มพูดสวน
หมาป่าตัวนั้นกระโจนตามหลังผมมาแล้วหยุดอยู่ตรงหน้ามันอ้าปากกว้าง จู่ ๆ ลูกไฟสีม่วงก็ปรากฏ ‘เฮ้ย ไฟ อยู่ ๆ จะมีไฟออกมาจากปากหมาป่าได้ยังไง นี้ผมกำลังฝันอยู่หรือเปล่า’ คำถามมากมายวนอยู่ในหัวของผม สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันคืออะไรกันแน่
“ม่านพลังแห่งผู้พิทักษ์ บา รี โอ โล่” นักเรียนชายผิวเข้มบ่น พึมพำภาษาที่ผมไม่คุ้นหูอีกครั้ง ม่านพลังโปร่งใสปรากฏขึ้น แต่ครั้งนี้ มันกลับไม่ได้ผลเหมือนอย่างเคย เปลวไฟสีม่วงที่พ่นออกมาจากหมาป่าสีดำตัวนั้นกำลังละลายกำแพงโปร่งใส่
“แม่งเอ๊ย ม่านพลังนี้แพ้ไฟวะ” เด็กชายผิวเข้มสถบ
“เอาไงต่อละครับ”
“ถามได้เผ่นดิวะ” เมื่อม่านพลังใช้การไม่ได้แผนต่อไปคือการวิ่งเพื่อรักษาชีวิตเด็กชายผิวเข้มออกวิ่งเป็นคนแรก ส่วนผมไม่รอช้ารีบสับเท้าวิ่งตามเขาไปตอนนี้ปริมาณอะดรีนาลีนที่อยู่ในร่างกายของผมคงสูงปรี๊ดเพราะตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยคิดว่าจะต้องวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตแบบนี้มาก่อน พวกเราวิ่งมามันจนสุดทาง กำแพงสูงหลังโรงเรียนทำให้เราไม่สามารถไปต่อได้ หมาป่าสีดำสูงราวสองเมตรมันกระโจนเข้ามาพร้อมกับกางกรงเล็บอันแหลมคมหมายจะปลิดชีพพวกเราทั้งสอง
“ฮึบ!” ผมกลิ้งหลบพ้นกรงเล็บของมัน คว้านหาอาวุธใกล้ตัวแต่ในสถานการณ์คับขันแบบนี้ผมมีเพียงกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ด้านหลังเท่านั้น ผมถอดมันออกแล้วเหวี่ยงใส่หน้าหมาป่าเต็มแรง “แกว๊ก! กรรช์!” แสงสีทองสว่างวาบออกมาจากกระเป๋า พร้อมกับเสียงร้องอันโหยหวนของมัน
กรามด้านซ้ายของหมาป่าเกิดแผลเหวอะจนเห็นเขี้ยวแหลม ๆ ที่อยู่ด้านใน ปากแผลของมันเต็มไปด้วยของเหลวสีดำที่พุ่งกระฉูดออกมา กลิ่นสาบคาวของเหลวสีดำที่ไหล่ออกมาคงเป็นเลือดแต่ปกติแล้วเลือดของหมาป่าต้องเป็นสีแดงสิ แต่นี่ทำไมเป็นสีดำละ
“ในกระเป๋ามึงมีอะไร เอามันออกมาสู้ดิวะ” เด็กชายผิวเข้มเร่งเร้าผมอย่างร้อนรน
ผมเปิดกระเป๋าหนังสือเล่มนั้นที่ได้มันมาจากร้านหนังสือเก่ากำลังเปล่งแสงสว่าง ผมหยิบมันขึ้นมา ‘นี้มันเป็นไปได้ยังไงกันทำไม่จู่ ๆ หนังสือเล่มนี้ถึงมีแสงสว่างออกมาได้’ ผมแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ร่างกายของผมชุ่มไปด้วยเหงื่อ หมาป่าตัวนั้นมองมาที่หนังสือในมือของผมแล้วถอยหลังไปเล็กน้อย มันแหงนหน้าชูคอขึ้นมองฟ้าแล้วส่งเสียงหอน “บรูว บรูว บรูววววว”
นี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงหมาป่าหอนจริง ๆ ผมรู้ได้ในทันทีว่า นี่คงไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่ ผมหันหน้าไปมองเด็กชายผิวเข้มในมือของเขายังมีกิ่งไม้ที่ส่องสว่างอยู่ หลังสิ้นเสียงหอน หมาป่าที่ถูกผมทุบจนเป็นแผลเหวอะอ้าปากพร้อมกับกำลังจะพ่นไฟอีกครั้ง ก้อนพลังงานสีดำขยายใหญ่อยู่ในปากของมัน จากนั้นลูกไฟดำทมิฬก็พุ่งตรงมาทางผม โชคดีที่ผมพอจะเดาทิศทางของลูกไฟไว้แล้ว กลิ้งหลบลูกไฟได้อย่างหวุดหวิด ลูกไฟสีดำนั้นโดนเข้ากับเงาของพุ่มไม้ด้านหลัง
“นั้นมันเกิดอะไรขึ้นครับ”
“กูก็ไม่รู้โว้ย”
เด็กชายผิวเข้มตอบอย่างลนลานเมื่อภาพที่เห็นคือ พุ่มไม้ที่เป็นเจ้าของเงาหายไปราวกับว่ามันไม่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อน ผมตกอยู่ในห้วงความคิดหากถูกไฟสีดำนั้นเผาเข้า ผมคงหายไปด้วย หัวใจของผมเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา อาจจะเป็นเพราะปริมาณอะดรีนาลีนที่กระตุ้นการสูบฉีดของเลือด
“ทำอะไรสักอย่างดิวะ ไอ้หน้าจืด” เสียงของนักเรียนผิวเข้มดึงสติผมกลับมา
“จะให้ผมทำอะไรละ ผมก็ไม่รู้ต้องทำอะไรเหมือนกัน”
“ทำแบบที่มึงทำตะกี้ไง ซวยจริง ๆ นี้มึงเป็นผู้ถูกเลือกจริงเปล่าวะ”
“ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ผมขอโทษ ผมไม่รู้จริง ๆ ” ผมก้มหน้าลงยอมรับชะตากรรมตอนนี้ลูกไฟลูกที่สองจากหมาป่าตัวนั้นกำลังพุ่งมา
“เอ้อ! เออให้มันได้อย่างนี้ ดวงกูแม่งซวยจริง ๆ เพลิงกัลป์แห่งห้วงเวลาล้านราตรี เฟ โอ โร ไฟ เออร์” เด็กชายผิวเข้มบ่นพึมพำจากนั้นเขาก็พูดภาษาที่ผมไม่รู้จักอีกแล้ว แต่จู่ ๆ ปลายกิ่งไม้ที่เขาถือก็มีแสงพร้อมกับลูกไฟเท่าลูกบอลพุ่งออกมา มันชนเข้ากับไฟของหมาป่าแต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลเมื่อไฟสีดำกลืนกินไฟจากเด็กชายผิวเข้มจนหายไป
“ฉิบหายแล้วไง มึงรีบทำอะไรสักอย่างดิ เสกอะไรมาก็ได้ คาถาอะไรก็ได้ทำแบบที่มึงทำกับปากมันหน่ะ” เด็กชายผิวเข้มเร่งเร้าผมให้ผมเสกคาถา แต่ผมจะทำอะไรได้ละนี่มันเรื่องบ้าอะไรผมยังไม่รู้เลย ผมก้มหน้าหลับตาในมือถือหนังสือเก่าเล่มนั้นแน่น ผมภาวนาให้มีพลัง หรืออะไรสักอย่างโผล่มาช่วยผม
‘ข้า สามารถช่วยเจ้าได้’ แว่วเสียงดังก้องขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งหนังสือในมือมีแสงสว่างสีทองเปล่งออกมา ผมค่อย ๆ เปิดหนังสือด้วยมือที่สั่นเทามันปรากฏอักขระอักษรประหลาดเป็นภาษาที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน แต่จู่ ๆ อักขระเหล่านั้นเลือนหายแล้วปรากฏขึ้นมาใหม่เป็นภาษาที่ผมเข้าใจ ‘เฮ้ย!’ ตาผมเบิกโพลงเมื่อตัวอักษรเหล่านั้นร้อยเรียงเป็นภาษาไทยที่ผมสามารถอ่านได้
“ตัวตนผู้หลับใหลในยามที่แสงแห่งปฐมกาลดับสูญ โดร อา กีส มัส ” เมื่อผมอ่านตัวอักษรสุดท้ายในหน้ากระดาษจบ เหล่าตัวอักษรในหน้าหนังสือเหล่านั้นก็ลอยขึ้นไปในอากาศราวกับมีชีวิต มันรวมตัวหมุนวนเป็นวงกลม แล้วเปล่งแสงสีทองสว่างจ้าออกมาพร้อมกับการปรากฏตัวของกวาง!!!
ผมยืนตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น นี้ผมทำอะไรลงไป พระเจ้าผมต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ กวางสีทอง ก้าวออกมาจากกลุ่มแสง มันมีนัยน์ตาสีเขียวมรกตดุจน้ำทะเล ร่างกายของมันสูงพอ ๆ กับหมาป่า แถมยังมีเขาที่สวยงาม กวางทองย่อเข่าแล้วก้มหัวให้ผมเล็กน้อย ก่อนที่มันจะเข้าประจันหน้ากับหมาป่า แต่จู่ ๆ หมาป่าอีกสองตัวก็กระโจนออกมาจากเงามืดหลังพุ่มไม้ แม้ว่ารูปร่างของมันจะเล็กกว่าตัวแรกแต่แววตาของมันยังคงแฝงไปด้วยความมุ่งร้าย ถ้ามองในมุมผู้ล่าและเหยื่อ ฝั่งเราเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด คราวนี้พวกหมาป่าพุ่งความสนใจไปที่กวางสีทองที่เปรียบเสมือนเหยื่อ อันแสนโอชะของพวกมัน
“เยี่ยมมากไอ้หน้าจืด มึงเสกเหยื่อล่อดี ๆ มาให้พวกหมาป่าแทะเล่นอ่ะนะ” นักเรียนผิวเข้ม พูดจาเยาะเย้ยผม
ผมยิ้มเจื่อน ๆ นึกในใจ ไอ้คนนี้สรุปมันมาช่วยหรือมันมาซ้ำเติมผมกันแน่ สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนัก พวกเรายังคงเป็นรองต่อพวกหมาป่า พวกมันไม่รอช้าหมาป่าตัวแรกเริ่มเปิดฉากการต่อสู้ แผลเหวอะข้างแก้มเริ่มสมานจนเกือบหายเป็นปกติแล้ว มันพุ่งกระโจนเข้าใส่กวางสีทอง คมเขี้ยวของมันฝังลงที่ขาหน้า กวางไม่ปล่อยให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อ มันโต้กลับด้วยการกระทืบลงไปที่กลางหัวของหมาป่า พร้อมกับใช้เขาฟาดซ้ำลงไปอีกที ตอนนี้สัตว์ทั้งสองตัวเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง
“ตั้งใจหน่อยดิวะไอ้หน้าจืด มึงเพ่งสมาธิไปที่กวางนั้นซะ ขืนยังเหยาะแหยะแบบนี้พวกเราแพ้แน่” เด็กชายผิวเข้มพูดเสียงดัง
ผมพยักหน้ารับฟังสิ่งที่เด็กชายผิวเข้มแนะนำ เราจะแพ้ไม่ได้ มีปริศนาอีกตั้งมากมายที่ผมยังไม่รู้ ผมพยายามเพ่งสมาธิไปยังกวางสีทองร่างกายของมันเปล่งแสงสว่างขึ้นมาเล็กน้อย คราวนี้มันใช้เท้าคู่หลังถีบกลับเต็มเหนี่ยว หมาป่าตัวหนึ่งถูกลูกหลงเข้าจนร่างของมันสลายหายไป
หมาป่าที่เหลืออีกตัวมันหาจังหวะที่กวางหันหลังแล้วกระโจนเข้าจู่โจมด้วยขาคู่หน้าพร้อมกับฝังกรงเล็บอันแหลมคมลงบนลำตัวของกวาง
“เฮือก!” ผมทรุดตัวลง
“เฮ้ยเป็นอะไรวะ” เสียงเด็กชายผิวเข้มตกใจเมื่อเขาเห็นเลือดของผมซึมออกมาจากข้างลำตัว เขาประคองตัวผมขึ้นหมาป่าที่เหลือกำลังพุ่งเป้ามาเล่นงานพวกเราแทน ผมที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่มีแรงที่จะหนีคมเขี้ยวและกรงเล็บของพวกมันได้แน่ สถานการณ์เลวร้าย กว่าที่คิดไว้ คราวนี้ผมอาจจะต้องตายจริง ๆ แล้วก็ได้ ก่อนที่หมาป่าทั้งสองจะพุ่งเขามาตะปบ เด็กชายผิวเข้มชูกิ่งไม้แห้งขึ้นแล้วร่ายคาถา
“ม่านพลังแห่งผู้พิทักษ์ บา รี โอ โล่” กำแพงโปร่งปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง ม่านพลังกั้นระหว่างพวกเรากับหมาป่าทั้งสอง
“ตอนนี้กู ทำได้แค่ป้องกัน ส่วนมึง รีบคิดหาวิธี มาจัดการกับพวกมัน!” คำพูดที่เหนื่อยหอบ บ่งบอกถึงกำลังที่จะหมดลง ผมปล่อยให้เขาป้องกันอย่างเดียวไม่ได้เราต้องสู้กลับแต่มันจะมีวิธีไหนนี่สิ ความรู้สึกเจ็บตรงชายโครงซ้ายของผมทุเลาลงบาดแผลที่เคยมีเลือดออกสมานแล้ว ผมรู้สึกประหลาดใจกับแผลที่มันสมานได้เอง แต่เอาไว้ก่อนผมมองออกไปที่กวางสีทอง มันยืนตระหง่านอยู่ด้านนอกม่านพลัง แผลบนลำตัวที่ถูกหมาป่ากัดก็สมานแล้วเช่นเดียวกัน หรือว่านี้คือสิ่งที่เชื่อมโยมผมกับมันไว้ กวางสีทองจ้องมองมาที่ผมราวกับว่ามันจะสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของผมได้
“กรี๊ช!” กวางสีทองส่งเสียงที่เล็กแหลมออกมา ผมเดาว่ามันคงจะเป็นเวทมนตร์สักบท แสงสีเงินออกมาจากปากของกวางมันแผ่ขยายเป็นวงกว้างคล้ายคลื่นเสียงสะท้อน รัศมีของคลื่นเสียงแผ่กระทบโดนพวกหมาป่า ร่างกายของพวกมันเลือนรางขาดหายเป็นส่วนๆ เหมือนกับภาพในโทรทัศน์ที่ถูกคลื่นแทรกรบกวน พวกมันกระโดดหนีจากคลื่นเสียง เกาะกลุ่มรวมตัวกันที่ด้านหลังแล้วชูคอขึ้นส่งเสียงหอน
“บรูว บรูว บรูวววว” เกิดการปะทะกันระหว่างคลื่นเสียง เสียงร้องของกวางสีทองและเสียงร้องของหมาป่าหักล้างกัน เมื่อพลังของกวางสีทองไร้ผลบรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไป กลุ่มเมฆสีดำค่อย ๆ เคลื่อนตัวเขามาบดบังดวงอาทิตย์ แหล่งกำเนิดแสงเพียงหนึ่งเดียวถูกบดบังม่านราตรีค่อย ๆ คืบคลานเข้ามามันเปลี่ยนกลางวันกลายเป็นกลางคืนพระจันทร์สีเลือดค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาให้เห็น
“เกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นกลางคืนละครับ”
“กูก็อยู่กับมึงเนี่ยะจะไปรู้เรอะ!”
“ทำไงกันดีครับ พวกหมาป่าพวกนั้นมัน” ผมชี้ไปที่กลุ่มก้อนสีดำ มันเกิดจากการรวมตัวกันของหมาป่า เมื่อแสงจันทร์สีแดงสาดส่องลงมารูปร่างของมันก็เด่นชัด กลุ่มก้อนสีดำสลายกลายเป็นหมาป่าตัวสูงใหญ่นัยน์ตาสีแดง มันส่งเสียงหอนที่แฝงไปด้วยคลื่นแห่งความตาย ผมยืนตาค้างตัวแข็งทื่อ มือเย็นเฉียบ ‘หรือว่านี่คือร่างจริงของมัน!’
“ซวยชะมัด มึงไปทำอีท่าไหนว่ะ ไอ้ตัวเป้งแบบนี้ถึงหมายหัวมึงได้” สีหน้าและแววตาของคนที่เคยช่วยผมต่างบ่งบอกถึงสถานการณ์ที่ไม่สู้ดี
“ผม ไม่ รู้ ครับ” ผมพยายามเปล่งคำพูดออกมาอย่างลำบาก
“เออกู ซวย เองแหละที่ช่วยมึง มึงเป็นหนี้กูจำไว้ แต่เราต้องรอด ออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน ไม่งั้น เราทั้งคู่ จบเห่แน่”
กวางสีทองของผม ตอนนี้กลายเป็น ลูกกวางตัวน้อย ๆ ไปเสียแล้ว เมื่อเทียบขนาดกับหมาป่าเงาร่างใหญ่ยักษ์นั้น ผมใช้ความพยายามเฮือกสุดท้ายในการเพ่งสมาธิไปที่มัน ‘ไหวไหมครับขอร้องละช่วยพวกผมอีกสักครั้งเถอะ’ กวางสีทองมันตอบรับคำขอของผม มันพุ่งเข้าหาหมาป่าแล้วใช้เขากระแทกเข้าที่กลางลำตัว หมาป่าเงาระเบิดโทสะ คลื่นพลังสีดำแผ่กระจายออกมาเสียงร้องคำราม ครั้งนี้มันช่างทรงพลังและรุนแรง ความกลัวกำลังคืบคลานเข้ามา ผมรู้สึกว่าความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม ขาของผมอ่อนระทวยจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ แสงสีทองในตัวของกวางกำลังริบหรี่
“ยอมแพ้ซะ แล้วมาเป็นเหยื่อของข้าเจ้าฝืนโชคชะตาของเจ้าไม่ได้หรอก...” เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงพูดของหมาป่าเงาร่างยักษ์ ผมไม่รู้มาก่อนว่ามันพูดภาษาของมนุษย์ได้ มันบอกให้ผมยอมแพ้ให้กับโชคชะตา แต่ประโยคสุดท้ายของมันขาดหายไป แววตาดุร้ายนั้นจ้องเขม็งมาทางผม
“ไม่ ผมไม่มีทางยอมแพ้” นั่นคือคำตอบของผม ส่วนกล้าหาญที่ซ่อนอยู่ลึกภายในใจของผมบอกให้สู้ กวางสีทองเปล่งแสงสว่างออกมาเล็กน้อย มันสลายหายไปก่อนที่หมาป่ายักษ์ตัวนั้นสะบัดหางใส่
“นี้ เจ้ากล้าปฏิเสธ วกะ ผู้นี่อย่างนั้นหรือ ฮึ ข้าคือตัวแทนแห่งการล่า อสูรลำดับที่สิบเอ็ด ถ้าอย่างนั้นก็จงลิ้มรสความตายซะ!” หมาป่าขู่แยกเขี้ยวสิ้นเสียงคำรามอันดังก้อง ผมรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ขยายอยู่รอบ ๆ ตัว
ท่ามกลางสถานการณ์อันคับขันนี้ ทันใดนั้น เสียงอันไพเราะของผู้มาใหม่ก็ดังขึ้น
“ลำนำแห่งแสงสว่างจงขับขาน จงขับไล่ความมืดมิดกลับสู่ห้วงแห่งอนธการ อิ อา เร่ ลู มิ นัส อัส ตรา นิม” สิ้นเสียงขับขานมหาเวทอันไพเราะของหญิงสาวผู้มาใหม่ เวทมนตร์บทนี่เปรียบเสมือนบทสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าแห่งแสง กลุ่มก้อนแสงสว่างปรากฏขึ้นเหนือหัวหมาป่า “แกร กรรช์ ย๊าก!” หมาป่าร้องออกมาไม่เป็นภาษา แสงสีขาวนวลเปล่งประกาย มันเปรียบดั่งก้อนเพลิงที่ร้อนแรงสำหรับหมาป่าเงา ตอนนี้ร่างของมันกำลังถูกแผดเผา เธอผู้นี้เป็นใครกัน หมาป่าเงากำลังจะพ่ายแพ้ ให้กับเด็กผู้หญิงคนนี้
ผมยืนตะลึงเมื่อร่างของหมาป่าเงาถูกแสงสีขาวชำระล้าง ร่างกายที่สูงใหญ่ของมันค่อย ๆ เลือนหายไปพร้อมกับก้อนแสงสว่าง แต่ก่อนที่มันจะดับสลายไป มันได้ทิ้งประโยคสุดท้ายไว้น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเคียดแค้น
“จงจำไว้! นี้แค่จุดเริ่มต้น ข้าจะตามล่าเจ้า ช่วงชิงโชคชะตาของเจ้า วันหนึ่ง ความมืดจะกลืนกินหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า” ผมนิ่งฟังข้อความปริศนาเหล่านั้น ความเหนื่อยล้าถาโถมเข้ามา เรี่ยวแรงที่เคยมีพลันหายไปก่อนทุกสิ่งจะมืดดับพร้อมกับสติของผมที่เลื่อนลางและหลุดลอยเหมือนกับว่าโดนถูกสับสวิตช์
เจ็บ...นั่นคือความรู้สึกแรกที่ผมรู้สึกได้หลังจากที่ ผมลืมตาขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยม เพดานสีขาวโพลน ปรือตามองรอบ ๆ โต๊ะไม้สักทองขนาดใหญ่ ข้างบนมีป้ายชื่อแกะสลักชื่อของเจ้าของ [นางเอมอร ฉัตรศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียน] ‘นี้ผมเข้ามาอยู่ที่นี้ได้ยังไงกัน ให้ตายเถอะ’ นึกย้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างทั้งร่างที่หนักอึ้งเหมือนคนที่โหมออกกำลังมาเป็นอย่างหนัก ผมลองคลำดูช่วงซี้โครงซ้ายเผื่อว่ามันจะเป็นเพียงฝัน แต่ความปวดร้าวบริเวณหน้าท้องยังคงหลงเหลืออยู่กลับเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นเป็นเรื่องจริง ผมค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง
"โอ้...ตื่นแล้ว" น้ำเสียงคล้ายโล่งใจดังขึ้น
ผมเบนสายตาไปทางต้นเสียงก็พบหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่ง เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังประจำตำแหน่ง แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบสีกากีแว่นตาสีทองพร้อมสายคล้องลูกปัด ที่คาดไว้ข้างบนหัว ‘นั่นมันผู้อำนวยการโรงเรียนไม่ใช่หรอ!’ ผมเด้งตัวลุกขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับยกมือขึ้นไหว้เพื่อทำความเคารพ รู้สึกเจ็บแปลบที่ขยับตัวเร็วเกินไป ผมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ตกแต่งอย่างเรียบหรู ประดับประดาด้วยกรอบรูปเกียรติบัตร และ ถ้วยรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันต่าง ๆ
"รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ" เสียงนุ่มนวลเอ่ยเรียกสติของผมอีกครั้ง
"คะ..ครับ" ผมเผลอตอบไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ผมมาโผล่อยู่ในห้องของผู้อำนวยการโรงเรียนได้ยังไง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าคืออะไร แล้วหมาป่าล่ะ ผมฝันอย่างนั้นหรือ แล้วความเจ็บปวดตรงท้องนี่อีกละ สิ่งที่วนเวียนอยู่ภายในหัว
"เพื่อนทั้งสองของเธอพามาที่ห้องนี้ ส่วนเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ฉันคิดว่า คนที่จะตอบเรื่องนี้ได้ดีที่สุด ก็คงจะต้องเป็นพวกเขาทั้งสองนั่นแหละ" คล้ายกับมองออกหญิงวัยกลางคนเจ้าของห้องจึงได้เอ่ยไขข้อข้องใจให้
แสงแดดอ่อนลอดผ่านหน้าต่างส่องเข้ามากระทบใบหน้าของผม สีท้องฟ้าข้างนอกถูกย้อมไปด้วยสีส้มหม่น จวนจบแสงสุดท้ายของวันแล้วสินะ ถ้าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความฝัน ฝันครั้งนี้คงเป็นฝันที่แฟนตาซีที่สุดตั้งแต่ผมเกิดมาแต่เมื่อสำรวจตัวเองแล้ว แผลที่เจ็บแปลบ ๆ บริเวณ ท้อง รับประกันได้เลยว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง
“สองคน” ผมทวนคำพูด ผ.อ. เบา ๆ เพื่อนสองคน หรือว่า…
ลมหายใจสะดุดกึก
“เข้ามาสิ” สิ้นเสียงของ ผ.อ. ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ผมหันไปมองผู้มาใหม่ก็พบกับเด็กนักเรียนทั้งสองคน คนแรกเป็นเด็กชายสูงโปร่ง ผิวสีน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาสีดำและรอยยิ้มที่ดูขี้เล่น กำลังพยายามที่จะยัดเสื้อนักเรียนที่หลุดลุ่ยเข้าไปในกางเกงนักเรียน ส่วนข้าง ๆ เขา เป็นเด็กหญิง เธอสวมฮูดแขนสั้นสีแดง ใบหน้าสวย ๆ ของเธอแต่กลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม แววตาไม่สบอารมณ์ของเธอดูเย็นชาเมื่อเทียบกับชายผิวเข้มที่ยืนข้าง เธอถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย
ผมพยายามเค้นความทรงจำสุดท้ายของผมออกมา ‘เด็กชายคนนี้คือคนเดียวกับ คนที่พูดภาษาแปลก ๆ เมื่อตอนนั้นเขาร่ายคาถาม่านพลัง และลูกไฟ เออ อะไรสักอย่าง ช่วยผมจากหมาป่าเงา ส่วนนักเรียนหญิงอีกคนที่สวมฮูดสีแดงก็คงจะเป็นคนที่ร่ายคาถาก้อนแสงสว่างที่เผาหมาป่าตัวนั้น’
"ไง เด็กใหม่ เกือบตายแล้วไหมล่ะ" เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น "เรากาย"
“สวัสดี เราชื่อแพรวา” แพรวา พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผิดกับกาย
“สวัสดี ผมชื่อโอมครับ” กายยิ้มรับคำตอบของผมพร้อมกับขยับตาให้หนึ่งที ส่วนแพรวายังคงรักษาท่าทางเฉยชาได้เป็นอย่างดี
“ทั้งสองคน ช่วยเล่าให้โอมฟังหน่อยได้ไหมว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นคืออะไร” ขอบคุณ ผ.อ. เอมอร ที่ช่วยเปิดประเด็นแทนผม เพราะหากเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ได้รับคำตอบผมคงลงแดงตาย
“งั้นผมเริ่มก่อนละกันครับ " กายเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงความกระตือรือร้นไว้เต็มเปี่ยม
“สัตว์ประหลาดที่นายเจอคืออสูรแห่งนาธาร ถ้าจำไม่ผิดมันน่าจะชื่อว่า วกะ มั้ง มันมาเพื่ออะไรไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ มันจ้องจะเอาชีวิตนาย” ขอบคุณสำหรับคำตอบ ช่วยได้เยอะจริง ๆ ผมแอบประชดในใจ แต่ทว่าประโยคสุดท้ายทำเอาผมสะเทือนใจไม่น้อย กับการถูกตั้งค่าหัวเป็นเป้าหมายของพวกหมาป่าพวกนั้น
“พวกมันมาได้ยังไง มาจากไหน ทำไมนักเรียนคนอื่น ๆ ถึงมองไม่เห็นละครับ แล้วพวกคุณรู้จักพวกมันได้ยังไง” ผมไม่รอช้า ยิงคำถามใส่เพื่อนใหม่ทั้งสองคนทันที ผมรู้สึกงงและสับสน ภาพของหมาป่าเงาที่โผล่ออกมาจากเงาของเพื่อนร่วมชั้นในตอนนั้นยังคงติดตา เสียงที่มันเอื้อนเอ่ยมายังตราตรึงในความทรงจำ
“เอาละ ใจเย็น ๆ ก่อน เดี๋ยวให้แพรวาช่วยอธิบายเพิ่มเติม ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เสียงของ ผ.อ. เอมอร ช่วยหยุดความคิดฟุ้งซ่านของผม ก่อนจะยกหน้าที่ไขข้อสงสัยทั้งหมดที่ผมมีไปที่แพรวา
แพรวาถอนหายใจ พร้อมตวัดตามองผมเล็กน้อย ก่อนที่จะเริ่มอธิบาย
“พวกเราเรียกตัวเองว่าผู้ถูกเลือก มีเพียงผู้ถูกเลือกเท่านั้น ที่เห็นและต่อสู้กับสัตว์ประหลาดพวกนั้นได้ ผู้ถูกเลือกทุกคนล้วนมีความพิเศษในตัว แต่ความพิเศษนั้นก็ต้องแลก กับชีวิตปกติของนาย นายจะไม่สามารถกินข้าว ดูหนัง เดินเล่น ช้อปปิ้งได้เหมือนอย่างเคย นั่นก็เพราะว่า พวกมันสามารถโผล่ออกมาได้ทุกที่บนโลก และพวกมันพร้อมที่จะสังหารนายได้ทุกเมื่อ ส่วนพวกมันมาได้ยังไง มาจากไหน ข้อนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราเพียงต่อสู้และป้องกันตัวเองก็เท่านั้น”
คำตอบของแพรวาทำให้ผมกระจ่างขึ้นมาบ้าง แต่สถานะผู้ถูกเลือกนั้นผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ "ผู้ถูกเลือกที่ว่าคืออะไรครับ แล้วมีหน้าที่อะไรหรือครับ แล้วถ้าหากว่า..."
หลังจบคำถามของผม ทุกคนต่างนิ่งเงียบคล้ายกับจมอยู่กับความคิดของตัวเอง จนกระทั่งกายเป็นคนทำลายความเงียบงันนั่น
“พวกเราไม่มีหน้าที่ หรอก จะว่าไงดีล่ะ เอาเป็นว่าผู้ถูกเลือก ต่างถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่ต้น ขึ้นอยู่กับว่าพลังของแต่ละคนจะตื่นขึ้นมาตอนไหน บางคนก็โชคดีหน่อยพลังตื่นขึ้นมาก็มีผู้ชี้นำมาเจอแล้วก็สอนใช้พลัง แต่บางคนก็โชคร้ายถ้าพลังตื่นขึ้นมาแล้วดันไปเจอพวกสัตว์ประหลาดพวกนั้นเข้าก็ไม่รอด พวกเราเลือกไม่ได้ว่าจะเป็นหรือไม่เป็น หรือต่อให้นายไม่อยากเป็นผู้ถูกเลือกสุดท้ายแล้วโชคชะตาก็จะบีบบังคับให้นายก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น เพื่อต่อสู้กับไอ้พวกสัตว์ประหลาดพวกนั้น โลกของเราไม่ได้มีแค่หมาป่าเงาตัวเดียวหรอกนะ มันยังมีปีศาจอีกมากที่จะตามล่านาย”
ผมสัมผัสได้ว่าหน้าของผมต้องซีดเหมือนกระดาษ มือ เท้าเย็นเฉียบ ลมหายใจติดขัด ผมกลืนก้อนสะอึกลงคอ คำตอบของเรื่องนี้ช่างเลวร้ายเหลือเกิน ราวกับผมได้เข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องวุ่นวายที่ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าสายไฟประเทศไทย ชีวิตของผมต่อจากนี้อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ผมต้องเจอกับสัตว์ประหลาดที่ต้องมาคอยลุ้นว่ามันจะโผล่ออกมาตอนไหน ตอนนี้ในหัวผมโล่งไปหมดเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด คำพูดบางคำที่กายพูดไว้สะกิดใจของผม
“โชคชะตา” คำนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ผมพยายามนึก ทันใดนั้นคล้ายได้ยินเสียงแว่วลอยมากับสายลม "ข้าจะตามล่าเจ้า ช่วงชิงโชคชะตาของเจ้า" ก่อนที่หมาป่ายักษ์จะดับสลาย มันได้เอ่ยวาจาไว้...
“นายก็แค่ต้องจัดการมันก่อน ก็แค่นั้นจะไปยากอะไร” เสียงของแพรวาฉุดผมขึ้นมาจากภวังค์ แววตายังคงเฉยชาไม่เปลี่ยนแปลง เธอพูดราวกับว่าเธอผ่านการต่อสู้กับพวกสัตว์ประหลาดพวกนั้นมานับร้อยครั้งนับพันครั้ง เธอสูดลมหายใจก่อนอธิบายต่อ
“นายคิดว่าโลกของเรามีแค่ต้นไม้ ภูเขา ผู้คน สัตว์ป่า อย่างงั้นเหรอ ใช่ เพราะสิ่งเหล่านี้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มี อย่างเช่น เรื่องที่เกิดขึ้นกับนาย จักรวาลใบนี้เกิดขึ้นมาตอนไหน ใครเป็นคนสร้าง นั้นก็หาคำตอบของเรื่องนี้ไม่ได้ แต่มีความจริงสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้ คือการก่อเกิดและการดับสูญ พลังทั้งสองก่อให้เกิดพลังงานรูปแบบหนึ่ง พลังงานจะถูกหมุนเวียนในระบบเหมือน หยินหยาง แทนการก่อเกิดเสมือนสีขาว แทนฝั่งดับสูญเสมือนสีดำพลังทั้งสองขั้วต่างก็มีสมดุลตรงกลาง พวกเราและนายคือเส้นแบ่งของพลังงานนี้ ผู้ถูกเลือกอย่างเราเปรียบเสมือนผู้พิทักษ์สมดุลป้องกันไม่ให้ฝั่งใดฝั่งหนึ่งรุกล้ำเข้ามาซึ่งกัน”
น้ำเสียงราบเรียบของแพรวา ทว่ากลับทำให้คนฟังอย่างผมรู้สึกหนักอึ้ง เรื่องราวที่ได้รับฟังล้วนไม่เคยอยู่ในความคิดของผมเลย สำหรับผมแล้วเวทมนตร์คาถาล้วนเป็นเพียงเรื่องเล่าที่สร้างสรรค์จากจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น มันไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นจริงได้
“แล้วทำไม คนทั่วไปถึงไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขาควรได้รู้และป้องกันตัวนะครับ”
“ผิดแล้วพ่อหนุ่มผู้รักสันติ นายคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้น นอลมิก เออ ฉันหมายถึงคนทั่วไปน่ะ นายคิดว่าพวกเขาจะเชื่อนายเหรอ? เรื่องที่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีเหตุผล และพิสูจน์ไม่ได้ด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์น่ะเหรอ.. พวกเราเล่าผู้ที่ถูกเลือกล้วนทำตัวกลมกลืนไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปบนโลก บอกเล่าเรื่องราวของโลกอีกด้านด้วยเรื่องเล่าไม่มีมูลความจริง นิทานก่อนนอน นิยายปรัมปรา เพื่อทำให้โลกอีกฝั่งเป็นเพียงจินตนาการ และอีกเหตุผลคือปกป้องผู้คนเหล่านั้นจากความจริงอันโหดร้ายนี้”
กายพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบราวกับพูดถึงเรื่องฝนฟ้าอากาศทั่วไป แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนว่าโลกใบเดิมที่ผมรู้จักไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องโกหกก็คงไม่จริงเพราะแผลตรงซี้โครงด้านซ้ายยังสร้างความเจ็บปวดให้ผมจนถึงตอนนี้ แถมคำตอบของกาย ยิ่งเป็นการตอกย้ำเรื่องราวที่เกิดขึ้น โลกใบเดิมที่ผมเคยอยู่ ใช้ชีวิต กิน เที่ยว ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปอย่างปกติ เพราะความจริงพวกนี้ไม่ถูกล่วงรู้ หากผู้คนรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความปกติสุขคงหายไปตลอดกาล ผมถอนหายใจแม้ว่าสิ่งที่พบเจอจะน่าแปลกประหลาดไปสักหน่อยแต่ทว่าวูบหนึ่งในความรู้สึกของผมกลับมีระลอกความตื่นเต้นผุดขึ้นมา ชีวิตเรียบง่ายและน่าเบื่อเดิม ๆ ของผมอาจจะถูกแทนที่ด้วยความจริงนี้
“ในเมื่อผมเลือกไม่ได้ ผมก็ไม่อยากเอาแต่วิ่งหนี ผมอยากสู้ครับ ผมอยากแข็งแกร่งขึ้น” ผมตัดสินใจในเสี้ยววินาทีนั้น ในเมื่อชีวิตผมโดนลิขิตมาเป็นอย่างนี้ ผมจะสู้เพื่อความอยู่รอดของผม
“หนทางเดียวในตอนนี้ก็คือนายจะต้องฝึก ใช้พลังของนายให้ช่ำชอง มีเพียงเวทมนตร์เท่านั้น ที่จะต่อกรกับพวกมันได้”
“ครับ” ผมรับคำ ม่านพลังที่เด็กชายผิวเข้มที่ชื่อกายร่ายออกมา กวางสีทองที่โผล่ออกมาจากหนังสือ รวมถึงก้อนแสงที่เด็กสาวเสื้อแดงคนนั้นเรียกออกมาทุกอย่างล้วนมาจากสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์สินะ
“ดีมากจ้ะ แต่ก่อนที่เธอจะเรียนรู้เวทมนตร์มีสิ่งหนึ่งที่พวกเราต้องเล่าให้เธอฟังก่อน นานมาแล้วที่สรรพสิ่งได้ถือกำเนิด เราเรียกขานพลังแห่งการก่อเกิดที่เปรียบดั่งผู้สร้างว่า ลูฟ หรือ ลูมอส และเรียกพลังแห่งการดับสูญที่เปรียบดั่งผู้ทำลายว่า อาร์ค หรือ นาธาร ว่ากันว่านาธารได้ก่อกำเนิดอสูรรับใช้ทั้งสิบสองตนขึ้นเพื่อทำลายล้างและครอบครองเอกภพ พวกมันเข้ามายัง ลูเคีย หรือ โลกของเราผ่านทาง เงา แน่นอนงานของเหล่าผู้ที่ถูกก็คือการต่อสู้กับพวกอสูรแห่งนาธานไม่ให้มารุกกล้ำเข้ามา”
ผมฟัง ผ.อ. เอมอร อย่างตั้งใจ แต่กลับรู้สึกเหมือนฟังผู้ใหญ่นั่งเล่านิทานก่อนนอนให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลก่อนที่ผมจะเคลิ้มไปมากกว่านี้ ผ.อ.เอมอร ตบท้ายด้วยประโยคคำถาม “เธอมีอะไรข้องใจอีกไหม โอม
“มีครับ ตอนสู้กับหมาป่าเงา มันบอกว่ามันชื่อ 'วกะ' เป็นอสูรลําดับที่สิบเอ็ด ที่สำคัญมันพูดภาษามนุษย์ได้ด้วยครับ” แต่ละคนดูแปลกไป ผมสังเกตท่าทีของแต่ละคนรอบตัว ดูเหมือนว่ากายจะออกอาการกระอักกระอ่วนใจมากที่สุด
“มันเป็นเรื่องแปลกที่วกะจะปรากฏออกมาในตอนนี้ ปกติฉันจะเจอแต่อสูรปลายแถว ใช้คาถาไม่กี่บทก็เก็บกวาดเรียบร้อย แต่ครั้งนี้ต่อให้ให้ร่ายคาถาบทใหญ่ที่ไม่เคยคิดจะใช้มาก่อนแต่กลับทำได้เพียงไล่มันกลับไป เหมือนกับว่ามีใครบงการมันหรือมีอะไรกระตุ้นมันให้ออกมา” แพรวาอธิบายเพิ่มเติม
“เดี๋ยวนะเธอใช้คำว่าไล่ หมายความว่ามันยังไม่ตายเหรอ” สีหน้าของผมซีดลงเมื่อรู้ว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงการไล่มันไปเท่านั้น
“ใช่ พลังของฉันในตอนนี้ทำได้เพียงขับไล่มันกลับไปสู่ความมืด”
“ก็บอกแล้วว่ามึงอ่ะ ซวย ดันไปเจอตัวเป้งเข้า” กายพยายามพูดติดตลกเพื่อดึงสถานการณ์ให้ดีขึ้น
ผมไม่แน่ใจว่ามีเรื่องตกใจกี่ครั้งแล้วหลังจากลืมตาขึ้นมาภายในห้องพักของ ผ.อ. เอมอร ประโยคสุดท้ายก่อนที่หมาป่าเงา วกะ จะอันตรธานหายไป ผมคล้ายได้ยินเสียง... “วันหนึ่งความมืดจะกลืนกินหมดทุกสิ่ง...” หรือว่าที่มันปรากฏตัวจะเกี่ยวกับความมืด มันต้องมีแผนร้ายอะไรสักอย่างแน่ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่พวกมันจะออกล่าโดยไม่ทำอะไร ผมได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้ในใจเพราะไม่แน่ใจนักว่าจะมีใครให้คำตอบแก่ผมได้
“ตอนผมต่อสู้กับหมาป่าเงา หนังสือของผมเรืองแสงด้วยครับ พวกคุณมีไหมครับ” ผมชี้ไปที่หนังสือหนังเก่าที่ผมได้มาจากหญิงชราคนหนึ่งพลันนึกย้อนกลับไปเรื่องราวแปลก ๆ พวกนี้เริ่มต้นจากประโยคสุดท้ายในหนังสือเล่มนี้ที่ผมเผลอตอบคำถามมัน
ผ.อ. เอมอรยิ้มแล้วตอบคำถาม “พวกเราทุกคน ล้วนมีสิ่งของที่เป็นพันธะผูกพัน บางคนก็เป็นไม้กายสิทธิ์ ไม้เท้า ลูกแก้ว และอย่างในกรณีของเธอ ก็เป็นหนังสือ ผู้ถูกเลือกที่มีหนังสือเป็นพันธะน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่พวกนาธารพุ่งเป้าไปที่เธอก็ได้” ผ.อ. อธิบายอย่างใจเย็น พร้อมสีหน้าและแววตาที่เป็นห่วง
แพรวาหยิบเหรียญสิบบาทออกมา เธอโยนมันขึ้นไปหนึ่งเหรียญ ส่วนกายก็ทำเหมือนกัน “ทวิธาตุแห่งเหรียญตรา เทร เดียส ” สิ้นเสียงประสานคาถาปรากฏวงเวทบนพื้นที่ทั้งสองยืนอยู่ เหรียญสิบที่โยนขึ้นไปในอากาศก็หายไป ปรากฏเป็นไม้เท้าขนาดพอดีอยู่ข้างลำตัวของแพรวา ส่วนกายมีกิ่งไม้แห้ง ๆ แท่งขนาดพอดีมืออยู่ในมือขวาของเขา
“ของพวกนี้เป็นสิ่งของแห่งพันธะของพวกเธอหรอ”
“อื่ม ของสำคัญแบบนี้ไม่มีใครถือเดินไปไหนมาไหนหรอกนะ แล้วที่สำคัญ เกิดมึงถือของแบบนี้เดินไปไหนมาไหน คนอื่นเขาจะมองว่าบ้าพอดี” ผมค่อนข้างประหลาดใจนิดหน่อยที่ครั้งนี้กายตอบคำถามได้อย่างมีสาระมากว่าครั้งไหน ๆ ผ.อ. เอมอร กระแอมเบา ๆ ก่อนที่เธอจะเอ่ยบอกเรื่องสำคัญ
“ก่อนอื่นต้องขอขอบใจกายและแพรวาที่ช่วยเหลือผู้ถูกเลือกหน้าใหม่จากอสูรแห่งนาธารได้สำเร็จ และนอกจากนี้ยังช่วยไขข้อสงสัยให้กับเขาได้เป็นอย่างดี ผ.อ. เห็นถึงความสามารถและศักยภาพของพวกเธอทั้งสามและ เพื่อที่จะปกป้องพวกเธอจาก สิ่งชั่วร้ายเหล่านั้น การส่งพวกเธอไปเข้าศึกษาต่อที่ โฬม อาจจะเป็นเส้นทางที่เหมาะสมกว่า ผ.อ. จึงอยากถามความสมัครใจของพวกเธอก่อน”
“เยส ผมอยากไปครับ” เสียงของกายดังกว่าใครเพื่อนราวกับเขากำลังรอคอยสิ่งนี้อยู่ แต่แพรวากลับมีท่าทีเฉยชาไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ส่วนตัวผมนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโฬมเลยแม้แต่น้อย
“โฬมที่ ผ.อ. จะส่งพวกเราไปนั้นเป็นสถานที่แบบไหนเหรอครับ”
“โฬมเป็นโรงเรียนเวทมนตร์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ความรู้ต่าง ๆ ถูกรวบรวมและถ่ายทอดที่นั่นพวกเธอจะได้เรียนรู้อะไรอีกมากมาย แต่จุดประสงค์หลัก ก็อย่างที่บอกไป คือการที่จะปกป้องพวกเธอจากสิ่งชั่วร้ายที่จ้องจะเอาชีวิต แต่การจะไปได้นั้น พวกเธอต้องผ่านบททดสอบเสียก่อน”
“บททดสอบอะไรครับ อย่างพวกเราต้องทดสอบอีกหรือครับท่าน ผ.อ.” กายถามกลับ สีหน้าและแววตาของกายในตอนนี้ ดี้ด้าจนออกหน้าออกตา
“ทุกคนที่จะไปที่นั่นได้ต้องผ่านการทดสอบ ผ.อ. ก็บอกไม่ได้ว่าการทดสอบพวกนั้นคืออะไร แต่ละคนจะได้รับบททดสอบที่ต่างกัน ผ.อ. เป็นเพียงผู้ชี้นำไม่สามารถล่วงรู้บททดสอบของ โฬมได้ นี่เป็นเหรียญของผู้เข้าทดสอบ พวกเธอทั้งสามจงนำมันติดตัวไปด้วย ตรงหลักกิโลเมตรที่ศูนย์ ที่แห่งนั้นจะมีประตูเชื่อมไปยังสถานที่ทำการทดสอบ”
พวกเราทั้งสามคนรับเหรียญสีทองขนาดเท่านิ้วโป้งจาก ผ.อ. กายแสดงท่าทีดีอกดีใจจนเอาเหรียญขึ้นมาจูบอย่างรักใคร่ ส่วนแพรวาหลังจากรับเหรียญก็ทำตัวเฉยชาเช่นเคย เรื่องราวการเดินทางของผมกำลังจะเริ่มต้นกับสองคนนี้ ผมเก็บเหรียญที่พึ่งจะได้รับมาเข้ากระเป๋ากางเกง
ในเมื่อมันเป็นโชคชะตาของผม ดังนั้นผมจะขอทำให้มันเต็มที่ อย่างน้อยการเริ่มต้นในครั้งนี้ของผมก็ไม่ได้เริ่มด้วยตัวคนเดียวอีกแล้ว
“ผมตัดสินใจแล้วครับ ผมจะไป โฬม”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!