"ข่าวล่าสุดประธานกลุ่มบริษัท S เฉินเหยียนถูกพบว่าเสียชีวิตกระทันหันเมื่อเช้าวันนี้ที่ลานจอดรถบริษัท ร่างยากภายนอกไม่มีบาดแผล เจ้าหน้าที่นิติเวชกำลังตรวจสอบสาเหตุการตาย รายละเอียดทางตำรวจกำลังตรวจสอบอยู่"
"จากที่ทราบ เลขาเฉินเหยียน อู๋เสวียปิงได้หายสาบสูญไปอย่างลึกลับเมื่อหนึ่งสัปดาร์ก่อนเกิดเหตุ
ก่อนหน้านี้เฉินเหยียนได้ช่วยตำรวจตามหาผู้สูญหาย มีข่าวลือว่าเฉินเหยียนมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มบริษัทลักลอบนำเข้าผิดกฎหมายคดีนี้ยังไม่ตัดประเด็นมีส่วนเอี่ยวการผิดกฎหมาย"
เย่อวี้ปิดรายการข่าว ลังเลว่าวันนี้จะไปที่บริษัทหรือไม่ ไม่ต้องถามก็รู้ว่าวันนี้บริษัทวุ่นวายแน่ๆประธานบริษัทของตัวเองเกิดเรื่อง ใครจะมีกะจิตกะใจไปทำงาน?
พูดไปแล้วก็ตลกเฉินเหยียนที่เป็นถึงประธานกลุ่มบริษัทข่าวออนไลน์ใหญ่กลับกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งเสียเอง และยังไม่ใช่ข่าวที่ดีเท่าไรนักเรื่องนี้คงจะเป็นหัวข้อข่าวให้สำนักข่าวอื่นได้อีกหลายเดือน
นอกจากนั้นเวลาสำนักข้าวอื่นออกอากาศยังทำเหมือนไม่ตั้งใจยกเรื่อง "กลุ่มบริษัท S มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มบริษัทลักลอบนำเข้าผิดกฎหมาย"มาพูด จุดนี้ทำให้เย่อวี้รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
"น่าเจ็บใจ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าข่าวยังไม่ได้รับการตรวจสอบ คนพวกนี้ยังมีจรรยาบรรณอยู่หรือเปล่า" เย่อวี้คิดอย่างเจ็บแค้นและเริ่มเป็นห่วงอนาคตหน้าที่การงานของตัวเอง ถ้าหากสำรักข่าวอื่นนังคงเสนอข่าวที่ CEO ของกลุ่มบริษัท S มีส่วนเอี่ยวกาผิดกฎหมาย อย่าว่าแต่หุ้นบริษัทที่จะตกเลย แม้กระทั่งบริษัทเองก็คงจะล้มละลายไปด้วย
ตัวเขาเป็นเพียงนักข่าวที่เพิ่งจบออกมาใหม่ๆจึงมีความเสี่ยงสูงมากที่จะตกงาน
กลุ่มบริษัท S ถึงแม้จะเป็นบริษัทใหญ่ แต่ชื่อเสียงในวงการเดียวกับกลับไม่ดีเท่าไหร่นัก หลักๆแล้วคงเป็นเพราะ CEO เฉินเหยียนมักทำงานโดยไม่เลือกวิธีการ ทำให้บริษัทอื่นในแวดวงเดียวกันรู้สึกขุ่นเคืองใจ แล้วยังช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้กลุ่มบริษัท H ได้ชนะการประมูลหลายรายการแบบผ่านฉลุยจนหน่าตกใจ มีข่าวลือออกมาว่าเฉินเหยียนใช้
"วิธีการพิเศษ" ในขั้นตอนการประมูล
ในการเสนอข่าวครั้งนี้ สำนักข่าวอื่นใช้แม้กระทั่งคำว่า 'เสียชีวิตอย่างกะทันหัน' เห็นได้ชัดถึงความเป็นกลางของแต่ละสำนักข่าว
"กริ๊ง...."
โทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันช่วยดึงเย่อวี้กลับจากความคิดของตัวเอง เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็ปรากฏเป็นชื่อของหัวหน้า
"เฮย" แกอยู่ที่ไหน มาที่บริษัทเร็วๆ อีกฝั่งของโทรศัพท์ฟังดูเหมือนวุ่นวายมาก หัวหน้าแทบจะตะโกนแทนการพูด
"เอ่อ ได้เลยครับ ผมอยู่ระหว่าง กำลังจะถึงแล้ว"
เย่อวี้ตอบอย่างละอายใจ รีบใส่เสื้อนอกอย่างรวดเร็วเตรียมพร้อมออกจากบ้าน
"ถ้าถึงแล้วให้มาหาผมที่ห้องประชุมด้วย" ยังไม่ทันที่เย่อวี้จะตอบอะไร หัวหน้าก็วางสายไปแล้ว
ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะยุ่งยากกว่าที่คิด เย่อวี้คิดพลางเดินขึ้นรถตัวเอง ขับรถไปที่บริษัทอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงบริษัทแล้ว เย่อวี้ก็พบว่าไม่ได้วุ่นวายอย่างที่เขาคิด มีแค่เสียงโทรศัพท์ดังไม่ขาดสายและพนักงานที่มีสีหน้าเป็นกังวล แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทนี้
เย่อวี้วิ้งวางกระเป๋าลง รีบวิ่งไปทีห้องประชุม
เมื่อผลักประตูออก ก็เจอแต่หัวหน้าที่มีสีหน้าเคร่งเครียด ในใจของเย่อวี้รู้สึกกลัวเล็กน้อย ทุกครั้งทีตนเองทำผิดหัวหน้าก็จะเสดงสีหน้าแบบนี้ออกมา
ขณะกำลังจะอ้าปากพูด ก็บังเอญเห็นตรงข้ามหัวหน้ามีคนนั้งอยู่ เป็นชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่ง
คนนี้ดูแล้วอายุใกล้เครียงกับเย่อวี้ หน้าตาจัดว่าได้สัดส่วน รูปร่างผอมบางภายใต้ชุดสูทสีดำดูแล้วสง่างาม ตอนนี้เขากำลังเงยหน้าขึ้นมามองเย่อวี้ยิ้มให้อย่างมีมารยาท แม้จะบอกว่าเขายิ้ม แต่เย่อวี้กลับรู้ว่าในดวงตาของเขาไม่มีรอยยิ้มอยู่เลย มีแต่ความรู้สึกเย็นที่บอกไม่ถูก
เย่อวี้ถูกจ้องจนไม่สบายเนื้อสบายตัว ไม่รู้ทำไม ชายหนุ่มถึงแม้ดูขาวสะอาจ แต่ให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม ทำให้เขาไม่ค่อยกล้ามองอีกฝ่ายตรงๆ
"แกไปก่อเรื่องอะไรมา? สารภาพมาดีๆ"ว่าแล้วหัวหน้าก็เริ่มพูดเสียงดังใส่
ก่อเรื่องอะไร? มาส่ยก็นับว่าก่เรือง้ด้วยเหรอ?
"พี่ใหญ่ ผมไม่เข้าใจ..."เย่อวี้พูด้วยอาการกลัวนิดๆ
"ไม่ได้ก่อเรื่อง? ไม่ได้ก่อเรื่องแล้วทำไมตำรวจถึงมาหาถึงที่" หัวหน้าแทบจะตะโกนอยู่แล้ว
ตำรวจ? ที่ไหนมีตำรวจ? เย่อวี้มองไปรอบๆห้องประชุม สุดท้ายสายตาหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มฝั่งตรงข้าม
ไม่ใช่มั้ง? เขาเป็นตำรวจ? ชุดสูทที่เขาใส่ก็ดูไม่เหมือน...
ชายหนุ่มเหมือนจะมองความสงสัยของเย่อวี้ออก ยิ้มแล้วพูดว่า
"หัวหน้าหวังอย่าเพิ่งโมโห เขาไม่ได้ก่อเรื่องผมแค่มีเรื่องที่อยากจะตรวจสอบจากเขานิดหน่อย"
ชายหนุ่มยืนขึ้นแล้วค่อยๆ เดินมาทีเย่อวี้
"ถึงแม้ว่าคนที่มาทักทายคูณจะเป็นสารวัตรเจ้า แต่ผมก็ไม่ใช่ตำรวจ"
ระหว่างที่ผูด ชายหนุ่มก็ยื่นมือไปหาเย่อวี้
"เพิ่งเจอกันครั้งแรก ผมแซ่โหลว มาจากหน่วยตรวจสอบพิเศษ"
หน่วยตรวจสอบพิเศษ....นั่นมันหน่วยอะไร...หน่วยที่ตั้งข฿นมาใหม่เหรอ?
เย่อวี้งงสักพักหนึ่งถึงรู้ตัวว่าเสียมารยาทอยู่จึงรีบยื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย
"สวัสดีครับ ผมชื่อ.."
พูดยังไม่ทันจบ ความรู้สึกประหลาดก็แล่นเข้าสู่สมองของเย่อวี้ มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยายเหมือนมีอะไรบางอย่าง..อยากจะเจาะเข้าไปในสมองของเขา
เดี๋ยวๆ...นี่มันสถานการณ์อะไรเนี่ย?...
เย่อวี้ใช้สัญชาติญาณต่อต้านการบุกรุกนี้ทำให้สมองของเขาดูเหมือนจะระเบิดออกมาในชั่วพริบตา
"ออกไป..ออกไปให้พ้น"
เย่อวี้แหกปากอยู่ในสมอง แต่ความรู้สึกนี้ไม่สนความตั้งใจของเขา มันเข้ามาจากทุกๆ ทิศ จากแขนขาถึงช่วงอก ตามไขสันหลังวิ่งไปสู่สมองพยายามที่จะทะลุการต่อต้านของเขา เจาะลึกลงไปในจิตวิญญาณ
ความรู้สึกเหมือนฉีกขาดที่เกิดจากการต่อต้านนี้ทำให้เย่อวี้แทบจะเป็นบ้า สติก็เริ่มจะเลือนลางลงทุกที...
ขนะที่เย่อวี้กำลังจะยอมแพ้ เข้ากลับรู้สึกเหมือนร่างกายของตนมีพลังสายเล็กฟ ไหลอออกมารวมกันกันที่สมองของเชา
พลังงานดังกล่าวยิ่งรวมตัวเยอะขึ้น ค่อยๆรวมกันเป็นพายุพลังงาน พัดไล่ผู้บุกรุกอย่างรวดเร็วเหมือนพายุ
เย่วี้ไม่ต่อต้านอีก ปล่อยให้พายุนั้นกวาดเอาความรู้สึกแปลกๆ ที่อยู่ในร้างกายนั้นออกไป
เมื่อรู้สึกตัว เย่อวี้ก็อยู่ในสภาพเหงื่อท่วมหัวการประทะเมื่อครู่ในความเป็นจริงแล้ว่านไปเพียงชั่วพริบตาเดียว แต่ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยเหมือนผ่านสนามรบมา
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นนัยน์ตาสีดำคู่นั้นจ้องมาที่ตนเองไมกระพริบ
"คุณเป็นอะไรเหร?"
"อ่า ไม่..ไม่เป็นอะไร? สวัสีครับผู้การโหลว"
เย่อวี้เหมือนจะรู้ว่าตัวเองกำลังเสียมารยาทอยู่ จึงรีบจับมือของอีกฝายเขย่าขึ้นลงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
"ผมชื่อเย่อวี้ ไม่ใช่ "แย่อย฿" นะ ผมเป็ฯนักข่าวมืออาชีพ"
"ฮาๆ เย่อวี้หรือ..ทั้งคนและชื่อน่าสนุกพอๆกันเลย ผมจำคุณได้แล้ว"
ชายหนุ่มยิ้มแล้วปล่อยมือออก
"ที่จริงแล้วหน่วยของเราแยกออกจากระบบของตำรวจ แต่ปกติไม่เผยตัวในที่สาธารณะ พวกคุณไม่รู้จักก็เรื่องปกติ ที่มาครั้งนี้ก็เลยตั้งใจให้สารวัตรเจ้าทักทายก่อน" ชายหนุ่มหันไปพูดกับหัวหน้าหวังว่า "ผมอยากคุยกับนักข่าวคนนี้เป็นการส่วนตัว ไม่ทราบว่าหัวหน้าหวังสะดวกหรือเปล่า?"
"สดวกแน่นอน ตามสบายเลยครับ!" หัวหน้าหวังได้ยินว่าไม่ใช่ลูกน้องตัวเองก่อเรื่องก็ว่าเรื่องก็วางใจแล้วไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้สารวัตรเจ้าได้พูดอะไรไว้ถึงทำให้เขามีความคิดแบบนี้
เขาพูดกับเย่อวี้สองสามประโยคก็ปิดประตูเดินออกจากห้องประชุมไป
ที่ห้องประชุมเงียบลง เย่อวี้เริ่มรู้สึกประหม่านิดๆ ผู้การโหลวที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ถึงแม้ยังดูหนุ่มแต่สามารถเรียกสารวัตรให้มาช่วยทักทายด้วยตัวเองได้ คาดว่าก็ไม่ธรรมดาแล้ว
"นั่งเถอะ"
เย่อวี้นั่งลงอย่างเกรงๆในใจคาดเดาอะไรไม่ได้เลย
"คุณดูรูปนี้ให้หน่อย" ชายหนุ่มพูดไปพลางหมุนกำไลโลหะที่อยู่บนข้อมือเบาๆ แล้วจึงมีฟน้าจอเสมือนจริงผรากฎต่อหน้าเย่อวี้ทท
กำไลข้อมืออัจฉริยะแบบนี้เริ่มมีให้เห็นเมื่อไม่กี่ปีก่อน นอกจากจะใช้เป็นมือถือแล้ว ยังสามารถดึงหน้าจอเสมือนจริงออกมาทำธุรการได้ ที่สำคัญกว่านั้นมันสามารถอ่าน DNA และชีพจรของผู้สวมใส่เพื่อยืนยันตนของผู้ครอบครองก่อนจะปลดล็กให้ใช้งานได้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว
แต่ว่ามันราคาแพง ใช่ว่าคนทั่วๆไปจะมีปัญญาใช้ ประธานเฉินของพวกเขาก็มีอันหนึ่ง แม้เย่อวี้เพ่งเคยเห็นครั้งแรก แต่ตอนนี้เย่อวี้ไม่มีอารมณ์จะชื่นชมของสิ่งนี้ ความสนใจทั้งหมดของเขาถูกภาพที่ปรากฏบนจอดึงดูดเอาไว้ สีหน้ากังวลใจก็กลับกลายเป็นตกตะลึง
รูปร่างที่คุ้นเคย การแต่กายที่คุ้นตา สีหน้าที่คุ้นชิน...ไม่มีใครคุ้นเคยกับคนที่อยู่ในรูปถ่ายยิ่งไปกว่าเขาอีกแล้ว
เพราะว่าคนที่อยู่ในรูปถ่ายก็คือเย่อวี้นั่นเอง
"รูปถ่ายใบนี้ถูกพบในกำไลข้อมือของ CEO เฉินเหยียนของพวกคุณ"
ชายหนุ่มมองเย่อวี้ด้วยความหนักใจ แล้วค่อยๆพูดขึ้นว่า
"นี้เป็นรูปถ่ายใบสุดท้ายก่อนที่เขาจะเกิดเหตุ"
ตอนที่ 2 ผู้ต้องสงสัย
เหงื่อเย่อวี้ไหลท่วมทั้งตัว
หมายความว่ายังไง? ทำไมบอสใหญ่ของบริษัทพวกเขาถึงถ่ายรูปเขาเอาไว้? เขาเป็นแค่นักข่าวกระจ้อยร้อยที่เพิ่งเข้ามาในบริษัท เคยเจอหน้าบสใหญ่เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง !
นอกจากนั้น "รูปใบสุดท้ายที่ถูกถ่ายก่อนเกิดเหตุ"?
เย่อวี้มองรูปนี้อย่างตั่งใจ ฉากหลังเหมือนจะอยู่ใต้ตึกของบริษัท ในรูปถ่าย ตนเองแบกกระเป๋าเป้อยู่ ทำหน้าเหนื่อยหน่อยนิดๆ เหมือนเพิ่งกลับจากการสัมภาษญ์ข้างนอก เมื่อดูจากเสื้อผ้า เสื้อนอกสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์ก็คือชุดที่เขาใส่เมื่อวานเพราะว่าเมื่อวานมีงานด่วนนอกสถานที่ กว่าจะกลับมาถึงบริษัทก็เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว
ถ้าหากเป็นไปตามที่ผู้การโหลวที่ผู้การโหลวพูดไว้ ก็แปลว่าเฉินเหยียนเกิดเหตุเมื่อคืน? แถมก่อนเกิดเหตุไมนานยังเคยเจอเขาด้วย?
เย่อวี้นึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนตอนที่กลับมาที่บริษัท ไม่มีที่ท่าว่าได้เจอกับเฉินเหยียนเลย แต่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าตนเองเหนื่อยเกินไปก็เลยไม่ทันได้สังเกตเห็น
"นี่มัน..เรื่องอะไรกันแน่?" เย่วี้ตั้งสติแล้วหันไปมองผู้การโหลวด้วยความสงสัย หวังว่าอีกฝ่ายจะให้คำอธิบายได้
"เวลาการตายของเฉินเหยียนคือประมาณสี่ทุ่มสิบห้านาที จากข้อมูลจากกล้องวงจรปิดที่ไเฉินเหยียนออกจากออฟฟิศตอนสามทุ่มครึ่ง ประมานสามทุ่มสามสิบห้าเดินออกจากตึกหนึ่งประตูทางทิศเหนือเดินไปทางอาคารรอง จากการคาดการณ์คาดว่าจะเดินไปที่ลานจอดรถอาคารรอง แต่ที่น่าแปลกใจคือ กล้องวงจรปิดที่อาคารรองและลานจอดรถชั้นใต้ดินไม่มีภาพของเขา แม้กระทั่งกล้องวงจรปิดที่ทางเข้าออกบริษัทก็ยังไม่มีภาพที่เฉินเหยียนออกจากบริเวณบริษัทเลย"
"แต่ว่าเช้าวันที่สอง เฉินเหยียนถูกพบเป็นศพที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินอาคารรอง" เย่อวี้พูดต่อว่า"นี้มันแปลกจริงๆ เหมือนอยู่ดีๆ ก็ไปโผล่ตรงนั้นได้..."
สำนักงานใหญ่ของกลุ่มบริษัท S ที่นี่มีพื้นที่เป็นของตัวเอง ในนั้นมีอาคารหลักและอาคารรองสองอาคาร อาคารหลักเป็นสำนักงานสูง 24 ชั้นออฟฟิศของเฉินเหยียนอยู่บนชั้นสูงสุด ล็อบบี้ชั้นที่หนึ่งมีประตูใหญ่ทิศเหนือและทิศใต้ ประตูทิศเหนือจะอยู่ตรงกับอาคารรองซึ่งห่างจากอาคารหลักเพียงห้าสิบเมตรเท่านั้น มีอยู่สามชั้นประกอบด้วยโรงอาหารพนักงาน โกดัง ส่วนลานจอดรถอยู่ชั้นใตดินหากจะไปก็ต้องผ่านทางเข้าอาคารรอง
"จะว่าไปแล้ว รูปถ่ายใบนั้นถ่ายใบนั้นถ่ายไว้ตอนไหนเหรอ?"
"รูปถ่ายใบนี้ถูกถ่ายไว้เมื่อคืนตอนสามทุ่มสี่สิบห้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เฉินเหยียนออกจากระยะหล้องวงจรที่ประตูทิศเหนือจนถึงช่วงเวลาการตายของเขา" ผู้การโหลวพูดชาๆ
"แต่ว่า......นี่มันก็แปลก...."เย่อวี้ยิ่งงง เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าเมือคืนเขาเข้ามาจากทิศใต้ และฉากหลังของรูปถ่ายใบนี้ก็ตรงกับความทรงจำของเขา
รูปถ่ายใบนี้ถ่ายที่บริเวณประตูทิศใต้และประธานเฉินก็ออกจากประตูทิศเหนือไปทางลานจอดรถอาคารรองตอนสามทุ่มสามสิบห้าแล้วอย่าว่าแต่ความต่างสิบนาทีนี้เลย ประตูทิศเหนือกับผระตูทิศใต้มันอยู่คนละทางกันเลย จากประตูทิศเหนือเดินตรงออกไปก็จะถึงอาคารรองไม่จำเป็นต้องผ่านผระตูทิศใต้ นอกจากว่า....."
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!