ตอนที่7โทรศัพท์ตอนที่7โทรศัพท์
ใครหนอบ้างที่ไม่ชอบทะเล "กอมส์คิดๆ"
นึกจะถามเอวว่าชอบทะเลมั้ย"คุณ"
แต่กอมส์ไม่กล้าถามเมียรัก
กอมส์ปล่อยให้สายตาของตนเองมันโต้ตอบกันเอง
เมื่อมีอะไรที่กอมส์อยากถามเอวขอความเห็นจากเอว
กอมส์ให้เกียรติเอวอย่างยิ่ง "กอมส์บูชาความเงียบ"ไม่พูดไม่ถามและโต้ตอบอะไรเลยกับเอวเมียรักของเขา" ไม่ว่าจะชอบหรือจำเป็นที่จะฝืนชอบอะไรขึ้นมา
และการที่กอมส์มีนิสัยอย่างนี้ในการดำรงชีวิตสมรส
"อันนี้"
เลยเป็นคุณสมบัติพิเศษที่กอมส์มี
ที่เอวนึกชอบกอมส์อยู่ในใจ
ในความที่สามีตนมีและการทำตัวของสามีเป็น
เอวคิดเสมอว่าตนเองที่โชคดีที่ได้สามีอย่างกอมส์ที่ถูกใจมากในชีวิต เหมือนดั่งเป็นราวกับว่า "พระเจ้าท่านเลือกให้มา
แต่เอวหารู้ไม่ว่า กอมส์คิดอะไรอยู่ในใจนอกจากนี้
ขากลับกอมส์และเอวนำปลาและกุ้งที่เหลืออีกอย่างละตัวมาฝาก"โนว
า"ที่
บ้าน
เขาทั้งสอง"แพค"มันย่าง
ดีคือปลอดมดและปลอดเชื้อโรคและปลอดกลิ่นหมึกทอดและปล
าแมคคาเรลทอด กลิ่นจะพบมันก็ต่อเมื่อเปิดเพคออกมาพร้อมกินเท่านั้น
ตอนที่7โทรศัพท์
ตู้โทรศัพท์มันพูดด้วย
ทันทีที่กอมส์หยอดเหรียญเงินมันเข้าไป
กอมส์คิด
"นี่ถ้าเราไม่หยอดเหรียญมันก็คงไม่พูด"
เพราะเหรียญของเรามันจึงพูด
กอมส์คิดต่อไป
โอ้โหนี่"ค่ามันอนันต์จริงๆ เจ้า
ตู้โทรศัพท์นี่!
เพราะเงินหรอกหนามันจึงพูดฉะนั้นเงินมีค่าอนันต์
แต่ในความรักๆมาก่อนเงินๆงานต่อมา
กอมส์สารภาพกันตนเองอย่างลับๆในใจ
มันทำให้เราพบคนรักตามนัดหมายเพราะดจ้าตู้โทรศัพท์นี่!
"ตู้โทรศัพท์สาธารณะสีแดงๆนี่น่
ะ
มันคือเทพเจ้าของเราในยามจำเป็น
พอดีตำรวจมาแล้วก็ผ่านไป
สงสัยคนชอบมางัดเอาเงินในตู้
ในยามที่ตู้มันเหงาแน่นอน!
ใช่!
มันสามารถติดต่อทางไกลเป็นหมื่นลี้ในชั่วพริบตาเดียว โดยคนเองไม่ต้องเดินทางไกลให้เมื่อยด้วยเท้
าที่เท้ามันแสนโง่
และความพยายามของใจต่างหาก
เท้าจึงเดิน
ถ้าไม่มีมัน"โลกคงหยุดหมุนแน่"
กอมส์คิดให้กับตนเอง"ตู้โทรศัพท์สีแดง"
เพราะความจำเป็น
แต่เพราะเราสร้างความจำเป็นขึ้นมา
จึงมีมัน!
ใช่! ฝนไม่เคยตกถ้าไม่มีเมฆฝน
แต่เจ้าตู้โทรศัพท์นี่ถ้าเรางดใช้มัน ถ้าหากว่า เราจะลิขิตชีวิตตนเองเสียใหม่
คือ"งดมีความจำเป็น"
"งดมีความต้องการเสีย"โทรศัพท์นี้คงหมดท่าเลยกระมัง!หรือฤาใจว่าอย่างไร?
งดความประสงค์เสีย
ก็ถ้าในเมื่อสิ่งใดเป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
ถ้าเรางดสร้างความประสงค์งดสร้างความจำเป็นเสียออกไปจาก
ชีวิต มนุษย์ตนนั่นก็คือเป็นผู้เป็นเจ้าเสียเองกระมัง
มากไป เราคิดมากไป
อย่าเอาผู้เป็นเจ้ามาเทีสบเคียงมันค
งไม่ดีแน่
ใครเขาได้ยินเข้าเขาก็จะหาว่าเราบ้าหมิ่นเหม่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บรรพบุรุษนับถือกราบไหว้บูชามายาวนาน
ในเมื่อเราถ้าเราเป็นทาสทางใจของผู้เป็นเจ้า จะเอาอะไรให้ได้ดั่งใจก็คิดวิงวอนท่านแต่เราลืมตนเอง
น่ะถ้าคิดอย่างนั้น
เราต้องช่วยตนเองก่อนท่านจึงจะช่วยเราแต่ท่านก็หนึ่งในพยายแห่งความจริงในชีวิตทุกคนนั่นเอง
ก็เพราะเราสร้างความประสงค์ของตัวเองอยู่ร่ำไปไม่สิ้นสุด เราก็ไม่เป็นตัวของตัวเองซิ"ถ้างั้น"
แต่เราเคารพและน้อมนบในพระผู้เป็นเจ้า
ทำไม?
ท่านคือพระเจ้าปู้เป็นพลังใจให้เรา
เมื่อเราคิดสิ่งที่ดีงาม
สรุป
คำตอบคือเพราะบรรพบุรุษท่านสอนมาท่านต้องดีเหลือล้น
แต่อีกนัยหนึ่งที่เราเรียนมาคือ
เราต้องพึ่งตนเองให้เพื่อจะได้เป็นตัวของตัวเองให้ได้ก่อนๆที่เราจะพึ่งสิ่งศักดิ์ ถ้าเราฝืนความรู้สึกนี้
เราก็จะเป็นคนเห็นแกตัวแฃะเอาเปรีสบความจริงเกินไปน่ะกอมส์
เหมือนคำถามและคำตอบ
ที่ว่ากอมส์เองไม่สามารถกำหนดตนรักแรกให้อมตะแต่เธอด่วนฆ่าตัวตายเสียก่อนวันจะแต่งงาน
แล้วเราพบรักใหม่ซึ่งดีมากกว่าคนแรกทุกๆด้าน แต่เราก็ยังย้ำคิดถึง
วันที่คนรักเก่าประสบมันจนได้
ถามว่า "นี่มันเรื่องอะไร? มนุษย์คนไหนช่วยเฉลยได้ป่าว?
ใช่!เราต้องจำให้ตระหนักให้ได้"ไ
ด้"คือเป็นตัวของตัวเองก่อนแล้วเราจึงพึ่งผู้เป็นเจ้า
คนเราถ้าไม่มีตนเป็นที่พึ่งแล้วใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้"ท่านสอนมา"
กอมส์คิดได้และพลั้งว่า"ความจริงมีอยู่"
เราจะไม่สร้างสิ่งจำเป็นให้เป็
นใหญ่และกำกนดชะตากรรมของเรา
และเราจะไม่ทำสิ่งที่อยากจะได้
สิ่งที่ปราถนาและความประสงค์
เราก็จะไม่เดือดร้อน
แน่นอนชีวิตนี้
เหมือนตู้โทรศัพท์
ถ้าเราไม่หยอดเหรียญลงไปมันก็
ไม่ทำงานอะไรให้เรา
นั่นแหละ!
ถ้าเราไม่ต้องพึ่งตู้โทรศัพท์เราก็ต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า
เราไม่มีความต้อวการและไม่มีความประสงค์เสีย"เรื่องมันก็จบ
แฃะไม่ต้องไปคิดมากเอาตนเองไปเปลืองไร้สาระให้เหนื่อยสมองเปล่าๆ!
เท่านี้"เราก็ไม่ต้องเป็นทาสของตู้โทรศัพท์
ที่บ้านและถนนหมายเลข1013มีตู้โทรศัพท์สาธารณะหนึ่งตู้นตั่งอยู่อย่างถาวรบนถนนสายนี้
กอมส์คิดว่าที่ตู้โทรศัพท์ตู้นี่มีปีศาจ
หรือผีสิงอยู่แน่นอน
เพราะทุกครั้งที่กอมส์เดินผ่าน.นยามค่ำคืนคนเดียว มันมีเสียงคล้ายคนหญิงสาวอยากพูดด้วยกับเรา
"กอมส์คิด"
แต่ความคิดมากถึงมันพลันเงีบบหายไปหมดพร้อบกับความหลับสนิท
ชองกอมส์
(2503)
ตอน2
ที่สถานีเบลนดิสกี
เพราะกีร์วางแผนจะไป เนโวสตอกค์แล้วกลับในวันเดียวแบบไปเช้าเย็นกลับ
บนโบกี้ที่ 7 หมายเลขนั่งบนหน้าตั๋วระบุหมายเลขที่นั่งคือ24 รถไฟขบวนชนิดชั้นธรรมดา
กีร์พบที่นั่งสำรองตายตัวห้ามเปลี่ยน "บันทึกบนตั๋ว"
ทันทีที่"กีร์"นั่งลงในระหว่างนั้น
ได้เหลือบตาไปเห็นผู้โดยสารนั่งหน้าพนักที่นั่งตรงกันข้ามเขา
คือ
ได้มีสตรีคนหนึ่ง "สวย"
แต่งตัวเรียบง่าย ที่โดยสารมาจากสถานีอื่นที่มิใช่เบลนดิสกี
ตอนนั้น
เธอกำลังนั่งอ่านหนีงสือพิมพ์
อย่างมีสมาธิและตั้งใจ
ทีเดียว
การตัดสินใจเดินทางสั้นๆในครั้งนี้ไกลกว่า 100 กิโลเมตรจริงๆระยะทางไกลกว่าแต่กีร์ลืมตัวเลขที่แท้จริง
นี้ไป
ที่กีร์ตั้งใจจะเดินทางมากับรถขบวนที่ 433 รถแช่เย็นสายนี้ จอดทุกสถานีและมีตู้สินค้าสีหมอกพ่วงมาด้วย สำหรับ ส่งต่อสินค้าชายแดนระหว่าง
ประเทศ
มันเป็นรถไฟมีหมายเลข
ที่เที่ยวนี้ หัวรถจักรจะเปลี่ยนทุกๆ200กิโลเมตร
เลขที่ขบวนรถไฟคันนี้มีคนโดยสารคนหนึ่งเป็นยายแก่ เคยถูกหวยและมีเคยเป็นข่าวแต่กีร์ไม่ชอบเล่นหวย
และคือไม่ชอบอย่างยิ่ง
กีร์ไม่ได้คิดอะไร? หรือฉุกคิดว่าจะมีอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิ
ตของตนเอง นอกจากการ
"เกิดมาและก็เมื่อได้เวลาก็ตายลง"
คนเรามีแค่นี้
นี่คืออภิปรัชญาของกีร์
ในโอกาสต่อๆ มา " แต่ต่อมาก็มีจนได้ นอกจากการเกิดและการตาย
ที่เดิมกีร์มุ่งมันว่ามีแต่เพียงสองสิ่งนี้เท่านั้นคนเรา
มันเป็นเรื่องยาวเหยียดเสียด้วย" กีร์นึกไม่ถึงเลยว่า"มันจะเกิด"
แต่ตนเองตอนนี้ที่เบาะนั่งนิ่ม
ๆ ตนเองพลันสำรวม
เพราะต้องให้เกียรติสตรีตรงม้านั่งตรงหน้าเขา
กีร์คิดนิดนึง
"เธอเป็นผู้หญิงเพศหญิงนั้นละเอียดอ่อนที่กีร์เรียนมาเราเป็นผู้ชายต้องให้เกียรติสตรี ๆให้กำเนิดลูกคนได้
แต่ชายทำไม่ได้ นี่คือประเด็นหนึ่ง
แบบว่าการถือว่าหญิงมาก่อนคือแบบ "lady first"ถูกต้อง
และกับเธอแต่เธอก็ไม่สนใจอะไ
ร?ตอนนั้นว่ากีร์จะเป็นใคร?
นอกจากหน้าหนังสือพิมพ์ หน้าแรกพาดหัวข่าวใหญ่ๆ"ตัวโป้งไม้" ที่เธอตั้งใจจะเปิดอ่านติดตามรายละเอียดให้จบคอลัมน์นั้น
กีร์สันนิษฐาน
แวบๆ แวมๆต่อมา
กีร์แอบเห็นข้อความที่หน้าหนังสือพิมพ์ลงว่า "มีรัฐประหาร"
ตามปกติ ที่บนรถไฟขบวนนี้มี เด็กขึ้นมาเร่ขายหนังสือพิมพ์ทุก ๆ ขบวนเช้า
ตามปกติ
ชายผู้โดยสารอย่างกี
ร์ ไม่เคบซื้อหนังสือพิมพ์อ่านเพราะตนเองคิดว่าที่แท้จริงตนเองคือหนังสือพิมพ์
เขาชำเลืองมองมาทางเธอบ้างเป็นระยะๆ แบบธรรมชาติของแร่กัมมันตภาพรังสีระหว่างชายหญิงเมื่อเข้าใกล้กันจะไม่ใช่คนรักหรือคนรัก เท่าที่กีร์เชื่อ
เมื่อมันใกล้ๆกัน
มันก็
เหมือนแม่เหล็กมีขั้วที่เข็มลูกศรชี้ไปมันจะมันจะต้องหมุน
หันไปทางทิศเหนือเท่านั้นไม่ว่าจะกระทำอย่างไรกับตัวกล่องเข็มทิศ แผ่นป้ายชี้ทิศจะวางแบบไหนทิศทางใดๆ เข็มทิศมันจะชี้ไปทางเหนือเสมอ
ในทิศของแม่เหล็กโลกจริงๆ โดยเข็มทิศมันจะไม่สนว่ากล่องและป้ายบอกว่าทิศอะไร
แต่เมื่อเราทราบว่าเข็มทิศชี้ไปทางไหนเราก็ปรับทิศและกล่องไปทางทิศที่เราพบว่าเข็มมันชี้ไป
เราก็พบทิศแท้จริงตามป้ายและกล่องกำหนดมานั่นเอง นั่นคือทิศแม่เหล็กโลกที่ไม่เคยเปลุี่ยนเแแปลง
แต่การปรับกล่องและป้ายเราต้องปรับด้วยตนเองให้ถูกต้องตามทิศแท้จริงและทิศของสิ่งสมมุติให้เข้ากันด้วยตัวเราเอง
ขณะที่เธอขยับขาอันขาวๆ อวบๆสวยๆเนียนๆและเนียนๆของเธออย่างระวัง เพียงหยียดอริยาบถเท่านั้น
ใจของกีร์เริ่มคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเธอแต่มิใช่ความใคร่เพราะผู้หญิงเป็นเพศที่ต้องมีเซกส์ไดร์(sex drive)เสมอในทุกอิริยาบถมันเป็นคุณ
สมบัติของหญิง
แล้วมีคำถามว่าชายล่ะมีมั้ยเซกส์ไดรว์(sex drives)
ตอนนี้กีร์ไม่มีความคิดชนิดออฟแฮนด์(off hand) นะ กีร์นั่งคิดปรารภกับใจของตนเอง
ที่ตะเห็นเป็นควสมคิดปฐมฐานคือเห็นแต่สตังค์และความสำเร็จเท่า
นั้นที่ชายต้องมีเสมอจึงจะจัดเป็นชายมีเซกส์ไดร์ได้
กีร์คิดเสียว่ามันควรเป็นในสถานะเช่นนี้
อันนี้นั้นมันแน่นอน แล้วอะไรเป็นคำถามต่อไปสำหรับใจของกีร์
นั่นคือคำว่า
"รัฐประหาร"ตามพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์เช้านี้
สำหรับ
กีร์ไม่สนใจการเมืองและถือว่า
รัฐประหารคือการเมืองชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นกีร์ก็ไม่สนใจเรื่องนี้ด้วย
เพราะว่ารัฐประหาคือการเมือง
ตอนนี้กีร์สนใจขาอ่อนของเธอรึ!คำตอบก็ไม่เชิงว่าจะใช่!
ก็ไม่ใช่อีกสำหรับชายอย่างกีร์
ความรักและเรื่องชีวิตทางกามารมณ์ของกีร์ถูกฝึกปรือมาจากแม่ว่าไว้
แล้วว่า
แม่จะจัดให้ "ห้ามออกนอกกรอบนี้"
จะรักใคร่ชอบใครบอดแม่ก่อน
จะไปขึ้นเคียงนอนกียใคนรบอดแม่ก่อน
หรือถ้าลูกริคิดเที่ยวโสเภณีบอกแม่ก่อน
ไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวกับสตรีเพศ
ถ้าแม่เห็นดีเห็นงามด้วยจึงทำได้แล้วแม่จะให้ๆเงินไปเที่ยวกับคนรักนั้นๆตามจุดประสงค์ของกีร์ได้
กีร์ยอมรับเรื่องนี้มนชีวิตแบบฝังแน่นเอาทีเดียว
แม่อาจจะมิลิตัน(militan)กับลูกเกินไป แต่แนวคิดนี้จากแม่ของตนเอง เป็นของบริสุทธิ์ กีร์ถือว่าอย่างนั้น
หรือว่าแม่จะรักลูกหวงลูกเกินไปเพื่อรักษาพรหมจรรย์ของลูกไว้เพื่อ
อตนเองคือแม่เองเอาลูกทำผัว
แต่แม่ของกีร์ไม่มีความคิเและท่าทีแสดงออกในเรื่องนี้เน่ะ!จวบจนวาระสุดท้ายแม่ผู้บังเกิด้กล้าของกีร์และของกีร์เองได้ตายลงไปแล้ว
แต่วาทกรรมของแม่กีร์ยังผนึกไว้แน่นที่ทรางอกลูกตราบนิจนิรันดร์
ฉะนั้น กีร์เชื่อฟังวาทกรรมของแม่ดีกว่าคนใครอื่นทั้งหมดในโลกใบนี้
ในการมีความคิดกีร์ถือว่าแม่เป็นที่ปรึกษาชีวิตด่านสุดท้ายที่มีอยู่เมื่อ
เกิดมาเป็นคนมาด้วยดีด้วยกัน
กีร์คิดว่าสิ่งที่ตนคิดคัดสินใจนี่นะถูกต้องแล้ว
แม้ตอนนี้ ณ วินาทีนี้
กีร์ก็ยังคงและยังคงรำลึกถึงคำ
ฝึกสอนฝึกปรือสอนลูกของแม่ตนเองอยู่ ชนิด"ไม่ลืม" ประกบฉากเห็นขาอ่อนหญิงสวยๆ ที่อดจะนึกไม่ชอบไม่ได้ ไม่ชำเลืองมองอย่างมีมรรยาทว่าเอาเป็นว่าอยากมองและจ้องมันไปเสียไม่ได้
สำหรับกีร์นั่นยังบริสุทธิ์ไม่รู้
เลยว่าเพศรสจะเริ่มตรงไหนก่อนและอย่างไรเลย ไร้เดียวสาถึงขนาด
แต่กีร์ก็ภูมิใบในตนเองว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐที่เกิดมาเป็นคนแบบนี้
ที่สังคมเขาเรียกว่าอ่อนโลก อะไรอะรายก็ตามมนโลกนี้มันก็ได้อย่างเสียอย่างทั้งนั้น
นี้เป็นบทสรุปทางปรัชญาของกีร์หลังเข้าเรียนวิชาปรัชญาครบ 3 หน่วยกิตที่มหาวิยาลัยเบลนดิสกี เรื่องเดินขบวนอะไรเนี่ยกีร์ไม่เป็นกีร์กลัวการปะทะ กลัวลูกปืน แต่เสียภาษี และมีอุดมการณ์ทางการเมือง รักชาติ
ตามผู้ชนะ กีร์เป็นคนอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ สู้ๆแต่ และคลั้งไคล้แต่ไม่บ้าคลั้งระห่ำเลือดสาด ไม่เห็นแก่ตัวเห็นแก่สังคมเสมอ กีร์มิใช่เด็กปัญญาอ่อน
เชื่อมั่นในหลักนิติธรรม นั่นมีจริง
แม้ตนเองยังไม่แต่งงานและแม่ตนเองก็ตายไปแล้วตอนนี้
ใจเริ่มเลื่อนลอย
แต่กีร์ก็วกกลับมาที่
ข่าวเรื่องรัฐประหาร
"เพราะรัฐประหารก็เป็นการเมือง"
กีร์คิดอย่างถูกมุม
ตอนนี้
ทุกอย่างบนสังคมคนโดยสารรถไฟ
"มันเป็นธรรมดา ระหว่างเพื่อนผู้โดย
สาร ที่จะมองหน้าแล้วผ่านไปมองเป็นอย่างอื่น
มีแบบนี้กันบ้างและที่จะคุยกันนิดนึงบ้าง แบบว่าไปไหน อะไรทำนองนี้
แม้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน"
"เพรารถไฟถ้าจะชนกันหรือมีอุบัติเหตุรถไฟตกราง หรือมีเหตุร้าย จะเกิดเมื่อใดกับรถไฟขบวนนี้ไม่มีใครรู้ ล่วงหน้า นั้นคือมั่นใจ
สิ่งที่มั่นใจต่อไปสำหรับกีร์คือ
มันมิใช่รัฐประหารที่เบลนดิสกีแน่นอนเพราะเบลนดิสกีไม่มีการเ
มืองชนิดนี้ สงสัยเป็นเมืองใดเมือง
หนึ่งของโลกที่มีอิทธิพลทาวเศรษฐกิจและการทหารชนิดเข้มข้นอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่
หรือมิจฉาชีพกุข่าวลวงโลกหรือมุขของเฟคนิวส์(fake news) หรือว่าเป็นข่าวหนังสือแฟนตาซี(Fantacy) ทำขึ้นมาให้เร้าใจคนอ่านสนุกก็เป็นได้เพื่อหนังสือพิมพ์จะได้ขายดิบขายดี
อนึ่งตอนกีร์เรียนหนังสือวิชาหลักคือที่คณะเศรษศาสตตร์สากล มหาวิทยาลัยเบลนดิสกีทุนส่วนตัว พ่อแม่ส่งเรียน
ในมหาวิทยาลัย มีเพื่อนรักของกีร์คนหนึ่งเคยประสบภัยรัฐประหารด้วยตนเองในเมืองที่ห่างไกลจากเบลนดิสกีมาก
เพื่อนคนนั่นชื่อว่า"เจวา"ๆบอ
กว่า
เดินทาง ไปเที่ยวพักร้อนทางไกลพบเหตุรัฐประหารเกิดขึ้นที่นั่น
แต่มิใช่ในสนามรัฐประหารส่วนกลางของเมืองหลวง แต่เป็นเหตุการณ์บนรถโดยสารที่เจวาโดยสารไปทางถนนสายใหญ่เข้าเมืองหลวงแต่ห่าง
ไกลจากเมืองหลวงมากตอนนั้นเจวาจำได้ว่าเป็นรถโดยสารขาออกจากเมืองหลวงเป็นรถประจำทางขาออกเป็น รถประจำทางชนิดติดแอร์
เจวากำลังนั่งอยู่บนรถโดยสาร
รถหยุดทันที เมื่อนายทหารเป็นสารวัตทหาร2นายในเครื่อวแบบมีอาวุธปืนสงครามในครอวครอง
ได้โบกรถโดยสารที่"เจวา"เดินทางมา
ให้รถโดยสารหยุด
"รถจอดทันที"
เจวาพบว่าทหารถือปืนสะพายที่โบกรถให้หยุดนั้นและขออนุญาตตรวจค้น
อาวุธ
ทุกคนทุกที่นั่งไม่ยกเว้น
เจวาถูกตรวจหนังสือเดินทางและกระเป่า
เมื่อเขาตรวจทหารทั่ง2คนก็เดินลง
จากรถโดยสารที่เจวาโดยสารมเจวาจำได้ว่าเป็นสารวัตรทหาร
ทหารแต่งชุดทหารเรือและทหารอากาศ
ทหารมีอาวุธสงคราม
ลักษณะเตรียมพร้อมเมื่อมีภัย
เหตุเกิดตอนเที่ยงวัน
บนถนนสสายใหญ่สายหนึ่งของเมืองนั้นที่เจวาเดินทางไป เมืองนั้นเมื่อต่อมาการเมืองที่นั่นสงบลง เจวากล้าเปิดเผยชื่อเมื่องนั้น
ชื่อเมืองนั้นมีชื่อว่าเมือง"เทรา"
กีร์จึงคิดว่า
ก็วันนี้หากเกิดรัฐประหารจริง
ตามข่าว
ถ้างั้นกีร์คิด
ทหารของคณะรัฐประหารคงต้องขึ้นมาตรวจอาวุธบนรถไฟขบวนนี้แน่นอน และคงจะต้องมีตำรวจ
และทหารขึ้นมาตรวจอาวุธผู้โดยสารทุกคนแน่นอน
แต่นี่ไม่เห็นมีอะไร
ทุกอย่างปกติ
จะมีก็แต่เสียงนกกาและเสียงรถไฟกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า
กีร์คิดจะยืมหนังสือพิมพ์ของสตรีผู้นั้
นทีนั่งหน้าที่นั่งผู้โดยสารของตนเองมาอ่านก็เกรงใจเธอ
แม้เธอจะอ่านเสร็จพับครึ่งฉบับวางลงไว้ข้างๆที่นั่งของเธอ
รัฐประหารมัน ไม่เหมือนสงคราม คือถ้าสงครามเกิดทุกคนต้องรู้ ต้องประสบภัยตรงหรือทางอ้อมทุกหย่อมหญ้า
แม้แต่หมาก็ต้อ
งหายใจด้วยความระวัง
ถ้ามีสงครามเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งจริงๆ
"กีร์คิด"
ทำไมหรือทำไมสงครามจึงไปเกี่ยวกับเรื่องหายใจของหมาสัญจรหรือหมาบ้านด้วย เพราะสงครามจะเกิดภาวะไร้ความสะเวกของแพงเงินถูก
เศรษฐกิจจะเฟ้อมากหรือฝืดเคืองมากขึ้นมาเส้นอิคลิลิเบรียม(equilibrium) ทางเศรศาศาสตร์มันจะไม่ปกติ คือขาดสมดุลย์เหมือนที่มันเป็นในภาวะสงบสุขปกติแบบตอนไม่มีสงคราม
เพราะสงครามมีผลกระทบมว
ลทุกอย่างทั้งหมด ไม่มากก็น้อย
ตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์
แต่นี่เป็นเพียงรัฐประหารมิใช่เป็นสงคราม
คือรัฐประหารเป็นการปะทะระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ที่มีทางทหารกับทางทหารหรือกบฎของทหารต่อกบฎของทางทหารที่มาสู้กันเพื่อเอาแพ้เอาชนะกัน
ผู้ชนะเป็นรัฐะผู้แพ้เป็นกบฎ
คิดง่าย ๆ อย่างนี้เป็นสังกัป
นี่คือนิยามตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่เขานักคอลัมนิสต์เขียนๆอ่านประกาศ
ที่กีร์เข้าใจ
แม้แบบผิดบ้างถูกบ้างตรงบ้างเขวไปบ้างแต่กีน์เชื่อว่าประมาณนี้
ตามปรัชญาของรัฐประหารและการเมืองการปกครองในสังคม
ที่นั่งและอำนาจและอธิปไตยเป็นของผู้ชนะ ใครจะได้ก็ต่อเมื่อมีคนชนะได้สมบูรณ์นั้นเท่านั้น
เพราะมีคนเก่งปืนเก่งยุทธวิธีทางปืนและใช้เป็น ใช้อำนาจและคำสั่งปกครองแบบชั่วคราวเพื่อแสวงหาความยุติธรรมทวนกระแสจนเกิดขิดนิดก่รปดครองที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้แม้จะเป็นแบบชั่วแวบๆ แวมๆนึงๆ
ก็ตาม
และด้วยเหตุนี้รัฐประหารจึงเกิดขึ้นมาเพื่อแก้เหตุผลพิบัติทางการเมืองที่หาข้อยุติไม้ได้
แต่ ที่เบลนดิสกี ที่กีร์เกิดและเป็นประชากรและมีสัญชาติตามหนังสือเดินทางของเบลนดิสกีๆ
ไม่เคยมีรัฐประหาร เบลนดิสกี สงบเงียบ
เรียบร้อยด้วยดีเสมอมา
ไม้รู้ว่าเป็นได้อย่างไรอีกนอกนี้จากที่ตนเองเข้าใจ
และกีร์ไม่สนใจวิชารัฐศาสตร์
แต่สิ่งที่กีร์สนใจมากคือวิชาเคมีและวิทยาศาสตร์เท่านนั้น แต่ก็ไม่เคสไก้เรียนมันมให้ได้มากกว่า 3 หน่วยกิต
เลยในชีวิตนี้
กีร์รำพันให้กับตนเอง
ถึงแม้จะมีผลกระทบจากการรัฐประหารอย่างไร กีร์ไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลยและที่เบลนดิสกีก็ไม่เคยมีวัฒนธรรมรัฐประหารเลย นับจากวันที่กีร์ได้เกิดขึ้นมามองดูโลกของทที่นี่
ถ้าหากเกิดมีรัฐประหารที่เบลนดิสกี
ต่อกีร์
เองก็จะไม่สนใจการเมืองชนิดนี้มากนัก มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่และนักการเมืองและทหารเท่านั้น
ประชาขรอย่สวกีร์โง่เกินไปืาตะติดตามเรื่องนี้
กัร์สนใจแต่สีเขียวชอุ่มของใบไม้และกลิ่นหอมของดอกไม้ที่เกิดจากแหล่งธรรมชาติเท่านั้น
ทำไมกีร์เป็นเช่นนั้น
คำคอบคือแม่ของกีร์สอนมา
เพราะแม่ของกีร์สอนมา
ว่า
กีร์อย่าไปสนใจการเมืองเสียภาษีตามสัดส่วนให้รัฐก็เพียงพอแล้ว และไปใช้สิทธิเลือกตั้งเมื่อที่เมืองเบลนดิสกีจัดให้มีขึ้นตามสิทธิของพลเมือง
(civic)และปฏิบัติตัวทำตามสัญญาประชาคม(social contract) ก็เพียงพอแล้วเป็นมนุษย์สมบูรณ์ที่ดีสุดแล้วหากกีร์ทำได้.
อันนี้กีร์สารภาพว่า"แม่บอกมา"
ปล่อย
ให้คนมีความพร้อมและแข็งแรงกว่าเขา
สนใจเถิดการเมือง"แม่ของกีร์กล่าวสอนลูกในที่สุดอย่างนี้
หลักการสอนลูกของแม่กีร์ที่ลูกต้องจดจำคือท่านจะสอนหลังลูกอิ่มข้าวแล้วค่อยๆพูดค่อยๆจา ปกติท่านไม่ชอบพูดพร่ำเพรื่อพูดมากหรือติดขึ้บ่นอะไรนะ และท่านใจดีไม่หวังสิ่งต่างตอบแทนอะไรจากลูกเลยในชีวิตท่าน
"แม่ของกีร์เป็นอย่าวนั่นจริงๆ"
แล้วเวลาท่านจะสอนและพูดไปทำงานบ้านของ
แกไปเรื่อยๆ
กีร์จึงต้องจำทุกอย่างที่แกพูดอย่างเข้ากระดูกดำเลยทีเดียว
กีร์จำได้ว่าท่านทำแก้วใบสีใสใบหนึ่งหล่นตกแตกกระจายขณะเช็ดถูแก้วอย่างประณีตและบรรจงทำ
และทำมันตกกลงสู่พื้นปูนซิเมนต์ในห้อง
ครัว
กีร์เสนอตัวช่วยท่านกวาดมันไปทิ้ง
ท่านกลับบอกว่า"กีร์อย่าเข้าม
า
ใกล้"
"แม่จะทำมันเอง"
และท่านก็ค่อยๆกวาดและกวาดเอาไปทิ้งในที่ปลอดภัยสำหรับแก้วแตกเฉพาะของบ้านเบลนดิสกี
แม่กีร์มีชื่อเล่นว่า"ไวโอเลต"
ท่านเคยสอนกีร์ในปริบทของการเมือง ในฐานะแม่
"ไวโอเลตกล่าวต่อ"
เพราะกีร์เรียนมหาวิทยาลัย มันไม่วายที่ปัญญาชนต้องคิดเรื่องการเมืองกอร์ปไปด้วย
เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่เกิดในสังคมอย่างอุดม
ในฐานะนักศึกษาคือคนเรียนระดับนี้ต้องรู้ดีรู้ขชั่ว รู้จักผิดชอบชั่วดีเป็นคุณสมบัติ
และจบมาในระดับที่ใช้การได้คือได้มีการประสาทปริญญาบัตรเป็นหลักประกัน
แต่สำหรับกีร์ ไวโอเลตกำชับให้คิดอีกครั้ง เพราะไม่มีจิตการเมือง
ใช่ว่าจะมีชีวิตที่ดีไม่ได้ "ท่านย้ำ"
แล้วท่านก็พูดต่ออย่างน่าเชื่อน่าฟัง
"เรายังอ่อนโลก ครอบครัวเราไม่แข็งแรงพอ ที่จะไปสนใจการเมือง"
นั่นคือคำสอนของไวโอเลต
แม่ของกีร์สำหรับกีร์ ส่วนคนอื่นเรื่อง
ของเขา อย่าไปเอาอย่างเขา
"จงทำอย่างกาและจงเป็นกา แต่อย่าเอาเยี่ยงก
า""
และเมื่อรัฐประหารของฝ่ายชนะประสบความสำเร็จก็จะเกิดและเกิดการปกครองชั่วคราวขึ้นมา เช่นรัฐธรรมนูญฉบับเตรียมเผาทิ้งต่อไปขึ้นมา
จนมีรัฐธรรมนูญสากลตามมา
เพราะในการรัฐประหาร
ปืนคือคำสั่ง ปืนทุกคนมันคงจะระวังไม่หวาดไม่ไหว อาจจะนอนกอดปืนกันคยมุ่งร้ายเมื่อตนเองได้อำนาจมาแล้วชนิดถ้าอยาจะนอนแต่ก็คงไม่หลับได้
การมีรัฐธรรมยนูญคือทางออกเพื่อการบยุติการรัฐประหารฉบับการกบฎที่จะทำให้คนถือปืนได้
นอ
นตาหลับ หลังรัฐประหารได้สำเร็จ
ได้อันนี้เป็นเนติของความยุติธรรม
ของมนุษย์ยุคปัตจุบัน
ภายใต้หัวข้อความเป็นจริงคือเสรีภาพอันนี้เป็นสำคัญ
นั่นทุกคนต้องถือว่า
คือว่าเสรีภาพมในการกินการใช้
และการอยู่ได้ด้วยกันอย่างสงบปกติสุขนั่นเอง
รัฐประหารเกิดขึ้นได้เพราะ
คือเพราะเหตุผลพิบัติทางการเมือง
นี่คือสิ่ง
ที่กีร์มีความเชื่อและเชื่ออย่างเป็นและอย่างเป็นอุตมะเเละเป็นปฐม
แม้ตอนนี้ที่เมืองเบลนดิสกีที่กีร์เกิดมาแล้วรอดอยู่ได้ เบลนดิสกีเป็
นภายใต้เมฆหมอกและฟ้าสีครามที่เป็นเมืองที่มีภาวะที่ไม่มีสงคราม"
ส่วนว่าการโดยสารรถไฟขณะที่กีร์พบ เหตุการณ์แบบนี้
แม้ว่ากีร์จะโชคดีที่เสมียนที่สถานีเบลยดิดสกี้ จะตีตั๋วให้ได้
ที่นั่งใกล้เธอผู้โดยสาร
ในอึกมุมมองนึงหรือเสมียนออกตั๋วรถไฟจะจงใจและมีแผนให้กีร์กับเธอมานั่งใกล้ๆกัน"อันนี้กีร์ไม่รู้"
เช้าวันนั้น กล่าวคือผู้โดยสารอย่างสตรีผู้นี้ที่กีร์ถือว่ามีคุณภาพมิใช่ พบเด็กอ่อน คนขึ้เมาและขขี้คุย คนแก่คนพิการ สำหรับกีน์มองมัน
อย่างนี้
คนขอทานอะไรงี้ยังงี้แม้จะ มีเลขสำรองนั่งติดใกล้กันเท่านั้น
กีร์ถือว่าได้เพื่อนผู้โดยสารที่ด้อยคุณภาพ แต่กีร์ก็ไม่รังเกียจหากจะมีขึ้น
ที่กีร์ไม่ชอบนักเพราะที่กล่าวมาในตอนหลังข้อความที่อ้างถึงเรื่องนี้นั้นนั่น กีร์ถือว่าผู้โดยสารที่ไม่มีคุณภาพสำหรับกีร์เอาเลยละ แต่กีร์ไม่เคยโชคร้ายที่จะได้ตั่วดี
เมื่อเดินทางไปไหนกับรถไฟที่จะได้เพื่อนผู้โดยสารที่แปลกหน้าและได้มาพบกัน แบบคลุมถุงชน หรือแบบถูกมัดมือชกใคฐานะเป็นผู้โดยสาร
ที่มากับตั๋ว
ตอนที่3
ตอนที่3 เทียวไปจนฝนหยุดตก
จากตอนเช้าตรู่
เสียงดังขึ้น
"แกรกๆ"
ตอนนี้พายฝนเริ่มหยุดเพราะหมดแรงโมเมนตัมของธรรมชาติที่กีร์เชื่อ
กีร์ตื่นขึ้นเพราะเสียงแกรกๆนั้น
อะไรนะที่นี่มีแต่คนรวยมีจักิน
จะมา"แกรกๆ"ทำไม
พลันกีร์ตื่นขึ้นจากหมอนข้างคู่ใจสีดำ
ขลับเปื้อนน้ำหอมดีสกุลฝรั่งเศส
แมวรักชื่อว่า "โนวา" นอนซบที่
ปลายเท้าของกีร์อย่างซื่อสัตย์
มันนอนแทนเมียรักที่กีร์จะสวมกอดกันตามปกติเมียรักในอุดมคติของกีร์เหมือนบรรยากาศที่นอนกับเมียรักตอนฝนและพายุอ่อนมาทีเดียว
ความคิดแวบนนั้นผ่านไป
ใครนะมากวาดขยะตอนเช้าตรู่แบบนี้
กีร์จึงเปิดหน้าต่างไปดู
เช้นวันนั้นกีร์ไม่เปิดแอร์นอนเพราะอากาศหนาวมาก
มันเป็นคนกวาดขยะและคนที่ทำคือเจ้าเชวานั่นเองไม่มีใคร
กีร์จึงถามตนเองว่ามันกวาดขยะทำไมตอนเช้าตรู่แบบนี้ปกติคนงานก็มีทำให้มัน
สำหรับเชวาเคยเป็นหนี้ไส้เหลี่ยมจัด
กับครอบครัวของกีร์
มันฉวยโอกาศตอนกีร์ไม่อยู่บ้านกับ
แม่
แม่ของกีร์บอกว่าหนี้ของเชวายังไม่
คืน
ครับแม่กีร์ตอบรับ
เชวามากระลิ่มกระเลี่ยแม่ตลอดเวลา
หาเงินหมุรเวียนช่วงสร้างตัวในที่จับจอง1000ไร่ ที่อีก5ปีจะรับผล
ช่วงนั้นมันขาดทุนหมุนเวียน
มันเป็นคนนิสัยไม่ดีชอบฉวยโอกาส
และเอาเปรียบเพื่อน มักง่ายมือไว
เผลอไม้ได้
กีร์รู้อยู่แก่ใจและจับได้ผ่านกล้องวงจรปิดกีร์ไม่เคยโกรธเชวา
เพราะโกรธมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
ปรัชญากีร์มีว่าในเมื่อเราไม่ต้องการแขกไม่รับเชิญมาก็ปิดประตูบ้านเสียปล่อยหมาเอาไว้ถ้ามีเสียงเรียกอีกก็งดเสียงตอบเท่านั่นเองปัญหาก็จบล
ง
หากเชวาทำแสร้งแก้ตัวทำเป็นเจ็บขอความข่วยเหลือ
กีร์จะสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาอาชีพและเป็นเหลี่ยมโจร
ถ้าเชวาหรือใครเจ็บจริง
กีร์จะโทรเรียกรถพยาบาลมาจัดกา
ร!
เขาจะมาทันที รถพยาบาลที่นี่เยี่ยมมากเพราะได้รับเงินสนับสนุนอย่างงามจากรัฐและนายทุนเอกชนและมูลนิธิชนิดกินก่อนจ่ายทีหลังได้ที่เบลนดิ
สกี
"อันนี้ไม่แปลกที่เบลนดิสกีมีวัฒนธรรมอันดีงาม"
แม้ ร.พ.จะอยู่แสนไกลรถพยาบาล
ก็จะวิ่งเข้ามาไวสุดด้วยหวูดหวอ
กับพนักงานพยาบาลเร่งด่วนจำนวน 2 คนเสมอ
ที่กีร์เคยเห็น
รถเร่งด่วนชนิดนี้เงินเดือนงามเงินสมทบอีกเพียบ ถ้ามีการตายสิ่งของติดตัวคนตายเขายกให้คนที่หามผีอีกด้วย
กรณีนี้บริการฉุกเฉินอย่างนี้คนที่เบลนดิสกีรู้เรื่องนี้ดี
ฉะนั้นที่นี่ ถนนสายบีหมายเลขที่
1013 ชื่อเรียกทั่วไปเรียกว่าถนน"โค้งผีสิงคนตาย10ศพชอบ"ของเมืองเบลดิสกี
ใช่! รถฉุกเฉินช่วยได้
มันจึงสามารถช่วยคนเจ็บได้ท้นทีหากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่ถนนหน้าบ้านเบลนดืสกีอาคารเรือน(เอ )นี้หรือแม้ในบ้านเบลนดิสกีและบ้านอื่นที่รู้จักใข้บริการนี้
"เชวานิสัยเสีย" กีร์ใช้คำนี้อธิบายนิสัยของเจ้าเชวา"
เชวาชอบชอบริการเอื้อแบบทางเพ
ศเพื่อแลกกับเงินของคนหญิงสาวด้อยโอกาสและกับคนงานสาวๆด้วยเงินตอบแทนให้เพียงเล็กน้อยต่อการร่วมเพศหนึ่งครั้ง
เชวาชอบมาขอยืมเงินแม่ของกีร์เสมอในชั่วโมงเร่งด่วน เขวา เป็นหนี้แม่ก็ไม่คืน เท่าที่กีร์รู้
แม้ดอกเบี้ยและดอกทบต้นก็คง
ไม่เหลือมีให้ตามระบบหนี้ที่เชวาสร้างไว้กับแม่ของกีร์แน่นอน
เชวาชอบกินเหล้าที่แม่ของกีร์คบเพราะเห็นว่าเชวาเป็นหลานของเพื่อนบ้านเก่าที่เป็นเพื่อนกันสมัยเด็กต่อมาเธอนางโขมพาแม่ของเชวา
ตายด้วยอุบัติเหตุงูกะปะกัดตายชนิดช่วยไม่ทัน และไม่มีใครเห็นในวันคริสต์สมาส-อีฟ(Christmas eve)
กีร์จะดำเนินการอย่างไรกับ"เชว
า"ไหม?
เป็นคำถามอยู่ในใจของกีร์
คำตอบต่อมาของกีร์คือ
กีร์ไม่คิดใจอะไรทั้วสิ้นกับเชวาแต่จำไว้"มันมีได้ครรั้งเดียวนี้เท่านั้นของอดีตที่ผ่านเลยไปนี้. และจะไมมีอีก"
เป็นคำตอบ
ตามด้วยแนวคิดเชิงปฏิทัศน์ของกีร์ต่อมาว่า
ถ้าเชวากลับตัวใหม่
คือกีร์ขอ
ย้ำว่า"สักวันหนึ่งเชวาคิดว่า"คนผิ
ดสำนึกได้
เขาก็จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีเอง
เพราะกฎวิทยาศาสตร์และกฎแห่งคุ
ณธรรมคือกฎแห่งกรรมที่กีร์เชื่อ หลังเรียนที่มหาวิทยาลัยเบลนดิสกีแล้วตอบโจทย์นี้ได้แน่นอน
คือกีน์จะปล่อยเขาไป
เพราะเรื่องของฆาตกรนมที่ไม่เปื้อนเลือดมันเป็นอาญาชีวิตพิสดารชนิดหนึ่ง
มันเกิดไปแล้ว
วันหนึ่งศาลแห่งเทพเจ้าที่กีร์เชื่อว่ามีจริงจะหวนลงโทษเชวาเอง
มันหนักกว่าศาลกว่าคุกอีกหลายร้อยพันเท่าแม้ถ้านับ
ชาติเกิดแล้วมันยากที่จะจบสิ้น
"ว่างั้น" อันนี้กีร์เน้นคือโทษนี้"จะมิใช่เหตุผลให้คนในสังคมเข็ดหลาบ แต่มันเป็นความจริงอันอมตะ"
กีร์มีความเชิ่อและเชื่ออย่างนี้
แม้โลกจะไม่มีจารึกจริงๆว่าเคยมีประวัติศาสตร์ว่ามี เคยมีพระเจ้าในร่างมนุษย์ถูกตรึงด้วยไม้กางเขนตายอย่างทรมานก็ตาม
สรุปเหตุเสียงแกรกๆที่เกิดเช้าตรู่ที่หนาวๆและลมเย็นยะยือกแบบนี้นั้นคือเชวาต้องการปลุกให้กีร์ลุกขึ้นมาของเช้าวันอาทิตบ์ที่ปกติวันอาทิตย์จะไม่มีมคนทำงานที่เบลนดิสกีนี่
เพื่อกีร์จะได้ถูกงูกัดหรือภัยบางอย่างเพราะ
เชวาสืบทราบมาว่ากีร์มานอนพักที่
บ้านเบลนดิสกีเรือน(เอ)หรือเชวามีแผนบางอย่างในใจ
เพื่อขออะไรกับกีร์
เพราะปกติเชวาจะทำโดยพลการแต่เมื่อพลาดสายตากีร์แต่
บังเอิญเช้านี้กีร์นอนจุดติดถนนใหญ่ที่บ้านของเชวาอยู่ใกล้ในฝั่งตรงข้า
มที่มีต้นเมเปิล-จามจีรี
ใหญ่ค้นหนึ่งอายุ100 ขึ้นอยู่
เชวาจึงใช้กลอุบายนั้ด้วยวิธีกวาดขยะหน้าบ้านตน ที่มีมบไม้ร่วงมากมาย แค่ปกติเชวาไม่เคยทำแบบนี้ในวันอาทิตย์
เพราะเสียงแกรกๆนั้มันกวนประสาทส่วนกลางได้ดีชมัดในคนใครก็ตามเมื่อหลัยสนิทอยู่เมื่อได้ยินเสียง"แกรกๆ"แบบนี้ต้องตื่นทันที
มันเป็นเสียงไม้กวาดกระทบพื้นปู
นหนือดินถนนหรือป่าหญ้าเรียบ
แม้จะกวาดขยะในฐานะการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองที่ดี (civics) เพื่อทำ ให้ถนนหน้าบ้านของตนได้ดูสะอาด
แต่เสียงนี้มัน
มีพิษต่อประสาทส่วนกลางของมนุษย์
คือคนที่หลับสนิทต้องจำใจตื่นขึ้น
ทำลายอาอารมณ์ว่างั้น
ฉะนั้นเชวาทำคุณบูชาโทษและมีแผนบางอย่างอยู่ในใจกับท่านกีร์ลูกรักของเพื่อนแม่ตนเองนั่นเองด้วย
ปกติดเชวาไม่มีนิสัยซีวิคแบบนี้เลย
บนขบวนรถไฟแบบฉบับแบบเทียวมาและเทียวไปของท่านกีร์ณแห่งเบลนดิสกี (Guy von Blendisky)/(ท่า
าน กีร์ ณ. เบลนดิสกี)
กีร์นั่งสำรวมความในใจที่กำลังนึกคิดในสมองของตนเองมากกว่าจะไปคิดเรื่องสุภาพสตรีที่นั่งใจจดจ่อกับการอ่านหนังสือพิมพ์อยู่
สมองของกีร์ตอนนี้พร่ำคิดว่าพอถึงเมืองโนวาสคอตต์แล้ว
จะต้องทำอะไรบ้างเมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางที่สถานีโนวาสคอตต์ที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
เพราะเมืองโนวาสคอตต์มีความ
หลังสำหรับกีร์มากมาย
และทันทีที่สมองมันๆไม่เดินด้วยกีร์จึงมองไปทางหน้าต่างรถไฟโบกี้ที่ 7ที่หอบผู้โดยสารอย่างกีร์มาวันนี้
ที่ตนโดยสารมานั่นมันเป็นด้านมุขด้านตะวันตก
กีร์จำได้ว่า
หิมะตกเช้านั้น มันเป็นบรรยายกาศดีมากแม้จะหนาวเหน็จมือเย็นออกสีคล้ำๆ
อากาศเย็นมากถึงแม้บริสุทธิ์แห่งความเย็นจะมีของเช้านี้" กีร์รำพันในใจตนเอง"
ลมพัดปะทะบานกระจกหน้าต่างรถไฟเป็นระยะๆ
ตัวรถไฟวิ่งไปเรื่อย ๆ เพราะมันมีฟืนกับไอน้ำร้อนมันวิ่งนิ่มเพลินดีบางครั้ง ๆ มันก็กระชาก
พร้อมมีเสียงหวูด เรามักจะได้ยินตลอดทาง
" เสียงมันเหมือนคนร้องไห้ด้วยสำเนียงที่ กีร์แปลออกเป็นว่า
"เหยื่อยจังเลย"
- อยากพพักไปกินข้าวไร่ผัดปูและเบียร์ดีๆในห้องอาหารที่ตู้รถไฟตู้เสบียงสักงกรึบนะ"
จากหน้าต่างของรถไฟ
ที่เขาปิดกั้นกันหยดหิมะสีขาวปุ
ยงามสีผ้าฝ้าย
ที่มันโปรยปลิวเล็ดลอดเข้ามาโดนที่พนักโดยสารที่กีร์นั่ง
แน่นอนมันเย็นนะเช้านี้ "กีร์เพ้ออยู่ในใจ"
โชคดีที่วันนี้มีสตรี
สวยๆนั่งตรงกันข้ามแทนคนขึ้เมา
ที่กินบำนาญโดยสารมาที่ปกติจะพบเมื่อโดยสารมากับรถไฟขบวนนี้
กีร์ รู้สึกหนาว ๆนิดๆ
แม้สวมมใส่เ
สื้อกันหนาวขนสัตว์ตัวแมคการูน(ลาคูน)
ที่เบามากและบางแต่อุ่น
เพิ่มครอบทับมันเป็นการกันหนาวสีจากขนลาคูนเป็นสีน้ำตาลลายคาดดำคล้ายสีของขนกระรอกไฟหรือปีกนกเขาไฟสีขนข้นน้ำตาลปึกไหม้ที่ดูเป็นผสมปุยขาวอ่อนคาด
ที่อ่อนโยนตาเมื่อเผลอไปมองพบที่ไหนสักแห่งกลางป่สละเมาะทุ่งกว้าง
ใครตาถึงจะรู้ว่าเวสื้อหนังตัวลาคูนนี้มันกันหนาวได้ดีและเบานี่คือโอเว่อร์โค้ดที่กีร์สวมมาวันนั้น
ทุกคนมองเสื้อลาคูนตัวนั้นที่กีร์
สวมใส่มานั้นมันอย่างอิจฉา แม้คนที่มองอย่างอิจฉาทุกคนว่า"ตนเองก็มีสิทธิ์ซื้อมันเหมือนกันแต่หาซื้อแสนยาก ต่อกีร์เสื้อตัวนี้กีร์ซื้อมันมาจากร้านขายของเก่ามือสอง
แต่กีร์มองว่ามันถูกเกินเพราะได้มาเสมือนฟรี
ในรถขบวนนี้ไม่มีใครกลัวว่า
มันจะหนาวอะไรกับหยด
หิมะขนาดนี้ในเช้านี้ คนอื่นจึงลืมสวมเสื้อกันหนาวกันมาและเพราะส่วนใหญ่กินเหล้าหนักๆกั
นมาทั่งนั้นเช่นวอดก้ารัวเซีย
และคอดหญักฝรั่งเศส
และวิสกี้สกอตและสามดาวของอเมริกัน บางคนหล่อเหล้ารสหนักๆพกใส่ขวดเล็กเหน็บกระเป๋าติดตัวมาด้วย
เพราะว่ากีร์ไม่กินเหล้าหนักเป็นอาชีพ
จึงกลัวหนาวไว้ก่อนจึงได้เตรียมเสื้อกันหนาวมาตัวลาคูนมาด้วย
คนโดยสารอื่นส่วนใหญ่คอเหล้าหนักส่วนมากที่มากับรถไฟขบวนนี้
เพราะรถไฟขบวนนี้ปกติ
จะขนส่งพวกกรรมกรเหมืองถ่านหินเดินทางไปกลับระหว่างเหมืองที่ทำงานกับที่บ้านพัก
แวบ!หนึ่งกีร์บังเอิญมองไปที่
ยกทรงนมตึงแข็งตรงสู้ลมและขาอ่อนสตรีคนนั้นอีก
เหมือนว่า ยกทรงนมตึงและขาอ่อนของเธอจะไม่หนาวเอาเสียเลย
กีร์จึงคิดว่าเราเคยเห็นเธอที่ไหนหนอ! วันนี้มันหนาวเธอดูสวยคมขึ้น
ผิวขาว ลมหนาวทำให้เธอ ที่กีร์น่าจะหันมามองซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้เป็นอาห
ารตา
กีร์ จำได้ว่า"เคยเจอเธอกันครั้ง
หนึ่ง"
"ที่ไหนหนอกีร์พยายามทบทวนความคิดบนหัวอันน้อยนิดของตนเอง"
และนั้นก็คือบนรถไฟขบวนนี้นี่
"นั่นเอง" แต่คนละเที่ยวเดินทาง
มันเป็นเหมือนบังเอิญมาก
แต่จากนั้นกีร์ก็ฉุกคิดขึ้นอีกมาอีกว่า
ทำไมเราจึงได้มาพบกับแกอีกทั้งๆที่เราไมเคยรู้จักกันมาก่อน แล้วมันได้ตั๋วที่นั่งใกล้กันอีกด้วย"มันแปลก"
กีร์หลับตาลงคิดต่อไปแต่คราวนี้ทำเป็นงีบหลับ แบบทำตาปิดๆ
แต่ไม่ได้หลับคือทำตาหลับแบบคนจิตตก
สู่ภวังค์ คือแต่แกล้งหลับ
" แต่กีร์ก็หารู้ไม่ว่า"
ผู้หญิงคนนี้นั่นนละคือคู่ชีวิคของกี
ร์ในอนาคต
แต่กีร์ตัวเองนั้นไม่รู้มาก่อน
กีร์นิสัยปกติจะไม่ชอบหมอดูและไม่เชื่อในเรื่องความดลบันดาลในเทพเจ้าหรือพระเจ้า จะเชื่ออก็เรื่อง
เหตุบังเอิญว่านั่นคือพระเจ้า
และในภาวะไม่ปกติ
กีร์จะไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม แต่เชื่อแต่กฎหมายและสิ่งที่คิดเอาเองทำเองดีเองได้เท่านั้น
"ถ้างั่นเธอคงจะไม่ใช่เมียของกีร์ในอนาคต จากประโยคตกคิดของกีร์ที่กล่าวมา"
ดูต่อไป
คือว่าตามชะตากรรมผู้หญิงเธอจะเป็นคนรักแรกของกีร์ได้
ในฉากชีวิตและโอกาสต่อๆมา
ในหนแห่งวันหลังๆนานมาแล้วถึงปัจจุบันมีอยู่หลายคน แต่ไม่เคยมี
ใครลงตัวสักคนเดียว
ไม่รู้อย่างงัย!นะ
แต่มันเป็นอย่างอย่างนั้นเฉยๆเลย
ชะตากรรมของคนประหลาดนะ
กีร์เสริมคิดคล้อยตาม
แต่ว่า"นั่นแหละ" ที่คนที่เบลนดิสกี
เขาเคยทักมาเหมือนศาลเพียงตาและเทวาอารักษ์ที่ทีเกลื่อนกลาดที่เบลนดิสกีเคยตามบันดาลบอก
กัน
แต่กีร์ไม่เชื่อเรื่องนี้
แต่เมื่อนับความจริงของความจริงและพอมาเอาเข้าจริงๆเข้า
"ชะตาลิขิตมันนำพาไปเองทำให้ทั้งคู่เป็นคนรักกันจนได้
"งง"
ความจริงนี้แปลกมาก
"นี้น่างง"
กล่าวคือ
สตรีคนนี้เธอมีผัวแล้วและผัวของเธอตายไปแล้ว และเธอมีลูกติดหนึ่งคนแล้วต่อมาลูกติดนนั้นก็ตายไปแล้วเช่นกัน
และต่อมา..ต่อมา...ยังไม่มีใครู้ได้ตอนนี้
สำหรับกีร์ ชีวิตมีระเบียบและกีร์ไม่ชอบชีวิตอะไรที่จะทำให้สังคมตำหนิได้และทำให้น่าสงสัย
ยิ่งการจะได้คนรักสักคน
ที่มีลูกติดมีผัวแล้วกีร์ไม่รับได้แน่นอน!
ถ้าเธอมีสิ่งนี้แต่เธอมีคสามสวยในสายตาของกีน์อันนี้กีน์ตัดไปเลยที่จะเอาวามสวยของเธอมาบดบังการตัดวินใจยกให้เปลืมเสียเถิดสำกรับกีร์แต่เปฌนเพื่อรึุยกันได้
กีร์กับเธอเป็นคน
รักกันมาก
แต่ความรักแป็นสิ่งไร้เหตุผล
คืออะไรก็ได้ถ้ามันรักกันและมันลงตัวอะไรก็โอเคหมด
นี้คืออานุภาพของความรัก"กีร์คิด"
" ก็มาถึง"
เมื่อมาถึงคืนวันที่กีร์จะนัดหมา
ยกับ
เธอและกีร์จะสารภาพกับเธอเพื่อหมั้นกับเธอและกำกนดวันสู่ขอแต่งงานกัน
กลับมเป็นว่าวันอันสำคัญยิ่ง
วันนั้น
"เธอผิดนัด" แต่ก็มิได้หมายความว่า"เธอจะปฏิเสธกีร์"
เพราะอะไรหรือ?เธอถึงได้ผิดนัด
ก็เพราะว่ส"เธอได้ตายลงเสียก่อน
"
จึงทำให้กีร์
เสียใจมาก
แต่กีร์ก็ร์ยังสงสัยว่า
ทำไมหนอ
ทำไมเธอถึงมาด่วนตาย
"ต่อมาพบว่า"
เธอฆ่าตัวตายเพราะเธอสารภาพบาปกับตนเอง ด้วยแรงแรกรักที่มืดบอด เธอจำใจต้องโกหกกับกีร์ว่า
ที่จริงเธอมีผัวมาก่อนแล้วหนนึ่งคน
เยื่อพรหมจรรย์ของเธอกระจุยไปแล้ว
เธอมิใช่หญิงรักแรกกับกีร์
ตามที่เธอทำให้กีร์เข้าใจแม้รักแรกจะเป็นรักปริศนาแบบมีการคลุมถุงชน เพราะเธอถูกพ่อเลี้ยงของเธอบังคับแต่งงานกีบลูกชายหัวแก้วหีวแหวนที่เพื่อนของแม่และมีมรดกมาก
กีร์คือชายคนแรก
คนแรกที่"อานองค์"เธอรักกีร์จากใจเธอชื่ออานองค์ๆชื่อเธอนี้เหมือนชื่อเมืองแคว้นหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส
ท้ายสุดเธอจึงตัดสินใจ ฆ่าตัวตาย
ขออธิษญานไปพบรักกับกีร์ในชาติต่อไปหากชาติหน้ามีจริง
"ใช่"
เมื่อชีวิตรักมีอุปสรรค หลายคนตัดสินใจทำแบบนี้แบบอานองค์แต่อีกหลายคนไม่
"โลกนี้ก็แปลกดีน่ะ"
เมื่อกีร์ทราบว่า "อานองค์"เธอฆ่าตัวตายไปเสียแล้ว
แต่กีร์ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมแต่ กีร์โดยส่วนตัว คิดสงสัยว่า"พ่อหรืแแม่ของอานองค์ไม่ชอบตนเอง หรืออะไรสักอย่าง
กีร์พยายามปิดบัญชีรักนี้ แม้กีร์ยัง
เสียใจอยู่ "มึนตึบแบบทำอะไรไม่ถูกไปหลายเดือนทีเดียวละ!
กีร์ยังเสียใจอยู่ในส่วนลึกๆ
สำหรับการคิดฆ่าตัวตายตามอา
รองค์ไปด้วยนั้น
กีร์คิดว่า
"มันเป็นเรื่องไร้สาระ
สำหรับการที่มนุษย์คิดฆ่าตัวตาย" แม้กีร์จะมองว่ารักนี้สำหรับกีร์และอานองค์เป็นรักอมตะ"ก็ตาม
กีร์ครวญพินิจคิดต่อไปว่า:
การหาทางออกที่ดีกว่ามีเยอะสำหรับมนุษย์ แม้จะสูญเสียความ่รักไป ที่รักนี้บริสุทธิ์ที่กีร์ถือว่าการสูญเสียอานองค์คนรักของตนเองไปครั้งนี้มันยิ่ง
ใหญ่เหลือน่ะ!สำหรับในชีวิตของคนๆหนึ่ง
มีปมน่าสงสัยโดยคนข้างเคียง
เชื่อว่า " ถ้าอานองค์แต่งงานใหม่
รเกของผัวเก่าที่ตนควรได้รับตามพินัยกรรมที่"เมย์"ๆชื่อผัวคนแรกของอานองค์ที่ทำไว้ให้กับอาองค์
ทั้งหมดจำนวนมาก ระบุไว้ว่าถ้าอานองค์แต่งงานใหม่
มรดกทุกชนิดที่เมย์ทำไว้ให้เธอหลังเมย์ตายลงมรดกนั้นๆจะถูกระงับโดยพินัยกรรมมนทุกกรณี"
แต่กีร์ไม่สนใจติดใจอะไรและไม่เคยคิดเรื่องเงินๆทองๆเหล่านี้และ
กีร์ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ด้วย
ระหว่างที่กีร์คบกับอานองค์ๆไม่เคยแย้มพรายอะไรเหล่ายนี้ให้กีร์รู้
แต่กีร์ก็แวะไปที่วันศพเธอลงหวุมที่สุสานของโบสถ์ในฐานะเพื่อนรักผู้
สนิทกันมากเท่านั้น
จะอย่างไรก็ตาม
กีร์เสียใจเหมือนคนทั่วไปเสียใจ
เมื่อคนรักมาด่วนตายลง
แต่สำหรับกีร์มันไม่ถึงหลั่งน้ำตาอาบแก้มให้คนใกล้เคียงได้เห็น
แต่น้ำตาที่ใจของกีร์ไหลพรากอย่างเต็มหัวอกแน่นอน
สังเกตดีๆในวันฝังศพอันๆร้วิญญาณชีพของอานองค์นั้น
กีร์มีอาการอย่างนี้
ที่สีหน้าของกีร์ได้บ่งบอกได้อย่างชัดมาก
กีร์ยอมเสียใจเรื่องชีวิตและความรักเป็นปกติคือเป็นคน'ทำใจได้"
กีร์คิดว่าชีวิตคนเรามันก็เหมือนนิยายเดี๋ยวมีรักเดี๋ยวหมดรัก
เดี๋ยวตายจากกัน
เดึ๋ยวเปลี่ยนแปลงโน้นนี่นั่น
ทุกคนมันมีสิ่งเหล่านี้อยู่ร่ำไป
ปรัชญาชีวิตที่กีร์
เคยเรียนมาตอนอยู่โรงเรียนและ
ตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย
กีร์นำมาใช้ทุกอย่างทุกๆหัวข้อจากทุกๆหน่วยการเรียน ที่จำได้แม่นและสอบผ่านมา
เมื่อกีร์พบปัญหาชีวิต
เมื่อชีวิตมีอาการผกผันเกิดขึ้นๆไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขขึ้นก็ตาม
กีร์ได้ข้อสรุปว่าขีวิตไม่ใช่ภาพที่นักเขียนวาดเอาตามใจชอบได้
แม้มีองค์ประกอบมีสีสัน สวยงามเป็นมโนคติ สากลนิยมได้แบบไหนก็ตาม "ชีวิตมีใช่ภาพวาดแต่ชีวิตเหมือนนิยาย " กีน์เชื่
อว่าอย่างนั้นแน่นอน"
ต่อมาเมื่อ2ปีผ่านไป กีร์ได้พบรักใหม่
สวยกว่าเก่าอีก และทีฐานะมีสกุงเชื้อเจ้าน
ายโบราณอีก
ด้วยและแถมมีความรู้สูงอีกต่างหาก
"ใช่"
เป็นิวลา2ปีผ่านไปหลังจากที่อานองค์แฟนคนแรกของกีร์ตายลง
จากความเป็นจริง ที่กีร์ไม่อยากจะเปิดเผยให้ใครรู้นอกจากตนเอง "นั้นคือ"
"คือว่า"แต่กีร์พบในจิตเบื้องลึกของตนเองว่า
"อานองต์
คือหญิงแรก
หญิงที่
สวรรค์มอบให้มาสำหรับตนเอง
"เทพเจ้าแห่งความรักประทามา
จริงๆ" กีร์อุทานในใจของตนเอง
ในที่ลับๆหมือนแมลงภู่หาที่เจาะทำรังอยู่ในไม้เนื้ออ่อนผุๆ
ตามที่เงียบคนตาม
ยุ้งข้าวตามบ้านนอกสุดๆ
และตามที่มันทำตามวงจรชีวิตของมันอย่างสัตว์ปีกชนิดนี้ชอบกระทำ
แม้กีร์จะแต่งงานแล้วตอนนี้กับคนรักใหม่ครั้งที่สองนี้
แต่ใจของกีร์ยังคงคิดถึงอานองค์
เสมือนหนึ่งว่า
อานองค์
คือคนรักเดียวเท่านั้น
และเป็นรักที่รักมากๆ
แบบอมตะ
ถ้านิยายชีวิตจะมีให้เลือก
อย่างชนิดตามใจตนเอง
แบบเลือกรักได้ตามใจชอบ
กีร์พยายามสารภาพกับตนเอง
ที่ชายทะเลน้ำสีน้ำสีปานภาพวาดทิวทัศน์แห่งหนึ่งที่ชายทะเลเอเจีรา
ของเย็นวันหนึ่งบังเอืญกีน์ต้องผ่านไป ครเดียว ยามว่างสุดๆ
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
เป็นคำถาม "ก็ในเมื่อเรื่องของอานองค์ มันได้จบไปแล้ว"
ในเมื่ออดีตมันผ่านไปนานมาแล้ว
รถไฟและหิมะที่สถานีเบลนดิดสกี้ในวันนั้น ยังไม้ให้คำตอบนี้
ให้กีร์หายข้อวใจ
แม้กีร์
เองก็ไม่พบคำตอบนี้ แต่ภาพ
ที่สถานีเบลนดิดสกี้ในวันนั้น
และภารกืจของกีร์เพื่อก่ารเดินทางไปสถานีที่เมืองโนวาสกอตต์ก็จบไปหมดแล้ว เหมือนอาหารมื้อโปรดที่ได้ชิมและตนเองได้อิ่มไปแล้ว
พอใจไปแล้ว
แต่ทำไม ภาพวันนั้นที่สัาาเวลนดิดสกี้แงะหิมะตกโปรยลงมาขณะรภไฟกำลังแล่น
ภาพความทรงจำนั้นๆ
มันยังมาหลอนให้กีร์นึกเป็นมโนภาพที่ให้กีร์เห็นมันอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ร่ำไป
หรือว่า
"ผีหลอก"
กีร์จึงภาวนาว่า
ถ้าผีจะมาหลอก
ผีจงไปอยู่ส่วนผีเถอะ อย่ามาลวงหลอกมนุษบ์ลย
และสำหรับกีร์ไม่เชื่อว่าผีมีจริง
กีร์มีปืนไว้ในครอบครอง
เสียงกระสุนของปืนมีจริง
และลูกดนะสุนมันสามารถทำลาย
ชีวิตคนได้
กีร์เขื่อเรื่องอานุภาพของปืน
แม้กีร์จะเป็นเจ้าของมันแต่ไม่เคย
ใช้มันเลย เพราะปืนมันอันตราย
พอดีเป็นมรดกีร์จึงมีมัน
และปืนก็มีไว้เพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น
มิใช่มีปืนไว้เพื่อฆ่าคน หรือไว้ยิงผี
อันนี้เป็นความคิดของกีร์
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!