NovelToon NovelToon

เป็นตัวประกอบทั้งทีแต่จะขอให้เพื่อนนางเอกอย่างเธอมีความสุขให้ดู!!

บทนำ : ผมนี่แหละตัวประกอบ

"เพราะว่าฉันน่ะชอบเรกกะที่สุด แต่ว่าก็ไม่อาจจะหักหลังเพื่อนรักคนสำคัญด้วยเหมือนกัน"

 

นั้นคือคำตอบที่ผมได้รับเมื่อได้สารภาพความรู้สึกให้กับสาวที่ชอบ ใช่แล้วผมโดนปฏิเสธกลับมาอย่างสุภาพ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร

 

"งั้นเหรอ ขอโทษนะที่ดันทำให้เธอลำบากใจแบบนี้ซะได้"

"ไม่เป็นไรหรอกฉันก็ไม่ได้รังเกียจในส่วนนี้ของนาย แต่ก็ดีใจนะที่ยังมีคนคิดจะมาชอบสาวไร้เสน่ห์แบบฉัน ได้เวลาแล้วล่ะงั้นขอตัวก่อนนะ"

 

ร่างนั้นวิ่งผ่านผมไปท่ามกลางแสงแดดที่ค่อย ๆ หายไปยามอาทิตย์อัสดง ภายในห้องเรียนที่ไร้ซึ่งผู้คน บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความเงียบเหงากำลังกัดกินจิตใจของชายหนุ่มให่จมสู่ความสิ้นหวัง

 

ซะเมื่อไหร่กันล่ะ!!!

 

"เฮ้ออออออ"

 

ชายหนุ่มในชุดนักเรียนวัย 18 ปี ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า แม้จะเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่นี่ก็เป็นอีเวนต์สำคัญที่เกิดขึ้นในชีวิต แม้จะถูกปฏิเสธแต่สำหรับเขาแล้วมันคือจุดเริ่มต้นต่างหาก

 

บุคคลที่เขาได้สารภาพรักไปนั้นก็คือ 'ไรซ่า' เด็กสาวผมสั้นสีน้ำตาลลุคทอมบอย ผู้เป็นหนึ่งในที่นิยมจากคนทั้งโรงเรียน ต่างกับเขาที่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรโดดเด่นให้น่าจดจำเลยสักนิด 

 

ชายหนุ่มรีบหยิบกระเป๋านักเรียนของตนขึ้นมาสะพายไว้ด้านหลังพร้อมห่ออุปกรณ์อันยาวที่มัดเก็บเป็นอย่างดี ก่อนที่จะเดินออกจากห้องเรียนไปอย่างเงียบ ๆ 

 

สวัสดีครับ ชื่อของผมคือ 'เอ็กซ์เซ่' เขียนเป็นภาษาอังกฤษก็คือ 'EXE' ตัวละครพิมพ์นิยมของนิยายหลาย ๆ เรื่องแต่ผิดไปหน่อยก็ตรงที่ ไม่ได้เก่งเทพหรือมีพรสวรรค์เหนือมนุษย์แต่อย่างใด ดังนั้นการที่จะมีใครสักคนมาชอบก้เปรียนเสมือนเป็นการฝันกลางวัน การเรียนก็กลาง ๆ กีฬาก็สามัญชนหน้าตาก็ถูไถ แต่ติดตรงที่ว่ามีเงินในระดับหนึ่งเนื่องจากทางบ้านนั้นมีธุรกิจค้าขาย ผมอาศัยอยู่กับน้าสาวและลูกพี่ลูกน้องที่เป็นผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง

 

อะ ๆ แต่เดี๋ยวก่อนถึงจะดูกระจอก แต่เพื่อนผมนั้นคนละขั้วกับผมเลย อัธยาศัยดีหน้าตาหล่อเหลา เรียนดีกีฬาเด่นแถมยังมีสิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์อีกด้วย ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะประสบความสำเร็จ อัจฉริยะโดยแท้จริง ถึงแม้จะฟังแล้วทำให้ชีวิตผมดูแย่ลงไปอีก แต่เพื่อนคนนี้ก็สนิทกับผมมากอย่างบอกใครเรียกได้ว่าเพื่อนรักเลยก็ว่าได้

 

ใช่แล้วล่ะเพราะมีหมอนั้นอยู่ผมถึงได้ต้องมาอยู่ในสภาพอกหักแบบนี้ แต่ผมไม่โทษเขาหรอกนะเพราะนั้นมันก็เปรียบเสมือนการแพ้แล้วพาลคนอื่น ผมยอมรับในคุณค่าของตัวเองที่ด้อยกว่า...

 

ใช่แล้วผมมองดูแล้วชีวิตนี้ผมไม่มีทางเป็นตัวเอกได้อย่างใคร ๆ เขา แต่ว่ามันก็มีสิ่งที่ผมสามารถทำได้อยู่เช่นกัน สิ่งที่ผมคนเดียวเท่านั้นที่จะทำได้

 

"กลับมาแล้วครับ"

"โอ้ ยินดีต้อนรับกลับ ทำไมวันนี้ถึงเลิกช้าล่ะ ?"

 

ทันทีที่มาถึงบ้านก็ได้คำทักทายจากพี่สาวบุญธรรม ที่กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนโซฟารับแขกอย่างสบายใจ เธอคนนี้มีมีอายุห่างกับผมประมาณสามปี เรียนจบแล้วตอนนี้ทำงานเป็นนักธุรกิจค้าขายในเมือง

 

ผมเหลือบมองเธอจากด้านหลังของโซฟา วันนี้เธอใส่เสื้อกล้ามตัวบางสีเทาซึ่งเปิดเผยเนื้อตัวพอสมควร จากมุมนี้สามารถทำให้เห็นภูเขาสองลูกที่กลมกลึงเบียดเสียดกันอยู่ในเสื้อได้อย่างชัดเจน ผมล่ะแปลกใจจริง ๆ ทั้งที่เธอทั้งสวยเก่งหุ่นก็ดีแถมยังฉลาดหัวการค้าแบบสุด ๆ แต่กลับยังไม่มีแฟนหรือคิดจะแต่งงานสักที ทั้งที่ถึงวัยที่จะออกเรือนแล้วแท้ ๆ แต่กลับเลือกที่จะอยู่บ้านเล็ก ๆ ภายในเมืองหลวงอันแสนวุ่นวาย

 

"พอดีผมไปสารภาพรักกับสาวที่ชอบมาน่ะครับ"

"เอ๋ เอาจริงดิ แล้วเป็นไงบ้างสำเร็จมั้ย ?"

 

ทันทีที่ได้ยินคำตอบของผมไปแบบนั้น ร่างของเธอก็เด้งตัวตั้งตรงหันกลับมามองผมด้วยสายตาเป็นประกาย

 

"อกหักสิครับพี่ถามมาได้นะ"

"ก็คิดแล้วล่ะนะว่านายต้องแห้ว ฮ่าฮ่า ก็ฉันเคยบอกแล้วนี่ว่านายน่ะต้องพยายามให้มากกว่านี้"

"ครับ ๆ จะพยายามกับชีวิตให้มากกว่านี้ครับ งั้นผมขึ้นไปพักสักครู่นะ เดี๋ยวจะลงมาทานข้าวเย็น"

"อา...ถ้าไม่ไหวล่ะก็คืนนี้มานอนให้พี่สาวคนนี้ปลอบก็ได้นะ"

"ตายดีกว่าครับถ้าจะต้องทำแบบนั้น"

 

ผมตอกกลับไปพร้อมรีบวิ่งหนีขึ้นชั้นสองอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะถูกหนังสือที่อีกฝ่ายปามานั้นกระแทกใส่หน้า 

 

ไอ้การพยายามน่ะมันไม่ใช่สิ่งไม่ดีหรอกนะ ทุกคนล้วนอยากให้ตัวเองนั้นดีขึ้นเสมอ แต่ว่าไม่ใช่ว่าจะต้องพยายามทุกเรื่องสักหน่อย...

 

แล้วเราอยากจะพยายามในเรื่องอะไรดีล่ะ ? ผมถามตัวเองทันทีเมื่อเข้าในห้องนอนของตัวเอง ที่ภายในห้องนั้นมีหนังสือมากมายตั้งเรียงกันเป็นตับ ในโลกยุคนี้ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกหรือเทคโนโลยีขั้นสูง ดังนั้นมีแต่หนังสือนี่แหละซึ่งเปรียบเสมือนขุมทรัพย์สำคัญที่ใช้บอกฐานะทางครอบครัว ถึงแม้ว่าผมเองก็ไม่ได้รวยมากมายอะไรนัก แต่ว่าทุกคนก็ดูเหมือนจะไม่เสียดายเงินที่ซื้อหนังสือมากมายมาให้ตัวผมได้อ่าน แม้ว่าราคาต่อเล่มนั้นจะมากพอขนาดที่ใช้ซื้อข้าว 5-6 มื้อได้สบาย ๆ ก็ตาม

 

คิดไปคิดมาผมที่นอนกลิ้งอยู่บนเตียงก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความเหนื่อยล้า จนกระทั่งได้ยินเสียงของเงินเหรียญกลิ้งตกลงลงบนพื้น

 

"หือ..."

 

ผมรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมกับก้มตัวลงไปหยิบเหรียญนั้นขึ้นมา แล้วจู่ ๆ ในหัวของผมก็นึกอะไรได้ขึ้นมา

 

"ใช่แล้ว สิ่งที่เราสามารถทำได้ดีที่สุดในแบบของเรา"

 

แสงสว่างแห่งความหวังผุดขึ้นมา ราวกับพระเจ้านั้นได้ตอบรับคำร้องขอของผมที่อ้อนวอนต่อพระองค์ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เชื่อในเรื่องนั้นเลยก็ตาม

... ...

ใช่แล้วสิ่งที่ผู้คนเปรียบเปรยมันว่าเป็นดั่งพระเจ้า เพราะหากไม่มีมันชีวิตก็คงลำบากหรือไม่ก็ต้องอดตาย

 

"นั้นสินะ ตัวเราในโลกก่อนก็ถนัดเรื่องนี้นี่นา หึหึ"

 

ตอนที่ 1 : เพื่อนสนิท เพื่อนสมัยเด็กและคนที่แอบชอบ

"อรุณสวัสดิ์เรกกะ"

"สวัสดีเอ็กซ์เซ่"

 

ผมทักทายเพื่อนรักที่สนิทที่สุดเมื่อมาถึงห้องเรียนรวม ก่อนที่จะสวัสดีคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ในห้องเรียนอีกด้วย ก่อนที่จะเดินไปนั่งข้าง ๆ เรกกะ ชายหนุ่มรูปหล่อหน้าตาดีมาดผู้นำ ที่เป็นเสมือนดาวเด่นของห้องเรียนของพวกเรา

 

"มาเร็วจังเลยนะวันนี้น่ะเอ็กซ์เซ่คุง"

"มารินเองก็มาเช้าเหมือนกันนะ พอดีเมื่อคืนได้นอนเต็มที่น่ะเลยตื่นไว"

 

เสียงเล็ก ๆ อันสดใสของหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันดังขึ้นข้าง ๆ เรกกะ หน้ายิ้มแย้มสดใส มารยาทก็ดี นิสัยก็ดี ผมยาวสีเหลืองทองเข้มยาวถึงเอว ส่วนสูงเพียง 160 เซนติเมตรพร้อมด้วยเรียวแขนและขาที่บอบบางนั้นทำให้เธอน่าถนุถนอมเป็นที่สุด แถมยังอัธยาศัยดีดวงตากลมโตสีเดียวกันกับเส้นผมทำให้ดูน่ารักเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าฐานะของเธอจะเป็นถึงลูกสาวของดยุค แต่ก็ไม่มีใครรังเกียจหรือไม่ชอบเธอเลยสักคนเดียว

 

แน่นอนว่ามีชายมากหน้าหลายตาต่างหลงใหลได้ปลื้มความดีงามที่เกินจะบรรยายนี้ ทำให้ใคร ๆ ต่างก็เปรียบเปรยเธอว่าเป็นนางฟ้าที่จุติลงมาบนโลกก็ไม่ผิดแต่อย่างใด

 

รอยยิ้มที่เพียงแค่เห็นก็ทำให้โลกสดใสขึ้นมาได้ในพริบตา ผมเห็นพวกมันมาตั้งแต่เด็กจนโตแล้วดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกแปลกหรือเขอะเขินแต่อย่างใด ผิดกับเพื่อนสนิทที่นั่งข้างกัน เรกกะนั่งหน้าแดงเล็กน้อยอย่างผิดปกติ

 

ก็แหม...ทำไงได้ในเมื่อได้นั่งข้างคนที่ชอบมันก็ต้องมีเขินกันบ้างนี่นะ

 

"เห...ไปทำอะไรดี ๆ มางั้นเหรอถึงได้นอนเต็มที่น่ะ ?"

"ก็นิดหน่อย มารินเถอะช่วงนี้ยังได้รับจดหมายรักอีกรึเปล่า ?"

"ก็เรื่อย ๆ น่ะนะโดนสารภาพรักหลังเลิกเรียนเกือบทุกวันแต่ก็ปฏิเสธไปหมดนั้นแหละ ถามทำไมเนี่ยหรือว่าหวงเพื่อนสมัยเด็กอย่างฉันเหรอเอ็กซ์เซ่"

 

คำพูดของมารินทำเอาเรกกะสะดุ้งไปเล็กน้อย หมอนี่เหลือบสายตามามองผมที่กำลังหยิบหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์ขึ้นมาตั้งบนโต๊ะ

 

อะไรเล่า นี่นายกำลังระแวงผมเหรอเรกกะ บ้าบอตัวผมที่เป็นคนธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรให้น่าสนใจก็เป็นได้แค่เพื่อนของยัยนี่เท่าไหร่แหละ ไม่เหมือนกับนายหรอกนะ

 

"ไร้สาระน่า ฉันไม่มีสิทธิ์จะหวงเธอสักหน่อยยัยเฉิ่ม แต่ว่านะทำไมไม่ลองคบกับใครสักคนดูล่ะ ท่านลุงเองก็ดูจะไม่ได้เข้มงวดกับเธอเท่าไหร่ด้วยนี่"

 

ผมลองยิงคำถามกลับไปให้มารินดูบ้าง ทันทีที่เธอได้ยินแบบนั้นก็ทำหน้าเหยเกออกมา ก่อนที่จะส่ายหน้าเบา ๆ เป็นการปฏิเสธ

 

"การคบกันน่ะไม่ได้จะใครหรอกนะอีตาบ้า ฉันเองก็มีสเปคที่ชอบอยู่ในใจเหมือนกัน แต่ไม่ใช่แบบนายแน่ ๆ"

"เห...งั้นแบบไหนล่ะแบบเรกกะรึเปล่า ?"

"อึก"

 

มารินสะอึกในลำคอทันทีก่อนที่จะค่อย ๆ หันหน้าไปทางอื่นพร้อมส่ายไปมาเบา ๆ ราวกับจะปฏิเสธ คนเขาดูออกเฟ้ยว่าเธอนั้นปิ้งหมอนี่อยู่ เรกกะที่ได้ยินแบบนั้นก็กระทุ้งศอกใส่ท้องผมเบา ๆ ด้วยท่าทางที่แอบเขินอยู่ไม่น้อย

 

"โอ็ยยยย"

"นายพูดแบบนั้นมารินลำบากใจนะเฟ้ย"

"แล้วแกจะดูดีใจทำไมล่ะเห้ย"

"ไม่ได้ดีใจสักหน่อย"

 

เรกกะปฏิเสธหัวแข็งพร้อมหันไปมองมาริน ที่เธอนั้นก็หันมามองเขาเหมือนกัน ทำให้ทั้งคู่จ้องสายตาของกันและกันโดยบังเอิญ เมื่อรู้ตัวต่างฝ่ายต่างก็หันหน้าหนีไปคนละทาง

 

แกรก!!

 

ระหว่างนั้นเสียงประตูห้องเรียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ท่าทางเย็นชาพร้อมเรือนผมสีน้ำตาลที่เด่นสะดุดตา หนึ่งในสาวงามของห้องที่เป็นรองแค่มารินก็ได้เดินเข้ามา เธอกล่าวทักทายทุกคนในห้องตามมารยาทก่อนที่จะเดินเข้ามาหาพวกเราทั้งสามคน

 

"อรุณสวัสดิ์ไรซ่า"

"มอนิ่งนะไรซ่า"

"โอส!!!"

"อืม อรุณสวัสดิ์นะทุกคน"

 

ไรซ่าหญิงสาวร่างสูง 175 เซนติเมตรพอ ๆ กับผมและเรกกะเลยก็ว่าได้ เธอนั้นเดินมาที่โต๊ะนั่งลงข้าง ๆ มารินด้วยความเรียบนิ่งตามปกติ เธอนั่งลงพร้อมหยิบหนังสือเรียนออกมา จากนั้นก็ใช้แขนโอบกอดไหล่ของมารินก่อนที่จะดึงเข้าหาตัว

 

"วันนี้มารินก็น่ารักเหมือนเดิมเลยนะ"

"ไรซ่าเองก็เหมือนกัน วันนี้ทำไมถึงมาช้าล่ะ"

"พอดีว่านอนดึกน่ะขอโทษน้า"

 

หญิงสาวผมสั้นพูดขอโทษมารินด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนสุดหัวใจ มารินก็หัวเราะออกพร้อมบอกว่าไม่เห็นจะต้องขอโทษเลยเรื่องแค่นี้เอง จะว่าไปขอบตาของเธอก็ดูคล้ำขึ้นนิดหน่อยนะ สงสัยคงจะนอนดึกจริง ๆ หวังว่าคงจะไม่ใช่เรื่องที่ผมสารภาพรักกับเธอเมื่อวานนี้หรอกนะ

 

"นี่ เรกกะถอยไปห่าง ๆ กว่านี้ได้ป่ะนั่งเบียดมารินแบบนี้เธอจะอึดอัดเอานะ"

"งั้นเหรอ ขอโทษ ๆ"

 

เรกกะที่ถูกไรซ่าทักก็รีบขอโทษพร้อมขยับก้นมาเบียดผมแทน ทำให้ผมนั้นต้องขยับตามไปด้วย พับผ่าสิถ้าไม่ได้ยินมีหวังโดนเรกกะเบียดตกม้านั่งไปแล้วนะเห้ย

 

"นี่เรกกะคุงงงงงงงงงงง มานี่เดี๋ยวนึงสิ"

 

ระหว่างนั้นเองเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งที่เป็นหญิงสาวหน้าตาดีก็โบกมือเรีกยเรกกะ โดยมีกลุ่มเพื่อน ๆ ทั้งชายและหญิงต่างหันมาทางเราแทบทั้งสิ้น กลุ่มของคนพวกนั้นมีประมาณ 6-7 คน ที่สนิทกับเรกกะด้วยเหมือนกัน

 

แม้ว่าผมพอจะรู้ว่าเจ้าตัวนั้นไม่อยากจะลุกขึ้นไป แต่คนอย่างเรกกะนั้นปฏิเสธใครไม่เป็นอยู่แล้ว ดังนั้นหมอนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกับบอกขอตัวสักครู่ถึงผมไว้กับสองสาวที่เหลือ

 

ใช่ว่าพวกผมจะไม่มีเพื่อนหรอกนะ แต่ว่าด้วยความสนิทกันมาก ๆ ของพวกเราทั้งสี่ทำให้กลายเป็นกลุ่มก้อนที่น้อยคนนักจะเข้ามาแทรกหรือคุยด้วยได้ มารินเองก้เพื่อนเยอะแต่สนิทจริง ๆ แล้วนอกจากผม เรกกะและไรซ่าแล้วนอกนั้นก็ไม่ได้ถึงขั้นคุยกันเป็นการเป็นงานสักเท่าไหร่

 

เพราะแบบนั้นทำให้บรรยากาศสดใสของกลุ่มเราค่อย ๆ ลดลงไปโดยปริยาย

 

"เอ็กซ์เซ่ว่างรึเปล่า ?"

"หือ หัวหน้าห้อง ? ว่างครับมีอะไรรึเปล่า"

 

ระหว่างนั้นดูเหมือนหญิงสาวอีกคนที่เป็นหัวหน้าห้องของพวกเรานั้นได้เรียกชื่อผม เธอเดินเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรนพร้อมเอกสารใบหนึ่งในมือ

 

โดยเธอเข้ามาพร้อมกับเพื่อนของเธออีกสองสามคนที่เป็นรองหัวหน้าและเลขาประจำห้องเรียน ที่แต่ละคนนั้นล้วนมีมาดและสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป

 

"ช่วยดูเอกสารนี่ให้หน่อยสิว่าฉันเขียนถูกรึเปล่า พอดีว่าจะเสนอของบจากสภานักเรียน ในช่วงงานเทศกาลเดือนหน้าน่ะ"

"ได้ครับสักครู่นะครับ...อืม รวม ๆ แล้วก็ถูกต้องครับไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ว่าหัวหน้าให้ผมรับผิดชอบเรื่องนี้แทนก็ได้นะครับ"

"จะดีเหรอ ?"

"ดีสิครับ ไม่แน่ว่าถ้าผมไปเจรจาอาจจะได้งบเยอะกว่าที่เขียนไปก็ได้นะครับ"

"ว้าว วิเศษไปเลยนั้นสินะบ้านของเอ็กซ์เซ่ค้าขายนี่นา ช่วยได้มากเลยขอบคุณมากนะ"

"เล็กน้อยครับ"

 

ผมอาสารักงานของหัวหน้าทันที พร้อมใส่กระดาษลงในแฟ้มเก็บเอกสารส่วนตัวลงในกระเป๋า หน้าตาของหัวหน้าห้องดูเป็นประกายสดใสขึ้นมาเลย ราวกับถูกขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปอย่างไรอย่างนั้น เพื่อน ๆ ของเธอเองก็ไม่ต่างกัน แหงล่ะ เดิมทีหนังสือการร้องขอนั้นเดิมทีควรจะส่งคนไปเจรจาด้วย เนื่องจากอาจจะถูกตัดงบหรือหักค่าต่าง ๆ ที่ดูไม่จำเป็นได้หากไม่มีการชี้แจงโดยละเอียด

 

"จะว่าไปเอ็กซ์เซ่นี่วันนี้นายดูแปลกไปรึเปล่านะ"

"หะ แปลกเหรอครับ ?"

รองหัวหน้าห้องที่นิ่งเงียบมาตลอด จู่ ๆ ก็ได้ทักผมขึ้นมาเฉย ๆ ซะอย่างนั้น อะไรหว่าแปลกไปงั้นเหรออะไรล่ะ ถ้าเรามองตัวเองก็คงไม่รู้หรอกว่าดีขึ้นหรือแย่ลง แต่ฟังแล้วดูไม่ดีเลยแหะที่ถูกทักแบบนี้

 

ถามตรง ๆ ไปเลยคงจะดีกว่าสินะ...เพื่อความสบายใจของเราด้วยแล้ว

 

"ยังไงเหรอครับคุณ 'ลูเวียร์' ไปในทางที่แย่ลงเหรอครับ ?"

"เปล่า ๆ ตรงกันข้ามดีขึ้นต่างหาก ตัดผมมาใหม่สินะอืมดูดึขึ้นมากจริง ๆ"

"สังเกตละเอียดจังเลยนะครับ"

 

ใช่เธอเดาถูกจริง ๆ ด้วยแหะ เมื่อวานนี้หลังจากที่ตัดสินใจแล้วว่าจะพัฒนาตัวเอง เราก็รีบไปร้านทำผมให้ช่างที่สนิทช่วยทำให้เราดูดีขึ้นสักหน่อย แต่ทางร้านก็บอกกลับมาว่าเดิมทีเราก็ดูดีอยู่แล้ว แต่แค่ท่าทางแล้วทรงผมเฉย ๆ ที่เรามักจะตัดเลยทำให้กลบรัศมี แต่ก็นั้นแหละมันเปลี่นแปลงไปแค่นิดเดียวจริง ๆ จนแทบจะไม่มีใครรับรู้ได้เลยว่าเราไปตัดผมมา

 

มารินที่ได้อยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินแบบนั้นก็หันมามองผมด้วยสายตาตกตะลึงเหมือนกัน ก็นั้นสินะไอ้เราก็นึกว่าเธอรู้แล้วแต่ไม่ทักซะอีก ปกติเราก็คิดว่าผู้หญิงจะช่างสังเกตมากกว่านี้น่ะเนี่ย แต่คงจะใช้กับมารินไม่ได้แหะ ส่วนไรซ่าที่ไม่ได้มองมาทางผมก็ยังคงหันหน้าไปทางอื่นอยู่ดี

ใช่เธอมองไปยังเรกกะที่กำลังคุยอยู่กับคนอื่น ๆ นั้นแหละ...

 

"ตัดผมแบบนี้แสดงว่าช่วงนี้นายคิดมีอะไรดี ๆ เข้ามาในชีวิตล่ะสินะ หรือว่าจะมีแฟนกับเขาแล้วเหรอห้องไหนล่ะ ?"

"พะ พูดอะไรกันน่ะครับผมไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกครับ"

"งั้นเหรอ...แต่จะว่าไปแล้วนายได้ยินเรื่องคะแนนนิยมบ้างรึเปล่าล่ะ ?"

 

ผมทำหน้ามึนงงขึ้นมาในทันที คะแนนนิยมเหรอจะมีการเลือกตั้งหรือผู้บริหารประธานนักเรียนรอบใหม่เร็ว ๆ นี้เหรอ แต่มันพึ่งจะจัดไปเมื่อปีที่แล้วเองนะแถมสภานักเรียนก็มีวาระทำงานชุดละสองปีอีกด้วยแล้วมันคือะไรล่ะไอ้นั่นนะ...

 

 

"คงไม่รู้สินะงั้นฉันจะบอกให้เอง มันคือการสอบถามลับ ๆ ของสาว ๆ ในห้องเราน่ะ ว่าคิดว่าใครเป็นผู้ชายในอุดมคติหรือชื่นชอบที่สุดน่ะนะ อันดับหนึ่งก็อย่างที่รู้ ๆ กัน ส่วนนายน่ะไม่ที่โหล่ก็จริงแต่ไม่ติบท็อปยี่สิบอันดับแรกเลย"

"นี่จะพูดแบบนั้นมันก็จะดูใจร้ายกับเอ็กซ์เซ่คุงไปรึเปล่า!!"

"ไม่เป็นไรครับ ฮ่าฮ่าผมก็พอจะรู้ตัวเองดีว่าครับไม่ต้องคิดมากหรอกว่าผมจะสะเทือนใจ เอ่อ ถึงจะนิดหน่อยก็เหอะ"

 

นี่ตรูโครตจะเป็นตัวถูกลืมขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย อุส่ามีเพื่อนรักอย่างเรกกะแท้ ๆ นึกว่าจะมีสาวสักคนสองคนมาเหลียวมองเงาดำ ๆ อย่างเราบางแท้ ๆ แต่นี่คงไม่มีเลยสินะ

 

"อย่าเสียใจไปเลยเอ็กซ์เซ่คุง ฉันว่าถ้านายดูดีขึ้นแบบนี้เรื่อย ๆ โหวตรอบหน้านายอาจจะติดอันดับกับเขาก็ได้นะ แต่จะว่าไปนี่..."

 

รองหัวหน้าห้องสาวผู้มีนามว่า 'ลูเวียร์' นั้นเธอเอนตัวลงมาพร้อมขยับหน้าใกล้ ๆ ผมราวกับจะพิจารณาอะไรสักอย่าง ผมเองก็ไม่หลบตาเธอเหมือนกันดังนั้นกลายเป็นว่าเราทั้งคู่เหมือนจะแข่งจ้องหน้ากันแทนซะงั้น เพื่อนเธออีกสองคนก็ตาโตทันทีเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนสาวของตนเอง

 

"นายก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยที่จะคบหาด้วยนะเนี่ย ฐานะทางบ้านก็ธุรกิจค้าขายที่มีชื่อเสียงไม่เบา ตัวนายเองก็ดูมีของกว่าภายนอกที่เห็น ลองคบกับฉันดูมั้ยล่ะ ?"

 

ปึง!!

 

ระหว่างผมกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับใบหน้าที่งดงามแถมยังน่ารักสมวัยของลูเวียร์อยู่นั้น เสียงของหนังสือเรียนเล่มหน้าก็ได้หล่นลงกระแทกพื้น ทำให้ทุกคนรีบหันไปดูต้นเสียงนั้นซึ่งก็คือไรซ่าที่ก้มลงไปเก็บหนังสือของเธออยู่

 

"โทษทีนะพอดีหนังสือตกน่ะ"

 

เธอรีบขอโทษทุกคนทันทีพร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ ราวกับกำลังแก้ตัว อุบัติเหตุเหรอแต่ฟังดูจงใจแปลก ๆ เพราะทามมิ่งมันจะพอดีเกินไปแล้ว ลูเวียร์ยืดตัวขึ้นก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ 

 

"ฉันถามในเชิงอนาคตของธุรกิจหรอกนะ เพราะว่าบ้านฉันเองก็ทำการค้าขายเหมือนนาย เก็บไปคิดดูก็แล้วกันนะข้อเสนอนี้น่ะ"

"เดี๋ยวสิลูเวียร์เธอจะปุบปับเกินไปแล้วนะ"

"เอ๋ ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย แต่งงานกับเพื่อนร่วมห้องมันดีกว่าต้องไปแต่งกับพวกเสี่ยหรือเฒ่าหัวงูเป็นไหน ๆ นะ หรือว่าหัวหน้าจะชอบเอ็กซ์เซ่เหรอ ?"

"มะ ไม่ใช่นะเธอชักจะเพี้ยนไปใหญ่แล้ว กลับไปนั่งที่กันเถอะ ไว้คุยกันอีกนะเอ็กซ์เซ่ขอบใจที่ช่วยนะ"

"ไว้เจอกันนะเอ็กซ์เซ่"

"ฮ่าฮ่าฮ่า"

 

ผมหัวเราะแห้ง ๆ ออกมาเมื่อเห็นว่าหัวหน้าห้องและคุณเลขาพยายามลากลูเวียร์ให้กลับไปนั่งที่ นั้นสินะถ้ามองเราในเชิงที่ไม่ใช่ชู้สาวแล้วล่ะก็ ฐานะทางบ้านของเรานั้นในอาจจะถูกบังคับแต่งงานเพื่อผลทางธุรกิจจริง ๆ ก็ได้ ลูเวียร์เองก็ไม่ได้แย่อะไรเธอเป็นสาวสวยน่ารัก ไว้ผมดัดลอนยาวสีทองสลวย หุ่นก็ดีการเรียนไม่ตกการที่มีสาวระดับนี้มายื่นข้อเสนอแบบนี้กับเรา มันก็อดไม่ได้ที่จะไม่คิดว่ามันดีมากแค่ไหน

 

"นี่ เอ็กซ์เซ่เมื่อกี้ไม่ใช่ว่านายจะตกหลุมรักเธอคนนั้นหรอกนะ"

"แอบฟังอยู่ด้วยเหรอ  ?"

"พูดดังขนาดนั้นไม่ได้ยินก็หัวหนวกแล้วมั้ยล่ะ แล้วตกลงยังไงนายชอบเธอรึเปล่า ?"

"ไม่บอก แล้วจะถามทำไมหึงฉันเรอะ"

"หึงบ้าหึงบออะไรกันย่ะ ก็แค่ถามเพราะเราเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันต่างหาก เพื่อนเป็นห่วงเพื่อนมันผิดรึไง"

"โอ๊ยยย เจ็บนะ"

 

ผมร้องออกมาทันทีที่ถูกมารินทุบไหล่เอาให้ แน่นอนว่ามันไม่ได้เจ็บอะไรหรอกแค่ร้องออกมาให้ดูเวอร์ ๆ ไว้ก่อนเฉย ๆ เพื่อเรียกคะแนนความสงสาร

 

"ตัดผมมาใหม่สินะก็ว่าอยู่ทำไมวันนี้นายดูแปลก ๆ ไปจริง ๆ"

"หล่อขึ้นใช่มะ ไม่ต้องชมหรอกฉันรู้ตัวเองดี"

"อีตาคนหลงตัวเอง"

 

ด้วยความสนิทของเรานั้นหากในห้องนี้ไม่มีใครรู้ว่าพวกเราเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันมาก่อน ก็คงมองว่าเราเป็นคนรักกันแน่ ๆ เนื่องจากตัวผมนั้นถูกส่งให้เรียนในโรงเรียนตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ด้วยฐานะของมารินที่เป็นลูกของดยุก ทำให้เธอแทบจะไม่มีเพื่อนคนอื่นที่กล้าคุยด้วยเลยนอกเสียจากผม นับตั้งแต่นั้นมาพวกเราก็เป็นอย่างที่เห็น และผมเองก็ไม่ได้คิดเกินเลยกับเธอไปมากกว่านี้

 

พวกเราพูดคุยหยอกล้อกันอีกครู่หนึ่งก่อนที่อาจารย์จะเข้ามาสอน ทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติเรกกะก็กลับมานั่งที่เดิมเช่นกัน ก่อนที่จะถามว่าเมื่อกี้คุยเรื่องอะไรรึเปล่า มารินก็บอกให้เรกกะเล็กน้อยว่าตัวผมนั้นมีสาวอื่นมาจีบ

 

"หยุดล้อกันได้แล้วเฟ้ย กลับมาเรียนกันได้แล้ว"

"จ้า ๆ"

"ขอโทษ"

 

ทั้งสองคนรีบขอโทษผมทันทีก่อนที่จะหันมาสนใจอาจารย์ซึ่งกำลังจะเช็คชื่อนักเรียนในห้อง ระหว่างนั้นผมก็รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาที่ผม โดยมันมาจากทางซ้ายมือถัดจากสองคนนี้ไปนั้นเอง

 

ไรซ่าเหมือนจะเหลือบมองผมบ่อยแหะ แต่ก็คงจะคิดไปเองก็เพราะไรซ่าน่ะชอบเรกกะ ก็คงจะแอบมองเขานั้นแหละ จะมองผมทำไมล่ะจริงมั้ย ?

 

ก็ผมถูกเธอปฏิเสธมานี่นาความสัมพันธ์ของผมก็คงเป็นได้แค่ 'เพื่อน' ของเธอเท่านั้น และปกติผมกับเธอก็มักจะไม่มีเรื่องให้คุยกันเท่าไหร่อยู่แล้วด้วย

 

แต่ผมก็ไม่ได้เกียจเธอหรอกนะ ก้เพราะว่าผมชอบเธอนี่นา...

 

แค่การถูกปฺฏิเสธครั้งเดียวคงไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่พังทลายลงไปได้หรอก...มั้งนะ

ตอนที่ 2 : ฝากให้ดูแลกิจการ

"หา พึ่งประมูลพื้นที่รอบดันเจี้ยนที่ 7 มาได้เหรอครับ ?"

"ใช่น่ะสิ แต่ว่าทางนี้ยุ่ง ๆ อยู่กับโรงงานผลิตอาร์ติแฟคแหงใหม่อยู่พอดี พี่เลยว่าจะฝากให้นายดูแลแทนสักหน่อยจะได้รึเปล่าล่ะ ?"

 

นั้นคือหัวข้อพูดคุยระหว่างมื้ออาหารเย็นของครอบครัวสามคน ประกอบไปด้วยคุณพี่สาวผู้น่ารัก ผมแล้วก็คุณแม่ที่มักจะยิ้มด้วยความอบอุ่นเสมอ

 

มื้อเย็นวันนี้คือขนมปังแท่งยาว ทานกับสตูว์เนื้อง่าย ๆ หม้อโตฝีมือคุณแม่(บุญธรรม) ระหว่างที่ทานกันอยู่นั้นจู่ ๆ พี่สาวก็โพล่งขึ้นถามผมถึงเรื่องงาน คิดอะไรอยู่นะถึงมาถามเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในเรียนอย่างเราแบบนี้กันซะได้

 

แต่ก็เข้าทางเราอยู่ไม่ใช่น้อย ๆ เพราะทางนี้เองก็อยากจะหาเส้นทางในการทำธุรกิจอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าจะคิดไว้ว่าจะเริ่มตอนเรียนจบก็เหอะ เดิมทีแล้วคุณลุง(พ่อบุญธรรม)จะทานกับพวกเราด้วยเสมอ แต่ติดที่ว่าตอนนี้ไปติดต่อธุระที่ต่างเมือง ทำให้ครอบครัวของเราเหลือเพียงแค่สามคนเท่านั้น

 

"จะดีเหรอครับพี่ถ้าเกิดผมทำเจ๊งขึ้นมาล่ะ ?"

"ก็ช่างสิคนเราไม่ลองทำอะไรจะรู้ได้ไงว่ารุ่งหรือล่วงน่ะ อีกอย่างนายเองก็เป็นน้องชายฉันทั้งคน กะอีกแค่บริหารพื้นที่ตรงนั้นคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงหรอกมั้ง ไม่ว่าจะภาษาหรือคณิตศาสตร์เกรดนายตรงนั้นก็ดีสุด ๆ เลยไม่ใช่หรือ"

 

เชี้ย...ยัยพี่นี่จะรู้เรื่องเราดีเกินไปแล้ว ก็จริงที่ว่าคะแนนส่วนนั้นดีแต่ไม่ใช่ว่ามันจะสอดคล้องกับเรื่องงานสักหน่อยนะ

 

"ก็จริงอยู่ครับแต่ว่าผมไม่มีทุนนะ"

"เรื่องนั้นฉันคิดไว้เแล้วล่ะ ฉันจะให้นายยืมเงินฉันก่อนสักสามแสนเหรียญทองคำขาวเป็นไงพอรึเปล่า ?"

"ขอห้าแสน"

 

ผมรีบต่อรองทันทีโดยไม่รีรอก็สวยสิครับถ้าให้ยืมทุนแบบนี้ล่ะก็คงไม่มีปัญหา เพราะครอบครัวมีกิจการค้าขายดังนั้นการพูดถึงเงินจำนวนมากขนาดนี้นั้นมันเลยฟังแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากคนนอกได้ยินก็คงตาลุกวาวในทันที

 

โลกนี้เงินนั้นประกอบไปด้วย เงินเหรียญทองแดง เหรียญเงิน เหรียญทองและเหรียญทองคำขาว

 

1 เหรียญทองคำขาวแลกได้ 10 เหรียญทอง

1 เหรียญทองแลกได้ 10 เหรียญเงิน

1 เหรียญเงินแลกได้ 10 เหรียญทองแดง

 

เดิมทีการใช้จ่ายขั้นต่ำของประชาชนนั้นต่อวันอยู่ที่ 4-5 เหรียญเงิน ดังนั้นการที่ผมขอยืมถึงห้าแสนเหรียญทองคำขาวนั้นนับว่าเป็นเงินที่เยอะมาก ๆ  พี่สาวที่ได้ยินเงินจำนวนขนาดนั้นก็มองผมด้วยแววตาจิกกัดเอาเรื่องก่อนที่จะตอบกลับมา

 

"ไม่ได้มันเยอะเกินให้มากสุดแค่สามแสน"

"สามแสนก็สามแสนครับ ก็นะดันเจี้ยนที่ 7 พื้นที่ส่วนนั้นแทบจะไม่มีอะไรเลยนี่นะ"

"ใช่ เพราะแบบนั้นสามแสนที่จะให้ยืมยังถือว่าเยอะไปด้วยซ้ำ แต่ด้วยความเป็นน้องชายของฉันเลยให้ยืมมากถึงขนาดนี้"

"น้ำใจสูงส่งมากครับท่านพี่ แล้วจะให้คืนตอนไหนล่ะ"

"เมื่อไหร่แต่ไม่เกินสองปี ถ้าถึงเวลานั้นหามาคืนไม่ได้หรือกิจการเจ๊งก็จะให้ชดใช้ด้วยอย่างอื่นแทน"

"โครตมัดมือชกกันเลยครับพี่"

"หรือไม่เอา ?"

"เอาครับเอา"

 

ผมไม่ปฏิเสธอะไรดี ๆ แบบนี้อยู่แล้วสองปีงั้นเหรอนับว่าเยอะเกินไปด้วยซ้ำ แต่ก็นับว่าเสี่ยงมากอยู่ดีนั้นแหละเพราะพื้นที่ตรงส่วนนั้นมันไม่มีอะไรเลยจริง ๆ มันตั้งอยู่นอกเมืองหลวงไปถึงห้ากิโลเมตร มีหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ส่วนใหญ่มักจะทำเกษตรกรรมกันเป็นหลัก พร้อมเส้นทางน้ำเล็ก ๆ ทรัพยการส่วนอื่นนอกจากหญ้าแล้วต้นไม้ใหญ่หรือป่าก็ไม่มีเลย ผมเคยไปตอนทัศนศึกษานอกสถานที่มาก่อนดังนั้นถึงพอรู้จักที่นั้นดี

 

แต่ใช่ว่ามันไม่มีช่องทางที่จะทำกำไรจากที่นั้นเลยสักทีเดียว...

 

ในใจผมคิดแบบนั้นแน่นอนว่ามันต้องลงทุนอย่างมีแบบแผน เพื่อให้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปทุกบาททุกสตางค์

 

"งั้นตกลงตามนี้เดี๋ยวฉันจะไปเปิดบัญชีของนายให้ อ่อแล้วจะไปคุยกับผู้ดูแลหมู่บ้านตรงนั้นให้ด้วยก็แล้วกัน โรงเรียนนายไปเรียนห้าใช่มั้ยล่ะ งั้นลดลงเหลือแค่สี่วันก็พอศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ก็ไปดูแลงานนั้นซะ จะพักที่นั้นหรือกลับบ้านก็แล้วแต่นายตกลงมั้ย ?"

"ครับขอบคุณมาก ๆ นะครับ"

"ไม่เป็นไรเพื่อปลอบใจน้องชายที่อกหักมาทั้งคนนี่นะ"

"...!!"

 

จะรู้มากเกินไปจริง ๆ ล่ะ คุณแม่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ตาลุกวาวพร้อมหันมามองผมด้วยรอยยิ้ม ราวกับจะบอกว่าผมเองก็โตมากขึ้นแล้วหรือเนี่ยอีกด้วย โธ่คุณแม่ครับ!!

 

"พรุ่งนี้ก็วันพฤหัสแล้วด้วยนี่งั้นวันศุกร์นายก็ไปได้เลยนะฉันจะคุยกับผู้อำนวยการให้ เออ แล้วก็หวังว่าผลการเรียนนายจะไม่ตกลงด้วยเรื่องแค่นี้หรอกนะน้องชาย"

 

น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกนั้นทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว นั้นสินะเพราะต้องแบกรับหน้าตาของตระกูลเอาไว้ หากผลการเรียนตกลงมากกว่านี้ก็คงจะไม่ดีแน่ ๆ แต่ตอนนี้ตัวเราไม่ใช่คนเก่าอีกแล้ว เราจะเป็นเอ็กซ์เซ่คนใหม่

 

เพราะว่าเราได้ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว จะไม่เป็นเงาที่คอยหลบหลังดวงอาทิตย์อีกต่อไป เราจะอยู่ในจุดที่ทัดเทียมกับเพื่อนสนิทที่สุดด้วยความมั่นใจ พอถึงวันนั้นสาว ๆ ก็คงจะหันมามองเรามากกว่าเดิม

 

ว่าแล้วหลังทานอาหารเย็นเสร็จผมก็ไม่รอช้าที่จะเดินขึ้นห้องไปทบทวนเนื้อหาในบทเรียน อ่านหนังสือเศรฐศาสตร์หรือไม่ก็พวกปรัชญาเพิ่มอีกเล็กน้อย ถ้าเป็นโลกเดิมผมคงจะไม่มาทำอะไรแบบนี้ แหม ๆ พอได้อ่านอะไรแบบนี้แล้ว รู้สึกเหมือนความรู้มันเริ่มกลับมาเลยแหะ

 

*************************************

 

"ฉันล่ะเกลียดคาบนี้จริง ๆ เลยว่ะเรกกะ"

"ก็เพราะนายเป็นแบบนี้ไงเลยไม่ป็อบปูล่าในหมู่สาว ๆ น่ะ"

 

ผมกับเรกกะนั่งบนในช่วงก่อนพักเที่ยงที่จะมาถึงในสองชั่วโมง พวกเราเปลี่ยนชุดนักเรียนมาเป็นชุดวอร์มกีฬาแขนยาวสีดำทองพร้อมด้วยกางเกงวอร์มแบบเดียวกัน ทุก ๆ วันพฤหัสบดีนั้นจะเป็นการเรียนที่ต้องใช้แรงซะส่วนใหญ่ ห้องของพวกเราคือห้อง C ที่ถูกตีตราว่าไม่สมกับลำดับที่ได้รับ

 

ความเก่งของนักเรียนนั้นจะคัดแยกว่าแต่ละคนจะได้อยู่ห้องไหน ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงินด้วยหรือไม่ก็ความสามารถพิเศษ ถึงแม้จะอัจฉริยะแต่ถ้าไม่มีเงินก็อยู่ห้องท้ายแบบนี้ได้ ยกตัวอย่างก็เรกกะนี่แหละ

 

คาบวิชาพละนั้นส่วนมักจะใช้การสอนแบบรวมห้องกัน ซึ่งพวกเราได้เรียนคู่กับห้อง A ที่มีคนเก่ง ๆ เต็มไปหมด ไม่ก็ลูกขุนนางชั้นสูงมาก ๆ โดยส่วนใหญ่จะเรียนวิชาดาบหรือไม่ก็การต่อสู้หลาย ๆ แบบ สำหรับผมมองว่ามันก็ดีนะ แต่มันเสียเวลา...

 

เพราะอะไรน่ะเหรอก็เพราะว่าเนื้อหาของโรงเรียนนั้นมันเป็นแค่พื้นฐานที่ทุกคนควรรู้เฉย ๆ พวกที่มีฝีมือนั้นต่างล้วนเรียนจากภายนอก หรือไม่ก็จ้างอัศวินตัวจริง ๆ มาสอนกันตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว นี่มันก็เหมือนแค่การซ้อมเล่น ๆ หรือไม่ก็เป็นแค่การบูลลี่ของคนมีตังค์เท่านั้น

 

อย่างตอนนี้ตรงหน้าของผมนั้นมีไอ้หนุ่มร่างบางจากห้อง A กำลังถือดาบไม้ด้วยมือที่สั่นไปมาโดยให้เพื่อนร่วมห้องไล่ฟันด้วยดาบไม้เหมือนกันไล่ตีเล่น ๆ

 

"นายก็เห็นแล้วนี่เรกกะอีกอย่างนะมานั่งคุยกับฉันแบบนี้มันจะดีเหรอ ?"

"ทำไมนายพูดงั้นล่ะ ?"

"ก็เพราะนายมานั่งกับฉันทำให้พวกผู้หญิงเขามองฉันเหมือนจะฆ๋าเลยน่ะสิฟ่ะ ไป ๆ ไปแกว่งดาบโชว์ฝีมือให้พวกนั้นเห็นก่อนที่ฉันจะโดนกระทืบให้ไวเลย"

"ฮ่าฮ่าฮ๋า นั้นสินะงั้นเดี๋ยวกลับมานะ"

 

เรกกะหัวเราะร่าด้วยความสนุก ใช่แล้วล่ะสำหรับเรกกะนั้นชั่วโมงนี้คือเวลาที่เขาจะได้เชิดชายที่สุด ความฝันของหมอนั้นคือการเป็นอัศวินชั้นสูงสุดของอาณาจักร ด้วยฐานะทางบ้านที่ต่ำต้อยทำให้เขาคิดว่าหากอยู่ในจุดนั้นได้ล่ะก็ จะสามารถขอผู้หญิงที่เขาชอบแต่งงานได้ยังไงล่ะ

 

ซึ่งคนที่ว่าก็คือมาริน

 

เพื่อนร่วมห้องที่เก่งการใช้ดาบก็ต่างลุกขึ้นไปฝึกดาบของตัวเอง โดยผมนั้นทำได้แต่นั่งดูอยู่ข้างสนามเพราะขี้เกียจ ทุกครั้งที่เรกกะกวัดแกว่งดาบในมือ สายตาของผู้หญิงมากมายจะมองไปที่เขา เมื่อเขาชนะพวกเธอก็จะกรี๊ดกันดังลั่นพร้อมกับชื่นชม หอมหวานจังเลยนะสิ่งเหล่านั้นน่ะ

 

แน่นอนว่ามารินเองก็มีความสุขที่มองเรกกะ ทางเพื่อนรักของผมเองก็รู้ว่ามารินกำลังมองอยู่เพราะงั้นเลยจะแพ้ไม่ได้ ทุกครั้งที่เขาชนะใครก็จะหันมาทางผมพร้อมโบกมือไปมาเป็นการบังหน้าเพราะตาของมันนั้นเหลือบไปหามาริน(ฮ่าฮ๋าฮ่า)

 

"ถ้าฉันมีคนมองแบบนั้นบ้างก็คงจะดีไม่น้อยเลยล่ะ"

 

ผมบ่นกับตัวเองเบา ๆ เพราะในใจรู้สึกจุกอย่างบอกไม่ถูก เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นไรซ่าที่กำลังพักเหนื่อยจากการซ้อมดาบกับคนอื่น ๆ เธอเองก็กำลังมองเรกกะด้วยสายตาแบบเดียวกับมาริน

 

นั้นสินะเพราะเป็นเงามาตลอดจะให้เทียบกับดวงอาทิตย์ในทันทีก็คงจะไม่ได้

 

"นี่นายมานั่งทำอะไรตรงนี้เหรอ ว่างอยู่รึไง ?"

 

จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งทักขึ้นมาจากทางขวามือของผม ใครว่ะไม่คุ้นหน้าเลยคงจะไม่ใช่ห้องเราแน่ ๆ หรือจะเป็นห้อง A อย่างนั้นสินะแล้วต้องการอะไรฟ่ะถึงได้มาหาเรา

 

"ครับก็ว่างอยู่มีอะไรรึเปล่าครับ ?"

"เปล่าก็แค่เห็นนายว่างก็เลยว่าจะชวนซ้อมดาบด้วยกันสักหน่อย พอดีเพื่อนผมเหนื่อยแล้วก็เลยกะจะขอช่วยสักนิดหนึ่งจะได้รึเปล่า ?"

 

เจ้าของเสียงนั้นเป็นชายหนุ่มมาดดี สูงใหญ่ขาวหุ่นกำยำใกล้เคียงกับผมและไรกะแต่ใหญ่กว่าตัวผมนิดนึงได้ล่ะมั้ง เขาเดินมากับเพื่อนในเหงื่อเต็มตัวไปหมดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

 

จะว่าไปถึงจะบอกว่าซ้อมดาบทำไมตัวถึงสะอาดยังฟ่ะ นอกจากเหงื่อไม่เห็นจะมีรอยอะไรเลย ?

 

ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาในทันทีแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นั้นสินะถ้าเราจะออกจากรัศมีของดวงอาทิตย์ล่ะก็ นาน ๆ ทีออกแรงบ้างก็คงไม่ได้แย่อะไร เมื่อคิดได้แบบนั้นก็ไม่รอช้าพยักหน้ารับทันที

 

"ได้สิครับไม่มีปัญหา"

"ว้าวดีเลยครับงั้นไปที่กว้าง ๆ กว่านี้กันเถอะ"

 

แน่นอนว่าผมนั้นถูกชวนให้ไปตรงเกือบใจกลางสนามที่เป็นพื้นหินแข็ง ๆ เพราะมีหลังคาก็เลยทำให้ไมถูกแดดเผา ผมหยิบดาบไม้ขึ้นมาจากตะกล้าใส่อุปกรณ์เดินไปพื้นที่ว่าง โดยมีชายที่ชักชวนตามมาเพื่อน ๆ ของชายคนนั้นเดินตามมาแต่นั่งดูอย่างสบายใจโดยห่างออกไป ก่อนที่จะมีคนหนึ่งเรียกเพื่อน ๆ ในห้อง A ให้มาดูด้วย

 

เฮ้ย!! เดี๋ยวดิจะให้คนมาดูเยอะ ๆ แบบนี้มันก็เขินเป็นเหมือนกันนะ พอคนจากต่างห้องมาดูเยอะขึ้นก็ทำให้ผมเผลอกวาดตาไปมองพวกเขาโดยไม่รู้ตัว โดยผมเห็นหลายคนในห้องที่เป็นผู้ชายนั้นมีรอยถูกทุบตีบนร่างกาย ชนิดที่เรียกว่าต่างจากไอ้พวกที่มาชวนผมลิบลับ

 

นั้นก็ทำให้ในหัวพลันนึกอะไรออกขึ้นมาได้

 

"เอ่อ นายชื่ออะไรงั้นเหรอ ?"

"ผมเหรอครับเอ็กซ์เซ่ครับ แล้วนายล่ะชื่ออะไรเหรอ ?"

"จะตอบดีมั้ยนะแต่ในบอกให้นายรู้ก็คงจะไม่เสีย จำให้ขึ้นใจล่ะผมนั้นมีชื่อว่า 'บัซ' ไม่ต้องออมมือนะเดี๋ยวมันจะไม่สนุก"

"ได้ครับคุณบัซสินะครับงั้นทางนี้ก็...!!"

 

ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจบเลยอีกฝั่งก็พุ่งเขามาด้วยรวดเร็วจนน่าตกใจ พร้อมใช้ดาบไม้ในมือฟันเข้ามาใส่หน้าของผม

 

เฮ้ย!! จะเกินไปรึเปล่าเนี่ย นี่ถ้าทางนี้ยกดาบไม่ทันมีหวังโดนเต็ม ๆ เลยนะเฮ้ย

 

ผมนึกในใจพร้อมสะดุ้งในทันทีเมื่อดาบในมือผมที่ยกขึ้นมาป้องกันนั้น กระทบกับดาบที่ฟันเข้ามาด้วยความเร็วเต็มพิกัดจนเกิดเสียงกระแทกที่ดังลั่น

 

จากนั้นภาพที่ผมเคยเห็นก็เกิดขึ้นกับตัวผมเอง ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าอีกบัซนั้นต้องการอะไร ตัวผมกลายเป็นเหมือนตุ๊กตาซ้อมมือของพวกเขา เพราะไม่มีโอกาสจะได้ตั้งตัวเลยทำได้แค่ป้องกันการโจมตีที่เข้ามาแบบต่อเนื่องเพียงอย่างเดียว เท้าทั้งสองข้างต้องถอยหลังไปเรื่อย ๆ พร้อมเสียงเชียร์จากคนที่กำลังดู สายตาก็เหลือบไปเห็นเหล่าผู้คนที่ถูกตีจนเกิดรอยตามร่างกาย พวกเขามองผมด้วยความสงสารและเห็นใจ

 

"เฮ้ย นายทำอะไรอยู่น่ะเอ็กซ์เซ่"

"...!?"

เสียงเรียกจาด้านหลังทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง คนอื่นจากห้อง C เริ่มวิ่งเข้ามาดูผมทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าเรกกะนั้นเตรียมที่จะวิ่งมาเอาเรื่องกับอีกฝ่ายแต่ก็ถูกชายอีกคนหนึ่งดักเอาไว้

 

 

"ใจเย็นสิเรกกะคุง เพื่อนนายเขาสมัครใจเป็นคู่ซ้อมให้กับเรานะใจร่ม ๆ หน่อย"

"อย่ามาล้อเล่นนะ ดูก็รู้แล้วว่าสิ่งที่พวกแกทำอยู่น่ะมันไม่ใช่การซ้อมแต่กำลังรังแกเขาอยู่"

 

ไม่เพียงแค่เรกกะเท่านั้นหลายคนที่เป็นเพื่อนร่วมห้อง มามุงดูผมที่กำลังถูกไล่ต้อนด้วยสายตาที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นห่วงหรือแม้แต่เอาใจช่วย มารินเองก็เช่นกันเธอทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้เลยที่เห็นผมถูกเล่นทำเหมือนเป็นของเล่นแบบนี้

 

ใจเย็นก่อนนะทุกคนถึงทางนี้จะถูกไล่ฟันก็เถอะ แต่อีกฝั่งก็ยังไม่ได้ฟาดโดนสักครั้งทีนะเออ เล่นจ้องกันแบบนั้นทางนี้ก็ทำสมาธิกับงานไม่ได้กันพอดี

 

"ป้องกันเก่งเอาเรื่องนี่แต่ว่ามองทางอื่นแบบนั้นจะดีเหรอ ?"

"หะ"

 

ผมร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่ออีกฝั่งเหวี่ยงฟันเข้าใส่จากทางขวามือของผมแบบสุดแรง ทำให้ผมรีบยกดาบในมือขึ้นมาบังเอาไว้เพื่อป้องกันการโจมตีนั้นแทนที่จะหลบ

 

ใช่แล้วเพราะไม่มีสมาธิเลยทำให้คิดน้อยเกินไป ถ้าหากผมเลือกที่จะหลบก็คงไม่เป็นแบบนี้

 

"เสร็จล่ะ"

 

ด้วยการถือดาบแบบไม่ตั้งตัวทำให้ไม่ได้อยู่ในท่าที่ถนัด บัซปล่อยมือขวาที่กำดาบเอาไว้ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้มือซ้ายสลับมาถือไว้แทน พร้อมเหวี่ยงตัวฟันแบบสุดวงแขน ทันทีที่ดาบไม้ทั้งสองกระทบกันเสียงแตกของไม้แข็ง ๆ ก็ได้ดังขึ้น

 

โพละ!! ตุบ

 

ดาบในมือผมหักครึ่งไปในทันที พร้อมกับร่างของผมที่ร่วงลงไปที่พื้นความเจ็บปวด พร้อมรสฝาดเกิดขึ้นภายในปาก เมื่อกี้ผมหลบเล็กน้อยเลยทำให้ไม่ได้โดนแรงปะทะทั้งหมดแต่นั้นก็พอจะทำให้ปากแตกได้

 

ทุกสายตาของห้อง C ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนห้อง A นั้นกลับหัวเราะกันด้วยความสนุกสนาน นั้นสินะเพราะอ่อนด้อยกว่าเลยถูกมองว่าต้องอ่อนแอกว่าไปด้วย น่าอายชะมัดที่ต้องมาถูกเล่นงานต่อหน้าทุกคนแบบนี้

 

"นี่พวกแกมันจะมากไปแล้ว..."

 

เรกกะที่โมโหสุด ๆ ก็เตรียมจะปะทะแต่ก็ถูกผมยกมือขึ้นมาให้เขาได้เห็นเสียก่อนว่าไม่เป็นไร ผมมองดาบในมือที่หันครึ่งไปเล็กน้อยก่อนที่จะยันตัวเองให้ลกขึ้นมาอีกครั้ง

 

"เอ็กซ์เซ่ก้อึดเหมือนกันนะเนี่ย ถ้าเป็นผมก็คงแกล้งสลบหรือทำเป็นลุกไม่ขึ้นไปแล้ว"

 

บัซพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข พร้อมด้วยรอยยิ้มอันสนุกสนาน ผมใช้หางตาเหลือบมามองเขาเล็กน้อยก่อนที่จะหัวเราะในลำคอเบา ๆ

 

"มีอะไรน่าตลกเหรอ ?"

"เปล่าครับก็แค่คิดว่าสิ่งที่บัซคุงพูดเมื่อกี้มันน่าตลกน่ะ"

"เห ถ้ามีแรงหัวเราะแบบนี้แสดงว่าเราคงจะต่อยกที่สองกันได้อีกใช่มั้ยนล่ะ ?"

"อา...ได้สิไม่มีปัญหาแต่ว่าเพราะทางนี้ดาบหักแล้ว ขอดาบใหม่มาใช้อีกอันจะได้รึเปล่า ?"

"ไม่มีปัญหาแล้วแต่เอ็กซ์เซ่เลย"

"ขอบคุณนะ"

 

ผมกล่าวขอบคุณเบา ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ หันหน้ามาประจันกับอีกฝ่าย แต่คราวนี้มันต่างออกไปนิดหน่อย

 

"เอ็กซ์เซ่พอได้แล้วนายไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ถอยไปฉันจะสู้แทนเอง"

 

เรกกะอาสาที่จะสู้แทนผม เข้าใจนะว่าเป็นห่วงไอ้เพื่อนรักแต่ว่าถ้าฉันให้นายสู้แทน ก็คงถูกมองว่าเป็นเอ็กซ์เซ่ผู้อ่อนแอคนเดิมที่คอยหลบอยู่หลังนายมาตลอด

 

"สายตาของนายมันเปลี่ยนไปนะ เห...สายตาของคนที่คิดจะชนะงั้นเหรอ ไม่เลวเลยนะแต่ว่าเอ็กซ์เซ่เองไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าผมน่ะเป็นใคร ?"

"รู้สิครับพึ่งนึกออกเมื่อกี้เลย ขอโทษด้วยที่ผมความจำไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บัซนักดาบอันดับ 5 ของห้องอันดับที่ 10 ของสายชั้นผมพูดถูกมั้ย ?"

"อาฮะ ถูกต้องแล้วครับแล้วนี่คิดดีแล้วสินะที่จะสู้ต่อจริง ๆ รอบนี้ผมจะเอาจริงแล้วนะขอบอก"

"เอาสิ ถ้าไม่เอาจริงก็คงไม่สนุกหรอกจริงมั้ย เข้ามาได้ทุกเมื่อเลยบัซ!!"

 

ผมชี้นิ้วไปยังชายคนหนึ่งที่ตัวสะบักสะบอมไปหมดที่เขานั้นกำลังมองผมอยู่ พร้อมกับแบมือขอดาบจากอีกฝ่าย ร่างนั้นกลืนน้ำลายลงคอก่อนที่จะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เขาโยนดาบมาให้พร้อมกับที่ผมนั้นเปลี่ยนมาถือดาบที่หักครึ่งไว้ทางมือซ้ายแทน โดยให้ปลายดาบหันลงชี้ข้างล่างต่างจากปกติ

 

จังหวะที่ดาบจะมาถึงมือบัซก็ไม่รอช้าพุ่งเข้ามาฟันอีกครั้งด้วยความเร็วเท่าเดิม ซึ่งผมก็ป้องกันไว้ด้วยดาบในมือซ้ายนั้นทันที โดยคราวนี้ผมไม่ได้ก้าวถอยหลังอีกแต่อย่างใด

 

บัซเองก็ผงะไปเล็กน้อยและเหมือนจะรู้ตัว แต่ว่ามันช้าไปแล้ว ผมไม่รอช้าทันทีที่ดาบอีกเล่มมาอยู่ในมือแทงออกไปโดยออมแรงไว้ครึ่งหนึ่ง

 

"อึก แค่ก"

 

บัซร้องออกมาพร้อมรีบถอยหลังออกไป เมื่อถูกกระทุ้งเข้าเต็มคอด้วยปลายดาบไม้ที่ไม่ได้แหลมคมแต่อย่างใด เพราะหากมันแหลมเหมือนดาบจริงล่ะก็ป่านนี้คอเขาทะลุไปแล้ว

 

ทุกสายตาเริ่มมองดูผมแปลกไป เรกกะที่เห็นผมสู้ได้ก้เหมือนกันแต่ไม่นานนักเขาก็ยิ้มออกมา

 

"ถ้าบัซคุงไม่เอาจริงสักทีมันจะไม่สนุกเอานะ เอ้า ๆ รีบลุกมาต่อกันได้แล้วครับ เมื่อกี้ผมยังไม่ได้ใส่เต็มแรงเลยนะเออ"

"แค่ก ๆ นี่แกแม่งเอ้ย!!"

 

หลายคนคงคิดสินะว่าผมกระจอกหรือไม่เก่งด้านการต่อสู้ แต่เดี๋ยวก่อนสิผมน่ะยังไม่เคยบอกสักหน่อยว่าไม่เคยฝึกน่ะ ถึงแม้จะไม่เก่งกีฬาก็พวกฟุตบอลหรืออะไรกลม ๆ แบบนั้นต่างหาก แล้วก็นะคนเรามันก็มักจะมีสิ่งที่ถนัดใช่มั้ยล่ะ สาเหตุที่ผมเกลียดคาบนี้ก็เพราะเวลาฝึกกับใครผมมักจะแพ้เพราะไม่ถนัดการใช้อาวุธมือเดียวยังไงล่ะ

 

จะโล่ หอก มีด ดาบสั้นหรือดาบอีกเล่มขอแค่อยู่ในมือซ้าย แล้วมีดาบดี ๆ อีกเล่มในมือขวาผมก็พร้อมที่ใส่เดี่ยวได้หมดทุกคนนั้นแหละ แต่ถามว่าชอบไหมก็คงตอบว่าไม่ ก็เพราะว่ามันฟังดูเหนื่อยยังไงล่ะคนเราไม่จำเป็นต้องใช้แรงในการแก้ปัญหาก็ได้ไม่ใช่รึไง

 

แต่ก็สำหรับคนบางจำพวกน่ะนะ...

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!