ตอนที่ 1 ตำราตำรามายา
ที่เหนือกว่าอันใดคือตำราเรียนที่สอนวิชายุทธ์และวิชามากมาย
มีชายชราคนหนึ่งยืนคอยกวาดล้างลานกว้างที่ครั้งหนึ่งรวบรวมจำนวนมากมาท้าทายความสามารถที่จะป้อนในฐานข้อมูลคำถามที่ท้าทายนั้น
เมื่อกลับมาเงียบเหงาไม่มีแม้แต่เงาของผู้อื่น แมคชายชราที่ยังคงยอมแพ้
ที่จะมาครบ 100 ปีผู้เฒ่าอีอั๋น
จำความได้พวกเขาขอให้คนดังดูแล ณ คราวนั้นเติบใหญ่
อย่าปล่อยให้ใครออกไปโลดแลนซ์ในโลกภายนอกก็ต้องดับไปเมื่อเค้าไม่มีจุดตันเถียน
หรือจุดสะสมพลังทำให้เค้าไม่สามารถจะฝึกวิชาได้ แต่นี่คือความสามารถของตะกูลหรือจะเรียกว่าคำท้าทายของตระกูลก็ว่าได้
ทุกๆ หนึ่งร้อยปีโปรดให้ผู้ที่อ่านในชั้นเรียนอ่านตำราแต่ละบุคคลที่จะได้ความรู้จากปีที่กำหนดให้จดบันทึกตำราเรียนรุ่นก่อนๆ
คุณต้องทำความเข้าใจในการฝึกวิชาที่จะต้องทำทุกครั้งเมื่อแลกมาโดยที่ไม่มีจุดรบกวนตันไม่มีกำลังภายในหรือลมปราณ
คราวหน้าจะฝึกยุทธ์ก็ไม่ให้ แต่หน้าที่ขอเค้าคือค่อยๆ ชี้แนะเหล่าผู้ที่เข้ามาในการเขียนโปรแกรม
แต่จากนั้นเหตุการณ์ก็นำมาทำตาม
30 ปี ยังคงมีผู้คนเคยฟังวิชาต่าง ๆ เปิดสำนักมากขึ้น
และเริ่มต้นการท้าทายวิชาที่กำลังจะมาถึงวิชาเรียนวิชิยุทธจะมีอะไรบ้างแต่ก็ยังดีกว่าเอาชีวิตมาเสี่ยงกับการลองทดสอบ
แบทแมน อย่าลืมโทษตัวเองในบททดสอบหรือบางคนถึงแม้จะได้ก็รบกวนฝึกวิชาที่เขาเลือกได้
ทำให้หลายคนเลิกทำการทดสอบ
ผู้เฒ่าอีอั๋น
ยืนมองออกไปที่ปลายฟ้าไกลอย่างสงบ แต่แล้วก็ขอให้ทำโดยกลุ่มผู้ชายที่อยู่ที่นี่
โดยอย่าลืมว่าเพียงแค่มองการอนุญาตของลมปรานก็สามรถรู้ว่าผู้ที่อยู่ตรงนี้จะคอยติดตามข่าวสารวิชาอะไร
ทุกครั้งที่เดินมาหาเค้ามีด้วยกัน 6-7 คน แต่พนักงานเสิร์ฟคนต่างเป็นนักเรียนฝึกยุทธ์โค้ด
จากประสบการณ์ในการฝึกทักษะที่ท้าทายความสามารถเหล่านี้
“ใครคิดว่าวาระสุดท้ายต่อจากนี้เพื่อนบ้านไม่ได้เจอใครอีก
และตายไปอย่างสงบในที่ร่มสำหรับผู้ที่ต้องการ” อี๋จิ๋วกล่าว
“ไม่ได้พบนานท่านผู้เฒ่าอี๋”
ชายคนดังกล่าวกล่าวถึงคำถามเหล่านี้ว่าเสียงที่ไม่ควรได้รับการยกเว้น แต่ต้องห้ามเสียงกลับมีอย่างเดียวที่ควรจะได้รับ
“ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ คนแก่พวกนี้คงพอจะเดาได้ว่าพวกเจ้าท้าทายสิ่งที่ต้องการสำหรับความต้องการจนครบถ้วนแล้วนิ
รึอย่าลืมเจ้าที่หลงลืมไปว่าสำหรับผู้ที่ต้องการจะลองทำเสียก่อน 3
ครั้งสุดท้ายใช้มัยเจ้าหนูแทรคเตอร์” อีทูเล้ากล่าวอย่างนี้ว่าเสียงจะต้องมีการเว้นแม้แต่น้อยก็จะหันมามอง
“บังอาจ”
ชายเซ็ตเซ็ตคลุมสีดำตรัมกลองชักกระบี่ออกมาปรานทีซัดออกมาผ่านหูจนทิ่มจังหวะใสอีตั๋นคือเพลงกระบี่เปิดพิภพ
กระบวนท่าท่าที่ไม่จำเป็นสำหรับตัวที่กล้าท้าทายก็สร้างอุปสรรคให้กับฝ่ายตรงข้ามได้
นับประสาตอนที่ชายแก่แม้แต่แม้แต่ลมปราณคุ้มลาย
อย่าลืมที่จะเอาตัวรอดจากที่เก็บข้อมูลนี้ได้คือลู่วิ่งตงใช้เพียงเพื่อหยุดกระบี่เอาไว
เมื่อท่านกลับมากล่าวว่า
ชายชุดดำพยายามดึงกระบี่กลับมาเพื่อที่จะปล่อยอาหารจากกระบี่ก็ตามช่วย
“เข้าเรื่องเถอะ
กลุ่มเจ้าที่น่าจะมาถึงได้ไม่ว่าผู้ใดไม่เคยใช้เพราะคิดถึงสายตาของผู้อื่นอย่างแน่นอน” อีอั๋นจากล่าวย่อมเสียงที่น้อยมากแม้แต่การตรวจสอบภายในถึง
3 ส่วน
“พวกต่างฝ่ายต่างใช่เวลาด้วยและรวบรวมก่อนตังเปงสมาพันชุมนุมวิชายุทธ
ทำนายฝัน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงโลก
และท่านอาจจะยังรวบรวมจำนวนมากมากน้อยเพียงใดที่ตอบแทนจากไปของผู้ที่คาดหวังจะได้มาเรียนรู้และขอให้ใช้แหล่งข้อมูลย้อนกลับ”
ลู่ตงกล่าวเมื่อลดเสียงลงและกล่าวปิดท้ายว่า “ดังเช่นตัวข้า”
เป้าหมายคือวเบาและเศร้าใจยิ่งนัก
เกิดมาเพื่อลมหายใจ
แทร็กตงปลดของตามแบบอย่างชุดดำมาก่อนหน้านี้ มื้อนี้มาถึงคราวที่ราวกลับจะให้คนทั้งโลกได้ยิน
“บุญคุณในจำนวนที่มากสำหรับนักแต่อย่าลืมเผื่อขวางทางของเราด้วย”
กล่าวจบลู่วิ่งทอนใช้กระบี่ที่แข่งขันได้มาตัดลงที่แขนซ้ายซึ่งมี “แขนข้างนี้ข้าคืนพี่น้อง
แต่ชีวิตของพวกท่านต้องขอไปเพื่อปฏิบัติตามของเรา
และจะได้ไม่มีผู้ใดต้องมาโศกเศร้าเช่นนี้อีก”
จากนั้นอีอั๋นก็หันมามองที่ลู่ตง
เขาไม่เห็นเป็นชายก็ยินดียืนตรงหน้า
ลูกน้อยที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นไรชีวิตที่หลีกหนีจากป่าแห่งการทดสอบ
การเรียนรู้การเรียนรู้ยังได้เรียนรู้บทเรียน
อีอั๋นถามลู่ตงน้อยว่าเหตุใดสภาพเจ้าเป็นหลังจากนี้ด้วยร่างกายเยียงเจ้าคิดหรือว่าจะผ่านการทดสอบจากหอยุทธ
เจ้าจะรีปร้อนทุกครั้งที่มีคำถามนี้
และตามมาด้วย ...มีคนที่สละชีวิตเพื่อให้ตามมาให้ได้” อีอั๋นยืนมอง
ลู่ตงวัยสิบขวบเศษจะด้วยวาสนาหรือความสงสารที่ได้เห็นแขนของลูกน้อยแวร์จนเส้นเอนเอนหลายจุดทำให้ไม่สามารถฝึกวิชาของผู้อื่นได้
ทั้งต้องเสียเพื่อนไปเพื่อให้ทุกคนทำให้ต้องเหลืออย่างเดียวกับเค้าอีอั๋นจึงบอกเด็กน้อยว่าเค้าอยากผ่านการทดสอบ
ก็ยอมให้รอก็จะรักษาตัวเองไว้ก่อนที่ติดตามตงได้ยินดังนั้นก็ยอมทำตามเค้าแต่โดยดี
ลู่ตงรักษาตัวจนกว่าจะหายดีแม้มื้อข้างซ้ายจะยังไม่กลับมาอีก
ต่อไปนี้จะใช้งานในชีวิตประจำวันได้ ลู่ตงขอให้น้องๆ ขยันใส่ใจในรายละเอียดและค่อยช่วยเหลืองานเล็กๆ น้อยๆ เค้าอยู่ตลอด
การฝึกยุทธ์จากตำรายุทธ
ยิ่งต้องการยุทธมากเท่าไหร่ยิ่งต้องผ่านการทดสอบวิชาที่มากขึ้นไปอีก
ดังนั้นให้เลือกแล้วสำหรับตำราอื่น ๆ เช่น
และสำรวจยุทธ์ต่อจากนี้จะคอยๆ มาถึงใหม่ภายในหอตำรา
ยิ่งเป็นวิชามากเท่าไหร่การกลับมายังจุดที่ต้องทำให้มากขึ้น
แต่อีอั๋นต่างออกไปเขาจำทุกรายละเอียดขอตำราได้ทุกที่
เขารู้ว่าหากนำตำราออกมาฝึกโดยไม่ได้จะต้องสอบวิชายุทธ์เสีย
เขาข้ามหนังของสัตว์อสูรแทนกระดาษและเลือดของมันแทนหมึก
และทำการจดบันทึกบันบันการจดบันทึกอย่างแม่นยำ ต่อไปนี้เป็นตัวอักษรลายมื้อแปลฉบับแปลและด้วยความสามารถในการชี้นำของอีทูเนียวก็ทำให้นักเรียนฝึกสำเร็จวิชามากมาย
อีอั๋นส่งตาราคัดมื้อจากการทำหนังสัตว์ให้กับลู่ตง
อยู่ที่นี่แล้ว แรนส์บรรทัดวัดค่าสำหรับคำถามวิชานี้นอกจากจะสามารถรักษาแขนของลู่ตงได้แล้ว
สำเร็จเกิน 5 พาร์ท เอ็นเอ็นและครอสโอเวอร์ภายในจะต้องชำระล้างด้วยการฝึกวิชาอีกครั้ง
และเทพเจ้าเหนือผู้ฝึกทั่วไป
ลู่ตงกราบอีตั๋นจ้าวเป็นอาจารย์แม้อีตั๋นั่วไม่ยอมรับไว้แต่ในใจก็ยินดีต้อนรับที่ผู้ติดตามให้
ลู่ตงฝึกทักษะที่ฉลาด แม้บางทีจะไม่เกิดขึ้นแต่สิ่งเหล่านี้มีอยู่ทำให้เค้าสามารถฝึกวิชา “เส้นเอนคาร์บอน”
ถึงขันที่ 7
คริสต์มาสของมื้อที่เหลือก็หายดีแล้วกำลังภายในเขาเรียกร้องมากด้วยจนเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครได้
ดังนั้นเค้าจึงลาที่จะท้าทายไปสู่การเรียนรู้สูตรสำเร็จและทำตามความฝันของตัวเอง
ภาพที่เห็นก่อนหน้านี้ก่อนหน้านี้เหลือเพียงชายที่มีพฤติกรรมเด็ดเดียวอยู่ตรงหน้า
ลู่วิ่งตงให้สัญญานผู้ติดตามเค้าต่างแคลร์ลืมที่ลืมไว้สำหรับผู้ติดตามสำรับและไม่นานเสียงระเบิดและควันไฟตกลงมา
ห้องเรียนบันทึกที่เงียบสงบต้อนรับกลับลุกเป็นไฟ “โรหิตสุริยัน”
ใช้เลือดตนเองเผาพลาญเป้าหมายวิชาจะไม่ยอมดับจนกว่าสิงหามอดไหม้จนไม่เหลืออีอั๋นเหลียวมองไปยังลู่ตงที่ท้าทาย
“จากนั้นศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลสำหรับตำรามายาซึ่งแม้ไม่ได้ทำลายด้วยวิถีใดก็ตาม แต่ถ้าผู้ดูแลเฝ้าคอยอยู่มันจะไม่หายไป”
ลู่ตงกล่าว
“หลังจากนี้คงต้องลงแต่คำขอร้องก็จะส่งต่อไปยังคนในตระกูลที่หวังว่าราจะได้กลับมา” อีอั๋นกล่าว
“ไม่ต้องห่วงคุณคือคนสุดท้าย”
แทร็กทอนกล่าวพร้อมกับรวบรวมพลัง “ราชสีอัสนี” เสียงสายเคเบิ้ลดังกึกก้องอั๋นเหลียวมองภาพเบื่องหน้าที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
สิ่งที่ต้องทำคือจะต้องลงโลดแลนที่เหลือทิ้งไป
หัวใจเค้าถูกทะลวงและโดนควักออกไป แรงบางทีลืมไปแล้ว
ความโกธรที่ยากจะใช้ประโยชน์จากถ่าโถมแล้วทิ้งไปเสีย
อดีตดวงไฟแห่งชีวิตจะกลับคืนมา
.....ต่อจากนี้ไปขอให้ช่างติดตามทำมัยสวรรค์ถึงทำกับตามมาด้วย
กักขังผู้จับกุมเอาไว้และมองหาเป้าหมายฆ่าล้างตระกูลสร้าตราบาปให้กะเทียมในวาระสุดท้าย ความคิดสุดท้าย สิ่งเหล่านี้ก็หายไปเหลือเพียงความปรารถนาเดียว
คือขอเพียงเท่านั้นที่คุณจะได้รับจากคำขอร้องนี้และการออกเดินทางสู่โลกกว้าง
สิ้นสุดความคิดแสงก็ดับไปเท่านั้นจนกว่าจะมีใครมาไขข้อสงสัยที่ว่าครอบคลุมคุ้มอยู่เท่านั้น....
เมื่อสัมพัสได้ถึงความมืดมิดที่ว่างป่าว
จนไม่รู้ว่าวันคืนผ่านพ้นไปนานแค่ไหน อยู่ๆร่างกายเค้าก็รู้สึกถึงความร้อนและความเจ็บปวดก็ถาโถมเข้ามาโดยมิทันได้ตั้งตัว
เค้ารู้สึกราวกับแขนขาโดนหัก รู้สึกถึงเลือดที่หยดลงมาระหว่างคิ้ว
แต่ที่เจ็บปวดที่สุดคงเป็นสิงผิดปกติที่อยู่ในร่างกายเค้า
เค้าพยายามจะอาเจียนมันออกมามีแต่เลือดและความทรมาร เค้ารู้ได้ในทันทีว่านี่คือ “วิชาพิษมารบุบผา” เป็นการกลั่นเลือดของตนผสมกับผลังปราณ
อี๋นั่วคิดถ้าหากพิษนี่อยู่ในร่างของผู้ฝึกวิชาจะเป็นประโยชน์อย่างมาก
หากแต่ออยู่ในร่างชายชราเช่นเค้ากลับไรความหมาย เค้าอดกลั่นความทรมารและหลับตาลงรอรับความตายที่จะมาถึง
แต่แล้วเค้ากับคิดถึง ตำราวิชาพิษมารบุบผา
และราวกลับทุกอย่างจะหยุดนิ่งภาพตรงหน้าเค้ากลับกลายเป็นสถานที่คุ้นเคย
เค้ามองไปยังชั้นตำราของหอแห่งการทดสอบ ตำราเล่มหนึ่งลอยลงมาจากชั้น
ต่อจากนี่เค้ารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นนี้คือการมอบตำรายุทธให้กับผู้ที่ถูกเลือกมันคือสิ่งที่เค้าเห็นมาทั้งชีวิต
และแน่นอนเค้าหวังว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับเค้าสักครั้งหนึ่งในชีวิต
แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นตรงหน้า ปกตำราสลักคำว่า พิษ
และมีอักษรที่คล้ายจะถูกเขียนด้วยเลือดว่ามารบุบผา
ร่างกายของเค้าขยับเองราวกับไม่ต้องรอให้สมองสัง นี้คือความฝันนับร้อยปีของเค้า อี๋นั่วปรับลมปราณตามเคล็ดวิชา
ใช้พิษในร่างกายเพื่อขับดันพลังปรานเค้าดูดกลืนวิชาปราณจากตำราสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ราวกับฝัน
แม้พิษที่อยู่ในร่างกายแผดเผาเค้ารุ่นแรงมากมายก็ไม่อาจหยุดเค้าลงได้ .......
ตำราที่ลอยอยู่ด้านหน้ากลับไปยังชั้นของมัน
แสงสีทองที่คล้ายเกสรดอกไม้ค่อยๆก่อตัวขึ้นมาเป็นผีเสือขนาดครึ่งฝ่ามื้อและบินไปรอบๆอี๋นั่วก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่เค้าและแตกกระจายออกมาเป็นปรานผีเสื้อสีทองขนาดใหญ่ “ขั้นที่ 3” อี๋นั่วพึมพำกับตัวเอง
ก่อนจะมองไปยังตำราที่ลอยกลับไป “ข้าฝึกไม่สำเร็จซิน่ะตำราถึงไม่แต่สลายไป
วิชาพิษมารบุบผา มีด้วยกัน 6 ขั้นแต่ข้าเรียนรู้ได้แค่ 3” เค้ากล่าวกับตัวเอง
หากเป็นคนอื่นถ้าเรียนรู้ไม่สำเร็จคงรู้สึกแย่และท้อแท้
แต่อี๋นั่วกลับยิ้มราวกลับว่านี้คือความสุขทั้งชีวิตที่เค้าตามหา
ในขณะที่เค้ากำลังดีใจภาพหอตำราก็จางหายไป
กลับมาเป็นห้อเงก่าๆคลายจะเป็นห้องนอนเค้ามองไปรอบๆเห็นเด็กผู้ชายวัย 10 กว่าขวบ
3-4 คน
และผู้หญิงหนึ่งคนที่แม้จะดูทาทางมีอายุแต่ยังคงรูปโฉมงดงามอยู่เสียงเธอตะโกนคล้ายจะเข้าไปทำร้ายพวกเด็กๆตรงหน้า
ก่อนที่เค้าจะทันข้าใจอะไร ก็กระอักเลือดกองใหญ่ออกมาอีกรอบและสลบไป
รอบนี้ต่างจากที่ผ่านมาเพราะมันคือเลือดพิษและของเสียที่อยู่ในร่างกายทำให้ร่างกายเค้าสะอาดขึ้นลมปราณไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น
อีนั่วยืนอยู่ทามกลางความมืดเค้ามองไปรอบๆ
ก็เห็นเด็กน้อยหน้าหล่อเหลา แม้ชุดที่ใส่จะดูเก่าแต่ก็สะอาดและเรียบร้อยเด็กน้อยยิ้ม
และกล่าวว่า “เวลาในชาตินี้ของข้าหมดลงแล้ว ต่อจากนี้ข้าต้องฝากท่านด้วย
ห่วงของข้ามีเพียงอย่างเดียวคือท่านแม่ของข้าหากข้าจากไปแม่ของข้าคงจะเศร้าหวังว่าท่านจะช่วยข้าได้” เด็กน้อยยกมื้อขึ้นมาทำความเคารพ กล่าวก่อนที่ร่างจะค่อยๆสลายกลายเป็นแสงสีขาวไป
อี๋นั่วลืมตาขึ้นมาพบห้องนอนเก่าๆของเค้า
เค้าลุกขึ้นนั้งและมองไปที่มื้อของเค้าที่ครั้งหนึ่งเคยไม่มีแรงแม้แต่จะยกน้ำ
ยกฝืน แต่ตอนนี้มันกลับดูแข็งแรงจนเค้าคิดว่าเค้าสามารถใช้มื้อเปล่าผ่าฝืนได้
แม้เค้าจะตกใจ แต่เค้ารีปนั้งขัดสมาธิเดินลมปราณวิชาพิษมารบุบผา เพื่อยืนยันกับตัวเองว่าที่เค้าสามารถฝึกวิชาได้แล้วนั้นเป็นความจริง อี๋นั่วค่อยๆปรับลมปราณความทรงจำต่างๆเริ่มไหลเข้ามาภายในหัวเค้า
และสรุปได้ว่า เค้ากลับชาติมาเกิดใหม่เจ้าของร่างชื่อ หนิงหลง เป็นเด็กตระกูล หลง
ที่แม้แต่นอกเมืองแห่งนี้ก็ถือว่าเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรตระกูลหนึ่ง
แต่หนิงหลง ต่างออกไปเพราะตัวเค้าได้สืบสายเลือดจากพ่อเค้าที่เป็นตระกูลหลักสายตรง
แต่เพราะมีความผิดบางอย่างจึงโดนลดจากตระกูลหลักมาอยู่ยังนอกเมืองแบบนี้ เค้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพ่อ
แม้แต่ชื่อพ่อตัวเอง แม่ของเค้าก็ยังไม่เคยบอก รู้เพียงว่าตัวเองแซ่ หลง เค้าไม่รุอดีตของพ่อแม่เค้ามากนัก
แต่ชะตาชีวิตเค้ากลับเลวร้ายลงเมื่อเค้าอายุได้ 10
ปีต้องเข้าพิธีแสดงพลังปราณเพื่อที่จะเข้าฝึกตน
ตัวเค้านั้นมีฐานพลังปราณที่ยิ่งใหญ่แม้แต่ในรอบ 200 ปีนับจากตั้งเมืองมาไม่เคยเจอ
ทำให้เค้าสามารถฝึกฝนวิชาต่างๆได้ดีกว่าผู้อื่น แต่แล้วก็หนีไม่พ้นคำที่ว่าเด่นมากไปจะเป็นภัย
เจ้าเมืองแห่งนี้หวาดกลัวว่าวันหนึ่งหากเค้าเติบใหญ่เค้าจะเข้ามาแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมืองของเค้า
จึงว่างแผนหนิงหลงไม่ได้เรียนวิชาพื้นฐาน ทำให้เค้าไม่สามารถใช้วิชาพื้นฐานได้กลายเป็นเป้าหมายการกลั่นแกล้งของเด็กที่ฝึกยุทธ
ถึงแม้อย่างนั้นเค้าก็ไม่ใช้เด็กที่จะยอมคนง่ายๆ แม้ตัวเค้าจะไม่มีวิชายุทธ
แต่พลังปราณในร่างกายมีมากมายนัก ทำให้เค้ามีร่างกายที่แข็งแกร่ง
ต่อให้ไม่มีวิชาเค้าก็สามารถเอาชนะเด็กที่ฝึกยุทธระดับพื้นฐานได้สบายๆ
เมื่อเจ้าเมื่องรู้ข่าวจากการกลันแกล้งที่หนักขอขึ้นเรือยๆจนกลายเป็นการทำร้ายร่างกาย
จนในที่สุดล่ามไปเป็นการสังหาร
เด็กๆที่เข้ามาทำร้ายเค้าก็คงเป็นหนึ่งในเครื่องมื้อของเจ้าเมือง
อี๋นั่วเดินเปิดประตูออกมายังด้านหน้า
และลองซัดฝ่ามื้อไปยังต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า
รอยฝ่ามื้อกดลงไปบนต้นไม้และต่อมาก็ค่อยๆเหี่ยวเฉ่าตายจากพิษของฝ่ามือพิษมารบุบผา กระบานท่าที่ 1 ผีเสื้อพิษโบยบินเค้ายิ้มอย่างพอใจกับภาพที่เห็น
ก่อนจะหัวเราออกมา “หนิงหลง น่ะ
หนิงหลงเจ้าไม่เพียงแต่จะให้ร่างนี้กับข้ายังให้พลังที่ยิ่งใหญ่นี้กับข้า
ได้ต่อไปนี้ข้าคือ หนิงหลง
สิ่งใดที่เจ้าทำไม่สำเร็จใครที่มันรังแกเจ้าและแม่ข้าจะเป็นคนจัดการเอง”
หลงหนิงเดินกลับเข้าห้องมาในห้องได้ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงตะโกนตื่นตกใจ
จากด้านนอกเค้าวิ่งออกมาดูพบชายคนหนึ่งจากความทรงจำเค้าคือ จ้าว เฟ่ย
เค้าเป็นดังผู้ติดตามของหลงหนิ่ง มาตั้งแต่เค้าจำความได้
จ้าวเฟ่ยครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงนายกองของกองทัพภาคเหนือแม้จะไม่ใช่ตำแหน่งใหญ่โตอะไรแต่ก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีฝีมื้อระดับหนึ่ง
แต่ที่เค้ายอมลดตัวมาเป็นผู้ติดตาม เพราะครั้งหนึ่งพ่อของหลงหนิ่งเคยช่วยเค้าและหน่วยของเค้าเอาไวหลังจากนั้นเมื่อทราบข่าวว่าหลงหนิ่งต้องประสบพบเจอกับโชคชะตาที่เลวร้าย
บิดาหายสาบสูญทั้งยังโดนไล่ออกมาจากตระกูล โดนเหล่าบรรดาผู้นำตระกูลสาขากลั่นแกล้ง
เค้าจึงลาออกจากกองทัพเพื่อมาค่อยอยู่รับใช้หลงหนิง และแม่
“เกิดอะไรขึ้น ผู้ที่สามารถฝากรอยฝ่ามื้อไว้ได้ลึกขนาดนี้
แถมปราณพิษที่แฝงทำให้ต้นไม้ใหญ่ตายลงได้ ต้องเป็นจอมยุทธระดับสูงแน่นอน”
เค้าพูดขณะจองมองไปยังต้นไม้ที่หนิงหลงใช้ทดสอบพลัง เมือเค้ากลับมาเห็นหนิงหลง
เค้ารีปกระโดดเข้าไปคว้าตัวหนิงหลงเข้าไปในห้องก่อนที่จะใช้ลมปรานปิดประตูหน้าต่างจนสนิด
และคุกเข่าลงตรงหน้าหนิงหลง ”ข้าน้อยทำงานละเลยหน้าที่ทำให้คุณชายเกือบเสียชีวิต
ตอนนี้เราไม่สามารถอยู่ที่นี้ได้แล้วเกรงว่าผู้ที่มาเยือนครั้งนี้จะแข็งแกร่งระดับจ้าวพิษข้าเกรงว่าจะไม่สามารเอาชนะมันได้ง่ายๆ
และจะทำให้คุณชายตกอยู่ในอันตราย” กล่าวจบจ้าวเฟ่ยได้รีปเก็บข้าวของ
โดยมีหนิงหลงค่อยห้ามอยู่ข้างๆ แต่จ้าวเฟ่ยคล้ายคนเสียสติ
ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงห้ามของหนิงหลง
“หยุด”
หนิงหลงตะโกนพร้อมรวบรวมพลังยุทธกระทืบเท้าลงพื้นเกิดเป็นรอยแตกและคลืนพลังปราณแผ่กระจากออกไปรอบๆจนประตูและหน้าต่างเปิดออกทุกอย่างหยุดนิง
จ้าวหลงหันกลับมามองราวกับว่าสิ่งมีค่าที่สุดของเค้ามาอยู่ตรงนี้แล้ว
“มันเกิดอะไรขึ้นนายน้อย นี้ท่าน ท่านมี
วิชายุทธได้ยังไงกันแถมยังสำเร็จได้โดยไม่มีผู้ชีแนะยังงันรึ” จ้าวเฟ่ยถามหนิงหลง
ตามความทรงจำของเค้าเด็กทุกคนที่ฝึกวิชานอกจากจะต้องมีตำรายุทธแล้วยังต้องมีผู้แนะนำซึ่งจะสำเร็จได้มากน้อยอยู่ที่ผู้แนะนำและตัวผู้ฝึกมีความสามารถแค่ไหน
แต่อย่างไรก็ตามผู้แนะนำก็ถือเป็นสิงสำคัญสำหรับการฝึกวิชา
ทุกวันนี้จึงมีสำนักและโรงเรียนผู้ฝึกยุทธมากมาย
หนิงหลงตัดสินใจบอกออกไปว่า
“รอยฝ่ามื้อที่ท่านเห็นด้านนอกคือฝ่ามื้อของอาจารข้าเอง
และตำราที่ข้าฝึกก็เป็นอาจารข้าที่นำมาให้และเป็นผู้ชี้แนะข้าด้วยตนเองท่านไม่ต้องตื่นตนกไป”
จ้าวเฟ่ยยิ้มอย่างยินดีก่อนที่จะรีปซ่อนตำราให้พ้นจากสายตาเค้าและมีสายตาผิดหวังเล็กน้อย
แต่การกระทำเหล่านี้ก็ไม่อาจหลุดพ้นสายตาหนิงหลงไปได้
“ท่านน้าข้าก็เหมือนกำพร้าพ่อ นอกจากแม่ก็มีท่านนี้หละที่ดูแลข้ามาอย่างดี
ของที่ท่านเตรียมมาให้ข้าท่านนำมันออกมาเถอะ”
จ้าวเฟ่ยลังเลก่อนจะหยิบตำราเล่นหนึ่งออกมา
ลักษณะของมันเป็นตำราเก่าๆเล่มสีเทาสร้างความตกใจให้เค้าอย่างมากเพราะตำรานี่เค้าไม่เคยเห็นมาก่อน
จ้าวเฟ่ยกล่าวว่า “นี้คือวิชากระดูกเหล็ก เป็นวิชาพื้นฐานของเมืองเด็กทุกคนที่อายุพ้น
10 จะต้องฝึกฝน ตำรายุทธจะมีแค่ในโรงเรียนและจวนเจ้าเมือง กับตระกูลใหญ่ ๆ หากใครขโมยออกมาขายภายนอกจะถือว่ามีความผิดแต่ด้วยความที่เค้าโดนทางเจ้าเมืองกีดกันทางโรงเรียนไม่ให้รับเค้าเข้าเรียนและได้รับตำรา
ข้าจะพยายามทำภาระกิจเพื่อหาเงินซื้อจากการประมูลโลกใต้ดินมาหลายปี
แต่เกรงว่าจะไม่ทันในตัวข้ามีเพียงดาบเล่มเดียวที่มีค่าจึงนำไปแลกตำราแม้จะเป็นระดับต่ำแต่ก็คิดว่า
อย่างน้อยถ้านายน้อยมีวิชาก็มีโอกาสสอบเข้าโรงเรียนชั้นนำได้ ”
จ้าวเฟ่ยก้มหน้าก่อนจะพูดต่อว่า “ใครจะไปคิดว่าคนต่ำต่อยเช่นข้าจะคิดน้อยไปจะนำตำราที่อยู่เพียงระต่ำมาให้นายน้อยฝึก” หนิงหลงหยิบตำราออกมาจากมื้อจ้าวฟ่าง ก่อนที่จะกลางตำราออก
จ้าวฟ่างคล้ายจะทักท้วง หนิงเฟ่ยยกมื้อขึ้นห้าม
“ตอนนี้เลือดข้าเป็นพิษจากวิชาที่ฝึกหากไม่ได้วิชาที่เสริมสร้างกระดูกก็คงยากที่จะสำเร็จวิชาขั้นสูง
ขอบคุณท่านมากข้าขออยู่คนเดียวได้รึมัยข้าต้องการสมาธิในการฝึกวิชา”
จ้าวหลง
แสดงสีหน้ายินดีก่อนจะรับปากแล้วเดินออกไป.
เมื่อไม่มีใครอยู่หนิงหลงแสดงท่าทีดีใจจนไม่สามารถเก็บไว้ได้
มีหรือที่คนเค้าอย่างจะมองตำราต่างๆว่าไรค่า คนอย่างเค้าที่ไม่สามารถฝึกวิชาอะไรได้ในชาติที่แล้วมานับร้อยกว่าปี
ตอนนี้ตำราเก่าๆที่อยู่ในมื้อของเค้ามีค่ามากกว่าทองคำนับพันเสียอีก หนิงหลงค่อยๆเปิดตำราออกพินิจตำราที่เค้าไม่เคยเห็นเค้าพบว่าจริงๆ
แล้วตำรานี้คือตำรา ”สร้างกระดูกเทวะ”
เป็นวิชาที่เสริมสร้างให้กระดูกแข็งแกร่งทนทานต่อศาสตราวุธแทบทุกชนิด
ว่ากันว่าแม้ผู้ฝึกบ้างคนจะตายไปแล้วแต่กระดูกของผู้ที่ฝึกยังคงสภาพอยู่นับร้อยปีและมีพวกพ่อค้าตลาดมืดชอบแอบลักรอบนำมันไปใช้เป็นวัตถุดิบในการทำอาวุธหรือเครื่องป้องกัน
แต่วิชาที่อยู่ตรงหน้าเค้ากลับเป็นวิชาที่ถูกแปลงเนื้อหาทำให้ไม่สามารถสำเร็จได้แม้เพียงครึ่งขั้นต่อให้เป็นตำราที่สมบูรณ์กว่านี้ก็หนี้ไม่พ้น
1 ขั้น แถมตำรานี้ยังเป็นแค่ขั้นตอนการเสริมกระดูก และไม่มี อีก 3ขั้นที่เหลือ
ในตำรา
หนิงหลงใช้สมาธิกับตำราที่อยู่ตรงหน้าก่อนที่เค้าจะรู้ตัวเค้าก็ได้เข้ามาสู่ห้องตำราหอแห่งการทดสอบ
เค้ามองไปรอบๆ ก่อนที่ตำราในมื้อของเค้าจะถูกแรงดูดกระชากจนหลุดมือ
ไปปะทะกับตำราเล่มหนึ่งนั้นคือตำราสร้างกระดูกเทวะ
ตำราที่ถูกหลอมรวมค่อยๆลอยลงมาตรงหน้าหนิงหลงรีปปรับลมปรานซึมซัพวิชา วิชานี้ถูกแบ่งด้วยกันเป็น
4 ขั้นคือ สร้างกระดูก เสริมกระดูก หลอมรวม ชำระล้าง ขั้นตอนที่ยากที่สุดของวิชานี้คือขั้นหลอมรวมที่จะทำการคัดกระดูกที่อ่อนแอ่ออกโดยการสลายและสร้างขึ้นมาใหม่อย่างช้าๆทำให้สร้างความเจ็บปวดแกผู้ฝึกยิ่งนัก
เค้าเดาว่าตำราที่ถูกสร้างขึ้นในภายหลังนี้ต้องมาจากผู้ที่ไม่สามารถฝึกสำเร็จ
หนิงหลง รวบรวมสมาธิดูดซับวิชาจากตำรา ผ่านไปได้ไม่นานตอนนี้หน้าของเค้าซีดลงคล้ายคนตาย
ร่างกายบ้างส่วนมีลักษณะผิดแปลกเกิดจากการที่กระดูกในส่วนนั้นถูกสลายและกำลังเสริมสร้างขึ้นมาใหม่สร้างความทรมารให้ร่างกายเค้ายิ่งนัก
แต่หากสำเร็จขั้นนี้ไปได้ร่างกายของเค้าจะเหมาะสมกับการฝึกยุทธระดับสูง เค้ายิ่งอยากท้าทายมันเข้าไปอีก
เวลาราวกลับจะหยุดนิ่งเค้าไม่แน่ใจว่าผ่านไปแล้วกี่ชั่วโมงกี่วันความรู้สึกก็ค่อยๆ
กลับมาร่างกายของเค้าเบาลงมากแต่รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่มากขึ้น ตอนนี้กระดูกของเค้าเสริมสร้างจนแข็งแกร่งหากดาบทั่วไปฟันลงมาคงเป็นตัวดาบเองที่หักลงแล้ว
ขณะที่เค้ากำลังสำรวจร่างกายใหม่อยู่ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นที่รุนแรงเมื่อเค้ามองไปรอบๆก็พบว่ารอบตัวเค้ามีคราบและไขมันส่วนเกินต่างๆถูกขับออกมาจนกลิ่นคล้ายศพที่เน่าสลายเป็นเวลานาน
หนิงหลงพูดออกมาว่า “ถึงแม้จะสำเร็จได้เพียงครึ่งของการชำระล้างกระดูกแต่ก็รับรู้ถึงความแข็งแกร่งได้มากขนาดนี้”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!