ชาวไร่ท่านหนึ่งได้เอ่ยทักท้วงแก่เด็กน้อยที่เผอิญนั่งแหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างไม่หยุดหย่อน
"สวยมากเลยใช่มั้ยละ?"
"ค่ะ ท้องฟ้าสวยมากเลยค่ะ ดูดาวดว-"
เด็กน้อยยังไม่ทันเอ่ยจบประโยคได้โดนแทรกขึ้นมา
"แล้วทำไม ใส่อาภรณ์ยาวนักล่ะ"
ทันทีที่ชาวไร่ท่านนี้ปิดปากสนิทจึงได้เดินหันหลังกลับไปบ้านของตนที่อยู่ห่างไกลไม่มากนัก ขณะเดียวกันเด็กน้อยจึงได้เปิดปากขึ้นพูดว่า
"แล้วจะให้หนูทำยังไงละ? ภายใต้อาภรณ์นี้มันไม่ได้สวยงามเหมือนท้องฟ้าที่เเต่งเติมไปด้วยดวงดาวสักหน่อย..."
"แล้วเธอคิดว่าท้องฟ้าที่ไม่มีดวงดาวมันจะสวยเหมือนเดิมมั้ยละ..?"
"มันทั้งมืด ทั้งน่ากลัว ไม่มีแสงสว่างอะไรเลย มันก็ต้องไม่สวยอยู่แล้วสิ.."
"...."
ความเงียบได้เริ่มขึ้นหลังเด็กน้อยปิดปากสนิท จนกระทั่ง
"ถูกที่พอไม่มีดวงดาว มันทั้งมืด น่ากลัวและไม่มีแสงสว่างแต่สิ่งที่ทำให้มันดูสวยงาม โดดเด่น เห็นได้ชัดมันก็เกิดเพราะความมืดที่ปกคลุมมันไม่ใช่หรอ?"
เด็กน้อยเงียบ
"ถ้าไม่ใช่เพราะความมืดแล้วเพราะอะไรละ ยิ่งมืดเท่าไหร่ดวงดาวพวกนั้นก็ยิ่งโดดเด่นมากขึ้น ความมืดที่ไม่มีดวงดาวน่ะมันก็สวยในตัวของมัน และอาจเปลี่ยนใครสักคนที่เคยเกลียดความมืดกลับชอบมันก็ได้นะ"
ช่างเป็นบทสนทนาที่ยาวเสียจริง
เด็กน้อยคิดในใจ ก่อนจะหันเดินกลับไปสู่เส้นทางบ้านของเธอ
"พรุ่งนี้เธอจะมาที่นี่อีกรึป่าว..?"
"ค่ะ"
ไร้มารยาทจังแหะ เย็นชาซะจริง
นั้นคือเสียงวาจาพูดสุดท้ายก่อนจะเกิดความเงียบขึ้นอีกครั้งหลังจบบทสนทนาที่แสนยาวนานลง
Credit: Tkailis
Conclusion: ท้องฟ้าก็เปรียบเสมือนตัวเราที่อยากจะดำหรือสว่างก็ขึ้นอยู่กับคนโดยรอบ แต่นั้นก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด มันเกิดขึ้นเพราะตัวเราเองว่าอยากนะเป็นตามคำสั่งคนอื่นหรือเป็นไปตามแบบที่เราอยากจะเป็น แต่การจะเป็นตามที่เราอยากมันมักจะถูกผู้คนหว่านล้อม ทำร้ายตัวเราอยู่เสมอจนเราต้องยอมน้อบน้อมผู้คนทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ตัวเราต้องดำมืดไปมากกว่านี้.........
"วันนี้มีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นละ มาแต่รุ่งสางเชียว"
ชาวไร่เอ่ยจบ
"ก้อนเมฆสีขาวตอนนี้ก็สวยเหมือนกันนะคะ^^"
เด็กน้อยยิ้ม
ฉึก! ฉึก!
ชาวไร่ไม่ได้เปิดปากเอ่ยวาจาออกไป แต่กลับตัดต้นข้าวต่อ..
เวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยจากรุ่งสางไปยามเช้าจากยามเช้าไปยามบ่ายและจากบ่ายไปยามเย็น ชาวไร่ท่านนี้ก็ยังไม่คิดจะเปิดปากเอ่ยวาจากับเด็กน้อยที่นั่งมองเขาสลับกับขนปุยสีขาวสักคำ
"กลับบ้านได้แล้วเจ้าหนู นี่มันจะค่ำแล้วมันอันตราย"
"กว่าจะเปิดปากคุยกับหนูสักทีนะคะ"
"ฉันไม่อยากยุ่งกับดอกไม้ที่เริ่มจะผลิดอกออกผลเพื่อให้ผู้คนได้รับชมหรอกนะ"
"แต่ถ้าดูแลมันไม่ดี ก็จะตายเอานะคะ"
"เธองดงามอยู่แล้วนิ่ ฉันจะไปเร่งให้เธอรีบออกผลทำไมละ"
ฉึก! ฉึก!
เด็กน้อยเงียบ
"ฉันจะบอกอะไรให้อย่าง"
"?"
"เธอในตอนนี้น่ะ ยังคงสวยงามอยู่เสมอ"
"เธอยังมีโอกาสที่จะอยู่ในโลกของแสงสว่างที่ไม่ใช่โลกแห่งนี้"
"เธอกล้ามั้ยล่ะ?"
"กล้าอะไรคะ?"
"กล้าที่จะโดดเด่นกว่าดวงดาว กล้าที่จะชัดเจนต่อโลกของเธอ"
"......."
หลังจากชาวไร่เอ่ยจบจึงได้แหงนหน้ามองขึ้นไปบนฝากฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาวที่กำลังสว่างไสวไปมาราวกลับ ท้าทายให้เด็กน้อยคนนี้กล้าจะเผชิญกับมันอีก
"เวลามันผ่านไปเร็วจังเลยนะคะ...."
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าอันน้อยนิดเริ่มห่างไกลก่อนจะหยุดลง...
"ไว้มาใหม่นะคะ..คุณชาวไร่"
หลังจากจบประโยค เสียงฝีเท้าอันน้อยได้เดินต่อไปโดยไม่หันหลังกลับมา
"ฉันจะรอดูผลงานที่เธอจะแสดงออกมาให้ชมอยู่นะ"
นั้นคือบทสนทนาสุดท้ายของวันนี้แล้วสินะ อยากคุยด้วยอีกหน่อยจัง
Credit: Tkailis
Conclusion: ดวงดาวนั้นสว่างได้ทั้งตัวมันเองและจากดาวดวงอื่น การก้าวข้ามดวงดาวที่เปรียบเสมือนผู้คนออกมาก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากชัดเจนต่อตัวเองชัดเจนต่อโลกของเธอ มันอาจยากสำหรับบางคน แต่เชื่อเถอะมันจะง่ายขึ้นเยอะหากเราทบทวนใจตัวเองและกล้าจะฝืนตัวเองดูสักครั้ง สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำเราจะได้ทำมัน สิ่งใดที่เราต้องการเราก็จะได้มาเอง สิ่งใดที่เราพรากไปเราจะได้พากลับมา
วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยคนนั้นก็ยังไม่กลับมา บรรยากาศที่เย็นยะเยือกทำให้รับรู้ได้ทันใดว่าฤดูของเหมันต์กำลังจะมาเยือน เสียงลมแผ่วเบาโลดแล่นผ่านไปอย่างอิสระ ยามคำคืนที่มาอย่างรวดเร็ว
"เด็กน้อยเอ๋ย เวลาของเธอใกล้หมดลงทุกทีแล้ว"
แฮ่กๆ...แฮ่ก
หยดน้ำสีใสไหลอาบผ่านแก้มนวลอย่างล้นเอ่อ ร่างกายที่เหนื่อยล้า ขาที่กำลังอ่อนเเรงลง
"ช่วย..."
"บอกหนูทีว่าการมีชีวิตอยู่มันคืออะไรกันแน่..."
เสียงที่สั่นเทา เนื้อหนังภายใต้อาภรณ์ที่เต็มไปด้วยบาดแผล มือที่พยายามปิดกลั้นรอยน้ำตา..."หนูฝืน...ที่จะสว่างกว่าดวงดาวพวกนั้นไม่ไหวแล้ว"ร่างที่แสนบอบบางนั้นได้ทรุดนั่งกับพื้นอย่างหอบระโรย
"วันเวลาที่ผ่านไปนี้คงเจออะไรมาเยอะสินะ..ลุกขึ้นมาซะสิ"ฝ่ามืออันหยาบกระด้างแต่กลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาดยื่นออกมา เธอจะรับมันมั้ยนะ?
"ไม่ไหว...ขามัน" เสียงที่สั่นเทาอันแหบแห้ง
"เธอไม่ได้อ่อนแอ แต่ข้างในเธอต่างหาก"มือนั้นยังยื่นอยู่
"ฉันจะรอจนกว่าเธอจะลุกขึ้นมา"มือนั้นยังคงยื่นต่อ
"..."
"เป็นคนดีจังนะ ช่วยหน่อยสิ"มืออันน้อยนิดได้ประกบกับมือนั้นอย่างแผ่วเบา ช่างอบอ่นเหลือเกิน.. ความในใจของเด็กน้อยคนนี้ อ่านง่ายจริง มิน่าถึงได้...
"อยากซ่อมมันมั้ย"ชาวไร่เอ่ยก่อนเดินหันหลังไปหยิบอะไรบางอย่าง
"ไม่เหลืออะไรให้ซ่อมแล้วละ.."เด็กน้อยเอ่ยจบ
"งั้นเธอจะยื่นความหวังสุดท้ายมาให้ฉันทำไม?"
เด็กน้อยเงียบ
"ง่วงแล้วละ"ร่างอันบอบบางเริ่มเหนื่อยล้า
"ดื่มนี่ก่อนไปสิ"แก้วใสที่เห็นของเหลวสีขาวพร้อมไออุ่นระเหยถูกยื่นมา เธอจะดื่มมันมั้ยนะ?
"นั้นคือ..?"
"ทำให้หลับง่ายขึ้น"
"..ขอบคุณ"ผ่านไปไม่กี่นาทีของเหลวสีขาวที่มีไอระเหยที่ชื่อว่า นมร้อน ก็หมดไปในไม่กี่นาทีเหมือนกับคนที่ไม่เคยกินอะไรดีๆมาทั้งชีวิตได้ดื่มมันเข้าไป
Credit: Tkailis
Conclusion: นมร้อนนั้นช่วยให้นอนหลับง่ายหากเธอต้องการที่จะ หลับให้เร็วขึ้น มันดีต่อสุขภาพนะ ถ้าเธออยาก....แต่ถึงอย่างไร การกินก่อนนอนนั้นมันดีต่อการหลับที่สุด
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!