เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์จริงที่บีได้ไปที่บ้านแฟนแล้วได้พบเจอกับหลวงตาท่านหนึ่ง คนในหมู่บ้านต่างก็นับถือ แฟนบีเล่าว่าหลวงตาท่านนี้ไม่ใช่คนในพื้นที่แต่มาจากต่างจังหวัด
ชาวบ้านในแถบนั้นได้ไปพบเจอหลวงตาโดยบังเอิญ ชาวบ้านได้พากันไปเก็บเห็ดอยู่แถวป่าช้าเก่าของหมู่บ้านไปเจอพระรูปหนึ่ง ปักกลดอยู่จึงเรียนถามท่าน
"หลวงตามาจากไหนทำไมมาปักกลดในที่แห่งนี้เช้าบ้านในแถบนี้เค้าลือกันว่าผีดุ" หลวงตาท่านก็นิ่ง
"โยมอาตมาอยู่ได้ไม่เป็นไรหรอก" พอสิ้นเสียงหลวงตาชาวบ้านก็พากันกลับ
ผู้ใหญ่บ้านจึงเรียกชาวบ้านมาประชุมว่าจะเอายังไงกันดีบ้านเราไม่มีพระธุดงค์ผ่านมาทางนี้นานแล้ว สมัยก่อนพระที่มาปักกลดในป่าช้าโบราณแห่งนี้ก็อยู่กันไม่ได้
"งั้นเราไปขอให้หลวงตาให้อยู่ที่นี้เลยดีไหมจะได้เป็นที่เพิ่งทางใจของพวกเรา" ชาวบ้านได้ไปขอให้หลวงตา อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ หลวงตาท่านก็ตอบรับคำของชาวบ้าน ชาวบ้านก็ต่างพากันดีใจกันทั้งหมู่บ้าน
ในปีนี้ชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นก็ได้ยินว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีพระมาอยู่ในหมู่บ้านนี้ก็ได้พากันมา จากที่ห่างไกลก็พากันมา จนทำให้หลวงตาท่านนี้ออกจากหมู่บ้าน เพราะว่าชาวบ้านไปรบกวนหลวงตามากเกินไป ท่านจึงไปจากหมู่บ้าน แต่ชาวบ้านก็พากันไปตามหลวงตากลับมา
บีก็ได้แฟนที่หมู่บ้านนี้ ทางบ้านแฟนก็ให้มาแต่งงาน ก่อนแต่งบีได้มาบ้านแฟนก่อน พาไปหาญาติพี่น้อง แล้วก็พาไปที่วัด สมัยนี้วัดที่หลวงตาอยู่ก็ได้มีการสร้างวัดขึ้นมา ชื่อว่าวัดป่า ก็คือเป็นป่าช้านี้แหละครับ แต่หลวงตาท่านไม่ได้อยู่ที่นี้แล้วเพราะว่าน้ำท่วมหลวงตาจึงได้ย้ายไปอยู่ที่เกาะกลางน้ำในป่าช้า
ป่าช้าแห่งนี้จะเป็นบริเวณโดยรอบจะมีแต่ต้นไม้เต็มไปหมดจะมีกองเนินซึ่งดูเหมือนเกาะ มีร่องน้ำรอบๆบริเวณเกาะ ชาวบ้านแห่งนั้นก็เลยเรียกว่าเกาะ
แฟนบีได้พาไปเที่ยวเกาะที่หลวงตาท่านอยู่ โดยการขี่รถจักรยานยนต์ไป สองคันกับหลานแฟนอีกสามคน พอไปถึงทางเข้าก็เจอหลวงตากวาดใบไม้ตรงทางเข้าไปที่เกาะ แฟนเลยบอกนี้ไงหลวงตา บีก็เห็นว่าท่านยังแข็งแรงอยู่เลยแล้วก็ขี่จักรยานยนต์ไปที่เกาะ
ระยะทางจากทางเข้าที่หลวงตาท่านก็กวาดใบไม้อยู่ก่อนจะถึงเกาะ ก็ประมาณ 500เมตร บีได้มาถึงเกาะก็ลงจากรถ และมีสายโทรเข้ามาจึงรับสายไปได้ไม่ถึงนาที แฟนจึงกระซิบบอกว่าหลวงตามา บีก็หันไปปรากฏว่าหลวงตามาจริงๆ บีถึงกับงงในขณะนั้น แต่ว่าตัวเองคุยโทรศัพท์อยู่จึงไม่ได้เอะใจว่าสิ่งที่ตนเห็นคืออะไร
หลวงตามาถึงจึงบอกพวกเรามาทำอะไรกัน แฟนบีเลยบอกว่าพาแฟนมาเที่ยวที่เกาะหลวงตาค่ะ หลวงตาก็ไม่ได้ว่าอะไร หลวงตาท่านกำลังเดินข้ามแพที่ทำจากแผ่นไม้แล้วมีถังน้ำมันเปล่าเพื่อให้มันลอยน้ำได้
บีและแฟนบีรวมไปถึงหลานทั้งสามคน ตามหลวงตาข้ามไปที่เกาะ ในขณะที่กำลังข้ามอยู่นั้นเอง หลานแฟนที่อยู่ข้างหน้าบี ถัดไปด้านหน้าหลานก็คือหลวงตา หลานแฟนหันมาบอกบีว่า "พี่ๆเห็นหลวงตาไหม"บีก็งงก็อยู่ข้างหน้าเองไง แต่บีถึงกับงงอีก"อ้าวหลวงตาไปไหนแล้วเมื่อกี้ยังอยู่เลย หลาน"ใช่ๆหายไปแล้วผมหันไปทางอื่นหันมาอีกทีก็หายเลย"
พอบีพากันข้ามแพได้ บีได้มองไปข้างหน้าเห็นเป็นศาลา ปรากฏว่าหลวงตาท่านนั่งสมาธิอยู่บีกับหลานถึงกับงง ทำไหมหลวงตาไปอยู่ตรงนั้นไวจัง คือจากที่พวกเราถึงเกาะ ระยะทางที่เห็นศาลาก็ประมาณ 100เมตรเลยนะ ถ้าคนธรรมดาอย่างเราวิ่งไปนั่งก็ถึงกับหอบแน่นอน แต่หลวงตาท่านนิ่งมาก อีกอย่างพระวิ่งไม่ได้
บีเริ่มสงสัยว่ามันคืออะไรอ่ะ บีได้กลับไปถามพ่อตาว่าสิ่งที่เห็นมันคืออะไร พ่อตาบอกว่าท่านเดินไวแต่บีก็ไม่เชื่อครับ เพราะว่าบีเห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่หลวงตาจะไวขนานนั้น ถ้าเห็นหลวงตาจากทางเข้า ต่อให้เป็นคนวิ่งตามรถก็ต้องมีหอบกันมั่ง อันนี้พระนะพระสงฆ์วิ่งไม่ได้ต่อให้วิ่งก็ต้องมีหอบกันมั่งอ่ะ
บีเค้าก็ยืนยันอ่ะนะครับ พ่อตาบีก็เลยบอกว่าพระอาจารย์ของหลวงตาท่านเก่งทางด้านนี้ เค้าว่ากันมาว่าพระอาจารย์ของหลวงตาน่ะ ท่านมีกิจนิมนต์ทางไกล ลูกศิษย์ก็เลยมาตามหลวงตาว่ารถพร้อมแล้วครับ หลวงตาบอกว่าเอ่อเดียวไปเอง ลูกศิษย์ก็งงเลยถามไปว่า หลวงตาครับทางมันไกลนะครับต้องใช้รถไปครับ หลวงตาท่านก็เงียบ ขณะนั้นเองสายโทรศัพท์เข้ามาพอดี
สายนั้นเป็นสายของมัคทายกของวัดนั้นบอกว่าหลวงตามาทันพอดีเลยแล้วนายอยู่ไหน ลูกศิษย์ถึงกับงงมากเลยอ้าวก็หลวงตายังไม่ออกมาเลย ลูกศิษย์เลยเปิดประตูเข้าไปปรากฏว่าหลวงตาไม่อยู่ นี้แหล่ะครับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจมากเลยครับ ...............
(ปัจจุบันหลวงตายังอยู่หมู่บ้านที่แฟนบีอยู่ตราบทุกวันนี้)
........................จบแล้วครับ...........................
เรื่องราวก็ผ่านมา4ปี เด็กชายบีได้เห็นสิ่งที่เรียกว่าผีหรือวิณญาณมากมายเลยครับ แต่สิ่งที่เห็นชัดแบบคนปกติที่มีเนื้อมีหนังเหมือนคนทั่วไป และมีอยู่วันหนึ่งก็มีเรื่องแปลกๆเข้ามาในหูบีให้ได้ยิน
ป้าของบีเค้าคุยกับแม่บีให้บีได้ยินว่าคนที่อยู่บ้านทางทิศเหนือที่เค้ามีอาชีพรับจ้างทั่วไป ทำไร่ไปสวนอะไรประมาณนั้นนะครับ คือเรื่องมันก็เกิดขึ้นว่า
ลุงซีชื่อของลุงที่เป็นต้นเรื่องราวของเรื่องนี้นะครับ คือบ้านของลุงนี้เเหล่ะลุงซีได้ไปที่สวนหลังบ้านจะไปตัดไม้เอามาทำฟืน ตัดไปได้สักพักหนึ่ง ก็เห็นท่อนไม้ท่อนหนึ่งขนาดก็ไม่ได้ใหญ่อะไรนักประมาณเท่าขาของคน ลุงแกก็เลยจับไม้ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะฟันอ่ะนะครับเพื่อให้ไม้นั้นขาดเป็นสองส่วน แต่เกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้นมา ลุงซีถึงกับตกใจ
ลุงซี
"อ่าวเห้ยทำไมมีดมันฟันไม่เข้าว่ะ"
ลุงซีฟันไม้ท่อนนี้ไม่เข้าไม่มีรอยอะไรเลยครับฟันอีกก็มีประกายไฟออกมาจากไม้ท่อนนั้น ลุงซีแปลกใจมากเกิดอะไรขึ้น ลุงแกเลยโยนไม้ท่อนนั้นไปไว้กองไม้ที่ยังไม่ได้ตัดทำฟืน แกคงรำคาญแหล่ะครับ พอลุงตัดไม้เสร็จก็เข้าบ้านตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในขณะช่วงเวลานั้นเอง ลุงซีก็ได้นอนหลับแล้วฝัน ลุงซีฝันว่ามีผู้หญิงมายืนต่อหน้าแกแล้วชี้หน้าด่าว่าลุงด้วยความโมโห แล้วก็พูดออกมาว่า
"ไอ้แก่มึงมาฟันกูทำไมวะ กูเจ็บนะโว้ย กูจะเอาให้ตายเลยมึง..."
แล้วลุงก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมียแกเลยถามว่า
"เป็นอะไร"
แต่แกก็ไม่ได้พูดอะไรนะครับ พอเช้ามาแล้วลุงแกก็ยังไม่ตื่นซึ่งแปลกมาก ปกติแล้วลุงซีจะตื่นเช้ามากทุกๆวัน แต่ทำไมวันนี้ดูแปลก เมียแกเลยปลุกให้ตื่น
" พี่ตื่นๆเช้าแล้ว"
ลุงซีก็ไม่ตื่น พอเมียแกจับตัวลุงเห็นว่าตัวร้อนเหมือนจะไม่สบาย ลุงก็พูดออกมาว่า
"หนาว...หนาว"แบบสั่นเครือ เมียแกว่า
"ถ้าไม่ดีแล้วพี่ไปหาหมอเถอะ" เมียลุงซีก็พาลุงไปหาหมอไปตรวจดูแล้ว ซึ่งหมอได้ให้คำตอบมาแปลกๆ "คนไข้ไม่หน้าจะรอดถึงคืนนี้นะครับ
" ซึ่งเมียแกได้ยินก็ถึงกับงง "คืออะไรค่ะหมอหมายความว่ายังไงค่ะ ไม่ใช้ว่าเป็นไข้หรอกหรอค่ะ หมอบอก
"เป็นไข้ก็จริงอยู่ครับแต่มีเนื้องอกในสมองซึ่งจะต้องผ่าตัด แต่โอกาสรอดน้อยมาก มีหนึ่งในล้านคนถึงจะเจอเคสแบบนี้ ต้องทำใจนะ"
คือเมียลุงซีถึงกับร้องไห้ออกมาเลยนะครับว่าจะทำยังดี แต่ก็นึกขี้นได้ว่าผัวตนได้เล่าให้ฟังว่าก่อนเกิดเรื่องไปฟันท่อนไม้ท่อนหนึ่งฟันแล้วไม่เข้าก็เลยคิดว่าต้องเป็นเรื่องลี้ลับแน่ๆเลยไปปรึกษาหมอดูหรือว่าหมอธรรมแถวบ้านให้เค้าดูว่าเกิดอะไรขึ้น หมอธรรมได้ทำพิธีเข้าทรงหรือให้ดวงวิญญาณเข้าร่างตัวเองตามความเชื่อของคนบริเวณนั้น
"กูรู้แล้วว่ามันเป็นอะไร ก็มันไปฟันแม่ตะเคียนยังไงล่ะ เจ้าแม่เค้าไม่เอามันถึงแก่ชีวิตหรอก แต่คนในครอบครัวของเจ้าแม่นี้นะสิเค้าไม่ยอมจะเอามันไปด้วย" เมียลุงซีก็เลยถาม
"แล้วมีทางช่วยไหมคะพ่อหมอ"
หมอธรรม
"มี..ก็ทำพิธีขอขมาเค้าก็น่าจะให้อภัยและต้องรีบทำตอนนี้ด้วย"
เมียลุงซีก็เตรียมทำพิธีพอทำเสร็จแล้ว ทางโรงพยาบาลก็โทรมา ว่าพรุ่งนี้คนไข้กลับบ้านได้ เมียแกถึงกับงงอีกครั้ง
"คือให้กลับได้แล้ว แล้วเนื้องอกล่ะคะ" คือทางโรงพยาบาลก็ตอบมาว่า
"สงศัยเครื่องเอ๊กซ์เรย์จะมีปัญหาน่ะค่ะ พรุ่งนี้กลับบ้านได้เลยค่ะ" แต่เมียแกก็ยังสงศัย แต่ก็ดีแล้วที่ลุงไม่เป็นอะไร แต่เรื่องก็ยังไม่จบนะครับ
หมอทำก็ได้ทำพิธีเชิญท่อนไม้ท่อนนั้นไปที่วัดที่อยู่ติดกับโรงเรียนของบี อยู่หน้าโบสถ์เป็นศาลาเล็กๆที่พระเอาไว้เก็บของ ในวันนั้นคนก็แห่หลั่งไหลกันมา ก็ไม่มีอะไรมากครับ บรรดาคอหวยหาเลขเด็ด พวกป้าบีก็พากันมาหวังจะได้เลขกับเค้า
ในช่วงพลบค่ำคนเค้าก็เอามือถือมาถ่ายรูปเลขเด็ดกัน คนนั้นว่าถ่ายติดแล้ว คนนี้ว่าชัดมากเลย บีก็เริ่มสนใจเลยเดินเข้ามาดูก็เห็นบรรดาร่างทรงแต่ละสำนัก แต่บีได้ไปสะดุดตาอยู่คนหนึ่ง ซึ่งน่าตาดีมาก สวยเลยก็ว่าได้ แต่บีไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเลยไม่รู้ว่ามาจากบ้านไหน
พอบีได้สบตากับหญิงสาวที่กอดขอนไม้ หญิงสาวก็ยิ้มมุมปาก บีก็แอบเขินนะ ในขณะที่บีมองไปทางอื่นเห็นว่าพี่ที่เค้าใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปอยู่นั้นเองบีเลยถามไปว่าถ่ายติดบ้างไหม พี่เค้าก็บอกติดมาดูสิ บีก็เลยไปดู ไหนๆดูหน่อยสิพี่ พอบีได้เห็บภาพเท่านั้นแหละครับ บีถึงกับตกใจ
คือบีได้เห็นรูปที่เค้าถ่ายคือรูปตรงจุดที่ผู้หญิงคนนั้นอยู่แต่ปรากฏว่าภาพถ่ายเป็นภาพผู้หญิงคนนั้นแบบจางๆรางๆบีเลยหันไปดูผู้หญิงที่กอดขอนไม้ ปรากฏว่าผู้หญิงนั้นได้หายไปแล้ว.... คิดเป็นไปอย่างอื่นไม่ได้เลยครับ...ถ้าไม่ใช่ผีแล้วมันคืออะไร
TBC.
เจอกันตอนหน้าค้าบบบ
ฝากติดตามด้วยนะครับ
หมู่บ้านแห่งนี้สมัยก่อนยังไม่มีใครมาอยู่อาศัย เป็นป่าหนาทึบมีเขาสองลูก มีลูกเล็ก และลูกใหญ่สัตว์ป่ามากมายมีแม้กระทั้งเสือ ก่อนที่จะมีคนมาอาศัยเพื่อตั้งรกราก จนมาถึงปัจจุบันนี้


แม่บีเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนแม่ยังเด็กเล็กวิ่งเล่นซนตามประสาเด็ก ก็ได้มีเพื่อนมาแกล้งหลอกผีว่า
"ผีเก้าท่อนมาแล้ว ผีเก้าท่อนจะมาหลอกเอานะ ไม่กลัวหรอ "
คือเรื่องผีเก้าท่อนแม่บีก็เคยได้ยินมาตั้งแต่เล็กแล้ว แต่ก็สงสัยว่ามีจริงไหม เห็นว่าสมัยก่อนมีการฆ่าหั่นศพหั่นเป็นชิ้นๆ มีทั้งหมดเก้าชิ้น
เมื่อคนที่ตายไปผีหรือวิญญาณ ที่จำหน้าคนที่ฆ่าตนไม่ได้ก็คอยตามหลอกหลอนชาวบ้านที่ผ่านไปมา จุดที่โดนฆาตรกรรมหั่นศพนั้นอยู่ตรงบริเวณระหว่างเขาลูกเล็กและเขาลูกใหญ่ ก็คือซอกเขานั้นแหละครับ บางทีคนร้ายก็เอาคนมาฆ่าแถวนี้ ในสมัยก่อนจะเป็นทางเกวียนทางวัวควายเดิน ไฟในสมัยก่อนยังใช้ตะเกียงเจ้าพายุกันอยู่เลย ไม่มีไฟฟ้าอย่างปัจจุบันแบบนี้
ถ้ามีการเดินทางตอนกลางคืนก็จะมีโจรมาปล้นอันตรายแทบจะทุกๆด้าน ตำรงตำรวจก็ยังเข้ามายังไม่ถึง คนในหมู่บ้านแห่งนี้ก็มีแค่ระวังภัยกันเองผู้ชายก็มีเยอะๆไว้ดีกว่า เพราะว่าพวกโจรจะได้ไม่กล้าเข้ามาปล้นชาวบ้าน
แม่บีเล่าให้ฟังอีกว่าเขาลูกใหญ่แท้ที่จริงแล้วเป็นเมืองลับแลมีประตูทางเข้า บีก็เลยถามแม่ว่า
"แม่รู้ได้อย่างไรว่ามีประตูเมืองลับแล"
แม่บีนั้นก็ตอบว่าไปฟังมาจากหลายๆคนเล่าให้ฟัง แต่แปลกนะที่เค้าพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามีเมืองแห่งนี้อยู่จริง
เมืองลับแลแห่งนี้เป็นเมืองของท่านท้าวผาแดง และมีเมืองน้องชื่อท้าวผาเงิน สดีมีทีท่าทีที่ทาสมุทรสงครามองเมืองนี้ปฎิบัติเหมือนกันนั้นก็คือถือศีลอย่างเคร่งครัด เขาลูกใหญ่เป็นเมืองของท้าวผาแดง ส่วนเขาลูกเล็กจะเป็นท้าวผาเงินเป็นคนปกครอง
สองเมืองแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองลับแล ยากที่คนธรรมดาอย่างเราๆจะเห็นได้ต้องเป็นคนที่มีบุญมีบารมีสูงมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเห็นนะครับ ป้าของบีมีชื่อว่าป้าเยื้อน ป้าเยื้อนแกเป็นคนที่อยู่เฉยๆเป็นไม่ได้นะครับเพราะท่านชอบไปหาผักหาหญ้าบางทีก็ไปหาหน่อไม้ เพื่อที่จะนำมาประกอบอาหารในครอบครัว
ในช่วงที่ป้าเยื้อนเริ่มเข้าสู่วัยชราแล้วท่านก็ยังไปหาผักหาหน่อไม้เหมือนเช่นเคย แต่ว่าบรรดาลูกๆของป้านั้นก็ต่างเห็นพ้องกันว่าจะขอให้แกหยุดอยู่บ้านเพราะว่าท่านแก่แล้วสายตาก็ไม่ค่อยดี อยากให้ท่านอยู่บ้านเลี้ยงหลานดีกว่าไม่อยากให้แกขึ้นเขาไปคนเดียว ป้าแกก็ไม่ได้ขัดอะไรจึงยอมทำตามที่ลูกบอก
ป้าเยื้อนเคยเล่าให้ฟังว่าวันนั้นไปหาหน่อไม้ได้มาก็สี่ห้าหน่อกำลังเดินกลับลงเขา ทางลงก็ค่อนข้างร่าชันท่านก็จับต้นไม้มาเรื่อยๆจนมาถึงตีนเขา ปรากฏว่าทางลงเขาไม่ใช่ทางไปบ้านของแก แต่เป็นเมืองๆหนึ่งซึ่งสวยงามมากประตูเป็นทองกำแพงเป็นเงินประดับไปด้วยเพชรนิลจินดา ป้าก็ถึงกับอึ้งไปเลยว่าตนมาโผล่ที่นี้ได้อย่างไร
หลังจากนั้นป้าเยื้อนก็ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา ไม่ได้มีแค่ป้าของบีที่เห็นนะครับยังมี อาสง่าเพื่อนของพ่อบีเล่าให้ฟังตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ อาสง่าได้เล่าว่าวันนั้นอาได้ไปทำส่วนที่ตีนเขา ในช่วงที่อาสง่าพักเพื่อให้หายเหนื่อยได้มีผู้หญิงคนหนึ่ง โผล่มาด้านจากหลัง ถามว่ามาทำอะไรทิศง่า อาก็ตกใจว่าใครมาเรียก พอหันไปก็เป็นผู้หญิงอายุราวห้าสิบกว่าเห็นจะได้
อาก็ตอบไปว่า
"ฉันมาไถที่เตรียมดินที่จะจะปลูกข้าวโพดจ้ะ แล้วมาจากบ้านไหนล่ะ ฉันไม่เคยเห็นหน้าเลย" ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบว่า
"ฉันมาจากบ้านใต้ พอดีฉันมาดูไร่ของฉันแถวนี้น่ะจ้ะ" อาสง่าก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่ทว่าที่น่าแปลกใจก็คือผู้หญิงคนนั้นพูดจาท่าทางนิ่งๆ เสียงที่เปล่งออกมาเย็นยะเยือกจนน่าขนลุก แถมร่างกายก็ไม่ขยับไปไหน
สักพักผู้หญิงคนนั้นก็ยื่นทองออกมาให้ เป็นสร้อยทองหลายเส้น แต่อาก็ไม่ได้สนใจเพราะว่าไม่ใช่ของๆตนจึงบอกไปว่า
"ให้ฉันทำไมจ๊ะ? ฉันไม่เอาหรอกจ้ะ ไม่ใช่ทองฉัน เดี๋ยวฉันก็กลับแล้ว" พออาหันหน้าหนี แล้วหันกลับมาอีกทีผู้หญิงคนนั้นก็หายไปแล้ว แต่ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะหายไป อาสง่าได้สังเกตเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นไม่มีขา ตอนแรกก็ไม่เห็นหรอกเพราะว่ามีหญ้าคาบังไว้อยู่ แต่มีจังหวะที่ลมพัดมาแรงๆ หญ้าคาจึงปลิวไวไปตามสายลม ทำให้อาสง่าเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นไม่มีเท้าเหยียบพื้นเลย
และมีอีกช่วงหนึ่งก่อนที่อาสง่าท่านจะจากไป ท่านก็มาเล่าเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งให้ฟังว่า ก่อนที่อาสง่าจะเข้าโรงพยาบาล วันนั้นท่านได้ไปที่นา แล้วเอารถไถคู่ใจไปด้วย อาสง่าบอกว่าจู่ๆได้มีงูตัวดำลำตัวเท่าแขน เลื้อยผ่านรถไถของอาสง่าไปแล้วจู่ๆรถไถก็ดับไปเองซึ่งรถของอาก็ยังใหม่ๆไม่เคยงอแงมาก่อนแล้วจะมาดับเอาอะไรตอนนี้
อาสง่าได้ลงไปดูรถไถว่าสาเหตุเกิดจากอะไร อาสง่าได้พิจารณาดูแล้วก็ไม่มีอะไรเสียเลย แต่อยู่ดีๆรถไถของอาก็สตาร์ทติดเองและขยับเองจึงทำให้หัวของอาได้ฟาดเขาให้กับตัวรถไถอย่างจังจนทำให้อาสง่าสลบไป ฟื้นตัวอีกทีก็อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว
พ่อของเจ้าบีได้ไปเยี่ยมอาสง่า ซึ่งอาก็เล่าเรื่องที่ตัวเองไปเจอมาให้พ่อฟังว่า
ช่วงที่อาหลับไปไม่แน่ใจว่าเป็นความฝันหรือเป็นวิญญานของตนเองที่ออกจากร่างกันแน่ อาได้เล่าว่าได้เดินทางไป ณ ที่แห่งหนึ่ง อาบอกว่าตอนที่อาสลบไปนั้นตนเองได้ไปโผล่ที่แห่งหนึ่ง เป็นประตูวังขนาดใหญ่มาก ประดับไปด้วยเพชรนิลจินดาทองคำระยิบระยับสวยงามมากๆ
คืออาสง่าก็ยืนรออยู่ข้างหน้าปากทางเข้าเมืองมีคนหลั่งไหลกันเข้ามาเรียงแถวเป็นระเบียบส่วมชุดขาวห่มขาวกันทั้งหมด เมื่ออาเห็นดังนั้นแล้วอาสง่าจึงเดินตามเค้าเข้ามา แต่ยังไม่ทันได้ข้ามประตูมาเลย ได้มีเสียงตะโกนเข้ามาจากด้านในประตู่ก่อน
"อ้าวเองมาทำไม ยังไม่ถึงเวลาของเอง กลับไปก่อน " สิ้นเสียงนั้นเองอาสง่าก็ได้ตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาลนี้เอง จึงได้มาเล่าให้พ่อเจ้าบีฟังนั้นเองครับ
วัดในหมู่บ้านของบีแห่งนี้เป็นวัดชื่อดังและมีเจ้าอาวาสที่ชาวบ้านเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ก็มีเยอะแยะมากมาย เป็นที่พึ่งแกเหล่าสัตว์ทั้งหลายที่หลวงปู่ได้เลี้ยงไว้ในวัด มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านได้นั่งสมาธิจนสงบนิ่งได้เกิดความมหัศจรรย์เหมือนมีคนมาเรียกหลวงปู่
"นมัสการท่านแด่ผู้เจริญธรรม เราขอนิมนต์ท่านไปยังเมืองของเราได้หรือไม่ " หลวงปู่ก็ได้ตอบรับคำเชิญ
จิตของหลวงปู่นั้นได้ไปพบกับชายคนนั้นที่เรียกหลวงปู่ไป มีรูปร่างงดงามราวกับเทวดา ชายคนนั้นกล่าวกับหลวงปู่ว่า พระผู้เป็นเจ้าโปรดตามข้าพเจ้ามาด้วยเถิดหลวงปู่ท่านก็พยักหน้า ชายคนนั้นได้พาหลวงปู่เข้ามายังเมืองที่เต็มไปด้วยเงินทองเพชรนิลจินดาประดับมากมาย คนแถวนั้นส่วมชุดขาวมานั่งรอหลวงปู่เป็นทาง...ยาวจนสุดถึงในวัง หลวงปู่ท่านก็ตามชายคนนั้นไปยังวังที่สวยงามสง่า เห็นแบบนี้ใครละที่สร้างเมืองแห่งนี้ได้ แต่คงไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์แน่
ในขณะที่หลวงปู่ท่านได้เข้ามานั่งที่ชายคนนั้นได้จัดเตรียมไว้ หลวงปู่ท่านก็นึกสงสัยว่าชายคนนั้นเป็นใครกันแน่
"พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้านั้นเป็นเจ้าเมืองลับแลแห่งนี้ มีนานว่าผาแดง ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามานานแล้วจึงได้เชิญพระผู้เป็นเจ้ามาเทศน์สอนธรรมให้แก่เราและประชาชนของเราได้เห็นธรรมด้วยเถิด หลวงปู่ก็รับคำขอของเจ้าเมือง
หลวงปู่ได้สอนธรรมเป็นอันเสร็จและได้ปรึกษากับเจ้าเมืองว่าอยากจะให้หลวงปู่สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่บนเมืองแห่งนี้เพื่อที่จะได้สักการะบูชาเป็นอนุสรณ์ของพุทธศาสนาสืบต่อไป ......
......................จบแล้วครับ......................
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!